มาหยารัศมี ตอนที่ 2
เหตุการณ์วันนั้นในอดีต หม่อมเจ้าธีรธำรงกับหม่อมรัตนาเดินออกมาด้วยกัน ที่ลานจอดรถของโรงแรม บริเวณนั้นค่อนข้างมืด หม่อมรัตนาแต่งตัวหรูหรา เครื่องประดับเต็ม สองคนจะเดินขึ้นรถ
คนร้ายสองคนขับมอเตอร์ไซค์คน อีกคนซ้อนท้าย ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด เหมือนรออยู่ก่อนแล้ว มองไปที่เครื่องประดับตามตัวหม่อมรัตนา ทันทีที่มีจังหวะ สองวายร้ายขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาทำท่าจะพุ่งชนหม่อมรัตนาเต็มแรง หม่อมเจ้าธีรธำรงร้องเสียงดัง
“ระวัง”
ธีรธำรงกระชากแขนหม่อมรัตนาเต็มแรง จนพ้นทางรถ หม่อมรัตนาล้มลง
ธีรธำรงมองหม่อมรัตนาอย่างเป็นห่วง จังหวะนั้นเองที่คนร้ายจอดรถพุ่งเข้าหาสองสามีภรรยาอย่างรวดเร็วทำร้ายเพื่อหมายเอาเครื่องประดับราคาแพง
หม่อมรัตนาร้องโวยวายเจ็บปวดไม่ยอม ธีรธำรงตรงเข้ามาช่วยภรรยา แต่ถูกคนร้ายทำร้าย เงื้อปืนจะยิง เมินกับราศรีในชุดคลุมท้องเดินตามออกมาเห็นพอดี
สองคนร้องประสานเสียง “อย่า”
ไวเท่าความคิด เมินกระโดดเข้ามาถีบคนร้ายจนล้มลง ธีรธำรงไม่รอช้าตามมาซ้ำคนร้ายที่ล้มอยู่คนร้ายอีกคนเห็นก็โกรธจัด ชักปืนออกมาจะยิงใส่ธีรธำรง เมินเห็นร้องเสียงหลง
“อย่า”
เมินกระชากร่างธีรธำรงมาบังไว้ แต่โชคร้ายที่กระสุนพุ่งมาเจาะกลางหลังเมิน ร่างเมินล้มลง
เมินนอนเจ็บหนักอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล มีหม่อมรัตนา ธีรธำรง และ ราศรี ดูแลพูดคุยอยู่
“ขอบใจมากนะคุณเมิน ที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ นี่ถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันคงรู้สึกผิดมาก”
ราศรีเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ
“ท่านชายให้โอกาสผมเป็นสหาย และมีพระคุณกับผม มากกว่านี้ ผมก็ให้ท่านได้” เมินบอก
“งั้น...ฉันขอลูกตั้งชื่อว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันแล้วกัน”
ราศรีกับเมิน ตะลึงคาดไม่ถึง ธีรธำรงพูดต่อ
“พ่อชื่อเมิน แม่ชื่อราศรี ลูกชื่อมาหยารัศมี...มาหยารัศมีจะเป็นเจ้าสาวของธิติรัตน์นะเมิน”
ผู้ใหญ่ต่างยิ้มปลาบปลื้มใจ เด็กชายธิติรัตน์มองผู้ใหญ่งุนงงไม่เข้าใจ
หม่อมรัตนาเดินไปหยิบกำไลทองคำขาวมา มองจ้องตัวหนังสือมาหยารัศมีนิ่ง เอ่ยขึ้น
“เป็นความประสงค์ของท่านพ่อ แต่ตอนนี้...จะตัดสินใจอย่างไร แม่สุดแล้วแต่ชาย”
“ผมรู้ว่าสิ่งที่ท่านพ่อกับคุณแม่ตั้งใจทำให้ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม ผมจะแต่งงานกับมาหยารัศมี” น้ำเสียงธิติรัตน์จริงจังมาก
หม่อมรัตนายิ้ม ดีใจที่ลูกชายทำตามความต้องการพ่อ ก่อนที่รอยยิ้มจะเจื่อนลง
ธิติรัตน์จับสังเกตได้ นึกสงสัยถามอย่างเป็นห่วง “คุณแม่มีเรื่องกังวลอะไรหรือครับ”
“นานแล้วที่แม่ไม่ได้ติดต่อกับคุณเมิน...แม่เลยไม่รู้ว่าป่านนี้คุณเมินกับมาหยารัศมีเป็นอย่างไร?”
“ทำไมล่ะครับ”
“คุณเมินมีภรรยาใหม่”
“แล้วคุณราศรี?”
หม่อมรัตนาสีหน้าหมองเศร้า “ที่แม่รู้ข่าว...เธอเสียตั้งแต่คลอดมาหยารัศมี นึกถึงเรื่องนี้ทีไร แม่ทำใจที่จะมองหน้าคุณเมินไม่ได้สักที...เพราะมันหมายความว่า คุณเมินแอบมีผู้หญิงอื่น ทั้งๆ ที่ตอนนั้นคุณราศรีกำลังท้อง”
เมินขับรถมาตามทาง เป็นเวลาเดียวกับที่ สุดใจที่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อย ไม่สบายเดินสวนมา
พอรถเมินวิ่งผ่าน ร่างของสุดใจก็ทรุดฮวบลงกองกับพื้น เมินเบรกรถเอี๊ยด รีบลงจากรถมาช่วยทันที
ที่ข้างถนนเวลานั้น ชาวบ้านแถวนั้นประคองสุดใจขึ้นมา หายาลม ยาหม่องให้ดม เมินลงไปถามอย่างมีน้ำใจ ไทยมุงแต่ละคนชี้มือชี้ไม้ไปทางบ้านสุดใจ เมินประคองสุดใจขึ้นรถทันที
บ้านของสุดใจ เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ เก่าๆ เมินขับรถมาจอดหน้าบ้านหลังนั้น สุดใจบอกเมินแบบไม่สบายใจ “ขอบคุณมากค่ะ คุณที่กรุณามาส่ง”
“ไม่ไปโรงพยาบาลแน่นะครับ ผมว่าท่าทางคุณยังไม่ค่อยดี” เมินถามย้ำ
สุดใจพูดเสียงโหยๆ สั่นเครือ “เกือบยี่สิบปีมาแล้วล่ะค่ะที่ดิฉันเป็นแบบนี้ บาปกรรมที่มันติดอยู่ในใจ ทำให้ฉันข่มตาหลับไม่ได้เลยสักคืน” สุดใจรู้สึกตัว “ขอบคุณอีกครั้งค่ะที่ช่วย”
สุดใจยกมือไหว้เมินแล้วเดินเข้าไปในบ้าน เมินมองตามอย่างแปลกใจ
เมินคิดถามตัวเองอยู่ในใจ “บาปกรรมอะไรทำให้คนเป็นไปได้ถึงขนาดนี้”
ก่อนขับรถออกมา
ภายในสวนแสงเทียนวับแวม ครอบครัวเมินรับประทานอาหารในบรรยากาศสวนสวย มีเดือนแรมและแป้นช่วยกันเสิร์ฟ
ระหว่างนั้นมะลิกับแม้นเทพเดินผ่านอยู่ไกลๆ มองเห็น มะลิเหน็บออกมา
“แค่กินข้าว ต้องทำบรรยากาศยังกับนั่งดินเนอร์ เฮ้อ!! แรมของฉันคงไม่พ้นเป็นนังกุลาก้นครัว ต้องทำงานงกๆ รับใช้เค้าอีก”
“ผมคุยกับแรมแล้วครับ แต่แรมบอกไม่อยากมีเรื่อง เค้าให้ทำอะไรก็ทำ” แม้นเทพบอก
“ทั้งในบ้าน นอกบ้าน มีอะไรแรมเหมาหมด ลำเอียงแบบนี้ เจริญแน่นายเมิน” มะลิระอาใจในตัวน้องชายนัก
สองคนเดินกลับไปบ้านตัวเอง
ที่โต๊ะอาหาร เมินเล่าเรื่องที่เจอสุดใจให้ทุกคนฟัง จันทราหัวเราะน้อยๆ บอกเมินอย่างอารมณ์ดี
“ไม่มีบาปกรรมอะไรหรอกค่ะคุณเมิน จันว่า... เป็นแค่มารยาหญิงเท่านั้นเอง”
“มารยาอะไร?”
จันทราใส่จริต ยิ้มประจบ “อยากให้คุณเมินไปส่งถึงบ้านน่ะสิคะ....ก็ปูนนี้แล้ว แต่คุณเมินของจันยังหล่ออยู่เลยค่ะ”
ชุติมารีบประจบต่อ “จริงด้วยค่ะ ปูนนี้แล้ว แต่คุณลุงยังหล่ออยู่เลยค่ะ”
เมินทำหน้าเจื่อนๆ แปลกใจ เพ็ญประกายถามขึ้น
“ตกลง...ชมคุณพ่อกันใช่มั้ยคะ?” หันไปพูดกับเมิน “คุณพ่อยังไม่แก่เลยค่ะ แล้วก็ยังหล่อเหลา แต่เพ็ญว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่สบายจริงๆ น่ะค่ะ ไม่งั้นคงไม่ล้มลงตรงรถคุณพ่อหรอก”
“ก็มันเห็นว่าเป็นรถเบนซ์ น่ะสิคะคุณเพ็ญ ลองเป็นรถกระจอกๆ สิ สองตามันก็ไม่แล”
แป้นอยู่คอยรับใช้หัวเราะคิกคัก
ระหว่างนั้นเดือนแรมมองไปที่หน้าต่างเห็นรถคันหนึ่งมาจอดอยู่ริมรั้ว จันทราเห็นมองไม่พอใจ แต่แอ๊บเสียงหวานจ๊ะจ๋า
“มองอะไรจ้ะแรม”
“เหมือนมีรถมาจอดน่ะค่ะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ”
ชุติมาปากไวเหน็บขึ้นมา “นัดใครไว้ล่ะสิ”
“แรมจะนัดใครล่ะคะ? เดี๋ยวเพ็ญไปดูเอง” เพ็ญประกายลุกขึ้น
เมินห้ามเสียงเข้ม “ไม่ต้อง ให้เดือนแรมไปดู แล้ววันหลังเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบออกไปดูเลย ไม่ต้องให้บอก”
“ค่ะ” เดือนแรมเดินออกไป
จันทรานิ่งนึก นัยน์ตามีเลศนัย “ชุติมาตามไปดูเร็ว...น้าไม่ไว้ใจ กลัวแรมนัดเจอผู้ชายเดี๋ยวมันเป็นสายโจรแล้วจะยุ่ง”
“ค่ะ” ชุติมารีบตามออกไป
เพ็ญประกายมองแม่ สีหน้าไม่สบายใจ เมินทำหน้าเจ็บปวดช้ำใจทุกครั้งที่เห็นเดือนแรม
ค่ำนั้น ธิติรัตน์เดินลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หน้าบ้านเมิน มองเข้าไปด้านใน
“นี่มันบ้านที่ดุจแขพาเรามาปาร์ตี้นี่” พอดีมีคนเดินผ่านมา ธิติรัตน์ร้องถาม “คุณน้าครับ..นี่ใช่บ้านคุณเมินหรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ บ้านคุณเมินกับคุณจันทรา” หญิงคนนั้นเดินผ่านไปเลย
ธิติรัตน์รีบบอก “ขอบคุณครับ”
พลางกวาดตามองเข้าไปข้างใน สายตาบอกว่าไม่ชอบใจเสียเลย
เวลาเดียวกันเดือนแรมเดินตรงมาที่ประตูหน้าบ้านท่าทางร้อนใจ ชุติมาตามมาร้องเรียกไว้
“หยุดอยู่นั่นล่ะ” เดือนแรมหันมามอง “ฉันจะไปดูเอง ถ้าเธอนัดโจรเอาไว้ มีเรื่อง”
พูดเท่านั้นชุติมาก็เดินเชิดหน้าผ่านไปทันที เดือนแรมมองไม่ชอบใจนักจึงเดินตาม
ชุติมาหันมาแว้ด “ตามมาทำไม?”
“คุณจะได้รู้ไงคะ ว่าแรมนัดเค้าไว้หรือเปล่า? และถ้าเกิดเป็นโจร แรมจะได้ช่วยคุณตีหัวมัน” เดือนแรมเดินนำหน้าไป
ชุติมากระชากไหล่เดือนแรมจนเซ “บอกว่าไม่ต้องไง ฉันจะไปดูเอง หรือกลัวว่าฉันจะจับได้ ว่าเธอนัดโจรเอาไว้จริงๆ”
“ค่ะแรมกลัว แต่กลัวว่าคุณจะฮั้วกับโจรคนนั้นใส่ร้ายแรม” เดือนแรมว่า
ชุติมามองตกใจ รู้ทัน “ใครจะทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้น เข้าไปเลยนะ ไป”
เพ็ญประกายเดินเข้ามา “เข้าบ้านเถอะแรม..ถ้ามีโจรขึ้นมาจริงๆ พี่จะเป็นพยานให้เองว่าแรมคุยกับพี่ชุยังไง? อ้อ! เพ็ญฝากพี่ชุล็อกประตูรั้วด้วยเลยนะคะ”
เพ็ญประกายคว้าแขนเดือนแรมเดินเข้าไปในบ้าน ชุติมาเบ้ปากส่ง
“อี๋ จิกหัวยังกับฉันเป็นคนใช้ คอยดูเถอะ วันไหนฉันแต่งงานได้ดิบได้ดี ฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่เลย”
ชุติมาสะบัดหน้าไปไม่พอใจ
ธิติรัตน์กวาดสายตามองบ้านหลังใหญ่ สายตาไม่ชอบใจนัก บอกกับตัวเอง
“คุณจันทรา...เป็นภรรยาใหม่...มิน่าเราถึงรู้สึกไม่ชอบบ้านนี้ตั้งแต่มาปาร์ตี้...แต่ยังไง ฉันก็จะแต่งงานกับเธอ มาหยารัศมี”
พูดจบธิติรัตน์ก็หันหลังกลับ จะเดินไปที่รถ ชุติมาเดินมาเห็นด้านหลังร้องถามขึ้น
“ใครน่ะมาทำอะไรมืดๆ”
ธิติรัตน์หันมา ทันทีที่เห็น ชุติมาก็ตาวาว ตื่นเต้นดีใจ
“คุณชายธิติรัตน์”
เช้าวันต่อมา ในขณะที่เมินแต่งตัวอยู่ในห้อง เตรียมไปทำงาน จันทราก็เอ่ยขึ้น
“ทันทีที่กลับมาจากอเมริกา คุณชายก็ตรงมาที่บ้านเราเลย มันก็หมายความว่า...คุณชายสนใจแอบสนใจยายเพ็ญอยู่เหมือนกันนะคะ”
เมินพูดตอบเสียงเรียบ “แต่ชุติมาบอกไม่ใช่เหรอ ว่าคุณชายแค่ผ่านมาแถวนี้”
“มันก็แค่ข้ออ้างล่ะคะ ...คุณชายมีธุระอะไรถึงจะต้องผ่านมาแถวนี้” จันทราออกโรงออดอ้อน “คุณเมินคะให้ยายเพ็ญแต่งงานกับคุณชายเถอะนะคะ”
เมินพูดเสียงเข้มขุ่น ท่าทางโกรธจัด “ก็ฉันบอกแล้วไงเพ็ญประกายไม่ใช่มาหยารัศมี และที่นี่ก็ไม่มีมาหยารัศมี”
“มีได้ค่ะ ...ถ้าคุณเมินอนุญาต” จันทราอ้อนเสียงหวาน “คุณเมินขา...เห็นแก่อนาคตของลูกเถอะนะคะ.....ดิฉันคงนอนตายตาหลับ ถ้ายายเพ็ญได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆเพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง อย่างคุณชายธิติรัตน์...นะคะ..ให้ยายเพ็ญเป็นมาหยารัศมี เรื่องอื่นฉันจะคุยกับลูกเอง”
สีหน้าเมินครุ่นคิดตาม
ในเวลาต่อมาเพ็ญประกายถามจันทราออกมาอย่างงุนงง
“อะไรนะคะ คุณแม่จะเปลี่ยนชื่อให้เพ็ญเป็นมาหยารัศมี”
“ไม่ได้เปลี่ยน....มันเป็นชื่อของเพ็ญอยู่แล้ว” จันทราว่า
เพ็ญประกายยังงงอยู่ แย้งออกมา “ทำไมเพ็ญไม่รู้เรื่อง แล้วทำไมคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยเรียกเพ็ญว่ามาหยารัศมีซักที”
จันทราพูดกล่อมต่อ “อย่างที่แม่เล่าให้ฟังน่ะจ้ะ...เป็นชื่อที่รู้กันเฉพาะครอบครัวของเรากับของคุณชาย ที่แม่ยังไม่เคยบอกเพ็ญ เพราะก่อนหน้านั้นคุณชายมีแฟนอยู่ ผู้ใหญ่เลยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันน่าเกลียด แต่ตอนนี้คุณชายพร้อมสำหรับเพ็ญแล้วลูก”
“แต่เพ็ญยังไม่พร้อม” เพ็ญประกายทั้งสับสนและงุนงง “ถึงคุณแม่จะยืนยัน เพ็ญก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นของคุณชาย เป็นผู้หญิงที่ชื่อมาหยารัศมี เพ็ญไม่เคยรู้สึกจริงๆ ค่ะ”
เดือนแรมนั่งอยู่ในห้อง เอาจดหมายของธิติรัตน์ที่ตัวเองปะต่อขึ้นมามอง เอามือลูบแบบชื่นใจ
นึกถึงธิติรัตน์ นึกถึงถ้อยความที่เขียนมาในจดหมาย
“แรมต้องเข้มแข็ง เชื่อมั่นในคุณความดีของตัวเอง ฉันเชื่อว่า ซักวัน แรมจะได้พ่อที่รักแรมที่สุดกลับคืนมา”
เดือนแรมอมยิ้ม สายตามุ่งมั่น “แรมจะเชื่อคุณชายค่ะ”
เวลาเดียวกันธิติรัตน์ครุ่นคิดอยู่ในวงศิลาลาย
“บ้านคุณเมินเหมือนมีอะไรแปลกๆ”
ธิติรัตน์สงสัยครามครัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่แปลกนั้นคืออะไร?
วันต่อมา สุดใจนอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในบ้าน ท่าทางป่วยหนัก เห็นภาพราศรีเดินมานั่ง
ข้างๆจับมือสุดใจเอาไว้
“ฉันฝากลูกฉันด้วยนะ...ฝากมาหยารัศมีด้วย”
สุดใจพึมพำออกมาทั้งที่ยังหลับตา “ได้...ฉันสัญญา ฉันจะดูแลลูกคุณให้ดีที่สุด”
“คุณสัญญาแล้วนะ ถ้าคุณผิดคำสัญญา...ฟ้าจะไม่ให้อภัยคุณ”
“ค่ะฉันสัญญา...ฉันจะดูแลคุณกับลูกให้ดีที่สุด” สุดใจรับคำ
ราศรีพูดเสียงแบบแผ่วเบา “แต่ทำไมฉันหายใจไม่ออก ฉันหายใจไม่ออก ลูก...ลูก...กรุณาช่วยฉันกับลูกด้วย...ช่วยฉันกับลูกด้วย”
เสียงหายใจของราศรีขาดเป็นห้วงๆ ก่อนที่ร่างของราศีจะค่อยๆ เหี่ยวแห้งกลายเป็น
ซากกระดูกกองอยู่ตรงนั้น สุดใจหวีดร้องขึ้นมาสุดเสียง
สุดใจลุกขึ้นนั่งหอบหายใจ สีหน้าตื่นตระหนกกลัวมาก กวาดสายตามองไปรอบๆ
“คุณราศรี ฉัน..ฉันขอโทษ..แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณ...ฉันไม่ได้ทำอะไรลูกของคุณ สาบาน...ฉันไม่ได้ทำร้ายคุณ..ไม่ได้ทำลูกคุณจริงๆ”
ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูอย่างแรง ดังปังๆๆๆๆๆ สุดใจสะดุ้ง ผวา ตามองไปที่ประตูสีหน้าหวาดหวั่น
มือของสุดใจค่อยๆ แง้มประตูออกในลักษณะกลัวมาก แต่แล้วประตูกลับถูกกระชากออกอย่างแรง สุดใจร้องกรี๊ดสุดเสียง สติแทบแตก
“อ๊าย…..อย่า ฉันกลัวแล้ว”
“กลัวอะไรของเธอ”
สุดใจชะงัก ค่อยๆ เหลียวมองไปทางเสียง เห็นจันทรายืนอยู่
“คุณจันทรา” สุดใจมองอย่างตกตะลึงไม่คิดว่าจะได้เจอจันทราอีก
ครู่ต่อมา ที่มุมหนึ่งในบ้านสุดใจ จันทราถามสุดใจด้วยท่าทางไม่พอใจนัก
“ตกใจมากนักหรือไงที่เห็นฉัน” จันทราถาม
“ค่ะ คุณจันทรามีธุระอะไรกับฉัน”
จันทราตวาดแว้ด “จะเรื่องอะไร? ก็เรื่องนั้นนั่นแหละ ฉันต้องการให้เธอเก็บทุกอย่างเป็นความลับ”
สุดใจขมขื่นนัก “ที่ผ่านมา ฉันก็เก็บตลอด เก็บจนแทบบ้า คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับคุณ”
“ใช่...ข้อนี้ฉันก็ขอบใจ แต่ยังไง ความลับก็ไม่มีในโลก บอกตรงๆ ว่าฉันกลัว”
จันทราพูดจบก็ล้วงกระเป๋าหยิบเช็คออกมาหนึ่งใบส่งให้สุดใจ
สุดใจยังไม่ยอมรับเช็ค “อะไรคะ”
จันทรามองอย่างหมั่นไส้ “จะอะไร? ก็เงิน เหมือนกับที่ฉันเคยให้เธอนั่นแหละ และเงินก้อนนี้ฉันกล้าพูดได้เลยว่า ทั้งชีวิตเธอไม่มีทางหาเองได้หรอก....เอาไป..และไปจากที่นี่ ไม่ต้องกลับมาอีก”
สุดใจตกใจ “ไปจากที่นี่...ไม่ค่ะ....ฉันไม่ไป”
“ถ้าเธอไม่ไป ฉันจะแจ้งตำรวจ ว่าเธอเป็นคนทำให้คุณราศรีตาย” จันทราเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงสุดใจละล่ำละลัก “ไม่นะคะ ฉันไม่ได้ทำ”
จันทราเน้นเสียง “เธอเป็นคนทำ” จ้องหน้าขู่เรื่องความลับ “ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ เพราะฉันรู้ เธอไม่มีทางลืมเหตุการณ์ตอนนั้นแน่”
จันทราพูดเสียงราบเรียบ แต่สุดใจหน้าซีดเผือด นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ครั้งนั้นราศรีนอนหลับอยู่ในห้องพักในโรงพยาบาล ท่าทางไม่สบายหนัก มีสายระโยงรยางค์ และมีสายออกซิเจนติดอยู่ ข้างๆคือเด็กน้อยมาหยารัศมีที่เพิ่งคลอด สุดใจวิ่งพรวดเข้ามา ท่าทางไม่ค่อยดี แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นจันทรายืนอยู่ จันทราหันไปมองบอกและถามเสียงแผ่วเบา
“มีอะไร”
“เอ่อ..ที่บ้านมีธุระด่วน ฉันเลยจะมาขออนุญาตคุณราศรีกลับบ้านสักครู่ค่ะ”
“ก็ไปสิ” จันทราบอก
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันฝากคุณราศรีหน่อยนะคะ แล้วจะรีบกลับมา”
สุดใจเดินออกไป จันทรามองตาม ก่อนเดินตามออกไป
สุดใจเดินมาอย่างเร่งรีบจนถึงมุมมืดบริเวณทางเดินในโรงพยาบาล แต่แล้วต้องชะงัก
จันทราเรียกไว้ “เดี๋ยว”
สุดใจหันไปมอง เห็นจันทรายืนอยู่ “มีอะไรคะ”
“ฉันอยากให้เธอเอาเด็กคนนั้นไปด้วย”
สุดใจมองอย่างงงงัน “หมายความว่ายังไง”
แทนคำตอบจันทรายื่นเงินให้ปึกใหญ่ สุดใจยิ่งมองงงหนักไปอีก จันทราเอ่ยขึ้น
“ฉันไปสืบมาแล้ว เธอไม่ได้เป็นพยาบาล ความจริงเธอเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็ก และพี่ราศรีก็โง่พอที่จะเชื่อเธอ จนหลงจ้างมาเป็นพยาบาลพิเศษ”
สุดใจหน้าซีดเผือดจันทราขู่ต่อ
“เธอคิดว่า ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูพี่ราศรี ถึงหูตำรวจเธอจะเป็นยังไง”
“คุณขู่ฉัน”
จันทรายิ้มเยาะ “ฉันไม่ได้ขู่” เสียงเริ่มเย็นลง “แต่ฉันเข้าใจ ฉันรู้ว่าตอนนี้ที่เธอลำบากมาก พ่อก็กำลังจะตาย แม่ก็ป่วยหนัก น้องก็ต้องเรียน และบ้านก็เพิ่งไฟไหม้...ที่กระหืดกระหอบกลับไปเนี่ย..ก็คงจะเป็นญาติที่เธอไปอาศัยเค้าอยู่ เค้าไล่ตะเพิดพ่อแม่เธอใช่มั้ยล่ะ”
สุดใจยืนนิ่งน้ำตาคลอ จันทราเอ่ยขึ้น
“เงินก่อนนี้จะช่วยเธอได้ทุกอย่าง ขอเพียงเธอเอาเด็กคนนั้นไปด้วย...และไม่ต้องเอากลับมาอีก”
“ฉันจะเอาไปไหน”
“มีคนต้องการเด็กเยอะแยะ เธอจะเอาเด็กนั่นไปขายก็ยังได้ รับไปสิ..แล้วเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคน”
เห็นสุดใจลังเล จันทรารีบบอก
“จะกลัวทำไม? เธอไม่พูด ฉันก็ไม่พูด หรือถ้ามันน้อยไปฉันจะให้บ้านเธอซักหลังก็ได้นะ จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว”
สุดใจลังเลอีก จันทรามองอย่างหมั่นไส้
“ได้...ถ้าเธอไม่เอา ฉันก็จะจ้างคนอื่น มีคนอีกเยอะแยะไปที่เค้าต้องการข้อเสนอของฉันน่ะ” จันทราเก็บเงินทำท่าจะเดินกลับ
สุดใจร้องเรียกไว้ “เดี๋ยวค่ะ”
จันทราหันมามอง สุดใจบอกอย่างขมขื่น ลำบากใจ
“ฉันจะทำตามข้อเสนอของคุณค่ะ”
ภายในบ้านเวลานั้น สุดใจนึกถึงเรื่องราวครั้งนั้นก็ร้องไห้ออกมา เพราะเสียใจมาก
“ค่ะ ฉันจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ฉัน” สุดใจไม่สะอื้น รู้สึกผิด “ไม่น่าทำอย่างนั้นเลย เพราะถึงฉันจะไม่ได้เป็นพยาบาลจริงๆ แต่ถ้าฉันอยู่ตรงนั้น ฉันก็คงไปตามหมอมาช่วยและ คุณราศรีก็คง…”
น้ำเสียงจันทราที่สวนออกมาเย้ยหยันอยู่ในที “ไม่ตาย...ดีเท่าไหร่แล้ว ที่ตอนนั้นฉันช่วยพูดให้เรื่องทุกอย่างมันจบๆไป ไม่อย่างนั้นสามีของคุณราศรีก็คงเอาเรื่อง และตอนนี้เธอก็คงติดคุกหัวโต ไป..รีบไปจากที่นี่ แล้วฉันจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เธอทำ”
สุดใจร้องไห้ออกมาอีก กวาดสายตามองบ้านจันทราด่า แล้วขู่ซ้ำ
“จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา บ้านหลังนี้ฉันก็เช่าให้เธออยู่ ไม่ใช่บ้านของเธอซักหน่อย เอาเงินนี่ไป ไปให้ไกลๆ ก่อนที่สามีคุณราศรีจะแจ้งตำรวจมาจับเธอ”
สุดใจเอื้อมมือมาหยิบเช็คใบนั้น ด้วยท่าทีลำบากใจ ทุกข์ใจเหลือแสน
ธิติรัตน์แวะมาหาธิดาที่บ้าน กำลังนั่งคุยกันเรื่องแต่งงาน ธิดาถามขึ้นอย่างกังวลและเป็นห่วง
“คิดดีแล้วหรือคะคุณชาย...เรื่องแต่งงานน่ะ”
“ครับพี่ดา ที่ผ่านมาผมทำให้คุณแม่ทุกข์ใจมาก ถึงตอนนี้อะไรที่ทำให้ท่านสบายใจได้ ผมพร้อมจะทำทุกอย่าง” ธิติรัตน์บอก
“แต่การแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตนะคะ คุณชายกับมาหยารัศมีไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน แล้วจะอยู่กันได้ยังไง?” ธิดาให้ข้อคิด
ธิติรัตน์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ผมไม่คาดหวังอะไรอีกแล้วล่ะครับพี่ดา ขนาดคนที่รักกัน..ยังทรยศกันได้ นับประสาอะไรกับคนไม่รู้จัก ถ้าจะแต่ง ผมก็แต่งๆ ไปอย่างนั้นล่ะครับ”
“ถ้าคุณชายคิดอย่างนี้ตั้งแต่แรก พี่ว่าคุณชายก็ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่เริ่ม และการแต่งงานของเธอ ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น” ธิดาแย้ง
“นอกจากคุณแม่กับพี่ดาแล้ว ผมไม่คิดจะสนใจผู้หญิงคนไหนในโลกแล้วละครับ ใครจะขึ้นสวรรค์ ตกนรกก็ช่าง เพราะสุดท้าย ผู้หญิง ที่บอบบาง อ่อนแอ บริสุทธิ์ ก็เป็นคนที่ทำร้ายผมอย่างเลือดเย็น” ธิติรัตน์อดนึกถึงดุจแขไม่ได้
“พี่เข้าใจคุณชายนะคะ...แต่อย่ามองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นเลย ผู้หญิงไม่ได้เลวร้ายทุกคน อย่างน้อยเว้นไว้คนหนึ่งก็ยังดี”
ธิติรัตน์หันมามองธิดาเป็นเชิงถาม ธิดายิ้มพลางบอก
“คุณชายลืมแรมไปแล้วหรือคะ”
“แรม...เดือนแรม”
ธิติรัตน์ทวนคำ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขานึกถึงชื่อนี้
เดือนแรมอยู่ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง วิ่งมาตามทางในซอยบ้านธิดาในมือของแรมถือ
กระดาษแผ่นหนึ่งมาด้วย ท่าทางของแรมมีความสุขมาก
เวลาเดียวกัน ธิดาเดินออกมากับธิติรัตน์ที่บริเวณหน้าบ้าน ธิดาเอ่ยขึ้น
“ตั้งแต่ที่บ้านมารับแรมไป นานๆพี่ถึงได้เจอแรมที เจอกันกี่ที่แรมก็เป็นเด็กดีขยันขันแข็งเหมือนเดิม”
“เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน ผมเอาใจช่วยให้แรมเป็นเด็กดีตลอดไป แล้วกัน” แวบหนึ่งธิติรัตน์นึกถึงดุจแขขึ้นมา
“พี่เชื่อว่าแรมจะไม่เปลี่ยนไป ไม่เชื่อคุณชายก็ไปดูเองแล้วกันที่ร้านเองแล้วกัน แรมทำงานพิเศษที่นั่นทุกวัน”
“แล้วผมจะหาเวลาแวะไป จะไปดูคนดี” น้ำสียงธิติรัตน์หยันนิดๆ “ที่ดีแตกหรือยังก็ไม่รู้ กลับก่อนนะครับพี่ดา ฝากความคิดถึงพี่หมอด้วย”
ธิติรัตน์ขับรถแล่นออกไป คลาดกับเดือนแรมที่วิ่งมาพอดี ธิดากำลังจะเดินเข้าบ้าน เดือนแรมร้องเรียก “พี่ดาคะพี่ดา”
“อ้าว!!แรม?.. ทำไมวันนี้มาถึงนี่ได้จ๊ะ”
เดือนแรมหอบเหนื่อยไม่หาย “ผลสอบออกแล้วค่ะ...แรม..แรมได้เอทุกวิชาเลย” ยื่นผลสอบให้
ธิดารับมาดู “โห แรมของพี่เก่งจัง”
“แรมฝากให้คุณชายดูด้วยนะคะ...คุณชายจะได้รู้ว่าเด็กที่คุณชายให้ทุนไม่เคยเกเรเลย เป็นเด็กดีของคุณชายด้วย” เดือนแรมย้ำ
“โธ่เอ๊ยแรม”
“ทำไมคะ?” เดือนแรมแปลกใจ
“คุณชายเพิ่งกลับไปเดี๋ยวนี้เองจ้ะ”
“คุณชายกลับจากอเมริกาแล้ว”
เดือนแรมอุทานออกมา น้ำเสียงมีทั้งความดีใจ ตื่นเต้น เสียดาย
คืนนั้นเดือนแรมเดินวนเวียนไปเวียนมาหน้าบ้าน เหลียวมองดวงจันทร์บนฟ้า
“เสียดายจัง...แรมน่าจะไปหาพี่ดาเร็วกว่านี้ แรมจะได้เจอคุณชาย”
เดือนแรมมองท้องฟ้าทอดถอนใจ จันทราขับรถเข้ามาจอดพอดี พลางบ่น
“ดีแค่ไหนแล้วนังสุดใจ ที่ฉันยังเมตตาแก ไม่อย่างนั้นบาทเดียวฉันก็ไม่ให้แถมยังจะปิดปากแกตลอดชีวิตอีก”
จันทราก้าวลงจากรถ จะเดินเข้าบ้าน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของราศรียืนอยู่
จันทราตกใจร้องสุดเสียง “ว้าย”
เดือนแรมงง เพราะตัวเองยืนอยู่ตรงนั้น รีบวิ่งออกมา
จันทราเนื้อตัวสั่น กวาดตามองไม่เห็นราศรี ถามขึ้นเสียงสั่น “เธอเองหรือแรม”
“แล้วคุณน้าคิดว่าใครคะ”
“จะใคร? ก็เธอน่ะสิ วันหลังค่ำๆ มืดๆ ไม่ต้องมายืนทะเร่อทะร่าขวางทางแบบนี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะจับเธอขังห้องมืด ให้ตายไปเลย”
พูดจบจันทราเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปข้างใน เดือนแรมหน้าซีดแค่ได้ยินคำว่าห้องมืดก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว
“อย่าค่ะคุณน้า แรมกลัว” เดือนแรมเข่าอ่อนจะเป็นลมกลัวมากๆ
คืนนั้นจันทราอาบน้ำเสร็จแล้ว แต่ท่าทางยังเหนื่อยล้า หน้าเครียดจนเมินถาม
“ไปไหนมาทั้งวันคุณ”
“เก็บค่าเช่าบ้านค่ะ” จันทราโกหก
เมินแปลกใจ “แล้วทำไมหน้าเครียดล่ะ ปกติเวลาไปเก็บเงิน หน้าคุณยิ้มจะตาย”
“เหนื่อยน่ะค่ะ วันนี้ร้อน รถก็ติดมาก”
“งั้นก็พักผ่อนเถอะ ..เดี๋ยวจะไม่สบาย” เมินล้มตัวลงนอน
“ค่ะ” จันทราบอกแล้วล้มลงนอนข้างสามี เมินดับโคมไฟที่หัวเตียง จันทรานอนลืม
ตาโพลง เคร่งเครียด กระสับกระส่าย จันทราคิดอยู่ในใจ
“ทำไมวันนี้เราเห็นนังแรมเป็นนังราศรีไปซะได้”
จันทราพลิกซ้ายทีขวาที ก่อนที่จะพลิกตัวตะแคงข้าง หันมาทางเมิน นัยน์ตาจันทราเบิกกว้าง รู้สึกเหมือนพื้นเตียงอีกข้างที่ว่างไหวยวบลง คล้ายกับมีคนคลานขึ้นมา จันทราหน้าซีด ค่อยๆ หันไปมอง แล้วหัวใจก็แทบหยุดเต้นเมื่อเห็น ราศรีกำลังคลานขึ้นมาบนเตียง ดวงหน้าซีดเผือดคล้ายคนตาย ใบหน้านั้นห่างจากตัวจันทราไม่ถึงคืบ
จันทราจะร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่ลืมตาโพลงมองราศรี
“เลิกโยนความผิดให้คนอื่นซักที...คุณนั่นแหละฆ่าฉัน คุณเป็นคนฆ่าฉัน” เสียงราศรีพร่าสั่น
จันทราปฏิเสธ “ไม่”
“ไม่ต้องปฏิเสธ” ราศรีเสียงเข้ม “คุณฆ่าฉันแบบนี้ไง”
ภาพมือของราศรียื่นมาตรงหน้าจันทรา แล้วกระชากสายออกซิเจนออกจากจมูกของตัวเอง ดวงตาคู่นั้นมองจันทรานิ่งแล้วเริ่มเหลือกลาน ดิ้นรน ราศรีหายใจไม่ออก ล้มลงขาดใจตายซบลงกับอกของจันทรานั่นเอง
จันทรากรีดร้องขึ้นมาสุดเสียง “อ๊าย...”
เมินสะดุ้งตื่น เปิดไฟหัวเตียง “เป็นอะไรจันทราๆ” เมินจับตัวจันทราเขย่า
จันทราสะดุ้งตื่นหันมองรอบข้างละล่ำละลัก “ฉัน...ฉันเห็น”
“เห็นอะไร”
“คุณราศรีมาที่นี่...เธอมาที่นี่” เขยิบตัวไปหาเมิน “...โอ..น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดเลย”
เมินกวาดตามอง “จะมาได้ยังไง เค้าตายไปตั้งนานแล้ว เธอแค่ฝันร้าย”
จันทราเริ่มได้สติ “ฝัน”
“ใช่! ฝันถึงคนร้ายกาจอย่างนั้น ไม่รู้เธอฝันเข้าไปได้ยังไง”
“ก็แล้วใครจะไปบังคับความฝันได้ล่ะคะคุณเมิน”
“ไม่รู้ วันหลังถ้าจะฝันถึงผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องมาเล่าให้ฉันฟังอีก”
เมินล้มตัวลงนอนหันหลังให้จันทราทันที
จันทราทำปากขมุบขมิบด่าเมิน กวาดตามองอย่างหวาดกลัว
จันทราคิดอยู่ในใจ “นังราศรีมันต้องรู้แน่ๆ ว่าเราให้คนเอาลูกมันไปทิ้ง” แล้วเสียงเข้มพูดเบาๆ เหมือนพูดกับราศรี “ช่าง ยังไงแกก็เป็นได้แค่วิญญาณ ไม่มีทางทำอะไรฉันได้หรอก”
จันทราพูดออกมาเหมือนไม่กลัว แต่สายตาหวาดหวั่นอยู่เหมือนกัน
เลิกเรียนวันนั้น เดือนแรมกำลังร้องเรียกแขกเข้าร้านอยู่
“รับประทานไอศกรีมมั้ยคะ ๆ ๆ”
ลูกค้าเดินเข้ามา เดือนแรมส่งต่อให้พนักงานพาไปที่โต๊ะ ผู้จัดการร้านเดินมา
“วันนี้มีประกวดมิสทีนแฟรี่ดอลลี่ ไม่ใช่เหรอแรม? ทำไมยังไม่ไปอีก”
“อีกเดี๋ยวค่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลย”
“ไปเถอะ จะได้เตรียมตัว ไม่งั้นได้วิ่งหัวฟูขึ้นเวทีแน่ ไป..ไปแต่งตัว พี่อนุญาตให้ไปก่อนเวลา”
“งั้นแรมไปก่อนนะคะ”
“จ้ะ...ขอให้ได้ตำแหน่งนะแรม”
“ขอบคุณค่ะ”
เดือนแรมวิ่งไปด้วยสีหน้าเบิกบาน
อ่านต่อหน้า 2
มาหยารัศมี ตอนที่ 2 (ต่ิอ)
การประกวด มิสทีนแฟรี่ ดอลลี่ จัดขึ้นในห้างสรรพสินค้าที่เดือนแรมทำงานอยู่ ป้ายประกวดเด่นหราอยู่บนเวทีภายในห้าง “MissTeen Fairy Dolly”
บรรดาผู้เข้าประกวด สาวน้อยวัยใส อายุไม่เกิน 18 ปี รวมทั้ง เดือนแรมใส่ชุดน่ารักๆ เต้นประกอบเพลง อยู่บนเวทีเดือนแรมร่วมอยู่ในนั้น แต่ดูสวย น่ารัก โดดเด่นมากกว่าใคร เหมือนตุ๊กตานางฟ้าจริงๆ
เจ๊กอไก่สาวประเภทสองร่างอ้วนบึกหอบกระเป๋าใบยักษ์ มองจ้องเดือนแรมไม่วางตา หันมาเมาท์มอยกับเพื่อนๆ
“เด็กคนนี้หน้าตาเซี๊ยะจริงๆ ฉันจะปั้น ปั้น ปั้น เด็กคนนี้จะต้องดังเปรี้ยงๆๆๆ”
เจ๊กอไก่มองเดือนแรมสีหน้าพึงพอใจ
บนเวทีการแสดงโชว์จบแล้วสาวน้อยที่ผ่านเข้ารอบยืนเรียงกันสิบคน
พิธีกรเดินเข้ามาที่ผู้เข้าประกวดยืนอยู่ “น้องๆของเรา สวยน่ารักสดใส เหมาะสมที่จะเป็นมิสทีนแฟรี่ ดอลลี่ ตุ๊กตานางฟ้า ของเราทุกคนเลยนะครับ แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นตัวแทนของเพื่อนๆ ทำหน้าที่เยาวชนคนเก่ง ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งผู้เข้ารอบห้าคนสุดท้ายได้แก่ หมายเลข 1 นางสาว อัญชลีพร แสงทอง”
เสียงกองเชียร์ร้องเฮ...สาวน้อยอัญชลีพรเดินออกมา
พิธีกรประกาศต่อ “หมายเลข 13 นางสาวเดือนแรม มณีกุล”
เดือนแรมดีใจเดินออกมา คราวนี้เสียงเฮดังมาก เจ๊กอไก่ตบมือออกหน้าออกตา พิธีกรดำเนินรายการต่อไป
ธิติรัตน์ขับรถมาจอดที่ลานจอดรถในห้าง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธิติรัตน์กดรับ “ครับพี่ดา”
ธิดาโทร.จากที่บ้าน “อยู่ไหนคะคุณชาย”
“มาซื้อของครับ...เลยจะแวะมาหาเด็กดีของพี่ดาซักหน่อย”
“พอดีเลย พี่ว่าจะวานคุณชายไปรับแรมมาทานข้าวเย็นด้วย จะเลี้ยงฉลองให้แกที่สอบได้เอทุกวิชาน่ะค่ะ”
สายตาธิติรัตน์อย่างทึ่ง “ได้เอทุกวิชา”
“ค่ะวันนั้นแรมเอาผลสอบมาให้พี่ดู คลาดกับคุณชายนิดเดียว ซื้อของแล้ว แวะรับแรมหน่อยนะคะ จะได้เซอร์ไพร้ส์แกด้วย”
ธิติรัตน์ยิ้มออกมา “เซอร์ไพร้ส์แน่ครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีไม่รู้แรมจะจำผมได้หรือเปล่า”
“แรมจำคุณชายได้แน่นอนค่ะ” ธิดาบอกอย่างมั่นใจ
ในเวลาเดียวกัน บนเวทีการประกวดยังดำเนินต่อไป พิธีกรเดินเข้ามาด้านหน้า พูดบิ้วท์อารมณ์ผู้ชมและผู้เข้าประกวดด้านหลังสุดๆ
“เวลาแห่งความตื่นเต้นใกล้เข้ามาถึงทุกที แต่ก่อนที่จะรู้ว่าใครจะเป็นคนได้ตำแหน่ง ขอเชิญคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติและคุณผู้ชมทุกท่าน ได้พบกับน้องๆ ที่เข้ารอบห้าคนสุดท้ายอีกครั้งครับ”
เสียงดนตรีท่วงทำนองเร้าใจฮึกเหิมดังกระหึ่ม สาวน้อยทั้งห้าคนในชุดเกาะอกเซ็กซี่ แต่ออกแนวน่ารัก เหมือนตุ๊กตานางฟ้าลอยละล่อง เต้นตามจังหวะเสียงเพลงออกมา ผู้คนกรี๊ดกร๊าดเชียร์กันออกหน้าออกตา ผู้เข้ารอบแต่ละคนเดินออกมาส่งจูบ โบกมือทักทาย เรียกคะแนน ธิติรัตน์เดินผ่านมามองแล้วก็มองอย่างดูแคลน
“แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาเรียน เด็กสมัยนี้คิดได้แค่นี้จริงๆ”
ธิติรัตน์มองไปบนเวที แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเดือนแรมเพราะแต่งหน้าเข้ม แต่เดือนแรมที่อยู่บนเวทีมองเห็นธิติรัตน์เต็มตา
เดือนแรมพึมพำออกมาอย่างดีใจ “คุณชายธิติรัตน์”
เดือนแรมหยุดชะงักเพื่อนที่เต้นตามมา ชนข้างหลังอย่างกะทันหัน จนเดือนแรมล้มลง
“ว้าย”
และในจังหวะที่เดือนแรมยันตัวคุกเข่าขึ้นมานั้น เนินอกของเดือนแรมโผล่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ช่างภาพ และนักข่าวทุกคนฮือฮา ช่างภาพกดรัวชัตเตอร์กันระวิง
ธิติรัตน์มองอย่างดูถูกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสะบัดหน้าเดินไปไม่สนใจ เพื่อนผู้เข้าประกวดเข้ามาประคองเดือนแรมลุกขึ้น เดือนแรมมองไปที่ธิติรัตน์ยืนอยู่ ตาราชนิกูลรูปงามหล่อเด้ง หายไปแล้ว
พิธีกรรีบพูดแก้สถานการณ์
“ตุ๊กตานางฟ้าหกล้ม เป็นหนึ่งในโชว์นะครับ...ที่แสดงให้เห็นความรัก ความสามัคคีที่เราควรมีให้แก่กัน”
จากนั้นการแสดงบนเวทีดำเนินต่อ แต่เดือนแรมยังชะเง้อชะแง้มองหาธิติรัตน์ ไม่มีสมาธิในการโชว์ จนเจ๊กอไก่พึมพำ
“ชวดตำแหน่งแน่ๆ นังหนูเอ๊ย”
ธิติรัตน์ถือข้าวของพะรุงพะรัง ที่เพิ่งไปซื้อมา เพื่อฝากเดือนแรม เดินไปมองที่หน้าร้านไอศกรีม
ผู้จัดการร้านรีบเดินเข้ามา “รับไอศกรีมมั้ยคะ”
“เอ่อครับ...เอาไอศกรีมเค้กหนึ่งก้อน รสอะไรก็ได้”
“ได้ค่ะ...แล้วรับอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ”
ธิติรัตน์ตัดสินถาม “แรมครับ..ผมมาหาแรม”
ผู้จัดการร้านอมยิ้ม “วันนี้แรมลาค่ะ...จะให้บอกมั้ยคะว่าใครมาหา”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมค่อยมาหาใหม่ก็ได้” สีหน้าธิติรัตน์ผิดหวังนิดๆ
“งั้นกรุณารอสักครู่ค่ะ” ผู้จัดการเดินเข้าไปที่ตู้ไอศกรีม
ธิติรัตน์เดินเกร่อยู่แถวนั้นรอไอศกรีม เห็นพนักงานขยันขันแข็ง มีรอยยิ้มน่ารัก ธิติรัตน์ยิ้มออกมา
“เดือนแรมของฉันต้องขยันแล้วก็น่ารักอย่างเด็กพวกนี้สิ ไม่ใช่เอาแต่ขายรูปร่างหน้าตาอย่างเด็กพวกนั้น”
ครู่ต่อมาผู้จัดการเดินมาพร้อมถุงไอศกรีม “ได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ธิติรัตน์ยื่นเงินให้แบงค์พัน “ไม่ต้องทอน ผมให้รางวัลน้องๆ”
“ขอบคุณค่ะ” ผู้จัดการยกมือไหว้ยิ้มแย้ม
ขณะที่ธิติรัตน์หันหลังกลับ เป็นจังหวะกับที่เดือนแรมซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่หน้าตายังไม่ได้ล้างวิ่งเข้ามาพอดี สองคนชนกันโครม เดือนแรมร้องเสียงหลง
“ว้าย”
เดือนแรมล้มลงไป กล่องไอศกรีมเค้กของธิติรัตน์หล่นจากมือแล้ว เดือนแรมคว้ากล่องเค้กไว้ก่อนจะร่วงลงพื้น ธิติรัตน์พยุงร่างเดือนแรมไว้
เดือนแรมยื่นกล่องเค้กให้ “ขอโทษค่ะ นี่ของคุณ”
“ขอบใจ...แล้วเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ธิติรัตน์พูดขอบคุณแล้วมองหน้า
สองคนมองหน้ากัน เดือนแรมมองอย่างตะลึง ตื่นเต้นพูดไม่ออก ธิติรัตน์จำได้
“เธอที่ล้มบนเวที”
ยังไม่ทันที่เดือนแรมจะพูดอะไร ผู้จัดการก็เดินเข้ามา “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ธิติรัตน์มองสีหน้าไม่พอใจ “ไม่เป็นไรครับ” ทำท่าจะเดินไป
ผู้จัดการรีบเรียกไว้ “คุณคะ..คุณ”
ธิติรัตน์หันมา ไม่สนใจมองเดือนแรมสักนิด “มีอะไรครับ”
“คุณจะมาหาแรมไม่ใช่เหรอคะ?” ธิติรัตน์งง “นี่ไงคะแรม” ผู้จัดการบอก
ธิติรัตน์ตะลึง คาดไม่ถึง คิดในใจไม่อยากให้ใช่ “แรม...เดือนแรม”
“ค่ะคุณชาย....แรมเอง....เดือนแรมของคุณชายค่ะ”
เดือนแรมบอกอย่างดีใจ แต่แววตาที่ธิติรัตน์มองมา กลับมีแต่ความผิดหวัง!
ธิติรัตน์เดินลิ่วออกมาตามทางในห้าง อย่างไม่ชอบใจ ผิดหวังในตัวเดือนแรมมาก เดือนแรมวิ่งตามมาอย่างงวยงง เดือนแรมวิ่งมาจนทัน ขวางหน้าเอาไว้
“คุณชายจะไปไหนคะ? ไหนว่าจะมาหาแรม แล้วทำไม...ไม่เห็นคุณชายจะพูดอะไรกับแรมเลยซักคำ?”
ธิติรัตน์มองมาหน้าดุ ถามเสียงเข้ม เน้นคำ “แน่ใจนะ ว่าเธออยากฟังสิ่งที่ฉันจะพูด”
เดือนแรมมอง สีหน้าตื่นเต้นดีใจ “ค่ะ...แรมอยากฟัง”
ธิติรัตน์เสียงเข้มมากกว่าเดิม “นับตั้งแต่วันนี้ เธอกับฉันไม่รู้จักกัน”
เดือนแรมแทบช็อก รู้สึกตกใจมาก “คุณชาย”
ธิติรัตน์มองจ้องหน้าเดือนแรม ขวางตาเข้าไปใหญ่ เดินลิ่วออกไป เดือนแรมรีบวิ่งตามอย่างตกใจ
ที่ด้านหลัง เจ๊กอไก่กับเพื่อนวิ่งตามเดือนแรมมาใกล้จะถึงแล้ว แต่เห็นเดือนแรมวิ่งไปอีก
เจ๊กอไก่ยืนหอบ ยกมือกุมขมับบ่นอุบ
“โอ๊ย!!จะวิ่งผลัดสี่คูณร้อยกันหรือไง? เจ๊กอไก่ตามไม่ทันแล้ว”
ปากบ่นไปแต่เจ๊กอไก่วิ่งตามสู้ตาย
ดุจแขกับจารุณีหิ้วของพะรุงพะรังเดินมาที่ลานจอดรถหน้าห้าง จารุณีบอกดุจแข
“ฉันว่า แทนที่เธอจะซื้อของเป็นบ้าหอบฟางอย่างนี้ เธอหาแฟนใหม่ซักคนดีกว่าจะได้ไม่เครียด”
“คนเดียวที่ฉันต้องการคือคุณชาย! แต่ไม่ว่าฉันจะติดต่อยังไง เค้าก็ไม่ติดต่อฉันกลับมาเลย” ดุจแขหน้าหมองลง
จังหวะนั้นจารุณีมองไปข้างหน้า สีหน้าเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“เค้าจะติดต่อเธอได้ยังไง?” จารุณีเอ่ยขึ้นตามองอยู่อย่างนั้น
“ทำไมจะติดต่อไม่ได้? ก็คุณชายรักฉัน หลงฉัน” ดุจแขมั่นในในเสน่ห์ของตน
“แต่ตอนนี้ คุณชายอาจจะรักคนใหม่ หลงคนใหม่ ที่เค้าใสปิ๊งมากกว่าเธอ” จารุณีบอก
ดุจแขมองตามจารุณีอย่างสงสัย แล้วดุจแขก็เห็นเดือนแรมวิ่งตามมาคว้าแขนธิติรัตน์เอาไว้ ดุจแขมองเขม็งจำได้
ดุจแขพึมพำ “เด็กคนนั้น”
เดือนแรมละล่ำละลักอ้อนวอนธิติรัตน์อย่างน่าสงสาร
“ไม่นะคะคุณชาย...เราจะไม่รู้จักกันได้ยังไง ในเมื่อแรมรอคอยคุณชายทุกวัน แรมเขียนจดหมายหาคุณชายทุกวัน”
“แต่เดือนแรมที่ฉันรู้จัก...” ธิติรัตน์กวาดตามองทั่วตัวสีหน้าเหยียดหยาม “ไม่ใช่แบบนี้”
พูดจบธิติรัตน์ก็ปลดมือเดือนแรมออกเดินขึ้นรถทันที เดือนแรมวิ่งตามรถคุณชายที่ขับแล่นออกไป ดุจแขยืนนิ่ง ดวงตายิ้มอย่างมีความหวัง
อีกฝั่งตรงข้ามเวลาเดียวกันนั้นเพ็ญประกายกับชุติมายืนอยู่ เห็นเหตุการณ์ระหว่างธิติรัตน์และเดือนแรม ชุติมาถามแทบจะเป็นลม
“พี่ไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ยคะคุณเพ็ญ...นั่นยัยแรมกับคุณชายธิติรัตน์”
เพ็ญประกายก็งงๆ อึ้งๆ เหมือนกัน “ค่ะ..แรมกับคุณชายธิติรัตน์”
ชุติมายิ่งคิดยิ่งแค้น “หื้อ!บอกว่าทำงานพิเศษกลับดึก ที่แท้ก็ออกมาล่อผู้ชาย พี่จะไปฟ้องคุณน้า”
ชุติมาหันหลังกลับจะตรงไปที่รถ ในจังหวะที่เจ๊กอไก่กับเพื่อนวิ่งออกมา สองคนชนเข้ากับชุติมาและเพ็ญประกาย ทั้งสี่คนล้มกันระเนระนาดไป คนละทาง พอตั้งหลักได้เจ๊กอไก่ละล่ำละลักบอก
“ขอโทษค่ะขอโทษ..พอดีรีบตามคน” เจ๊กอไก่มองไปทางที่เดือนแรมวิ่งไป
เพ็ญประกายมองตาม เห็นเป็นเดือนแรมจึงสงสัย “ตามใครคะ”
“ดาราค่ะ จะตามเด็กคนนั้นมาเป็นดารา”
ชุติมาหันขวับ เห็นเป็นเดือนแรมก็ร้องออกมาอย่างริษยา “ยัยแรมน่ะเหรอจะเป็นดารา”
มืดค่ำแล้ว รถธิติรัตน์กำลังจะวิ่งออกไปถนนใหญ่ ส่วนด้านหลังเดือนแรมยังคงวิ่งตามมา ปากร้องตะโกนเรียกไม่หยุด
“คุณชายคะคุณชาย”
ธิติรัตน์ไม่ยอมหยุด ไม่สนใจ เดือนแรมวิ่งตามจนลืมมองรถอีกคันที่กำลังขับเข้าห้าง เป็นแม้นเทพนั่นเองที่ขับรถเข้ามา แต่ต้องเบรกเอี๊ยดเสียงดังก้อง เดือนแรมตกใจหยุดอยู่ตรงนั้น ช็อกคาที่ แม้นเทพรีบเปิดประตูรถลงมาหาทันที
“จะไปไหนแรม? ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
เดือนแรมพูดไม่ออก ทำหน้าตาเลิ่กลั่กตกใจ สายตามองตามรถธิติรัตน์อยู่อย่างนั้น รถคันหลังบีบแตรไล่แล้ว เสียงระงม
แม้นเทพคว้ามือเดือนแรมสั่งเสียงเข้ม “ขึ้นรถ”
จังหวะนั้นธิติรัตน์มองเดือนแรมจากกระจกเห็นแม้นเทพจับมือแรมพาขึ้นรถ
ธิติรัตน์มองเหยียด “ผู้หญิง ใจง่ายเหมือนกันทุกคน”
ราชนิกูลกนุ่มตวัดสายตามองถนน ไม่สนใจมองเดือนแรมอีกเลย
ส่วนแม้นเทพขับรถมาตามทาง เห็นชัดว่าเดือนแรมนั่งกระสับกระส่ายท่าทางไม่สบายใจ แม้นเทพชะลอความเร็ว แล้วจอดรถข้างทาง
“มีอะไรหรือแรม ตะกี้ก็วิ่งทะเล่อทะล่าแทบถูกรถชน”
“เปล่าค่ะ”
“แรมเห็นพี่เป็นพี่หรือเปล่า?” แม้นเทพเสียงขุ่น
“เห็นค่ะ แต่แรมไม่รู้จะบอกพี่ต้อมยังไง”
“งั้นตะกี้แรมวิ่งตามใคร?” เดือนแรมเงียบอยู่ แม้นเทพถามซ้ำอีก “ว่าไงตะกี้แรมวิ่งตามใคร”
เดือนแรมค่อยๆ บอกออกมา “คุณชายธิติรัตน์ค่ะ”
แม้นเทพตะลึง ขณะที่เดือนแรมบอกต่อ
“ขอโทษนะคะพี่ต้อม เดี๋ยวแรมกลับเองค่ะ”
เดือนแรมเปิดประตูลงจากรถอย่างรวดเร็ว แม้นเทพงง ร้องตาม “แรมจะไปไหนแรม?”
เดือนแรมไม่ยอมตอบ แต่โบกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่วิ่งมาพอดี วิ่งขึ้นบอก รถแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว แม้นเทพมองตามฉงนปนเซ็ง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารบ้านธิดาสุดกร่อย อาหารวางอยู่อย่างมากมาย แต่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกินไม่ลง แน่นอนว่าสามคนเห็นไม่ตรงกันเรื่องเดือนแรม
“พี่ไม่เห็นแรมจะทำอะไรเสียหายเลย...ก็แค่ประกวด” ธิดาว่า
“ถ้าประกวดความสามารถทางวิชาการผมไม่ว่าหรอกนี่ทำอะไรไม่รู้ไร้สาระ” ธิติรัตน์ไม่พอใจเอามากๆ
ธิดางง รีบแก้ต่างแทน “ไร้สาระตรงไหน? แรมก็ยังเรียนเก่งเหมือนเดิม”
พลางธิดาหยิบใบเกรดของเดือนแรมยื่นให้ ธิติรัตน์เหล่ตามอง
“จะเหล่ทำไมให้ตาเหล่ รับไปดูหน่อยเถอะค่ะ”
ธิติรัตน์รับไปดู เห็นเกรด A ทุกวิชา นั่นเองสีหน้าถึงดีขึ้น
“พี่ว่าที่สาวๆ เค้าขึ้นเวทีประกวด เพราะเค้าเห็นเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง” หมอเกรียงเสริมขึ้น
“กิจกรรมล่อเสือล่อตะเข้ หรือไม่ก็สะพานข้ามดาวน่ะหรือครับ” ธิติรัตน์เยาะหยัน
“พี่ไม่อยากให้คุณชายเหมารวมอย่างนี้เลยค่ะ ฟังแล้วเหมือนดูถูกผู้หญิง” ธิดาแย้ง
แต่ธิติรัตน์ยังกวนอยู่อย่างเดิม “ก็ดีกว่าดูผิดไม่ใช่เหรอครับพี่ดา ผมไม่คุยเรื่องนี้ดีกว่า แต่ต่อไปพี่ดาไม่ต้องพูดถึงเด็กคนนั้นให้ผมฟังอีก เพราะนับจากวันนี้ผมกับเค้าไม่มีอะไรต้องเกี่ยวกัน กลับก่อนนะครับ”
ธิติรัตน์ยกมือไหว้แล้วลุกขึ้นเดินออกไป ทิ้งข้าวของที่ซื้อมาอยู่ตรงนั้น ธิดามอง
“คุณชายพาลจริงๆ ดูซิ..ไม่รู้โกรธอะไร? ลืมข้าวของหมดเลย”
ธิดาว่าพลางหยิบถุงหลายถุงตามคุณชายไป แต่เหลืออยู่อีกถุงหนึ่ง
ธิติรัตน์ขับรถออกไป เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างปาดหน้ามาจอดที่หน้าบ้าน คุณชายโมโห เปิดประตูลงไป แล้วก็โกรธหนักที่เห็นเป็นเดือนแรม
“สวัสดีอีกครั้งแล้วก็ขอโทษค่ะคุณชาย”
เดือนแรมรีบควักเงินให้คนขับ รถมอเตอร์ไซค์ออกไปทันที เดือนแรมมองธิติรัตน์หน้าตาเจี๋ยมเจี้ยม
ธิติรัตน์มองสายตาเข้ม เสียงดุ “นี่เธอกล้าตามฉันมาถึงนี่เลยหรือเดือนแรม?”
“แรมไม่ได้ตามค่ะ ตอนแรกแรมตั้งใจมาหาพี่ดา...แต่พอเห็นคุณชายอยู่ที่นี่ แรมดีใจมากค่ะ” เดือนแรมยิ้มให้ มองอย่างเทิดทูนเหมื่อนเคย
ธิติรัตน์พาลแล้ว มองพลางพูดตำหนิ “เป็นผู้หญิง พูดอย่างนี้ออกมาได้ยังไง หน้าไม่อาย”
เดือนแรมงงหนัก “ก็แล้วทำไมแรมต้องอายด้วยคะ..ก็แรมดีใจจริงๆนี่ที่เจอคุณชาย...แรมกลัวคุณชายโกรธ แต่แรมก็ไม่เข้าใจ คุณชายโกรธแรมเรื่องอะไร แรมเลยจะมาปรึกษาพี่ดา”
“ไม่ต้องอ้างอะไรทั้งนั้น กลับไปเลย ไป” ธิติรัตน์พาลพาโลจับตัวเดือนแรม ดันให้กลับไป
ธิดาเห็นเหตุการณ์แต่ไกล เดินแกมวิ่งออกมา “อย่าเพิ่งกลับค่ะ คุณชายลืมของ” เห็นเป็นเดือนแรม “อ้าว แรม”
“สวัสดีค่ะพี่ดา”
“เข้าไปทานข้าวด้วยกันจ้ะ พี่ซื้อของมาเลี้ยงฉลองให้แรมเยอะแยะเลย” ธิดายิ้มให้
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ดา เค้าจะกลับแล้ว” ธิติรัตน์บอก
เดือนแรมงวยงง “แรมเพิ่งมาค่ะ”
ธิติรัตน์เสียงดุอีก “เธอกำลังจะกลับ”
เดือนแรมงงอีก บอกเสียงอ่อยๆ คำเดิม “แรมเพิ่งมาค่ะ”
ธิดาเห็นแล้วขำ ตัดสินใจห้ามทัพ “ไม่ต้องเถียงกัน เข้าไปทานข้าวด้วยกันค่ะ ตะกี้คุณชายก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย มะแรม” คว้ามือเดือนแรม “ป่ะคุณชาย” คว้ามือธิติรัตน์พาเข้าข้างใน
เดือนแรมดีใจ ส่วนธิติรัตน์หน้าบึ้งตึง
ขณะที่หมอเกรียงนั่งทานข้าวอยู่นั้น สายตาเหลือบไปเห็นถุงอีกถุงวางอยู่
“ว่าแต่คุณชาย...ตัวเองก็ลืมไม่แพ้กันนั่นแหละ”
หมอเกรียงยิ้มอย่างเอ็นดูภรรยา เดินถือถุงออกไป เป็นจังหวะเดียวกับธิดาพาธิติรัตน์และเดือนแรมเข้ามาพอดี ธิดากับเกรียงชนกัน ถุงในมือหมอเกรียงหล่น
ธิดาร้อง “อุ้ย”
“พี่ขอโทษจ้ะ...จะเอาของไปให้ คุณชายลืมไว้อีกถุง”
ทุกคนก้มลงไปมอง เห็นกล่องปากกาหรูพร้อมการ์ดสีชมพูสลับขาวตกพื้น
ธิดาหยิบการ์ดขึ้นมาเห็น “อ้าว นี่คุณชายตั้งใจซื้อให้แรมนี่”
ธิติรัตน์รีบปฏิเสธ “ไม่นะครับ ไม่ใช่”
“ทำไมจะไม่ใช่คะ? ก็คุณชายเขียน... ‘สำหรับเดือนแรม เด็กดีของฉันเป็นรางวัลที่เธอเรียนเก่ง ตั้งใจเรียนแทนฉันด้วยนะคนดี...ธิติรัตน์”
เดือนแรมยิ้มกว้าง ดีใจ ในขณะที่ธิติรัตน์หน้าดำหน้าแดง ทั้งโกรธทั้งอาย ธิดาอมยิ้มบอกอ้อมแอ้ม
“พี่ไม่ได้ตั้งใจอ่านนะคะ แต่พอคุณชายบอกว่าไม่ใช่...พี่ก็เลยต้องอ่านจะได้ยืนยันว่าตาพี่ยังไม่ได้ฝ้าฟาง”
เดือนแรมยกมือไหว้ “ขอบคุณคุณชายมากค่ะ”
“ใครบอกว่าฉันให้เธอ”
ธิติรัตน์ยื่นมือมาจะคว้าของคืน แต่ธิดาจงใจยื่นใหเดือนแรมซะก่อน เดือนแรมคว้าหมับยิ้มดีใจ
“ก็นี่ไงคะ..คุณชายเขียนว่า...ให้แรม เด็กดีของฉัน” เดือนแรมยิ้มแป้น
เดือนแรมหน้าหงิก “ผมกลับดีกว่าครับ”
“แรมกลับด้วยค่ะ”
“ตกลงไม่มีใครทานข้าวเลย โอเคจ้ะ งั้นพี่ฝากคุณชายไปส่งแรมที่บ้านด้วยแล้วกัน” ธิดาบอก
“ผมไม่ว่าง ต้องไปธุระต่อ”
“แรมขอลงปากซอยก็ได้ค่ะ”
“ฉันจะไปธุระ”
“ก็แรมบอกแล้วไงคะ ว่าขอลงแค่ปากซอย ให้แรมติดรถไปด้วยนะคุณชาย” ธิดาพูดขึ้นขำๆ
ธิติรัตน์มองเดือนแรมตาขวาง แต่เดือนแรมยิ้มร่า ธิติรัตน์เดินออกไปอย่างหงุดหงิด เดือนแรมวิ่งตาม
ธิดามองตามยิ้มๆ “เรื่องประกวดแค่นี้ ทำไมคุณชายถึงได้โกรธแรมเป็นจริงเป็นจังมาก”
“ก็คงเหมือนที่ดาเคยถามพี่..ชอบมองผู้หญิงแต่งตัวเซ็กซี่ๆหรือเปล่า..พี่ชอบ..แต่ไม่ชอบให้ดาใส่” หมอเกรียงยิ้มๆ “พี่ว่าพี่เข้าใจคุณชายนะ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับแรมคะ? ในเมื่อแรมไม่ใช่แฟนคุณชายซักหน่อย ถ้าใช่ก็ว่าไปอย่าง...หรือพี่หมอว่าไง?”
“มันก็จริง”
สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนยิ้มขำไม่เข้าใจ
ด้านธิติรัตน์ขับรถมาตามทาง หน้าตาบึ้งตึง ส่วนเดือนแรมนั่งมองของขวัญดีใจใหญ่
“ปากกาสวยจัง ต้องเขียนดีแน่ๆ เลย แรมจะเอาไปจดเล็คเชอร์ทุกวันเลยค่ะ”
ธิติรัตน์เงียบ แรมมองคุณชายยิ้ม พูดต่อ
“การ์ดก็สวย คุณชายรู้ได้ยังไงคะว่าแรมชอบสีชมพู...” ทำท่านึกได้ “ใช่..ผ้าพันคอที่แรมถักให้คุณชาย เป็นสีชมพูสลับขาว...”
ธิติรัตน์เงียบอีก เดือนแรมยิ้มถามต่อ
“คุณชายยังใช้ผ้าพันคอที่แรมให้หรือเปล่าคะ”
ธิติรัตน์เบรกรถดังเอี๊ยด เดือนแรมหัวคะมำ ร้องเบาๆ
“อูยย”
“เลิกพูดได้หรือยัง”
เดือนแรมคลำหน้าผากป้อยๆ “ค่ะ”
“ค่ะ..แล้วนั่งอยู่ทำไม? ลงไป” ธิติรัตน์ตวาด
เดือนแรมเหวอไป “แรมขอโทษค่ะ ที่พูดมากจนคุณชายรำคาญ แรมนั่งเงียบๆ ก็ได้ค่ะ” เดือนแรมรีบเอามืออุดปากตัวเอง
“ยังไงเธอก็ต้องลงไป”
เดือนแรมพูดอู้อี้เอามือปิดปากอยู่ “ก็แรมไม่พูดแล้วนี่คะ”
“พูด หรือไม่พูดก็ต้องลงไป นี่เลยปากซอยมาตั้งหลายกิโลแล้วนะ”
เดือนแรมเหวอไปใหญ่มองงงๆ ธิติรัตน์มองดุ เป็นเชิงบอกให้ลงไปได้แล้ว
“คุณชายจะให้แรมลงจริงๆ หรือคะ?” สีหน้างงอยู่
“ใช่” เสียงเข้ม
“งั้น..แรมลงก็ได้ค่ะ” เปิดประตูรถพลางหันมาบอก “แรมไม่รู้ว่าคุณชายโกรธแรมเรื่องอะไร แต่ยังไงแรมก็เป็นเด็กดีของคุณชาย” ลงไปแล้วยื่นหน้ามาบอกอีกพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณมากค่ะสำหรับของขวัญ แรมจะเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุดเลยค่ะ”
“ไปได้แล้ว...พูดมากจริงๆ เลยเธอ” น้ำเสียงอ่อนลง
เดือนแรมเดินไป ธิติรัตน์ยืน จนเห็นเดือนแรมขึ้นรถเมล์กลับไปแล้ว ธิติรัตน์จึงค่อยๆ ขับ
รถตามแบบเป็นห่วงอยู่ดี
บนรถเมล์คันนั้น เดือนแรมนั่งมองกล่องของขวัญด้วยความปลื้มใจ รถเมล์จอดป้ายรับผู้โดยสาร เป็นสุดใจหิ้วกระเป๋าเดินทางหน้าตาหมองคล้ำเดินขึ้นมาในรถ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นราศรีนั่งอยู่ ที่เดียวกับที่เดือนแรมนั่งนั่นเอง
“คุณ...”
สุดใจพูดได้แค่นั้น ก็ทำท่าจะเป็นลม เดือนแรมปราดเข้าไปประคอง
“คุณป้าคะคุณป้า...” เดือนแรมหันไปบอกคนขับรถ “คนเป็นลมค่ะ”
ผู้คนในรถ ต่างหายาดมให้อย่างมีน้ำใจ เดือนแรมเอ่ยขึ้น “จอดโรงพยาบาลให้ด้วยนะคะ”
สุดใจหลับตาพูดแทบไม่มีแรง “ไหว..ฉันไหว”
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น “นี่พี่สุดใจนี่... ฉันรู้จักบ้านเค้า”
“จอดด้วยค่ะจอดด้วย” เดือนแรมร้องบอกคนขับรถ
รถเมล์เบนรถจอดที่ข้างทาง
เดือนแรมกับชาวบ้านช่วยกันประคองสุดใจลงมาจากรถเมล์ ธิติรัตน์ที่ขับรถตามหลังมามอง
อย่างงงๆ สนใจ แกมเป็นห่วง ตัดสินใจจอดรถ
“มีอะไรเดือนแรม?”
เดือนแรมชะงัก ดีใจ “มีคนเป็นลมค่ะคุณชาย..แรมจะพาป้าเค้าไปส่งบ้าน”
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
ธิติรัตน์ประคองสุดใจกับเดือนแรม และชาวบ้านอีกคน พากันขึ้นรถไป
สุดใจนอนอยู่ในบ้านแล้ว เดือนแรมเช็ดหน้าเช็ดตาให้ หันมาทางธิติรัตน์บอกอย่างซาบซึ้ง
“คุณชายช่วยแรมอีกแล้ว”
ธิติรัตน์บอกเสียงห้วน “ทางกลับบ้านฉันพอดี...แล้วนี่ป้าเค้าไม่เป็นไรแน่นะ”
“แรมก็ไม่ทราบค่ะ คืนนี้เลยว่าจะอยู่ดูป้าแก”
“มีอะไรโทรฯหาพี่หมอ”
“ค่ะ”
สองคนต่างเงียบ มองจ้องหน้ากัน เดือนแรมมองธิติรัตน์แล้วถามขึ้นมา
“คุณชาย...ง่วงหรือยังคะ? ถ้าง่วงเดี๋ยวแรมหาที่นอนให้”
“บ้านเธอรึไง?”
“เปล่าค่ะไม่ใช่บ้านแรม แต่แรมเกรงใจ กลัวคุณชายไม่สบาย”
“ก็แล้วใครบอกฉันจะอยู่ที่นี่ หรือ เธออยากให้ฉันอยู่?”
เดือนแรมยิ้ม พูดพาซื่อ “ค่ะแรมอยากให้คุณชายอยู่”
คุณชายราชนิกูล หงุดหงิดนักกับคำตอบ “เธอนี่จริงๆเลยเดือนแรม...จะยั่วผู้ชายไปถึงไหน”
“แรมไม่ได้ยั่วค่ะ แต่พอคุณชายอยู่ด้วย แรมรู้สึกอุ่นใจ”
ธิติรัตน์เยาะ “มารยาผู้หญิง เสียใจด้วย ที่ฉันไม่ตกหลุมพรางตื้นๆ ของเธอ มีแต่จะดูถูก พวกผู้หญิงที่ทำตัวแบบนี้ ฉันเรียกว่าสิ้นคิด”
ธิติรัตน์พูดจบก็เดินออกไป เดือนแรมยืนเซ่อไปทันที
“ทำไมคุณชายถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
เดือนแรมได้แต่ถามตัวเองอย่างงวยงง
ธิติรัตน์ขับรถมาด้วยอาการเกรี้ยวกราด อารมณ์เสีย ภาพความหลังกับดุขแขตามหลอกหลอน
ดวงตาธิติรัตน์ขื่นขมเจ็บช้ำ ไม่ได้รักแล้วแต่ยังไม่ลืมไม่ลง
อ่านต่อหน้า 3
มาหยารัศมี ตอนที่ 2 (ต่ิอ)
ค่ำคืนนั้น สุดใจนอนนิ่งอยู่ในบ้าน เดือนแรมอยู่ดูแล กำลังเอามือแตะหน้าผากดูอาการ พอเห็นสุดใจผ่อนลมหายใจนอนหลับสนิทแล้ว เดือนแรมจึงลุกออกมานั่งที่มุมห้อง หยิบการ์ดกับปากกาที่ธิติรัตน์ให้ ขึ้นมามอง ยิ้มกว้างอย่างชื่นใจ แล้วสีหน้าเศร้าลง นึกสงสัย จึงหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความส่งหาธิดา
“พี่ดาคะ...ท่าทางคุณชายไม่ค่อยสบาย แรมฝากพี่ดาบอกคุณชายดูแลตัวเองด้วยนะคะ แรมเป็นห่วงคุณชาย...ผู้มีพระคุณของแรมค่ะ”
เวลาเดียวกัน เมินออกมายืนรอเดือนแรมอยู่ที่หน้าบ้าน ลึกๆ ในใจเป็นห่วงแต่ทำทีเป็นเดินเล่น เพ็ญประกายเดินออกมาเห็นจึงถามขึ้น
“ดึกแล้ว คุณพ่อยังไม่นอนอีกหรือคะ”
“พ่อยังไม่ง่วง...” เมินบอก
“งั้นเพ็ญไปนอนก่อนนะคะ”
“จ้ะ” เพ็ญประกายเดินไป เมินเรียกไว้ “เดี๋ยวเพ็ญ” เพ็ญประกายหันกลับมา เมินถาม “แรมกลับมาหรือยัง?”
“ยังเลยค่ะ แต่น้องโทร.มาบอกแล้ว ว่าติดธุระ คุณพ่อไม่ต้องห่วง”
เมินพยักหน้า เพ็ญประกายเดินเข้าไปในบ้าน
จันทรายืนอยู่อีกมุม มองอย่างหมั่นไส้ แล้วเดินไปหา ยื่นยาพร้อมแก้วน้ำให้ “ยาค่ะ”
เมินทำหน้าเบื่อ “ผมไม่อยากกิน”
“ต้องกินค่ะ..ไม่งั้นซักวัน คุณเมินต้องเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกแน่”
เมินรับยาไปกิน ต่างคนต่างนิ่ง สายตาเมินพร่าๆ เหมือนคนกินยากล่อมประสาท
“ห่วงแรมหรือคะ” จันทราถามหยั่งเชิง
เมินทำเสียงแข็งขึ้นมา “ห่วงทำไม ลูกชู้”
จันทราหัวเราะ หยันนิดๆ “ถ้าไม่ห่วง งั้นคุณเมินก็คงจะกำลังนึกถึงความหลัง...อันหวานฉ่ำของคุณราศีกับชู้ ที่เกิดขึ้นที่นี่”
ดวงตาเมินแข็งกร้าวขึ้นมาเหมือนโกรธเอามาก ภาพความหลังในอดีตผุดขึ้นมาในความคิด
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนกลางวัน ขณะที่เมินนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ จันทราอยู่ในชุดพนักงานเดินเข้ามา เมินมองไม่พอใจ
“คุณมาที่นี่ทำไม?”
“เห็นคุณเมินไม่เข้าออฟฟิศ จันทร์เป็นห่วง กลัวไม่สบาย เลยซื้อของมาเยี่ยม”
“กลับไปได้แล้ว แล้ววันหลังไม่ต้องมาอีก”
จันทราออดอ้อนเสียงหวาน “แต่จันทร์เป็นเมียคุณ”
“ฉันบอกแล้วไง ว่าเรื่องของเธอกับฉัน มันคือความผิดพลาด” น้ำเสียงกร้าวแข็ง
“แต่จันทร์รักคุณเมิน” จันทราผวาเข้ามากอด “รักมาก....มากจนยอม..ยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งให้คนตราหน้าว่าเมียเก็บ เมียน้อย”
เมินอ่อนลง มองอย่างเห็นใจ “ฉันขอโทษ แต่เรื่องของเรา มันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่อยากให้คุณราศรีเสียใจ”
“คุณราศีไม่มีทางเสียใจหรอกค่ะ...เธออาจจะกำลังสุขใจอยู่ก็ได้”
“หมายความว่ายังไง?”
สีหน้าจันทราดูมีเลศนัย
อีกเหตุการณ์เป็นตอนที่เมินกระชากประตูห้องเก็บของออก เห็นชำนิ ซึ่งตนไม่รู้จักกำลัง
กอดจูบราศรีที่มีท่าทางสะลึมสะลืออยู่
“ราศรี”
ชำนิฉวยโอกาสนั้นผลักเมินแล้ววิ่งหนีไป เมินวิ่งตามแบบอยากจะฆ่าให้ตาย
พอนึกถึงเหตุการณ์นั้น ตอนนี้เมินท่าทางหายใจไม่สะออก จะเป็นลมยืนขบกรามแน่น จันทราพูดยั่วต่อ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ เห็นขี้โรคอย่างนั้น คุณราศรีจะกล้าเล่นชู้ถึงในบ้าน”
“เลว” เมินสบถออกมาอย่างแค้นจัด
“ค่ะเลว เลวมาก...เลวจนคุณเมินไม่ควรให้อภัย ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณราศรีหรือว่า ลูกของคนเลวๆ อย่างเดือนแรม”
เมินสะบัดหน้าเดินเข้าไปในบ้านแบบโซเซ เพราะโกรธมาก จันทรายิ้มพอใจ จะเดินตามเข้าไป
แต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงผิวปาก อันคุ้นหู
จันทรานิ่งฟัง เสียงผิวปากดังขึ้นอีก ในจังหวะเสียงที่เร่งเร้าและดังขึ้น จันทราทำหน้ามุ่ย รีบเดินออกไปตามเสียงอย่างเร็วรี่
จันทราลัดเลาะมาตามสวน โดยไม่รู้ว่าที่ชั้นบนของบ้าน ชุติมายืนมองอยู่ที่หน้าต่างห้อง เห็นจันทราเดินลัดเลาะอยู่ในความมืด
“คุณน้าทำอะไร?”
ไม่สงสัยเปล่า ชุติมาผละตัวออกจากหน้าต่าง เดินออกจากห้องทันที
ท่ามกลางความมืดในสวนหลังบ้าน ทันทีที่จันทราเดินผ่าน ชำนิ...ผัวเก่าที่จันทราจ้างให้มากอดจูบราศรีเหมือนมีอะไรกันให้เมินเห็นในอดีต โผล่ออกมาถามกวนๆ ขึ้น
“นึกว่าจะไม่ออกมาซะแล้ว”
“ยังไงฉันก็ต้องมา พี่เล่นกำความลับฉันอยู่นี่”
ชำนิหัวเราะร่วน “ดีที่รู้...แต่นับว่าฉันใจดีกับเธอแล้วนะ ที่รอให้ผัวใหม่ของเธอกินยากล่อมประสาทไปก่อน อย่างน้อยมันก็คงสะลึมสะลือ จนไม่รู้ความบัดซบของเธอ”
“ถ้าฉันบัดซบ พี่ก็บัดซบพอกันนั่นแหละ แล้วนี่มาทำไม? เงินทองฉันก็ส่งให้ทุกเดือน”
“พี่ไม่สบาย แล้วพี่ก็คิดถึงลูก อยากเห็นหน้าลูก”
ชุติมาตามมา แอบฟัง อยากรู้อยากเห็น และได้ยินจันทราตอบออกไป
จันทราตาขวาง “อย่ามาพูดถึงลูกที่นี่เป็นอันขาด....ถ้าไม่อยากให้ลูกเดือดร้อนน่ะ”
“งั้นเธอก็ให้พี่เจอลูกบ้างสิ”
“ไม่ได้” จันทราเสียงกร้าว “นี่ต้องการเงินใช่มั้ย?” ถอดสร้อยที่คอส่งให้ “เอาไปเลย แล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
ชำนิรับสร้อยมา “ขอบใจเธอมากที่ดีกับพี่...แต่แค่นี้มันน้อยไป”
“พี่ชำนิ” น้ำเสียงจันทราโมโหมาก
ชุติมาเก็บทุกรายละเอียด
“จะให้พี่บอกคุณเมินมั้ยว่าวันนั้น เธอลอบเข้ามาในบ้าน แล้วก็แอบเอายาผสมใส่ในน้ำให้คุณราศรีกิน พอคุณราศรีสะลึมสะลือ เธอก็ให้พี่อุ้มเค้าเข้าไปในห้อง ทำทีว่ามีอะไรกัน แล้วเธอก็ไปเรียกไอ้คุณเมินหน้าโง่ให้มาเห็น”
ชุติมาตาโต อ้าปากค้าง จันทราโกรธมาก ตวาดเสียงเข้ม
“หุบปากเน่าๆ ของแกเดี๋ยวนี้”
ชำนิหัวเราะร่วน ชอบใจ “บ๊ะ!!จากพี่มาเป็นแก เมียฉันนี่..ไม่ทิ้งสันดานเดิมเลยจริงๆ” ตอกกลับเสียงเข้มเช่นกัน “ฉันอยากเจอลูก....ซักครั้งก็ยังดี ถ้าแกพร้อมเมื่อไหร่ พาลูกมาเจอฉัน แล้วฉันจะไม่มายุ่งกับแกอีกเป็นอันขาด”
จันทรามองชำนิ ตาถลนสีหน้าโกรธมาก ชำนิบอกเบอร์โทรศัพท์
“เบอร์ฉัน เธอพร้อมเมื่อไหร่ ก็โทร.ไปบอกฉันแล้วกันไม่อย่างนั้น เธอ ฉัน ไอ้คุณเมิน ได้เจอกันที่นี่แน่”
ขู่จบชำนิกระโดดแผล็วออกนอกรั้วไปอย่างคล่องแคล่ว จันทราด่าตาม
“ไอ้บ้า ไอ้เลว เมื่อไหร่แกจะไปให้พ้นชีวิตฉันซักที”
จันทราสะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้านไป ชุติมาตัวลีบซุกตัวไว้ ไม่ให้จันทราเห็น
ชุติมาพึมพำเบอร์โทร. จำขึ้นใจ “ชำนิ คุณน้ามีความลับกับนายชำนิ”
ชุติมาพึมพำออกมา ยิ้มมุมปากรู้สึกเป็นต่อจันทรามาก
รุ่งเช้าวันต่อมา ด้านนอกของบ้านสุดใจท้องฟ้ายังมืดอยู่มาก พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น สุดใจนอนอยู่ มือของใครคนหนึ่ง กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ สุดใจรู้สึกตัวสะลึมสะลือ ลืมตาขึ้นมามอง ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
สุดใจตกใจ ตาค้าง “คุณราศรี”
“นอนเถอะ..คุณไม่สบาย” ราศรีบอก
สุดใจร้องไห้ออกมา “คุณยังไม่ไปไหน?”
คุณช่วยดูแลฉันกับลูก...ฉันอยากตอบแทนคุณ”
“ลูกคุณ...หนูมาหยารัศมี” สุดใจว่า
ราศรียิ้มอย่างดีใจ “ฉันดีใจที่คุณจำได้....ลูกฉันโตแล้ว” นัยน์ตาหมองเศร้าลง “ฉันเป็นห่วง...มีคุณคนเดียว ที่ช่วยแกได้”
สุดใจร้องไห้โฮออกมา เสียงราศรีบอกค่อยๆ แผ่วไป
“มีคุณคนเดียวที่ช่วยมาหยารัศมีได้ ช่วยลูกฉันด้วยนะ สุดใจ..ช่วยลูกฉันด้วย”
“ค่ะ...ฉันจะช่วยลูกคุณ ฉันจะช่วยมาหยารัศมี…” เสียงสุดใจแผ่วลงๆ “ฉันจะช่วยมาหยารัศมี
สุดใจเหมือนจะเคลิ้มหลับไปอีก
เช้าวันเดียวกัน จันทรายืนแต่งตัวในห้องอยู่ หยิบต่างหูมาติด แต่ต่างหูกลับร่วงตกลงพื้น
จันทราทำเสียงจิ๊จ๊ะ ขัดใจ ก้มลงเก็บ ต่างหูกลิ้งไปอยู่ใต้ตู้เสื้อผ้า จันทรายื่นมือเข้าไปหยิบแต่แล้วต้องชะงักเหมือนจับเจออะไรที่ไม่ใช่ต่างหู ค่อยๆ ดึงของสิ่งนั้นออกมา
มันคือรูปภาพเล็กๆ เก่าคร่ำสีซีดออกเหลือง ของเมินที่ถ่ายคู่กับราศรี นัยน์ตาจันทราเหลือกเบิกโพลง รู้สึกโกรธมากเมื่อนึกถึงภาพใบนี้ขึ้นมา
วันนั้นในอดีตรูปภาพใบเดียวกันนี้ของเมินกับราศรี อยู่ในมือจันทราที่นุ่งผ้าเช็ดตัวนั่งมองกระเป๋าสตางค์ของเมินอย่างไม่พอใจ ขณะที่เมินออกจากห้องน้ำเห็นเข้าพอดี
เมินบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ผมบอกแล้วไงไม่ชอบให้คุณมายุ่งกับของใช้ส่วนตัวผม”
เมินเดินมากระชากกระเป๋าสตางค์คืน จันทราเอ่ยขึ้นบีบน้ำตา
“ขอโทษค่ะ...จันทร์แค่อยากรู้ว่าคุณยังรักคุณราศีอยู่หรือเปล่า? แล้วจันทร์ก็ได้คำตอบ”
“เค้ามีชู้ ผมจะรักเค้าได้ยังไง”
“งั้นก็ทิ้งรูปใบนี้ไปสิคะ...แล้วเอารูปจันทร์กับคุณ มาเก็บไว้แทน”
พอนึกขึ้นมาได้ จันทรามองรูปในมือทั้งโกรธทั้งเกลียด
“ที่ผ่านมา คุณเมินไม่เคยลืมแก”
จันทราฉีกรูปใบนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างแค้นเคืองใจ
“ฉันเกลียดแก นังราศรี ฉันเกลียดแก”
อีกเหตุการณ์ ราศรีนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่าทางอ่อนแรงแบบคนขี้โรคและเพิ่งคลอดลูก จันทราเดินเข้าไป
“เธอมาทำไม?” ราศรีถามแผ่วน้ำเสียงระแวง
“มาแสดงความยินดีกับเธอไง...ที่คลอดลูกชู้”
ราศรีแทบไม่มีแรงแล้ว “ฉันไม่เคยมีชู้ เธอใส่ร้ายฉัน”
จันทรายิ้มเยาะ “แต่คุณเมินก็เชื่อฉัน”
“ฉันจะให้คุณเมินตรวจดีเอ็นเอ เธอต้องติดตะราง” ราศรีบอก
“ถ้าคิดว่าจะอยู่รอดถึงวันนั้น ก็เชิญ”
ว่าพลางจันทรายกมือที่สวมถุงมือแล้วขึ้นมา ราศรีจ้องตาโต
“เธอจะทำอะไร”
จันทรากระตุกสายออกซิเจนออกจากจมูกของราศรีทันที ราศรีหายใจไม่ออก สองมือไขว่คว้าจะเอามาใส่คืนอย่างสะเปะสะปะ แต่ถูกจันทราดึงมือออก
“ไปตายซะ” จันทราหัวเราะเหี้ยม
ราศรีเอาสายออกซิเจนคืนไม่ได้ จะกดกริ่งขอความช่วยเหลือ จันทราเห็นจึงผลักร่างราศรีกดลงไปบนเตียง ไม่ให้กด ราศรี ลนลานสิ่งแรกที่คิดได้
“มาหยา..มาหยารัศมี” หอบหายใจ ลุกขึ้นสุดแรงเกิดจะอุ้มลูกสาว
แต่ไม่ทัน มือจันทราอุ้มเด็กที่วางอยู่ข้างๆ ราศรีขึ้นมา
“ฉันจะเอาไปเลี้ยงให้”
“อย่า...อย่า”
ราศีพูดได้แค่นั้นก็ขาดอากาศหายใจ สิ้นใจตายอย่างทุรนทุราย จันทรารีบอุ้มทารกออกไป
จันทราอุ้มทารกมาหยารัศมีมาตามทางพลางมองซ้ายมองขวา สุดใจที่รออยู่วิ่งเข้ามา
จันทราสั่ง “เอาไป”
“ค่ะๆ” สุดใจรับคำ รับเด็กมาแล้วทำท่าจะวิ่งออกไป แต่หันกลับมาถาม
“แล้วถ้าคุณราศีตื่นมาไม่เห็นลูกล่ะคะ”
จันทราเสียงดุหน้าเหี้ยม “มันไม่ตื่นหรอก”
สุดใจยังงงอยู่ “ทำไมจะไม่ตื่นล่ะค่ะ อีกเดี๋ยวคุณราศีก็ต้องตื่น ถามหาลูก คุณจะให้ฉันทำยังไง?”
“ก็เอาเด็กกำพร้าที่ไหนมาแทนมันสิ...เด็กเพิ่งเกิดหน้าตามันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น ไม่มีใครจำหน้ามันได้หรอก”
“ค่ะๆๆ”
สุดใจเดินอุ้มทารกมาหยารัศมีออกไป ใจคอไม่ดี เพราะในชีวิตไม่เคยทำผิดด้วยเรื่องใหญ่ร้ายแรงแบบนี้
จันทรายิ้มอย่างพอใจ “ชีวิตของฉันหมดเสี้ยนหนามซะที”
นึกมาถึงตอนนี้ จันทรายิ่งแค้นบอกกับตัวเอง
“ขนาดแกตายไปแล้ว แกยังเป็นหนามทิ่มใจฉัน! ซักวันฉันจะลบแกออกจากใจคุณเมินให้ได้
จันทราทิ้งรูปของเมินกับราศีลงถังขยะ เกลียดเข้ากระดูก
ตอนสายวันนั้นที่วังศิลาลาย ธิติรัตน์เดินลิ่วตรงมาที่รถ เสียงมือถือดังขึ้น ธิติรัตน์กดรับเมื่อเห็นชื่อธิดา
“ครับพี่ดา” ธิติรัตน์นิ่งฟัง “แรมน่ะเหรอครับ ฝากข้อความมาถึงผม”
ธิติรัตน์ทำหน้าแปลกใจ
ธิติรัตน์ขับรถมาตามทาง เรื่อยๆ อยู่ คิดถึงข้อความที่ธิดาญาติผู้พี่บอก
“พี่ดาคะ...ท่าทางคุณชายไม่ค่อยสบาย แรมฝากพี่ดาบอกคุณชายดูแลตัวเองด้วยนะคะ แรมเป็นห่วงคุณชาย...ผู้มีพระคุณของแรมค่ะ”
“จะว่าไป..เธอก็เป็นคนดีเหมือนกันนะเดือนแรม” แต่แล้วนึกเรื่องดุขขึ้นมาได้ “ไม่...ยังไงผู้หญิงก็มารยาทุกคน”
เสียงธิดาที่พูดถึงเดือนแรมอย่างมั่นอกมั่นใจดังขึ้นมาอีก
“พี่เข้าใจคุณชายนะคะ...แต่อย่ามองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นเลย ผู้หญิงไม่ได้เลวร้ายทุกคน อย่างน้อยเว้นไว้คนหนึ่งก็ยังดี”
“ก็ได้...ฉันจะลองให้โอกาสเธออีกซักที เดือนแรม”
พูดจบธิติรัตน์ก็เลี้ยวรถ แล่นทะยานไป เป้าหมายคือบ้านสุดใจ!
ตอนสายนั้นเอง ในขณะที่เดือนแรมกำลังเช็ดตัวให้สุดใจอยู่ สุดใจเพ้อออกมาเบาๆ
“มาหยารัศมี..มาหยารัศมี”
“คุณป้าคะ คุณป้า”
สุดใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา จ้องหน้าเดือนแรม งงๆ เดือนแรมรีบบอก
“เมื่อคืนคุณป้าเป็นลมน่ะค่ะ หนูเลยพามาส่ง คุณป้าค่อยยังชั่วหรือยังคะ?”
“ค่อยยังชั่วแล้วจ้ะ”
“หนูซื้อโจ๊กกับยามาให้ คุณป้ากินข้าวกินยานะคะ จะได้หายเร็วๆ”
“ขอบใจมากจ้ะ” สุดใจมองหน้าเดือนแรม ซาบซึ้งน้ำใจ
“งั้นหนูกลับก่อนนะคะ” เดือนแรมไหว้แล้วเดินออกไป
สุดใจเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนหนู....” เดือนแรมหันมา “หนูชื่ออะไรลูก?”
“แรม..เดือนแรมค่ะ”
“ป้าดีใจมาก ที่ได้รู้จักคนดีมีน้ำใจอย่างหนู..เดือนแรม”
“หนูก็ดีใจที่ได้เจอคุณป้า ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีกนะคะ ป้าสุดใจ”
เดือนแรมยิ้มแล้วเดินออกมา สุดใจหน้าเครียดพึมพำกับตัวเอง
“เราฝันถึงคุณราศีอีกแล้ว คุณราศี ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณจริงๆ นะ..เด็กคนนั้นยังอยู่ เค้ายังอยู่เป็นลูกคุณ”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดสุดใจอีกครั้ง
วันหลังหลังจากรับเด็กมาจากจันทรา สุดใจอุ้มเด็กหญิงมาหยารัศมีแรกเกิดมาตามทาง เด็กน้อยร้องจ้า สุดใจมองอย่างสงสารชั่งใจ
“ฉันทำไม่ได้ ฉันพรากลูกจากแม่ไม่ได้”
ในที่สุดตัดสินใจอุ้มเด็กหันหลังกลับทางเดิม
สุดใจหันรีหันขวาง พอไม่เห็นจันทราก็ผลุบหายเข้าไปในห้อง เห็นราศรีนอนนิ่งอยู่
สุดใจไม่ได้สังเกต เอาทารกน้อยวางลงที่เบาะข้างๆ ทำเนียนเรียกราศีเบาๆ
“คุณราศีคะ ลูกหิวนมแล้วค่ะ คุณราศรี”
เห็นราศรียังนิ่งเงียบ สุดใจเรียกอีก
“คุณราศรีคะ ลูกหิวนมร้องใหญ่เลยค่ะ”
ราศรีนิ่งอีก สุดใจเริ่มเอะใจ เอามือแตะราศรีพร้อมเรียก “คุณราศรีคะ”
ทันทีที่มือสัมผัส สุดใจก็รู้สึกถึงความผิดปกติ สุดใจหน้าซีดเผือด เขย่าตัวราศรี
“คุณราศีๆๆๆ” เริ่มรู้แล้ว “คุณราศรี เสียแล้ว”
นัยน์ตาสุดใจเบิกโพลง ตกใจมาก
“ไม่..ฉันไม่ได้ทำ ไม่ใช่ความผิดของฉัน”
สุดใจวิ่งหนีลนลานออกไป
นึกมาถึงตอนนี้ สุดใจร้องไห้โฮออกมา สะอึกสะอื้นจนตัวโยน เสียใจเป็นที่สุด รู้สึกเหมือนเป็นความผิดตัวเอง
“วันนั้น ถ้าฉันไม่เห็นแก่ตัวทิ้งคุณไป ป่านนี้คุณก็คงได้อยู่กับลูกของคุณอย่างมีความสุขไม่น่าเลยสุดใจ ไม่น่าเลย”
สุดใจได้แต่ร้องไห้อย่างทุกข์ระทม
เดือนแรมออกมาจากบ้านสุดใจ เดินมาตามทาง ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลังธิติรัตน์นั่งยิ้มอยู่ในรถ ก่อนจะขับรถตามไป ทำท่าจะเรียก
“เดือนแรม” แต่ชะงักค้าง
มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นแซงปาดหน้ามาจอดข้างเดือนแรม เดือนแรมไม่ได้มองมาทางด้านหลัง
ที่แท้เป็นต้น...เพื่อนนักศึกษาชายของเดือนแรม ที่เดินลงมารถคันนั้น “แรม...มาทำอะไรแถวนี้”
“ธุระนิดหน่อย”
“จะไปไหน เดี๋ยวเราไปส่ง”
“ขอบใจมากต้น...งั้นขอติดรถไปลงปากซอยแล้วกัน”
“ได้เลยเพื่อน”
เดือนแรมกับต้นเปิดประตูขึ้นรถ แล้วขับออกไป โดยที่เดือนแรมไม่เห็นคุณชายราชนิกูลคนดีของเธอ
ธิติรัตน์หน้าหงิก “อีกแล้ว ผู้ชายชวนขึ้นรถปุ๊บ ขึ้นปั๊บ แล้วจะให้ฉันคิดยังไงเนี่ยเดือนแรม”
ธิติรัตน์ออกรถพรืด หงุดหงิดอย่างไม่รู้ตัว
เดือนแรมเดินเข้ามาในห้องนอนตัวเอง ทรุดตัวนั่งลง เปิดกระเป๋าถือ หยิบปากกาที่คุณชายเพิ่งให้กับการ์ดสีชมพูออก มาดู มาอ่าน
“สำหรับเดือนแรม เด็กดีของฉันเป็นรางวัลที่เธอเรียนเก่ง ตั้งใจเรียน ‘แทน’ ฉันด้วยนะคนดี”
เดือนแรมวางปากกาตรงหัวนอน หยิบจดหมายธิติรัตน์ฉบับเดิมออกมาวางจดหมายและการ์ด ข้างๆ กัน ยิ้มออกมา เขียนกำกับลงบนจดหมาย “จดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวของคุณชาย” หยิบการ์ดขึ้นมาเขียนด้านหลัง “การ์ดใบแรกจากคุณชาย”
เดือนแรมยิ้ม หยิบปากกามาเขียนต่อลงในการ์ดสีชมพูนั้น “แรมจะเป็นเด็กดีค่ะ”
เดือนแรมยิ้มกว้าง เอาการ์ดและจดหมายเก็บไว้ที่หัวนอน ส่วนปากกาเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างทะนุถนอม
ระหว่างประตูห้องเดือนแรมค่อยๆ แง้มออก โดยที่เดือนแรมไม่รู้ตัว ว่าแป้นแอบมองอยู่
ครู่ต่อมา จันทรากับแป้นหลบมุมคุยกันอยู่ที่บริเวณหนึ่งในสวนหลังบ้าน
“อะไรนะ นังแรมมันซ่อนจดหมายเอาไว้”
“ค่ะ ก็ไอ้ฉบับที่คุณนายฉีกน่ะค่ะ แต่นังแรมมันเอาสก๊อตเทปมาต่ออย่างดี แล้วก็มีการ์ดอะไรก็ไม่รู้ สีชมพู ฮู้ยยย…มันเก็บอย่างดีเลยค่ะ” แป้นสาระแนแบบจัดเต็ม
จันทราเบ้ปาก “แก่แดด!! อายุแค่นี้คิดจะคบผู้ชาย แหม้…วันนั้นฉันน่าจะเผาไฟทิ้งไปเลย แต่ก็ดีฉันจะได้เอาไปให้คุณเมินดู คุณเมินจะได้รู้ ว่านังแรมมันมีเลือดไม่ต่างจากแม่ จะได้ไล่มันออกจากบ้านซะที”
จันทราก้าวฉับๆ ไป แป้นยิ้มวิ่งตาม โดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่
ขณะที่เดือนแรมทำความสะอาด เช็ดถู ข้าวของ ภายในห้องตัวเอง จันทราเดินเข้าไปมีแป้นตามหลัง
“งานข้างนอกยังไม่ได้ทำเลย มาทำอะไรห้องตัวเอง”
เดือนแรมพูดเสียงอ่อนน้อม “พอดี แรมทำติดพันอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้ว แรมจะรีบออกไปทำงานข้างนอกค่ะ”
“ไม่ต้อง ออกไปทำเดี๋ยวนี้เลย” จันทราส่งเสียงเข้ม
“เอ่อ...”
“นังแรม แกกล้าขัดคำสั่งคุณนายเหรอ ประเดี๋ยวเถอะ โดนดีแน่” แป้นเงื้อมือขึ้นสุดแขนเตรียมตบ
“นังแป้นไม่ต้อง” จันทราห้ามมองตาเหี้ยมมาทางเดือนแรม “จะออกไปไม่ออก”
“ค่ะ” เดือนแรมเดินออกไปจากห้องตัวเอง
สองคนสบตากันมองอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเดินตามเดือนแรมไป
จันทรากับแป้นมองตาม เห็นเดือนแรมเดินขึ้นชั้นบนไป
“มันขึ้นไปชั้นบนแล้วค่ะ”
สองคนมองหน้ากัน รีบเดินกลับไปยังห้องของเดือนแรมทันที
แป้นสาระแนวิ่งนำเข้าไปในห้องของเดือนแรมก่อนจันทราอย่างเสนอหน้า
“นังแรมมันซ่อนจดหมายกับการ์ดไว้ตรงนี้ค่ะ”
แป้นตรงเข้าไปรื้อค้นที่หัวนอน แต่จะค้นยังไงก็ไม่มี
“ไหนนังแป้น? อยู่ไหน?”
แป้นหาอีกที แต่ไม่มี เริ่มเสียงอ่อยๆ “แป้นหาไม่เจอค่ะ แต่ตะกี้แป้นเห็นนังแรมมันเก็บไว้ตรงนี้จริงๆ นะคะ”
“แกต้องตาถั่วแน่ๆ นังแป้น” จันทราจิ้มหน้าแป้นจนคะมำ
“ไม่ค่ะคุณนาย แป้นเห็นจริงๆ มันเก็บไว้ตรงนี้”
จันทราเดินเข้าไปช่วยหา พอไม่เห็น สองคนเดินเข้าไปรื้อค้นในมุมต่างๆ มองหน้ากัน
“ไม่มีจริงๆ ด้วย แล้วมันจะหายไปได้ยังไง”
สองคนไม่รู้ว่า เวลานั้นที่หน้าห้อง เพ็ญประกายหลบมุมยืนถือจดหมายกับการ์ดอยู่ แอบมองจันทราก่อนเดินหนีไปเร็วรี่
ธิติรัตน์ขับรถมาตามทาง กวาดตามองรอบบริเวณ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นชื่อหม่อมรัตนาโทร.มา ธิติรัตน์กดรับสาย
“ครับคุณแม่”
“รีบออกไปไหนจ้ะ ไม่รอแม่ทานข้าวเลย”
“มีธุระนิดหน่อยครับคุณแม่”
“แล้วนั่นอยู่ที่ไหนจ้ะ”
"ถึงรามอินทราครับแม่" ธิติรัตน์บอกสถานที่ โดยไม่รู้ว่าเป็นแถวบ้านเมินนั่งเอง
“ชายจะไปบ้านคุณเมินหรือลูก” หม่อมรัตนาจำที่อยู่ได้
“เปล่าครับ”
“แต่แม่ว่าไหนๆ ก็อยู่แถวนั้นแล้วแวะไปหน่อยก็ดีนะ เผื่อได้รู้ได้เห็นอะไร” หม่อมรัตนาบอก
สีหน้าธิติรัตน์ครุ่นคิดหนัก
ธิติรัตน์แอบจอดรถที่บริเวณแถวบ้านเมิน ก่อนจะตัดสินใจเดินลัดเลาะตามแนวกำแพงไปจังหวะหนึ่งธิติรัตน์เดินมาแอบมองอยู่ที่บริเวณหน้ารั้วบ้าน เห็นจันทราเดินออกมากับแป้น ธิติรัตน์รีบหลบ แอบมอง เห็นท่าทางของสองคน เหมือนคุยอะไรซักอย่าง ได้ยินไม่ชัดนัก
“หรือว่านังแรมมันจะเอาจดหมายนั่นติดตัวไปด้วยคะ”
“เป็นไปได้ แสดงว่าจดหมายนั่นต้องสำคัญกับมันมากจริงๆ เสร็จฉันแน่นังแรม”
สองคนเดินเข้าไป ธิติรัตน์ได้ยินชื่อแรม
“แรม?”
ธิติรัตน์ขมวดคิ้ว นึกสงสัย แต่ไม่ได้ปักใจว่าต้องเป็นเดือนแรม แค่ได้ยินคนชื่อเหมือนกันเท่านั้น
เดือนแรมทำความสะอาดบ้านอยู่ จันทราเดินมามองตั้งแต่หัวจรดเท้า มีแป้นตามคอยสอพลอ เดือนแรมมองสายตางุนงง สีหน้าสงสัย
“มีอะไรหรือคะคุณอา?”
“สร้อยฉันหาย”
“แป้นเห็นมันเดินเข้าไปในห้องของคุณนายค่ะ นังแรมมันต้องเอาไปแน่ๆ ค่ะ” แป้นบอก
“เปล่านะคะ แรมเปล่า”
“อย่าไปเชื่อมันค่ะคุณนาย ค้นตัวมันเลย” แป้นเสนอ
จันทราตรงเข้าหาเดือนแรม แป้นช่วย สองคนช่วยกันค้นหาตามตัว เสียงเดือนแรมร้องวี๊ด
ที่ด้านนอกกำแพงรั้วเวลานั้น ธิติรัตน์ได้ยินเสียงวี๊ดๆ ดังมาจากด้านในแบบแว่วๆ
“ต้องมีอะไรแน่ๆ”
ขณะที่ธิติรัตน์ทำท่าจะกระโดดข้ามรั้วเข้าไป จู่ๆ มีลุงคนหนึ่งวิ่งมาเรียกไว้
“คุณๆ.....ช่วยไปเอารถออกหน่อย คุณจอดรถขวางหน้าบ้านลุง”
“เปล่านะครับ ผมเปล่า”
“แต่ลุงว่าใช่ เพราะตะกี้อยู่ในบ้าน เห็นหลังคุณแวบๆ จะมาห้ามก็ไม่ทันช่วยไปเอารถออกหน่อยเถอะคุณ”
ไม่พูดเปล่า ลุงคนนั้นลากแขนไป ธิติรัตน์จำต้องตามไปทั้งที่ตายังมองเข้าไปในบ้านเมินด้วยความอยากรู้
บริเวณละแวกบ้านเมินที่ธิติรัตน์ไปจอดรถไว้ มีรถสองสามคันจอดอยู่ และมีอีกคันหนึ่งจอดขวางหน้าบ้านลุงคนนั้น ธิติรัตน์รีบบอก
“ไม่ใช่รถของผมนะครับคุณลุง”
“อ้าว!!ไม่ใช่เหรอ? ลุงก็นึกว่าคุณ ขอโทษครับขอโทษ”
ธิติรัตน์ออกไอเดีย “เอางี้ เดี๋ยวผมขับรถเลยหน้าไปอีกหน่อย แล้วจะกลับมาช่วยเข็นรถออกจากหน้าบ้านคุณลุง”
ธิติรัตน์รีบตรงไปที่รถตัวเอง ขับเลื่อนไปข้างหน้าตามแนวกำแพง แล้วรีบกลับมาช่วยเข็นรถออกจากหน้าบ้านของลุง ชั่วครู่ รถคันนั้นก็พ้นหน้าบ้าน
“เรียบร้อยแล้วครับคุณลุง”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณ”
ธิติรัตน์ยิ้มให้ “ยินดีครับ” แล้วรีบเดินลิ่วออกไป เสียงคุณลุงบ่นมาตามหลัง
“พวกที่ชอบจอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น นิสัยไม่ดีจริงๆ”
จันทรากับแป้นช่วยกันค้นตามตัวจนหมด เดือนแรมยืนหน้าซีดหอบเหนื่อย
“ไม่มีค่ะคุณนาย”
“ก็แรมบอกแล้วนี่คะ ว่าแรมไม่ได้เอาไป”
จันทราทำทีมองแป้น เป็นเชิงถาม “แล้วมันเก็บไว้ที่ไหน?”
เดือนแรมมองอย่างสงสัย “เก็บอะไรคะ”
จันทราหันมาตวาดแว้ด “ก็สร้อยของฉันน่ะสิ” มองเขม็ง “อย่าให้ฉันรู้แล้วกันว่าเธอเอาสร้อยฉันไปไว้ที่ไหน ไม่งั้นมีเรื่องแน่”
เดือนแรมหน้าจ๋อย จันทราด่าต่อ
“ไปไสหัวไป แล้วอย่าโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย?”
“ค่ะคุณน้า” เดือนแรมเดินหน้าจ๋อยออกไป
“แหม นังแรมนี่จริงๆ เลย เห็นหน้ามันแล้วอารมณ์เสีย ว่ามั้ยคะคุณนาย” แป้นสอพลอ
“ฉันอารมณ์เสียที่เห็นหน้าแกน่ะแหละ ไปหาจดหมายฉบับนั้นมาให้ได้ ไม่งั้นแกนั่นแหละจะตายก่อนนังแรม”
จันทราเดินหน้านิ่วออกไป แป้นบ่นอุบ
“โอ๊ย...ไม่น่าเลย อุตส่าห์จะเอาหน้าซะหน่อย กลายเป็นหาเหาใส่หัวเลย นังแป้นเอ๊ย”
ด้านธิติรัตน์รีบเดินกลับมายังบ้านเมิน หาทางจะเข้าไปด้านใน แต่เห็นจันทราเดินออกมาก่อน ธิติรัตน์รีบหลบเอาตัวแนบกำแพง ได้ยินจันทราบ่นพึมพำ
“ฉันจะต้องหาทางไล่แกออกจากบ้านนี้ให้ได้นังแรม”
จันทราทรุดตัวนั่งลงบริเวณนั้น ธิติรัตน์หน้านิ่ว หาทางเข้าบ้านไม่ได้ จังหวะหนึ่งจันทราหันมามองเห็นเงาคนเคลื่อนไหวข้างกำแพง จันทราหันขวับมาถาม
“ใคร?” จันทราถาม
ธิติรัตน์ที่อยู่ด้านนอกรีบหลบ จันทราเดินเข้ามาใกล้กำแพง ท่าทางระวัง แต่ยังถามเสียงดัง
“ฉันถามว่าใคร”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบ จันทราเดินมาชะโงกหน้าดูไม่เห็นใคร จึงเดินกลับเข้าไปนั่งที่เดิม ธิติรัตน์ที่หลบอยู่ ถอนหายใจ เข้าไปไม่ได้แล้ว รีบกลับไปอย่างรวดเร็ว
เดือนแรมเดินหน้าจ๋อยมาที่ห้อง เปิดประตูเห็นห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย ตกใจมาก
“ทำไมห้องเป็นอย่างนี้?”
เพ็ญประกายที่รออยู่รีบเดินเข้ามา “แรม” ดึงมือเดือนแรมมาในห้องรีบปิดประตู แล้วยื่นจดหมายและการ์ดให้ “เก็บไว้ดีๆ นะ พี่ว่าแป้นต้องกลับมาค้นห้องแรมอีกแน่ๆ”
เดือนแรมรับจดหมายและการ์ดมา เริ่มเข้าใจแล้ว “ขอบคุณค่ะพี่เพ็ญ”
“แล้วจดหมายกับการ์ดนี่ของใคร แฟนแรมเหรอ?”
เดือนแรมรีบบอก “เปล่าค่ะ เป็นของผู้มีพระคุณของแรม...แรมไม่ได้มีแฟน”
“งั้นก็เก็บให้ดีๆ เพราะครั้งต่อไป พี่อาจจะมาช่วยไม่ได้”
“ค่ะพี่เพ็ญ”
เพ็ญประกายเดินออกไป ประตูปิดลง เดือนแรมมองจดหมายกับการ์ดในมือนิ่ง สีหน้าหนักใจ
อ่านต่อหน้า 4
มาหยารัศมี ตอนที่ 2 (ต่อ)
ค่ำวันนั้น ภายในห้างสรรพสินค้าหรู ดุจแขเลือกซื้อเครื่องสำอางแบรนด์ดังอยู่กับจารุณี แทบจะเหมาทั้งเคาน์เตอร์
ระหว่างนั้นพนักงานสาว ที่ไม่ได้ขายของ จับกลุ่มอ่านหนังสือแฟชั่น เมาท์มอยกันเสียงดัง
สาวนางหนึ่งชี้ให้เพื่อนดูข่าวสังคมในหน้าหนังสือ “เธอดูสิ...คุณชายธิติรัตน์ กมเลศ ล้อหล่อ”
ดุจแขชะงัก จารุณีหันไปมองอย่างสนใจ สาวๆ คุยกันต่อ
“เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกด้วยนะเธอ ข่าวว่า “ยังโสด....” อีกด้วย” คนที่สองลากเสียงคำว่าโสดยาว
“โสดยังไงพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์หรอก คุณชายเค้าไฮโซจะตาย” สาวคนแรกบอกปลงๆ
จากนั้นสาวๆ พากันหัวเราะคิกคัก ดุจแขเซ็นสลิปบัตรเครดิตรับของแล้วเดินออกมากับจารุณี
“ตั้งแต่คุณชายกลับมา เธอได้เจอกับเค้าหรือยัง?” จารุณีถาม
“ยัง” ดุจแขตอบห้วน
“คุณชายเค้าไม่มาหาเธอ...แสดงว่า เค้าหมดเยื่อใยกับเธอแล้วจริงๆ นะแข”
ดุจแขนิ่งไป “คุณชายอาจจะหมด แต่ฉันยังไม่หมด”
“เธอหมายความว่า...” จารุณีอึ้ง ค้างคำพูดไว้แค่นั้น
ดุจแขพูดออกมาเสียงแข็ง “ฟืนมีไฟ ยังไงมันก็คุได้ ไม่งั้นจะมีคำว่าถ่านไฟเก่าเหรอ?” หย่อนเสียงลง “แค่ฉันเขี่ยฟืนหน่อยเท่านั้น”
ดุจแขยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเอง
ธิติรัตน์ตัดสินใจกลับบ้าน ขณะขับรถมาตามทาง ราชนิกูลหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
“บ้านคุณเมินแปลกๆ” นิ่งคิด “แรม...อาจจะไม่ใช่แรมคนเดียวกัน โลกคงไม่กลมขนาดนั้น”
รถแล่นทะยานไป
เดือนแรมถือการ์ดกับจดหมายในมือ เดินไปวนไปเวียนมาครุ่นคิดอยู่ในห้อง
“จะเก็บไว้ไหนดีนะแรม?”
เดือนแรมกวาดสายตามองรอบห้อง ก่อนจะสะดุดตาที่รูปภาพเมินในกรอบที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือบริเวณมุมห้องเหนือที่นอน เดือนแรมยิ้มออกมาได้
เช้าวันต่อมา ชุติมาเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าตึก ครุ่นคิดอย่างหนัก คาใจเรื่อชำนิไม่หาย
“คุณน้ากับอีตาชำนิร้ายไม่เบา....เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี??
ระหว่างนั้นแม้นเทพในชุดพลเรือนธรรมดาเดินมา ขัดหูขัดตา มองด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก
“คิดจะทำอะไรอีกชุติมา?”
“ทำไม? ในสายตาคุณ...ฉันทำแต่เรื่องไม่ดีหรือไง?”
“ใช่!!”
“ผู้ชายที่ว่าผู้หญิง ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่สุภาพบุรุษ” ชุตามาด่ากระทบ
“ผู้หญิงที่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องร้ายๆ คอยทำลายคนอื่น ก็ไม่ใช่สุภาพสตรีและผู้ชายดีๆ ก็ไม่ควรให้เกียรติ เหมือนกัน” ร้อยโทหนุ่มโต้กลับ
ชุติมาไม่สำเหนียก ลอยหน้าลอยตากวนใส่ “เหรอ?...งั้นเสียใจด้วยนะ ที่ฉันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตา เพราะฉะนั้นจะคิดยังไง ก็เรื่องของคุณ”
“ฉันก็ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาเหมือนกัน แต่ถ้าเธอแกล้งแรม เธอได้อยู่ในสายตาฉันแน่”
แม้นเทพพูดด้วยเสียงจริงจัง เดินหน้าดุเข้ามาหา ชุติมาถอยหลังกรูด กลัวขึ้นมา แม้นเทพดุแกมขู่สำทับ
“และเธอคงรู้ ถ้าอยู่ในสายตาฉัน เธอจะเจออะไร?”
พูดจบแม้นเทพเดินหนีทันที ชุติมามองตาม รู้สึกหมั่นไส้มาก
“คำก็นังแรม สองคนก็นังแรม เอาสิ! ถ้าฉันจะสกัดดาวรุ่งนังแรม พี่ต้อมจะทำอะไรฉันได้”
จันทราฟังเรื่องจากปากชุติมา ถึงกับหน้าเครียดตาโต ถามย้ำกับชุติมา
“อะไรนะ นังแรมน่ะเหรอจะมีคนพาเข้าวงการ”
“ค่ะคุณน้า..ชุจำได้แม่นเลย ว่าคนๆ นั้นคือเจ๊กอไก่ นักปั้นมือทองฝังเพชร ปั้นคนไหนเป็นดังเปรี้ยงๆๆๆ เสียอยู่อย่าง เจ๊กอไก่คนนี้ ชอบให้ดาราในสังกัดถ่ายโป๊ๆ เปลือยๆ” ชุติมาบิ้วท์สุดขีด
“ไม่..ฉันไม่ยอม” จันทราเสียงกร้าว
“ชุก็ไม่ยอมค่ะ”
สองคนมองจิกไปยังเดือนแรมที่ปัดกวาดเช็ดถูบ้านอยู่ เดือนแรมมองมาอย่างงงๆ ถามเสียงอ่อยๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
แป้นวิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมหนังสือพิมพ์บันเทิงในมือ พูดเสียงสูง “มี้” รีบนำเสนอกับจันทราทันควัน “คุณนายขา..ดูนี่ค่ะ”
“อะไร?” จันทรารีบคว้าหนังสือพิมพ์มาดู
ชุติมาเสนอหน้า “ชุดูด้วยค่ะคุณน้า”
สองคนสุมหัวกันดูหนังสือพิมพ์ แป้นมองเดือนแรม ยิ้มเยาะเบ้ปาก
ก่อนจะขมุบขมิบเบาๆ “เสร็จแน่นังคุณแรม”
หนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับนั้นลงรูปเดือนแรม ตอนประกวดมิสทีนฯ และล้มบนเวทีจนเห็นเนินหน้าอก
จันทราปรี๊ดแล้ว “ทำไมเธอทำตัวอย่างนี้เดือนแรม เสื่อมที่สุด”
“แรมทำอะไรคะ?”
“ดูเองแล้วกัน”
จันทราปาหนังสือพิมพ์ใส่หน้าเดือนแรม เดือนแรมผงะ หยิบหนังสือพิมพ์มาดู แล้วเบิกตา
กว้าง เพ็ญประกายวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ละล่ำละลักบอก
“แรม..คุณพ่อเรียกจ้ะ”
ทุกคนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ยกเว้นแป้นกับชุติมาที่ลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าห้อง ท่าทางอยากรู้อยากเห็น มองเข้าไปเห็นทีวีในห้องล้มเค้เก้ เมินหน้าบึ้งตึง โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
จันทราถามงงๆ “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”
เมินไม่ยอมพูด เพ็ญประกายตอบแทนเสียงอ่อยๆ “ตะกี้มีข่าวแรมไปประกวด...”
พูดไม่ทันจบ จันทรารีบแทรกขึ้นทันที
“อ้อ!งั้นข่าวก็คงออกทีวี แล้วคุณเมินก็คงจะเห็น ภาพแรม...”
เมินผุดพรวดลุกขึ้น อย่างโกรธจัด “ใครสั่งใครสอนให้เธอทำตัวอย่างนี้เดือนแรม”
เดือนแรมกลัวมาก ร่างสั่นสะท้าน เสียงตะกุกตะกัก “แรม...”
“เลือดแม่แกชัดๆ อยากโชว์ว่าตัวเองสวย ให้พวกผู้ชาย มันบ้า มันคลั่ง แกมันบ้า! บ้าผู้ชาย มานี่เลยเดือนแรม”
เมินลุกมากระชากมือของแรมลากออกไปจากห้อง
เพ็ญประกายร้องห้ามเสียงหลง “คุณพ่อคะคุณพ่อ”
จันทราร้องห้ามลูกสาว “หยุดเดี๋ยวนี้ ลูกอยากให้คุณพ่อโกรธอีกคนหรือไง”
เพ็ญประกายเงียบกริบไม่กล้าออกไป จันทราหันไปทางชุติมาเป็นเชิงบอกให้ตามไปดูเหตุการณ์ ชุติมารู้แกว
“ชุจะไปสังเกตการณ์ แล้วจะรีบมารายงานคุณน้าโด้ยยยด่วนค่ะ”
ชุติมาตามไปทันที จันทรายิ้มพอใจ แต่แล้วจู่ๆ กรอบรูปเมินในห้องก็หล่นลงมา
ทุกคนร้องกรี๊ด จันทราหันมาถาม “แกทำหล่นเหรอนังแป้น?”
“เปล่าค่า” แป้นบอก
“ลูกเหรอเพ็ญ?”
“เพ็ญก็เปล่าค่ะ”
แป้นร้องขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว “ว้าย…หรือว่าจะเป็นผีคะ”
จันทราสะดุ้ง เพราะตัวเองก็กลัวอยู่ แต่ตวาดแว้ดกลบเกลื่อน
“ผีบ้าอะไร ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้นังแป้น”
แป้นเอามือตบปากตัวเอง ส่วนจันทรากวาดสายตามองรอบห้องแบบหวาดๆ ก่อนพูดปรามออกมาขู่สิ่งที่มองไม่เห็น
“มีแต่นังแรมน่ะแหละที่จะกลายเป็นผี”
เมินลากมือของแรมมาที่ห้องเก็บของ ทันทีที่เห็นห้อง เดือนแรมก็ยื้อตัวเอาไว้
เดือนแรมกลัวมาก เนื้อตัวสั่นเทา “อย่าค่ะคุณพ่อ อย่า..แรมกลัว กลั๊ว”
“ดี!!แกจะได้จำไว้” เสียงเข้ม “อย่าทำตัวเหมือนแม่แก”
ขณะที่เมินจะลากเดือนแรมเข้าไปในห้องเก็บของ ชุติมาลุ้นสุดชีวิต
ระหว่างนั้นแม้นเทพก็วิ่งเข้ามา “หยุดเถอะครับคุณน้า”
เมินไม่สน เพราะโกรธจัด “กล้าดียังไงมาห้ามฉัน”
“แล้วถ้าเป็นฉันล่ะ?” เสียงคุ้นหูของพี่สาวดังแทรกเข้ามาขัด
เมินหันมามอง “พี่มะลิ”
มะลิพยักหน้าไปทางลูกชายเป็นเชิงบอก แม้นเทพรีบเดินไปหาเดือนแรม เมินยอมปล่อยมือ ชุติมาทำหน้าเซ็ง แอบค้อนแม้นเทพด้วยความหมั่นไส้
ครู่ต่อมาเดือนแรมก้มลงกราบมะลิ อยู่ในห้องรับแขก แม้นเทพ และป้าพิมอยู่ด้วย
“แรมกราบขอบพระคุณคุณป้ามากค่ะที่ช่วย” เดือนแรมบอกอย่างนอบน้อม
“ก็ป้านึกอยู่แล้ว ข่าวแรมออกครึกโครมออกอย่างนั้น ไม่พ้นมือพ่อเราหรอก เฮ้อ…โอเวอร์นัก ทำเจ้ายศเจ้าอย่างยังกับตัวเองสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนาง ที่แท้ก็หาเรื่อง”
“ก็แล้วทำไมถึงไปประกวดอะไรอย่างนั้นล่ะแรม” แม้นเทพถามขึ้น
“แรมอยากได้เงินค่ะ แล้วแรมก็คิดว่าการประกวด ไม่มีอะไรเสียหาย”
“ก็จริงนะคะ ถ้าเราดูแลตัวเองดีๆ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ได้ดิบได้ดี พิมก็เห็นมีอยู่หลายคน” พิมเอ่ยขึ้น
“มันก็ใช่...แต่ที่มันเป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะรูปหลุดพวกนี้”
มะลิหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ข้างตัวมายื่นให้หลานสาว เดือนแรมรับมาบอกเสียงอ่อย
“มันเป็นอุบัติเหตุค่ะคุณป้า แรมไม่ได้ตั้งใจ”
ในมือดุจแขถือหนังสือพิมพ์บันเทิงที่ลงข่าวเดือนแรม พูดกับจารุณีที่แวะมาหาที่บ้าน น้ำเสียงเรียบ
“แต่ฉันว่าเด็กคนนั้นจงใจ”
“ก็ดูท่าทางหล่อนธรรมดาซะที่ไหน ไม่งั้นคงไม่วิ่งตามคุณชายขนาดนั้นหรอก”
ดุจแขเหยียดหยัน “ก็ได้แค่วิ่งตาม แต่ฉันนี่ล่ะจะแย่งคุณชายคืนมา”
ดุจแขไม่รู้ว่าที่ด้านหลังสรรชัยเดินเข้ามา และได้ยินทุกอย่าง โกรธมาก
ธิติรัตน์เดินลงมาจากชั้นบนหน้าเครียด เสียงมือถือดัง ธิติรัตน์ดูชื่อเห็นเป็นดุจแข คุณชายมองดูถูกไม่รับ ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น ดุจแขซึ่งอยู่ที่บ้านเริ่มหงุดหงิด
หม่อมรัตนาเห็นมือถือดังติดๆ กัน ลูกชายไม่รับสักที
หม่อมรัตนาสงสัย “ทำไมไม่รับสายล่ะลูก?”
ธิติรัตน์บอกยิ้มๆ “แล้วถ้าคนที่โทรฯมาคือดุจแขคุณแม่อยากจะให้ผมรับหรือเปล่าครับ”
หม่อมรัตนาเงียบกริบ
ดุจแขเดินกดโทรศัพท์ รอสาย รู้สึกหงุดหงิดที่ธิติรัตน์ไม่รับสาย อีกมือก็จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง สรรชัยที่เดินตามมาทางด้านหลัง แล้วรุนร่างดุจแขเข้าไปอย่างแรง จนดุจแขร้องลั่น สรรชัยก็ตามเข้าไปปิดประตู
“จะทำอะไร?” มองโทรศัพท์มือถือในมือ
ดุจแขตวาดแว้ดเต็มเสียง “แล้วมันเกี่ยวกับคุณ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็ผมเป็น...” สรรชัยค้างคำพูดไว้ แล้วโถมตัวปล้ำดุจแขอย่างหื่นกระหาย
ดุจแขรีบตวาดซ้ำ “ไม่...คุณกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น”
“แล้วนี่มันอะไร”
สรรชัยปลุกปล้ำจูบดุจแขจนล้มลงไปบนเตียง บอกเสียงกร้าว
“จำไว้ว่าคุณมีผมอยู่แล้ว ถ้าคุณไปยุ่งกับคุณชายอะไรนั่น ผมเอาตาย”
สรรชัยมองกร้าวดวงตาเอาจริง ดุจแขนิ่ง รู้สึกกลัว
ธิติรัตน์กำลังถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ วังศิลาลาย พลางบอกหม่อมรัตนา
“ผมคุยกับศรัณย์ แล้วก็วีระ ว่าจะร่วมหุ้นเปิดบริษัทโฆษณากัน”
หม่อมรัตนาไม่แน่ใจ “ชายชอบเหรอลูก?”
ธิติรัตน์สายตามีเลศนัย “ผม..อยากจะลองอะไรหน่อย”
หม่อมรัตนาปรามลูกชาย “แม่รู้ว่าชายเจ็บชายช้ำมา แต่ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันทั้งโลก” เสียงเข้มขึ้นมา “อย่าเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น”
ธิติรัตน์ยิ้มเหยียดอย่างดูแคลน “ผมคงเล่นเค้าไม่ได้หรอกครับแม่ ถ้าเค้าไม่ทำตัวเป็นของเล่น ของอย่างนี้มันอยู่ที่การวางตัวและไว้ตัว”
“แต่คนที่ตกเป็นเหยื่อ ก็มักไม่ทัน คนที่ตั้งใจวางเหยื่อ แม่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่หวังว่าชายจะใช้หัวใจของลูกผู้ชายตรองดู” หม่อมรัตนาชวนลูกชายเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วไปที่บ้านคุณเมินหรือยัง”
“ไปแล้วครับ..บ้านคุณเมิน ยังอยู่ที่เดิม ที่คุณแม่บอก”
“แล้วเจอใครบ้างมั้ย?”
“ไม่เจอเพราะผมไม่ได้ตั้งใจเข้าไปหา ผมเพียงแวะไปดูเฉยๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คุณแม่บอก คนในบ้านนี้ไม่น่าคบหาด้วยเท่าไหร่?” ธิติรัตน์บอกมารดา
หม่อมรัตนากังวลขึ้นมา “งั้น..เราปฏิเสธเค้าไปเลยมั้ยลูก ว่าทางเราไม่สะดวก”
ธิติรัตน์รีบบอก “ผมไม่อยากให้เสียผู้ใหญ่ แล้วทั้งแม่ทั้งพี่ดาต่างก็บอก ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันทั้งโลก บางทีมาหยารัศมีอะไรนั่น อาจจะอยู่ในข้อยกเว้นก็ได้”
ปากพูดไปอย่างนั้น แต่สายตาธิติรัตน์ดูไม่มั่นใจเอาซะเลย
บ่ายวันนั้น ภายในร้านไอศกรีม เดือนแรมทำตัวเหมือนพนักงานทั่วไป เจ๊กอไก่เดินตรงเข้าไปหา เดือนแรมคิดว่าเป็นลูกค้า เดินยิ้มมารับ
“รับอะไรดีคะ?”
“รับหนู” เจ๊กอไก่ยิ้ม
เดือนแรมงงงวย “รับหนู...หนูอะไรหรือคะ”
“ก็หนูเดือนแรม มณีกุลไง อยากเป็นดารามั้ยล่ะ”
เดือนแรมมองเจ๊กอไก่งงๆ
ครู่ต่อมาที่ศูนย์อาหารในห้างแห่งนั้น เจ๊กอไก่ยื่นแฟ้มให้เดือนแรมดู เป็นรูปที่นักปั้นชื่อดังถ่ายกับดาราที่ปั้นจนดังเปรี้ยงๆๆๆ
“โปรไฟล์เจ๊ แล้วก็เด็กของเจ๊”
เดือนแรมรับมาเปิดดู “โห!!มีแต่คนดังๆ ทั้งนั้นเลย”
“ก็ถ้าหนูอยากดัง หนูก็มาเป็นเด็กของเจ๊
เดือนแรมมองหน้า เจ๊กอไก่รีบสำทับ “ถ้ากลัวว่าเจ๊จะหลอกก็เช็คประวัติเจ๊ดู”
“ไม่เช็คหรอกค่ะ เจ๊ดังจะตาย...แรมรู้จัก”
“รู้จักแล้วยอมเป็นเด็กในสังกัดมั้ยจ๊ะ”
“ยอมค่ะ แรมอยากเป็นดารา”
เดือนแรมตอบอย่างมุ่งมั่น นัยน์ตาสวยคู่นั้นเปล่งประกายบางอย่าง
แต่แล้วพอรู้เรื่อง เมินถึงปัดจานข้าวบนโต๊ะอย่างโกรธจัด ตวาดก้อง
“ฉันไม่ให้แกเป็น”
เดือนแรมยืนอย่างนอบน้อมที่ข้างโต๊ะ ไม่ได้ร่วมสำรับจะอธิบาย “คุณพ่อคะ”
เมินสวนคำออกมา “ไม่ต้องพูด! ไม่งั้น..แกกับฉันตัดขาดกัน”
บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบกริบ ยกเว้น จันทรากับชุติมาแอบยิ้มเยาะ
เดือนแรมนิ่งไปครู่จึงเอ่ยขึ้นตัดพ้อ เสียงเครือสั่น
“ที่ผ่านมา คุณพ่อก็เหมือนตัดขาดแรมอยู่แล้ว”
เมินโกรธจัด “เดือนแรม”
“แรมไม่เคยคิดว่าการเป็นดารา แล้วจะทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย หรือว่าตัวแรมเสียหาย ตรงกันข้าม แรมคิดว่าการเป็นดารา สามารถเปลี่ยนชีวิตแรมได้ แรมอยากมีเงิน อยากมีอนาคต”
เดือนแรมพูดไม่ทันจบคำ เมินตวาดก้อง “ถ้าอย่างนั้น แกกับฉันตัดขาดกัน”
พูดจบเมินก็เดินลงส้นออกไปอย่างโกรธจัด เดือนแรมยืนอึ้งร่างสะท้าน เพ็ญประกายใจเสีย
“พี่ว่าแรมเปลี่ยนใจดีกว่านะ” เพ็ญประกายพยายามกล่อม
“แรมคิดดีแล้ว แรมไม่เปลี่ยนใจค่ะพี่เพ็ญ” เดือนแรมพูดน้ำเสียงจริงจัง
“จะเปลี่ยนได้ยังไง ก็ใจแตกไปแล้วนี่....ยังไงก็อย่าให้ซ้ำรอยแม่เธอก็แล้วกัน”
ชุติมาสบโอกาสเขี่ยทันที “ซ้ำรอยอะไรคะคุณน้า”
“ท้อง! กับผู้ชายจรจัด แต่กับเธออาจจะเลวร้ายกว่าแม่เธอหน่อยตรงที่...เธออาจะท้องแล้วก็ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นพ่อของลูกเธอ”
ด่าจบปิดจ๊อบ จันทราเดินออกไป ชุติมายิ้มเย้ยเดินตาม เดือนแรมกำมือแน่น โกรธมาก เพ็ญประกายหน้าเสียหนักใจมาก
“แรม...พี่ขอโทษ อย่าโกรธคุณแม่เลยนะ”
“ไม่โกรธหรอกค่ะพี่เพ็ญ...เพราะทุกครั้งที่แรมท้อ แรมจะบอกตัวเองว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด ขอโทษ...ถ้าพี่เพ็ญจะคิดว่า แรมพูดแรงไป”
เดือนแรมเดินออกไป เพ็ญประกายอึ้ง แต่ละคน แรงๆ กันทั้งนั้น
อ่านต่อตอนที่ 3