อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 18
ตอนเย็นวันเดียวกันภวัตขับรถมาในซอยเข้ามา โดยดร.จักรวาลนั่งคู่ รัดเกล้านั่งหลัง ยิ้มแย้มคุยกัน สักครู่อิงอรก็วิ่งจู๊ดข้ามมาโบกให้หยุดรถ ภวัตเบรกหัวทิ่ม คนในรถอุทานกันลั่นรถ ตกใจไปตามๆ กัน
อิงอรเคาะกระจกด้านจักรวาลนั่ง ในอารมณ์อ่อนหวานชดช้อยให้ท่าตลอดเวลา จักรวาลค่อยๆ ลดกระจกลง ลูบหน้าผากตัวเองที่เพิ่งโขกกับคอนโซล
“ครับ...คุณอิงอร”
“อิงติดรถไปด้วยค่ะ” อิงอรจะเปิด แต่เปิดไม่ได้ เพราะรถยังล็อคอยู่
“ห๊ะ”ภวัต กับรัดเกล้าประหลาดใจ
อิงอรวิ่งอ้อมไปอีกด้าน จะเปิดประตูหลัง แต่ยังเปิดไม่ได้ ภวัตไขกระจกลง
“จะไปบ้านผมน่ะหรือครับน้าอิง” ภวัตถาม
“นี่อีกคืบก็จะหน้าบ้านผมแล้วครับ” จักรวาลว่า
“เดินทะลุรั้วก็ได้นี่คะ อาอิงทำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว” รัดเกล้าแซวขำๆ
“ไป...” อิงพูดค้างอยู่แค่นั้น
จังหวะนั้นรถยนต์ปีเตอร์ก็แล่นทะยานซิ่งเร็วและแรงผ่านไป เกือบเฉี่ยวก้นอิงอร จนอิงอรต้องหุบก้นหลบแทบไม่ทัน
“ว้าย”
อิงอร ร้องแล้วรีบก้มลงชี้ล็อกให้รัดเกล้าดู เป็นเชิงบอกว่าจะนั่งหลังกับรัดเกล้า
รัดเกล้าจะเคลียร์ข้าวของที่วางเต็มเบาะหลัง และเอื้อมมือจะเปิดล็อกแต่ยังเอื้อมไม่ถึง เพราะมีของกองอยู่อีก จู่ๆ ร่างอิงอรก็กระแทกอัดตัวเข้ากับตัวรถ ร่างอิงอรแบนติดกระจก รัดเกล้าตกใจ มองไปเห็นรถของธานีวิ่งฟิ้วเร็วจี๋ไม่แพ้รถปีเตอร์ผ่านไปอีกคัน เฉียดร่างอิงอรชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
“ว้าย ว้าย”
อิงอรยันตัวออกจากรถ แล้วตาเหลือก ตกใจจนกระโดดขวางทางเลยคราวนี้
รถบุษบาที่วิ่งเข้ามาต้องเบรกเอี๊ยดสนั่นซอย บุษบาจะเปิดกระจกพูด แต่ไม่ทัน อิงอรเปิดรถบุษบาเข้ามานั่งเร็วราวฟ้าแลบ
“อะไรกันคะนี่น้าอิง” บุษบาตกใจ
อิงอรชะโงกหน้าหันไปบอกภวัต “ไปบ้านคุณปัทค่ะ ลูกสาวเขาไม่สบายมาก”
“แนนนี่” ภวัตตกใจนึกถึงแนนนี่ขึ้นมาทันที
“น้องดา” รัดเกล้าอุทานแทบจะพร้อมกับภวัต
รัดเกล้ากับจักรวาลเหล่ภวัต โดยเฉพาะจักรวาลนั้น ชักสีหน้าเป็นคำถามว่ามันยังไงกัน ลูกชายถึงอุทานชื่อสาวผิดคน
ไวเท่าความคิดภวัตกระชากรถออกตัวอย่างแรง จักรวาลกับรัดเกล้าหน้าหงายเงิบไปทั้งคู่
“ว้าย” / “เฮ้ย” สองพ่อลูกอุทานพร้อมกัน
บุษบาหน้าคว่ำ “ได้ไงเนี่ยภวัต ไม่ทักบุษเลยสักคำ”
อิงอรค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างหมั่นไส้แต่ไม่จริงจังอะไร แต่ค้อนยังไม่ทันสุดวง บุษบาห็กระชากรถตามติดรถภวัตไป อิงอรยังไม่ได้ปิดประตู แทบตกรถ
“ว้ายๆๆๆๆ...ว้ายย”
แนนนี่อยู่ในชุดจินนี่ หลับสนิทอยู่บนเตียงในตะเกียงแก้ว หน้าตาอิดโรย ดูเหมือนคนป่วยหนักมาก เพราะโดนพลังอสูรทำร้ายไปไม่ใช่น้อย ทาฮิร่าห่วงใยมาก
ทาฮิร่าหันไปพูดกับตะเกียงแก้ว “ต้องดูแลหลานฉันเท่าชีวิต”
“พูดเป็นครั้งที่ล้านแล้ว” ชิกเก้นแซว
ทาฮิร่าตบเพี๊ยะที่ชิกเก้น “ฉันจะพูดอีก จะพูด จะพูด จะพูด แกไม่มีญาติพี่น้องแกไม่รู้หรอกว่าความรักความห่วงใยเป็นยังไง”
“ฟังนางพูดเข้า ช่างแบ่งชั้นวรรณะ แมวก็มีหัวใจนะ ฮึ่ งอนแระ” ชิกเก้นบ่นงึมงำ
“อย่าทะเลาะกัน ฉันรับรอง แนนนี่อยู่ในนี้จะปลอดภัย” ตะเกียงแก้วสรุป
“แก ชิคเก้น เฝ้าที่ซ่อนตะเกียงด้วยชีวิตเหมือนกัน อย่าให้อสูรหรือใครๆ รู้ว่าอยู่ที่ไหน” ทาฮิร่ากำชับเสียงเขียว
“ในที่สุดชิคเก้นก็มีตัวตนกับเขาเหมือนกัน รับด้วยความภาคภูมิใจที่สุดครับผม” แมวสีนิลยกขาทำท่าวันทยหัตถ์
ทาฮิร่ามองร่างแนนนี่ที่หลับอยู่ด้วยความรักและห่วงใยสุดซึ้ง สัมผัสหลานรักละมุนอ่อนโยน
“หลานคือหลานของยาย ยายจะปกป้องดูแลหลานด้วยชีวิต แม้ว่า หลานจะเป็นอสูรก็ตาม การที่หลานช่วยพี่ของหลานจนตัวเองเกือบตาย พิสูจน์แล้วว่าหลานก็มีเลือดฝ่ายดีอยู่ไม่น้อย ยายจะ
ทำให้เลือดส่วนนี้ชนะส่วนร้ายให้ได้”
ทาฮิร่ามองแนนนี่ด้วยความรักความเมตตา สุดหัวใจ ในขณะที่แนนนี่ยังคงหลับสนิท
ดารกานั่งอิงพนักหัวเตียงในห้องตัวเอง ออกอาการเหมือนคนป่วยหนัก และบาดเจ็บอย่างน่าสงสาร จริงครึ่ง เสแสร้งครึ่ง มีรอยฟกช้ำตามตัว
ทุกคนในห้อง ทาฮิร่า ปัทมน ดารกา อิงอร บุษบา รัดเกล้า ภวัต จักรวาล ธานี และปีเตอร์ รู้เรื่องกันหมดแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ดารกาแต่งขึ้นมาใหม่ว่า
มีผู้ร้ายทุบกระจกเข้ามาจะลักทรัพย์สิน มีเศษกระจกที่แตกตอนที่อสูรสดับโดนแสงแห่งพุทธคุณอัดกระเด็นออกไปเป็นพยานให้ดูน่าเชื่อถือ แล้วเข้ามาทำร้ายดา รกา ดารกาเล่าถึงแค่นี้
“สรุปว่าคนร้ายมาสองหรือสามคนน้องดาไม่แน่ใจ พวกมันทุบกระจกหน้าต่างเข้ามา” ทุกคนฟังจักรวาลลำดับเหตุการณ์ มองไปที่ภาพหน้าต่างบานที่แตก “แนนนี่หนีไปตอนชุลมุนกัน น้องดาโดนมันทำร้าย แต่มันเอาอะไรไปไม่ได้เพราะบังเอิญมีคนมาเห็นเข้าพอดี มันเลยหนีไป”
“ใช่ค่ะ” ดารการับคำ
ทาฮิร่ามองหน้าดารกาอย่างเหยียดเย้ย รู้ทันทีว่าดารกาโกหก ดารกาเสมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตากับทาฮิร่า
“แล้วยัยแนนนี่ตัวร้ายไปไหน เปิดหนีทิ้งพี่ให้โดนคนเดียวละสิ” บุษบาด่าแนนนี่
ทาฮิร่ากระแทกเท้าด้วยความโกรธ คันปากอยากจะด่า ชิกเก้นแอบอยู่ใต้บริเวณชายกระโปรง เขี่ยเท้ายิกๆ เตือนสตินายหญิง
“เย็นไว้ เย็นไว้...สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา”
ทาฮิร่ากระแทกเท้าอีก ชิกเก้นโดนไปหน่อยๆ แต่กลิ้งโค่โล่
“ว้าย แมวเจ็บนะ เวรก๊ำ เวรกรรม ทำไมฉันถึงเปิดเผยตัวไม่ได้สักที ต้องอยู่แม้ใต้กระโปรงนาง”
“เงียบ” ทาฮิร่าตวาดชิกเก้น
บุษบานึกว่าทาฮิร่าว่าตัวเอง รีบหุบปากหมับ คนอื่นๆ สะดุ้งต่างๆกันไป รัดเกล้าแอบชอบใจสะใจ
“สม ปากไวไปทั่ว โดนซะบ้าง”
ธานีกระซิบกัด “ได้ยินนะ เรื่องผสมโรง พลอยว่าคนอื่นเขานี่ละเก่งนัก”
รัดเกล้าถองธานีจนจุกไป
ทาฮิร่าแสร้งกระแอมกลบเกลื่อน “เอ่อ ไม่ได้ตั้งใจเสียงดังนะจ๊ะ แต่คุณแม่เขานั่งอยู่นี่ จะพ่นพิษใส่ลูกเขาก็....” ทาฮิร่าทิ้งค้างไว้ให้บุษบาคิดเอง
“บุษพูดความจริง ใช่มั้ยจ๊ะน้องดา”
ดารกายิ้มบางๆ ดูเหมิอนคนป่วยหนักน่าสงสาร
อิงอรซึ่งควงแขนจักรวาลอยู่หมับตั้งแต่เข้ามาเสริมขึ้น
“อุ๊ย หนูบุษ พูดจริงขนาดนี้ น่ากลัวนะคะ น่ากลัวว่าชายจะขยาดปากหนูกันทั้งประเทศ”
จักรวาลเกือบหลุดปล่อยขำ กลั้นไว้สุดฤทธิ์
บุษบาปรี๊ดสวนกลับทันที “แล้วน้าอิงล่ะคะ”
“ปีเตอร์ว่าน้าอิงพูดโดนมาก แก่แร่ดเหลาเหย่อย่างเจ๊ก็แทบหาผัวไม่ได้แล้ว แล้วยังปากเน่าอีก แถมเงินร้อยล้านยังเอาแต่เงินเลย” ปีเตอร์ด่าบุษบาเต็มๆ
จักรวาลแอบหลุดหัวเราะออกมานิดหนึ่ง แล้วรีบทำเก๊กกลบเกลื่อน
บุษบากรี๊ดแต่ไม่ดังมากเพราะถูกมองอยู่ “อ๊าย ไอ้เด็กนรก”
“ผมขอตัวไปรอข้างล่างนะครับ”
อิงอรคว้าแขนจักรวาลไว้ “อิงไปด้วยค่า”
“หายเร็วๆ นะจ๊ะน้องดา”
ดารกาไหว้อย่างนอบน้อมสวยงาม
“ขอบพระคุณค่ะ”
รัดเกล้าตามพ่อไปด้วย บ๊ายบายน่ารักๆบอกเสียงเบาๆ “หายเร็วๆ นะ”
บุษบาจะเล่นงานปีเตอร์ต่อ แต่ปีเตอร์ทำหน้ากวนใส่
“บุษครับ ผมขอ” ภวัตตัดบทด้วยการขอร้อง
บุษบาหวานขึ้นมาทันควัน “ภวัตขอ บุษก็ให้ค่ะ”
“แหวะ” ชิกเก้นสุดจะทนไหว
ทุกคนหันขวับสงสัยว่าเสียงใคร มองมาทางทาฮิร่า เพราะเสียงอยู่ตรงนี้
ทาฮิร่ารีบแถไปเรื่องอื่น
“ในฐานะที่ฉันอาวุโสที่สุด เชิญทุกท่านรับของว่างนะคะ น้องดาจะได้พักผ่อนมากๆ ด้วยค่ะ”
“ปีเตอร์ไม่ไป จนกว่าจะรู้ว่าแนนนี่อยู่ที่ไหน” ปีเตอร์พูดซีเรียส
ภวัตชะงักกึก ด้วยความหึง หันไปมองจ้องปีเตอร์
ปีเตอร์คาดคั้นดารกา “ว่าไงพี่ดา แนนนี่ไปไหน หรือว่าโดนผู้ร้ายจับตัวไป แล้วพี่ดาไม่ยอมบอกพวกเรา จะให้แนนนี่โดนฆ่าตาย คุณจะได้หมดคู่แข่งใช่มั้ย”
ทุกคนเหวอกับคำพูดแรงส์ ของปีเตอร์กันหมด
ชิกเก้นพึมพำอยู่ใต้กระโปรง “แรงไปมั้ย คุณพระเอก”
ดารกาเสียใจกับคำพูดปีเตอร์ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
ปีเตอร์ยังคงคาดคั้น “บอกมา หรือว่าผู้ร้ายมันจับแนนนี่ไปเรียกค่าไถ่ ปีเตอร์มีเงิน มันจะเอากี่พันล้านบอกมา ปีเตอร์จะเอาเงินมาเดี๋ยวนี้เลย”
ภวัตซึ่งทั้งหมั่นไส้ทั้งฉุน ทั้งหึง โมโหก็ด้วยที่ปีเตอร์อวดหล่อ อวดรวย
“เว่อร์ไปมั้ยนายปีเตอร์ พูดอะไรน่ะ คนเขาขวัญเสียกันทั้งบ้าน นายยังพูดอะไรบ้าๆ”
ดารกาเริ่มบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจ
“ทำไมต้องหนีความจริง ทำไมทุกคนไม่กล้าเผชิญความจริง ปีเตอร์พูดความจริง ปีเตอร์ผิดตรงไหน”
ระหว่างที่ปีเตอร์พูดว่าปีเตอร์พูดความจริง ว่าปีเตอร์ผิดตรงไหนนั้น สีหน้าดารกาเจ็บช้ำ นึกถึงคำพูดของอสูรสดับ
“ไม่มีใครหนีความจริงพ้นหรอก คนที่วิ่งหนีความจริงก็เหมือนกับวิ่งหนีเงาของตัวเอง เหนื่อยซะเปล่าๆ”
ดารกาโกรธจิกเล็บที่คอตัวเอง ที่โดนใส่ปลอกคอ จนน้ำตาร่วง ปัทมนกอดลูกอย่างห่วงใยอาทร นึกว่าลูกสาวแสนดีเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
“น้องดา... อย่าร้องไห้ แม่จะตามหาน้องให้นะจ๊ะ”
ดารการ้องไห้โฮ กอดปัทมนแน่น ไม่ได้โศกเศร้าเรื่องอื่นใด แต่เจ็บใจเรื่องชะตากรรมตัวเอง ที่ต้องถูกรัดคอด้วยปลอกคอของอสูรสดับ
ปีเตอร์ฮึดฮัด ทาฮิร่าลากไปที่ประตู ชิกเก้นแอบมุดออกมาหลบแว้บไปตอนทาฮิร่าออกเดิน
ทาฮร่าดุปีเตอร์ “มันใช่เวลามั้ย เขาเศร้าๆ กันอยู่ ลงไปก่อนไป เรื่องแนนนี่ฉันจัดการเอง รับรอง แนนนี่ไม่เป็นอะไร”
ภวัตยื่นหน้าโผล่มา แอบตามฟังตั้งแต่แรก
ภวัตยิ้มแป้นดีใจออกนอกหน้า “จริงนะครับคุณยาย”
ปีเตอร์จ้องหน้า “ยุ่ง” แล้วเดินกระแทกไหล่ภวัตลงไป
ภวัตเคือง ตามไปจะเอาเรื่อง “เฮ้ย ลูกผู้ชาย กระแทกไหล่เสียมารยาทนะเว้ย”
ปีเตอร์หันกลับมา “แล้วพี่ภวัตแอบฟัง มารยาทดีหรือไง”
ปีเตอร์เดินไป ภวัตตามไปเตียร์ บุษบาตามภวัต
“ภวัตคะ รอบุษด้วย”
ทาฮิร่าเดินกลับมาที่เตียง มองดารกาอย่างพินิจพิเคราะห์
ภวัตลงบันได ตามปีเตอร์จนทัน กระชากไหล่ปีเตอร์ ชกปีเตอร์โครม
“อยากมีเรื่องใช่มั้ย จัดให้”
ปีเตอร์พุ่งเข้าหาภวัตอย่างไม่เกรงกลัว ภวัตพุ่งเข้าหาปีเตอร์ อารมณ์จะตะลุมบอนกัน ใครๆต่างช่วยกันดึงไปล็อกตัวไว้ ชุลมุนกันอยู่ครู่หนึ่ง ภวัตกับปีเตอร์ต่างถูกล็อกตัว ฮึดฮัดใส่กัน
“พี่ภวัตมันก็ดีแต่เข้าข้างพี่ดา” ปีเตอร์ด่าอย่างเหลืออด
“แล้วนายล่ะ มีแต่เงินยัดอยู่ในกะโหลกแทนสมอง ดีแต่ใช้ความร่ำรวยสปอยล์แนนนี่”
จักรวาลปรามลูกชาย “ภวัต”
“มันจริงนี่ครับพ่อ แนนนี่คบคนอย่างนี้อยู่ได้ไงไม่รู้”
“คบอยู่ได้เพราะปีเตอร์จริงใจ ฉันมีแนนนี่คนเดียว ไม่เหมือนพี่ภวัตนี่ เดี๋ยวพี่สาวเดี๋ยวน้องสาว อย่างนี้เขาเรียกจับปลาสองมือรึเปล่า”
ภวัตใบ้กิน เพราะที่ปีเตอร์พูดมันคือจริง
“ใบ้รับประทานละสิ เถียงมาสิว่าไม่จริง”
“ปีเตอร์ พอเหอะ” ธานีห้าม
“พอก็ได้” ปีเตอร์พูดใส่หน้าภวัต “แต่ถ้าหาแนนนี่เจอ พี่ภวัตห้ามยุ่งกับแนนนี่อีก”
ภวัตอึ้งพูดไม่ออก กัดกรามจ้องหน้าปีเตอร์ แต่ปีเตอร์หน้าตาเอาเรื่องมองกลับไม่หวั่น ภวัตเจ็บที่พูดความจริงไม่ได้
ทางด้านปัทมนประคองดารกานอนหนุนตักอยู่บนเตียง
“น้องดาหนุนตักแม่นะคะ แม่จะกล่อมนอน เหมือนตอนหนูเด็กๆไงคะ”
ดารกาเอนลงหนุนตักปัท ภายในใจเหงาและอ้างว้าง จับมือปัทมนเหมือนอยากจะยึดเหนี่ยวเอาไว้เป็นที่พึ่ง
ปัทมนเริ่มฮัมเพลงกล่อมเด็กเบาๆ น้ำหวานไพเราะ อ่อนโยน รู้สึกได้ถึงความรักบริสุทธิ์ของแม่ ที่มีต่อลูก
ดารกาหลับตาพริ้ม สีหน้าค่อยเริ่มมีความสุขขึ้นมาบ้าง
ขณะเดียวกันทาฮิร่ามองจ้องดารกาเขม็ง รู้ด้วยว่าดารกากำลังหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับตน
ทาฮิร่าเริ่มส่งกระแสจิตไปที่ดารกาแกล้งหลับอยู่ โดยเสียงเพลงกล่อมของปัทมนดังคลอประสานกัน
“ฉันรู้ว่าเธอได้ยินฉัน แม่ดารกา จะบอกให้นะว่าแนนนี่ปลอดภัย ไม่สมใจเธอละสิ ที่อยากกำจัดแนนนี่เสียนักหนา...”
ดารกายังหลับนิ่ง แต่เปลือกตากระตุก บ่งบอกให้รู้ว่าเริ่มเดือด
ทาฮิร่ายังคงจ้องหน้าดารกา ส่งกระแสจิตต่อ
“แนนนี่ยังไม่ฟื้นมาเล่าอะไรให้ฉันฟัง แต่ฉันเดาได้ว่าคนจิตริษยาดำมืดอย่างเธอนั่นหละที่เป็นคนหนีไป ทิ้งให้น้องตาย”
ดารกา ลืมขึ้นทันที กลอกตาไปมา หันขวับไปทางทาฮิร่าอย่างเอาเรื่อง ทาฮิร่ายิ้มที่มุมปากเย้ยหยัน
ดารกาจ้องทาฮิร่าโดยไม่ให้ปัทมนเห็น เสียงเพลงกล่อมของปัทมนยังดังต่อเนื่อง โดยไม่รู้สักนิดว่าในขณะนั้นทาฮิร่ากับดารกาจ้องหน้ากันเขม็ง แล้วดารกาทำตาเศร้า ทำเป็นหงอดูแล้วน่าสงสาร
เสียงทาฮิร่ายังคงส่งกระแสจิตต่อ
ไม่ต้องมาเสแสร้งเศร้า ฉันไม่หลงกลเธอหรอก เธอหลอกมนุษย์ได้ แต่หลอกฉันไมได้ ฉันเห็นว่าที่คอเธอมีอะไรสวมอยู่” ทาฮิร่าหัวเราะเย้ยเสียงเย็นๆ
ดารกาตกใจมาก เผลอจับคอตัวเอง ร่างกระตุก ปัทมนรู้สึกห่วงใยลูกสาวแสนดี
“เป็นอะไรคะลูก เจ็บคอเหรอคะ ไปหาหมอมั้ย”
ทาฮิร่าจ้องดารกา ใบหน้ายิ้มบางๆ เย้ยหยัน
ดารกาไม่อาจสบตาต่อได้ รีบเบือนหน้าหลบสายตาทาฮิร่า แวบหนึ่งนั้นดวงตาดาเป็นประกายแดงวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
ดารกาอึกอักอยู่สักครู่ ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นปกติ
“คะ...ลูก ? ไปหาหมอนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ร้องดาแค่น้ำลายติดคอค่ะ”
ทาฮิร่ายิ้มอย่างรู้ทัน ส่งเสียงหัวเราะกวนประสาทไปทางกระแสจิต ดารกาสุดแค้น แต่ต้องทน
ทาฮิร่าหันไปพูดกับปัทมน
“ยายไปดูแขกข้างล่างให้นะคะ คุณปัทจะได้อยู่เป็น เพื่อนน้องดา” ทาฮิร่าพูดเป็นนัย “ขวัญเสียไม่ใช่น้อย ไม่ต้องห่วงเรื่องแนนนี่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะขอแรงพ่อภวิต กับใครต่อใครช่วยกัน”
“ขอบพระคุณมากนะคะคุณยาย”
ทาฮิร่าหันไปจ้องหน้าดารกาพูดเป็นนัย
“ไปนะจ๊ะหนูดา รักษาเนื้อรักษาตัวนะ ขอให้คุณพระคุ้มครอง”
ทาฮิร่าเดินนวยนาดลอยชายไป ดารกาแค้นสุดๆ
“นังตัวแสบ แกกับฉันเจอกันแน่” ดารกาเสียงในใจ
ทาฮิร่าหันขวับกลับมา ส่งยิ้มให้ราวได้ยินถ้อยคำของดารกา
“แล้วเจอกันนะจ๊ะ”
ดารกาหลับตาลง แบบข่มใจสุดๆ แค้นสุดๆ เสียงปัทมนร้องเพลงกล่อมต่ออย่างไพเราะ ซาบซึ้ง ดารกาค่อยๆ ผ่อนคลายด้วยเพลง ดารกาจับมือแม่มาจูบ
“น้องดารักคุณแม่นะคะ”
ปัทมนยิ้มเยื้อนให้อย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักที่มีให้ดารกา
“แม่ก็รักลูกจ้ะ”
ดารกาค่อยๆ หลับตาลง สีหน้าดูมีความสุขขึ้น
(ยังมีต่อ โปรดอ่านต่อ เวลา 19.30 น.)
เวลาต่อมาแนนนี่ยังคงพักฟื้นหลับอยู่ในตะเกียงแก้ว โดยมีทาฮิร่ากับชิกเก้นนั่งเฝ้าอย่างห่วงใย ตะเกียงแก้วเองก็มองลุ้นให้ฟื้น สักครู่หนึ่ง แนนนี่ขยับตัว แล้วค่อยๆลืมตา
ทุกคนดีใจสุดๆร้องขึ้น “ฟื้นแล้วๆๆๆ”
แนนนี่ยิ้มอย่างอิดโรย หน้าไม่เสบย ยังดูออกว่าป่วยอยู่
“ยาย......ยายจ๋า”
ทาฮิร่าดีใจจนน้ำตาเอ่อ
แนนนี่ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น ยังเจ็บปวดรวดร้าวอยู่มากจากที่อสูรสดับเล่นงาน
แนนนี่ขยับตัวก็รู้สึก ร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย...”
ทาฮิร่ารีบเข้ามาประคอง “ค่อยๆ ลุก ลูก ค่อยๆ”
แนนนี่กอดทาฮิร่าแน่น น้ำตาซึมด้วยความดีใจ
“แนนนี่นึกว่าจะตายซะแล้ว”
“ยายยังอยู่ทั้งคน จะปล่อยให้หลานตายได้ยังไง”
“คนดี แม้ผียังคุ้ม” ชิกเก้นว่า
แนนนี่เคาะกบาลชิกเก้นอย่างผูกพัน “ช่างพูดจัง ใกล้จะเป็นคนแล้วนะเนี่ย”
ทาฮิร่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น “แนนนี่...หลานต้องพักรักษาตัวในตะเกียงแก้วนี่สัก
ระยะหนึ่งก่อนนะ หากจะไปเยี่ยมคุณแม่ ยายจะเป็นคนพาไป ยายว่าอสูรมันต้องตามล่าหลานเอาถึงตายแน่นอน ยายต้องการให้หลานปลอดภัยไปจนอายุ...”
ทาฮิร่าชะงักกึก นึกได้ว่าไม่ควรพูด แนนนี่และชิกเก้นยังตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ
“จนอายุอะไรจ๊ะยาย” แนนนี่ซัก
“ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวอะไรหรอก”
“ต้องเกี่ยวสิจ๊ะ ไม่งั้นยายจะพูดทำไม” แนนนี่ยังไม่เชื่อ
ชิกเก้นเสริมขึ้นเป็นลูกคู่ “ใช่ ไม่เกี่ยวนางไม่มีวันพูดหรอก”
“เกี่ยวก็ไม่มีวันพูด อุ๊บ” ทาฮิร่าเอามือปิดปาก หลุดไปอีกแล้ว
แนนนี่รู้ทันรีบเซ้าซี้ใช้ลูกอ้อน น่ารักๆ
“บอกมาสิยาย อย่ามาหยอกแล้วหลอกให้เก้อสิจ๊ะ”
“เอาเถอะ ถึงเวลาแล้วหลานจะรู้เอง” ทาฮิร่าใจแข็งไม่ยอมบอก
แนนนี่หน้างอเริ่มกลับเป็นคนเดิม “ใครจะรอให้เวลามาถึงจริงมั้ยชิกเก้น เราต้องเป็นฝ่ายไปตามขุดความลับที่เราอยากรู้มารู้ให้ได้”
“ถูก นางสาวเริ่มกลับสู่สภาพเดิมแล้ว” ชิกเก้นหันมาพูดกับนายหญิง “นางไม่สาวจะว่าไง”
ทาฮิร่าหมั่นไส้ดีดหูชิกเก้นสุดแรง “ว่างี้ไง”
“ดูนางช่างทำกับแมวน้อยน่ารักได้ลงคอ เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“ฉันจะพูดได้บ้างละยัง” ตะเกียงแก้วขอแจม
“จะพูดอะไรก็พูดสิ ใครไปปิดปากไว้ล่ะ” ชิกเก้นว่า
“สวัสดีแนนนี่”
ทุกคนโห่ใส่ตะเกียงแก้ว แบบพูดอะไรเชยสิ้นดี ตะเกียงแก้วอายม้วนต้วน
“ไม่พูดแล้วก็ได้”
เย็นย่ำวันนั้น มาลียังอยู่ที่แผงปลา กำลังหั่นปลาให้ลูกค้า หลังจากทำความสะอาดเสร็จหมดแล้ว รอแค่หั่นเป็นชิ้นๆ พร้อมลงหม้อแกง เพื่อนบ้านรีบเข้ามา
“นังมาลี ผัวแกเมานอนเค้เก้อยู่ข้างถนนแน่ะ ตัวเป็นแผลเต็มเลย ตายแล้วก็ไม่รู้”
มาลีตกใจ ผุดลุกไปทันที “ห๊ะ”
“อ้าว แล้วปลาฉันล่ะ”
มาลีวิ่งไม่เหลียวหลัง ลูกค้าแสบ ยกปลาไปทั้งถัง
“ช่วยไม่ได้ อยากทิ้งไปเอง”
กว่าจะวิ่งมาถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว มาลีวิ่งมาจนจะถึงบ้าน ในขณะที่สดับนอนนิ่ง ร่างกายคล้ายเป็นแผลไฟลวก และเป็นริ้วๆ ซึ่งเป็นร่องรอยต่างๆ ที่สู้กับแนนนี่นั่นเอง
มาลีวิ่งมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างสดับ สดับนั่งไม่ไหวติงเหมือนตายแล้ว มาลีใจคอไม่ดี ค่อยๆ เอามืออังจมูก
“ยังไม่ถึงสารทจีนเลย มันไปลุยไฟที่ไหนมาเนี่ย พองไปทั้งตัว”
สดับนิ่งจนดูไม่ออกว่าตายหรือเป็น มาลีนิ่งสักครู่ ยังไม่รู้สึกว่าสดับมีลมหายใจหรือไม่
“ตายซะก็ดี ฉันจะได้พ้นทุกข์พ้นโศกซะที ไม่ต้องเป็นกระสอบทรายให้แกซ้อม ไม่ต้องหาเงินงกๆให้แกไปถลุง ไม่ต้อง...” มาลีชะงักค้าง สีหน้าผิดหวัง
สดับพลิกตัวส่งเสียงงึมงำ มาลีจากที่นั่งยองๆ เป็นทิ้งตัวลงนั่งอย่างเซ็งสุด
“เฮ้อ” มาลีนึกได้ว่าทิ้งปลาไว้ “เว้ย ปลาฉัน”
มาลีลุกจะออกวิ่ง สดับกระชากชายกางเกงผ้านุ่ง
“จะไปไหน...”
มาลีไม่สนใจ สะบัดหลุด วิ่งออกไป
สดับค่อยโงหัวลุกขึ้นได้ แล้วรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว
“อูย... แสบไปทั้งตัว นี่กูไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยไฟไหม้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
สดับงงกับสารรูปตัวเอง พยายามยันกายลุกยืน แล้วชะงักแข็งค้าง ตากระด้าง โดนอสูรสะกดจิตเรียก สดับลุกยืนแล้วออกเข้าไปในบ้าน สภาพเหมือนซอมบี้
ครู่ต่อมาสดับขี้เมาเดินแข็งทื่อตาลอยเข้ามาภายในห้องพิธีกรรม อสูรร้ายแผดเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั้งห้อง แล้วสักครู่สดับกระตุก ถูกอสูรเข้าสิง บรรดาร่องรอง แผลไฟไหม้พุพองตามตัวของสดับค่อยๆ หายไป ผิวคืนสู่สภาพปกติ อสูรในร่างสดับหัวเราะกึกก้อง
คืนนั้นดารกานอนหลับอยู่ในห้อง สักครู่ที่บริเวณคอก็เรืองแสงเป็นวงรอบคอ
ดารกาเริ่มกระสับกระส่าย เจ็บรอบคอนิดๆ เหมือนคอถูกรัดแน่นขึ้นอีก เสียงหัวเราะของอสูรสดับแว่วๆ มา แล้วดังขึ้นๆ
กลุ่มหมอกควันมีแสงเรืองดูทั้งสวยทั้งน่ากลัวค่อยๆ รวมตัวกัน ใบหน้าอสูรสดับเต็มร่างปรากฏเรืองแสงอยู่ในกลุ่มหมอกควันนั้น ส่งเสียงเรียก
“ดารกาลูกพ่อ....”
ดารกานอนกระสับกระส่าย มากขึ้นๆ เหมือนฝืนตัวไม่อยากตื่น แต่กลับมีพลังมาบีบบังคับให้ตื่น รอบคอดารกาเรืองแสง แต่ปลอกคอเหล็กยังไม่โผล่ให้ใครเห็น
“ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตอบแทนที่พ่อให้พลังอสูรแก่เจ้าแล้ว”
ดารกากระสับกระส่ายมากขึ้น แสงรอบคอยิ่งจ้าขึ้น ดารกาจับปลอกคอ พยายามจะดึงออก แต่ดูเหมือนปลอกคอยิ่งจะรัดแน่น
ดูเหมือนอสูรสดับจะจงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการลงโทษของอสูรที่ขัดคำสั่ง
ดารกาหายใจแรงแบบหายใจไม่ออก กึ่งละเมอกึ่งจริง “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้นอกจากพ่อ กับความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเชื่อฟังของเจ้า”
ดารกาหายใจแรง มือไขว่คว้าหาอยู่ในอากาศ อยู่ในสภาพหลับ แต่น้ำตาเริ่มไหล
“ช่วยด้วย...หาย...ใจ...ไม่...ออก”
“จงรับใช้พ่อด้วยความภักดี ตอบแทนพ่อให้พ่อพอใจ แล้วพ่อจะถอดปลอกคอให้เจ้า”
ดารกาหายใจหอบแรงมากขึ้นๆ
“พรุ่งนี้จงไปรับคำสั่งจากพ่อ ดารกา”
อสูรทำท่าทางผ่อนคลายปลอกคอ ดารกาค่อยๆ นิ่งลง หายใจสม่ำเสมอขึ้น
ดารกาพึมพำแผ่วๆ “พรุ่งนี้...ไปรับ...คำสั่ง”
ดารกาหลับลึก อสูรร้ายหัวเราะกึกก้อง ค่อยๆ จางหาย หมอกควันที่รวมตัวกันค่อยๆ จาง จนหายไปหมด
ดารกาหลับสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รุ่งเช้าวันต่อมา แท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านสดับภายในชุมชนท้ายซอย ดารกาก้าวลงจากรถ แต่งกายในสภาพปกปิดไม่ให้ใครจำได้ ดารการีบเดินผลุบหายเข้าไปในบ้าน
ดารกาเข้ามาในบ้าน ท่าทีหวาดหวั่น และรู้สึกถึงความโหดเหี้ยม อำมหิตเยือกเย็นที่เจอกับตัวเองเมื่อวานนี้ เสียงอสูรหัวเราะแว่วมาจากห้องพิธีกรรม ดารากาหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง
“ดีมาก...ดารกาลูกพ่อ เจ้ารู้ ว่าจะพบพ่อได้ที่ไหน”
ดารกาเดินไปทางห้องพิธีกรรม
มาลีกำลังเดินหิ้วถังหรือกะละมังเปล่ามา หลังจากขายปลาหมดแล้ว มาลีสะดุดตาความเคลื่อนไวในบ้าน เขม้นมอง แล้วรีบเดิน
มาลีอยู่นอกบ้าน เห็นดารกาเดินผ่านหน้าต่าง มาลีคุ้นๆ
“ท่าทางเหมือนคุณหนู” มาลีดีใจ “คุณหนูมาหาเรา เอาเงินมาให้เราใช้อีกละมั้ง”
มาลีวิ่งถลาเข้าไป
มาลีวิ่งหน้าตาดี๊ด๊าเข้าบ้าน “คุณหนูขา...”
ประตูห้องพิธีกรรมเพิ่งปิดสนิทไป มาลีเสียดาย “ไม่ทันซะและไม่เป็นไร...เพื่อเงิน มาลีรอได้...” มาลียิ้มอย่างสุขใจ “วันนี้เฮงจริงๆ” ควักเงินออกมานับ “ขายของก็ขายดี คุณหนูยังเอาเงินมาให้อีก”
แต่แล้วมาลีต้องชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงอสูรแว่วมา
“ดีมาก ดารกาลูกพ่อ...”
มาลีช็อก อ้าปากค้าง “ดารกา... ทำไมคุณหนูคนนี้ชื่อดารกา...หรือว่าตะกี้เราจำคนผิด”
มาลีเริ่มพล่าน ตื่นเต้นว่าคนที่เคยให้เงินตลอดมาที่แท้เป็นดารกา
“ไม่ผิดแน่ แต่ทำไม...” มาลีทำท่าแบบไม่ค่อยกล้าเรียก “...ลูก...ต้องโกหกเราด้วย”
อสูรร้ายสั่งงานดารกาเสร็จแล้ว แตะมือเบาๆ ที่คอดารกา
“เจ้ายังต้องสวมปลอกคออยู่ เพื่อพ่อจะแน่ใจว่าเจ้าจะเชื่อฟังพ่อ หากเจ้าทำงานครั้งนี้สำเร็จ พ่อจะคลายมนต์ให้บ้าง เมื่อไรที่เจ้าทำงานใหญ่ให้พ่อสำเร็จ พ่อจะถอดให้เจ้า และแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้
สืบทอดอำนาจต่อจากพ่อ”
ตลอดเวลาดารกาฟังอย่างนิ่งสงบ สีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
“ไปเริ่มงานของเจ้าได้แล้วดารกาลูกพ่อ”
มาลีได้ยินชื่อดารกาอีกครั้ง มั่นใจ ตื่นเต้น
“ดารกาจริงๆ ลูกสาวแม่แสนสวย...สวยเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าโตขึ้นแล้วจะสวยขนาดนี้ น้ำใจก็งาม เอาเงินมาให้แม่ใช้ ลูกจ๋า...” หน้าตามาลีตกอยู่ในห้วงฝันเพ้อ
ดารกาค่อยๆ แง้มประตูออกมา สวมแว่นดำ ยังไม่เห็นมาลี แล้วเปิดประตูออกมา ชะงักกึกเมื่อเห็นมาลี
มาลียิ้มร่าวิ่งถลาจะเข้าไปหาดารกา และกำลังจะอ้าปากเรียกชื่อลูก
อ่านต่อหน้า 2
แจ้งเพื่อทราบและขออภัย
สืบเนื่องบทละครโทรทัศน์ "อสูรน้อยฯ" ตอนที่ 15 ที่ออกอากาศเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา (ตรงกับบทตอนที่ 18 ในละครออนไลน์) ได้รับแจ้งจากบ.ดีด้า ว่าถ่ายทำแล้วเสร็จในวันเสาร์ ที่ 18 ก.พ. (หลังจากถ่ายทำติดต่อกัน 4 วันเต็ม ย้ำ 4 วันเต็ม...อ๊อฟ-ชนะพล ต้องพัก เข้าให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล...ตามข่าว) แต่เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด การประสานงานเรื่องบทโทรทัศน์ จึงทำได้ไม่สะดวกนัก จนเป็นเหตุให้ทีมงานละครออนไลน์ไม่สามารถขึ้นบทละครตอนดังกล่าวได้ครบและสมบูรณ์ และสำหรับตอนที่เหลือ (อีก 6 ตอน ออกอากาศ รวม 21 ตอน) ทีมงานจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้แฟนละครได้อ่านบทโทรทัศน์ก่อนออกอากาศ ...และหากที่ผ่านมา ทำให้แฟนละคร "อสูรน้อยฯ" ขัดเคืองใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 18 (ต่อ)
อสูรสดับปรากฏตัวขึ้นข้างหลังดารกา ร่ายมนต์ใส่ มาลีชะงักค้าง ร่างแน่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูด ดารกาไหว้มาลีแล้วรีบไป เสียงสดับดังก้องไปมา
“นังมาลี แกจะไม่พูดว่าดารกาคือลูกของแก แกจะไม่จำอะไรที่แกรู้เห็นวันนี้....”
พริบตาเดียว มาลีรู้สึกตัว รู้สึกมีอะไรค้างในหัว แต่นึกไม่ออกว่าคืออะไร
มาลีคิดแล้วคิดอีก
“เอ๊...ตะกี้ฉัน...ฉันจะทำอะไรน้า...”
มาลีคิดไม่ออก สดับกระชากเงินไปจากมือ
“คิดจะเอาเงินมาให้ฉันใช้นี่ไงล่ะ”
สดับเดินออกไปเลยทันที
“เฮ้ย นั่นเงินค่าเช่าบ้านนะพี่ ค้างเขามาสามเดือนแล้ว วันนี้เขาจะมาเอา...”
สดับไปไกลลิบแล้ว มาลีหมดแรง ทรุดนั่ง “หมดกัน”
แล้วมาลีคิดอีก
“ตะกี้จะทำอะไร ไม่ได้จะเอาเงินให้ไอ้บ้านั่นแน่ แต่ทำไมคิดไม่ออกว้า”
มาลีหงุดหงิด เคาะหัวตัวเอง
ชิกเก้นกับตะเกียงแก้วทะเลาะกันลั่นในตะเกียง เพราะแนนนี่หายไป
“หล่อนเป็นตะเกียง หล่อนต้องรับผิดชอบสิ ปล่อยแนนนี่หายไปได้ยังไง”
“แกก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน คุณยายทาฮิร่าให้แกเฝ้าทั้งฉันทั้งแนนนี่ แกต้องรับผิดชอบมากกว่าฉัน” ตะเกียงแก้วเถียง
“โอ๊ย ยิ่งพูดยิ่งวนอยู่ในอ่าง เอ๊ย ยิ่งวนอยู่ในตะเกียง เกิดแนนนี่ถูกอสูรจับตัวไปแล้วจะทำไงเนี่ย”
ชิคเก้นเผ่นแผล็วออกจากตะเกียง
“เจ้าประคู้ณณณณณ... คุณยายทาฮิร่าอย่าเพิ่งมานะ ตายยกรังแน่”
ภวัตอยู่ที่บ้าน เนื่องจากเป็นวันหยุด และกำลังดูตำราแพทย์ แนนนี่ปรากฏตัวแว่บขึ้นตรงหน้า
“พี่ภวัต”
“แนนนี่” ภวัตดีใจสุดๆ ลืมตัว รีบมากอดแนนนี่ไว้แน่น
แนนนี่ยิ้มมีความสุขมากในอ้อมกอดชายผู้ที่เธอรักสุดหัวใจ “แนนนี่คิดถึงพี่ภวัตที่สุดในโลก”
“พี่ก็คิดถึงแนนนี่ที่สุดในโลก”
สองคนยังกอดกัน แล้วหน้าตาแนนนี่เจ้าเล่ห์ขึ้นทันใด แนนนี่ผละออกจากภวัต กระชากมือภวัตหมุนรอบตัว ปากขมุบขมิบร่ายคาถา แล้วสองคนหายวับไป
“อย่า แนนนี่” ภวัตร้องลั่นก่อนร่างจะหายวับไป
พร้อมๆ กับเสียงแนนนี่หัวเราะคิกคักแว่วๆ มา ในสายลม
แนนนี่กับภวัตอยู่ชุดแขกทั้งคู่ โผล่เข้ามาในตะเกียงแก้ว
“โธ่...แนนนี่ นิสัยนี้ไม่ยอมหายจริง”
“ก็เรารักกันที่สุดในโลก...” แนนนี่กอดภวัตแน่น
“อุ๊ย”ตะเกียงแก้วร้องเขินๆ
“เราคิดถึงกันที่สุดในโลก” แนนนี่ว่า
ตะเกียงแก้วเขินอีก “อุ๊ย”
“เราก็มานอนคุยกันให้หายคิดถึงสิคะ” แนนนี่บอก
คราวนี้ตะเกียงแก้วตกใจ“ว้าย มากไปมั้ย”
ภวัตส่ายหน้าระอา แต่ก็เอ็นดู “แต่ไม่ใช่วิธีลักพาตัวพี่แบบนี้นะแนนนี่”
แนนนี่งอนแบบน่ารัก “ไม่ลักพา แล้วพี่ภวัตจะมาหาแนนนี่มั้ยล่ะคะ”
ชิกเก้นโผล่พรวดเข้ามา ในสภาพขนฟูทั้งหัว ต่อว่าทันที
“แนนนี่ ต่อไปห้ามหายไปโดยไม่รายงานนะ แมวหัวใจจะวาย”
แนนนี่ขำแมวหัวฟู หัวเราะคิกคักกับภวัต
“โอ๋ๆ ตามหาแนนนี่จนหัวฟูเลยเหรอ”
“มันใช่เวลาพูดเล่นมั้ย อสูรมันตามล่าอยู่น่ะ”
คำพูดของชิกเก้น ทำเอาอึ้งกันไปหมดทั้งตะเกียง
เวลาเดียวกันดารกานั่งนิ่ง สีหน้าตาไร้ความรู้สึก คิดถึงคำสั่งของอสูร
“เริ่มแรก เจ้าต้องตามหาตะเกียงแก้วให้เจอ...”
เหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าลอยเข้ามาในความคิดดารกา ขณะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องพิธีกรรม ดารกาฟังคำสั่งอย่างสงบสีหน้าไร้ความรู้สึก
“...ทำลายตะเกียงแก้ว แล้วจับตัวแนนนี่มาให้พ่อ”
ดารกาทวนคำสั่งแบบไร้ความรู้สึก “หาตะเกียงแก้ว ทำลายตะเกียงแก้ว จับตัวแนนนี่มา”
“ถูกต้อง ไปทำตามนี้ก่อน จำไว้ว่าที่สำคัญที่สุดคือแนนนี่ หากแนนนี่ยังอยู่ จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อเจ้า ดารกา...”
ดารกายังนั่งยิ่งราวไร้วิญญาณ เสียงอสูรก้องดังไปมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หากแนนนี่ยังอยู่ จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อเจ้า...หากแนนนี่ยังอยู่ จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อเจ้า”
ดารกาพึมพำกับตัวเอง “หากแนนนี่ยังอยู่ จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อเรา”
ดารกาค่อยๆ คืนสู่ความปกติ
“แล้วตะเกียงแก้วอยู่ที่ไหน”
“รอเดี๋ยว” ชิกเก้นโดดแผล็วหายออกไปจากตะเกียง สักครู่ ตะเกียงโคลงเคลงชนิดคนข้างในหัวทิ่มกลับหัวกลับหางกันไปเลย
“เย่ย” ภวัตตกใจ
“ว้าย” แนนนี่ ร้องพร้อม ตะเกียงแก้ว
ภวัตกับแนนนี่กลิ้งกันไปมาอยู่บนพื้น
ด้านนอกตะเกียง ที่แท้ชิกเก้นกำลังคาบตะเกียงแก้ววิ่งเข้ามาในห้องพระ หาที่ซ่อนตะเกียง
ส่วนภายในตะเกียง ภวัตกับแนนนี่ยังกลิ้งกันไปมา ตะเกียงแก้วก็กลับหัวกลับหาง
“โอ๊ย จะโคลงอีกนานมั้ยชิกเก้น เมาตะเกียงยิ่งกว่าเมาเรืออีกนะ” แนนนี่โวยวาย
ในที่สุดชิกเก้นก็ยิ้มออกมา เมื่อเจอที่เหมาะที่สุด บริเวณใต้ฐานพระพุทธรูป นั่นเอง ชิกเก้นรีบคายตะเกียงออกจากปาก ซ่อนไว้
ภายในตะเกียง เข้าสู่ภาวะปกติ ทุกคนโล่ง ชิกเก้นเข้ามา
“เรียบโร้ย...”
“กว่าจะเรียบโร้ยคอแทบหักตาย” แนนี่ว่า
“พี่จะกลับนะจ๊ะแนนนี่” ภวัตบอก
“ไม่ให้กลับ”
“พรุ่งนี้พี่ต้องทำงาน แล้ว...แนนนี่คงเข้าใจนะว่าพี่ต้องรักษาเกียรติ ของแนนนี่ด้วย พี่ค้างไม่ได้ แนนนี่จะเสียหาย”
แนนนี่เริ่มเกเร พาล และเอาแต่ใจ “แนนนี่มีอะไรจะเสียหายไปกว่าที่เสียอยู่แล้วอีกเหรอ”
ภวัตพูดกลับนิ่มๆ เอาใจ และจากใจด้วยความรักที่ซ่อนอยู่ “ไม่เอา อย่าเกเรสิ แล้วพี่จะมาหาอีก”
แนนนี่แอบยิ้ม แล้วเก๊กวีนต่อ
“งั้นแนนนี่ไม่ไปส่ง”
“ถูกต้อง ไม่ต้องไปส่งยั่วน้ำลายอสูร คุณภวัตเดินไปเองได้ เชิญคร้าบ” ชิกเก้นบอก
แนนนี่แตะหน้าผากภวัต) “ขอโทษนะคะที่ต้องทำ ยายสั่งไว้ค่ะ พี่จะลืมว่าตะเกียงแก้วเก็บอยู่ที่ไหน”
ชิกเก้นพาภวัตหายออกไป มายืนโผล่อยู่ในห้องโถง บ้านปัทมน
เสียงดารการ้องขึ้นอย่างดีใจ “พี่ภวัตคะ”
ภวัตหันไป “น้องดา”
“พี่ภวัตมาหาน้องดาเหรอคะ”
ภวัตอึ้งไปนิด ดารการู้ทันทีว่าภวัตคงมาถามเรื่องแนนนี่ นัยน์ตาวาววับร้ายกาจ แล้วแอ๊บดี
“หรือว่ามาถามเรื่องแนนนี่คะ”
“ทั้งสองอย่างจ้ะ แนนนี่กลับมาหรือยังจ๊ะ”
“ยังค่ะ”
“เขาไปอยู่ไหนของเค้านะ” น้ำเสียงภวัตเอ็นดูมากกว่าตำหนิ “ยัยเด็กเกเร”
ดารกาจับน้ำเสียงได้ โกรธขึ้นมาทันที พูดเสียงดังอยู่ในใจ
“นั่นสิ แกไปอยู่ไหน ฉันก็อยากเจอแกที่สุด นังแนนนี่”
หลายวันต่อมาแท๊กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านปัทมน ดารกาจ่ายเงินแล้วก้าวลงมา เปิดประตูเล็กเข้าไปในบ้านอย่างรีบร้อน
“คุณดา....คุณดาไปไหนมาคะ”
พรเจอจึงร้องทัก แต่ดารกาไม่พูดไม่จาเดินต่อไป แต่พอเดินไปได้ 2-3 ก้าว แล้วดารกาเหมือนนึกได้หันมา
“คุณดาไปไหนมาคะ” พรถามอีก
“ไปบ้านเพื่อนจ้ะ... น้องดาลืมหนังสือไว้ที่บ้านของเขา”
“อ้อ...”
“หายข้องใจแล้วนะ” ดารกายิ้มให้
“พี่พรน่ะไม่ได้ขอร้องใจอะไรหรอกค่ะ...แค่เป็นห่วงคุณดาเท่านั้น”
“ขอบใจจ้ะ”
ดารกาเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีพรมองตามอย่างแปลกใจ
ดารกาเดินขึ้นบันไดมา แล้วตรงไปที่หน้าห้อง มือของดารกาหมุนลูกบิดจะเปิดประตูห้อง จังหวะนั้นดารกา เบือนหน้าไปทางห้องพระ เห็นแสงสว่างเรืองรอง ครอบคลุมบริเวณห้องพระนั้น มีเสียงสวดมนตร์ดังแว่วมา ดารกาเม้มปากอย่างขัดเคืองใจ เปิดประตูเดินเข้าห้อง
ดารกาล็อคประตูห้องแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง สีหน้าเย็นชาดูแข็งกระด้างไร้ความรู้สึก ไม่มีชีวิตชีวา
เสียงอสูรร้ายดังแผ่วๆ มา แม้ไม่ดังมากแต่เป็นเสียงที่ทรงอำนาจ และหนักแน่น
“เจ้าต้องหาที่ตั้งเมืองเวทมนตร์ให้ได้ เพื่อบ่อนทำลายมันทีละน้อยจนกว่าจะถึง 3 ปี ข้างหน้า”
สีหน้าดารกาใคร่ครวญครุ่นคิด จังหวะหนึ่งดารกาเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง นิ่งอยู่สักครู่หนึ่งทอดสายตามองไป ด้วยสีหน้านิ่งสนิท ครู่ต่อมาจึงค่อยๆ ผุดรอยยิ้มเย็นชาออกมาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เวลาเดียวกัน บาบาร่าในร่างแม่บ้านบานเย็นกำลังก้มๆ เงยๆ มองหาอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็เห็นแมงป่องเลื้อยอยู่บริเวณใต้พุ่มไม้ มือบาบาร่าคว้าหมับอย่างว่องไว แล้วหันกลับมา แต่แล้วบาบาร่าต้องสะดุ้ง ยืนอยู่อย่างเงียบกริบ 2 มือไขว้หลัง
“คุณหนูดารกา ... มายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
ดารกายิ้มใสซื่อให้ทันที “เมื่อกี้นี้เองค่ะ...พอดีน้องดาเห็นป้าบานเย็นก้มๆ เงยๆ จะจับอะไรอยู่ ก็เลยไม่กล้ารบกวน”
“อ๋อ ... ป้ามาดูว่าแถวนี้มีปลวกหรือเปล่าน่ะค่ะ”
บาบาร่า รีบเสกแมงป่องในมือหายไป เป็นจังเดียวกับที่ดารกายื่นถุงที่ซ่อนไว้ข้างหลังส่งให้
“น้องดาซื้อเทียนหอมมาฝากป้าบานเย็นน่ะค่ะ”
บานเย็นเปิดถุงดู เห็นเทียนหอมในภาชนะรูปทรงต่างๆ สวยงาม
“น้องดามีความรู้สึกว่า เทียมหอมเหมาะกับการทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์”
สีหน้าบาบาร่าเหมือนจะกระตุกขึ้นมานิดหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ขณะเงยขึ้นมองดารกา
ดารการู้ตัวรีบพูดกลบเกลื่อนอย่างใสซื่อ
“น้องดาเคยเห็นในหนังค่ะ...จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร แต่นางเอกจุดเทียนหอมไว้มุมต่างๆ ในห้อง ...น้องดาชอบมาก เลยซื้อให้ตัวเอง แล้วก็ฝากป้าบานเย็น”
บานเย็นบาบาร่าบานค่อยยิ้มออก “ขอบใจมาก...” เว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “ใครจะไปรู้ ...ป้าอาจเอาไปใช้ในพิธีกรรมของป้าก็ได้”
บาบาร่าหัวเราะ นัยน์ตาแฝงความนัยด้วยคิดว่าดารกาไม่รู้เรื่อง
และดารกาหัวเราะตาม ด้วยท่าทีใสซื่อเช่นเคย
บาบาร่าเปิดประตูให้ดารกาเข้ามาในห้อง แล้วปิดล็อก ไทเกอร์เงยหน้าขึ้นมามอง
“เมี้ยว”
“แมวป้าหรือคะ...น้องดาไม่เคยเห็นเลย”
“ป้าเกรงใจเจ้าของบ้าน ก็เลยให้อยู่แต่ในนี้”
ดารกาจ้องทำท่าจะลูบขน...ไทร้องลั่น ดารกาจ้องหน้าไทเกอร์ “ ...ชื่ออะไรคะ”
“ไทเกอร์ค่ะ...ลายมันเหมือนเสือ” บาบาร่าบอก
“น่ารักจัง แต่ท่าทางเขาดูตื่นๆ คนแปลกหน้านะคะ”
“ถ้าหนูมาบ่อยๆ...มันก็จะเคยชินไปเอง”
ดารกามองไทเกอร์...ไทเกอร์ร้อง “เมี้ยว”
“น้องดากลับละค่ะ...ถ้าป้าบานเย็นจะจุดเทียนหอมเมื่อไหร่ก็บอกน้องดาด้วยนะคะ”
“แน่นอน”
ดารกาเปิดประตูเดินออกไป โดยไม่ลืมหันมาโบกมือ
“บ๊าย...บายค่ะ”
พอออกมาพ้นห้องดารกายืนยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้น
ไทเกอร์ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาทันที “ทำไมไทเกอร์ขนลุกก็ไม่รู้”
“เพราะแกไม่เคยอยู่ใกล้ชิด หรือถูกตัวมนุษย์มาก่อนน่ะซิ...ฉันรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้
อย่างประหลาด” บาบาร่าออกอาการปลื้มดารกาอีกแล้ว
“แหม...เห็นคุณยายทาฮีร่าชอบรับเลี้ยงเด็ก ก็เลยจะเลี้ยงบ้างใช่มั้ยล่ะ”
“เด็กของฉันเป็นมนุษย์...นิสัยใจคอเรียบร้อยน่ารัก แต่เด็กของทาฮิร่าเป็นอสูรร้ายกาจ...มันต่างกันตรงนี้”
ขณะพูดสีหน้าบาบาร่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
ตอนค่ำวันนั้น แนนนี่อยู่ในห้อง รับถ้วยยาจากทาฮิร่ามาดื่ม แนนนี่จิบนิดเดียวก่อน แล้วทำหน้าเบ้
“ขมปี๋เลย”
“ก็ปรุงจากดีงูจูงอาง 5 ตัว ดีงูเง่า 5 ตัว ดีงูแสงอาทิตย์ 5 ตัว มาผสมกันคลุกเคล้าด้วยสมุนไพรเมืองเวทมนตร์อีก 10 ชนิด…ทำไมจะไม่ขมล่ะ” ชิกเก้นพูดคล่องปรื๋อ
“ดื่มให้หมดเลยลูก แนนนี่” ทาฮิร่าเชียร์ให้หลานรักดื่มยาที่ตัวเองปรุง
แนนนี่กลั้นใจดื่มจนหมดถ้วย แล้วดื่มน้ำตาม
“จะบอกความลับให้นะ แนนนี่” ชิกเก้นเอ่ยขึ้น
“ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าดุทันที
แนนนี่ถามทั้งที่หน้ายังเบ้ขมยาอยู่ “ความลับอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกหลานรัก” ทาฮิร่าพยายามตัดบท
“ความลับก็คือไอ้เจ้ายาสารพัดดีงูเนี่ย...คุณยายทาฮิร่าแกยังไม่เคยกินเองเลย!”
“อ้าว!”
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี! เวลาฉันกิน แกก็ไม่เห็น!” ทาฮิร่าเถียง
“ก็ไม่กินซักที ชิกเก้นจะเห็นได้ยังไง! โอ๊เย!”
ทาฮิร่าตั้งท่าร่ายคาถาเตรียมสาป “อัม...แค็ทตี่...เดอร์ซี...”
แนนนี่รีบห้ามชวนคุยเรื่องอื่น “ยายจ๋า! ยายรู้หรือยังว่า แนนนี่กำลังเรียนตำราอสูรพิลาป”
“ว่าไงนะ!” ทั้งทาฮิร่า ชิกเก้น ประสานเสียง หันขวับมาพร้อมกันทันใด ตาเบิกกว้าง
“อยู่ดีๆ ตำรานี้ก็มาหาแนนนี่เอง แต่มาทีละหน้า...พอแนนนี่ท่องได้แล้วก็จะหายไป!”
“แนนนี่...โอ๊ย! ตื่นเต้น..ตื่นเต้น! ตำราเล่มนี้หายไปจากนครเวทมนตร์ หลายร้อยปีมาแล้ว...แล้วตอนนี้...
ตอนนี้มันมาหาแนนนี่! ตื่นเต้น ... ตื่นเต้น!ว่าแต่แนนนี่ท่องแล้วอย่าลืมเป็นอันขาดเชียวนะ!” ทาฮิร่าดีใจเอามาก
“โธ่! คุณย้าย ... ย ... แนนนี่เขาไม่ขี้ลืมเหมือนคุณยายร้อก! อะฮ้า! … ถ้าตำรานี้มาหาแนนนี่ แนนนี่ต้อง
ย่อมไม่ใช่อสูรน่ะซิ!” ชิกเก้นว่า
ทาฮิร่าชะงัก มองหน้าแนนนี่อย่างเพ่งพิศ ในขณะที่แนนนี่อึ้งกับสิ่งที่ชิกเก้นบอก
ดารกานั่งอยู่บนเตียง ในท่าขัดสมาธิ หันหน้าเผชิญกับรูปปั้นอสูร แล้วหลับตาลง ปากพึมพำคาถา
นัยน์ตาดารกาลืมขึ้น แล้วเงยหน้า แสงสีเขียวพุ่งจากนัยน์ตาคู่นั้นไปยังไฟบนเพดาน ไฟดับวูบลงทันที
ไฟในห้องแนนนี่กระพริบดับๆ ติดๆ
“อ้าว ! ไฟเป็นอะไรไปล่ะ” ทาฮิร่าสงสัย
“ก็ไฟมันจะดับน่ะซิ เวรก๊ำ ... เวรกรรม” ชิกเก้นว่า
“แนนนี่มีเทียนไข” แนนนี่ลุกขึ้น
“ปิดสวิชต์ซะเลย ... ติดๆ ดับๆ แบบนี้เวียนหัว” ทาฮิร่าบอก
แนนนี่เดินไปปิดสวิชต์ แล้วเดินมาล้มตัวลงบนตักทาฮิร่าที่เตียง แต่ไฟสว่างขึ้นมาอีก
“เฮ้ย ! ก็ปิดสวิชต์แล้วไม่ใช่เรอะ” ชิกเก้นงง
ไฟดับลง แล้วติด สลับกัน แนนนี่ กับทาฮีร่าหันมาสบตากันรู้สึกแปลกใจ
ในห้องรับแขกด้านล่าง ผาดชะโงกดูที่หน้าต่างเห็นไฟบ้านอื่นเปิดสว่าง
ผาดหันกลับมาบอก “บ้านอื่นปกติหมดค่ะ”
“งั้นคงเสียเฉพาะบ้านเรา ... ผมจะไปสับคัทเอ๊าท์นะครับ คุณแม่โทร.ไปตามช่างก็แล้วกัน”
“พร! หยิบโทรศัพท์มาซิ”
“ค่ะ” พรรีบหยิบโทรศัพท์ไร้สายส่งให้ปัทมน
ธานีเดินไปในครัว ขณะที่ปัทมนกดโทรศัพท์
เวลาเดียวกันดารกาหลับตาลงอีกครั้ง แล้วลืมตาขึ้น แสงที่พุ่งออกไป ย้อนกลับมาสู่นัยน์ตาดารกาใหม่ ไฟสว่างขึ้นทันที ดารกายิ้มนิดๆ อย่างพอใจ
“พลังเจ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าพอใจ” เสียงอสูรแว่วมา
ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความประหลาดใจ
“ที่ห้องแนนนี่ก็แปลกค่ะ พี่ธานี...แนนนี่ปิดสวิชท์แท้ๆ แต่ไฟกลับสว่าง”
“พี่เอาคัทเอ๊าท์ลง แต่ไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นเหมือนกัน” ธานีว่า
ปัทมนมีใบหน้าเป็นกังวลแว่บหนึ่ง
“ช่างเถอะลูก...ในเมื่อไฟมาแล้วก็แล้วไป แต่ไฟกลับสว่าง แม่จะขึ้นไปดูน้องดาหน่อย...ทำไมเงียบไป”
“นั่นซีครับ เขาเอะอะโวยวายกันทั้งบ้าน”
ปัทมนและธานีขยับตัว ขณะที่แนนนี่เบ้ปาก
ทันใดเสียงดารกากรีดร้องดังลั่นมาจากด้านบน
“น้องดา”
ปัทมนและธานี รวมทั้งผาด กับพร รีบเดินแกมวิ่งขึ้นไป
แนนนี่นั่งไม่ขยับ ยักไหล่ “ตกใจอะไรกันนักหนา” แล้วหายไปจากที่นั้น
ทุกคนรีบมาที่หน้าห้องดารกา ธานีและปัทมน ช่วยกันทุบประตู
“น้องดา ! น้องดา”
“น้องดา .... เปิดประตูหน่อย”
“คุณดาขา .... คุณดา” ผาดช่วยเรียกตามด้วยพร
“คุณดาคะ”
“น้องดา ! ธานี ... พังประตูเข้าไปเลย” ปัทมนบอกลูกชาย
ธานีกระแทกประตูเต็มที่ กระแทกอยู่ครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออก
ทุกคนเข้ามาในห้อง ตกใจเมื่อเห็นดารกานอนฟุบอยู่กลางห้อง
“น้องดา” ปัทมนอึ้ง
ธานีรีบอุ้มดาขึ้นไปวางบนเตียง
“น้องดา...น้องดาเป็นอะไรลูก...น้องดา !” ปัทมนตะโกนเรียก
“คุณหนูดาขา” ผาดร้องเรียก
ต่างคนต่างพยายามเรียกด้วยความเป็นห่วง สักครู่หนึ่งดารกาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“คุณแม่ขา...น้องดากลัว” ดารกาแอ๊บตกใจกลัว
“เกิดอะไรขึ้น” ธานีถาม
“ไม่ทราบค่ะ น้องดาท่องหนังสืออยู่ดีๆ ไฟก็กระพริบเปิดๆ ปิดๆ แล้ว...แล้ว” ดารกาทำหน้าใสซื่อ
“ไม่ต้องเล่าลูก ... ถ้ากลัวก็ไม่ต้องเล่า”
ดารกายังคงร้องไห้ตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ “คุณแม่ขา”
“ไม่มีอะไรแล้วลูก ....ไม่เป็นไรแล้ว ... แม่ก็อยู่ ... พี่ธานีก็อยู่”
ธานีลูบผมน้องอย่างเอ็นดู “ไม่มีใครทำอะไรน้องดาได้นะคะ...พวกเราทุกคนจะดูแลน้องดาเอง”
ดารกายังดูเสียขวัญอยู่ในอ้อมกอดปัท
ส่วนภวัตเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน ภวัตสะดุ้ง เห็นแนนนี่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานภวัต...มือเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างใช้ความคิด
“แนนนี่!…เมื่อไหร่จะเข้าใจสักทีว่าพี่เป็นผู้ชาย”
“แนนนี่เข้าใจมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ...ไม่งั้นแนนนี่จะเป็นแฟนพี่ภวัตได้ยังไง”
“อย่ามั่ว ! พี่ไม่เคยบอกเลยว่า พี่เป็นแฟน”
“อ๋อ ! ไม่ต้องบอก ..... แนนนี่ก็รู้”
ภวัตถอนใจเฮือก แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
“เมื่อกี้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ที่บ้านแนนนี่”
“มีเหตุการณ์แปลกๆ สำหรับแนนนี่อีกหรือ เพราะตัวแนนนี่เองนั่นแหละแปลกที่สุดอยู่แล้ว”
“แนนนี่ซีเรียสนะพี่ภวัต”
ภวัตนั่งสีหน้าเรียบเฉย
“แนนนี่จะเล่าให้ฟัง”
แนนนี่เล่าจบภวัตยังคงเฉย
แนนนี่เริ่มหงุดหงิด “นี่พี่ภวัตไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือคะ”
“ไม่ ! เพราะพี่เห็นมาเยอะกว่านี้ และครั้งนี้พี่ก็รู้ทันเธอ”
แนนนี่โวยลั่น “รู้ทัน รู้ทันยังไง”
“รู้ว่า เธอสร้างเหตุการณ์ที่เธอเล่าขึ้นมา เพื่อจะได้เป็นเหตุผลที่จะเข้ามาห้องพี่”
แนนนี่ท้าวสะเอว “ไม่จริง”
“จริง!”
“แนนนี่จะเข้ามาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ที่แนนนี่อยากจะมา...ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรทั้งสิ้น”
“แน่ละซี ก็เธอเป็นอสูรผู้ยิ่งใหญ่นี่” ภวัตเยาะ
“ไม่ใช่แนนนี่หรอกที่เป็นอสูร เหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้แนนนี่เริ่มแน่ใจว่าตัวเองเป็นแม่มด...แล้วก็มีอสูรแฝงตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
สีหน้าแนนนี่มั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
ดารกาเช็ดน้ำตา “น้องดาค่อยยังชั่วแล้วค่ะ”
“แต่แม่ยังเป็นห่วงน้องดา ....เอาอย่างนี้ ... แม่น่ะเชื่อในอำนาจพระพุทธคุณ”
ดารกาหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ไม่มีใครทันสังเกต
“เข้าไปสวดมนตร์กับแม่ในห้องพระดีไหม”
“พี่เห็นด้วย ... น้องดาจะได้นอนหลับสบาย”
ปัทมนขยับตัว “ไปลูก”
ดารกาลุกขึ้น แต่แล้วก็ทำเป็นซวนเซล้มลง
“เป็นอะไรลูก” ปัทมนเป็นห่วงสุดๆ
“น้องดาเวียนศรีษะค่ะ พอลุกขึ้น บ้านก็หมุนหมดเลย”
“งั้นพี่จะไปตามภวัตมาดู” ธานีบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ ... เกรงใจ”
“เกรงอกเกรงใจอะไรกัน บ้านอยู่ตรงข้ามแค่นี้เอง”
“นอนนิ่งๆ เดี๋ยวเดียวก็คงหาย ... ถ้าไม่หาย ค่อยให้พี่ภวัตดู” ดารกาบอก
“จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ” ปัทมนเห็นด้วย
ดารกากราบแม่และธานี “น้องดาขอโทษที่ทำให้คุณแม่กับพี่ธานีกังวล”
“แม่จะให้พรมานอนเป็นเพื่อนดีไหม”
“ไม่ต้องค่ะ ... เวลาไม่สบาย น้องดาอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักเถอะ”
“ค่ะ”
“จะเอาอะไรก็เรียกแม่นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ”
ดารกาทำหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย ธานีและปัทมนเดินออกไป ดารกาลืมตาขึ้นทันที ที่ประตูปิด
ดารกาพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “อำนาจพุทธคุณ”
“แม่จะเข้าไปสวดมนต์สักหน่อย” ปัทมนบอกธานีหลังออกมาจากห้องดารกา
“เชิญครับ” ธานีเดินไปเปิดประตูห้องพระให้แม่เข้าไป
ครู่ต่อมาดารกาลุกขึ้นเดินไปหน้ากระจก ซึ่งปรากฏภาพดารกามองตอบ ทว่าที่ศรีษะดารกา เหมือนมีอะไรขยุกขยุยอยู่ในผม 2 ข้าง ดารกามองอย่างประหลาดใจ แล้วค่อยๆ แหวกดู
เห็นที่บริเวณหัวปรากฏเขาปุ่มเล็กๆ งอกขึ้นมา ดารกาตกใจมองอย่างกังวล
ปัทมนเริ่มสวดมนตร์คาถาชินบัญชร เสียงกังวานใส สีหน้าสงบ ดูอ่อนโยน และมีเมตตา
เสียงสวดมนตร์ดังแว่วมาในห้อง ดารกายก สองมือกุมขมับ ราวกับเจ็บปวดสุดแสน เสียงสวดมนตร์ยังคงดังต่อเนื่อง ดารกายิ่งเจ็บปวดทรมานจนทรุดลงไป เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า
ดารกาลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย กัดฟันทนไม่ให้เสียงร้องหลุดรอดไรฟันออกม
อ่านต่อหน้า 3
แจ้งเพื่อทราบและขออภัย
สืบเนื่องบทละครโทรทัศน์ "อสูรน้อยฯ" ตอนที่ 15 ที่ออกอากาศเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา (ตรงกับบทตอนที่ 18 ในละครออนไลน์) ได้รับแจ้งจากบ.ดีด้า ว่าถ่ายทำแล้วเสร็จในวันเสาร์ ที่ 18 ก.พ. (หลังจากถ่ายทำติดต่อกัน 4 วันเต็ม ย้ำ 4 วันเต็ม...อ๊อฟ-ชนะพล ต้องพัก เข้าให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล...ตามข่าว) แต่เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด การประสานงานเรื่องบทโทรทัศน์ จึงทำได้ไม่สะดวกนัก จนเป็นเหตุให้ทีมงานละครออนไลน์ไม่สามารถขึ้นบทละครตอนดังกล่าวได้ครบและสมบูรณ์ และสำหรับตอนที่เหลือ (อีก 6 ตอน ออกอากาศ รวม 21 ตอน) ทีมงานจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้แฟนละครได้อ่านบทโทรทัศน์ก่อนออกอากาศ ...และหากที่ผ่านมา ทำให้แฟนละคร "อสูรน้อยฯ" ขัดเคืองใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 18 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา สองแม่ลูก อยู่ที่ห้องอาหาร ปัทมนเหลียวมองหาลูกสาว
“นี่น้องดากับแนนนี่ยังไม่ลงมาอีกหรือ”
“คุณแนนนี่ลงมาแล้วค่ะ เธอให้พรทำแซนด์วิชขึ้นไปทานข้างบน”
“ทำไมต้องไปกินข้างบน”
ธานีพูดค้างแค่นั้น สีหน้าแววตาประหลาดใจ ปัทมน ผาด และพร มองตาม
เห็นดารกาในทรงผมใหม่ใส่คาดผม เพื่อปิดเขาที่เริ่มงอกนั่นเอง
“เอ๊ะ วันนี้น้องดาดูแปลกๆ” ธานีทัก
“ก็เปลี่ยนทรงผมไงคะ ... น้าผาดว่าสวยกว่าเก่าอีกค่ะ” ผาดว่า
“หายดีแล้วหรือลูก” ปัทมนยิ้มให้
“ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” ดารกายิ้มใสซื่อ
“แม่จะขึ้นไปดูแนนนี่หน่อย...ทานกันไปก่อนนะ...ไม่ต้องรอแม่”
ปัทมนลุกเดินไป
ปัทมนเดินมาเคาะประตูเบาๆ
“แนนนี่...แม่เข้าไปได้มั้ยลูก”
ทุกอย่างเงียบสนิท
“แนนนี่”
ยังเงียบเช่นเดิม ปัทมนเปิดประตูเข้าไป
ปัทมนเดินเข้ามา ชิกเก้นหันมามอง
“ชิกเก้น...แนนนี่ล่ะ”
“อ้าว! ก็อยู่ข้างล่างไม่ใช่หรือครับ...เห็นลงไปตั้งนานแล้ว”
“แต่พรบอกว่า ขึ้นมาข้างบนนี่”
“แต่ชิกเก้นเห็นเดินลงไปข้างล่าง”
“แย่แล้ว...คุณยาย...คุณยายขา...”
ทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าอย่างสง่า ผิดฟอร์ม
“ให้ตายเถอะ...ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ...ฝรั่งเค้ามีวีนัส ...แต่เรามีผีนัด”
“ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าดุทันที
“เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยค่ะ แนนนี่หายไปแล้ว”
“หายไปไหน” ทาฮิร่าคิดหนัก
ไม่มีใครรู้ว่าที่แท้แนนนี่พาภวัตมาเมืองเวทย์มนตร์
แนนนี่พาภวัตขี่ไม้กวาดร่อนลงมา ภวัตยังอยู่ในชุดทำงานเสื้อกาวน์ ...หน้าตาบึ้งตึง
“ถึงแล้วค่ะ”
“พาพี่กลับเดี๋ยวนี้” ภวัตพูดเสียงเข้ม
“โฮ้ย ! เมืองเวทมนตร์นี่ไม่ใช่ยุโรป อเมริกา หรือ ออสเตรเลีย...ญี่ปุ่นนะคะที่นี่ต้องใช้ไม้กวาด แล้วก็ ไม่ใช่ไม้กวาดก็ธรรมดาด้วย เพราะฉะนั้นจะมีซักกี่คนที่จะมีโอกาสได้เข้ามา พี่ภวัตนับเป็นคนที่โชคดีที่สุด”
“พี่ไม่สนอะไรทั้งนั้นพี่ตรวจคนไข้ค้างอยู่...พาพี่กลับไปเดี๋ยวนี้” ภวัตยืนกรานเสียงแข็ง
แนนนี่อ้อนสุดชีวิต น่า ! พี่ภวัตช่วย น.น. หน่อยนะคะ...น.น. อยากหาคุณพ่อคุณแม่ให้เจอ”
“ก็แล้วทำไมไม่ชวนคุณยายมาล่ะ...คุณยายเข้านอกออกในได้สะดวกกว่าพี่เยอะแยะ...แล้วดูพี่แต่งตัวซิ” ภวัตชี้ให้ดูตัวเองในชุดทำงาน
ภวัตพูดไม่ทันขาดคำ...แนนนี่เสกให้อยู่ในชุดพ่อมดแห่งเมืองเวทย์ทันที
“น.น. เปลี่ยนให้แล้ว ไปค่ะ”
แนนนี่คว้าแขนภวัตให้เดิน แต่ภวัตขืนตัวไว้ มีเสียงดังขึ้นมา
“นั่นยื้อยุดฉุดมือกันเรื่องอะไร”
แม่มดหน้าตาดุ...กำลังมองมาอย่างสำรวจตรวจตรา
“อ๋อ ! เรากำลังจะกลับบ้านน่ะค่ะ...แต่พี่ชายหนูไม่ยอม เขาอยากไปเที่ยวต่อ” แนนนี่ว่า
แม่มดได้ยินก็หันมาตวาดภวัต
“จะเที่ยวบ้าเที่ยวบอที่ไหนอีก เหลืออีกแค่ 3 ปี อสูรน้อยมันจะโตเต็มที่อยู่แล้ว... เพราะฉะนั้น ระหว่าง 3 ปี นี่เป็นเวลาที่มันสะสมพลังและเวทมนตร์...ดีไม่ดี...อาจจะถูกมันลองวิชาได้”
“เห็นมั้ยคะ น.น. บอกแล้ว”
แนนนี่ลากแขนภวัตเข้าไป ภวัตมองไปที่ประตูเมืองใกล้บริเวณนั้นแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นประกาศจับแนนนี่ติดอยู่
แนนนี่รีบเดินนำภวัตไปในเมืองเวทมนตร์ ในขณะที่ภวัตมองซ้ายมองขวาอย่างสนใจ
“ขอต้อนรับสู่เมืองเวทมนตร์”
“เมื่อกี้พี่เห็นประกาศจับแนนนี่”
“ตายจริง...นี่เขายังไม่เอาออกอีกเหรอ”
“ตราบใดที่ยังจับอสูรไม่ได้...เขาก็คงไม่เอาออก แล้วถ้าใครเกิดจำได้ขึ้นมา เธอนั่นแหละจะลำบาก”
“จริงด้วย! น.น. ก็ลืมคิดไป”
แนนนี่นิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา
แนนนี่ร่ายคาถา...ร่างแนนนี่เปลี่ยนเป็นพ่อมดน้อย แถมมีหนวดอีกด้วย
“โอเค มั้ยคะ”
ภวัตส่ายหน้า “ไม่ ... จะโอ.เค ได้ก็ต่อเมื่อกลับเมืองมนุษย์”
แนนนี่หน้างอ ทั้งง้อ ทั้งอ้อน ภวัตก็ยังยืนกรานจะกลับเมืองมนุษย์อยู่ดี
แม่มดเสียงดุที่เจอแนนนี่กับภวัต เดินสีหน้าครุ่นคิดมาเรื่อยๆ
“เอ! เคยเห็นที่ไหนน้า ... หน้าตาคุ้นๆ”
แม่มดเดินมาตรงประกาศจับบริเวณต้นไม้ แม่มดมองอย่างเพ่งพิศอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงใบหน้าแนนนี่ขึ้นมา
แม่มดเบิกตากว้าง “ใช่แล้ว อสูร อสูรบุกแล้ว”
แม่มดตะโกนพลาง วิ่งพลางบอกทุกคน
ประตูบ้านทาฮิร่าค่อยๆ เปิดออก แนนนี่ก้าวออกมา แนนนี่มองซ้าย มองขวา แล้วหันไปทำสัญญาณให้ภวัตออกมา ภวัตก้าวตาม แนนนี่ปิดประตู แนนนี่ย่องๆ ออกเดิน ภวัตย่องตาม
แนนนี่เดินมาได้ 3-4 ก้าวนึกได้ รีบเบรคทันที ภวัตเบรคตามแทบไม่ทัน
“พี่ภวัตอย่าลืมว่า ต้องเรียกแนนนี่ว่า น.น. ห้ามเรียกแนนนี่เด็ดขาด”
ภวัตพยักหน้ารับ “ไม่ลืมหรอกน่า”
ทั้งสองคนเดินพากันเดินย่องๆ ไป แต่ก็มีเสียงร้องทักขึ้น
“มาทำอะไรแถวนี้”
แนนนี่กับภวัตสะดุ้งเฮือก หันกลับมามอง เห็นบาบาร่ายืนจ้องอยู่กับไทเกอร์ บาบาร่ามองอย่างเพ่งพิศรู้สึกว่าทั้งคู่หน้าคุ้นๆ
ภวัตเองก็มองดูบาบาร่าอย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยว่ารู้สึกคุ้นหน้าแม่มดคนนี้เหมือนกัน สีหน้าของทั้งสองคน เหมือนพยายามจะนึกให้ออก แนนนี่รีบทำเสียงห้าว ตัดบททันที
“เอ้อ! พวกเราต้องขอตัวไปช่วย ตามจับอสูรน้อยก่อน...”
ภวัตรู้ทันรีบพยักหน้ารับ “เดี๋ยวมันจะหนีไปได้”
“อสูรน้อย” บาบาร่ากับไทเกอร์ร้องประสานเสียง บาบาร่าสะดุดหูรีบซักทันที “มันมาที่นี่เรอะ”
“ใช่! ไปกันเถอะ”
แนนนี่คว้าแขนภวัตแล้วรีบเดินไป
“นังอสูรแนนนี่...ข้าไม่ปล่อยให้แกลอยนวลไปได้อีกแน่...ไป ไอ้ไทเกอร์”
“ไปซิ คุณยายบาร์”
สองนายบ่าวหายวับไปจากที่นั้น
แนนนี่รีบเดินหนีมาอย่างรวดเร็วติดตามด้วยภวัต ทั้งคู่มองเห็นตัวอาคารใหญ่อยู่ตรงหน้า
ภวัตดึงแขนแนนนี่หลบข้างทาง “แนนนี่จะไปไหน”
“โน่นไง สภาแม่มด”
ภวัตโวยลั่น “เข้าไปได้ยังไง พ่อมดแม่มดอยู่เต็มไปหมด”
“ก็เดินเข้าไปไง ... เราปลอมตัวแบบนี้ไม่มีใครรู้หรอก”
แนนนี่ไม่พูดเปล่าขยับออกเดิน แต่ถูกภวัตดึงรั้งแขนไว้อีก
“เข้าไปไม่ได้”
“เอ๊ะ ก็ห้องสมุดที่แนนนี่จะเข้าไปค้นเรื่องราวต่างๆ อยู่ในสภาเมือง”
“ดูโน่น”
ภวัตจับแนนนี่ให้หันไปมอง เห็นบรรดาพ่อมดแม่มดเริ่มจับกลุ่มชุมนุม พร้อมๆ กับเสียงระฆังที่ดังกังวานเป็นสัญญาณเตือนอันตรายไปทั่วเมืองเวทย์
“เห็นหรือยัง”
แนนนี่เริ่มลังเล
“พี่จะไม่ยอมให้แนนนี่ เข้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”
แนนนี่จ้องหน้าภวัตเขม็ง “เป็นห่วงแนนนี่เหรอ”
ภวัตลากแขนแนนี่เดินย้อนกลับ แนนนี่ยังถามซ้ำจะเอาคำตอบให้ได้
“พี่ภวัตเป็นห่วงแนนนี่ใช่ไหม”
แต่ภวัตไม่ยอมตอบลากแนนนี่เดินย้อนกลับ
ทั้งคู่มาจนถึงมุมหนึ่งที่ปราศจากผู้คน
ภวัตปล่อยมือพูดแกมสั่ง “เรียกไม้กวาดมาได้แล้ว”
แนนนี่ออดอ้อน “โธ่! พี่ภวัต”
“เร็ว” ภวัตสั่งเสียงเขียว
น.น.แนนนี่กระเง้ากระงอดเรียกไม้กวาดมา ภวัตขึ้นขี่ทันที แล้วเรียกแนนนี่ “เร็ว! ขึ้นมา”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่าง...ตอนนี้เขาก็ออกตามหาอสูรกัน” แนนนี่ทำท่าจะไม่ยอมอีก
“ซึ่งก็คือเธอ” ภวัตบอก
“แนนนี่ชักจะแน่ใจแล้วว่า แนนนี่ไม่ใช่แม่มด”
“แล้วคนอื่นเค้าแน่ใจด้วยมั้ย”
“แนนนี่ก็ไม่ทราบ”
“ขึ้นมา” ภวัตสั่งเสียงแข็ง
แนนนี่จำใจขึ้นไม้กวาดนั่งหน้าภวัค
“ไปได้!” ภวัตสั่ง
“แล้วพี่ภวัตต้องมาเป็นเพื่อนแนนนี่อีกนะคะ”
“ไม่”
“งั้นแนนนี่ก็ไม่ไป” น.น.หน้างอ
ภวัตเสียงเข้มอย่างสุดจะทน “แนนนี่”
“จะมาหรือไม่มาคะ”
“ก็ได้”
“ไม่ใช่ก็ได้ค่ะ”
“มา!”
“ก็แค่นี้แหละ” แนนนี่ร่ายคาถา “บาชู ... บาชู ... บาชูลัลล้า!”
ไม้กวาดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภวัตรีบจับแนนนี่ไว้ทันที
เวลาเดียวกันรัดเกล้าเดินเข้ามาภายในห้องรับแขกบ้านปัทมนอย่างรีบร้อน
“พี่ภวัตก็หายไปเหมือนกันค่ะ”
ทุกคนยกเว้นทาฮิร่า อุทานพร้อมกัน “นี่ (คุณ) ภวัตหายไป”
“นายภวิตหายไปไหน”
“หายไปจากห้องตรวจค่ะ เห็นพยาบาลบอกว่า พี่ภวัตเข้ามาในห้อง...เขาออกไปเรียกชื่อคนไข้ พอกลับเข้ามาอีกที พี่ภวัตก็หายไปแล้ว!” รัดเกล้าว่า
“แนนนี่!” ทาฮิร่ากับปัทมนตาโตเบิกกว้าง อุทานพร้อมกัน
คนอื่นๆ ที่เหลือหันมามองเป็นตาเดียว
ทาฮิร่ารู้ตัวรีบพูดต่อ “หายไปไหน!”
ปัทมนรีบรับไม้ต่อ “ใช่ค่ะ ! แนนนี่หายไปไหน”
ทั้งสองคนรีบพยักเพยิดกัน “แนนนี่หายไปไหน”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนี่ครับ” ธานีว่า
“ทำไมจะไม่เกี่ยว แนนนี่หาย” ปัทมนบอก
“นายภวัตก็หาย” ทาฮิร่าตอกย้ำ
ดารกาฉุกคิด มองอาการของทั้งสองคนด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“แม่จะขึ้นไปสวดมนต์” ปัทมนขอตัวเดินออกไป
ทาฮิร่ายกมือ “สวดด้วย”
ทั้งสองคนรีบเดินขึ้นไปข้างบน ทุกคนมองตามอย่างแปลกใจ
ปัทมนและทาฮิร่าเดินขึ้นมาในห้องแนนนี่ พลางพูดกันต่อ
“ภวัตต้องไปกับแนนนี่”
“แนนนี่นั่นแหละต้องพาภวัตไป”
“ค่อยยังชั่ว” ปัทมนโล่งใจ
“ทำไมถึงค่อยยังชั่ว!”
“ก็ถ้ามีอะไร ภวัตจะได้คอยช่วยเหลือแนนนี่ไงคะ” ปัทมนอธิบาย
“หนูปัทเอ๊ย ถ้าอยู่เมืองแม่มด นายภวิตก็เท่ากับเป็นง่อย คนที่โน่นเขาใช้แต่เวทมนตร์กันทั้งนั้น แล้วนายภวิตมีอะไร!”
“เขามีปัญญาค่ะ” ปัทมนมั่นใจ
ทาฮิร่าบ่นออกมา “ปัญหามากกว่า”
ทาฮิร่าและปัทมนตัดสินเรียกแนนนี่ ครู่หนึ่งกลุ่มควันสีชมพูก็ปรากฏขึ้นในห้อง พอควันจางก็มีร่างแนนนี่ยืนอยู่ร้องทักท้องคู่
“จ๊ะเอ๋”
“ไม่ต้องจ๊ะเอ๋เลย หายไปไหนมา” ปัทมนงอนๆ
“ไปนู้น...น.. มาค่ะ”
“แม่ ... จะลงโทษแนนนี่ยังไงดี ถึงจะเข็ด”
แนนนี่รีบโผเข้ามากอดปัทมน ก้มกราบเอ่ยคำขอโทษทั้ง 2 คน
“แนนนี่กราบขอโทษคุณยายกับคุณแม่ค่ะ”
“แม่ไม่ใจอ่อน”
“ยายก็ไม่ ยายจะกักบริเวณแนนนี่”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม...กักบริเวณแนนนี่เนี่ยนะ” ชิกเก้นหาโอกาสแทรกอยู่นาน
“ชิกเก้น ....” แนนนี่ดุชิกเก้นแล้วหันมาทางแม่และยาย “แนนนี่ยอมให้แม่กับยายกักบริเวณค่ะ”
“ต้องหามาตรการมารองรับถ้าหากแนนนี่เบี้ยวอีก”
“พี่ภวัตล่ะ แนนนี่พาไปด้วยหรือเปล่า” ปัทมนถาม
“ไปค่ะ แหม! พี่ภวัตสนุกใหญ่เลย...ไม่เคยพบเคยเห็น”
ทว่าสีหน้าของทั้งแม่และยาย ต่างไม่เชื่อ แนนนี่ค่อยๆ จ๋อยลง ยิ่งเมื่อเห็นปัทมน และทาฮิร่ามองมาอย่างคาดคั้นเอาความจริง
ทางด้านภวัตเปิดประตูเดินหน้าเคร่งเข้ามาในบ้าน เห็นบาบาร่าหน้างออกมาเช่นกัน
“หนีไปได้อีกตามเคย”
ภวัตเดินมา เห็นบาบาร่าเดินบ่นอยู่
“นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบกลับมารับหน้าคนที่นี่ นังอสูรน้อยเสร็จฉันแน่” บาบาร่าบ่นอุบอยู่ในชุดบานเย็น
ภวัตเดินมาที่ห้องรับแขก บาบาร่าเดินเข้ามาเหมือนกัน จังหวะนั้นภวัตมองบาบาร่า แล้วขมวดคิ้ว บาบาร่ามองภวัต ขมวดคิ้วเช่นกัน ทั้งสองคนจ้องกันครู่หนึ่ง พยายามนึก แต่นึกไม่ออก ภวัตเดินออกไป
บาบาร่าเกาหัวนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ภวัตเดินหน้าเครียดเข้ามาในบ้านปัทมน
ธานีปราดเข้าไปหา แล้วดึงคอเสื้อทันที “แกพาแนนนี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“เฮ้ย! อย่ามากล่าวหาพี่ชายเกล้าค่ะ” รัดเกล้าเข้าห้ามแยกออกจากกัน
“ก็เธอบอกเองว่า ภวัตหายไปพร้อมกับแนนนี่”
“เกล้าแค่บอกว่าหายไป...” รัดเกล้าอธิบาย
ภวัตดึงมือธานีออกจากคอเสื้อตัวเอง “คุณยายกับคุณอาปัทอยู่ไหม”
“อยู่ข้างบนค่ะ...น้องดาจะขึ้นไปตามมาให้นะคะ” ดารกาอาสาทันที
ดารการีบเดินขึ้นไป
“อย่าให้จับได้เชียวนะว่า...”
ธานีพูดไม่ทันจบ ก็ต้องชะงัก...ทุกคนหันไปมองตามสายตาธานี
ปัทมน กับทาฮิร่าเดินจูงแนนนี่เข้ามา โดยดารกายืนอยู่ด้วย
“แนนนี่” รัดเกล้าประสานเสียงกับธานี
“คุณแนนนี่” คราวนี้ผาดกับพรตะลึง
ปัทมน ทาฮิร่า กับภวัต เดินมาที่สวนหลังบ้าน
“โอย! อาจะเป็นลม ทำไมแนนนี่ถึงได้กล้าหาญชาญชัยขนาดนี้” ปัทมนยกมือปาดเหงื่อ
“ต้องให้ไอ้ชิกเก้นจอมขี้เกียจประกบติดแล้ว” ทาฮิร่าว่า
“อาต้องขอโทษภวัตด้วย ที่แนนนี่พาแต่ความเดือดร้อนมาให้” ปัทมนบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดแทน
ทั้งสามคนไม่รู้ว่า ดารกาแอบหลบฟังอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ไกลนัก
“ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ ห่วงแต่แนนนี่เท่านั้น”
ดารกาขบกรามแน่นด้วยความโกรธ
“ผมยังคิดว่าดีเหมือนกันที่แนนนี่พาผมไป...เพราะอย่างน้อย ผมก็ไม่ต้องมานั่งกระวนกระวายเป็นห่วงแนนนี่ ... โดยไม่รู้เลยว่าเขาไปอยู่ที่ไหน”
ภวัตหลุดความในใจ ทาฮิร่าและปัทมน สบตากันเหมือนจะเอะใจว่าภวัตชอบแนนนี่
ดารกานัยน์ตาแดงวาบด้วยความโมโห
คืนนั้นดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยลอยผ่านเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเทา ท้องฟ้าแลบ แปลบปลาบราวกับฝนจะตก ภายในห้องดารกาจุดเทียนหอมรายรอบ ตัวเองนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ควันเทียนลอยอ้อยอิ่งขึ้นไป
เวลาเดียวกันบาบาร่ากำลังจุดเทียนหอมที่ดารกาให้มา อยู่ในห้อง ควันเทียนลอยขึ้น
“แหม! พอเค้าชมว่าเหมือนนางเอกหน่อยเดียว ก็รีบทำตามเชียวนะ” ไทเกอร์อยู่ข้างๆ ได้โอกาสกัดนายหญิงทันที
“อย่ามาปากมากเหมือนไอ้ชิกเก้นหน่อยเลย ... ฉันชอบของฉันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”
“เอ! กลิ่นเทียนหอมเมืองมนุษย์นี่มันแปลกๆ” ไทเกอร์ดมกลิ่นเทียนหอม แล้วทำจมูกฟุดฟิด
“เหมือนผสมกำยานลงไปด้วย ... เฮ้อ ... หอมชื่นใจ” บาบาร่ายังเพ้ออยู่ ไม่สำเหนียกสักนิดว่าตัวเองกำลังทำผิดมหันต์
เนื่องเพราะแสงไฟจากเทียนหอมที่จุดโดยแม่มด ทำให้เปิดทางให้เห็นพิกัดเมืองเวทย์...นครเวทมนตร์
“ไทเกอร์ว่าหอมเอียนๆ มากกว่า”
บาบาร่าเดินมาล้มตัวลงนอน ในขณะที่ไทเกอร์ยังติดใจกลิ่นเทียนหอมแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“เคยได้กลิ่นแบบนี้จากที่ไหนน้า คุ้นๆ พิลึก”
ทางดารกานั่งอยู่ท่ามกลางควันเทียนสีดำ ดารกาวนมือไปมาร่ายคาถา แต่ไม่ได้ยินเสียง ควันเทียนสีดำรวมเป็นสายเดียวลอยออกไปนอกหน้าต่าง ดารกาลุกเดินตามไปยืนมองที่หน้าต่าง
บาบาร่าหลับสนิท ควันเทียนสีดำรวมเป็นสายเดียวลอยออกไปเช่นกัน ไทเกอร์หลับอยู่ผงกหัวขึ้นไปมอง
ควันทั้งสองสาย ลอยออกไปประสานกันกึ่งกลางท้องฟ้า จู่ๆ ภาพนครเวทย์มนตร์ก็ปรากฏขึ้นกลางกลุ่มควันนั้น
ดารกาอยู่ในห้องนอน เพ่งมองผลงานตัวเองผ่านหน้าต่างออกไป ในขณะที่เมืองเวทมนตร์ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระจ่างเต็มตา ท้องฟ้าเมืองเวทย์ฯ พร่างพรายด้วยหมู่ดาว ดาวเหนือส่องนำสว่างกว่าดาวดวงอื่นๆ ดารกาเดินเคลื่อนไหวอย่างสง่าด้วยมาดนางพญาอสูรเข้าไปที่หน้าต่าง
จังหวะหนึ่งดารกาหยุดยืนอยู่ในจุดที่เห็นภาพเมืองเวทมนตร์ได้ชัดเจน ใบหน้าของดารกาเต็มไปด้วยความยินดี สาสมใจยิ่งนัก
“ไอ้พวกแม่มด...ในที่สุดพวกแกก็จะเข้าสู่ความหายนะ...เมืองเวทมนตร์ของพวกแกเผยตัวออกมาแล้ว เดี๋ยวฉันก็รู้ว่าแกอยู่ส่วนไหนของจักรวาล ดาวเหนืออยู่ที่ไหน”
สายตาของดารกาเริ่มกราดสายตามองหาดาวเหนือ ขณะที่เมืองเวทมนต์อยู่ในม่านหมอกควัน ดารกายิ้มพอใจ แล้วแตะที่คอตัวเอง
“รู้แล้วว่าอยู่ตรงไหน อีกไม่นานฉันจะพ้นจากปลอกคอชั่วร้ายนี่”
บานเย็นนอนอยู่ในห้องนอนด้วยท่าท่าเซ็กซี่นิดๆประหนึ่งนางเอกก็ไม่ปาน หน้าตามีความสุข ไทเกอร์อยู่ที่หน้าต่างมองตามควัน แล้วไทเกอร์สะดุ้งแบบนึกอะไรได้แล้ว ไทเกอร์สูดกลิ่นควันฟุดฟิดๆ แล้วตกใจสุดๆ สะดุ้งจนตกจากขอบหน้าต่าง ขนหัวฟูตั้ง ไทเกอร์พลิกตัวยืน
“อะจ๊าก...นึกออกแล้วกลิ่นเทียนนี่เหมือนอะไร... เหมือนกลิ่น...กลิ่น อะๆ... กลิ่น...อสูร”
ไทเกอร์โดดพรวดตัวลอยในอากาศไปลงบนเตียงตรงหน้าบานเย็น บานเย็นยังหลับสนิทอย่างมี
ความสุข ไทเกอร์เขี่ยบานเย็นยิกๆ
“นาย...แย่แล้ว...แย่แล้ว นาย...ตื่น นาย...ตื่นเร้ว...น้าย”
บานเย็นแค่พลิกตัวแต่ยังนอนโพสท่าสวยเหมือนเดิม
“เพิ่งรู้ เป็นนางเอกนี่มันต้องขี้เซาด้วย” ไทเกอร์ว่า
ไทเกอร์กระโจนออกนอกหน้าต่าง และกระโดดเด้งตัวเองอีก 2-3 ครั้งจนอยู่บนส่วนสูงสุดของหลังคาตึก ไทเกอร์ยืนชะเง้อมองไปทางจุดที่ควันบรรจบกัน
“ควันอสูรนี่มันจะลอยไปไหน” ไทเกอร์พึมพำ
ไทเกอร์มองตามกลุ่มควันไปจนเห็นเมืองเวทมนต์ ไทเกอร์ตกใจตัวลอย ขนฟูตั้งทั้งตัวอีกครั้ง
“ฮะ ! เมืองเวทมนต์ !!! มาได้ไงเนี่ย ตายๆๆ เมืองเวทมนต์ปรากฏแก่สายตาบนโลกมนุษย์ได้ไง ตายๆๆ อาเพศบังเกิดแก่เมืองเวทมนต์แน่แร้ววว”
ไทเกอร์มองไปที่ควันต้นตอสายหนึ่ง ซึ่งควันสายนั้นออกมาจากหน้าต่างห้องบานเย็น ไทเกอร์หันไปมองควันอีกสาย ซึ่งมาจากบริเวณแถวบ้านปัทมน
“ควันมาจากบ้านคุณปัทมน”
ไทเกอร์กระโดดฟึ่บๆไปตามจุดนั้น จุดนี้ เพื่อค้นหาความจริง
ดารกานั่งอยู่ท่ามกลางควันเทียน พยายามเพ่งหาว่าแนนนี่และตะเกียงแก้วอยู่ที่ไหน ดารกาพยายามเพ่งและพูดกับควันว่า
“จะหาได้มั้ยว่าแนนนี่กับตะเกียงแก้วอยู่ที่ไหน”
ไทเกอร์กระโดดฟึ่บๆใกล้เข้ามายังบริเวณบ้านของปัทมน
ปัทมนสวมชุดนอนมีเสื้อคลุมทับเรียบร้อย เดินตามทางเดินภายในบ้านเพราะได้กลิ่นเหม็นไหม้ ปัทมนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องดารกาอย่างแน่ใจ
“กลิ่นมาจากห้องน้องดานี่เอง”
ไทเกอร์กระโดดลงมายืนอยู่บนกำแพงบ้านปัทมนพลางหอบแฮ่กๆ
“โอย ยังเยาว์อยู่แท้ๆ อายุยังเพิ่งสามพันกว่าปีเอง แต่ทำไม มันเหนื่อยยังงี้”
ไทเกอร์กระโดดต่อไปที่ตัวตึก
ดารกายังเพ่งมองกลุ่มควันเพื่อหาตะเกียงและแนนนี่ เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องถามของปัทมน ดารกาตกใจ
“น้องดา...น้องดาจ๋า...หลับหรือยังลูก”
ดารกาตกใจมาก ผุดลุกยืนพรวด วาดมือปาดควันเทียนโดยสัญชาตญาณ ดารกาวิ่งพรวดออกจากวงควัน ควันเทียนตามดารกาไป จังหวะเดียวกัน ไทเกอร์ลอยมาแปะอยู่ที่กระจกหน้าต่าง
“น้องดา...มีอะไรไหม้ในห้องลูกหรือเปล่าจ๊ะ”
ดารกาตกใจ หันรีหันขวางไม่รู้จะทำอย่างไรดี ดารกาเห็นควันกลุ่มสุดท้ายหายไป เทียนทั้งหมดหายตามไปอย่างช้าๆ เนื่องจากพลังของดารกายังไม่เข้าที่ และยังเป็นการปล่อยพลังโดยไม่ตั้งใจ
ดาตื่นเต้นมองมือตัวเอง แล้วลองสะบัดมือแค่สั้นๆออกไปในที่ที่เคยมีเทียน เทียนก็โผล่มา 2-3 แท่ง และกำลังจะโผล่เพิ่ม ไฟที่ริบหรี่เริ่มทำท่าจะลุกใหม่ ดารีบสะบัดมือ เทียนก็หายวับไป
ไทเกอร์มองเข้ามาพอดี ไม่เห็นอะไรเพราะดารกายืนหันหลังให้ไทเกอร์และบังปรากฎการณ์นี้ไว้
“ห้องนี้ไม่มี” ไทเกอร์ด่วนสรุปแล้วกระโดดต่อไป
ดารกาดีใจมากที่เห็นพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง
“ฉันทำได้ ฉันทำได้ ฉันมีพลัง”
“น้องดา” เสียงปัทมนยังร้องเรียก
ดารกาแกล้งยีหัวให้ผมยุ่ง ทำเสียงงัวเงีย ตาสะลืมสะลือราวกับเพิ่งตื่นนอน
“ขา...คุณแม่”
ดารกาเดินไปเปิดประตูห้อง ปัทมนยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นสภาพเพิ่งตื่นของลูก
“ตายจริง แม่มาปลุกเหรอจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“แม่ได้กลิ่นควัน เลยมาดูจ้ะ เผื่อลูกจุดเทียนผ่อนคลายแล้วลืมดับ”
ดารการีบสวมรอยคำพูดของแม่ทันที
“น้องดาดับเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นก็แล้วไปจ้ะ ไปนอนต่อเถอะลูก ขอโทษนะที่มาปลุก”
ปัทมนจูบหน้าผากดารกา และปิดประตูน้องนอนของลูกในทันที ดารกากดล็อกประตูแล้วยังยืนที่เดิม ดารกาสะบัดมือออกไปอีกครั้ง เทียนและควันเริ่มกลับมาอีกครั้ง ดารกาสะบัดมือไปมา เทียนหาย-เทียนปรากฏอีก 2-3 ครั้ง สุดท้ายเทียนหายไป ดารกาอิ่มเอมใจมากกับพลังวิเศษของตน
“ฉันจะถูกบังคับให้เป็นอสูร หรือเป็นโดยกำเนิดก็ตาม แต่จากนี้ไปฉันยอมให้ชีวิตฉันเป็นอย่างนี้ แลกกับอิทธิฤทธิ์ที่ฉันจะมีเหนือใคร”
ดารกายิ้มจางๆที่ใบหน้า ทว่าตากร้าววาววับ แววร้ายอย่างหมายมั่นปรากฏขึ้นที่ตาคู่นั้น
ขณะที่ไทเกอร์กระโดดกลับไปบ้านภวัตโดยไม่ได้มองมาทางห้องดารกาอีก
รุ่งเช้าวันต่อมาบรรยากาศสดใส ปัทมนกำลังใส่บาตรอยู่บริเวณหน้าบ้าน ผาดและพรช่วยหยิบโน่นนี่ สักครู่ ขณะที่ภวัตวิ่งออกกำลังกายเข้าโดยมีโป่งวิ่งหอบแฮ่กๆตามมา ภวัตหยุดวิ่ง และไหว้พระ
“ใส่บาตรกันจ้ะภวัต” ปัทมนชักชวน
“ดีเหมือนกันครับ”
ภวัตไปช่วยปัทมนใส่บาตร ขณะที่โป่งโล่งอกสุดๆยกมือไหว้ท่วมหัว
“โอ๊ย บุญกุศลล้นศีรษะโป่ง ได้พักสักที วิ่งมาเป็นกิโลๆ คุณหมอแกยังไม่ยอมเหนื่อยเล้ย”
“มาใส่บาตรนี่มา จะได้ไม่ต้องเอาบุญกุศลคนอื่นไปใช้” ภวัตบอก
“คร้าบ คร้าบ”
ผาดกับพรขำๆกัน
“ดี๋ยวอยู่ช่วยเก็บของด้วยเลยนะ” ผาดบอก
“นั่น นั่น ได้บุญทันตาเห็น” โป่งพูดประชดตัวเอง
“มีของอร่อยให้กินด้วยน้า” พรว่า
โป่งทำตาเล็กตาน้อยใส่พรแล้วว่า
“ขอบใจจ้าน้องพร คนงาม”
“ข้าวก้นขันปั้นคลุกเกลือไง” พรว่า
โป่งทำงอน ค้อนขวับๆพลางบอก
“ฮึ่ ไม่ต้องเลย กินมาตั้งแต่เด็ก”
ขณะที่ปัทมนกับภวัตขำๆ
บริเวณมุมหนึ่งของตัวบ้าน ดารกาในชุดเตรียมพร้อมจะออกนอกบ้าน ยืนลับๆล่อๆร้อนรน แล้วมองที่กลุ่มคนกำลังใส่บาตรอยู่หน้าบ้านแล้วบ่นพึมพำ
“เมื่อไหร่จะใส่บาตรเสร็จซะที”
ดารการออยู่ด้วยความกระวนกระวาย
ทาฮีร่าเดินออกมาที่ชั้นบน มองกลุ่มปัทมนที่บ้านบ้าน แล้วเห็นดารกายืนลับๆล่อๆ ทาฮีร่าคิดอะไรบางอย่างก่อนเดินกลับเข้าไปในตัวตึก
ทาฮีร่าเดินเข้ามาในห้องพระ โต๊ะหมู่บูชาตั้งเด่น แสงสีทองของยามเช้าสาดเป็นลำเข้ามาต้ององค์พระพุทธรูป ดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ ทาฮีร่านั่งลงและกราบพระ เมื่อกราบพระเสร็จ ทาฮีร่าเงยมององค์พระด้วยหน้านิ่งสงบ ขรึม ราวจะวิงวอนอะไรบางอย่าง
แนนนี่ยังนอนหลับ สวยงามภายในตะเกียงแก้วโดยมี ชิกเก้นนอนอยู่ใกล้ๆ ทาฮีร่าหายตัวเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้า
“เจ้าแมวจอมขี้เกียจ สายตะวันโด่งแล้วยังไม่ตื่นอีก”
ชิกเก้นพูดทั้งๆยังไม่ลืมตา
“แล้วจะรู้มั้ยว่าตะวันโด่งแล้ว อยู่แต่ในตะเกียงแก้วเนี่ย ใครจะเหมือนนางล่ะ ตะลอนทัวร์ไปโน่นนี่ สำราญใจ เวรก๊ำ...” ชิกเก้นยังไม่ทันจบ แม่มดทาฮิร่าก็ตวาดเสียงดัง
“หุบปาก”
ชิกเก้นหุบปากทันทีพร้อมกับลืมตาขึ้น พูดต่อ
“เวร...” ชิกเก้นหยุดทันทีเพราะทาฮีร่าชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเอามือลงและหันไปหาแนนนี่
“...กรรม” ชิกเก้นแอบต่อจบจนได้ ก่อนที่ชิกเก้นจะรีบโดดหลบอย่างรู้แกว ไม้กวาดของทาฮีร่าวาดเข้ามาทันที
“ไม่อัจฉริยะอย่างชิคเก้นไม่มีทางรอดไม้กวาดของนาง ฮี่ๆๆ ฮ่าๆ” ชิกเก้นพูดอย่างชอบใจ
ทาฮีร่าลูบปอยผมแนนนี่อย่างเบามือ สีหน้ากังวลแกมเศร้าและสงสาร แนนนี่ยังหลับอย่างมีความสุข
“เมื่อถึงวันที่หนูอายุครบยี่สิบสองแล้วยายจะทำยังไงนะแนนนี่ ยายคงขาดใจ ถ้า ...”
แม่มดทาฮีร่าไม่สามารถพูดต่อได้แต่มองแนนนี่อย่างทำใจไม่ได้
ภายในบ้านสดับ มาลีกำลังยกสำรับอาหารวางบนโต๊ะแล้วเอาฝาชีครอบเพื่อเตรียมไว้ให้สดับ ดารการีบเดินดุ่มๆเข้าไปที่ห้องพิธีกรรม มาลีเงยหน้าเห็นดารกาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาลีเรียกไม่ทัน
“คุณหนู...”
ดารกาเปิดประตูเข้าห้องและรีบปิดประตูลงทันที มาลีมองตามและพยายามฟื้นความจำว่าตัวเองมีอะไรโยงใยกับดารกา แต่คิดไม่ออก มาลีโขกหัวตัวเองเบาๆพยายามจะนึกให้ออก
“ทำไมนึกไม่ออกนะว่าจะพูดอะไรกับคุณหนู”
ภายในห้อง ดารกายื่นกระดาษให้อสูร
“จุดที่ตั้งเมืองเวทมนตร์”
อสูรดูกระกาษแผ่นนั้นอย่างพอใจมากพร้อมกับหัวเราะลั่นดังสนั่น
มาลีคิดอะไรได้แล้วจึงรีบวิ่งมาหน้าห้องจะแอบฟัง แต่สะดุดล้มพอดี
“ โอย เอวหักมั้ยเนี่ย”
จังหวะที่มาลีล้มนั้นจึงไม่ได้ยินที่อสูรพูดกับดารกา
“เก่งมาก ดารกาลูกพ่อ รอคำสั่งว่าพ่อจะให้ทำอะไรอีก แล้วอย่าลืมตะเกียงแก้วกับนังเด็ก ศัตรูของเจ้า”
มาลีเดินกะโผลกกะเผลกไปที่ประตู กำลังจะแอบฟัง ดารกาก็เปิดประตูออกมาพอดี
“คุณหนู”
ดารกาไม่อยากคุยกับมาลี เพราะรู้ว่าเป็นแม่จึงรีบเดินพรวดๆ หนีไป มาลีรีบจะตาม แต่เสียหลักเซนิดๆ แต่ไม่ล้ม มาลีตั้งหลักได้รีบตาม
“คุณหนูขา รอด้วยค่ะ”
ดารกาเดินพรวดๆภายในบริเวณบ้านไปเรื่อยๆอย่างไม่เหลียวหลัง มาลีวิ่งมาทัน จับมือดารกาไว้ สัมผัสนี้จะทำให้มาลีจำได้ว่าดารกาเป็นลูก ดารกาหันกลับมาทางมาลี และพยายามจะดึงมืออก แต่เป็นจังหวะที่มาลีจับมือดารกาไว้อีกมือ กระแสไฟฟ้าแล่นจากมือมาลีไปที่มือดารกา เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้าจากมือดารกาวิ่งเข้ามือมาลี และวิ่งวนอยู่ที่มือของทั้งสองคน มาลี กำลังจะเรียกว่า “คุณหนู” แต่กระแสไฟฟ้าทำให้ความจำกลับมาได้ก่อน
“ลูก” มาลีเรียกดารกา
มาลีจับมือดารกาไว้แน่น ดีใจจนน้ำตาซึม ดารกาช็อก พยายามจะดึงมือออก แต่ไม่สามารถทำได้เพราะมาลีจับไว้แน่นมาก มาลีพยามจะสวมกอดดารกา แต่ดารกาดันมือไว้ไม่ให้กอด มาลีจำเป็นต้องจับมือดารกาอยู่ต่อไป
“ลูก...ลูกจ๋า...ลูกดารกาของแม่”
ดารกาพยายามจะสะบัด แต่ไม่สำเร็จจึงยื้อยุดกันอยู่
“อะไรกัน ปล่อยนะ ฉันไม่ใช่ลูกน้า ฉันไม่ใช่ดารกา”
“ลูกคือดารกา แม่รู้จ้ะว่าลูกอายที่แม่เป็นแค่แม่ค้าจนๆ แม่สัญญาว่าจะไม่บอกใครว่าแม่เป็นแม่ของลูก แต่ตอนนี้มีแค่เราสองคน ขอให้แม่เรียกหนูว่าลูกให้ชื่นใจหน่อยเถอะนะ ลูก...ลูกดารกา”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ดารกา”
“ใช่สิ ก็แม่ได้ยินพ่อของหนู...”
“นังมาลี” เสียงสดับดังดุมาก
มาลีหันไปตามเสียง จังหวะนั้นดารกาได้โอกาสสะบัดมือออก แล้ววิ่งหนี มาลีหันกลับจะวิ่งตาม
“ลูก”
สดับพรวดถึงตัวมาลีแล้วจิกผมมาลีดึงไว้ทันที
“เจ็บ ...โอ๊ย”
“เดี๋ยว หนู” อสูรในร่างสดับร้องเรียกดารกา
ดารกาไม่หัน มาลีเห็นสดับดึงอากาศ ที่แท้อสูรกำลังกระชากปลอกคอดารกา ดารกาถึงกับหน้าหงาย จนดารกาต้องแสดงกิริยาด้วยการใช้สองมือกดตำแหน่งที่ถูกสวมด้วยปลอกคอ
“โอ๊ะ”
ดารกาหันกลับมาทันที
“นังมาลีมันเรียกหนูว่าลูกอีกเมื่อไหร่บอกฉัน”
ดารกามองมาลีด้วยความสงสาร ความผิดชอบชั่วดีวาบปั่นป่วนขึ้นในใจของดารกา มาลีหันไปมองดารกาด้วยสีหน้าวิงวอน ดารกาเริ่มสับสน แล้ววิ่งไปโดยไม่หันกลับมา
สดับหน้าตาดุน่ากลัว ดึงผมมาลีอย่างแรง จนมาลีต้องหันหน้ากลับมาตามแรงดึง
“พี่ ปล่อยฉัน ฉันเจ็บ”
สดับยิ่งจิกผมแรงขึ้น ทั้งด่าประชดอีกต่างหาก
“แกเปลี่ยนลูกแกได้ด้วยเหรอวะ นังมาลี แต่ก่อนมันไม่ใช่คนนี้นี่”
“ก็พี่นั่นละเรียกลูกว่าดารกา เรียกเขาว่าลูกทุกคำ”
สดับอึ้งไป
“อ้อ...นี่บังอาจแอบฟังฉันมาตลอด”
สดับตบมาลีกระเด็นลงไปกองกับพื้น แล้วตามไปจิกผมให้เงยขึ้นมาแล้วพูดต่อ
“จำไว้ ถ้าแกเรียกดารกาว่าลูกอีก ฉันจะฆ่าลูกแก”
สดับเหวี่ยงมาลีอย่างแรง มาลีช็อก คลานไปกอดขาสดับ
“อย่านะพี่ ฉันแค่อยากให้ลูกรู้ว่าฉันรักลูก”
สดับสะบัดขาจนมาลีกระเด็นไปพลางหัวเราะเหยียดหยัน
“แล้วถ้าลูกถามแกว่ารักแล้วทำไมเอามันไปโยนทิ้งข้างถนน แกจะตอบมันว่ายังไง”
มาลีถึงกับร้องไห้ สดับมองอย่างสมเพช
“อย่าอ้างว่าจน สัตว์มันทำงานหาเงินไม่ได้ มันยังเลี้ยงลูกมันได้ จำไว้นังมาลี แกเรียกดารกาเป็นลูกอีกเมื่อไหร่ ดารกา...ตาย”
สดับกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้มาลีร้องไห้โฮ ฟุบหน้ากับพื้น
อ่านต่อหน้า 4
แจ้งเพื่อทราบและขออภัย
สืบเนื่องบทละครโทรทัศน์ "อสูรน้อยฯ" ตอนที่ 15 ที่ออกอากาศเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา (ตรงกับบทตอนที่ 18 ในละครออนไลน์) ได้รับแจ้งจากบ.ดีด้า ว่าถ่ายทำแล้วเสร็จในวันเสาร์ ที่ 18 ก.พ. (หลังจากถ่ายทำติดต่อกัน 4 วันเต็ม ย้ำ 4 วันเต็ม...อ๊อฟ-ชนะพล ต้องพัก เข้าให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล...ตามข่าว) แต่เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด การประสานงานเรื่องบทโทรทัศน์ จึงทำได้ไม่สะดวกนัก จนเป็นเหตุให้ทีมงานละครออนไลน์ไม่สามารถขึ้นบทละครตอนดังกล่าวได้ครบและสมบูรณ์ และสำหรับตอนที่เหลือ (อีก 6 ตอน ออกอากาศ รวม 21 ตอน) ทีมงานจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้แฟนละครได้อ่านบทโทรทัศน์ก่อนออกอากาศ ...และหากที่ผ่านมา ทำให้แฟนละคร "อสูรน้อยฯ" ขัดเคืองใจ ทีมงานละครออนไลน์ ขออภัยมา ณ ที่นี้
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 18 (ต่อ)
ภวัตทำงานกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในห้อง ส่วนภายในห้องนั่งเล่นข้างล่าง อิงอรเบียดกระแซะจักรวาล รัดเกล้านั่งอยู่อีกข้าง กำลังอธิบายแปลนตกแต่งภายในบ้าน แต่อิงอรกลับไม่ค่อยสนใจการอธิบายงานของรัดเกล้า เอาแต่อ้อนจักรวาลด้วยการผลไม้ใส่ปากจักรวาล ขณะที่ผลไม้ยังอยู่เต็มปาก
“นี่ค่ะ อ้ำค่ะอ้ำ”
ปากจักรวาลเต็มไปด้วยผลไม้จนพูดไม่ออกได้แต่ชี้ที่ปาก แล้วเบือนหน้าหนี จนอิงอรหันไปป้อนรัดเกล้าแทน
“คุณพ่อยังไม่หมดปาก ป้อนคุณลูกก่อนก็ได้ค่ะ”
“เกล้าเต็มพุงแล้วค่ะ เดี๋ยวปุ๋งๆไม่รู้ด้วยนะคะ”
“ว้าย”
“อาอิงตั้งใจฟังเกล้าหน่อยสิคะ นี่ตกแต่งภายในบ้านอาอิงนะคะ ไม่ใช่ตกแต่งโรงทาน เกล้าคิดแบบแทบตายเจ้าของบ้านกลับไม่สนแบบ สนแต่พ่อคนออกแบบอะ”
จักรวาลขำจนสำลักคร่อกๆ ก้มลงซ่อนหัวเราะ
“อู๊ย แรงไปมั้ยคะคุณลูก อ้ะๆ ว่ามาค่ะ” อิงอรว่าแล้ววางของกินลง
“ สวัสดีค่า” เสียงของบุษบาดังขึ้น
บุษบาเดินโฉบฉายฉับๆเข้ามาโยไม่ยกมือไหว้ใคร นอกจากเดินไปทางห้องทำงานของภวัต จนแทบจะเฉี่ยวศีรษะจักรวาลและอิงอร
“แหม สาว พ.ศ.นี้เขาเดินกรายเศียรเกล้าของผู้ใหญ่กันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วเหรอคะเนี่ย” อิงอรน้ำเสียงหมั่นไส้
ทาฮิร่าเดินดูต้นไม้ดอกไม้อยู่ในสวนหลังบ้านปัทมน ด้วยสีหน้าและแววตาครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล
“ยายเด็กน้องดานับวันยิ่งน่าสงสัย ท่าทางเหมือนตกอยู่ใต้อำนาจชั่วร้าย หรือว่า...”
ทาฮิร่านึกถึงแสงจากปลอกคอดารกา
“หรือว่าโดนอสูรจองจำวิญญาณไว้แล้ว...” ทาฮิร่ายกมือขึ้นทาบอก ตกใจกับความคิดตัวเอง
“โอย...คุณพระคุณเจ้า บรรพชนแม่มดช่วยด้วย ถ้ายายหนูน้องดาเป็นแม่มด อสูรมันใช้เป็นทางเข้าทำลายล้างแม่มดได้แน่ โอย...ทำไงดี ทำไงดี”
“ทาฮิร่า ทาฮิร่า” เสียงคุ้นหูดังขึ้น น้ำเสียงดูร้อนรน
ทาฮิร่าหันขวับ เห็นบาบาร่าในร่างบานเย็น ก็ตกใจสุดขีด
“บรรพชนแม่มดช่วยด้วย เมืองเวทมนต์ปรากฏให้เห็นในโลกมนุษย์”
“ใช่น่ะสิ ไทเกอร์มันเห็นกับตา”
“เป็นไปได้ยังไง เมืองเวทมนต์มีกำแพงมนตราอำพรางชั้นยอด อะไรทำให้เมืองเวทมนต์เผยตัวได้”
“ไทเกอร์มันบอกว่าควัน...” บาบาร่าอึกอักนิดหน่อยนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไทเกอร์ทักท้วงเรื่องจุดเทียนหอมในห้อง
ไม่นานหลังจากนั้น ไทเกอร์ก็ต่อว่าบาบาร่าฉอดๆ
“ถ้าไม่จริงตัดคอไทเกอร์ได้เลย ควันนางเอกของนายนั่นละทำให้เมืองเวทมนต์เผยตัว เทียนที่นายจุด ต้องเป็นเทียนอสูรแน่ๆ กลิ่นมันคือกลิ่นสาบอสูรเด๊ะๆ”
“แกอย่ามั่ว แกบอกเองว่าควันมันมีสองสาย” บาบาร่าเถียง
“แต่มันรวมตัวกัน”
บานเย็นบาบาร่าจิ้มจมูกไทเกอร์จนหน้าหงาย
“แกเห็นมันรวมตัวกันอยู่ตรงปลายจมูกแกเลยเหรอ”
ไทเกอร์ถึงกับอึ้งไปหน่อย เสียงอ่อยไปนิด
“ เห็นไกลๆ”
“นั่นไง ไกลโพ้นขนาดเมืองเวทมนต์ แล้วแกจะมาสรุปใส่ฉันได้ยังไงว่ามันเป็นควันเทียนของฉันที่เผยเมืองเวทมนต์ มันอาจเป็นควันจากบ้านยายคุณปัทมนก็ได้ แกก็รู้ บ้านนั้นมีอสูร”
ไทเกอร์กร่อยลงทันที
“ก็จริง ไทเกอร์หน้าแตกสุดๆ สิเนี่ย แล้ว...จะตัดคอไทเกอร์มั้ยอ่ะ”
บาบาร่าค้อนอย่างหมั่นไส้ ไทเกอร์เอาเท้าทั้งสองปิดหน้าที่ทำหน้าแตก
แต่บาบาร่าหน้าขรึมลงและเริ่มกังวลเรื่องเทียนของตัวเองอยู่เหมือนกัน
เมื่อบาบาร่าตัดสินใจเล่าให้ทาฮิร่าฟัง ทาฮิร่ายืนยันว่า “ยังไงก็ไม่ใช่แนนนี่”
“ยังไงก็ไม่ใช่หนูน้องดาเหมือนกัน ไทเกอร์มันสำรวจแล้ว ห้องหนูน้องดาไม่ได้จุดเทียนแล้วก็ไม่มีกลิ่นอสูรด้วย” บาบาร่าการันอีก
“ห้องแนนนี่ก็ไม่มี”
“อาจไม่มีในห้อง แต่ที่อื่นล่ะ”
ทาฮิร่าหวั่นไหวว่า บาบาร่าจะรู้อะไรแค่ไหนจึงเลือกที่จะนิ่งเสีย
“เมืองมนุษย์เขาว่า...วัวสันหลังขาด แค่เห็นอีกาบินผาดก็...เสียวว..ซะและ” บาบาร่าเยาะ
ทาฮิร่าอึ้ง บาบาร่ามองเย้ยแล้วเดินเชิดกลับไป ทาฮิร่าแทบหมดแรง
“แนนนี่...หลานทำให้เมืองเวทมนตร์เผยตัวหรือเปล่า มหันตภัยถึงขั้นเมืองล่มสลายเชียวนะ”
(ยังมีต่อ)
แนนนี่อยู่ในตะเกียงแก้ว ที่ถูกซ่อนอยู่ในห้องพระ ได้ยินที่ทาฮิร่าถามว่าเป็นคนทำให้เมืองเวทมนต์เห็นในเมืองมนุษย์หรือเปล่า แต่ยังไม่รู้ว่าอันตรายมากเพียงใด
แนนนี่ตอบอย่างหนักแน่น “แนนนี่ไม่ได้ทำค่ะยาย” คราวนี้น้ำเสียงเคืองขึ้นมา “ยัยพี่ดาใส่ร้ายแนนนี่อีกแล้วเหรอคะ”
“เปล่าลูก”
“ไม่ใช่ยัยพี่ดาแล้วจะมีใครอีกเหรอคะ”
“เอาเถอะๆ ยายเชื่อแนนนี่อยู่แล้วว่าแนนนี่ไม่โกหกยาย”
“แต่เรื่องแรงๆ แบบนี้ต้องรีบหาตัวคนทำนะเจ๊ ไม่งั้นเมืองเวทมนตร์...” ชิกเก้นพูดไม่ทันจบก็เจอสวน
“หุบปาก” จากทาฮิร่า
“ก็....” ยังหุบไม่สนิท
ทาฮิร่าเอาจริง “หุบ หรือจะให้ฉันสาป”
ชิกเก้นรู้ซึ้งว่าทาฮีร่าเอาเรื่องจริงๆ “หุบก็ได้ แต่งอนนะ”
แล้วชิกเกินก็เดินหนีไปที่อื่น ห่างออกไป
แนนนี่สงสัย “เมืองเวทมนตร์ปรากฏให้เห็นได้ในเมืองมนุษย์แล้วจะเป็นไงเหรอคะ”
ทาฮิร่าทำทีเป็นยิ้มแย้ม ยังไม่อยากให้แนนนี่รู้
“ไม่เป็นไงหรอกจ้ะ นั่นเมืองเวทมนตร์นะไม่ใช่เมืองธรรมดา แต่เมื่อมีคนพูดถึงแนนนี่ยายก็ต้องมาถามให้แน่ใจ”
แนนนี่ฟังหน้าใสตาใส แต่ในใจไม่เชื่อหรอก รู้ว่าต้องมีอะไรที่ยายปิดบัง
“เดี๋ยวยายมานะ”
“ค่ะ”
ทาฮิร่าหายตัวไป
แนนนี่หันขวับมาหาชิกเก้นเพื่อจะรีดเอาความจริง
“ชิกเก้น!!”
“อุ๋ย งานเข้าชิกเก้นผู้น่าสงสารแล้วว”
ทาฮิร่าเดินออกมาที่สวน เพื่อมาดักรอดารกา โดยเดินดูต้นไม้สวยๆ ดับความกระวนกระวาย เรื่องปรากฏการณ์เมืองเวทมนต์เผยตัวในเมืองมนุษย์
อ่านต่อตอนที่ 19