ขุนเดช ตอนที่ 10
ภายในห้องพักโรงแรมที่ดาราเช่าเอาไว้ ผ้าก๊อซซับแผลที่เปรอะเลือดอยู่ในถังขยะ ดาราสวมเสื้อกล้ามทำแผล ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกยิงเฉี่ยวที่ต้นแขนเสร็จเรียบร้อยไปแล้วและกำลังคุยโทรศัพท์
“สมศรีเหรอจ๊ะ ชั้นดารานะ...จ้ะ ชั้นสบายดี ก็ยังเป็นอาจารย์โบราณคดีอยู่นั่นแหละ แล้วเธอล่ะยังทำงานเป็นนักข่าวอยู่รึเปล่า คือชั้นมีเรื่องอยากให้เธอช่วย ถ้าชั้นหาหลักฐานได้ นี่จะเป็นคดีใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งให้เธอแน่นอน แต่นั่นก็อยู่ที่ว่า...เธอจะกล้าช่วย ชั้นตีแผ่เรื่องนี้รึเปล่า” ดาราพูดไปก็สีหน้ามุ่งมั่นเอาจริง “วีรบุรุษบาป...ชั้นจะทำให้คุณเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเลวอย่างพวกนั้น ชั้นก็ช่วยรักษา สมบัติของแผ่นดินไว้ได้เหมือนกัน”
คืนนั้นขุนเดชมาหายงยุทธที่สถานีตำรวจ
“ทำไมแกไม่ห้ามดารา”
“กว่าชั้นจะรู้เรื่องดาราก็อยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้างั้นแกก็ควรต้องหยุดเธอ เพราะลำพังผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างดาราไม่มีทางสาวไปถึงพวกมันได้แน่”
“แกไม่ต้องห่วง...ชั้นไม่มีวันยอมให้ดาราต้องเจ็บตัวแน่ แต่ชั้นสงสัยแกรู้เรื่องที่ดารากำลังทำอยู่ได้ยังไง”
ขุนเดชนิ่งไป “ว่าไง”
“ชั้นกับดาราเคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว ดารามั่นใจว่าวัตถุโบราณที่ยังตามหาไม่เจอ พวกนั้นน่าจะเป็นใบสั่งของคนๆ เดียวกัน”
“พวกนักสะสมเหรอ”
“ไม่ใช่นักสะสมธรรมดา แต่เป็นอะไรที่แกคาดไม่ถึง”
“หมายความว่ายังไง”
“ชั้นคิดว่าดาราคงได้ข้อมูลกลับมา แล้วแกก็จะได้รู้ แต่แกต้องรับปากชั้นมาก็พอว่าจะไม่ปล่อยให้ดาราได้รับอันตราย”
ยงยุทธกับขุนเดชมองหน้ากัน
ขุนเดชออกมาจากสถานีตำรวจเจอจ่าแท่นที่กำลังเข้ามาพอดี
“อ้าวขุนเดช มาหาหมวดเหรอ”
“ครับอาจ่า ช่วงนี้งานยุ่งเหรอครับ ครบรอบวันตายพ่อผมไม่เห็นอาจ่าไปไหว้พ่อเลย”
“ใช่...ช่วงนี้อายุ่งมาก กำลังตามจับพวกเสือเก่าที่เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ แต่อาไม่ได้ลืมวันครบรอบวันตายของพี่เดื่องนะขุนเดช อายังจำได้ดี”
“ไม่เป็นไรหรอกครับอา น้าคำปันเคยเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากพ่อตาย คนที่พยายามตามล่าตัวพวกที่มันฆ่าพ่อผม พยายามตามหาผมจนแทบพลิกแผ่นดินก็มีแต่อา”
“พี่เดื่องก็เหมือนพี่ชายอา เอ็งก็เหมือนลูกอาคนหนึ่ง”
“ขอบคุณจ้ะอาจ่า ทำงานมากก็ต้องพักผ่อนด้วยนะครับ”
“เออ...ขอบใจเอ็งมาก” จ่าแท่นตบบ่าขุนเดชแล้วบีบแน่น “เอ็งไม่ต้องห่วงนะ ทุกวันนี้อายังตั้งใจเรียกร้องความยุติธรรมให้พ่อเอ็งอยู่” ขุนเดชฟังคำพูดของจ่าแท่นแล้วรู้สึกแปลกใจ “อาไปทำงานก่อนนะ”
จ่าแท่นเดินขึ้นไปบนโรงพัก ขุนเดชมองตามอย่างรู้สึกผิดสังเกต
ในห้องพักโรงแรมเมื่อวางหูจากเพื่อนแล้วดาราคุยโทรศัพท์กับยงยุทธต่อ
“เธอรู้ได้ยังไงว่าชั้นอยู่ที่นี่”
“ผมเป็นตำรวจนะดารา แต่คุณไม่ใช่ ผมอยากให้คุณหยุดแล้วรีบกลับมา”
“ไม่ได้หรอกยงยุทธ ชั้นพอจะได้เรื่องแล้วว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังการหายไปของวัตถุโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณ ถ้าชั้นมีหลักฐานพร้อม ชั้นก็จะหยุดมันได้”
“นั่นไม่ใช่หน้าที่คุณนะดารา มันเป็นหน้าที่ของผม”
“อย่ามาเกี่ยงว่าเป็นหน้าที่ใครเลย พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นหนี้บุญคุณบรรพบุรุษที่ช่วยกันสร้างแผ่นดินนี้ไว้ให้เรา เพราะฉะนั้นเราจึงมีหน้าที่ปกป้องสมบัติของบรรพ บุรุษไว้เหมือนกัน”
“แต่ผมจะปล่อยให้คุณเป็นอะไรอันตรายไม่ได้”
“ชั้นไม่เป็นอะไรหรอก ชั้นดูแลตัวเองได้ และถ้าชั้นทำสำเร็จชั้นก็จะได้ช่วยหยุดวีรบุรุษบาปไม่ให้ก่อกรรมทำเข็ญมากกว่านี้ได้ด้วย”
ดาราวางสายไป ยงยุทธพยายามเรียกซ้ำ
“ดารา...ดารา”
ดาราตัดสินใจถอดสายโทรศัพท์ออกสีหน้ามุ่งมั่น
ยงยุทธพยายามต่อสายกลับไปหาดาราแต่โทรไม่ติดแล้ว
“ดารา...โธ่เอ้ย”
ยงยุทธทุบโต๊ะอย่างหงุดหงิด ระหว่างนั้นจ่าแท่นเข้ามา
“ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าหมวดกำลังอารมณ์ไม่ดี”
“ไม่มีอะไรหรอกจ่า”
“อย่าบอกว่าไม่มีเลยครับ ถ้าหมวดเป็นห่วงอาจารย์ดาราผมว่าหมวดตามไปพาเธอกลับมาดีกว่า”
“แต่เรากำลังตามตัวไอ้พวกที่ฆ่าพ่อขุนเดชอยู่นะจ่า...เอาล่ะ...จ่าได้เรื่องมาว่ายังไง”
“ทราบแล้วครับว่าพวกมันไปกบดานอยู่ที่ไหน สันดานพวกมันไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย”
ที่ย่านชุมชนลักษณะบ้านไม้เก่าๆ แบ่งเป็นห้องๆ เรียงติดกันเป็นแถวยาวซึ่งคนแถวนี้รู้กันว่าเป็นซ่องโคมเขียว
ที่ร้านกาแฟตรงข้ามซ่องโคมเขียว ยงยุทธนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ปะปนอยู่กับชาวบ้าน ครู่หนึ่งจ่าแท่นที่แต่งตัวนอก เครื่องแบบก็ตามเข้ามานั่งกินโอเลี้ยงด้วย
“เป็นไงมั่งจ่า”
“พวกมันอยู่ซ่องฝั่งตรงข้ามนี่แน่นอนแล้วครับ”
“พวกมันฉลาดมาก กบดานอยู่ในที่ชุมชน ถ้าเกิดเราบุกเข้าไป มันได้ใช้พวกผู้หญิงในนั้นเป็นกำแพงมนุษย์ช่วยมันแน่”
“ใช่ครับหมวด งานนี้คงต้องหาทางหลอกให้พวกมันออกไปติดกับเรา”
ยงยุทธนิ่งคิดแล้วมองไปที่ซ่องฝั่งตรงข้ามเห็นลูกน้องของเสือแชนเสือชิดพกปืนเดินไปเดินมาเฝ้าอยู่ทางเข้า
“มีพวกมันคอยดูลาดเลาตลอด คงเข้าไม่ถึงตัว”
“งั้นก็เหลือทางเดียว ปลอมตัวเข้าไปเที่ยวแล้วตีสนิทกับมัน”
“ผมจัดการเอง”
“ไม่ได้ครับหมวด...อย่างหมวดขืนโผล่เข้าไปในนั้น พวกมันคงรู้ตัวแน่”
“ทำไมล่ะจ่า”
“ถามมาได้ครับหมวด ดูหมวดสิครับ ทั้งหล่อ เท่ ดูดี ผิวพรรณก็ต่างจากพวกชาวบ้าน ถ้าจะเข้าไปที่แบบนั้นโดยไม่ให้น่าสงสัย มันต้องส่งคนที่ดูกลมกลืนเข้ากับสถานที่แบบนั้น”
“จ่าจะให้ผมส่งใครเข้าไป”
“ผมไงครับ”
“จ่า...นี่จ่าจะบอกว่าจ่าเคยมาเที่ยวที่แบบนี้เหรอ”
จ่าแท่นชะงัก
“เอ่อ...ไอ้ผมมันคนไม่มีเมียนะครับหมวด เอาเถอะครับ...งานนี้ให้ผมเล่นเอง”
“แต่ถ้าพลาดขึ้นมาจ่าจะรับมือไหวเหรอ”
“ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเป้ากระสุนพวกมันอยู่ในนั้นหรอกครับ รับรองว่าผมจะแค่เข้าไปปล่อยข่าวล่อให้พวกมันมาติดกับ พอหมวดกลับมาแล้วเราค่อยลุยด้วยกัน”
“กลับมาจากไหน”
“ก็กลับมาจากไปพาอาจารย์ดารากลับมาไงครับ ผมรู้ว่าตอนนี้หมวดเป็นห่วงอาจารย์ดาราจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว รีบไปเถอะครับ ทางนี้...จ่าแท่นเอาอยู่”
“แต่ว่า”
“ไปเถอะครับหมวด ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ดาราขึ้นมา ผมไม่อยากเห็นหมวดเสียใจที่ไม่ได้ช่วยคนที่หมวดรัก เหมือนที่ผมพลาดโอกาสเรียกความยุติธรรมคืนให้พี่เดื่อง”
ยงยุทธนิ่งไปมองจ่าแท่น ขณะนั้นขุนเดชซึ่งยืนอยู่ข้างประตูร้านมีหนังสือพิมพ์ปิดหน้า ขุนเดชแอบตามมาและฟังจ่าแท่นกับยงยุทธคุยกันอย่างสนใจ
จบตอน 20
ขุนเดช ตอน 21.1
ภายในบริเวณโถงของโรงแรมดารานัดพบกับสมศรีเพื่อนนักข่าวสาวที่ทำหน้าตกใจเมื่อได้ฟังดาราเล่าจบ
“เป็นไง...ตกใจเลยใช่มั้ย”
“นี่เธอไม่ได้ล้อชั้นเล่นนะดารา”
“เรื่องแบบนี้จะล้อเล่นได้ยังไง ชั้นได้ยินมาจริงๆ อิทธิพลใหญ่คับฟ้าแบบนี้นี่เอง ถึงไม่เคยมีใครสาวไปถึงตัวได้”
สมศรีหน้าเครียด “เธออย่าเงียบแบบนี้สิสมศรี เธอเป็นนักข่าว มีเรื่องใหญ่แบบนี้เธอต้องช่วยชั้นตีแผ่นะ”
“แต่ชั้นว่าที่ยงยุทธเตือนให้เธออยู่ห่างเรื่องนี้ไว้ เธอน่าจะฟังนะ” ดาราชะงัก
“ไม่...ชั้นไม่กลัวอิทธิพล ถ้าชั้นไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ ต่อไปจะต้องมีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ชั้นหวังว่าเธอจะไม่ทิ้งจรรยาบรรณนักข่าวนะสมศรี”
“เอาล่ะๆ...เอาเป็นว่าชั้นจะลองไปสืบดูว่าเรื่องที่เธอได้ยินมามีมูลความจริงมากแค่ไหน ถ้าจริงจนได้หลักฐานแบบดิ้นไม่หลุด ชั้นก็จะช่วยตีแผ่เรื่องนี้ให้สังคมรับรู้”
“ขอบใจมากนะสมศรี”
ดารายิ้มให้เพื่อนอย่างโล่งอกที่ได้คนช่วย
ดาราเดินออกมาส่งเพื่อนที่หน้าโรงแรม
“ไว้ชั้นได้เรื่องยังไงชั้นจะโทรมาบอก ส่งชั้นแค่นี้แหละ”
“ระวังตัวด้วยนะสมศรี”
สมศรีพยักหน้ารับแล้วเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่อีกฝั่งถนน ทันใดนั้นเองรถเก๋งคันหนึ่งก็ขับพุ่งตรงเข้ามาแล้วชน สมศรีจนกระเด็นกลิ้งไปตามถนนตายคาที่เลือดนอง ดาราร้องกรี้ดดังลั่นพอๆ กับเสียงชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้น
“สมศรี...สมศรี...ไม่นะ...สมศรี”
สมศรีตายคาที่อยู่ในอ้อมกอดของดารา ระหว่างนั้นเองที่ดาราเงยหน้าขึ้นไปมองผ่านกลุ่มชาวบ้านที่กำลังตกใจ ดาราก็เห็นประดับยืนมือล้วงกระเป๋าโบกมือทักทายพร้อมกับรอยยิ้มอย่างยียวน ดาราอึ้งไปทันที
“ประดับ”
ชาวบ้านวิ่งผ่านตัดหน้าไป ดาราพยายามมองหาอีกครั้งก็ไม่เจอประดับแล้ว แต่คราวนี้เห็นเบิ้มที่ยืนจ้องหน้า อย่างเอาเรื่อง ดาราหน้าเสียตกใจกลัว
ดารารีบกลับเข้ามาในห้องพัก มือและเสื้อยังเปรอะเลือดของสมศรี เธอยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นเสียงทุบประตูอย่างแรงและรัวปังๆๆๆๆ ทำเอาดาราสะดุ้งเฮือกใหญ่ ความกลัวทำให้เธอรีบหันไปลากเก้าอี้มาขวางประตูเอาไว้ แล้วหันไปเปิดกระเป๋าหยิบปืนสั้นที่พกติดตัวมาด้วยยกขึ้นเล็ง
“ชั้นมีปืน...ถ้าแกเข้ามา...ชั้นยิงแกแน่”
เสียงเคาะประตูยังดังไม่หยุด...ปังๆๆๆๆๆ ดาราตั้งสติสูดหายใจเต็มปอดแล้วนิ้วแตะไก
“แกขู่ชั้นไม่ได้หรอก...ชั้นไม่กลัวพวกแก อย่ามายุ่งกับชั้น...ออกไป”
ดาราง้างไกถ้าประตูเปิดเธอยิงแน่ เสียงทุบประตูจึงค่อยเงียบไปหลังจากนั้นไม่นานก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งสอด เข้ามาผ่านทางใต้ประตู ดาราลังเลใจอยู่ครู่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้วจึงเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู พบว่าเป็นรูปภาพเธอ กากบากที่หน้าด้วยเลือดสดๆ ดาราหน้าเสียใจหายวาบ
ที่บ้านคำปัน คำปันสวดมนต์กราบพระเสร็จหันมาก็เจอบัวทองยื่นหน้าเข้ามาซะใกล้จนตกใจ
“ว๊าย! อกอีแป้น...บัวทอง...โผล่เข้ามาทำไม แม่ตกใจหมด”
“ชั้นนั่งอยู่ข้างหลังแม่ตั้งนานแล้ว รอจะถามแม่อยู่นี่แหละ”
“ถามอะไร”
“ก็เรื่องที่แม่คุยกับลุงจ่าไง” คำปันชะงัก “ลุงจ่าตามจับพวกมันมาได้รึยัง”
“เอาอะไรมาพูดน่ะบัวทอง โจรเจินที่ไหน ไปนอนได้แล้ว”
“ชั้นยังไม่ง่วง...ชั้นได้ยินนะแม่ เรื่องสำคัญอย่างนี้ แม่จะปิดพี่ขุนเดชไม่ได้นะ”
“แม่บอกว่าพอได้แล้วไงบัวทอง”
“โธ่แม่...โจรที่ฆ่าพ่อพี่ขุนเดชเดินลอยนวลอยู่ใกล้ตัวเขาแบบนี้ แม่ไม่สงสารพี่ขุนเดชเลยเหรอ”
“ก็เพราะแม่สงสารขุนเดชน่ะสิ ถึงยอมให้รู้ไม่ได้ เพราะถ้าขุนเดชรู้ ขุนเดชจะฆ่าพวกมัน แล้วขุนเดชก็ต้องติดคุก เราจะยอมเห็นขุนเดชหมดอนาคตหรอกบัวทอง”
บัวทองได้แต่นิ่งงันเห็นจริงอย่างแม่ว่า เลยเกิดความเป็นห่วงขุนเดชขึ้นมา
“ตายแล้ว”
“บัวทอง...อย่าบอกแม่นะว่าเราพูดเรื่องนี้ให้ขุนเดชรู้” คำปันถามอย่างสงสัย บัวทองหน้าเจื่อนๆ มองแม่แบบไม่แน่ใจ “ว่าไงล่ะบัวทอง ขุนเดชรู้เรื่องนี้แล้วรึยัง”
“ชั้นไม่รู้จ้ะแม่”
“หมายความว่ายังไง”
บัวทองเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้คำปันฟัง ซึ่งเธอมาหาหมอน้อยที่อนามัย
“พอชั้นได้ยินแม่กับลุงจ่าคุยเรื่องโจรที่ฆ่าพ่อพี่ขุนเดชตาย ชั้นสงสัยอยากรู้รายละเอียด ถามใครไม่ได้ชั้นก็นึกถึงอาหมอ เพราะเห็นว่าอาหมอเป็นอีกคนที่สนิทกับพ่อพี่ขุนเดช”
บัวทองเห็นหมอน้อยเพิ่งดูอาการคนไข้เสร็จก็รีบเดินเข้าไป
“อาหมอคะ บัวทองมีเรื่องอยากถามอาหมอหน่อยค่ะ”
หมอน้อยหันมามองบัวทองอย่างสงสัย
บัวทองออกมาคุยข้างนอกกับหมอน้อยใกล้ๆ กันมีรถกระบะของอนามัยจอดอยู่
“อยู่ๆ ทำไมบัวทองถึงได้มาถามอาเรื่องนี้ล่ะ” หมอน้อยถามอย่างแปลกใจ
“คือ...คือว่า”
“มีอะไรบัวทอง”
“คือ...บัวทองได้ยินลุงจ่าคุยกับแม่เรื่องโจรที่ฆ่าพ่อพี่ขุนเดชว่าพวกนั้นยังลอยนวลอยู่ ตอนนี้ลุงจ่ากำลังเตรียมแผนการจับตัวมัน”
“เป็นไปได้ยังไงบัวทอง ก็ตอนนั้นทางตำรวจบอกว่าโจรพวกนั้นถูกวิสามัญไปหมดแล้ว”
“ก็นั่นน่ะสิคะ บัวทองถึงได้แปลกใจ ถ้าเป็นจริงอย่างที่อาจ่าพูด ก็เท่ากับว่าคดีของพ่อพี่ ขุนเดชยังไม่เคยได้รับความยุติธรรม”
หมอน้อยมีสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นขุนเดชเข็นตัวเองออกมาจากใต้ท้องรถกระบะหน้าตาเลอะคราบน้ำมันเครื่อง
“เสร็จซะที”
ขุนเดชลุกขึ้นเช็ดมือแล้วหันมาเห็นบัวทองกับหมอน้อย
“อ้าว...บัวทอง มาทำอะไรที่นี่”
บัวทองชะงักเมื่อเห็นขุนเดช
“พี่ขุนเดช...นี่...พี่ขุนเดชอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พี่ก็ซ่อมรถอยู่ตรงนี้นานแล้ว บัวทองมีอะไรเหรอ”
บัวทองหน้าเจื่อนๆ อึกอักก่อนจะปฏิเสธ
“ปละ...เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
ขณะนั่นขุนเดชนั่งหันหลังให้จ่าแท่นอยู่ที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม จ่าแท่นใส่หนวดปลอมสวมวิกผมพรางตัวเองสุดฤทธิ์ แต่ก็ยังมีทีท่าหวั่นๆ ปนปอดๆ
“เอาว่ะ...เป็นไงเป็นกัน เพื่อพี่เดื่อง” จ่าแท่นยกมือพนมมือจรดหน้าผาก “พี่เดื่องขอให้วิญญาณของพี่ปกป้องให้ชั้นลากคอพวกใจบาปมาชดใช้กรรมที่มันทำไว้กับพี่ให้ได้ด้วยเถอะ”
จ่าแท่นเรียกขวัญกำลังใจจนหึกเฮิมแล้วก็เดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามมุ่งหน้าไปที่ซ่องโคมเขียวที่มีลูกน้องเสือแชนเสือชิดเฝ้าอยู่กับสาวๆ ประจำซ่อง
ขุนเดชหันไปมองจ่าแท่นที่ข้ามไปถนนไปแล้วด้วยแววตาน่ากลัว ความแค้นปะทุขึ้นมา ขบกราม กำหมัดแน่น
“ไอ้โจรใจบาปอย่างพวกมัน...โทษมันมีสถานเดียวเท่านั้น”
ภายในซ่องโคมเขียว หญิงสาวขายบริการแต่งตัววับๆ แวมๆ เข้ามาฉอเลาะกับชายมากหน้าหลายตา
จ่าแท่นเดินปะปนเข้ามาแม่เล้ารีบเข้ามาแนะนำเด็ก
“สนใจน้องคนไหนคะพี่ชาย แต่ถ้ายังไม่รู้เลือกใคร เดี๋ยวเจ๊จัดให้รับรองถึงใจ”
“พี่ก็สนใจอยู่หลายคนนะ...แจ่มๆ ทั้งนั้น”
จ่าแท่นพูดไปก็หันไปรับยิ้มหวานๆ ของสาวๆ ที่โบกไม้โบกมือให้ แต่ต้องตัดใจ
“คือพี่มาราชการ เอ้ย...พี่มีธุระต้องการเจอพี่แชน”
พวกลูกน้องที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินพูดถึงลูกพี่ก็มีอาการผลุดลุกทันที
“ที่นี่มีแต่น้องๆ หนูๆ รำไพ รำพา ลำดวน แชนเชิญอะไรไม่มีหรอก”
“พี่รู้ว่าพี่แชนกับพี่ชิดอยู่ที่นี่ พี่เอาโชคเอาลาภมาให้เขา ไม่ได้มาร้ายหรอก” แม่เล้าไม่ทันจะพูดอะไร ลูกน้องเสือแชนก็เข้ามาประกบจ่าแท่นพร้อมกับเอาปืนจี้ “ใจเย็นๆ จ้ะ ไม่ต้องใช้ปืนกับชั้นหรอก ชั้นไม่มีอาวุธ มาตัวเปล่าจริงๆ”
จ่าแท่นชูมือให้เห็นว่าไม่มีอันตราย พวกลูกน้องลองค้นทั่วตัวไม่พบอาวุธอะไรแต่เจอถุงเพชรเม็ดเล็กๆ ซุกอยู่
“นี่ไงจ๊ะ...ที่ชั้นบอกว่าจะเอาโชคเอาลาภมาให้”
พวกลูกน้องมองหน้ากันอยู่ครู่ก่อนจะล็อคแขนจ่าแท่นแล้วพาตัวขึ้นบันไดไป คล้อยหลังจ่าแท่นไปได้ไม่นาน ขุนเดชก็เดินเข้ามา สาวบริการเห็นหนุ่มหล่อบึกบึนก็กรี้ดกร๊าดเข้ามาล้อมหน้า ล้อมหลังเสนอตัวเองสุดฤทธิ์ จนแม่เล้าต้องรีบเบียดเข้ามา
“ให้มันน้อยๆ หน่อยย่ะพวกหล่อน เจอหล่อล่ำคล้ำเข้มแบบนี้ไม่ได้เชียว ตะแล๊ดแต๊ดแต๋กันทั้งซ่อง ว่าไงจ้ะพ่อรูปหล่อ เหงาเหรอจ๊ะ...ให้พี่ช่วยคลายเหงาให้มั้ย”
แม่เล้ากระพริบตาปิ๊งๆ เพราะต้องการฟิเจอริ่งกับหนุ่มหล่ออย่างขุนเดชซะเอง ขุนเดชมองด้วยสายตานิ่งขรึม
ภายในในห้องพักเสือแชน ลูกน้องคุมตัวจ่าแท่นมาให้เสือแชนที่อยู่กับหญิงสาวหุ่นดีหน้าตาดีนุ่งผ้าถุงกระโจมอกนั่งคลอเคลียนัวเนียระหว่างที่เสือแชนเทเพชรออกจากถุงมาดู หญิงสาวถึงกับตาโตตะลึง
“ชั้นชื่อเรืองจ้ะ เห็นพี่แชนถูกใจแบบนี้ชั้นจะได้รู้ว่าชั้นมาไม่เสียเที่ยว”
จ่าแท่นพูดไม่ทันจบเสือแชนก็พยักหน้าสั่ง ลูกน้องจับจ่าแท่นมากดหน้าลงกับโต๊ะแล้วเอามือวางพาดโดยมีมีด จ่อนิ้วเตรียมโดนตัดนิ้วแบบโหดๆ
“จะทำอะไรชั้นน่ะ...ชั้นมาดีจริงๆ นะ”
“เอ็งเป็นตำรวจใช่มั้ย”
จ่าแท่นสะดุ้ง
“เปล่านะจ๊ะ...ชั้นไม่ได้เป็นตำรวจ ชั้นเป็นลูกน้องเสือเข้ม ป่าสัก”
“ลูกน้องไอ้เข้ม ป่าสัก ? ไอ้เข้มมันโดนตำรวจยิงตายไปตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“ใช่จ้ะ แต่ชั้นรอดมาได้ ชั้นก็เลยเป็นคนเดียวที่รู้ว่าพี่เข้มซ่อนสมบัติที่เคยปล้นมาไว้ที่ไหน”
“คิดว่าข้าจะเชื่อที่เอ็งเล่ามาเหรอ”
“ก็เพชรที่ชั้นเอามาให้พี่ดูไงจ๊ะ นั่นน่ะเป็นแค่ส่วนนึงที่ชั้นเก็บมาได้เท่านั้น แต่ที่มากกว่านี้พี่เข้มใช้อาคมปิดผนึกสมบัติไม่ให้ใครเข้าใกล้ พอชั้นรู้ว่าพวกพี่กลับมาสุโขทัย ชั้นก็เลยมาขอให้ช่วย เพราะพวกพี่เรียนอาคมมาจากที่เดียวกัน” เสือแชนฟังแล้วเกาคางสีหน้าครุ่นคิด ลูกน้องเตรียมจะใช้มีดตัดนิ้ว จ่าแท่นหน้าเสีย “อย่า...อย่า...”
ในห้องพักอีกห้อง แม่เล้าผลักขุนเดชให้นั่งลงที่เตียงแล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อตัวเองอย่างยั่วยวน
“ไม่ยอมบอกชื่อแซ่ให้พี่รู้จักก็ไม่เป็นไร พี่ชอบอยู่แล้วผู้ชายขี้อาย เดี๋ยวพอพี่เริ่มให้แล้วน้องจะสะกดคำว่าอายไม่เป็นอีกเลย”
แม่เล้าหัวเราะคิกคักแล้วเข้าไปกอดรัดจูบซุกไซร้ขุนเดชที่ซอกคออย่างหนักหน่วง แต่ขุนเดชนิ่งเฉยไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะใช้สันมือทุบที่ต้นคอทีเดียว...ผลั๊ก แม่เล้าร่วงพล่อยหมดสติ ขุนเดชจับแม่เล้านอนลงบนเตียงแววตาเคร่งขรึม แล้วเอาผ้าขาวม้ามาพันหน้า เอาดาบดำขึ้นมาชักออกจากฝัก เอาปลอกดาบเหน็บหลัง แววตาดุดัน
อีกห้องหนึ่งเสือชิดกำลังกอดรัดนัวเนียอยู่กับสาวบริการ ประตูเปิดเข้ามาอย่างแรง หญิงสาวตกใจเพราะเห็นชายพันหน้าด้วยผ้าขาวม้ายืนจังก้าพร้อมกับดาบคมกริบสีดำมะเมี่อม
“เฮ้ย...ใครวะ”
“นรกสั่งให้ข้ามาเอาชีวิตเอ็ง...ไอ้เสือชิด”
ขุนเดชควงดาบดำด้วยเพลงดาบเดือนดับ เสือชิดเห็นเข้าก็ยิ่งตกใจ
“ดาบดำ...เป็นไปไม่ได้...ไอ้พวกที่มีดาบดำโดนพวกข้าจัดการไปหมดแล้ว เอ็งเป็นใคร แล้วไปเอาดาบดำมาจากไหน”
“ตราบใดที่คนใจบาปอย่างพวกเอ็งยังไม่ถูกกำจัดให้หมดไป แผ่นดินนี้ก็ยังต้องมีทหารของพระร่วงคอยปกป้อง”
เสือชิดจะหันไปคว้าปืนที่หัวเตียง แต่ขุนเดชฟันฉับด้วยความไวกว่า หญิงสาวตกใจผงะไปยืนตัวสั่นกลัวมุมห้อง
“อ๊ากกกก”
เลือดโชกมือเสือชิด ขุนเดชเงื้อดาบด้วยเพลงดาบเพชรฆาต
“ฟ้า...ดิน...เป็นพยาน...เพลงดาบเดือนดับ”
เสือชิดตกใจหน้าเสีย ภาพเงาบนฝาผนังเสือชิดถูกฟันคอขาดกระเด็น เลือดจากคอเสือชิดกระฉูดเปรอะเปื้อนใบหน้าของหญิงสาวบริการที่ยืนตกใจ
อีกห้องเสือแชนโอบไหล่จ่าแท่นแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่าๆๆๆ ข้าก็แค่ล้อเอ็งเล่น...ตกลงข้าจะช่วยเอ็งไปเอาสมบัติของไอ้เข้ม”
จ่าแท่นเป่าปากโล่งอก
“พี่แชนเล่นซะชั้นเหงื่อตกเลย”
“ข้าก็ต้องทดสอบหน่อยสิวะ ว่าเอ็งมันจะใจกล้าบ้าบิ่นเหมือนเสืออย่างพวกข้ารึเปล่า”
“ถ้างั้นเรื่องค่าเสียเวลา...”
“ข้า 80 เอ็ง 20”
“โหพี่แชน”
เสือแชนหยิบปืนขึ้นลำเล่น
“หรือเอ็งจะให้ข้า 90 แล้วเอ็งเอาไป 10 คืนนี้ข้าอารมณ์ดีนะเว้ย”
“จ้ะๆๆ ก็ได้ ไว้ชั้นจะมาพาพี่ไป”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังรัว เสือแชนระวังตัวทันที ลูกน้องรีบไปเปิดประตูเจอหญิงบริการที่อยู่กับเสือชิด เลือดเปรอะเต็มหน้าตื่นกลัว
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...พี่ชิดถูกวีรบุรุษบาปฆ่าตายแล้ว”
“ว่าไงนะ” จ่าแท่นตกใจ เสือแชนหันมาที่ลูกน้อง “เฮ้ย...จับตัวมันไว้ อย่าเพิ่งให้มันไปไหน”
ลูกน้องเอาปืนจ่อจ่าแท่น ที่รีบยกมือขึ้นทันที
เสือแชนถือปืนวิ่งลงมาเจอวีรบุรุษบาปกำลังสู้กับพวกลูกน้องตัวเอง ส่วนพวกหญิงสาวร้องตกใจวิ่งหนีกันวุ่น
“ไอ้วีรบุรุษบาป มึงกล้าหยามกูถึงที่ กล้าฆ่าเพื่อนกูตาย มึงไม่รอดออกจากที่นี่แน่”
เสือแชนยกปืนยิง...เปรี้ยง แต่วีรบุรุษบาปจับตัวลูกน้องเสือแชนมาเป็นโล่ห์บังกระสุน เสือแชนเจ็บใจรัวยิงอีก แต่ก็โดนลูกน้องตัวเองทุกนัด ขุนเดชลากลูกน้องเป็นโล่ห์กำบังก่อนจะหลบออกไป
“มันต้องตาย”
เสือแชนสั่งเสียงดังแล้วพากันออกไล่ตาม
หน้าบ้านคำปัน ตำรวจคนหนึ่งมายืนเรียกจ่าแท่น
“จ่า...จ่า...จ่าแท่น”
คำปันเดินออกมาอย่างแปลกใจ
“พี่จ่าไม่อยู่หรอกจ้ะ มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“จ้ะ” ตำรวจมีสีหน้าเป็นกังวล คำปันเลยยิ่งใจคอไม่ดี “เกิดอะไรขึ้นเหรอ บอกชั้นมาได้นะ พี่จ่าบอกชั้นหมดแล้วว่าไปทำคดีอะไร”
“วีรบุรุษบาปไปก่อเรื่องที่นั่น พวกเรายังตามหาตัวจ่าไม่เจอ”
“พี่จ่า”
คำปันหน้าเสียเป็นห่วงจ่าแท่น บัวทองที่ออกมายืนฟังอยู่ตรงระเบียงพลอยตกใจไปด้วย สีหน้าบัวทองครุ่นคิดสงสัย
วีรบุรุษบาปสู้กับลูกน้องเสือแชนที่ไล่ตามมาถึงบริเวณบ้านที่มีการย้อมผ้า มีผ้าที่ย้อมแล้วตากอยู่บนราวเรียงราย ขุนเดชใช้ดาบดำฟันลูกน้องเสือแชนจนตายคาที่ ระหว่างนั้นเสือแชนกับลูกน้องอีกสองคนตามเข้ามา เปรี้ยงๆๆๆๆ เสือแชนยิงใส่ไม่ยั้ง วีรบุรุษบาปกระโจนหลบแล้วหายไป
“หามันให้เจอ...กูจะเอาเลือดมันมาล้างตีนศพไอ้ชิด”
ลูกน้องแยกกันออกไปตามหา เสือแชนมีสีหน้าเอาเรื่อง
ท่ามกลางบรรยากาศวังเวง หมอกควันจางๆ เสือแชนถือปืนเดินเข้ามามองหาวีรบุรุษบาปตามราวผ้าที่มีผ้ามัดย้อมตากเรียงรายและปลิวไปมา เสือแชนเห็นเท้าของวีรบุรุษบาปวิ่งไปตามทางก็ยิงปืนใส่เปรี้ยงๆๆ สิ้นเสียงปืน เสือแชนรีบวิ่งเข้าไปพลิกผ้าที่ตากอยู่ตามราวขึ้นมา แต่ก็ยังไม่พบวีรบุรุษบาป
“ข้าอยู่นี่ไอ้เสือแชน”
เสือแชนหันขวับ เห็นวีรบุรุษบาปยืนจังก้าถือดาบดำเอาเรื่อง
“กล้ามากนะเอ็งที่มากระตุกหนวดเสืออย่างข้า...คนอย่างข้า...เสือแชน ต้องการให้ใครตายแล้วล่ะก็ มันต้องไม่ได้ตายดี”
เสือแชนพนมมือเตรียมใช้อาคมเล่นงาน แต่พอขมุบขมิบปากร่ายอาคมจบกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมอาคมข้าใช้ไม่ได้ผล”
“คิดว่าข้าจะหนีเอ็งอย่างหมาจนตรอกงั้นเหรอไอ้เสือแชน ดูให้ดีๆ ซะก่อน”
เสือแชนแปลกใจหันขวับไปมองราวตากผ้ามัดย้อม พบว่าราวที่ตัวเองมุดผ่านเข้ามามีผ้าถุงผืนหนึ่งตากอยู่
“ผ้าถุง”
“อาคมของเอ็งมันเสื่อมแล้ว ถึงเวลาที่เอ็งจะต้องชดใช้กรรมที่เอ็งก่อไว้”
“ไอ้สารเลว เอ็งมันก็โจรเหมือนพวกข้านั่นแหละโว้ย อย่ามาสะเออะทำเป็นตุลาการตัดสินคนอื่น”
“ข้ามีสิทธิ์ตัดสินเอ็ง เพราะบาปที่เอ็งทำไว้กับนายเดื่องยังไม่ถูกชำระ”
“เดื่อง...ไอ้เดื่อง ถ้ำศิลาน่ะเหรอ นี่เอ็งรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” เสือแชนมองไปที่ดาบดำในมือวีรบุรุษบาป “ดาบดำ...ที่แท้เอ็งมันพวกทหารพระร่วง คิดจะแก้แค้นให้พวกเดียวกันงั้นสิ”
“เอ็งโดนตัดสินโทษประหารแล้วไอ้เสือแชน” ขุนเดชควงดาบด้วยเพลงดาบไม้ตาย “ฟ้า...ดิน...เป็นพยาน...เพลงดาบเดือนดับ”
ขุนเดชกำลังจะวิ่งเข้าไปฟันเสือแชน แต่ระหว่างนั้นกำนันบุญพร้อมไอ้นะ ไอ้เนตามเข้ามาช่วย เสียงปืนดังสนั่น วีรบุรุษบาปชะงักต้องล่าถอยออกไป
“เป็นไงมั่งวะไอ้แชน พอข้ารู้เรื่องไอ้ชิด ข้าก็รีบมาช่วยเอ็ง”
“ขอบใจกำนัน...ไอ้วีรบุรุษบาปกับชั้นมันต้องเจอกันอีกแน่”
ที่ซ่องโคมเขียวจ่าแท่นถูกจับมัดติดกับเก้าอี้ มีลูกน้องเสือแชนเฝ้าอยู่ สักพักเสือแชนกลับเข้ามา
“พี่แชน...ปล่อยชั้นไปเถอะ ชั้นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
เสือแชนหน้านิ่งแล้วพยักหน้าให้ลูกน้องชกเข้าที่ท้องจ่าแท่นจนจุกตัวงอ
“ชั้น...ชั้นไม่ใช่...ไม่ใช่พวกวีรบุรุษบาปนะพี่แชน”
“เออ...ข้าเชื่อว่าเอ็งไม่ใช่พวกมัน แต่เอ็งเป็นพวกตำรวจ”
“ชั้นไม่ใช่ตำรวจ ชั้นชื่อเรือง”
“เลิกโกหกข้าซะที ไอ้จ่าแท่น” เสือแชนเข้าไปกระตุกหนวดปลอมและกระชากวิกผมเปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของจ่าแท่น“นึกแต่ทีแรกแล้วว่าหน้ามันคุ้นๆ พอไอ้วีรบุรุษบาปพูดถึงไอ้เดื่องขึ้นมา ข้าก็เลยนึกถึงเอ็ง หึ...วอนหาเรื่องไม่เลิก”
เสือแชนหันไปรับปืนจากลูกน้องมา จ่าแท่นนึกว่าจะโดนยิงตายแต่เสือแชนกลับใช้ด้ามปืนทุบต้นคอทีเดียวจ่าแท่นสลบเหมือดคอตก
บัวทองรีบวิ่งเข้ามาที่บริเวณกระท่อมขุนเดช
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช”
บัวทองมองหาขุนเดชไม่เจอ สีหน้าเริ่มเป็นกังวลระหว่างนั้นขุนเดชเดินเขามาจากข้างหลัง
“มีอะไรเหรอบัวทอง”
“พี่ขุนเดช...พี่อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ”
“เปล่า”
“งั้นพี่ไปไหนมา”
“พี่อยู่ที่โบสถ์ บัวทองมีอะไรเหรอ”
“เอ่อ...คือ...ชั้น”
“สงสัยใช่มั้ย ว่าพอพี่รู้เรื่องพวกโจรที่ฆ่าพ่อพี่แล้ว พี่จะตามไปแก้แค้นพวกมัน”
“พี่รู้”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
“พี่ได้ยินบัวทองคุยกับอาหมอ แต่บัวทองไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่มีหน้าที่ไปตัดสินความผิดใคร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ดีกว่า”
“คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ...พี่หมายถึงใคร ตำรวจหรือว่าวีรบุรุษบาป”
“ใครก็ได้ที่สามารถหยุดพวกมันไม่ให้ทำบาปต่อไปได้อีก”
“ถ้าพี่หมายถึงวีรบุรุษบาปล่ะก็...เขาลงมือแล้วเขาฆ่าพวกมันได้แล้วคนหนึ่ง แต่ลุงจ่า...”
บัวทองพูดไปก็น้ำตาคลอเบ้า สะอื้นไห้จุกคอด้วยความเป็นห่วงจ่าแท่น
“ เกิดอะไรขึ้นกับจ่าเหรอบัวทอง”
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 10 (ต่อ) พรุ่งนี้
ขุนเดช ตอนที่ 10 (ต่อ)
ยงยุทธเปิดประตูห้องพักดาราเข้ามาพบว่าภายในห้องเงียบเชียบจนน่าผิดสังเกต ระหว่างนั้นมีปากกระบอกปืนยื่นเข้ามาจ่อที่หัวพร้อมกับเสียงขึ้นไก
“อย่าคิดว่าชั้นจะยอมเป็นเหยื่อแกเหมือนกับเพื่อนของชั้นนะ”
ยงยุทธหันขวับแล้วแล้วอาศัยประสบการณ์และความไวแย่งปืนแล้วจับดาราพลิกตัวกดลงบนเตียง
“ปล่อยนะ...ปล่อยชั้น”
“ดารา...นี่ผมเอง”
“ยงยุทธ”
ยงยุทธดูกระดาษที่ดาราถูกข่มขู่แล้วขยำทิ้งลงถังขยะ
“ไอ้สารเลว ผมไม่ยอมให้คุณอยู่เสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่อีก คุณต้องกลับไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่...ชั้นไม่ไป”
“ดารา...ขนาดเพื่อนคุณเป็นถึงสื่อมวลชน พวกมันยังปิดปากได้แล้วคุณจะเอาอะไรไปสู้”
“ความถูกต้องไง เหมือนที่เธอพูดให้ฟังบ่อยๆ”
“แต่นั่นมันเป็นหน้าที่ผม กลับเถอะนะดาราแล้วผมจะจัดการต่อให้เอง” ดารานิ่งไป ยงยุทธเข้ามาบีบไหล่อย่างเป็นห่วง “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณ แต่ผมยอมให้คนที่ผมรักเจ็บหรือตายไม่ได้”
ดาราสบตายงยุทธแล้วตัดสินใจปัดมือยงยุทธออกเบาๆ
“ขอบใจนะยงยุทธ แต่ชั้นต้องการพิสูจน์ให้วีรบุรุษบาปเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการนองเลือด ชั้นก็ยังปกป้องสมบัติของแผ่นดินได้”
ดาราพูดไปก็หันไปหยิบชุดเดรสยาวที่แขวนอยู่แล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนที่หลังฉากกั้น ยงยุทธจะตามไปถามแต่ ดาราถอดเสื้อพาดกับฉากกั้น ยงยุทธเลยชะงัก
“ดารา...คุณคิดจะทำอะไร”
ดาราไม่ตอบ ดาราเปลี่ยนชุดมาใส่ชุดเดรสสวยงาม
ดาราแต่งชุดเดรสยาวสวยงามสำหรับไปงานเลี้ยงเดินออกมาจากโรงแรม ยงยุทธตามมมาห้าม
“ดารา...เชื่อผมเถอะ...อย่าทำอย่างนี้เลย”
“เพื่อนชั้นต้องสังเวยชีวิตไปเพราะอิทธิพลของพวกมัน ชั้นไม่ยอมให้เพื่อนตายฟรีหรอก”
“แต่ถ้าคุณไป คุณไม่ทันได้เปิดโปงพวกมันหรอกเพราะมันจะฆ่าคุณ”
“ถ้ามันกล้าปิดปากชั้นต่อหน้าสาธารณชน...ก็ลองดู”
ดาราแกะมือยงยุทธแล้วเดินไปขึ้นรถของโรงแรมที่จอดรอเธออยู่
“ดารา...ดารา”
ยงยุทธได้แต่หน้าเครียดคิดหาทางช่วยดารา
ที่บ้านกำนันบุญ กำนันบุญได้ฟังเสือแชนเล่าแล้วรู้สึกสงสัย
“ไอ้เดื่อง...เดื่องไหนวะ”
“พระศิลาในถ้ำบนเขาหลวงเมื่อ 20 ปีที่แล้วไงพี่”
“พระศิลา...อ๋อ...ที่ข้าตามพวกเอ็งให้ไปตัดเศียรน่ะเหรอ ข้าจำได้แล้วไอ้เดื่องมันเป็นคนของราชการที่ข้าเคยไปเจรจาขอให้มันเปิดทางให้พวกเราเข้าไปลักตัดพระศิลา แต่มันหัวแข็งไล่ตะเพิดข้าซะเสียหน้ากำนัน ข้าก็เลยให้พวกเอ็งตัดคอมันซะด้วยเลย”
“นั่นล่ะ...แต่ไอ้เดื่องไม่ใช่หัวหน้าขุดแต่งกรุของราชการธรรมดามันเป็นทหารพระร่วง พวกที่สาบานตนว่าจะปกป้องสมบัติแผ่นดินโดยมีดาบดำเป็นอาวุธ”
“ชื่อนี้อีกแล้ว...ข้าล่ะเบื่อไอ้พวกสติไม่เต็ม บ้าบอเต็มทนแล้ว”
“มันไม่ใช่พวกบ้าอย่างที่เอ็งคิดหรอกกำนัน ไอ้พวกนี้มันมีอยู่จริง ชั้นนี่แหละที่ตามล่าคอยเล่นงานพวกมันมานักต่อนักแล้ว นึกว่าจะปราบพวกมันจนหมดแล้ว...แต่ดันยังเหลือเชื้ออยู่อีก...ไอ้วีรบุรุษบาป”
เสือแชนขบกรามแน่นเจ็บใจ
คำปันมาถามข่าวจ่าแท่นที่สถานีตำรวจ
“จ่าแท่นยังไม่ติดต่อกลับมาเลยเหรอคะ”
ร้อยเวรพยักหน้ารับอย่างหนักใจ คำปันยิ่งเป็นกังวล
“แล้วผู้หมวดยงยุทธล่ะคะ ทราบเรื่องนี้แล้วรึยัง”
“เราพยายามติดต่อกับหมวดแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้เลย”
“แล้วอย่างนี้จะทำยังไง ถ้าพี่จ่าถูกพวกมันจับตัวไปเกิดพวกมันฆ่าปิดปากพี่จ่าล่ะ”
คำปันหน้าเสียน้ำตาคลอ บัวทองเข้าไปกุมมือแม่ปลอบใจ
“แม่จ๊ะ ชั้นว่าถ้าวีรบุรุษบาปรู้เรื่องเขาคงต้องตามไปช่วยลุงจ่า”
“ช่วยเหรอ...ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไปขัดขวางการทำงานของพี่จ่า พี่จ่าจะหายตัวไปแบบนี้เหรอบัวทอง” บัวทองนิ่งไปเถียงแทนวีรบุรุษบาปไม่ได้ “ถ้าเขาอยากจะจัดการฆ่าคนชั่วคนเลวมันก็เรื่องของเขา แต่ถ้าจะทำให้คนบริสุทธิ์เป็น อะไรไปด้วย ก็อย่าไปเรียกคนแบบนั้นว่าวีรบุรุษเลย”
คำปันสะอื้นเสียใจ ขุนเดชที่อยู่ด้วยมีสีหน้าหนักใจ
ขุนเดชเดินออกมาจากสถานีตำรวจด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแววตาดุดันเอาจริง หมอน้อยเดินเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง
“จ่าแท่นถูกพวกมันจับตัวไปจริงๆ เหรอขุนเดช”
“ครับอาหมอ...เป็นความผิดของผมเองที่คิดแต่จะลงโทษพวกมันจนทำให้จ่าต้องมาพลาดท่าเสียทีพวกมัน”
“แล้วเธอจะเอายังไง”
“ต้องช่วยอาจ่าให้ได้ ส่วนพวกมันยังไงก็ต้องรับโทษที่มันทำไว้กับพ่อ”
แววตาของขุนเดชกร้าวแข็งเอาจริง
กำนันบุญกับเสือแชนยังคุยกันเรื่องวีรบุรุษบาป
“หึ...อย่างนี้นี่เองมิน่าตอนมันมาเล่นงานข้า มันถึงเรียกตัวเองว่าเป็นทหารพระร่วง งานนี้ข้าจะช่วยเอ็ง จะเอาคนของข้าไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องตัดคอมันมาให้ได้ เหมือนอย่างที่ไอ้เดื่องเคยโดน”
“ไม่ต้องหรอกกำนัน ลำพังชั้นกับคนของชั้นที่เหลือ...เอาอยู่”
“แต่มันลอบกัดทำให้อาคมเอ็งเสื่อม เอ็งอย่าประมาท”
“ชั้นมีตำรวจที่รู้จักไอ้เดื่องเป็นตัวประกัน ยังไงมันก็ต้องมาติดกับชั้นแน่นอน เอ็งอยู่เฉยๆ รอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่ก็พอ”
“ถ้าเอ็งมั่นใจก็เอาเลย...ข้าก็ไม่อยากให้ไอ้จ่านั่นเห็นหน้าข้าเท่าไหร่ เดี๋ยวจะพาลยุ่ง”
เสือแชนหันมายิ้มร้ายๆ
คฤหาสน์ของปราชญ์กำลังจะมีงานเลี้ยง ปราชญ์เดินคุยมากับประดับ
“ชั้นได้ยินอาจารย์ก้องเกียรติเล่าเรื่องที่มีคนบุกเข้าไปที่บ้านเขาแล้ว ตกลงจัดการเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ครับ ก็แค่ฝีมือพวกอ่อนหัด ผมส่งคนผมไปขู่แล้วรับรองว่าไม่กล้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก”
“ดี...ยังไงก็ดูแลงานเลี้ยงวันเกิดคุณหญิงให้เรียบร้อยด้วย ชั้นจะอยู่ที่ห้องสมบัติของชั้น”
“ครับท่าน”
ปราชญ์เดินออกไป สักพักคุณหญิงก็เดินเข้ามาหาประดับ
“นี่แหละสามีชั้น...งานเลี้ยงวันเกิดเมีย แต่กลับสั่งให้เลขาคอยดูแล ส่วนตัวเองก็ไปขลุกอยู่กับของเก่าคร่ำครึ”
“แต่ท่านก็เตรียมของขวัญให้คุณหญิงไว้แล้ว”
“สร้อยเพชร แหวนเพชรเหมือนเคยอีกนั่นแหละ มีจนจะล้นตู้เซฟอยู่แล้ว ของพวกนั้นชั้นไม่อยากได้หรอก วันเกิดปีนี้ของชั้น ของที่อยากได้ที่สุดก็คงมีแต่...”
คุณหญิงมองประดับด้วยสายตาพิศวาส มือก็ทำทีปัดใยผ้าที่เปื้อนไหล่เสื้อสูทของประดับระหว่างนั้นคนใช้เข้ามา
“คุณหญิงคะ”
คุณหญิงหันไปตวาดไม่พอใจ
“อะไรของหล่อน”
“เอ่อ...คุณปา....เธอ..เธอ”
ที่ห้องปารมี เสียงโอ้กอ้ากเพราะอาการแพ้ท้องดังไม่หยุดประดับกับคุณหญิงเข้ามา ปารมีตกใจ
“คุณแม่”
“แกเป็นอะไรของแกกันแน่หายัยปา แม่บ้านไปบอกชั้นว่าแกอาเจียนไม่หยุดตั้งแต่เช้า”
“แม่จะมายุ่งอะไรกับปาล่ะ ปาไม่ได้ไปอาเจียนรดใส่ชุดสวยๆ ของแม่สักหน่อย”
“ยัยปา ปากดีนักนะแก ชั้นชักจะสงสัยแล้วว่าไอ้ที่แกโอ้กอ้ากอยู่เนี่ย มันจะไม่ใช่อาหารเป็นพิษอย่างที่แกอ้างแล้ว”
คุณหญิงสงสัยเข้าไปจับลูกสาวมาหมุนตัวดูอย่างจับผิด ปารมีรีบสะบัดมือ
“แม่...อย่าทำกับปาอย่างนี้นะ ปายิ่งเวียนหัวอยู่”
“งั้นมันก็ต้องเป็นอย่างที่ชั้นสงสัย แกท้องใช่มั้ยยัยปา บอกความจริงชั้นมานะ” ปารมีกับประดับหน้าเสีย คุณหญิงเข้าไปบีบแขนลูกสาวคะยั้นคะยอ “ว่าไง...แกอย่ามาปิดชั้นนะ ชั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนแก”
“แม่...ปาเจ็บนะ”
“งั้นก็ยอมรับมาสิว่าแกท้อง”
ประดับรีบเข้าไปห้าม
“คุณหญิงครับ...อย่าทำอย่างนี้กับคุณปาเลย ค่อยๆ พูดค่อยๆ จาดีกว่า”
ปารมีรีบเข้าไปหลบหลังประดับ
“พี่ประดับช่วยปาด้วย”
“เธอหลบไปนะประดับ ชั้นจะเค้นความจริงจากลูกสาวชั้น”
“แต่วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหญิง...นี่ก็ใกล้จะได้เวลาแล้วที่แขกจะมางานกันแล้ว อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเลยนะครับ”
“แต่ว่า...”
“ให้ผมคุยกับคุณปาเอง...ปกติเธอมีอะไรก็มักจะมาปรึกษาผมทุกเรื่อง ได้เรื่องยังไงแล้วผมจะไปบอกคุณหญิง”
คุณหญิงนิ่งไปแล้วมองลูกสาว
“ก็ได้...เอาความจริงจากปากยัยปามาให้ได้ ถ้าแกทำให้ชั้นเสื่อมเสียอับอายขายหน้า ล่ะก็...อย่าหวังว่าแกจะได้สุขสบายอยู่ที่นี่อีก ชั้นจะไม่เลี้ยงทั้งแก ทั้งลูกแก แล้วก็ไอ้ผัวใจแตกของแกด้วย”
คุณหญิงคาดโทษจริงจังแล้วออกจากห้องไป ประดับหันมามองปารมีอย่างหนักใจ
งานเลี้ยงวันเกิดคุณหญิงเริ่มขึ้นแล้วมีแขกคุณหญิงคุณนายทยอยเข้ามาทักทาย พูดคุยจับกลุ่มกันพอประมาณ ดาราในชุดเดรสสวยงามหน้าผมเป๊ะเดินเข้ามารับแก้วแชมเปญจากพนักงานเสิร์ฟ ทำตัวเป็นแขกในงานได้ เนียนๆ ก่อนจะหันไปมองคุณหญิงที่ออกมาทักทายแขก
“สวัสดีค่ะคุณพี่...แหมไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะเนี่ย ต๊ายตาย...เพชรคุณพี่สวยจังเลย”
ดาราทำทีเป็นจิบแชมเปญแล้วเดินเลี่ยงจะหาทางเข้าไปในคฤหาสน์ แต่เจอเบิ้มพร้อมกับทีมรปภ.เดินตรวจ
เบิ้มเกือบจะเห็นหน้าดาราโชคดีที่เธอไหวตัวทันหันหลังหลบหวุดหวิดจะโดนเห็นหน้าและรีบเดินหนี แต่เบิ้มก็ยังหันมาสงสัยที่เห็นหญิงสาวในชุดเดรสสวย พอจะตามไปคุณหญิงดันมาเรียกไว้
“นี่...มาเดินทำอะไรแถวนี้ ไปช่วยดูรถแขกของชั้นหน่อย จอดจนจะชนกันหมดอยู่แล้ว”
“ครับคุณหญิง”
ประดับปิดประตูห้องปารมีแน่นหนาพอที่จะไม่มีใครเข้ามา
“แม่ต้องรู้เรื่องปาแน่ๆ เลยพี่ประดับ ทำไงดี”
“พี่บอกแล้วไงว่าอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”
“ก็จะให้ปาทำยังไงล่ะ ปากำลังท้องนะของอย่างนี้มันปิดกันได้ที่ไหน”
“ถ้าปิดไม่ได้ก็ต้องไปเอาออก”
“พี่ประดับ...นี่พี่จะให้ปาไปทำแท้งเหรอ”
“คุณปาก็ได้ยินที่คุณหญิงขู่แล้วไม่ใช่เหรอ คุณหญิงกลัวเรื่องเสียหน้ายิ่งกว่าอะไร ถ้าเรื่องแดงขึ้นมานอกจากผมจะถูกท่านสั่งเก็บแล้ว คุณปาก็จะถูกไล่ออกจากบ้าน”
“ไล่ก็ไล่สิ ปาไม่สน...เราหนีไปด้วยกัน ปาจะไปเป็นเมียพี่ประดับ”
“คุณปา...คุณปาใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอด คุณปาไม่รู้หรอกครับว่าเวลาลำบากมันทรมานแค่ไหน ท่านจะต้องตามล่าผม ที่ซุกหัวนอนก็คงเป็นได้แค่โรงแรมถูกๆ อาหารที่กินได้ก็มีแต่ข้าวแกงข้างถนน”
ปารมีฟังแล้วหน้าเสีย
“ไม่เอาหรอก...ปาไม่ชอบนอนโรงแรมถูกๆ”
“ถ้างั้นคุณปาต้องทำตามที่ผมสั่ง...ไปทำแท้งซะ”
ปารมีมองประดับหน้าเครียด
ประดับพาปารมีออกมาที่โรงจอดรถ
“พี่ประดับจะไม่ไปกับปาด้วยเหรอ”
“พี่จะไปได้ยังไง พี่ต้องรับหน้าคุณหญิงไม่อย่างนั้นคุณหญิงจะสงสัย”
“แต่ปากลัว”
“ไม่ต้องกลัวหรอก แป็บเดียวก็เรียบร้อยแล้ว เสร็จธุระทางนี้แล้วพี่จะไปรับ”
“สัญญานะพี่ประดับ”
ประดับพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นเบิ้มเข้ามา
“เบิ้ม...แกดูแลคุณปาให้ชั้นด้วย”
“ได้ครับ เอ่อ...ผมมีเรื่องอยากให้คุณประทับทราบไว้ครับ”
“อะไร”
“เมื่อสักครู่ในงาน ผมว่าผมเห็นอาจาร์ดาราที่นี่”
“อาจารย์ดารา...แกแน่ใจนะ”
“ผมว่าผมเห็นครับ”
“ไว้ชั้นจัดการเอง...แกดูแลคุณปาให้ชั้น อย่าให้ใครรู้เรื่องเด็ดขาด”
“ครับ”
เบิ้มพาปารมีไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ประดับหันไปมองในคฤหาสน์สีหน้าเอาเรื่อง
ภายในงานคุณหญิงคุยกับประดับ
“ว่าไงนะ...แล้วเธอปล่อยให้ยัยปาหนีออกไปได้ยังไง”
“ผมขอโทษครับ แต่คุณปาเอาแต่ใจตัวเอง ผมห้ามยังไงเธอก็ไม่ฟัง”
“แสดงว่าที่ชั้นสงสัยเป็นจริงใช่มั้ย”
“ไม่ใช่หรอกครับ...คุณปาไม่สบายจริงๆ เธอยืนยันกับผมว่าเธอไม่ได้...”
“ชู่ววว์...ไม่ต้องพูด เดี๋ยวนังคุณหญิงคุณนายแถวนี้มาได้ยิน ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ชั้นสงสัยก็แล้วไป คงจะน้อยใจแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนอารมณ์ดีขึ้นก็กลับมา”
ระหว่างนั้นแขกของคุณหญิงคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกล่องของขวัญ คุณหญิงหันไปทักทาย ประดับหันมามองในงานก่อนจะเห็นยงยุทธยืนใส่สูทแต่งตัวดีแบบทักซิโด้อยู่ในกลุ่มแขกอีกมุมหนึ่ง
“ยงยุทธ”
ยงยุทธมองหาดาราในงานเลี้ยง ประดับเดินเขามาเผชิญหน้า
“ชั้นไม่ยักจะรู้ว่าหมวดยงยุทธมีชื่ออยู่ลิสต์แขกงานเลี้ยงวันเกิดคุณหญิง”
“ผู้การทรงยศให้ชั้นมาร่วมงานแทนท่าน เพราะท่านติดราชการ” ประดับหรี่ตามองอย่างสงสัย “บัตรเรียนเชิญ
ของผู้การ”
ยงยุทธยื่นบัตรเชิญให้ประดับไปดู สองคนสบตากันไปมาอย่างหยั่งเชิง
“เดี๋ยวนี้รู้จักใช้เส้นสาย ไม่เบานะยงยุทธ”
“สถานการณ์มันทำให้ต้องปรับตัว คิดจะล่าเสือลายพาดกลอน ดุ่ยๆ เดินเข้าป่าไม่มีนายพรานนำทาง มันก็คงไม่ได้เสือออกมาหรอก”
ประดับจ้องหน้ายงยุทธเอาเรื่อง ระหว่างนั้นคุณหญิงเข้ามาตาม
“ประดับไปช่วยชั้นรับแขกทางนี้หน่อย”
“ครับคุณหญิง”
ประดับต้องเดินออกไปกับคุณหญิง แต่ไม่วายหันมามองตาเขม็งใส่ยงยุทธ
ภายในห้องโถงยงยุทธถือแก้วแชมเปญทำทีเข้ามาดูภาพวาดและแจกันราคาแพงที่คุณหญิงเอามาตั้งโชว์ให้แขกในงานได้ชื่นชม แต่ที่จริงกำลังกวาดสายตามองหาดารา คุณหญิงคุณนายที่อยู่ใกล้ๆ กำลังเมาท์กัน
“ดูสิเธอได้ยินว่าภาพนี้ราคาเป็นสิบล้านเลยไม่ใช่เหรอ”
“แหม…ราคาแค่สิบล้าน ทั้งอำนาจทั้งบารมีของท่านตอนนี้ ร้อยล้านก็ใช่ว่าจะเอามาประดับผนังคฤหาสน์ไม่ได้”
“เงินภาษีประชาชนทั้งนั้น”
คุณหญิงคุณนายหันขวับมามองที่ยงยุทธที่ยิ้มเยาะอย่างสมเพช ก่อนจะหันไปมองที่ชั้นสองเห็นดาราเดินขึ้น บันไดไป ยงยุทธรีบตามไปทันที
“ดารา”
ทางเดินบนชั้นสองดาราเห็นปลอดคนเลยรีบเดินสำรวจ เปิดกระเป๋าถือที่พกมาหยิบกล้องถ่ายรูปเล็กๆ ที่เตรียม มาถ่ายภาพหลักฐาน เช็คดูความพร้อมของกล้องก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคุยกันของ ปราชญ์กับคุณหญิง
“คุณ...นี่ใจคอคุณจะไม่ไปช่วยรับแขกชั้นหน่อยเหรอ”
“คุณหญิงคุณนายเพื่อนคุณแต่ละคน คุยด้วยได้ไม่เกิน 3 นาทีผมก็อยากปลีกวิเวกแล้ว”
“นี่คุณ วันนี้วันเกิดชั้นนะ อย่าทำให้ชั้นเสียหน้าได้มั้ย”
“จะเสียหน้าอะไรนักหนา ทรัพย์สมบัติในบ้านแต่ละชิ้นมีให้คุณอวดทุกคนเป็นกะตั๊ก ใครๆ เขาก็อิจฉาคุณกันทั้งนั้นแหละคุณหญิง”
“หมายความว่าคุณจะคลุกอยูแต่ในห้องสมบัติ อยู่กับไอ้เศษอิฐ เศษดิน แล้วก็ไอ้เหล็กขึ้นสนิมพวกนั้น มากกว่าภูมิใจที่มีชั้นเป็นเมียใช่มั้ย”
“วันนี้ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณ ผมต้องไปนั่งสมาธิ”
“ไม่ ต้องมาคุยให้รู้เรื่อง ถ้าคุณไม่เลิกเห็นไอ้สมบัติโบราณพวกนั้นว่ามันดีกว่าชั้น ชั้นจะหย่ากับคุณ”
“หึ...เอาสิ...อยากไปก็ไป...แต่อย่าคิดว่าเธอจะได้อะไรจากชั้นสักแดงเดียวชั้นก็ไม่ให้”
ปราชญ์เดินออกไป คุณหญิงถึงกับอึ้งที่โดนท้ายทายเลยได้แต่กรี๊ดๆๆๆ กระทืบเท้า
“บ้า...ไอ้บ้า...ชั้นเป็นเมียแกนะ ชั้นไม่ใช่วัตถุโบราณที่แกสะสมไว้บนหิ้ง...ไอ้บ้า”
คุณหญิงปาดน้ำตาแล้ววิ่งออกไป ดารารีบหลบหลังเสาก่อนที่คุณหญิงจะผ่านเธอไปหวุดหวิด ดารานึกว่าจะโดนเห็นเลยเป่าปากโล่งอก แต่มีมือหนึ่งมาจับไหล่ดาราตกใจหันไปเห็นเป็นยงยุทธ
“ยงยุทธ”
“ชู่วววว์”
ยงยุทธดึงดารามาคุยที่มุมลับตาคน
“นี่ตกลงคุณจะไม่ฟังที่ผมห้ามคุณเลยใช่มั้ย”
“ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นจะไม่ถอยกลับจนกว่าชั้นจะได้หลักฐาน”
“งั้นผมทำเอง” ยงยุทธแบมือขอ ดารามองนิ่ง “กล้องที่คุณเตรียมมาถ่ายนั่นแหละเอามาให้ผม ผมจะไปถ่ายรูปวัตถุโบราณที่คุณสงสัยว่าอยู่ในการครอบครองท่านรัฐมนตรี”
“ไม่...ถ้าเกิดพวกมันจับได้ ชั้นไม่อยากให้เธอต้องเสียอนาคต”
“ถ้าไม่มีคุณอยู่ในชีวิตผม อนาคตผมก็มันไม่มีความหมายหรอกดารา”
ยงยุธขึ้นเสียงจริงจังจนทำให้ดาราชะงักเพราะแววตาของเขาจริงจัง ระหว่างนั้นเสียงสั่งการของประดับดังแว่วเข้ามา
“พวกแกสองคน ไปเฝ้าห้องสมบัติของท่านไว้อย่าให้ใครเพ่นพ่านเข้าไป ส่วนพวกแกแยกกันไปตามหาพวกมันให้เจอแล้วก็จำไว้อย่าทำให้แขกคนอื่นแตกตื่น”
พวกลูกน้องแยกย้ายกันไป ยงยุทธรีบหันมาจับมือดารา
“เราอยู่แถวนี้ไม่ได้แล้ว ไปเถอะ”
ยงยุทธรีบดึงแขนจะดาราพาออกไป แต่ดาราสะบัดมือ
“ไม่...ชั้นไม่ไป”
“พวกมันรู้ตัวแล้วว่าคุณมาทำอะไร คุณไม่มีทางเข้าไปถ่ายรูปหลักฐานได้หรอก”
“แต่ถ้าชั้นไม่ได้หลักฐานว่าสมบัติที่หายไปทั้งหมดอยู่ที่นี่ วีรบรุษบาปจะต้องไล่ฆ่าคนไม่หยุดจะต้องมีคนตายอีกหลายคน ชั้นยอมไม่ได้”
“นี่คุณ...ที่คุณยอมเสี่ยงชีวิตเพราะไม่อยากเห็นมันฆ่าคนเหรอ” ดารานิ่งไป “ดารา...คุณเป็นห่วงไอ้ฆาตกรนั่น”
“ชั้นไม่ได้ห่วงเขา แต่ชั้นห่วงคุณ...ชั้นอยากหยุดเขาเพื่อที่คุณกับเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันต่างหาก”
ดาราขึงขังใส่แล้วรีบเดินออกไป ยงยุทธยืนอึ้ง
ที่หน้าห้องเก็บสมบัติ ลูกน้องสองคนมายืนเฝ้าประตูเอาไว้ ดาราเดินมาหลบหลังเสาเห็นพวกมันเฝ้าประตูอยู่ ก็หน้าเครียดคิดหาทาง ระหว่างนั้นยงยุทธตามเข้ามา
“ก็ได้ดารา...ในเมื่อคุณดื้อไม่ฟัง คุณก็ต้องทำตามแผนผม”
“แผนอะไร”
ยงยุทธไม่บอกแต่จับดารามาจูบปากทันที ดาราตกใจจะสะบัดแต่ยงยุทธไม่ยอมถอนปากออก กลับยิ่งกอดรัด และจูบจริงอย่างรุนแรง ดาราเคลิ้มตามอารมณ์มือไม้อ่อนปล่อยให้ยงยุทธจูบไป ลูกน้องประดับที่เฝ้าประตูอยู่หันมาเห็นชายหญิงมายืนกอดจูบกันก็สงสัย
“เฮ้ย...มาทำอะไรกันตรงนี้”
ลูกน้องจะมาไล่ จังหวะนั้นเองที่ยงยุทธหันมาใช้เชิงมวยเล่นงานพวกมันอย่างรวดเร็วจนสลบเหมือดไปหนึ่ง อีกคนจะชักปืนเล่นงาน ดาราก็ช่วยเอาแจกันทุ่มหัวมันทันที...เพล้ง สลบเหมือด
“ขอบใจนะดารา”
ดาราตบหน้ายงยุทธทันที...เพี๊ยะ ยงยุทธหน้าหัน
“ทำไมไม่บอกชั้นก่อน”
“ผมบอกแล้วคุณจะยอมทำตามแผนผมเหรอ” ดาราชะงักหน้าแดงระเรื่อทันที “เอาล่ะ...ทีนี้คุณอยากจะถ่ายรูปหลักฐานอะไรก็ตามสะดวกเลย”
“คนบ้า”
ดาราบ่นแล้วเดินไปที่ประตูห้องสมบัติ ยงยุทธเข้ามายืนข้างๆ มือจับลูกบิดประตูเตรียมจะเปิดเข้าไปข้างใน แต่ทันใดนั้นประดับกับพวกลูกน้องเดินเข้ามาเห็นพอดี
“มันอยู่นั่น...จับมัน”
พวกลูกน้องประดับวิ่งเข้ามา ยงยุทธต้องรีบคว้ามือดารา
“เราต้องหนีแล้ว”
“แต่...ชั้นกำลังเข้าใกล้หลักฐานแล้วนะ”
“ไว้ค่อยหาทางอื่น...ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน...ไปเถอะ”
ยงยุทธรีบฉุดมือดาราพาวิ่งหนี ประดับตามเข้ามามองตามสองคนนั้นไปอย่างเจ็บใจ
ยงยุทธพาดาราเดินออกมาปะปนกับแขกในงานของคุณหญิงที่บริเวณสนามหญ้า ลูกน้องประดับสองคนเข้ามา ยงยุทธรีบจูงมือพาดาราไปอีกทาง แต่ก็เจอลูกน้องประดับอีกสองคนมาปิดทาง พวกมันเปิดเอวให้เห็นว่ามีปืน ยงยุทธไม่สามารถหนีออกไปได้ง่ายๆ
“เอาไงดีล่ะยงยุทธ…เราจะออกไปจากที่นี่ยังไง”
ยงยุทธหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันไปเห็นคุณหญิงกำลังจะเป่าเค้กวันเกิดอยู่กับเพื่อนๆ พวกลูกน้องประดับยิ่งเข้าใกล้
“เตรียมตัวนะดารา”
“เธอจะทำอะไร”
ยงยุทธชักปืนออกมาจากอกเสื้อแล้วยิงขึ้นฟ้าทันที…เปรี้ยง!
เสียงปืนดังสนั่น พวกคุณหญิงคุณนายในงานพากันตกใจร้องเสียงวี้ดว้ายวิ่งหนีกันชุลมุน ยงยุทธฉวยจังหวะนี้ พาดาราวิ่งหลบไปท่ามกลางผู้คน ลูกน้องคนหนึ่งของประดับชักปืนจะยิงใส่ แต่ประดับรีบเข้ามาห้าม
“เฮ้ย…อย่ายิง เดี๋ยวแขกคุณหญิงโดนลูกหลง ตามไปจัดการมันข้างนอก”
พวกลูกน้องตามออกไป ประดับขบกรามอย่างเจ็บใจ
ภายใยนห้องพักดารา ดาราเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าปกติเดินออกมาจากหลังฉากกั้น ยงยุทธเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาวางตรงหน้า
“ผมเก็บของๆ คุณหมดแล้ว คราวนี้คุณห้ามปฏิเสธ”
“แต่อีกแค่นิดเดียวชั้นก็จะสามารถเปิดโปงพวกมันได้แล้ว”
“แต่ถ้าผมไม่ไปช่วยคุณออกมา ป่านนี้ศพคุณจมอยู่ก้นแม่น้ำที่ไหนสักที่แล้ว”
“ชั้นขอบใจ แต่ชั้นไม่อยากหยุด ชั้นจะลองปรึกษาผู้ใหญ่”
ยงยุทธเหลืออดที่ดาราบังไม่ยอมหยุดดื้อเลยดึงเธอมาบีบไหล่จนหน้าแทบประชิด
“ถ้าคุณยังไม่หายดื้อ ผมจะโยนตราตำรวจทิ้ง แล้วออกไปลุยกับพวกมัน”
“เธออย่าทำอย่างนั้นนะยงยุทธ”
“ทำไมล่ะ ถ้าผมเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับไอ้วีรบุรุษบาป คุณจะได้ไม่ต้องห่วง กลัวว่าผมจะต้องเผชิญหน้ากับมันอีกไง”
“ยงยุทธ”
ยงยุทธจริงจังมากดึงดาราเข้ามาจนตัวติดแล้วเริ่มอ่อนลงหน้าผากชิดกัน
“ผมรักคุณนะดารา ในชีวิตผม ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้มีคุณอยู่กับผมเท่านั้น”
ดาราสบตายงยุทธที่จริงจังกับเธอจนเธอเริ่มอ่อนไหว้ ยกมือลูบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน อารมณ์พาไปริมฝีปากกำลังจะประทับกัน แต่เสียงรถจอด...เอี๊ยดดดด จากหน้าโรงแรมทำให้ทั้งคู่ชะงัก ยงยุทธรีบไปดูที่หน้าต่างแล้วรีบกลับมาที่ดารา
“พวกมันแห่มาที่นี่แล้ว คุณไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วนะดาราเราต้องกลับกันเดี๋ยวนี้”
ดารามองยงยุทธอย่างหนักใจ
พวกลูกน้องประดับเข้ามาที่หน้าห้องพักดารา พวกมันกระแทกประตูอย่างแรงจนเปิด...ผ่าง แต่ยงยุทธกับดาราไม่อยู่ในห้องแล้ว ประดับตามเข้ามาไม่เห็นตัวก็หงุดหงิดอาละวาดกวาดของบนโต๊ะแตกกระจาย
“โธ่เว้ย...ไอ้ยงยุทธ”
ที่ป่าช้าวัดเกาะน้อย ขุนเดชยืนเคารพศพพ่อมีหมอน้อยอยู่ข้างๆ
“ไอ้คนที่มันฆ่าพ่อ ชั้นจัดการส่งลงนรกไปได้แล้วคนนึง เหลืออีกคนชั้นจะส่งมันตามไป พวกมันจะต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้กับพ่อ ทำไว้กับแผ่นดินอย่างสาสม”
แววตาของขุนเดชแข็งกร้าวดุดันเอาจริง หมอน้อยจับบ่าขุนเดช
“ระวังตัวนะขุนเดช อาเพิ่งได้ข่าวจากโรงพักมาว่าหมวดยงยุทธรู้เรื่องจ่าแท่นแล้ว ตอนนี้กำลังรีบเดินทางกลับมาที่นี่ พรุ่งนี้ก็คงจะถึง”
ขุนเดชมีสีหน้าหนักใจ
“งานนี้ผมไม่อยากปะทะกับยงยุทธ”
“ถ้าเธอเลือกเส้นทางนี้แล้ว เธอก็คงเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับยงยุทธไม่ได้”
ขุนเดชนิ่งไปแล้วพยักหน้ารับ
ประดับโดนปราชญ์ตบหน้าอย่างแรงจนหน้าหัน
“ไม่ได้เรื่อง ปล่อยให้พวกมันบุกเข้ามาหยามหน้าชั้นถึงในบ้านแบบนี้ บอกชั้นมาสิว่าชั้นควรจะจ้างให้แกทำงานกับชั้นต่ออีกมั้ย”
“ผมขอโทษครับท่าน”
“ขอโทษ...เสียงปืนดังในบ้านของชั้น กลางงานเลี้ยงที่มีแต่คุณหญิงคุณนาย งานนี้นักข่าวมันเอาไปเล่นไม่เลิกแน่”
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลครับ ผมจะเคลียร์กับสื่อเอง ข่าวจะออกมาว่าท่านถูกปองร้ายจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเรื่องผลประโยชน์ของชาติที่ท่านยอมให้ไม่ได้”
“หึ...มันก็ต้องออกมาแบบนั้นอยู่แล้ว จำไว้นะประดับ...อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก ไม่งั้น...ชั้นไม่เลี้ยงแกแน่”
ปราชญ์พูดพร้อมกับเข้าไปบีบไหล่ประดับแล้วกดจิกลงไปอย่างแรงจนประดับเจ็บแต่ไม่แสดงออกมาว่าแค้นใจ ให้ปราชญ์เห็น
อีกมุมหนึ่งคุณหญิงกอดอกอย่างไม่พอใจ
“หึ...ถ้าเขาคิดจะไล่เธอออกเมื่อไหร่ วันนั้นจะเป็นวันที่เขาไม่เหลือใคร” คุณหญิงบอกกับประดับ
“ผมผิดพลาดเองครับคุณหญิง”
“ไม่หรอก เธอทำดีที่สุดแล้ว คนอย่างเขามีศัตรูมากกว่ามิตรถึงได้พยายามหาทางสร้างอำนาจกับบารมีให้ยิ่งใหญ่ล้นฟ้า เพราะไม่รู้ว่าจะโดนลอบกัดเอาเมื่อไหร่”
“ผมตั้งใจทำงานให้ท่านก็หวังว่าท่านจะไม่ลืมผม”
“ที่จริงแล้วคนมีความสามารถอย่างเธอไม่จำเป็นต้องคอยเดินตามเขา เพียงแต่วาสนาเธอยังมาไม่ถึง”
“ขอบคุณครับคุณหญิง”
“ว่าแต่เรื่องยัยปาล่ะ หายหัวไปตั้งแต่วัน ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
ประดับนิ่งไปครู่ ระหว่างนั้นเบิ้มเข้ามาสีหน้าเหมือนมีปัญหา ประดับเลยแก้ตัวกับคุณหญิงไปก่อน
“คุณปาเธอขอไปค้างบ้านเพื่อนครับ สบายใจแล้วก็คงจะกลับ”
“เอาอีกแล้ว...ยัยเด็กคนนี้ ชั้นชักจะเหนื่อยใจไม่อยากจะเลี้ยงลูกแล้วจริงๆ”
ประดับแยกจากคุณหญิง หลบมาหาเบิ้มแล้วชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อรู้เรื่องจากเบิ้ม
“คุณปาไม่ยอมเอาเด็กออกเหรอ”
“ครับ…ผมพาไปส่งถึงที่แล้ว แต่เธอเกิดกลัวขึ้นมา รอแต่จะให้คุณประดับไปพบเธอ”
“แล้วตอนนี้อยู่ไหน”
“ผมเปิดห้องโรงแรมให้พักอยู่ครับ”
“เวรเอ้ย...คบเด็กสร้างบ้านจริงๆ สงสัยชั้นต้องสะสางปัญหานี้ให้จบซะที”
ประดับบ่นอย่างหงุดหงิด
วันต่อมาที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชลับคมดาบดำอยู่ในกระท่อมอย่างเตรียมพร้อม ระหว่างนั้นหมอน้อยเข้ามา
“ขุนเดช…พวกมันส่งข่าวเรื่องจ่าแท่นมารึยัง”
“มาแล้วครับ ผมไปที่ถ้ำศิลามา มันทิ้งจดหมายให้ผมไปเจอมันบนเขาหลวง”
“อีกไม่นานหมวดยงยุทธก็คงจะมาถึง คนอย่างหมวดคงแกะรอยตามพวกมันเจอได้ไม่ยาก อาว่าเธอต้องรีบลงมือแล้ว”
“ครับอาหมอ…ครั้งนี้ไม่ใช่การแก้แค้นให้พ่อผมอย่างเดียว แต่จะเป็นการแก้แค้นให้กับทหารพระร่วงทุกคนที่ถูกมันฆ่าตาย” ขุนเดชมองดาบดำสีหน้าขึงขัง
“ได้เวลาที่ดาบดำจะลงทัณฑ์พวกมันแล้ว”
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 10 (ต่อ) พรุ่งนี้
ขุนเดช ตอนที่ 10 (ต่อ)
จ่าแท่นถูกพวกลูกน้องเสือแชนจับมัดมีผ้าผูกตาพาเดินมาในป่า พวกมันผลักจ่าแท่นจนล้มไปกับพื้น
“เฮ้ย…เบาๆ หน่อยสิวะ ถ้าแข้งขาข้าหักขึ้นมา พวกเอ็งจะเจ็บไม่ใช่น้อย” ลูกน้องหมั่นไส้เข้าไปชกท้องทีเดียวจ่าแท่นจุกตัวงอ “อู้ยยยย…ข้า…ข้าไม่ได้ขู่พวกเอ็งนะเว้ย…ไอ้พวกชั่ว”
จ่าแท่นลุกขึ้นมาพยายามเตะซ้าย ขวา สะเปะสะปะเพราะถูกปิดตาเลยล้มคะมำ พวกลูกน้องเสือแชนหัวเราะชอบใจ
“เฮ้ย…เลิกสนุกกันได้แล้ว”
พวกลูกน้องพากันเงียบกริบ เสือแชนเข้ามาแกะผ้าผูกตาให้จ่าแท่น
“ไอ้เสือแชน…แน่จริงก็ปล่อยข้าแล้วมาตัวๆ กันอย่างชายชาติเสือสิวะ”
“ไอ้จ่า…เอ็งไม่ต้องมาทำอวดเก่ง ฝีมืออย่างเอ็งข้าเอาผู้หญิงในซ่องมาสู้ เอ็งยังแพ้เลย”
“หนอยดูถูกข้า…เอ็งตาย”
จ่าแท่นเจ็บใจลุกพรวดจะเข้าไปเอาเรื่องแต่ถูกเสือแชนใช้มือเดียวบีบคอ ลิ้นจุกปากหน้าดำหน้าแดง
“อย่าหาเรื่องตายตอนนี้เลยไอ้จ่า…ไว้ข้าจัดการไอ้วีรบุรุษบาปเรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งเอ็งไปอยู่กับไอ้เดื่องเพื่อนเอ็ง เฮ้ย…ข้าได้ข่าวไอ้หมวดตัวยุ่งนั่นมันพยายามแกะรอยตามหาข้าอยู่ พวกเอ็งไปจัดการอย่าให้มาเกะกะข้ากับไอ้วีรบุรุษบาป”
ลูกน้องรับคำแล้วพากันออกไป เสือแชนหันมายิ้มร้ายกับจ่าแท่นก่อนจะใช้อีกมือชกเข้าที่หน้าทีเดียวจ่าแท่นก็สลบ
ภายในบ้านคำปัน ขณะนั้นคำปันเอาแต่นั่งสวดมนต์พนมมือไหว้พระขอให้คุ้มครองจ่าแท่น ระหว่างนั้นดารากลับเข้ามา
“อาจารย์ดารา”
“ชั้นรู้เรื่องจ่าแท่นแล้ว น้าคำปันเป็นยังไงบ้าง”
บัวทองหันไปให้ดาราดูแม่ที่เอาแต่นั่งสวดมนต์
“แม่ไม่รู้จะช่วยลุงจ่ายังไง ทำได้แต่สวดมนต์ขอให้พระคุ้มครอง”
“น้าคำปันจ๊ะ…ตอนนี้หมวดยงยุทธรู้เรื่องแล้ว เขากำลังพากำลังตำรวจตามไปช่วยจ่า น้าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ”
“ค่ะอาจารย์”
“ว่าแต่หมวดรู้ได้ยังไงคะว่าจะตามหาพวกมันได้ที่ไหน”
“พอยงยุทธมาถึงที่นี่ก็ไปสอบปากคำผู้หญิงที่อยู่ในที่เกิดเหตุที่เสือชิดถูกวีรบุรุษบาปฆ่าตาย เลยได้ข้อมูลมาว่าพวกเสือชิดกับเสือแชนเป็นศัตรูกับวีรบรุษบาป เพราะพวกนั้นไล่ล่าตามฆ่าผู้ที่มีดาบดำ”
“เหมือนที่พวกนั้นเล่นงานพี่เดื่อง”
“ค่ะน้าคำปัน…ยงยุทธเลยตามไปที่เขาหลวงที่ๆ นายเดื่องถูกฆ่าตาย”
บัวทองหน้าเสีย
“อาจารย์คะ…งั้นหมวดก็รู้แล้วน่ะสิคะว่าลุงจ่าเสียท่าพวกมันเพราะใคร”
“จ้ะ เขาโกรธมากที่วีรบุรุษบาปเข้ามาแทรกแซงงานตำรวจจนเป็นเหตุให้จ่าแท่นถูกจับ”
บัวทองหน้าเสียและใจเสียห่วงว่ายงยุทธจะเล่นงานวีรุรุษบาปด้วย
ยงยุทธพากำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเข้ามาในบริเวณป่า สำรวจที่พื้นพบรอยเท้าย่ำไปมาหลายรอย
“เป็นรอยเท้าพวกมันแน่ บอกทุกคนระวังตัว พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่ถ้ำศิลา”
ยงยุทธบอกลูกน้องไม่ทันจะขาดคำ เสียงปืนดังขึ้น ตำรวจนายหนึ่งถูกกระสุนยิงเข้าที่ไหล่ พวกลูกน้องเสือแชนปรากฏตัวพร้อมอาวุธสงคราม เปิดฉากระดมยิง จนยงยุทธกับพวกตำรวจต้องหาที่หลบแล้วยิงตอบโต้
ในถ้ำศิลาจ่าแท่นยังสลบไม่ได้สติอยู่ที่พื้นห่างจากพระศิลาที่ไร้เศียรไปไม่เท่าไหร่ เสือแชนจุดคบไฟแล้วปักไว้ที่ผนังถ้ำก่อนจะเดินเข้าไปยืนมองพระศิลา
“พระศิลา…หึ ไอ้เดื่อง ไอ้พวกทหารพระร่วงต่อให้พวกเอ็งมีอีกสักสิบ สักร้อยคน ข้าไอ้เสือแชนก็ตามล่าจัดการพวกเอ็งให้สิ้นซาก”
ไม่ทันขาดคำเสียงเหล็กครูดกับผนังถ้ำดังก้องไปทั่ว ขุนเดชถือดาบดำเข้ามายืนจังก้าในคราบของวีรบุรุษบาปมีผ้าขาวม้าพันหน้า เสือแชนหันขวับไปแล้วยิ้มเยาะ
“ไอ้วีรบุรุษบาป เป็นไง ถูกใจเอ็งแล้วใช่มั้ยที่ข้าเลือกที่นี่ให้เป็นสุสานของเอ็ง”
“ข้าต่างหากที่จะให้โอกาสเอ็ง...ไอ้เสือแชน คุกเข่าลงแล้วกราบขอขมาพระศิลาที่เอ็งได้ตัดเศียรท่านไป”
“ฮ่าๆๆๆ...ถ้าไอ้เสือแชน ต้องยอมคุกเข่าขอขมาพระพุทธรูปทุกองค์ที่ข้าลักตัด ป่านนี้เข่าข้าคงด้านไม่มีความรู้สึกแล้วล่ะเว้ย” เสือแชนข่มกลับพร้อมกับชักดาบที่พกติดตัวมา “เข้ามาเลย...ขนาดไอ้เดื่องที่ว่าแน่ ดาบดำมันยังหัก คอมันยังหลุดจากบ่าเพราะข้า แล้วอย่างเอ็งไอ้กระจอกไร้ฝีมือดีแต่ปิดหน้าปิดตา โดนข้าแล่เนื้อออกมาเป็นชิ้นๆแน่”
ปรี่เข้าไปเปิดฉากรุกไล่ฟันใส่วีรบุรุษบาป เสียงเหล็กกระทบกันดังก้องพร้อมกับแสงประกายไฟ เพลงดาบของทั้งสองปะทะกันอย่างหนักหน่วง
อีกด้านหนึ่งที่ป่าเขาหลวงพวกลูกน้องเสือแชนยังระดมยิงใส่พวกตำรวจไม่หยุด ตำรวจสองสามคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ยงยุทธเจ็บใจที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยตัดสินใจว่าต้องลุยและหยุดพวกมันให้ได้
“ยิงคุ้มกันให้ผมด้วย”
ยงยุทธสั่งลูกน้องแล้วรีบไปที่รถจี๊ป เข้าเกียร์เดินหน้าเร่งเครื่องเสียงดังกระหึ่ม ทันทีที่แตะคันเร่งรถก็พุ่งตรงเข้าไปที่พวกลูกน้องเสือแชน ลูกกระสุนปลิวว่อน พวกตำรวจช่วยยิงเปิดทาง ยงยุทธบ้าระห่ำขับรถพุ่งเข้าใส่ พวกมันคนหนึ่งจะยิงยงยุทธก็เร่งเครื่องแล้วพุ่งชน คนอื่นๆ เห็นตำรวจบ้าระห่ำก็เริ่มวงแตกล่าถอย ตำรวจคนอื่นที่วิ่งตามหลังรถที่ยงยุทธขับเปิดทางก็ออกมายิงใส่พวกมันจนตายเป็นใบไม้ร่วง
วีรบุรุษบาปกับเสือแชนประดาบเผชิญหน้ากันชนิดข่มกันไม่ลง ทั้งคู่ออกแรงต้านดาบจ้องตาเขม็ง แต่วีรบุรุษบาปแรงเยอะกว่ากดแรงลงไปจนเสือแชนรับแรงต้านไม่ไหว พลาดท่าถูกถีบกระเด็น ดาบหลุดมือ วีรบุรุษบาปรีบเอาดาบดำไปชี้หน้าขู่ เสือแชนหน้าเสีย
“ก่อนที่ข้าจะพิพากษาให้เอ็งรับโทษประหาร ข้าจะให้โอกาสเอ็งได้ทำความดีสักครั้ง เศียรพระศิลาอยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่รู้หรอกเว้ย ข้าแค่รับจ้างมา ใครจะอยากได้ไปประดับบ้านมันไม่ใช่เรื่องของข้า”
“งั้นใครเป็นคนสั่งให้เอ็งมาตัดเศียรพระศิลา”
เสือแชนไม่ตอบจ้องหน้าวีรบุรุษบาปเขม็ง
“คนอย่างข้าไม่มีวันขายเพื่อน”
วีรบุรุษบาปตวัดดาบดำกรีดคมดาบลงที่ใบหน้าของเสือแชนจนได้เลือด เสียงเสือแชนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“อ้ากกกกกก...หน้าข้า...หน้าข้า”
“ไอ้กำนันบุญ...พวกเอ็งทำตามคำสั่งมันให้มาตัดเศียรพระศิลาแล้วฆ่านายเดื่อง”
“ใช่...ไอ้กำนันมันสั่ง แต่ถึงเอ็งรู้ เอ็งก็ทำอะไรมันไม่ได้ มีแต่เอ็งนั่นและจะโดนพวก ไอ้กำนันพลิกแผ่นดินตามล่าฆ่าทั้งโคตร”
“หึ...โคตรเหง้าของข้า มันไม่เหลือให้ไอ้กำนันมันตามฆ่าหรอก”
“เอ็งหมายความว่าไงวะ... หรือว่า...เอ็ง...เอ็งคือไอ้เด็กนั่น”
วีรบุรุษบาปจ้องเขม็งที่เสือแชนแล้วค่อยๆ คลี่ผ้าขาวม้าออกให้เสือแชนได้เห็นหน้าจริงๆ
“20 ปีที่เอ็งตัดคอพ่อข้าไปต่อหน้าต่อตา ไอ้เสือแชน”
เสือแชนตกใจไม่คาดคิดว่าวีรบุรุษบาปคือเด็กที่ตัวเองเคยไล่ตามฆาเมื่อ 20 ปีก่อน เสือแชนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขากับเสือชิดไล่ตามฆ่าขุนเดช
“พ่อ…พ่อ…ฮือๆๆๆ”
เสียงฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยง ขุนเดชสะดุ้งสุดตัว เสียงเสือแชนกับเสือชิดตะโกนดังโหวกเหวกเข้ามา
“หาให้เจอ แล้วฆ่าปิดปากมันซะ”
ขุนเดชยิ่งตกใจกลัวรีบวิ่งหนีไปต่อทันทีพร้อมกับดาบดำในมือ เสือแชนกับเสือชิดรวมทั้งพรรคพวกของมันอีกสองคนพากันเข้ามา หน้าตาของพวกมันโหดเหี้ยมมีอาวุธครบมือ
เสือแชนหัวเราะลงลูกคออย่างสมเพชเมื่อรู้ว่าวีรบุรุษบาปคือใคร
“หึๆๆ...ที่แท้ก็ลูกชายไอ้เดื่อง อยากจะแก้แค้นให้พ่อ...เอาสิวะ ตัดคอข้าเลย แก้แค้นให้ พ่อเอ็งเลย...เอาสิวะ”
ขุนเดชกำดาบดำแน่นจ้องเขม็ง ระหว่างนั้นเสือแชนที่หลอกล่อคุยถ่วงเวลาเพื่อที่จะได้กำดินจากพื้นขึ้นมาปา ใส่หน้า ขุนเดชผงะมองไม่เห็น เสือแชนรีบฉวยโอกาสวิ่งหนีทันที
เสือแชนวิ่งหนีมาอีกห้องหนึ่งของถ้ำ แต่ต้องชะงักเพราะเจอขุนเดชเข้ามายืนขวาง
“ทางเดียวที่เอ็งจะออกไปจากที่นี่ได้ คือต้องมีคนหามศพเอ็งออกไปเท่านั้น”
“กูไม่ยอมตายเพราะดาบดำของพวกมึงหรอกเว้ย ไอ้ทหารพระร่วง”
เสือแชนกำดาบรุกเข้าใส่ ฟาดฟันอย่างบ้าเลือด แต่คราวนี้เสือแชนสู้ไม่ได้แล้วเพราะมีแต่โทสะและความกลัว ตาย ขุนเดชปล่อยเสือแชนไล่ฟันและรับดาบอย่างง่ายดายจนเสือแชนหมดแรงหอบแฮ่กๆ
“ข้า…ข้า…ข้าไอ้เสือแชน…จะต้องไม่แพ้ให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเอ็ง”
เสือแชนดิ้นรนเฮือกสุดท้ายวิ่งเข้าใส่ ขุนเดชใช้เพลงดาบเดือนดับ
“ฟ้า…ดิน...เป็นพยาน…เพลงดาบ…เดือนดับ”
ขุนเดชวิ่งเข้าใส่
จ่าแท่นซึ่งสลบอยู่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
“อู้ย…มึนตึ๊บเลยเว้ย” จ่แท่นลุกขึ้นมาพอตั้งสติได้ก็แปลกใจที่ตัวเองมาอยู่ในถ้ำศิลา “นี่...นี่เรามาอยู่นี่ได้ไงวะ”
จ่าแท่นสงสัยก่อนจะเห็นเท้าใครคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่หลังแนวหิน จ่าแท่นเลยเดินเข้าไปดูแล้วต้องตกใจผงะ
“ไอ้เสือแชน”
ร่างของเสือแชนที่นอนอยู่ไร้หัว เพราะหัวของเสือแชนถูกวางไว้อีกที่ ระหว่างนั้นยงยุทธตามเข้ามา
“จ่า”
“หมวด...หมวดครับ” จ่าแท่นยังหน้าตาตื่นด้วยความตกใจ
“เป็นไงมั่งจ่า”
“ผมปลอดภัยดีครับ เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกี้นี้เอง”
“แล้วไอ้เสือแชนกับวีรบุรุษบาปล่ะ”
“วีรบุรุษบาปผมไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน แต่ไอ้เสือแชน...ตัวมันอยู่นั่น...ส่วนหัว...หัวมันอยู่โน่น”
ยงยุทธหันไปตามที่จ่าแท่นชี้แล้วตกใจกับฝีมือฆ่าของวีรบุรุษบาป
ขุนเดชเดินเข้ามาที่หลุมศพของพ่อ พร้อมกับเสียงคำถวายสัตย์ของขุนเดช
“สาธุ...ข้าน้อยนี้ขอเคารพนบไหว้ พระไตรรัตน์ดวงประเสริฐ พระสยามเทวาธิราช พระมหาราชแต่อดีตจนปัจจุบัน ไหว้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น ไหว้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ข้าน้อยนามขุนเดช ไหว้แผ่นดินพระร่วงเจ้า” สิ้นคำสาบานขุนเดชคุกเข่าลงที่หน้าหลุมศพ น้ำตาของขุนเดชเอ่อล้นดวงตาทั้งสองข้าง “พ่อ...ชั้น...ชั้นจัดการกับคนที่ฆ่าพ่อได้แล้วนะ บาปกรรมตามพวกมันทันแล้ว ชั้นส่งพวก มันให้ไปชดใช้บาปในนรกได้แล้ว ทีนี้พ่อจะได้ตายตาหลับซะที”
ขุนเดชพูดไปน้ำตาก็ล้นไหลมาตามแก้ม ขุนเดชปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มได้ครู่ก็ปาดน้ำตาฮึดเข้มแข็ง
“แต่หน้าที่ของชั้นยังไม่หมด หน้าที่ของลูกแผ่นดินที่ชั้นถวายสัตย์กับพระร่วงเจ้า ต่อให้มันมีอำนาจบารมียิ่งใหญ่สักแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครหนีบาปกรรมพ้น ชั้นจะลงโทษพวก มันด้วยบาปที่มันก่อ...และชั้นก็คงจะหนีไม่พ้นกรรมที่ทำไว้เช่นเดียวกับพวกมัน”
ขุนเดชก้มลงกราบหลุมศพพ่อแล้วลุกขึ้นก่อนจะชะงักเมื่อเจอหลวงลุงมายืนดูขุนเดช
“หลวงลุง”
หลวงลุงเข้ามาในโบสถ์ ขุนเดชตามเข้ามา
“หมู่นี้ข้าเห็นเอ็งมาไหว้หลุมศพไอ้เดื่องทุกวัน เป็นเพราะข่าวที่ว่าพวกโจรที่ฆ่าพ่อเอ็งมันกลับมาที่นี่อีกใช่มั้ย”
“ครับหลวงลุง”
“เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะขุนเดช ข้าอยู่กับเอ็งมา เอ็งอาจจะปิดคนอื่นได้ แต่ข้าดูออกว่าเอ็งยังโกรธแค้นพวกมันอยู่”
“ครับ...ผมยอมรับว่าผมโกรธแค้น เพราะพ่อไม่เคยได้รับความยุติธรรม แต่ผมก็เชื่อว่า ไม่มีใครหนีบาปกรรมพ้น”
“หนีไม่พ้นบาปกรรม หรือว่าหนีไม่พ้นวีรบุรุษบาป”
ขุนเดชชะงักไปครู่
“ถ้าตำรวจจับพวกมันไม่ได้ วีรบุรุษบาปก็ต้องจัดการมัน”
“แต่พระพุทธองค์ไม่เห็นด้วยกับการเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น มันเป็นบาป”
“เรื่องบาปนั่น ผมไม่เถียงครับหลวงลุง แต่การคงไว้ซึ่งความดีเหมือนการยืนอยู่ในที่แจ้ง ถ้าไม่มีผู้ยอมเสียสละตน ยอมมีบาปเป็นยักษ์เป็นมารเพื่อปกป้องไว้ซึ่งคนดี ต่อไปก็คงไม่มีใครอยากทำดี เพราะถูกความเลวเข่นฆ่าจนหมด”
“เอ็งกำลังหมายถึงทวารบาล อสูรผู้มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาพุทธสถาน”
“ไอ้เสือชิดเสือแชน ไม่ได้ทำร้ายพ่อผมอย่างเดียว เพราะฉะนั้นมันจึงสมควรถูกทวารบาล ตัดสินประหารชีวิตมัน”
น้ำเสียงของขุนเดชจริงจัง จนหลวงลุงรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวในตัวขุนเดช ระหว่างนั้นบัวทองเข้ามา
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดชรู้เรื่องพวกเสือแชนรึยัง พวกมันถูกวีรบุรุษบาปฆ่าตายแล้ว”
“พวกมันตายแล้วเหรอ ตายยังไง”
“เสือแชนถูกตัดคอในถ้ำหน้าพระศิลาเหมือนกับที่มันทำกับพ่อพี่เลยจ้ะ”
ขุนเดชนิ่งไปก่อนจะหันมาที่หลวงลุง
“ไม่มีใครหนีเวรกรรมพ้นอย่างที่ผมว่าเลยใช่มั้ยครับหลวงลุง”
หลวงลุงไม่ตอบอะไรแต่ลึกๆ รู้สึกกังวลเป็นห่วงขุนเดช
กำนันบุญตกใจมากเมื่อรู้เรื่องเสือแชนจากสัมฤทธิ์
“เอ็งว่ายังไงนะ...ไอ้เสือแชนถูกมันตัดคอ”
“จ้ะพ่อ...ชั้นกับไอ้สองตัวนี่เดินไปไหนมาไหนในหมู่บ้าน เป็นต้องได้ยินแต่พวกชาวบ้านคุยกัน งานนี้มันสรรเสริญวีรบุรุษบาปกันไม่หยุด”
“แถมบางคนยังสาปแช่งขอให้เสือชิดกับเสือแชนตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
“พอแล้วเว้ย...พวกมันเป็นสหายข้า ข้าไม่อยากได้ยินคนอื่นมาแช่งพวกมันเว้ย”
กำนันบุญหงุดหงิดหัวเสียคว้าจานผลไม้ปาใส่แตกกระจาย ผกาเข้ามาจับแขน
“ใจเย็นๆ สิจ๊ะ เพื่อนกำนันพลาดเพราะความประมาท ยังไงก็ตายไปแล้ว จะมาอารมณ์เสียไปทำไม”
“ที่ชั้นอารมณ์เสีย เพราะเดี๋ยวนี้ไอ้วีรบุรุษบาปมันชักจะทำตัวเกะกะขวางทางชั้นไปซะทุกเรื่อง ตราบใดที่ชั้นยังไม่รู้ว่ามันเป็นใคร และยังไม่ได้ฆ่ามันให้ตายคามือ ชาตินี้ชั้นไม่มี วันตายตาหลับ”
“ถ้าอยากรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของมันเป็นใคร ชั้นว่า...บางทีการตายของเพื่อนกำนันอาจ จะช่วยทำให้เรามีทางพิสูจน์”
“เธอหมายความว่ายังไง”
ผกายิ้มร้ายดูมีแผนการ
ขุนเดชกลับเข้ามาที่กระท่อมแต่เจอยงยุทธกำลังยืนดูพระพุทธรูปที่ขุนเดชหล่อเอาไว้
“แกเคยบอกชั้นว่าถ้าอยากได้พระพุทธรูปไปบูชาสักองค์ให้แวะมาดู มีองค์ไหนที่พอจะแนะนำชั้นบ้าง”
ขุนเดชเดินผ่านยงยุทธไปยืนดูพระพุทธรูปที่เรียงรายอยู่บนชั้นวาง หลากหลายหลายปาง สวยงามทองอร่าม
“ส่วนใหญ่มักจะเลือกปางประจำวันเกิดไปบูชา แต่พระพุทธรูปก็เหมือนผ้าเหลืองไว้ให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้บูชา เพื่อระลึกถึงและปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
“เรื่องอยู่ในศีลอยู่ในธรรม ชั้นก็ไม่ได้เต็มร้อย แต่อย่างน้อยศีล 5 ชั้นไม่เคยประพฤติผิด”
“ถ้าอย่างนั้น...ชั้นเลือกองค์นี้ให้แกไว้บูชา” ขุนเดชไปที่ชั้นวางพระเลือกพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีทององค์หนึ่ง
“พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมื่อครั้งที่พญามารยกทัพมาทำลายความเพียรของพระองค์ เหล่าเทวดาได้หนีหายไปหมดเพราะหวาดกลัวศาสตราวุธของพญามาร แต่พระองค์ก็ไม่ได้หวั่นเกรง เมื่อพวกมารซัดศาสตราวุธเข้าใส่ ศาสตราวุธเหล่านั้นกลับกลายเป็นบุปผามาลัยไปทั้งหมด”
“ชั้นพอจำได้ จากนั้นพวกมารก็ถูกแม่พระธรณีปล่อยมวยผมบีบน้ำพัดพาไปหมด”
“ชั้นตั้งใจให้แกบูชาปางมาวิชัยก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน จะได้มีชัยเหนือศัตรูทั้งปวง”
“ศัตรูที่แกว่าหมายถึงวีรบุรุษบาปด้วยรึเปล่า”
ขุนเดชกับยงยุมธมองหน้ากัน
กำนันบุญกอดอกสีหน้าครุ่นคิดหลังจากผกาเสนอแนะข้อสงสัย
“ไอ้ขุนเดช หัวหน้าช่างขุดแต่งกรุนั่นน่ะเหรอ”
“ชั้นได้ยินมาว่ามันเป็นลูกชายของนายเดื่องที่ถูกเสือแชนตัดคอในถ้ำศิลา เลยคิดว่างานนี้ไม่น่าใช่เรื่องของการตามล่าฆ่าพวกเราของวีรบุรุษบาปเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นการเอาคืนมากกว่า”
“ที่คุณผกาพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ เสือแชนถูกตัดคอเหมือนกับที่พ่อไอ้ขุนเดชถูกตัดคอเปี๊ยบ แล้วตอนที่ชั้นถูกไอ้วีรบุรุษบาปฝังทั้งเป็นมันก็หลังจากที่ชั้นไปยุ่งกับบัวทองผู้หญิงของมัน”
“เรื่องแค่นี้มันยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าไอ้วีรบุรุษบาปกับไอ้ขุนเดชเป็นคนเดียวกัน”
“งั้นให้ชั้นพิสูจน์มั้ยพ่อ ชั้นหมั่นไส้อยากฆ่ามันมานานแล้ว ถ้าฆ่ามันตายได้แล้ววีรบุรุษบาปไม่เสนอหน้าออกมาอีกเลยก็แสดงว่าคุณผกาคิดถูก”
“มันเป็นคนของราชการ คิดจะฆ่ามันก็ต้องอย่าให้มีปัญหาตามมา”
“ก็ไม่ต้องลงมือซึ่งหน้าสิจ๊ะกำนัน”
ผกาพูดไปก็ยิ้มร้ายดูเจ้าเล่ห์
ยงยุทธขยับเข้าใกล้ขุนเดชจ้องเขม็งต้องการถามอย่างจริงจัง
“ตอนนี้พวกชาวบ้านต่างสรรเสริญวีรบุรุษบาป แต่สำหรับชั้นมันก็คือคนนอกกฏหมาย ที่ต้องถูกลงโทษ ในเมื่อแกให้ชั้นบูชาพระองค์นี้เพื่อให้มีชัยเหนือศัตรู แสดงว่าแกอยากเห็นมันถูกชั้นจับ”
“กฏหมายอยู่ในมือแก...ใครผิดใครถูก แกก็รู้อยู่แล้ว”
“แต่มันฆ่าตัดคอไอ้เสือแชน เท่ากับช่วยแก้แค้นให้แก”
“การตายของเสือแชน เป็นบาปกรรมที่ไล่ตามมันทัน ต่อไปคนที่คิดจะทำบาปจะได้รู้ว่าไม่มีเวรกรรมชาติหน้า มีแต่เวรกรรมชาตินี้”
“ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องเวรกรรม ชั้นก็อยากกราบอธิษฐานต่อหน้าพระที่แกให้ ถ้าวีรบุรุษบาปไม่มามอบตัวกับชั้น ก็ขอให้เวรกรรมตามมันทันในชาตินี้ อย่าให้มันไปสร้างเวรสร้างกรรมกับคนอื่นอีก” ยงยุทธยกมือพนมไหว้พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ขุนเดชเลือกให้ “ทีนี้เราก็มารอดูกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้คนบาปอย่างมัน กลับตัวกับใจได้รึเปล่า”
ขุนเดชนิ่งมองยงยุทธแล้วมองไปที่พระพุทธรูปปางมารวิชัย
ที่ทางเดินหน้าห้องพักของโรงแรม เบิ้มยืนเฝ้าประตู ประดับเดินเข้ามาเบิ้มรายงาน
“เธออาละวาดน่าดูเลยครับ ถ้าผมไม่รีบตามคุณประดับมาเธอว่าเธอจะพูดให้หมด”
“ชั้นจัดการเอง แกไปจัดการเตรียมของตามที่ชั้นสั่งแล้วกัน”
“ครับ”
เบิ้มเดินออกไป ประดับเปิดประตูเข้าไปในห้อง
ปารมีดีใจเมื่อเห็นประดับมาหาเธอถึงในห้องพักโรงแรมรีบเข้าไปกอดทันที
“พี่ประดับ...ทำไมพี่ประดับมาช้าจัง ให้ปารออยู่แต่ในห้องอุดอู้แบบนี้ ปาเบื่อนะ”
“เกิดเรื่องที่งานวันเกิดคุณหญิง พี่ต้องจัดการปัญหาให้ท่าน”
“ปารู้เรื่องแล้ว ปาไม่แปลกใจหรอก คนอย่างพ่อสร้างศัตรูไว้ทั่ว พลาดท่าขึ้นมาเมื่อไหร่คงได้ถูกยิงตาย”
“คุณปา คุณแช่งพ่อตัวเอง”
“ไม่ได้แช่งสักหน่อย ก็แค่พูดความจริง เพราะถ้าพ่อถูกยิง สมบัติของพ่อก็ไม่พ้นมือปา ทีนี้ปาก็ไม่ต้องกลัวลำบากเวลาที่พ่อรู้ว่าปาอุ้มลูกของพี่ไว้ในท้อง”
“คุณปาคิดอะไรง่ายๆ เป็นเด็กๆ ไปได้ ทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือเอาเด็กออก แต่คุณปากลับไม่ทำ”
“ก็ปากลัวเจ็บนี่ ปาจะปล่อยให้ท้องโตแบบนี้แหละ ผู้หญิงคนอื่นจะได้รู้ว่าผัวปาเป็นใคร”
“คุณปา”
“คิดว่าปาไม่รู้เหรอที่เดี๋ยวนี้พี่เปลี่ยนไปไม่เอาใจปาเหมือนก่อน เพราะพี่มีผู้หญิงคนอื่น”
“เมื่อไหร่คุณปาจะเลิกเอาเรื่องนี้มาพูดซะที ผมมีแต่คุณปาคนเดียว จริงๆ นะครับ”
“ปาไม่เชื่อ”
ปารมีน้อยใจหันไปนั่งร้องห่มร้องไห้ ประดับหรี่ตามองอย่างหงุดหงิดแต่ซ่อนอารมณ์แล้วเข้าไปโอบกอดง้องอน
“โธ่คุณปา เชื่อผมเถอะครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมยอมตามใจคุณปาแล้ว จะพาคุณปากลับบ้าน แล้วรอให้ผมจัดการเคลียร์ปัญหาให้ท่านเสร็จ เราจะบอกให้ท่านรู้ว่าเรารักกัน”
“จริงนะคะพี่ประดับปาดีใจจังเลย”
ประดับยิ้มให้แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง เห็นเบิ้มพาพนักงานโรงแรมยกถาดอาหารเข้ามา ปารมีสงสัย
“ได้ยินเบิ้มบอกว่าคุณปายังไม่ได้ทานอะไร ผมก็เลยสั่งอาหารไว้ คุณปาทานเสร็จแล้วเราค่อยไปกัน”
“ไปเลยไม่ได้เหรอ”
ประดับทำทีเอามือลูบท้องปารมี
“เป็นห่วงลูกของเราดีกว่านะครับ แกออกมาจะได้แข็งแรง”
ปารมีอมยิ้มชอบใจ
“พี่ประดับเนี่ยน่ารักที่สุด” ปารมีบอกแล้วดึงแก้มประดับมาหอมฟอดใหญ่
ประดับเปิดถาดอาหารเห็นของกินน่ากินหลายจาน
เมื่อทานอาหารเสร็ประดับพาปารมีเดินมาตามทางเดินจนถึงบันไดทางลงสู่ชั้นล่าง ปารมีเริ่มมีอาการมึนหัว ตาพร่า
“คุณปาเป็นอะไรเหรอครับ”
“ปา...ปาเวียนหัวจังเลยค่ะพี่ประดับ”
“อาการแพ้ท้องรึเปล่าครับ”
“ไม่รู้สิคะ...เหมือนจะหน้ามืดยังไงก็ไม่รู้”
ประดับเห็นอาการหน้ามืดของปารมีแล้วแอบยิ้มเพราะว่ายาเริ่มออกฤทธิ์
“งั้นค่อยๆ เดินนะครับ...ระวังนะครับ ข้างหน้าเป็นบันได”
“พี่ประดับ...ปา...ปาจะหน้ามืดแล้ว”
“งั้นพักตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ไปหายาดมมาให้”
ประดับพยุงปารมีไปยืนรอตรงบันได แล้วถอยออกมายืนมองห่างๆ เห็นปารมียืนโงนเงนตาปรือ
“พี่...พี่ประดับ...พี่อยู่ไหน...ปา...ปาไม่ไหวแล้ว ปาไม่มีแรงเลย...พี่ประดับ”
ปารมีพยุงตัวเองไม่ไหวหงายหลังตกลงไปตามขั้นบันไดหลายตลบลงมาแน่นิ่งที่พื้นชั้นล่าง พนักงานในโรง แรมพากันตกใจร้องเสียงหลง ประดับยิ้มร้ายที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“ช่วยไม่ได้นะคุณปา...ง่ายๆ ไม่ชอบ ชอบให้ยุ่งยากเอง หึๆๆ”
ประดับกลับมาบอกเรื่องปารมีกับปราชญ์และคุณหญิง
“ว่ายังไงนะ ยัยปาน่ะเหรออาการสาหัสอยู่โรงพยาบาล” คุณหญิงถามอย่างตกใจ
“ครับคุณหญิง คุณปาตกบันไดระหว่างที่ผมกำลังไปรับเธอ ตอนนี้ยังไม่ได้สติ แถมหมอยังบอกว่า…”
“ทำไม...ยัยปาเป็นอะไร”
“คุณปาแท้งลูกครับ”
“แท้งลูก...หมายความว่ายังไง ยัยปาไปท้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็เพราะคุณไม่เคยสนใจลูกไง เอาแต่ยุ่งกับไอ้สมบัตินั่น ลูกเลยใจแตกมั่วผู้ชายจนท้อง”
“นี่แสดงว่าคุณก็รู้มาก่อน”
“ชั้นแค่สงสัย จนมารู้ความจริงนี่แหละ”
“งั้นก็เป็นความผิดคุณที่ไม่รู้จักสั่งสอนลูก” คุณหญิงอึ้ง “ประดับ...แกจัดการเคลียร์เรื่องนี้ ให้เรียบร้อยอย่าให้มีข่าวยัยปาแท้งลูกหลุดออกไปได้ เสร็จแล้วก็รีบกลับมา ชั้นมีงานด่วนให้แกทำ อาจารย์ก้องเกียรติเพิ่งจะบอกชั้นมาว่าเจอวัตถุโบราณชิ้นต่อไปแล้ว”
“นี่คุณ...ลูกเข้าโรงพยาบาลอากาศสาหัส แต่คุณยังมีแก่ใจตามหาวัตุโบราณบ้าๆ บอๆ อยู่อีกเหรอ”
ปราชญ์หันมาตบหน้าคุณหญิงทันที
“อย่ามาว่าสิ่งที่ชั้นทำอยู่เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ นะ ชั้นไม่ไล่ เธอออกจากบ้านเพราะเลี้ยงลูกให้มันเสียคนก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
คุณหญิงน้ำตาคลอวิ่งร้องไห้ออกไป ประดับมองสองผัวเมียที่หลงเชื่อคำโกหกของเขาแล้วแอบยิ้มร้ายๆ
โบราณสถานที่ทีมงานโบราณคดีกำลังบูรณะตกแต่ง บัวทองจัดสำหรับปิ่นโตให้ดารา
“น่าเสียดายจังเลยนะคะอาจารย์ เกือบจะได้หลักฐานมาเปิดโปงพวกมันอยู่แล้วเชียว”
“ชั้นก็เสียดาย แต่ยงยุทธห้ามไม่ให้ชั้นเข้าไปยุ่งกับเรื่องนีอีก เพราะพวกมันรู้ตัวแล้ว กลัวว่าชั้นอาจจะถูกทำอันตราย”
“ที่หมวดขอร้องอาจารย์ไว้ก็เห็นจะจริงค่ะ เราไม่รู้ว่าอิทธิพลของมันแผ่ไปถึงไหนบ้าง อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็ยังมีหมวดมีวีรบุรุษบาปคอยปกป้องพวกเรา” ดารานิ่งไป “บัวทองไม่กวนเวลาทำงานของอาจารย์แล้วดีกว่า แม่สั่งให้เอาปิ่นโตมาให้อาจารย์กับพี่ขุนเดชแล้วให้รีบกลับไปซ้อมรำ ขืนกลับช้าเดี๋ยวโดนบ่นอีก”
“ขอบใจนะบัวทอง”
บัวทองเดินออกไปที่จักรยานสวนกับขุนเดชที่เข้ามา
“พี่ขุนเดช ปิ่นโตมาแล้วนะ แม่ทำต้มยำปลาช่อนของโปรดพี่มาให้ด้วย”
“แล้วไม่อยู่กินด้วยกันล่ะบัวทอง”
“เดี๋ยวชั้นแย่งพี่กิน พี่จะไม่อิ่มเอาน่ะสิ…ชั้นไปล่ะ”
บัวทองขี่จักรยานออกไป ขุนเดชมองตามบัวทองแล้วยิ้ม ดาราแอบเห็นรอยยิ้มที่ขุนเดชมองบัวทอง
บัวทองขี่จักรยานกำลังจะกลับบ้านมาตามทางเรื่อยๆ แต่แล้วอยู่ๆ เบรครถจักรยานก็ใช้การไม่ได้
“ว๊ายๆๆๆๆ”
บัวทองร้องลั่นเซถลาไปที่ต้นไม้ข้างทางแล้วล้มคะมำ
“อู้ยยยย...เจ็บก้นเลย อีกแล้วนะแก...ชั้นดูแลแกไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงชอบหาเรื่องให้ ชั้นเจ็บตัวอยู่เรื่อย กลับไปคราวนี้...ชั้นเก็บแกเข้ากรุแน่...โทษฐานทำให้ชั้นต้องเข็นแก กลับบ้าน หึ”
บัวทองกำลังจะเข็นจักรยานออกไป แต่ระหว่างนั้นหันไปเห็นรถของสัมฤทธิ์ขับผ่านดินลุกรังฝุ่นตลบไปจอดไม่ ห่างจากเธอเท่าไหร่
“ไอ้สัมฤทธิ์”
บัวทองกลัวจะถูกเห็นเลยก้มหัวลงต่ำแล้วแอบดู สัมฤทธิ์ลงจากรถไปหาไอ้นะไอ้เนที่นัดเจอกัน
“เป็นไง...ได้ของที่ข้าสั่งมั้ยวะ”
“ได้มาแล้วพี่”
ไอ้เนเอากล่องปืนสีดำยาวยื่นให้ สัมฤทธิ์รับมาดู
“พวกมืออาชีพเขาใช้กัน รับรองว่างานนี้เสี้ยนหนามหัวใจพี่ได้ตายสมใจอยากพี่แน่”
สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายมองกระเป๋าปืน บัวทองสงสัยจะขยับเข้าไปดูใกล้ๆ แต่เหยียบกิ่งไม้หักเสียงดัง
“ใครวะ”
สัมฤทธิ์สงสัยพยักหน้าให้ลูกน้องไปดู แต่บัวทองหนีออกไปได้ทันไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
“ไม่มีอะไรนี่พี่ สงสัยหมาแมวจะวิ่งผ่าน”
“โชคดีของมันไปนึกว่าจะได้ลองของใหม่เอี่ยมที่พวกเอ็งเอามาให้ข้าใช้…งั้นก็รีบไปจัดการไอ้ขุนเดชเถอะ ข้าคันมือเต็มทนแล้ว”
ขุนเดชนั่งกินข้าวอยู่กับดารา ทั้งคู่กินอิ่ม ดาราเก็บปิ่นโต
“เธอกินต้มยำปลาช่อนซะเกลี้ยงเลยนะ”
“ฝีมือน้าคำปันชั้นกินไม่เคยเหลืออยู่แล้ว”
“นี่ถ้าชั้นไม่บอกความจริงเธอก็คงไม่รู้ใช่มั้ย” ขุนเดชมองอย่างสงสัย “กับข้าวมือนี้ทั้งหมดที่เธอกิน ไม่ใช่ฝีมือน้าคำปันหรอก ฝีมือบัวทองต่างหาก”
“ล้อผมเล่นรึเปล่า”
“จริง...แต่ที่บัวทองบอกเธอว่าเป็นฝีมือน้าคำปัน เพราะกลัวเธอจะไม่ยอมกิน”
“หึ...เด็กคนนี้ ผมไปทำงานต่อนะ”
ขุนเดชเดินออกไป ดารามองตามได้ครู่ก็หันมาเจอบัวทองที่เข็นจักรยานกลับเข้ามาเหงื่อแตกหอบแฮ่ก
“อ้าว...บัวทอง ลืมอะไรเหรอ”
“ปละ...เปล่า...ไม่...ไม่ได้ลืมอะไรค่ะ” บัวทองยืนหอบ
“แล้วเป็นอะไร ทำไมดูรีบร้อนจัง กินน้ำก่อนมั้ย”
“ไม่ค่ะอาจารย์...พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดชอยู่ไหนคะ บัวทองต้องเตือนพี่ขุนเดชเขากำลังถูกปองร้าย”
ดาราพาบัวทองมาบอกขุนเดช
“ไอ้สัมฤทธิ์กับพวกน่ะเหรอคิดจะเล่นงานพี่”
“จ้ะพี่...ชั้นได้ยินพวกมันคุยกันระหว่างทางที่ชั้นจะกลับ”
“แล้วพวกมันคุยกันว่าอะไร”
ดาราถาม บัวทองชะงัก
“เอ่อ...คือ...คือ...ที่ชั้นได้ยิน...คือ”
“ว่ายังไงล่ะบัวทอง พวกมันพูดอะไรกัน”
บัวทองจำต้องบอก
“มันว่ามันกำลังจะจัดการเสี้ยนหนามหัวใจของไอ้สัมฤทธิ์”
“บัวทองก็เลยคิดว่าพวกมันพูดถึงพี่เหรอ”
พวกคนงานที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินก็พากันอมยิ้มจนบัวทองรู้สึกอาย ดาราช่วยแก้เก้อให้บัวทอง
“ขุนเดช...เธอเคยมีเรื่องกับนายสัมฤทธิ์เพราะบัวทอง เขาก็เลยยังแค้นเธอ”
“พี่ขอบใจนะบัวทอง แต่ที่นี่คนอยู่เยอะแยะ ขี้ขลาดอย่างมันคงไม่กล้าทำอะไรพี่หรอก”
“ชั้นมาเตือนก็เพราะชั้นเป็นห่วงพี่ ถ้าพี่ไม่ฟังเกิดอะไรขึ้นมาก็อย่ามาว่าชั้นแล้วกัน”
บัวทองน้อยใจงอนเดินออกไป ดารารีบตีแขนขุนเดช
“ขุนเดช...ไปขอโทษบัวทองสิ...ไปเร็ว”
ที่มุมหนึ่งของโบราณสถาน สัมฤทธิ์แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้
“เฮ้ย...ประกอบปืนเสร็จยังวะ”
“เรียบร้อยแล้วพี่”
ไอ้เนยื่นปืนไรเฟิลที่ติดกล้องเล็งอย่างดีให้ สัมฤทธิ์เห็นแล้วทึ่ง
“เป็นไงพี่ถูกใจเลยใช่มั้ย ชั้นได้มาจากพวกพรานล่าสัตว์มืออาชีพเลย รับรองเล็งหัวใจโดนหัวใจ เล็งกะบาลโดนกะบาล”
“ไอ้ขุนเดช...เสร็จกูแน่” สัมฤทธิ์เอาปืนมาประทับแล้วส่องกล้องหา “มันอยู่ไหนวะ”
“นั่นไงพี่”
“นั่นน่ะ...ไหนวะ”
“ใกล้ๆ เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์นั่นไงพี่”
สัมฤทธิ์ขยับปืน ภาพในกล่องเล็งทำให้เห็นขุนเดชชัด แต่ขุนเดชเดินเข้าไปหาบัวทอง
“โธ่เว้ย...หลบไปสิบัวทอง อย่ามาขวางทาง”
สัมฤทธิ์หงุดหงิดเพราะบัวทองยืนบังวิถีกระสุน
ขุนเดชอยู่กับบัวทอง
“พี่ขอโทษบัวทอง”
“จะขอโทษชั้นทำไม ชั้นอาจจะเข้าใจผิดไปเอง พวกไอ้สัมฤทธิ์มันคงหมายถึงคนอื่น”
“ไม่หรอกบัวทอง...ที่พวกมันพูดถึงพี่แบบนั้นพวกมันเข้าใจถูกแล้ว”
บัวทองชะงัก
“พี่ขุนเดช”
บัวทองกับขุนเดชสบตากัน ดารายืนอยู่ข้างๆ เจดีย์ได้ยินที่ขุนเดชพูดกับบัวทองแล้วรู้สึกใจหาย ขุนเดชจับบ่าสองข้างของบัวทองอย่างอ่อนโยน
“พี่ขอบใจบัวทองมากนะที่เป็นห่วงพี่ พี่จะ คอยระวังตัว บัวทองสบายใจนะ”
บัวทองยังอึ้งไม่หาย
“จะ…จ้ะพี่”
“จักรยานบัวทองเสียใช่มั้ย งั้นรอพี่ทำงานเสร็จ พี่จะไปส่งบ้าน”
บัวทองได้แต่พยักหน้าหงึกๆ รับ ดาราน้ำตาเอ่อออกมาอย่างไม่รู้ตัวจนต้องรีบปาดน้ำตาแล้วเดินหลบออกไป
อ่านต่อหน้าที่ 4
ขุนเดช ตอนที่ 10 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งที่สถานีตำรวจ จ่าแท่นมาหายงยุทธที่ห้องทำงาน ขณะนั้นยงยุทธกำลังยืนมองพระพุทธรูปปางมารวิชัยบนหิ้งเหนือโต๊ะทำงาน
“พระพุทธรูปงามจังเลยนะครับหมวด บูชามาจากไหนเหรอครับ”
“ของขุนเดชน่ะจ่า”
“อ๋อ…มิน่าล่ะครับถึงได้งามนัก จะว่าไปฝีมือหล่อพระของขุนเดชนี่ต้องยอมให้เลยนะครับ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็งดงาม น่าเลื่อมใสศรัทธา”
“ตอนที่ชั้นกับขุนเดชเรียนด้วยกัน ลุงเถินพ่อของดาราก็สอนให้ชั้นหล่อพระเหมือนกัน แต่ชั้นเป็นคนใจร้อน ไม่ถนัดกับงานที่ต้องใช้สมาธิสูงๆ และต้องเข้าถึงแก่นพุทธศาสนาอย่างขุนเดช ชั้นก็เลยไม่ได้วิชานี้จากลุงเถิน”
“ไม่น่าแปลกหรอกครับหมวด สมัยพี่เดื่องยังหนุ่มๆ พี่เดื่องก็มีฝีมือเรื่องหล่อพระเหมือนกัน แสดงว่าลิขิตฟ้าคงกำหนด ถึงขุนเดชจะไม่ได้เรียนวิชาหล่อพระจากพ่อบังเกิดเกล้าก็ยังมีคนอื่นคอยสอนให้ ว่าแต่ทำไมขุนเดชถึงเลือกปางมารวิชัยให้หมวดมาบูชาครับ”
“ขุนเดชอยากให้ผมมีชัยเหนือศัตรู และปกป้องภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผม ผมก็เลยอธิษฐานกับท่าน ขอให้วีรบุรุษบาปกลับตัวกลับใจมามอบตัวกับผม”
“สิ่งที่หมวดขอผมว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงพระท่านจะดลบันดาลให้กลับใจได้ แต่ก็คงหนีโทษ หนีความผิดไม่พ้น”
“ผมก็คิดเหมือนกับจ่านั่นแหละ…วีรบุรุษบาปคงไม่มีวันยอมให้ผม ผมกับมันคงต้องตามล่ากันไปจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียทีตายกันไปข้าง”
ดารากลับมาที่โต๊ะทำงานวางแผนที่ น้ำตายังเอ่อด้วยความรู้สึกเสียใจ ใจหายที่ขุนเดชตัดสินใจเลือกบัวทอง
“อาจารย์คะ”
ดาราชะงักรีบเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วหันมาที่บัวทอง
“บัวทอง...คุยกับขุนเดชเสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะอาจารย์ พี่ขุนเดชบอกว่าจะคอยระวังตัว บัวทองจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ดีแล้วจ้ะ ไว้ชั้นเจอยงยุทธชั้นจะบอกให้เขารู้เรื่องที่บัวทองได้ยินมา ยงยุทธจะได้ช่วยระวังให้ขุนเดชด้วยอีกแรง”
“อาจารย์คะ...อาจารย์ได้ยินที่พี่ขุนเดชสารภาพกับบัวทองใช่มั้ยคะ” ดาราชะงัก “บัวทองขอโทษค่ะ ทั้งๆ ที่อาจารย์กับพี่ขุนเดช”
“ไม่ต้องขอโทษชั้นหรอกบัวทอง...ชั้นกับขุนเดชเราจบกันไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เรามีแต่ความเป็นเพื่อนให้กันเท่านั้นจ้ะ ตั้งแต่ชั้นรู้จักขุนเดชมา ชั้นยังไม่เคยเห็นใครทำให้เขายิ้มอย่างมีความสุขได้อย่างบัวทองเลย”
“จริงเหรอคะอาจารย์”
“จริงสิจ๊ะ”
บัวทองยิ้มดีใจ
ขุนเดชเข้ามาที่ฐานเจดีย์ คนงานเอาบันไดพาดเตรียมจะปีนขึ้นไป
“เดี๋ยวชั้นปีนขึ้นไปเองดีกว่า”
“ระวังนะขุนเดช”
ขุนเดชยิ้มให้แล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไปตามบันไดที่พาดขึ้นไปบนยอดเจดีย์ สัมฤทธิ์ที่แอบซุ่มอยู่มันเล็งปืนไปที่ขุนเดชแล้วนิ้วแตะไก ภาพในกล้องเล็งเห็นขุนเดชเป็นเป้าอย่างชัดแจ๋ว
“หึ...มึงเสร็จกูแน่ไอ้ขุนเดช” สัมฤทธิ์หรี่ตา นิ้วแตะไกเตรียมลั่น
ดวงอาทิตย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาจากกลุ่มเมฆเพราะลมที่พัดพาทำให้แสงอาทิตย์ค่อยๆ
เปิดทางส่องลงมาบนพื้น สัมฤทธิ์กำลังจะลั่นไกขณะที่ขุนเดชปืนขึ้นถึงยอดเจดีย์ นิ้วสัมฤทธิ์แตะไกเป็นจังหวะพอดีกับที่แสงอาทิตย์แยงตาพอดี...เปรี้ยง!! ขุนเดชถูกกระสุนเข้าจังๆ ร่วงลงมาจากยอดเจดีย์ตกลงไปในพงต้นพุทธรักษา
บัวทองกับดาราเดินเข้ามาหาขุนเดชเห็นเข้าก็ต้องใจร้องเสียงหลง
“พี่ขุนเดช”
ยงยุทธกำลังจุดเทียนเพื่อบูชาพระพุทธรูปปางมารวิชัย แต่เทียนที่จุดติดไปแล้วกลับดับวูบต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีสาเหตุ ยงยุทธรู้สึกแปลกใจเพราะเป็นสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี
“หมวดครับ...หมวด...เกิดเรื่องแล้วครับ ขุนเดชถูกลอบยิง”
ยงยุทธหันมาตกใจ
จบตอน 22
ขุนเดช ตอน 23.1
ดารากับบัวทองอยู่ในอาการเป็นห่วงขุนเดชที่กำลังให้หมอน้อยช่วยชีวิต
“คุณพระคุณเจ้า…ขอให้พี่ขุนเดชปลอดภัยด้วยเถอะ”
“เรารีบพาขุนเดชมาถึงมือหมอเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ขุนเดชจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เชื่อชั้นนะบัวทอง”
“ค่ะอาจารย์”
บัวทองกับดารากุมมือให้กำลังใจกันและกัน ระหว่างนั้นหมอน้อยออกมา
“พี่ขุนเดชเป็นยังไงบ้างคะอาหมอ”
“อาผ่าเอากระสุนออกให้แล้ว โชคดีมากที่กระสุนไม่โดนส่วนสำคัญ”
“แล้วที่ขุนเดชตกลงมาจากเจดีย์ล่ะคะ ได้รับความกระทบกระเทือนตรงไหนรึเปล่า”
“ตอนแรกผมก็เป็นห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นอย่างน้อยก็ต้องแข้งขาหัก อาการหนักบ้าง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังคุ้มครองขุนเดชอยู่ ถึงได้ตกลงมาในดงต้นพุทธรักษาพอดี เลยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน”
ดารากับบัวทองมีสีหน้าดีใจโล่งอกไปได้เยอะ
ยงยุทธเข้ามาตรวจดูพื้นที่ที่ขุนเดชถูกลอบยิง
“ตรงนี้น่ะเหรอจ่า” ยงยุทธแหงนมองขึ้นไปบนเจดีย์ “สูงไม่ใช่เล่น”
“ครับหมวด...บุญรักษาเจ้าขุนเดชมันจริงๆ ถึงได้ตกลงมาตรงดงต้นพุทธรักษาพอดี ไม่งั้นมันคงไม่รอด”
“งั้นถ้าขุนเดชรู้สึกตัวพอจะให้ปากคำได้ เราค่อยไปสอบปากคำขุนเดชแล้วกัน”
“หมวดครับ พบปลอกกระสุนที่คนร้ายใช้ซุ่มยิงขุนเดชทางด้านนั้นครับ”
“ไปดูกัน”
ยงยุทธเดินออกไป จ่าแท่นยังยืนดูตรงบริเวณที่ขุนเดชตกลงมา
“นี่ถ้าเราตกลงมาเอง คอคงหักแน่...แค่นึกก็เสียวแล้ว”
จ่าแท่นขนลุกไปบ่นไปก่อนจะเหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในดงต้นพุทธรักษา
“อะไรอยู่ในนั้น”
บัวทองกับขุนเดชที่รู้สึกตัวแล้ว
“อย่าเพิ่งลุกสิจ๊ะพี่ขุนเดช อาหมอบอกให้พี่นอนพักรักษาตัวนะ” ขุนเดชรู้สึกเจ็บแผลลุกไม่ค่อยไหว “เห็นมั้ย...พี่ขุนเดชน่ะชอบดื้อ อยากได้อะไรบอกชั้น เดี๋ยวชั้นจัดการให้”
“พี่หิวน้ำน่ะบัวทอง”
“งั้นรอเดี๋ยว เดี๋ยวชั้นไปเอามาให้”
บัวทองออกไป ขุนเดชสีหน้าหนักใจระหว่างนั้นหมอน้อยเข้ามา
“รู้สึกตัวแล้วเหรอขุนเดช”
“อาหมอครับ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“พวกอาจารย์ดาราหามเธอมาส่งที่นี่น่ะสิ พอเธอปลอดภัยอาจารย์ก็เลยกลับไปให้ปากคำตำรวจ เผื่อว่าจะมีใครเห็นหน้าค่าตาไอ้พวกที่มาลอบยิงเธอ”
“ตอนนี้ตำรวจอยู่ที่นั่นเหรอครับ”
“ใช่...มีอะไรรึเปล่า”
“ดาบดำครับอาหมอ...ดาบดำของวีรบุรุษบาปตกอยู่ที่ดงต้นพุทธรักษา”
หมอน้อยหน้าเสียตกใจ
จ่าแท่นกำลังจะแหวกพงต้นพุทธรักษาเข้าไปดูบางอย่างที่ตกอยู่ในนั้นแต่ยังไม่ทันจะเห็นอะไรดาราก็เข้ามา
“จ่าคะ”
“ครับอาจารย์”
“เป็นยังไงบ้างคะ ทางนี้ได้เรื่องอะไรบ้างรึยัง”
“พบปลอกกระสุนที่คนร้ายใช้ลอบยิงขุนเดช ตอนนี้หมวดกำลังไปตรวจสอบครับ”
“ชั้นลองถามนักศึกษากับคนงานที่มาช่วยงานดูแล้ว ไม่มีใครเห็นพวกของนายสัมฤทธิ์แอบลอบเข้ามาทำร้ายขุนเดชตามที่บัวทองได้ยินพวกมันคุยกัน”
“พวกมันคงซุ่มเข้ามาตอนทุกคนกำลังยุ่งๆ กัน แล้วแอบลอบยิงขุนเดช”
ดารากับจ่าแท่นหันไปเห็นยงยุทธเข้ามาพร้อมกับชูปลอกกระสุนให้ดู
“ไอ้พวกหมาลอบกัด ปล่อยไว้ไม่ได้ หมวดครับผมรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน”
ยงยุทธพยักหน้ารับแล้วหันไปบอกดารา
“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเป็นฝีมือของไอ้พวกนั้นจริงๆ ผมเล่นมันไม่เลี้ยงแน่”
ยงยุทธกับจ่าแท่นออกไป ดาราหันมามองเจดีย์ที่ขุนเดชถูกซุ่มยิงแล้วตกลงมาในดงต้นพุทธรักษา และก็เห็นอะไรบางอย่างเหมือนที่จ่าแท่นเห็น ดาราคิ้วขมวดสงสัย
ในบ่อนมวย ไอ้เนขึ้นชกมวยพนัน พวกชาวบ้านส่งเสียงเชียร์กันสนั่น เพราะไอ้เนเล่นงานคู่ต่อสู้จน เลือดกบปาก ดั้งหัก ตาปูด สัมฤทธิ์ชอบอกชอบใจที่ลูกน้องตัวเองชกดี แต่ระหว่างนั้นชาวบ้านร้องเสียงหลงเพราะตำรวจบุกเข้ามา
“ตำรวจมา...หนีเร็ว”
พวกชาวบ้านตาลีตาเหลือกวิ่งหนีกันกระจาย แต่พวกสัมฤทธิ์กลับยืนเฉยไม่หนีไปไหนเพราะรู้ดีว่าจะต้องเจอ
ยงยุทธกับจ่าแท่นเข้ามาเผชิญหน้าสัมฤทธิ์ที่ทำหน้ากวนยียวนใส่
“ดูมันสิครับหมวด คาหนังคาเขาแบบนี้ มันยังยืนทำหน้ากวนบาทาใส่เลย”
“อ้าวจ่า พวกผมมาเล่นกีฬา มาอนุรักษ์มรดกมวยไทยกัน ทำไมจ่ามาใส่ร้ายกันแบบนี้ล่ะ”
“ไอ้กะล่อน”
จ่าแท่นจะเข้าไปเอาเรื่องแต่ยงยุทธยกมือปราม จ่าแท่นเลยชะงัก
“วันนี้ขุนเดชถูกลอบยิง ชั้นมีพยานยืนยัน ได้ยินพวกแกพูดกันว่าจะลงมือทำร้ายขุนเดช”
“ผมเนี่ยนะไปลอบยิงไอ้ขุนเดช”
สัมฤทธิ์หันไปมองพวกลูกน้องแล้วก็หัวเราะกันเสียงดังลั่น
“หมวดเป็นตำรวจนะครับ จะกล่าวหาใครก็ต้องมีหลักฐาน ผมกับพวกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้า แล้วจะไปลอบยิงไอ้ขุนเดชได้ยังไง”
“เอ็งไม่ต้องมาทำหัวหมอ ถ้าพวกข้าค้นเจออาวุธที่ใช้ลอบยิงขุนเดชล่ะก็งานนี้พ่อเอ็งก็ช่วยไม่ได้”
“งั้นจ่าจะรออะไรอยู่ล่ะครับ อยากค้นก็ค้นเลย เชิญตามสบาย จะจับพวกผมแก้ผ้าค้นตัวก็ได้นะ”
“จ่า”
“ครับหมวด”
ยงยุทธสั่งให้จ่าแท่นจัดการค้นตามคำสั่ง สัมฤทธิ์กับพวกเชิดหน้ากวนมองเย้ยยงยุทธ
จ่าแท่นกับพวกตำรวจค้นทั้งสถานที่และค้นตัวพวกมันหมดแล้วแต่ก็ไม่เจออาวุธที่ใช้ยิงขุนเดช
“พวกผมค้นจนทั่วแล้ว ไม่เจออาวุธที่มันใช้ลอบยิงขุนเดชเลยครับหมวด”
“เห็นมั้ยล่ะครับหมวด ไอ้ขุนเดชน่ะศัตรูมันเยอะ มันหน้าตามันกวนประสาท ชอบเต๊ะจุ๊ย ใครเห็นหน้ามันก็อยากฝากรอยเท้าไว้บนหลังมันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นหมวดจะมาสงสัยผมคนดียวไม่ได้”
ยงยุทธจ้องสัมฤทธิ์เขม็งแล้วเข้าไปกระชากคอเสื้อดึงหน้ามาข่มขู่ พวกลูกน้องฮึดฮัดจะสู้ แต่จ่าแท่นชักปืนขู่
“อย่านะเว้ย”
“อย่าคิดว่าวันนี้แกรอดได้แล้วจะทำให้แกไม่มีโอกาสเฉียดคุกเฉียดตะราง ชั้นจะจับตาดูแกทุกฝีก้าว ถ้าแกพลาดเมื่อไหร่...แกเจอชั้นแน่ไอ้สัมฤทธิ์”
ยงยุทธผลักสัมฤทธิ์ใส่พวกลูกน้องแล้วออกไปกับจ่าแท่น สัมฤทธิ์จับคอเสื้อให้เข้าที่แล้วถุยใส่พื้นอย่างเจ็บใจ
ขุนเดชรีบถามหมอน้อย เมื่อหมอน้อยกลับมา
“ไม่เจอเหรอครับอาหมอ”
“อาหาจนทั่วแล้ว...ไม่เจอเลย”
“พวกตำรวจได้ไปรึเปล่าครับ”
“อาเจอหมวดยงยุทธและคุยกับเขาแล้ว อาว่าเขาไม่รู้เรื่องแน่ น่าจะมีคนอื่นไปเจอแล้วเอาดาบดำไปแล้ว”
ขุนเดชหันมาสีหน้าครุ่นคิดระหว่างนั้นบัวทองเข้ามา เห็นทั้งคู่ดูสีหน้าไม่ค่อยดีกัน
“มีอะไรกันรึเปล่าคะ หรือว่าบัวทองเข้ามาขัดจังหวะอาหมอตรวจพี่ขุนเดช”
“เปล่าหรอกจ้ะบัวทอง...อาจะลองดูให้อีกทีไม่ต้องห่วงนะ” หมอน้อยบอกกับขุนเดช
“ขอบคุณครับอาหมอ”
หมอน้อยออกไป บัวทองคิ้วขมวด
“ดูมีลับลมคมนัยกันจังเลยนะพี่ขุนเดช”
“เปล่านี่บัวทอง”
บัวทองจ้องหน้าบัวทองเขม็ง
“อย่ามาโกหกนะ...อาการพี่ขุนเดชไม่ดีใช่มั้ย ถึงได้หน้าเครียดกันทั้งคู่”
“สงสัยจะปิดไม่มิดจริงๆ ใช่...อาหมอมาบอกว่าแขนพี่คงจะใช้การไม่ได้เพราะกระสุนไปตัดเส้นประสาท”
“จริงเหรอพี่...ก็ไหนอาหมอบอกว่าพี่ขุนเดชปลอดภัยแล้ว” บัวทองถามอย่างตกใจ
“พี่เพิ่งรู้สึกเมื่อกี้นี้เองว่าแขนพี่ขยับไม่ได้ อาหมอก็เลยมาช่วยดูให้”
บัวทองสงสัยเข้าไปจับแขนขุนเดชยกขึ้นแล้วปล่อย แขนขุนเดชตกเหมือนคนไม่มีแรงจริงๆ
“พี่ขุนเดช! ไม่จริง...บัวทองจะปล่อยให้พี่พิการแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด บัวทองจะไปขอร้องให้อาหมอหาทางช่วยพี่ให้ได้”
บัวทองจะรีบออกไปตามหมอน้อยแต่ขุนเดชใช้มือข้างที่โกหกบัวทองรั้งตัวไว้
“ไม่ต้องหรอกบัวทอง...พี่ล้อเล่น”
“พี่ขุนเดช” ขุนเดชยิ้มให้ บัวทองชักสีหน้าโกรธใส่ทันที “คนบ้า! ล้อเล่นเรื่องแบบนี้ได้ยังไง นี่แน๊ะ...เกลียดที่สุด ตีให้แขนพิการไปจริงๆเลย”
“โอ๊ย!...พี่เจ็บจริงๆ แล้วนะบัวทอง”
บัวทองไม่สนใจทุบๆๆๆ ขุนเดชต้องปัดป้องเป็นพัลวัน
จบตอนที่ 10
ติดตามอ่านขุนเดชตอนต่อไป พรุ่งนี้