xs
xsm
sm
md
lg

แววมยุรา ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แววมยุรา ตอนที่ 8 
แววกับหลินเดินมาส่งเหมยที่รถของไร่ทศพลซึ่งจอดอยู่
“คุณสยุมภูว์สั่งให้คนของไร่ จัดรถไปส่งเหมยด้วยนะ” แววบอก
“ขอบใจมากนะคะ แต่ไม่ต้องส่งถึงบ้านหรอกเพราะถ้าป๊าเห็นรถของไร่เดี๋ยวจะสงสัย” เหมยเสนอ
“นั่นสิเนอะ...งั้นก็ส่งแค่ปากทางเข้าบ้านก็แล้วกัน” หลินมองหาคนขับรถ “เดี๋ยวพี่ไปตามคนขับรถก่อนนะ”
หลินเดินออกไป เหมยเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งรอ
“ถ้ามีอะไรให้เหมยช่วยอีกก็บอกนะคะ คุณแวว”
“แค่นี้แววก็ไม่รู้จะขอบคุณเหมยยังไงแล้ว” แววบอก
“คุณสยุมภูว์นี่โชคดีเนอะ..ที่ได้เลขาที่แสนจะทุ่มเทอย่างคุณแวว”
ทันใดนั้นก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากใต้เบาะที่นั่งข้างหน้าเหมย เหมยรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่อยู่ที่ขาเลยก้มลงมอง พอเห็นว่าเป็นงู เธอก็ตกใจร้องกรี้ดแล้วเปิดประตูออกมา
แววหันไปถาม “เหมย..เป็นอะไร.”
เหมยทรุดตัวลงกับพื้น งูเลื้อยออกมาจากรถแล้วหายไปในพุ่มไม้ข้างทาง
เหมยรู้สึกเจ็บและตกใจมาก “โอ๊ย !!!”
แววหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว เธอเห็นว่าเหมยนั่งทรุดตัวลงกุมข้อเท้า แววจึงก้มลงไปดูก็เห็นรอยเขี้ยวงู
แววตกใจ “งูพิษ !!”
เหมยตกใจกลัวสุดๆ แววมองเหมยด้วยสีหน้าเป็นห่วง

อาฟงขี่มอร์เตอร์ไซค์มาจอดที่ด้านหน้าอนามัยแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนทันที สยุมภูว์ แวว และหลินยืนกระวนกระวายรอหมออยู่ที่หน้าห้องตรวจ
“หลิน...อาเหมยล่ะ..อาเหมยเป็นไงมั่ง” อาฟงถาม
หลินอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะบอกยังไง อาฟงยิ่งเป็นกังวล สักพักหมอก็เปิดประตูออกมา ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่หมอทันที
อาฟงชิงถาม “หมอ..อาเหมยเป็นยังไงบ้าง”
หมอตอบหน้าเครียด “เรารู้แต่ว่าเป็นงูพิษ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นงูแมวเซาหรืองูกะปะ ขอผมคอนเฟิร์มจากกรุงเทพก่อนนะครับ”
อาฟงร้อนใจ “มัวแต่โฟมเฟิร์มอะไรกัน เดี๋ยวเหมยมันก็ตายพอดี จะฉีดอะไรก็ฉีดไปเหอะ”
หลินเข้าไปปลอบใจอาฟง พยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับแฟกซ์แผ่นหนึ่ง
“คุณหมอคะ ผลมาแล้วค่ะ”
หมอรับแฟ็กซ์มาดูด้วยสีหน้าพอใจ

แววเห็นอาฟงนั่งรออยู่ทีมุมหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจเอาคัมภีร์ชาไปคืนให้อาฟงด้วยตัวเอง อาฟงรับคืนมาโดยไม่มองหน้าแวว
แววยกมือไหว้ “แววขอโทษด้วยนะคะ ที่เป็นต้นเหตุให้เหมยต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้”
“เอาเถอะ...ยังไงเหมยก็ปลอดภัยแล้ว...โดนกับตัวเองอย่างนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเถียงกับอาฟงอีกว่าคำสาปมันมีจริงมั้ย” อาฟงยิ้มกริ่ม
“ถึงจะได้สูตรยามา แต่เราคงไม่รู้วิธีใช้ได้ดีเท่าอาฟงนะคะ” แววบอก
“ถ้าจะให้ช่วยอีก ก็เสียใจด้วยนะ..ไปคลำต่อกันเองก็แล้วกัน” อาฟงบอกปัด
แววกำลังจะขอร้องต่อ แต่พยาบาลเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“หมออนุญาตให้เยี่ยมได้แล้วค่ะ”
อาฟงดีใจรีบเดินตามพยาบาลไป ในขณะที่แววยังรู้สึกผิดไม่หาย

ทุกคนเข้ามาดูอาการเหมยในห้องพยาบาล
“ให้คนไข้นอนพักที่อนามัยสักวันสองวันนะครับ ถึงอาการไม่น่าห่วงแล้วแต่ก็ยังต้องระวังอาการตกเลือดอยู่” หมอบอก
“ขอบคุณหมอมากนะครับ ถ้าไม่ได้หมอ ลูกสาวผมจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ลูกผัวก็ยังไม่มี”
หมอพูดอย่างผ่อนคลาย “เรื่องลูกเรื่องผัวหมอช่วยไม่ได้นะครับ ถ้าจะขอบคุณ..คุณต้องขอบคุณคนที่พาคนไข้มาส่งด้วย ถ้าไม่ได้คุณคนนี้” หมอหันไปทางแวว “ช่วยยืนยันว่าเป็นงูกะปะกัดคนไข้ ก็คงใช้เวลามากกว่านี้”
อาฟงหันไปหาแววแล้วนิ่งไป เหมยเห็นอาการมึนตึงของอาฟงก็เลยแซวพ่อตัวเองออกมา
“ป๊าเขาไม่ยอมขอบคุณใครง่ายๆหรอกค่ะหมอ”
“พูดมาก...ดีนะสาปแช่งไว้เบาๆ” อาฟงบอก
“คำสาปอะไรของป๊า เหมยไม่เชื่อหรอก..ก็แค่อุบัติเหตุ”
“ตามใจ..ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ”
สยุมภูว์กำลังจะเข้าไปเยี่ยมเหมยแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอาฟง สยุมภูว์จึงยืนฟังที่หน้าห้อง
เหมยยังคงเถียงกับอาฟงต่อ
“ป๊าไม่ขอบใจคุณแววที่ช่วยเหมย งั้นเหมยจะตอบแทนพี่แววเอง หายดีเมื่อไร เหมยจะมาช่วยพี่แววที่ไร่”
“เด็กดื้อ เอ๊ย...” อาฟงถอนใจยาว “ก็ได้ ป๊ามาช่วยงานที่ไร่ก็ได้ นี่..เห็นแก่คุณแววที่ช่วยแกไว้นะ”
สยุมภูว์ได้ยินอาฟงพูดเช่นนั้นก็ยิ้มออก

อาฟงยืนคุมลูกน้องในไร่ชาของทศพล ลูกน้องเหล่านั้นกำลังผสมสมุนไพรในถังใบใหญ่แล้วแบ่งบรรจุใส่ที่ฉีดยาฆ่าแมลงให้คนงานไปฉีดที่ต้นชา
เวลาผ่านไป ชาวเขากลุ่มใหญ่ช่วยกันฉีดยาตามไร่ชาอยู่ สยุมภูว์เดินเข้ามาหาอาฟง
“ขอบคุณมากนะ อาฟง” สยุมภูว์เอ่ย
อาฟงยังคงปากแข็ง “ที่มาช่วยเนี่ย ก็เพราะแววหรอกนะ ไม่ใช่เพราะคุณไปขอร้อง”
“แล้วถ้าผมจะขอร้องให้อาฟงกลับมาช่วยงานที่นี่อีกล่ะครับ” สยุมภูว์ถาม อาฟงนิ่งคิด “ถ้าไม่อยากให้ผมไปง้ออีก...ก็ตกลงเลยสิครับ”
อาฟรีบตอบ “ไม่ใจอ่อนหรอก”
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะตามไปชิมชาที่บ้านอาฟงบ่อยๆนะ จนกว่าอาฟงจะใจอ่อน” สยุมภูว์พูด
อาฟงทำเป็นไม่สนใจเพราะอยากให้สยุมภูว์ง้ออีก แต่เมื่อเห็นว่าสยุมภูว์เงียบไป เขาเลยหันมามอง แต่ก็พบว่าสยุมภูว์หายไปแล้ว
“เหมือนกันทั้งพ่อ ทั้งลูก” อาฟงรำพึงเบาๆ

เวลาผ่านไป สยุมภูว์ยิ้มออกมาเมื่อเห็นยอดชางอกใหม่ แวว หลิน และเหมยช่วยคนงานเก็บใบชาที่งอกขึ้นมาเต็มหุบเขา คนงานเกลี่ยชาใส่กระด้งตากชาแล้วขนกระด้งที่บรรจุใบชาแห้งแล้วออกมาใส่เครื่องคั่ว อาฟงตรวจเช็คคุณภาพชา คนงานขนชาใส่กล่องที่ติดตราไร่ทศพลไปกองซ้อนกันจนเต็มโกดัง ขณะที่คนงานบางส่วนทยอยขนขึ้นรถที่มีตราไร่ทศพลแล้วขับออกไป

แววนั่งนึกทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะเขียนข้อความลงในสมุดบันทึก

แววนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต...
แววพาอาฟงเดินมาที่ต้นไม้ของสีหราช
“นี่ล่ะค่ะ ต้นไม้ที่เลขาอย่างแววต้องดูแล”
อาฟงเดินเข้าไปจับต้นไม้เหมือนรู้จักมันมานาน
“ไม่น่าเชื่อ ว่ามันยังอยู่” อาฟงรำพึง
“ค่ะ...แล้วแววก็มีหน้าที่ดูแลให้มันแข็งแรงอย่างนี้ต่อไป เสียดายนะคะที่มันออกดอกออกลูกไม่ได้แล้ว แววอยากเห็นจังเลยค่ะว่ามันจะหน้าตาเป็นยังไง”
อาฟงมองต้นไม้อย่างวิเคราะห์ “แล้วถ้าอาฟงบอกว่ามันยังออกดอกได้อยู่ล่ะ”
“อาฟงมีปุ๋ยที่จะทำให้มันออกดอกได้หรือคะ” แววถาม
อาฟงตอบทันที “ไม่มีหรอก”
“อ้าว..ไม่ใส่ปุ๋ยแล้วมันจะออกดอกได้ยังไงล่ะค่ะ” แววสงสัย
“ถ้าความรักทำให้มันยืนต้นมาได้จนถึงวันนี้ แล้วหนูคิดว่าความรักจะทำให้มันออกดอกได้อีกครั้งมั้ยล่ะ” อาฟงถาม
แววยิ้มกว้าง “งั้น...เราคงต้องลองดูใช่ไหมคะ”....

หลังจากนึกถึงเหตุการณ์นั้น แววก็นั่งวาดรูปต้นไม้อยู่ที่เดิมด้วยสีหน้ามีความสุข สักพักเธอเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ที่ต้นไม้ แววย่องเข้าไปจะตะปบแต่ก็มีมือใครบางคนมาตะปบตัดหน้า
“ส่งมือมาสิ...” สยุมภูว์บอก
แววเอามือไปประกบมือสยุมภูว์ แต่สยุมภูว์ยังไม่ยอมปล่อยมือออก
“นายก็ปล่อยมือออกสิ” แววบอก
สยุมภูว์ยังไม่ยอมปล่อยมือ แววทำหน้าเคืองๆ สยุมภูว์เลยค่อยๆ ปล่อยมือออกช้าๆให้ผีเสื้อไปอยู่ในมือแวว แววแบมือออกเห็นผีเสื้อเกาะอยู่ที่มือเธอก็ยิ้มออก สยุมภูว์เห็นรอยยิ้มของแววก็ยิ้มตาม สักพักผีเสื้อก็บินหายไป
สยุมภูว์แซว “ทีหลังใช้ลิ้นจับก็ได้นะคุณ”
แววเอาสมุดตี “บ้าสิ..ฉันไม่ใช่กิ้งก่านะ”
“ผมหมายถึงอึ่งอ่างน่ะ” สยุมภูว์บอก
แววตีซ้ำ “นั่นมันนาย”
“เอะอะก็ใช้กำลัง คุณจะพูดดีๆกับผมบ้างไม่ได้หรือไง” สยุมภูว์หันไปเห็นนิติภูมิ “หรือว่าพูดดีกับคนบางคน”
นิติภูมิเดินเข้ามาหาแวว แววทักทายด้วยเสียงอ่อนหวานกว่าปกติเพื่อเย้ยสยุมภูว์
“คุณนิติภูมิ..มีนัดกับคุณสยุมภูว์เหรอคะ เดี๋ยวแววพาไปหา”
สยุมภูว์หมั่นไส้ทั้งที่รู้ว่าแววแกล้ง แววยัดสมุดบันทึกให้สยุมภูว์
“ฝากไว้ก่อนนะ ขอไปทำหน้าที่เลขาก่อน” แววพูดกับนิติภูมิ “ไปกันค่ะ แววพร้อมแล้ว”
แววเดินนำนิติภูมิออกไป สยุมภูว์มองตามแล้วเอ่ยขึ้น
“ไปหานำพล...จะคุยเรื่องอะไรกันนะ”

แววพานิติภูมิเดินเข้ามาที่แปลงไม้ดอกกางมุ้ง
“เช้าๆอย่างนี้ คุณสยุมภูว์จะมาตรวจงานเป็นประจำก่อนเข้าออฟฟิศน่ะค่ะ...ถ้าอยากเจอก็ต้องมาหาที่นี่” แววบอก
นิติภูมิยิ้มอย่างมีแผนแต่แววไม่เห็น แววเดินมาหาหัวหน้าคนงานที่ดูแลลูกน้องอยู่
“คุณสยุมภูว์ล่ะคะพี่” แววถาม
หัวหน้าคนงานตอบ “เพิ่งกลับไปเมื่อกี้เองครับ”
“งั้นก็คงกลับไปที่สำนักงานแล้วสิ”
“เอ...เห็นบอกว่าจะเข้าไปทำธุระที่ธนาคารในเมืองนะครับ” หัวหน้าคนงานพูดต่อ
นิติภูมินิ่งคิดสักพัก “ไม่เป็นไรครับคุณแวว ผมนัดคุยกับคุณสยุมภูว์ในเมืองก็ได้”
“งั้น..เดี๋ยวแววโทรนัดให้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
นิติภูมิยิ้มอย่างมีแผน

นำพลกับนิติภูมิเดินออกมาจากร้านกาแฟ ทั้งสองเดินแยกออกไปโดยที่ศักดาจับตามองอยู่ตลอด เสียงโทรศัพท์ของศักดาดังขึ้น ศักดารับโทรศัพท์ที่นิติภูมิโทรเข้ามาทันที
“ออกจากที่นี่แล้วมันจะกลับไปที่ไร่ แกมีเวลาหนึ่งชั่วโมงที่จะจัดการมัน” นิติภูมิสั่ง
“ครับ คุณนิติภูมิ”
“จัดการให้เรียบร้อยนะ ฉันจะไปรอฟังข่าวดีที่โรงแรม”
นิติภูมิวางสาย ศักดาตามนำพลไปทันที

รถของนำพลวิ่งไปบนถนน โดยมีรถคันหนึ่งขับตามมาห่างๆ นำพลมองที่กระจกมองหลังซึ่งเห็นว่ามีรถคันหนึ่งทิ้งระยะอยู่ห่างๆ แต่เขาไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไร
นำพลจอดรถรอสัญญาณไฟที่สี่แยกไฟแดง รถของศักดาเข้ามาเสียบระหว่างรถของนำพลกับรถที่ขับตามมาตั้งแต่แรก รถคันที่ถูกเบียดกดแตรเสียงดัง นำพลหันกลับไปมอง
คนขับรถคันที่ถูกเบียดเคาะกระจกรถของศักดา ศักดาเลื่อนกระจกลง เมื่อเห็นปืนบนตักของศักดา คนขับรถคันนั้นก็เดินกลับไปที่รถตามเดิม ศักดาเลื่อนกระจกรถขึ้นปิดตามเดิม
นำพงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านกระจกมองหลังแต่ไม่ได้สนใจ สักพักรถของศักดาก็เลื่อนขึ้นมาประกบรถของนำพล นำพลหันไปมอง แต่รถศักดาติดฟิล์มดำจนมองไม่เห็นว่าใครเป็นคนขับ
ศักดาเห็นว่านำพลมองมาทางตัวเอง เขาเลื่อนกระจกรถลงแล้วยกปืนเล็งไปที่นำพล แต่ยังไม่ทันลั่นกระสุน รถของนำพลก็เลื่อนออกไปเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว ศักดารีบออกรถตามไปทันที

นำพลมองกระจกมองหลังอีกครั้ง ทีนี้เขาเริ่มรู้สึกผิดสังเกตจึงเร่งเครื่องฉีกออกมา นำพลเห็นว่ารถที่ขับตามมาเร่งเครื่องตาม เขาต้องการเช็คให้แน่ใจว่าถูกตาม
ป้ายบอกทางไปไร่ทศพลตั้งอยู่ที่ทางแยก รถของนำพลฉีกไปอีกทาง ศักดาเร่งเครื่องตามไปติดๆ นำพลรีบต่อสายถึงเพิ่มพงษ์ทันที
“ผมถูกตามอย่างที่คุณเตือนจริงๆด้วยครับ คุณเพิ่มพงษ์”

เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ นำพลคุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านเดียวกันแต่คนละมุม
“ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้นะ แต่คุณระวังตัวหน่อยก็ดี” เพิ่มพงษ์เตือน
“ที่คุณสยุมภูว์ต้องปิดบังตัวเองก็เพราะกลัวถูกตามใช่มั้ยครับ” นำพลถาม
“ก็ทำนองนั้นครับ”
“ใครครับที่จะทำร้ายคุณสยุมภูว์” นำพลถามต่อ
นิติภูมิเดินเข้ามาในร้านกาแฟพอดี แต่ไม่ได้มองมาทางเพิ่มพงษ์
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าใคร” เพิ่มพงษ์บอก
เพิ่มพงษ์วางสายแล้วจับตาดูนำพลคุยกับนิติภูมิอย่างไม่วางตา

เหตุการณ์ปัจจุบัน นำพลยังคงคุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์อยู่
เพิ่มพงษ์ถาม “คุณเห็นหน้ามันหรือเปล่า”
“ไม่เห็นครับ...รถคันนั้นมันติดฟิล์มดำ”
“มีทางไหนที่คุณจะเห็นหน้ามันชัดๆบ้างไหม” เพิ่มพงษ์ถาม
นำพลมองไปยังถนนข้างหน้า เขาเห็นถังน้ำมันและเครื่องมือซ่อมถนน เขามองไปที่กระจกมองหลังก็เห็นว่ารถศักดาตามมาติดๆ
“ผมจะลองดูครับ” นำพลตัดสาย “เอาวะ !”
นำพลเหยียบคันเร่งทำเหมือนจะพุ่งชนไม้กั้น แต่ก่อนจะถึงไม้กั้นเพียงไม่กี่เมตร เขารีบหักเลี้ยวออกทางเบี่ยงในระยะประชิด

ศักดาเห็นท้ายรถของนำพลเบี่ยงหลบไป แล้วเขาก็เห็นถังน้ำมันตั้งอยู่ตรงหน้า ศักดาเกือบเหยียบเบรคไม่ทัน รถของศักดาจ่ออยู่กับถังน้ำมันพอดี ศักดาจอดนิ่งสักพักแล้วจึงถอยออกแล้วตามนำพลต่อไป

นำพลจอดรถรออยู่กลางถนนในทิศทางตรงข้ามกับรถของศักดาที่กำลังขับพุ่งตรงมา ศักดาเห็นรถของนำพลจอดอยู่กลางถนน สักพักรถของนำพลก็พุ่งตรงมาหาเขา ศักดาเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าหานำพลเช่นกัน รถทั้งสองคันกำลังจะพุ่งเข้าชนกัน
นำพลจ้องเขม็งไปที่คนขับ ภาพของศักดาชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะที่รถทั้งสองคันกำลังจะพุ่งชนกัน เมื่อนำพลเห็นหน้าศักดาอย่างชัดเจน เขาก็หักหลบไปอีกทางขณะที่รถสองคันเกือบจะประสานงากันอย่างหวุดหวิด
ศักดามองที่กระจกมองหลังแล้วเห็นว่ารถของนำพลพุ่งหายไปด้วยความเร็ว ศักดาเจ็บใจที่ขับตามไม่ทัน

รถของนำพลขับผ่านป้ายบอกทางไปไร่ทศพล นำพลโทรศัพท์หาเพิ่มพงษ์อีกครั้ง
“ผมเห็นหน้ามันแล้วครับคุณเพิ่มพงษ์” นำพลบอก
“ดีมาก...ผมจะส่งรูปคนคนหนึ่งให้คนดู คุณช่วยยืนยันด้วยว่ามันเป็นคนเดียวกับที่ขับรถไล่คุณ”
“ครับคุณเพิ่มพงษ์...ถึงไร่แล้วผมจะรีบเปิดดู”
นำพลวางสายแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในไร่ เพิ่มพงษ์โหลดรูปศักดาส่งให้นำพล

สยุมภูว์เดินออกมายืนดูรูปสีน้ำมันที่แววเขียนค้างไว้ที่ระเบียงบ้าน
“คุณจะวาดต่อให้เสร็จมั้ยเนี่ย” สยุมภูว์เอ่ยถาม
“แน่นอน..เมื่อมีเวลาน่ะนะ” แววตอบ
“ผมก็ไม่เห็นคุณยุ่งสักหน่อย”
“ชั้นยังพูดไม่จบ...ฉันจะวาดรูปก็ต่อเมื่อมีเวลาและอารมณ์จะวาดน่ะ” แววบอก
“ลืมไปว่าคุณเป็นศิลปินที่บังเอิญต้องมาเป็นเลขา เป็นคนสวน เป็น...”
“แล้วคุณล่ะ..คุณเป็นคนสวนอย่างเดียวหรือเป็นอย่างอื่นด้วย”
“เป็นคนสวนอย่างเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้วล่ะ”
แววส่งสายตาเหมือนไม่เชื่อในคำพูดของสยุมภูว์ สยุมภูว์ทำเป็นอึ้งเหมือนถูกจับได้
สยุมภูว์พูดจริงจัง “ถึงเวลา..ที่ผมต้องสารภาพแล้วสินะ”
“อย่าบอกนะว่าคุณคือ...” แววรอฟังคำสารภาพ
สยุมภูว์ยิ้มแล้วพูดเน้นทีละคำ “คน...ที่..คุณ...รัก...ที่..สุด”
แววเหวอไป ก่อนจะหยิบพู่กันที่อยู่ใกล้มือจิ้มตาสยุมภูว์ สยุมภูว์ถอยหนีไปเตะขาหยั่งรูปล้มลง
แววตกใจ “รูปฉัน…!”
แววเข้าไปคว้าไว้แล้วเสียหลักล้มไปทางสยุมภูว์ สยุมภูว์รับตัวแววจนทั้งสองล้มไปพร้อมกันไปบนม้านั่งใกล้บริเวณนั้น สยุมภูว์กับแววประสานสายตากัน ตงตงเข้ามาเห็นพอดีแล้วก็ยิ้มออกมา
“พี่สองคน...ทำอะไรกันน่ะ”
สยุมภูว์กับแววรู้สึกตัวจึงหันไปมองตงตงแล้วมองหน้ากันและกัน แววรีบผละออกมา สยุมภูว์ก็รีบยืนขึ้น ทั้งสองยิ้มให้ตงตง
แววถามแก้เก้อ “มีอะไรหรือเปล่าตงตง”
“คุณสยุมภูว์ให้มาตามพี่จักรไปที่สำนักงานครับ” ตงตงบอก
สยุมภูว์งง “มาตามพี่...เรื่องอะไรน่ะ”
“ไม่รู้สิ...หน้าเครียดๆด้วยนะ”
แววเป็นห่วง “ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“คุณสยุมภูว์อยากเจอพี่จักรคนเดียวล่ะ...พี่แวว” ตงตงบอก
สยุมภูว์กับแววมองหน้ากัน เพราะไม่รู้ว่านำพลจะคุยเรื่องอะไร แววมีสีหน้าเป็นห่วงสยุมภูว์ขึ้นมา

สยุมภูว์มานั่งฟังนำพลเล่าเรื่องที่ถูกสะกดรอยตามอยู่ในห้องทำงานของเขา ขณะที่คลิปวีดีโอที่สยุมภูว์ถ่ายมาก็เล่นอยู่ที่หน้าจอ
“พอผมเปิดคลิปที่คุณเพิ่มพงษ์ส่งมาให้ดู ผมก็จำได้ทันทีเลยครับว่าเป็นคนที่ขับรถไล่ผมเมื่อกี้แน่ๆ” นำพลยืนยัน
“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่มีเรื่องกับใครที่นี่” สยุมภูว์ถาม
“แน่ใจครับคุณสยุมภูว์”
“ถ้าอย่างนั้นเป้าของมันคือสยุมภูว์...ไม่ใช่นำพล มันคงจะพยายามกำจัดผม หลังจากที่เคยล้มเหลวมาแล้ว”
นำพลเห็นว่ามีนิติภูมิอยู่ในคลิปด้วยจึงเอ่ยถาม
“คุณนิติภูมิเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”
“เราไม่ได้ยินว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร มันก็ยากที่จะสรุปว่าเขามีส่วนด้วยหรือเปล่า” สยุมภูว์บอก
“ถ้าเป็นผมก็คงสรุปไปแล้วล่ะครับ”
“แต่ยังไงผมว่ามันไม่เลิกพยายามแน่ๆ ปิดจ๊อบไม่ได้..มันก็ยิ่งต้องพยายาม คุณต้องระวังตัวให้มากนะคุณนำพล”
“แล้วถ้าเราใช้ความพยายามของมันให้เป็นประโยชน์ล่ะครับ” นำพลถาม
สยุมภูว์งง “คุณหมายความว่ายังไง”
“ในเมื่อมันต้องมาตามฆ่าผมแน่ๆ ผมก็ใช้โอกาสนี้ตลบหลังมันเพื่อลากคอคนบงการออกมาให้ได้ คุณสยุมภูว์คิดว่าแผนการนี้จะได้ผลมั้ยครับ”
“นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะคุณนำพล ไม่ใช่เรื่องสนุก” สยุมภูว์ท้วง
“ผมเชื่อว่าผมจัดการมันได้ครับ”
สยุมภูว์ไม่ตอบอะไรแต่นำพลมีสีหน้ามั่นใจสุดๆ

นิติภูมิก้าวลงจากรถที่จอดอยู่ที่ถนนสายเปลี่ยว เขากระแทกประตูปิดเสียงดังแล้วเดินตรงไปหาศักดาที่ยืนรออยู่
“ถ้ามันโผล่ออกมายิงหัวแกตอนนี้ ฉันก็จะไม่แปลกใจเลย แกทำได้อย่างเดียวคือกลับกรุงเทพให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนั้นมันจะตามแกเจอแล้วก็สาวมาถึงฉัน” นิติภูมิสั่ง
“แล้วถ้าเราฉวยโอกาสตอนที่มันยังไม่ได้ตั้งตัวล่ะครับ”
“หมายความว่าไง”
“ถ้าผมเข้าไปที่ไร่ทศพลได้..”
ศักดาไม่พูดต่อ นิติภูมิเข้าใจได้ทันทีว่าศักดาหมายถึงอะไร

แววเดินไปเดินมาเพื่อรอการกลับมาของสยุมภูว์ ตงตงนั่งท้าคางมองแววแล้วจึงเอ่ยออกมา
“พี่แววเครียดแทนพี่จักรมากไปหรือเปล่าเนี่ย”
แววปฏิเสธ “ใครเครียด..พี่ไม่ได้เครียดสักหน่อย”
“พี่แววเป็นห่วงพี่จักรก็บอกมาตรงๆเถอะน่า คิดว่าเด็กไม่รู้เหรอ ดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ”
“ก็ได้..เป็นห่วง” แววยอมรับ
ตงตงยิ้ม “ถ้าพี่จักรรู้ต้องยิ้มออกแน่ๆ”
“สมกับเป็นลูกสมุนจริง จริ๊ง...ไม่ต้องรายงานเจ้านายเราทุกเรื่องหรอกนะ ตงตง”
สยุมภูว์ทำหน้าเครียดเดินกลับมา แววเห็นก็ถามขึ้นทันที
“มันแย่มากเลยเหรอ” แววถาม สยุมภูว์พยักหน้า แววถามต่อ “เครียดจนพูดไม่ออกเลยสิ นายบอกฉันได้นะว่าเรื่องอะไร”
สยุมภูว์ส่ายหน้าแล้วมองหน้าแวว แววส่งสายตาเป็นห่วง
“คุณเป็นห่วงผมเหรอ” สยุมภูว์ถาม
แววอึกอัก “เปล่า”
“แต่สายตาคุณบอก”
“มั่วแล้ว.” แววรีบเปลี่ยนเสียงทันที “ตกลงจะบอกไม่บอกว่าเรื่องอะไร”
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะห่วงกันจริงๆ แค่อยากรู้อยากเห็นใช่มั้ยเนี่ย”
แววเริ่มหมั่นไส้ “ฉันไม่อยากรู้แล้ว” พูดจบแววก็เดินออกไป
“เอะอะก็เดินหนี” สยุมภูว์หันไปหาตงตง “เนอะ...ตงตง...เนอะ”
ตงตงกระซิบ “พี่จักรจะไม่ตามไปง้อเหรอ”
“ไม่ไปได้ไง”
พูดจบสยุมภูว์ก็เดินตามแววออกไป

คำรพขับรถมาจอดที่หน้าออฟฟิศของเอกรินทร์ วัณณรีจะลงจากรถแต่ถูกคำรพคว้ามือเอาไว้ วัณณรีชักมือออกไม่ทันเลยต้องยอมให้คำรพกุมมือ
“พี่คำรพไม่อยากให้หนูวัณไปทำงานเลยรู้มั้ยอ่ะ” คำรพทำเสียงอ้อน
วัณณรีพยายามดึงมือออก แต่ยังทำไม่ได้ “เย็นนี้ค่อยเจอกันนะคะ”
“ไม่เอา...ยังไม่ให้ไป ต้องจุ๊บพี่คำรพก่อน”
วัณณรีพูดเสียงเข้ม “จุ๊บก็ได้ แต่เย็นนี้ไม่ต้องมารับ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาส่ง...เลิกคบ”
“โธ่..หนูวัณ พี่คำรพจะอกแตกตายแล้วรู้มั้ย”
คำรพหน้ามืดโถมตัวเข้าใส่วัณณรี วัณณรีกระชากมือออกอย่างแรงแล้วจะเปิดประตูรถ แต่เปิดไม่ได้ คำรพจะจู่โจมอีกครั้ง วัณณรีรีบเอากระเป๋ายันหน้าคำรพไว้
“คุณคำรพ...หยุดนะ ...ฟังกันบ้างสิ !”
คำรพมีท่าที่อ่อนลง วัณณรีขยับถอยห่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
วัณณรีดุ “เย็นนี้ไม่ต้องมารับวัณ..นี่คือการลงโทษ เข้าใจมั้ยคะ”
“พี่คำรพขอโทษนะ...ให้พี่มารับเถอะนะ...นะ”
“บอกว่าไม่ก็ไม่...เปิดประตู วัณจะไปทำงาน”
คำรพไม่ยอมเปิด วัณณรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“หนูวัณ..ทำอะไรน่ะ” คำรพถาม
“โทรให้พี่ตากล้องที่ออฟฟิศมาถ่ายคนบ้ากามน่ะสิ วัณจะเอาไปออกข่าวประจานให้รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองเลย”
“เฮ้ย..ไม่เอาน่าหนูวัณ พี่คำรพแกล้งเล่นๆนะ หนูวัณนะ”
“วัณไม่สนุกนี่คะ...จะเปิดไม่เปิด...วัณโทรจริงนะ”
คำรพยอมปลดล็อคให้ วัณณรีรีบออกไปจากรถแล้วเดินเข้าตึกโดยไม่หันมามองเลย
“สงสัยจะโกรธจริงนะเนี่ย...แต่..ยิ่งโกรธ ยิ่งน่ารักนะ” เสียงโทรศัพท์ของคำรพดังขึ้น คำรพกดรับ “ว่าไง ได้เรื่องไหม” คำรพยิ้ม “ดีมาก..ไร้สีไร้กลิ่นด้วย..งั้นก็สั่งมาเลย...ชั้นอยากจะเผด็จศึกหนูวัณเต็มทีแล้ว”
คำรพยิ้มร้ายๆ แล้ววางหูไป

ประตูลิฟท์เปิดออก วัณณรีจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินเข้ามาทำงาน
“อีตาหัวงูนี่..สงสัยจะหื่นมาตั้งแต่ชาติที่แล้วมั้ง” วัณณรีบ่น
วัณณรีรูดบัตรเข้าไปในออฟฟิศ เธอเห็นแป้งร่ำนั่งอ่านหนังสือรอเอกรินทร์โดยที่ไม่เงยหน้ามองเธอ วัณณรีทำสีหน้าสงสัยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีแผน

วัณณรีเดินมาที่โต๊ะทำงาน เธอเห็นเอกรินทร์นั่งรอเธออยู่
“ไปกินข้าวที่ไหนมา วัณ..สายไปสิบนาทีแล้วนะ” เอกรินทร์ว่า
“พี่เอกมัวแต่รอเช็คบิลวัณ จนลืมคนที่มารอพี่เอกเลยนะคะ”
“ใคร..พี่ไม่ได้นัดใครไว้สักหน่อย” เอกรินทร์งง
“อ๋อ..งั้นวัณก็คงตาฝาดมั้งคะที่เห็นนางแบบคนสวยมานั่งแกร่วรอพี่เอกเลิกงาน”
เอกรินทร์ยิ่งงงหนัก “นางแบบ ?”
เอกรินทร์เดินไปที่หน้าออฟฟิศ วัณณรีมองตามแล้วยิ้มขำ

เอกรินทร์เดินออกมาหาแป้งร่ำ แป้งร่ำเห็นเอกรินทร์ก็รีบเดินไปหา
เอกรินทร์ถาม “คุณมาที่นี่ทำไม”
“ก็วันนี้แป้งไม่มีงานนี่คะ..ใจคอคุณจะให้แป้งเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านคนเดียวเนี่ยนะ” แป้งร่ำตัดพ้อ
“นี่มันไม่ใช่ห้างนะคุณ นึกอยากจะมาเดินเที่ยวก็มา”
“ก็แป้งเหงานี่ น้องสาวคุณก็หนีไปเชียงใหม่ จะให้แป้งอยู่กับใครล่ะ”
“นี่มันที่ทำงานผม..คุณกลับไปก่อนเถอะ”
“แป้งนั่งรอเฉยๆนี่คะ ไม่ได้กวนใครสักหน่อย”
เอกรินทร์ถอนใจยาว “แต่คุณจะทำให้ผมเดือดร้อน เข้าใจมั้ย”
แป้งร่ำหน้าจ๋อย “คุณไล่แป้งเหรอคะ”
“ขอร้องเถอะครับ อย่าทำให้ผมเป็นตัวตลกในสายตาเพื่อนร่วมงานผมเลย”
“แป้งไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นนะคะ”
“งั้นก็กลับไปเถอะครับ...ผมคงไม่ต้องพูดซ้ำนะ”
“คุณทำร้ายจิตใจแป้งมากนะคะ คุณเอก”
แป้งร่ำมีสีหน้าช้ำใจ แต่เอกรินทร์ทำไม่สนใจ เขาเดินไปรูดการ์ดเปิดประตูรอให้แป้งร่ำเดินออกไป แป้งร่ำน้ำตาซึม เธอหยิบแว่นตาดำขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปจากออฟฟิศ เอกรินทร์มองตามแล้วถอนใจยาวอย่างโล่งอก

อ่านต่อหน้าที่ 2 





แววมยุรา ตอนที่ 8 (ต่อ)
นิติภูมินั่งหงุดหงิดอยู่ที่บาร์เหล้าในร้านอาหารกึ่งผับกลางเมืองเชียงใหม่ สักพักไลลาก็เข้ามานั่งข้างๆ
“วันนี้คุณเลขาไม่คุยด้วยหรือคะ หน้าตาไม่ค่อยสบายเลย” ไลลาถาม
บาร์เท็นเดอร์เลื่อนแก้วค็อกเทลให้ไลลาและแก้วเหล้าให้นิติภูมิ นิติภูมิมองแก้วเหล้า
“ไลลาเลี้ยงเองค่ะ” ไลลาบอก
“ขอบคุณครับ กำลังอยากได้อะไรแรงๆพอดี” นิติภูมิบอก
“สงสัยวันนี้จะไม่ใช่วันของคุณนะคะ”
“ก็ทำนองนั้นครับ คุณล่ะ” นิติภูมิถามกลับ
“เราก็คงไม่ต่างกันเท่าไรมั้งคะ…แถมๆไม่มีทีท่าว่าอะไรมันจะดีขึ้นสักอย่าง”
“งั้นเรามาอวยพรให้กันเองดีกว่าครับ” ทั้งสองยกแก้วขึ้นแล้วคล้องแขนกัน
ไลลาพูด “ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันของเราค่ะ”
นิติภูมิกับไลลายิ้มปลอบใจกันเอง


คนงานคนหนึ่งสวมหมวกปิดหน้าเข็นรถใส่ปุ๋ยเข้ามาในมุ้งแปลงดอกไม้ แล้วตรงไปที่นำพลที่กำลังดูแลแปลงดอกไม้อยู่ คนงานช่วยกันตักปุ๋ยใส่ออกจากรถเข็น
นำพลพูดกับคนงานคนหนึ่ง “เดี๋ยวอีกแปลงหนึ่ง ลองอีกสูตรนะ จะได้รู้ว่าปุ๋ยตัวไหนแรงกว่ากัน”
นำพลมองหาคนงานอีกคนที่จะเข็นปุ๋ยเข้ามา
นำพลสั่งคนงานคนเดิม “เราออกไปตามให้หน่อยไป”
คนงานเดินออกไปตามคำสั่งของนำพลสวนกับสยุมภูว์ที่เดินเข้ามามองหาแวว สยุมภูว์เดินเข้าไปหานำพลแล้วกระซิบ
“แววยังไม่มาเหรอคุณนำพล”
“ครับ..คุณสยุมภูว์ วันนี้ผมขอลงปุ๋ยก่อนก็เลยให้เลื่อนตัดดอกไปตอนสายๆครับ”
คนงานอีกคนที่สวมหมวกไอ้โม่งเข็นรถปุ๋ยตรงเข้ามาหานำพลและสยุมภูว์ที่ยืนรออยู่ นำพลหันไปเห็นพอดีจึงส่งเสียงเรียก “เอามาลงตรงนี้นะ”
คนงานคนนั้นเดินตรงมาหานำพลที่ยืนชี้นิ้วบอกตำแหน่งให้เทปุ๋ยอยู่ ขณะเดียวกับที่คนงานอีกสองคนซึ่งสวมไอ้โม่งเช่นกันเดินตามเข้ามา นำพลสังเกตเห็นก็ตะโกนบอก
“อ้าว..จะขนเข้ามาทำไมเยอะแยะ แค่นี้ก็พอแล้ว”
สยุมภูว์รู้สึกแปลกใจ เขามองหน้าคนงานสวมไอ้โม่งที่ยืนอยู่ข้างหน้า แล้วหันไปมองอีกสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาแต่ยังไม่ทันพูดอะไร คนงานคนแรกที่นำพลสั่งให้ออกไปตามเพื่อนก็เข้ามาพอดี
นำพลตะโกนบอก “แกจะเอาปุ๋ยมาถมที่หรือไง สั่งมาทีเดียวเยอะแยะอย่างนี้”
คนงานคนนั้นตอบ “ผมยังไม่ได้สั่งอะไรเลยครับ”
คนงานคนนั้นมองไปที่คนงานสามคนที่สวมหมวกไอ้โม่งอย่างงงๆ สยุมภูว์รู้สึกผิดสังเกตเลยแกล้งเหยียบกระถางแตก คนงานสวมหมวกไอ้โม่งที่อยู่ใกล้ๆ สะดุ้งแล้วล้วงปืนจากข้างหลังออกมาด้วยความตกใจก่อนจะหันปืนมาหาสยุมภูว์ นำพลเห็นเข้าก็ผลักคนงานสวมไอ้โม่งคนนั้นล้มลง จังหวะเดียวกับที่คนงานสวมไอ้โม่งอีกสองคนควักปืนออกมายิงนำพลพอดี นำพลเลยรอดจากวิถีกระสุนอย่างหวุดหวิด
เมื่อเสียงปืนดังขึ้นคนงานที่อยู่แถวนั้นต่างพากันแตกกระเจิงไป บางคนพุ่งเข้าไปแย่งปืนไอ้โม่งอีกสองคนแต่เมื่อถูกยิงขู่ คนงานก็วิ่งกระเจิงออกไปทันที
สยุมภูว์กับนำพลตะลุมบอนกับไอ้โม่งที่จะยิงเขา แต่สุดท้ายสยุมภูว์ก็แย่งปืนมาได้
“ใครเป็นคนสั่งแกมาฆ่าสยุมภูว์ !” สยุมภูว์เอาปืนจ่อ
ไอ้โม่งไปตอบ นำพลเข้าไปดึงหมวกไอ้โม่งออกจนเห็นว่าเป็นลูกน้องของศักดา แต่เขาก็ยังไม่ยอมพูด นำพลจะเข้าไปกระโดดชกแต่มีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด นำพลที่ไม่ทันระวังล้มลง สยุมภูว์เห็นก็เข้าไปพยุงนำพล ลูกน้องศักดาวิ่งหนีออกไป สยุมภูว์ลากนำพลเข้าไปหลบในแปลงดอกไม้ทันที
“ไม่ต้องห่วงผมครับคุณสยุมภูว์” นำพลบอก
“เดี๋ยวผมจะวิ่งล่อมันจนกว่าคุณจะหนีออกไปได้...คุณรู้นะว่าต้องไปทางไหน” สยุมภูว์พูด
ไอ้โม่งสองคนเดินตรงมาหาสยุมภูว์ สยุมภูว์กระโดดหลบข้ามแปลงดอกไม้ ศักดาและลูกน้องกราดยิงเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของสยุมภูว์ สยุมภูว์ยิงโต้ตอบทั้งสามจนกระทั่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆอีก ศักดาและลูกน้องจึงมองหน้ากัน
“แกสองคนไปดูความเรียบร้อยซิ” ศักดาสั่ง
ลูกน้องทั้งสองเดินไปดูตรงที่นำพลใช้เป็นที่ซ่อนตัวแต่ก็ไม่พบใครอยู่บริเวณนั้น ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ แล้วเดินไปหาสยุมภูว์
มุมหนึ่งของมุ้งถูกยกขึ้นและมีรอยเลือดติดอยู่ที่มุ้งบ่งบอกว่ามีคนหนีออกไปทางนั้น ศักดาและลูกน้องสองมองหน้ากัน
ศักดาพูดกับลูกน้อง “ฉันจะตามไอ้สยุมภูว์ไปเอง แกสองคนตามไปจัดการกับไอ้คนงานนั่น”
ศักดาและลูกน้องทั้งสองเดินออกไปจากมุ้ง

สยุมภูว์วิ่งออกมาตะโกนบอกให้คนงานที่ทำงานอยู่หลบไป คนงานต่างพากันวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทาง ลูกน้องศักดาไล่ตามสยุมภูว์มา สยุมภูว์ใช้ต้นไม้เป็นที่กำบังเพื่อยิงตอบโต้กับลูกน้องของศักดา
“แกไม่รอดหรอก ยิงไปก็เปลืองกระสุนเปล่า ๆ” ลูกน้องศักดาตะโกนบอก
ลูกน้องของศักดาเห็นว่าสยุมภูว์เงียบไปก็ค่อยๆย่องออกมาหา สยุมภูว์ที่หลบอยู่หลังต้นไม้รีบกดโทรศัพท์หาเพิ่มพงษ์
“เพิ่มพงษ์..”
ยังไม่ทันพูดจบ ลูกน้องของศักดาก็มายืนตรงหน้าแล้วปัดมือถือกระเด็นตกไปแล้วเล็งปืนมาที่เขา
ลูกน้องศักดายิ้มโหด “แกทำฉันเหนื่อยมากนะ”
ลูกน้องของศักดานั่งลงใกล้ๆสยุมภูว์
“ฉันเสียเวลากับแกมานานพอแล้ว” ลูกน้องของศักดาอีกคนขู่
โทรศัพท์มือถือกลิ้งตกไปอยู่ในบริเวณนั้น

ขณะที่รับโทรศัพท์ของสยุมภูว์ เพิ่มพงษ์กำลังขับรถอยู่ เขาจึงได้ยินเสียงจากโทรศัพท์
เสียงสยุมภูว์ดังขึ้น “แกจะฆ่าฉันทำไม สยุมภูว์ต่างหากที่แกต้องไปฆ่ามัน”
เสียงลูกน้องศักดาดัง “ฉันทำตามคำสั่งของเจ้านาย ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามแก”
เสียงสยุมภูว์ดังขึ้น “เจ้านายแก...ใคร ?”
ไม่มีเสียงตอบแต่เพิ่มพงษ์ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัด
เพิ่มพงษ์ตกใจ “คุณสยุมภูว์ !”
เพิ่มพงษ์ส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เขาเหยียบคันเร่งผ่านป้ายบอกทางเข้าไร่ทศพลไป

ศักดาเดินตามนำพลมา เขาเห็นขาข้างหนึ่งของนำพลโผล่มาจากหลังต้นไม้ ศักดายิ้มแล้วเดินใจเย็นเข้าไป นำพลนั่งพิงต้นไม้อยู่ ศักดาเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วจึงถอดหมวกไอ้โม่งออก
นำพลเห็นก็ตกใจ “แกจริงๆ ด้วย”
“แกรู้จักฉันด้วยเหรอ” ศักดาถาม
“ฉันรู้จักแกมากกว่าที่แกคิด แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าใครสั่งให้แกมาฆ่าฉัน” นำพลบอก
“รู้ตอนนี้มันมีประโยชน์อะไร ยังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี”
ศักดายิ้มอย่างเย็นชาแล้วเล็งปืนไปที่นำพล
“ลาก่อน...สยุมภูว์”
นำพลจ้องหน้าศักดาอย่างไม่กลัว

ลูกน้องของศักดายืนนิ่งไปเมื่อเห็นว่าคนงานสิบกว่าคนในไร่พร้อมปืนโผล่ออกมาจากต้นไม้ ทั้งหมดเล็งปืนมาที่เขาทั้งสองแล้วเดินตรงมาหา
“แกยิงฉัน...แกเละแน่..!” สยุมภูว์บอก
ลูกน้องศักดามองหน้ากันเพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อ สยุมภูว์ขยับลุกขึ้น
“แต่ถ้าแกยอมบอกฉันว่าใครจ้างแกมา ฉันจะไว้ชีวิตแก…มันเป็นใคร” สยุมภูว์ถาม
ลูกน้องคนที่หนึ่งพูด “ฉันไม่บอกแกง่ายๆหรอก”
สยุมภูว์ถามย้ำ “แน่ใจนะ”
คนงานในไร่ขึ้นไกปืนพร้อมกันแล้วตั้งท่าเตรียมยิง
“ไม่บอก..” ลูกน้องคนที่สองยืนยัน
“บอกเหอะ..ข้าขอกกลับไปดูหน้าลูกหน้าเมียเหอะ” ลูกน้องอีกคนแย้ง
ลูกน้องคนแรกจะด่า “ไอ้...!!!”
ลูกน้องอีกคนรีบพูดสวน “ศักดา..ครับ..คนที่จ้างผมมามันชื่อศักดา”
ลูกน้องคนแรกตบกะโหลกลูกน้องอีกคนทันที
“ไอ้ป๊อด...เอ๊ย”
“ศักดา..มันเกี่ยวข้องอะไรกับนิติภูมิหรือเปล่า” สยุมภูว์ถามต่อ
ลูกน้องคนที่ตอบหันไปถามลูกน้องอีกคน “ใครวะ นิติภูมิ”
“กูจะไปรู้ได้ไงเล่า รู้จักแต่ไอ้ศักดานี่แหละ”
ลูกน้องทั้งสองคนทะเลาะกัน สยุมภูว์มองทั้งสองคนและมั่นใจว่าทั้งสองคนไม่รู้เรื่องจริงๆ
“ฉันจะไว้ชีวิตแกสองคน...แกรู้ใช่ไหมว่าถ้าแกเข้ามาที่นี่อีก แกจะเจอะไร” สยุมภูว์ถาม
ลูกน้องศักดามองไปรอบๆตัวเห็นคนงานถือปืนเล็งมาที่ตน แล้วจึงหันไปพยักหน้าให้สยุมภูว์
สยุมภูว์พูดกับคนงาน “พามันออกไปส่งที่ปากทาง”
คนงานปลดปืนลูกน้องศักดามาส่งให้สยุมภูว์แล้วพาตัวทั้งสองคนออกไป หัวหน้าคนงานหันไปคุยกับสยุมภูว์
“คุณปลอดภัยดีนะครับคุณสยุมภูว์”
“ผมไม่เป็นไร...ไปรีบดูคุณนำพลเถอะ หวังว่าจะไม่เป็นไรนะ”
สยุมภูว์รีบเดินนำคนงานออกไป

นำพลจ้องหน้าศักดาอย่างไม่กลัวแล้วยิ้มออกมา ศักดาผงะไปเมื่อเห็นว่ามีคนโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใกล้ๆ พร้อมกับเล็งปืนมาที่เขา
“ฉันตาย..แกก็ตาย..แล้วแกจะเอาเวลาที่ไหนไปดีใจล่ะ” นำพลบอก
“แต่อย่างน้อยเจ้านายฉันก็หมดเสี้ยนหนาม” ศักดาพูด
“เจ้านายแกคงจะแค้นฉันมากสินะ ถึงตามล้างแค้นตั้งแต่ฉันกลับมา...ถ้าฉันตายตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้แกก็คงไม่ต้องเอาชีวิตแกมาแลกชีวิตฉันอย่างวันนี้”
“ฉันไม่ตายไปกับแกหรอก” ศักดาบอก
ศักดาบ้าคลั่งกราดยิงไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างพากันหลบ ศักดาฉวยจังหวะวิ่งหนีไป คนงานวิ่งตามไปไล่ยิงศักดา
กระสุนโดนเข้าที่แขนศักดาแต่เขายังวิ่งหนีไปบนถนนในไร่โดยไม่ทันเห็นรถของเพิ่มพงษ์ที่พุ่งเข้ามา เพิ่มพงษ์เบรครถไม่ทันจึงชนศักดาเต็มแรง ร่างของศักดาเข้ามาปะทะกระจกรถ เพิ่มพงษ์เบรครถแล้วจอดก่อนจะลงมาดูด้วยความตกใจ จังหวะเดียวกับที่คนงานที่ไล่ยิงศักดาวิ่งตามมาพอดี
เพิ่มพงษ์ถามคนงาน “พวกคุณมาทำอะไรแถวนี้..แล้วนำพลล่ะ”
“ผมตามไอ้มือปืนนั่นมาครับ มันวิ่งมาทางนี้” คนงานตอบ
เพิ่มพงษ์ตกใจ “มือปืน !”
เพิ่มพงษ์รีบไปดูหลังรถ แต่ก็ไม่เห็นใครแล้ว
เพิ่มพงษ์เจ็บใจ “โธ่เอ๊ย.. !”
สยุมภูว์กับคนงานที่เหลือตามมาพอดี
“เป็นไง..จับมันได้มั้ย” สยุมภูว์ถาม
“มันหนีไปได้ครับ” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์ถามต่อ “หนีไปทางไหน”
คนงานชี้ไปทางหนึ่ง สยุมภูว์หน้าเสียก่อนจะร้องออกมา
“แวว !!”
สยุมภูว์รีบวิ่งตามไปทันที


แววหอบขาหยั่งสำหรับวาดรูปออกมาที่หน้าบ้าน ตงตงแบกเฟรมผ้าใบและถังใส่อุปกรณ์เพนท์เดินตามมา
“แสงตอนเช้าเป็นแสงที่เหมาะกับการวาดรูปมากที่สุดรู้มั้ย..เพราะฉะนั้นเวลาที่ตงตงอยากจะวาดรูป ก็ต้องตื่นแต่เช้า” แววบอก
ตงตงหาว “ตื่นเช้าขนาดนี้ตงตงคงหลับก่อนรูปเสร็จแน่ๆ”
แววมองหาทำเลก่อนจะตั้งขาหยั่ง ตงตงส่งเฟรมผ้าใบให้แวววาง เธอสอนตงตงกะระยะสำหรับเพ้นท์รูป ตงตงประกบสองมือเป็นกรอบสำหรับเพ้นท์เหมือนเล็งมุมถ่ายรูป
“พี่เข้าไปเอาเก้าอี้ก่อนนะ เล็งไปก่อนล่ะ”
แววเดินเข้าบ้านไป ตงตงเล็งไปเล็งมาสักพักก็ค่อยๆลดมือลงจึงเห็นว่าศักดากำลังมองมาทางตงตง ตงตงเห็นศักดากุมแขนที่โชกเลือดพร้อมกับถือปืนขู่มาทางเขาก็ตกใจสุดๆ

แววเปิดประตูระเบียงออกไปหยิบเก้าอี้พับที่นั่งประจำ เธอมองจากระเบียงบ้านจึงเห็นว่าศักดากำลังเดินเข้ามาหาตงตง
แววตะโกนถาม “ตงตง..ใครน่ะ”
ศักดาเงยหน้าขึ้นมามองเห็นแวว ตงตงฉวยโอกาสวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน ศักดาวิ่งตามมา แววรีบวิ่งลงไปหาตงตงทันที

ตงตงผลักประตูเข้ามา ศักดาวิ่งตามมาติดๆ ตงตงจะปิดประตูแต่ศักดายื้อไว้ ตงตงเลยปล่อยแล้ววิ่งหนีขึ้นบันไดไปชั้นบน จนไปเจอกับแววที่วิ่งลงมาพอดี
“พี่แววหนีเถอะ มันมีปืนด้วย” ตงตงบอก
ทั้งสองจะหนีขึ้นไปชั้นสอง ศักดาวิ่งตามมาทันพอดี
“อย่าทำอะไรเด็กนะ...นายต้องการอะไร ก็เอาไปเลย” แววบอก
ศักดาตวาด “เงียบ !”
แววกับตงตงเงียบตามสั่ง แต่แววแอบดึงตงตงให้ก้าวถอยหลังขึ้นบันไดไปทีละก้าวโดยไม่ให้ศักดาสังเกตเห็น

สยุมภูว์มาถึงหน้าบ้านพักของแวว เขาเห็นว่าขาหยั่งวาดรูปถูกวางทิ้งไว้จึงมองไปที่ประตูบ้านที่ถูกเปิดค้างไว้ สยุมภูว์ค่อยๆย่องเข้ามา เขาเห็นรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าไปในบ้านจึงผลักประตูเข้าไป
“แวว !” สยุมภูว์ตะโกนเรียก

ศักดาได้ยินเสียงสยุมภูว์จึงหันไปดู แววฉวยโอกาสดึงตงตงวิ่งหนีขึ้นไปชั้นสอง ศักดาวิ่งตามไปทันที สยุมภูว์ได้ยินเสียงก็ตามมา เขาเห็นรอยเลือดหายไปบริเวณบันได สยุมภูว์จึงย่องขึ้นบันไดไปทีละขั้น

สยุมภูว์ขึ้นมาที่ชั้นสองจึงเห็นว่าศักดากำลังจับตงตงเป็นตัวประกันอยู่บริเวณระเบียง
“นายอย่าทำอะไรตงตงนะ เด็กเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย” แววร้องขอ
“ถ้าแกไม่แหกปาก แกก็รอดตั้งแต่แรกแล้ว” ศักดาบอก
ศักดาดึงตงตงมาที่ระเบียง สยุมภูว์ถือปืนเดินตามมา
“นายจะทำอะไร” แววถาม
“ปล่อยเด็กเถอะ ฉันจะปล่อยแกไป” สยุมภูว์บอก
“ปล่อยฉัน...งั้นแกก็วางปืนลง” ศักดาต่อรอง
“ฉันจะไว้ใจแกได้ไง” สยุมภูว์ถาม
ศักดาดึงตงตงไปใกล้ระเบียงมากขึ้น
“แกไม่มีสิทธิ์ต่อรอง...วางปืนลง” ศักดาย้ำ
สยุมภูว์วางปืนลง ศักดาเล็งปืนไปที่สยุมภูว์ สยุมภูว์เห็นเก้าอี้พับจึงฉวยจังหวะเหวี่ยงใส่ศักดาให้เขาเสียจังหวะ ศักดาปัดเก้าอี้ สยุมภูว์พุ่งเข้าไปดึงตัวตงตงออกมาได้ ศักดาโกรธจัดยิงใส่สยุมภูว์แล้วกระโดดหนีลงไปจากระเบียง แววตกใจกับภาพที่เห็น เธอเข้าไปดูสยุมภูว์ที่กำลังคร่อมทับร่างของตงตงอยู่
“ตงตง เป็นอะไรหรือเปล่า” แววถาม
สยุมภูว์ลุกขึ้น แววเห็นเลือดเปื้อนอยู่ที่เสื้อตงตง
“เลือด!” แววสำรวจทั้งตัวของตงตง “ตงตงเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ตงตงไม่เป็นไรครับพี่แวว”
แววนึกออกจึงหันไปมองสยุมภูว์ที่กำลังส่งยิ้มให้เธอ แววเห็นแขนเสื้อของสยุมภูว์มีรอยฉีกขาดและมีเลือดซึมออกมา
“จักร..นายโดนยิง”
สยุมภูว์จับที่รอยฉีกขาดนั้นก็พบว่ามีเลือดติดมือมาด้วย แววหน้าเสีย

เพิ่มพงษ์ยืนอยู่ที่สำนักงานเหมือนรอใครบางคน คนงานรวมกลุ่มกันฟังเหตุการณ์ระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้น รถกะบะคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าสำนักงาน คนงานลงมาจากรถ คนงานคนหนึ่งเข้าไปรายงานเหคุการณ์กับเพิ่มพงษ์
“รอยเลือดมันหายไปตรงริมรั้วบ้านพักคุณสยุมภูว์ครับ ดูจากรอยเลือด...ผมว่ามันน่าจะเจ็บเอาการเลยครับคุณเพิ่มพงษ์”
“เจ็บขนาดนั้น ป่านนี้มันก็น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่งน่ะสิ” เพิ่มพงษ์บอก
เพิ่มพงษ์นิ่งคิดแล้วกดโทรศัพท์หาใครบางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ที่โรงพยาบาลในตัวเมือง พยาบาลทำแผลให้สยุมภูว์ ขณะที่สยุมภูว์กำลังคุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับคุณเพิ่มพงษ์ กระสุนถากนิดหน่อย ตอนนี้หมอกำลังผ่ากระสุนให้คุณนำพลอยู่ แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรครับ” สยุมภูว์บอก
“โชคดีไปครับ ผมเห็นคุณนำพลเลือดท่วมขนาดนั้นแล้วจะเป็นลม” เพิ่มพงษ์สารภาพ
“ถ้าคุณนำพลเป็นอะไรมากกว่านี้ผมคงรู้สึกผิดมากที่เขาต้องมารับเคราะห์แทนผม”
“เรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้คุณสยุมภูว์แน่ใจแล้วใช่มั้ยครับว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
สยุมภูว์ถามทันที “ศักดาล่ะ”
“มันหนีไปได้ครับ แต่ผมให้สายตามตัวมันอยู่ น่าจะอยู่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง”
“ขอให้เจอเถอะครับ เราจะได้รู้ตัวไอ้คนบงการ”
“คนบงการ...ผมว่าตอนนี้มันแทบจะชัดเจนอยู่แล้ว”
“คุณเพิ่มพงษ์หมายถึง...”
“คุณนิติภูมิ !” เพิ่มพงษ์ตอบอย่างมั่นใจ
สยุมภูว์มีสีหน้าหนักใจ


แววกับตงตงนั่งรออยู่ที่หน้าห้อง สักพักพยาบาลก็เปิดประตูให้สยุมภูว์เดินออกมาในสภาพที่แขนมีผ้าพันแผลพันอยู่
“พี่จักรเจ็บมากมั้ย” ตงตงถาม
“แผลแค่นิดเดียวเอง หกล้มยังเจ็บกว่าเลย...ตงตงหายตกใจแล้วนะ” สยุมภูว์ถามกลับ
“ตงตงไม่เป็นไรครับพี่จักร”
สยุมภูว์หันไปพูดกับแวว “คุณล่ะ..”
“ห่วงตัวเองเถอะน่า..ฉันว่านายรีบกลับไปพักเถอะ” แววบอก
“ผมขอไปดูให้แน่ใจว่าคุณสยุมภูว์ไม่เป็นไร แล้วผมจะกลับ”
แววเอะใจแต่เก็บความรู้สึก “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันจะดูแลเจ้านายฉันเอง”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อยนะคุณ”
พูดจบสยุมภูว์ก็เดินนำแววออกไป แววสงสัยที่เห็นสยุมภูว์แสดงท่าทางเหมือนเป็นเจ้านายของสยุมภูว์เสียเอง

สยุมภูว์ แวว ตงตง ยืนอยู่ข้างๆเตียงที่นำพลนอนพักอยู่
นำพลพูดกับแวว “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกแวว จ้างพยาบาลมาดูแลจะสะดวกกว่า คุณกลับไปดูแลต้นไม้ให้ผมเถอะ”
“คุณสยุมภูว์ต้องการตำรวจมาดูแลความปลอดภัยไหมคะ” แววถาม
นำพลส่ายหน้า “ผมมีคนของผม”
“แต่สำหรับแวว ผมขอรับอาสานะครับ” สยุมภูว์รีบเสนอตัว
แววแอบศอกใส่สยุมภูว์
“งั้นผมก็สบายใจได้น่ะสินะ” นำพลบอก
ประตูห้องถูกเปิดออก นิติภูมิเดินเข้ามาในห้อง สยุมภูว์กับนำพลหันมามองหน้ากัน
“ตายจริง..แววมัวแต่ตกใจเลยไม่ได้โทรบอก แล้วนี่คุณนิติภูมิทราบได้ยังไงคะว่าเราอยู่กันที่นี่”
“ผมแวะไปที่ไร่น่ะครับ คนที่ไร่เลยบอกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น” นิติภูมิพูดกับนำพล “แต่ดูท่าทางคุณสยุมภูว์แล้ว ผมคงจะตกใจเกินเหตุไปหน่อย”
นำพลถามกลับ “ผมทำให้คุณผิดหวังหรือเปล่าล่ะ”
นิติภูมินิ่งไป นำพลจะหัวเราะออกมา
“เฮ้ย...ผมล้อเล่น คุณอย่าเครียดสิ”
นิติภูมิยิ้มฝืดๆ “ครับ”
สยุมภูว์พูดเสริม “มีอารมณ์ขันหน่อยน่าคุณนิติภูมิ”
สยุมภูว์มองนิติภูมิอย่างจะจับผิด นิติภูมิพยายามซ่อนพิรุธไว้


นิติภูมิออกมาจากห้องพักของนำพลด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างแรง
“หัวเราะไปให้ได้ตลอดเถอะไอ้สยุมภูว์ นรกจะมาเยือนยังไม่รู้ตัว”
เขานึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...

นิติภูมิผงะเมื่อเห็นสภาพของศักดาที่มีผ้าพันแผลที่แขนและรอยช้ำเต็มตัว
“ฉันนึกว่าจะได้เห็นศพไอ้สยุมภูว์ที่ไร่...ไม่นึกว่าจะต้องมาเห็นแกในสภาพนี้” นิติภูมิบอก
“ผมจะไปจัดการให้เรียบร้อยครับ คุณจะได้เห็นศพมันแน่” ศักดาย้ำ
“ในสภาพนี้เนี่ยนะ...ฉันว่าฉันควรจะเป็นคนลงมือเองดีกว่า”

หลังจากนึกถึงเหตุการณ์นั้น นิติภูมิก็มองกลับเข้าไปในห้อง
“แกมีเวลาขำถึงคืนนี้เท่านั้นล่ะ ไอ้สยุมภูว์” นิติภูมิยิ้มเยาะ
แล้วนิติภูมิก็เดินจากไป

อ่านต่อหน้าที่ 3





แววมยุรา ตอนที่ 8 (ต่อ)

ชลธิชาตกแต่งจานขนมอย่างสวยงามเป็นพิเศษ เธอยิ้มพอใจแล้วมองไปที่เอกรินทร์ที่กำลังนั่งคุยกับเริงใจ เอกรินทร์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“รสชาติเป็นยังไงบ้างคะ” เริงใจถาม “ส่งตรงมาจากเอธิโอเปียเชียวนะ”
ชลธิชาเดินเอาจานขนมเข้ามาเสิร์ฟ “อย่าไปเชื่อค่ะ”
“นี่..ตกลงว่าเราสองคนเป็นหุ้นส่วนร้านเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย”
“หุ้นส่วนร้าน..แต่ไม่ร่วมโกหกลูกค้าย่ะ ลองทานขนมก่อนนะคะ..เนี่ย สูตรลับราชสำนักฝรั่งเศสเชียวนะคะ”
เริงใจย้อนกลับ “แน่ใจนะคะว่าไม่ใช่สาลี่สุพรรณ”
เอกรินทร์ยิ้มกว้าง “เมื่อไรคุณสองคนจะตกลงทำรายการกับช่องผมเนี่ย”
“ถ้าตกลงง่ายๆ ก็ดูไม่มีมูลค่าสิคะ” เริงใจบอก
“ยัยเริงเขาเล่นตัวเพราะอยากให้คุณเอกมาง้อเราที่ร้านบ่อยๆต่างหากค่ะ” ชลธิชาเผย
เริงใจค้อนชลธิชา “ไม่ค่อยเลยนะเธอน่ะ...ถึงมันจะจริงบ้างก็เถอะ”
ทันใดนั้นเสียงแป้งร่ำก็ดังขึ้น “มีความสุขจังเลยนะคะ”
ทั้งสามหันไปเห็นว่าแป้งร่ำเพิ่งเดินเข้าร้านมา แป้งร่ำเข้ามานั่งข้างๆ เอกรินทร์โดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว
ชลธิชากับเริงใจมองปฏิกิริยาของเอกรินทร์ที่เริ่มอึดอัด แป้งร่ำหยิบกุญแจบ้านของเอกรินทร์ออกมาแล้ววางไว้ตรงหน้าเอกรินทร์
“แป้งเอากุญแจบ้านคุณมาคืนค่ะ”
เอกรินทร์งง “คุณอยู่จนกว่าไลลาจะกลับมาก็ได้นะ”
“แป้งจะอยู่ทำไมล่ะคะ ในเมื่อคุณเอกไม่กลับบ้านไปให้แป้งดูแล...แล้วอีกอย่างนึง แป้งต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณอึดอัดจนต้องย้ายไปอยู่โรงแรม”
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันแล้วทำหน้าประหลาดใจ แป้งร่ำแสดงสีหน้ารู้สึกผิดกับเอกรินทร์
“อย่าถือสาแป้งนะคะ ที่ผ่านมาแป้งเข้าไปยุ่มย่ามกับคุณเอกมากเกินไป ต่อไปแป้งจะระวังตัวให้มากกว่านี้ค่ะ”
เอกรินทร์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ”
“แป้งดีใจมากเลยนะคะที่คุณเอกเข้าใจแป้ง”
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันแล้วทำท่าทางไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน

ที่บ้านพักของแวว แววเอาน้ำกับขนมมาเสิร์ฟให้สยุมภูว์ สยุมภูว์ยิ้มก่อนจะพูด
“ผมไม่ใช่คนป่วยนะคุณ ไม่ต้องดูแลกันขนาดนี้หรอก”
“ฉันทำให้ นายก็อย่าบ่นได้มั้ย”
“พี่แววเขาอยากตอบแทนพี่จักรบ้างน่ะ” ตงตงเฉลย
สยุมภูว์พูดกับแวว “ตอบแทนผม เรื่องเมื่อเช้าเนี่ยนะ”
“ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ” แววบอก
“โอ้โฮ..ถ้าอย่างนั้นแค่น้ำ ขนมมันไม่พอหรอกมั้ง”
“จะให้ทำอะไรก็ว่ามาสิ”
สยุมภูว์มองไปที่ขาหยั่งเพ้นท์รูป แววมองตามอย่างเข้าใจความต้องการของสยุมภูว์

สยุมภูว์มานั่งนิ่งให้แววสเก็ตช์ภาพอยู่ที่ระเบียง
“เพิ่งรู้นะเนี่ย...ว่านั่งเป็นแบบวาดรูปนี่มันก็ยากเหมือนกัน” สยุมภูว์บ่นอุบ
“อย่าบ่นได้มั้ย คุณขอเองนะ”
สยุมภูว์นั่งนิ่ง แววมองมาที่เขา แล้วสายตาของทั้งสองก็ประสานกัน สยุมภูว์ยิ้มทะเล้นให้ แววทำหน้าดุใส่

เอกรินทร์เก็บกุญแจบ้านใส่กระเป๋า
“ได้กลับบ้านเสียทีนะคะ คุณเอก” ชลธิชาบอก
“แต่ฉันไม่วางใจยังไงก็ไม่รู้ ยัยแป้งเน่าต้องวางแผนซ้อนซ้อนแผนแน่ๆ ยังไงคุณเอกต้องระวังตัวนะคะ” เริงใจเตือน
“ให้ติดเครื่องกันขโมยด้วยดีมั้ยครับ”
“ก็ดีนะคะ” เริงใจหันมาค้อนเอกรินทร์ “หืมม์..ช่างประชดเหมือนกันนะคะคุณน่ะ...เริงว่าวันนี้เราไปฉลองกลับบ้านใหม่ของคุณเอกดีมั้ยคะ”
“ก็ดีนะครับคุณเริง วันนี้ผมจะขอแก้ตัวพาคุณส่งบ้านเอง”
เอกรินทร์ยิ้มอย่างมั่นใจ

เวลาผ่านไป เอกรินทร์นั่งหน้าแดงตาเยิ้มอยู่ในร้านอาหาร ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากัน
“ฉันว่า...เราพาคุณเอกกลับบ้านก่อนดีมั้ย” เริงใจเสนอ
ชลธิชาเห็นด้วย “นั่นสิ ก่อนประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเช็คบิลที่เคาน์เตอร์นะ จะแวะเข้าห้องน้ำด้วย”
เริงใจลุกออกไป ชลธิชานั่งอยู่กับเอกรินทร์สองคน
“แววโทรมาหาคุณบ้างหรือเปล่าครับ คุณธิชา” เอกรินทร์ถาม
“หายเงียบไปเลยค่ะ” ชลธิชานิ่งไป “คุณเอกอยากคุยกับแววหรือคะ”
“ครับ..แต่ผมกลัวว่าแววจะยุ่งก็เลยไม่กล้าโทรหา”
“ลองโทรดูมั้ยคะ...ดึกอย่างนี้คงจะพอคุยได้”
“ดึกอย่างนี้ แววน่าจะนอนแล้วมั้งครับ”
ชลธิชาไม่สนใจ เธอกดโทรศัพท์ต่อไปหาแววแล้วยื่นให้เอกรินทร์ เอกรินทร์ทั้งลุ้นทั้งดีใจระหว่างที่รอให้แววรับสาย ชลธิชาเห็นสีหน้าเอกรินทร์ก็ทั้งดีใจด้วยและทั้งใจหาย

โทรศัพท์มือถือของแวววางอยู่บนโต๊ะ แววเสียบหูฟังฟังเพลงและเพ้นท์รูปให้สยุมภูว์อยู่ เธอสังเกตเห็นว่ามีคนโทรมา เมื่อเห็นเป็นชื่อชลธิชา แววจึงรับสายทันที
“ยัยธิชา...โทรมาดึกดื่นเชียวนะ”
เอกรินทร์พูด “ผมเอง...แวว”
“เอก...อ้าว..นี่..อยู่กับธิชาเหรอ” แววถาม
“ใช่...เราออกมากินข้าวด้วยกัน คุณเริงใจก็มาด้วย”
“เอกมีอะไรจะคุยกับเราหรือเปล่า”
“แววทำงานอยู่เหรอ” เอกรินทร์ถาม
แววมองรูปสยุมภูว์ “ก็ไม่เชิงหรอก แววกำลังเพ้นท์รูปอยู่นะ”
“ต้องเป็นรูปคนสำคัญแน่ๆเลยใช่ไหม ไม่งั้นแววคงไม่อดหลับอดนอนเพ้นท์รูปให้หรอก...เจ้านายแววเหรอ” เอกรินทร์ถาม
“นายจักรไงเอก...ไม่ใช่เจ้านายแววหรอก”
“จักร เพื่อนบ้านแวว”
“ใช่...จักรขึ้นมาที่ไร่แล้วเขาก็ช่วยแววหลายเรื่องเลยล่ะ แววก็เลยเพ้นท์รูปให้เขาเป็นการตอบแทน”
“จักรเขาโชคดีจังเลยนะ”
แววจับน้ำเสียงน้อยใจของเอกรินทร์ได้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอก...แววว่าเราอย่าคุยเรื่องนี้เลย”
“เอกยังรอแววนะ”
“เอก..เราเป็นเพื่อนกันเถอะ”
แววนิ่งไป เอกตัดสาย แววจะเพ้นท์รูปต่อแต่ก็ทำต่อไม่ได้จึงวางมือไป

เอกรินทร์เดินกลับมาที่โต๊ะ แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ชลธิชา
“ขอบคุณมากครับ”
“แวว..ว่าไงบ้างคะ” ชลธิชาถาม
“ไม่ค่อยได้คุยอะไรหรอกครับ แววเขากำลังจะเข้านอน”
เริงใจเดินเข้ามาที่โต๊ะ
“ไปกันเถอะ...”
“ผมขอนั่งต่อนะครับ” เอกรินทร์บอก
เริงใจกับชลธิชามองหน้าเอกรินทร์
“แต่คุณเอก...เมาแล้วนะคะ” ชลธิชาเตือน
“ไม่ต้องห่วงครับ พอดีเครื่องมันเริ่มติด ผมก็เลยอยากสนุกต่อสักหน่อย”“แน่ใจนะคะ” เริงใจถามย้ำ
เอกรินทร์ยิ้มแล้วทำสีหน้ามีความสุขกลบเกลื่อนความเศร้าของตัวเอง

พยาบาลเข้ามาดูแลนำพลที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
“จะให้ปรับเตียงให้มั้ยคะ คุณนำพล” พยาบาลถาม
“ผมขออ่านหนังสืออีกสักพักนะ” นำพลมองไปที่ประตู “การ์ดผมยังอยู่ใช่ไหมครับคุณพยาบาล”
“อยู่ค่ะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวจะเรียกให้”
นำพลนิ่งคิดสักพักแล้ววางหนังสือลง เขามองหน้าพยาบาลเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง

การ์ดคนหนึ่งเปิดประตูห้องน้ำของโรงพยาบาลเข้ามา แต่ก็ไม่เห็นใครในห้องน้ำ
“เฮ้ย..ท้องเสียหรือไงวะ เข้าห้องน้ำซะนานเชียวนะ” การ์ดคนนั้นส่งเสียงถาม
การ์ดเดินมาดูที่ประตูห้องน้ำด้านในก็เห็นว่าเพื่อนการ์ดอีกคนนอนอยู่ที่พื้นห้องน้ำห้องหนึ่ง ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ศักดาที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูก็โผล่มาล็อคคอจากข้างหลังจนการ์ดคนนั้นสลบลง แล้วศักดาก็กดโทรศัพท์หานิติภูมิ
“เรียบร้อยครับคุณนิติภูมิ”
“ดีมาก..แกลงไปรอที่รถข้างล่าง ฉันขอแค่ห้านาที”
นิติภูมิตัดสายไป ศักดาเดินออกไปจากห้องน้ำ

ประตูห้องพักของนำพลเปิดแง้มออกแล้วปิดลง นิติภูมิเดินเข้ามาในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ เขามองไปที่เตียงก็เห็นเหมือนมีคนนอนอยู่ นิติภูมิหยิบหมอนอิงที่โซฟารับแขกแล้วมายืนที่ข้างเตียง
“ไอ้สยุมภูว์...แกทำฉันเสียเวลามามากแล้ว”
นิติภูมิถือหมอนไว้ในมือข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างเอื้อมไปล้วงปืนออกมาเตรียมจะยิงผ่านหมอน จู่ๆไฟในห้องก็สว่างขึ้น นิติภูมิชะงักแล้วหันขวับไปมองจึงเห็นว่าสยุมภูว์กำลังพยุงนำพลออกมาจากห้องน้ำ
เพิ่มพงษ์ร้องทักอย่างตกใจ “คุณนิติภูมิ !”
นิติภูมิหันไปเผชิญหน้ากับสยุมภูว์ที่พานำพลมาพักที่เตียง นิติภูมิซ่อนปืนที่เหน็บอยู่แล้วพยายามข่มอารมณ์เพื่อซ่อนพิรุธ นิติภูมิมองสยุมภูว์
“นี่มันควรจะเป็นหน้าที่ของพยาบาลไม่ใช่เหรอ” นิติภูมิเอ่ยถาม
“ผมมันพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านน่ะครับคุณนิติภูมิ เห็นคุณสยุมภูว์เพิ่งโดนยิงมา ผมเป็นห่วงก็เลยอยากช่วยเป็นหูเป็นตา กลัวคนไม่หวังดีจะกลับมาซ้ำ” สยุมภูว์บอก
นิติภูมิสีหน้าคับแค้นเมื่อถูกสยุมภูว์พูดแทงใจ
“มีธุระอะไรหรือเปล่าคุณนิติภูมิ..เห็นว่าจะกลับกรุงเทพแล้วเหรอ” นำพลถาม
“ครับ…คุณสยุมภูว์ ผมก็เลยมาถือโอกาสมาลาคุณสยุมภุว์ก่อน”
“ฝากความคิดถึงพ่อคุณด้วย เราคงได้เจอกันอีกนะ” นำพลบอก
“ครับ..งั้นผมขอตัวนะครับ” นิติภูมิลา
นิติภูมิเดินออกไป สยุมภูว์กับนำพลมองตามจนนิติภูมิปิดประตูห้อง สยุมภูว์สังเกตเห็นหมอนอิงที่วางอยู่บนเตียงจึงหยิบมาดู
สยุมภูว์ยิ้มๆอย่างรู้ทัน “มันลอยมาจากตรงโน้น” สยุมภูว์ชี้ไปที่โซฟา “..มาตรงนี้” เขาชี้ที่เตียง “ได้ยังไง..ขาดปืนไปอีกอย่างสินะ”
“ไม่มีเหตุผลอื่นที่ดีกว่าการมาซ้ำให้ตายแล้วล่ะครับคุณสยุมภูว์” นำพลบอก
“ทุกอย่างมันลงตัวเป๊ะๆ อย่างนี้ ไม่ต้องหาเหตุผลอื่นมั้งครับ” เพิ่มพงษ์พูด
สยุมภูว์กับนำพลหันไปมองเพิ่มพงษ์ ที่เดินมาสมทบที่เตียง
เพิ่มพงษ์พูดต่อ “ยังไม่รวมการ์ดสองคนที่ถูกทุบอยู่ในห้องน้ำด้วยนะครับ”
“ถ้าคุณเพิ่มพงษ์ไม่ย้ายมาอยู่ข้างห้องตามแผนการ...ผมคงเสร็จไปแล้ว” นำพลบอก
“ถึงเหตุการณ์มันจะเป็นไปตามที่คุณเพิ่มพงษ์บอกทุกอย่าง..แต่เรื่องน่าหนักใจอีกอย่าง ก็คือการทำให้คุณนิติธรเชื่อว่าลูกชายของเขาจะทำอะไรอย่างนี้ได้”
สยุมภูว์พูดด้วยสีหน้าหนักใจ

นิติภูมิขึ้นมานั่งบนรถที่ศักดาสตาร์ทเครื่องรออยู่ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ไปสนามบินเลย ศักดา” นิติภูมิสั่ง
“คุณนิติภูมิคงสบายใจขึ้นแล้วนะครับ ที่จัดการสยุมภูว์ได้” ศักดาพูด
“แกอย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้น ตอนนี้ฉันขออยู่เงียบๆได้มั้ย”
ศักดานิ่งไปแล้วแอบมองนิติภูมิที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่

เวลาผ่านไป นิติภูมิในชุดทำงานลงมาที่โต๊ะอาหารที่นิติธรนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่
“คุณนำพลเขาโทรมาคุยกับพ่อด้วยนะว่าเขาเจอแกที่เชียงใหม่” นิติธรเล่า
“นำพล..นำพลไหนครับ ผมไม่รู้จัก” นิติภูมิงง
“ก็ผู้จัดการไร่ทศพลไง เขาบอกว่าแกไปที่ไร่ แล้วยังไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้อีก”
นิติภูมิวางช้อนด้วยอาการหน้าชา
“นำพล !”
นิติภูมินึกถึงคำพูดของนำพล...

“ผมทำให้คุณผิดหวังหรือเปล่าล่ะ”
นิติภูมินิ่งไป ก่อนที่นำพลจะหัวเราะออกมา
“เฮ้ย...ผมล้อเล่น คุณอย่าเครียดสิ” นำพลพูดต่อ
“ฝากความคิดถึงพ่อคุณด้วย เราคงได้เจอกันอีกนะ” นำพลพูด...

“แกจะไม่เล่าให้ฉันฟังหน่อยเหรอว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ไร่” นิติธรถาม
“มีเรื่องวุ่นวายกันนิดหน่อยน่ะครับ” นิติภูมิตอบ
“ผู้จัดการไร่โดนยิงอย่างนี้ คงไม่นิดหน่อยล่ะ..ไม่น่าเชื่อว่าคนดีๆอย่างนี้ยังมีคนเกลียดได้ลงคอ..พ่อว่าคุณสยุมภูว์คงร้อนใจเรื่องนี้มากแน่ๆ ลูกน้องคนสนิทโดนยิงอย่างนี้”
นิติภูมิลุกออกไปจากโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ นิติธรมองตามแล้วหันไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ นิติภูมิออกไปยืนที่มุมหนึ่งด้วยสีหน้าเจ็บใจสุดๆ
“แกทำฉันแสบมาก ไอ้สยุมภูว์”

รูปเพ้นท์สยุมภูว์ฝีมือแววที่ยังไม่เสร็จดีนักตั้งอยู่ที่ระเบียงบ้านพักของแวว ขณะที่แววนอนหลับที่โซฟา หลินยกโกโก้ร้อนเข้ามาเสิร์ฟก่อนจะปลุกแวว
“คุณแววคะ..คุณแวว”
แววค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่งงัวเงีย
“ท่าทางคุณแววจะนอนดึกนะคะ” หลินบอก
“ค่ะ แววมัวแต่เพ้นท์รูปให้นายจักรน่ะค่ะ” แววบอก
แววขยับจะลุกขึ้น
“จะทำอะไรคะ คุณแวว” หลินถาม
“แววจะยกรูปไปดูที่ระเบียงค่ะ อยากเห็นสีชัดๆ”
“ทานโกโก้ร้อนก่อนนะคะ เดี๋ยวหลินยกไปให้”
หลินยกรูปไปตั้งที่ผนังใกล้ระเบียง แววจิบโกโก้แล้วหันไปดูรูป
หลินพูดกับตัวเอง “แววตาอย่างนี้ ไม่ต่างไปจากคุณสีหราชเลย”
“อะไรนะคะพี่หลิน”
“ไม่มีอะไรค่ะ..แล้วคุณจักรล่ะคะ พี่จะมาขอบคุณคุณจักรเรื่องเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”
“คงจะไปเยี่ยมคุณสยุมภูว์ที่โรงพยาบาลมั้งคะ” แววนึกออก “เมื่อวานตอนที่อยู่โรงพยาบาล เขาเป็นห่วงคุณสยุมภูว์ยังกับว่าตัวเองเป็นเจ้านายยังไงก็ไม่รู้”
หลินยิ้ม “คุณสงสัยอะไรคุณจักรอยู่หรือเปล่า”
แววลุกไปคุยใกล้ๆ “อย่าไปบอกใครนะคะพี่หลิน แววน่ะแอบคิดว่านายจักรอาจจะเป็น...”
หลินทำเป็นคาดเดา “คุณสยุมภูว์”
แววทำตาโต “ใช่ค่ะ”
“แปลว่าคุณสยุมภูว์ที่เรารู้จัก เป็นตัวปลอม” หลินพูดต่อ
“มันอาจจะดูเพ้อเจ้อนะคะ แต่มันมีหลายเรื่องที่ทำให้แววไปคิดอย่างนั้น”
“ไม่หรอกค่ะ”
“พี่หลินก็คิดอย่างนั้นหรือคะ”
“คือ..พี่จะบอกว่า...”
หลินยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงตงตงก็ดังขึ้น “แม่...!”
หลินหันไปหาตงตง “อะไรลูก”
ตงตงเดินเข้ามาในบ้านโดยมีสยุมภูว์เดินตามเข้ามา
“พี่จักรมาแล้ว แม่อยากคุยกับพี่จักรไม่ใช่เหรอ”
สยุมภูว์เดินเข้ามาแล้วยิ้มให้แววกับหลิน เขาเห็นรูปของตัวเองที่แวววาดเสร็จแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ หลินเดินเข้ามาหาสยุมภูว์ แววยังดูรูปนั้นอยู่กับตงตง
“อยากคุยกับผม มีอะไรหรือเปล่าครับ” สยุมภูว์ถาม
“คือ...หลินอยากจะขอบคุณ คุณ...” หลินมองไปที่แวว เห็นว่าแววไม่ได้สนใจตัวเองอยู่ “สยุมภูว์”
สยุมภูว์ยิ้มเพราะเซอร์ไพร้ซ์ “จำได้ด้วยเหรอ นั่นมันนานมาแล้วนะ”
หลินพยักหน้า เธอยิ้มดีใจที่ได้เจอสยุมภูว์อีก ทั้งสองไม่ทันสังเกตว่าแววกำลังจับตาดูอยู่

เอกรินทร์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยท่อนบน สักพักแป้งร่ำที่อยู่ในชุดนอนก็เข้ามานั่งข้างๆเตียง แล้วแกล้งปลุกเอกรินทร์ให้ตื่นจนเอกรินทร์งัวเงียตื่นขึ้นมา เขางงๆเมื่อเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ที่ไหน
“ตื่นแล้วเหรอคะ คุณเอก” แป้งร่ำถาม
เอกรินทร์ได้ยินเสียงแป้งร่ำก็รีบหันไปหา พอเห็นแป้งร่ำในชุดนอนเขาก็ยิ่งช็อค
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
แป้งร่ำลุกขึ้นยืนให้เอกรินทร์ดูว่าเธออยู่ในชุดนอน
“ผู้หญิงในชุดนอน กับผู้ชายที่...”
เอกรินทร์ดูสภาพตัวเองใต้ผ้าห่ม
“ไม่มีอะไรติดตัวอยู่เลย” แป้งร่ำพูดต่อ “อยู่ในห้องนอนด้วยกันสองต่อสองข้ามคืนจนเช้า คุณเอกคิดว่าเขาทำอะไรกันล่ะคะ”
“เฮ้ย...ไม่จริง...!!! เมื่อคืนผมไม่ได้เมาจนจำอะไรไม่ได้นะ” เอกรินทร์บอก
“แล้วจำได้มั้ยคะว่ากลับบ้านมาได้ไง...แล้วใครเป็นคนถอดเสื้อผ้าก่อน” แป้งร่ำถาม
“นี่คุณพยายามจะทำอะไร...คุณแป้ง”
“แป้งก็ทำใจไว้แล้วล่ะว่าคนเมาน่ะ มักจำอะไรไม่ค่อยได้ ก็เลย...”
แป้งร่ำหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วกดรูปให้เอกรินทร์ดู เอกรินทร์เห็นว่าเป็นรูปเขานอนอยู่บนเตียงเดียวกับแป้งร่ำเหมือนมีอะไรกัน
แป้งร่ำพูดด้วยเสียงน้อยใจ “แป้งลบรูปพวกนี้ทิ้งก็ได้นะคะ เพื่อความสบายใจของคุณเอก”
แป้งร่ำกดลบรูปทั้งหมดจากมือถือ
แป้งร่ำพูดด้วยเสียงน้อยใจต่อ “ถือเสียว่ามันเป็นอุบัติเหตุก็ได้ค่ะ แป้งขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะคะ จะได้กลับบ้าน”
แป้งร่ำจะเดินเข้าห้องน้ำ เอกรินทร์พยายามทบทวนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ประตูห้องนอนเปิดออก ทั้งสองมองไปเห็นไลลาเดินเข้ามา ไลลาเห็นเอกรินทร์และแป้งร่ำอยู่ด้วยกันในห้องนอน
แป้งร่ำทำเป็นตกใจ “ไลลา”
ไลลามองแป้งร่ำที่แอบยิ้มแล้วหันไปมองเอกรินทร์
“นายเอก..แป้งร่ำ..เธอสองคน..” ไลลาพูดขึ้น
แป้งร่ำพูดกับเอกรินทร์ “แย่จังเลยค่ะ...มีคนเห็นซะแล้วคุณเอก”
เอกรินทร์จนมุมและไม่รู้จะทำยังไง

ชลธิชาทำแซนด์วิชเป็นอาหารเช้าเตรียมไว้ให้เอกรินทร์ เริงใจเดินมาหาชลธิชาพร้อมกับบ่นมาด้วย
“ไม่รับสายอย่างนี้ ฉันว่ายังไม่ตื่นแน่ๆ สงสัยเมื่อคืนจะหนัก”
“เดี๋ยวเขาก็คงมาล่ะน่า...แต่เมื่อคืนนี้ เราน่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอกนะเริง ฉันล่ะเป็นห่วงว่าคุณเอกจะไม่ถึงบ้าน” ชลธิชาบอก
“เขาคงพอรู้ตัวเองหรอกน่า เธออย่าเป็นห่วงมากนักเลย”
“ไม่รู้สิ...พอออกไปคุยโทรศัพท์กับยัยแววแล้วกลับเข้ามาในร้าน เขาก็ดูแปลกๆไป”
“เอ..แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย” เริงใจล้อชลธิชา “อย่าบอกนะว่าใจตรงกัน จูนติดทุกความรู้สึกของคุณเอก”
ชลธิชาเขินเพื่อน “โอ๊ย...น้ำเน่า...!”
ชลธิชาทำหน้าหมั่นไส้เริงใจ เริงใจลอยหน้าอย่างไม่แคร์

เอกรินทร์มีสีหน้าร้อนใจเพราะไม่รู้ว่าจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดยังไง ไลลากับแป้งร่ำมองหน้ากันแล้วก็แอบยิ้ม
“คุณเอากุญแจมาคืนผมแล้ว แล้วคุณเข้าบ้านผมได้ยังไง” เอกรินทร์ถาม
“เรื่องนั้นน่ะคุณต้องขอบคุณแป้งนะคะ ถ้าเมื่อคืนแป้งไม่กลับมาเอาของ คุณก็ได้นอนที่หน้าบ้านจนเช้านั่นล่ะ”
“ผมเนี่ยนะ” เอกรินทร์งง
“ก็ใช่สิคะ คุณน่ะหลับกองอยู่ที่หน้าประตู แป้งก็เลยใช้กุญแจที่คืนคุณไปไขเข้ามา แต่พอเข้ามาในบ้านแล้ว คุณก็ตื่น แป้งก็เลยจะขอตัวกลับ แต่คุณไม่ให้แป้งกลับ” แป้งร่ำเล่าเป็นตุเป็นตะ
“พอแล้วล่ะแป้ง...ฉันรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ไลลาพูดกับเอกรินทร์ “ฉันเห็นคาตาอย่างนี้แล้ว ถ้าจะปฏิเสธความรับผิดชอบ นายจะเป็นผู้ชายที่ห่วยแตกมาก”
เอกรินทร์มองแป้งร่ำกับไลลาอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ทั้งที่อยากจะแก้ตัว แต่เขาก็ไม่มีตัวช่วยอื่น
“จะให้ผมรับผิดชอบยังไงก็ว่ามาเถอะ” เอกรินทร์ยอมจำนน
“ก็ไปตกลงกันเอาเองก็แล้วกัน” ไลลาพูดกับแป้งร่ำ “ฉันช่วยได้เท่านี้ล่ะ”
ไลลาเดินออกไปจากวง แป้งร่ำมองเอกรินทร์ด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง

อ่านต่อหน้าที่ 4





แววมยุรา ตอนที่ 8 (ต่อ)
นิติภูมิคุยโทรศัพท์กับแววอยู่ในห้องทำงานของเขาที่ทศพลกรุ๊ป
“ผมต้องรีบกลับกรุงเทพน่ะแวว..เลยไม่ได้แวะไปหาคุณที่ไร่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนิติภูมิ ยังไงเราก็ทำงานบริษัทเดียวกัน แต่อยู่ไกลกันสักหน่อยเท่านั้น”
“ผมก็ไม่สบายใจหรอกนะ ยิ่งมีเรื่องที่ไร่ผมก็ยิ่งเป็นห่วง”
“โดนไล่ยิงขนาดนั้น แววว่าคงไม่กล้ากลับมาแล้วล่ะค่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าคุณสยุมภูว์ไปทำอะไรให้ เขาถึงกับจะต้องมาเอาชีวิตกัน ทั้งที่คุณสยุมภูว์ก็ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยกับใคร”
“คุณแววแน่ใจหรือครับว่ารู้จักคุณสยุมภูว์ดีพอ”
แววแปลกใจ “คุณจะบอกอะไรแววหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรครับ คือถ้าคุณรู้จักคุณสยุมภูว์มากกว่านี้ คุณอาจจะอยากเอาใจช่วยคุณสยุมภูว์มากกว่านี้ไงครับ...ผมขอตัวทำงานต่อนะครับ” นิติภูมิวางสาย
“ค่ะ..คุณนิติภูมิ” แวววางสาย “ทำไมพูดอะไรแปลกๆ”

แววมาช่วยคนงานทำงานที่แปลงดอกไม้ที่ถูกทำลายตอนเกิดเหตุ แววเห็นสยุมภูว์ทำงานกับหลิน และเห็นหลินทำท่าทางเกรงอกเกรงใจสยุมภูว์เหมือนสยุมภูว์เป็นเจ้านาย
แววนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า...
แววยืนดูรูปสยุมภูว์กับตงตง แววเห็นสยุมภูว์กับหลินยืนคุยกัน และเห็นท่าทางของหลินดูอ่อนน้อมเกรงใจสยุมภูว์ สีหน้าของแววจึงเต็มไปด้วยความสงสัย

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า แววก็ยังสงสัยไม่หาย
“ตอนไปกินข้าวด้วยกันก็เห็นสนิทสนมกันดีกว่านี้นี่นา” แววบ่น
แววก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ สักพักสยุมภูว์ก็มานั่งข้างๆ แววหันไปเห็นก็ตกใจ
“ขวัญอ่อนจังนะคุณเนี่ย..อย่างกับทำอะไรผิดแล้วกลัวคนจับได้งั้นแหละ” สยุมภูว์แซว
“คนที่กลัวน่าจะเป็น...” แววไม่พูดต่อ
“อะไร..จะพูดอะไรก็พูดให้จบสิ ค้างๆคาๆ ผมยิ่งอยากรู้”
“งั้นฉันจะให้นายทรมานเพราะความอยากรู้ไปนั่นล่ะ”
“นี่..พูดกันดีๆหน่อยได้มั้ย...ผมจะกลับกรุงเทพแล้ว”
แววพูดจริงจัง “อ้าว...เหรอ...มาเร็วไปเร็วเนอะ”
“ไม่เศร้าเลยเหรอ”
แววส่ายหน้า “ทำอย่างกับว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกงั้นล่ะ”
“ก็โอเคนะ..อย่างน้อยคุณก็ยังอยากเจอผมอยู่ หายเศร้าไปนิดนึง”
สยุมภูว์ช่วยแววทำงานต่อ แล้วทั้งสองก็หยอกล้อกันด้วยท่าทางมีความสุข

ที่ร้านทำผมแห่งหนึ่ง ไลลานั่งให้ช่างทำผมไปอ่านหนังสือไป สักพักแป้งร่ำก็เข้ามานั่งข้างๆ ไลลาเห็นแป้งร่ำก็ยิ้มให้
“ขอบคุณมากนะจ้ะ สำหรับแผนการสุดบรรเจิดของเธอน่ะ” แป้งร่ำบอก
“แผนการอะไรยะ ฉันก็แค่อำนวยความสะดวกเมื่อโอกาสอำนวยต่างหาก เพราะถ้านายเอกไม่เมาหนักขนาดไปรับฉันที่สนามบินไม่ได้ ถ้าเธอไม่ได้ไปรับฉันที่สนามบินแล้วกลับมาเห็นเขาเมาฟุบอยู่ ทุกอย่างมันก็คงไม่จบแบบนี้” ไลลาบอก
“งั้นฉันควรจะขอบคุณอะไรดีล่ะที่ทำให้ทุกอย่างมันลงตั๊ว ลงตัวอย่างนี้น่ะ”
“จะขอบคุณฟ้าขอบคุณสวรรค์ก็ขอบคุณไปเถอะ ได้เขาไปแล้วก็ดูแลดีๆล่ะ”
แป้งร่ำรีบแย้ง “ฉันยังไม่ได้อะไรจากเขาสักหน่อย”
แป้งร่ำมองหน้าไลลายิ้มๆ ไลลาทำตาโต
“เธอกับนายเอกยังไม่ได้”
“บ้าเหรอ...เขาเมาขนาดนั้นจะให้ฉันทำอะไรล่ะ” แป้งร่ำบอก
“สรุปว่าทั้งหมดนี้เธอแค่ “จอง” ไว้”
“แต่ยังไม่ได้ลองใช้จริง” แป้งร่ำต่อ
แป้งร่ำพยักหน้ายิ้มๆ ไลลาพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ

ชลธิชากับเริงใจยังคงนั่งรอเอกรินทร์มาที่ร้าน แต่เอกรินทร์ก็ยังไม่ปรากฏตัว
“สงสัยว่าวันนี้เราจะรอเก้อล่ะ เริง”
“ก็คงงั้นล่ะ รอจนจะปิดร้านแล้วยังไม่มา โทรหาแล้วก็ไม่รับอย่างนี้”
“หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรนะ” ชลธิชาเป็นห่วง
“คิดในแง่บวกหน่อยสิ คนเรามันก็ต้องมีวันที่งานยุ่งบ้างล่ะ”
“หรือตีความว่าเบื่อที่ต้องเห็นหน้ากันทุกวันก็ได้นะ”
“อาการหนักแล้วเพื่อนฉัน ไม่ได้เห็นหน้าแค่วันเดียวก็เป็นซะขนาดนี้” เริงใจแซว
ชลธิชายังนั่งรอแบบเซ็งๆต่อไป

แววนั่งอยู่ที่ระเบียงพร้อมกับเหม่อมองไปที่ขาหยั่งตั้งเฟรมผ้าใบ เธอเห็นรูปสยุมภูว์ที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“พรุ่งนี้มันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วสินะ...” แววพูดกับตัวเอง

เช้าวันต่อมา รูปของสยุมภูว์ถูกแขวนอยู่ที่ผนังห้องนอนของสยุมภูว์ที่บ้านพักในกรุงเทพฯ สยุมภูว์ยืนยิ้มเมื่อคิดถึงคนวาด

แววกับตงตงมาดูแลต้นไม้ตามปกติ ตงตงจับแมลงตัวหนึ่งจากต้นไม้มาให้แววดู แววเปิดสมุดบันทึกแล้ววาดรูปแมลงตัวนั้นเอาไว้
ในสมุดบันทึกของแววมีรายละเอียดของต้นไม้ รูปต้นไม้ รูปแมลงและอื่นๆ ที่ถูกวาดเป็นการ์ตูนพร้อมคำบรรยายชนิดวันต่อวันตั้งแต่ที่เธอย้ายมาอยู่ที่นี่
สยุมภูว์เหม่อมองบ้านแววจากห้องนอนของตนเอง เขามองไปที่สวนบ้านแวว สยุมภูว์เดินไปฉีดน้ำข้ามรั้วไปรดสวนบ้านแววที่อยู่ติดกัน เพิ่มพงษ์มองอยู่ห่างๆแล้วยิ้มออกมา
สมุดบันทึกของแววถูกพลิกไปทีละหน้า แววช่วยหลินทำงานในแปลงดอกไม้ต่อไป ภาพจากสมุดบันทึกเล่ารายละเอียดในแต่ละวันที่ผ่านไปจนกระทั่งมาถึงหน้าสุดท้าย

แววพลิกดูสมุดบันทึกเล่มนั้นมาถึงหน้าสุดท้าย เธอออกไปยืนที่ระเบียงพร้อมกับมองไปยังทิวทัศน์ของไร่ทศพลแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

สยุมภูว์กำลังสนทนากับนักธุรกิจคนหนึ่งผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานลับ
สยุมภูว์พูดภาษาจีน “ขอบคุณมากนะครับคุณเหลียงที่ยังนึกถึงพ่อของผม ผมคงมีโอกาสได้รับรองท่านด้วยตัวเองทันทีที่ท่านมาถึงเมืองไทย หวังว่าท่านจะให้โอกาสผมและคุณนิติธรดูแลตลอดเวลาที่ท่านอยู่กรุงเทพฯนะครับ”
เพิ่มพงษ์เดินเข้ามาในห้อง สยุมภูว์คุยงานเสร็จพอดี เพิ่มพงษ์จึงเข้ามาคุยด้วย
“งานนี้ผมต้องออกโรงเองสินะ” สยุมภูว์ถาม
“แน่นอนครับ..เพราะคุณเหลียงคงไม่ยอมมอบข้อมูลสำคัญให้คนอื่นแน่ๆ” เพิ่มพงษ์บอก
“แปลว่าได้เวลาที่ผมต้องเปิดเผยตัวเองแล้วสิ”
“กับคุณเหลียงเท่านั้นครับ ไม่ใช่กับคนอื่น”
“เรายังต้องกังวลเรื่องนายนิติภูมิอยู่หรือครับ เขาเองก็น่าจะรู้อยู่ว่าถูกเราจับตา คงไม่กล้าทำอะไร”
เพิ่มพงษ์เตือน “อย่าเพิ่งประมาทเลยครับ”
สยุมภูว์หยิบเสื้อสูทมาใส่เพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุม
“ผมพร้อมแล้วครับคุณเพิ่มพงษ์”
เพิ่มพงษ์กดปุ่มที่คีย์บอร์ดทันที

ภาพสยุมภูว์ปรากฏขึ้นที่หน้าจอโปรเจคเตอร์ในห้องประชุม นิติธร นิติภูมิและบอร์ดบริษัทนั่งอยู่พร้อมหน้าในห้องประชุม นิติภูมิแสดงสีหน้าเย็นชาเมื่อสยุมภูว์ปรากฏตัวในจอ
“สวัสดีครับทุกคน ผมมีเรื่องน่ายินดีจะมาบอกให้ทุกคนทราบครับ” สยุมภูว์กล่าว
“ครับคุณสยุมภูว์...พวกเรารอฟังกันอยู่ครับ” นิติธรตอบรับ
“มิสเตอร์เหลียง ประธานบริษัทไชน่าอะกรี (China-Agri) จะแวะมาเยี่ยมเราเร็วๆนี้”
ทุกคนในห้องประชุมต่างส่งเสียงฮือฮากับข่าวของสยุมภูว์
“นี่เป็นโอกาสสำคัญของทศพลกรุ๊ปที่จะมีโอกาสต้อนรับนักธุรกิจคนสำคัญของโลกถึงคุณเหลียงจะเป็นคนคุ้นเคยกับคุณพ่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดแม้นิดเดียว”
สัญญาณไฟไมโครโฟนของนิติธรปรากฏขึ้น นิติธรจึงรู้ว่าสยุมภูว์ต้องการพูดกับตน
“ครับ..คุณสยุมภูว์”
“คุณนิติธรดูจะคุ้นเคยกับคุณเหลียงมากกว่าคนอื่นๆในห้องนี้ ดังนั้นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์เหลียงต้องผ่านสายตาของคุณนิติธรเสียก่อน ขอให้ทุกคนรับทราบในเรื่องนี้นะครับ” สยุมภูว์บอก
สัญญาณไฟที่ไมโครโฟนนิติธรดับลง ไฟมาสว่างที่หน้าไมโครโฟนของนิติภูมิ ทุกคนในห้องประชุมหันมองนิติภูมิเป็นตาเดียวกัน นิติภูมิข่มอารมณ์เพราะไม่รู้ว่าสยุมภูว์จะมาไม้ไหน
นิติภูมิมองที่หน้าจอแล้วพูด “ครับ คุณสยุมภูว์”
“ผลงานที่หาดใหญ่ของคุณทำให้ผมมั่นใจว่าไม่ได้ไว้ใจคนผิด แต่งานนี้ผมคงขอให้คุณเป็นผู้ช่วยคุณนิติธรนะ หวังว่าคุณจะไม่เก็บไปคิดมาก” สยุมภูว์บอก
“ไม่ต้องห่วงครับคุณสยุมภูว์ ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย” นิติภูมิบอก
สยุมภูว์ยิ้มเหมือนรู้ทัน นิติภูมิเห็นรอยยิ้มของสยุมภูว์แล้วก็หมั่นไส้ เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่ไฟหน้าไมโครโฟนก็ปิดไปเสียก่อน สยุมภูว์เห็นแต่ไม่กดไฟให้นิติภูมิพูดต่อ นิติภูมิรู้สึกเหมือนถูกตบจนหน้าชา แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้
“ถ้าอย่างนั้น เป็นอันรับทราบนะครับว่าตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าเรื่องนี้ เราจะประชุมกันอีกครั้งเมื่อมีกำหนดการที่แน่นอนจากคุณเหลียง ผมขอปิดการประชุมเท่านี้นะครับ”
สยุมภูว์ออฟไลน์แล้วหน้าจอก็ดับไป


นิติภูมิเดินหน้าเครียดออกมาที่หน้าห้องประชุม นิติธรเห็นนิติภูมิหน้าเครียดจึงเอ่ยทัก
“ไหนแกบอกคุณสยุมภูว์ว่าแกไม่คิดอะไรมากไง ทำไมหน้าเครียดอย่างนั้น”
“สงสัยผมต้องเก็บความรู้สึกให้มากกว่านี้นะครับ ถ้าไปเจรจากับลูกค้าแล้วโดนจับได้ขึ้นมาจะเสียงาน” นิติภูมิบอก
“แกคิดว่าคุณสยุมภูว์ไม่ไว้ใจแกเหรอ” นิติธรถาม
“ผมทำงานให้ทศพลกรุ๊ปเท่าที่ความสามารถผมจะอำนวยแล้วล่ะครับ ถ้าเขาจะไม่ไว้ใจผมก็จนปัญญา”
“แกแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้คุณสยุมภูไม่ไว้ใจแก” นิติธรถามย้ำ
นิติธรมองหน้านิติภูมินิ่งๆ เหมือนจะจับผิด นิติภูมิรู้สึกเหมือนใกล้จะจนมุม
“พ่อคิดว่ามีมั้ยล่ะครับ”
พูดจบนิติภูมิก็ยิ้มแล้วเดินออกไป นิติธรมองตามด้วยสีหน้าสงสัย

สยุมภูว์ถอดเสื้อสูทออก เพิ่มพงษ์คลิกดูคลิปที่แคปเจอร์ภาพในห้องประชุม แล้วเลือกซูมเฉพาะที่หน้านิติภูมิซึ่งแสดงสีหน้าเย็นชา
“ท่าทางจะผิดหวังนะครับเนี่ย” เพิ่มพงษ์โพล่งออกมา
สยุมภูว์ดูหน้านิติภูมิที่แคปเจอร์ไว้
“คงยังเจ็บใจไม่หายที่ถูกหลอก ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่า” สยุมภูว์บอก
เพิ่มพงษ์พูดประชด “โอ้ว...นี่มันเรื่องสุดเซอร์ไพร้ซ์เลยนะครับเนี่ย...นึกว่าคณสยุมภูว์จะยังเป็นชายหนุ่มคิดบวก มีมนุษยธรรม เห็นแต่ด้านดีของมนุษยชาติ”
“แต่ผมก็ยังคิดว่าไม่มีใครเลวร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ”
“ถ้าเขาหันด้านดีให้ผมเห็นสักแว้บหนึ่ง ผมก็คงจะเชื่ออย่างคุณสยุมภูว์นะครับ แต่เอาเถอะครับ มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วที่ต้องหาทางรับมือถ้าเขาจะกลายเป็นคนร้ายขึ้นมา”
สยุมภูว์พูดแซว “ขอบคุณครับท่านองครักษ์”
สยุมภูว์ตบไหล่เพิ่มพงษ์อย่างให้กำลังใจ

นิติภูมินั่งดูรูปใบหน้าของมิสเตอร์เหลียงจากแฟ้มข่าวที่เขาเสิร์ชจากอินเทอร์เน็ตและอ่านข้อมูลของข่าวนั้นด้วย
“คนใหญ่โตระดับนี้..คงไม่ได้แวะแค่มาเยี่ยมแน่ๆ”
นิติภูมิดูรูปอาเหลียงแล้วคิดอะไรบางอย่าง
“ถึงแกจะกันฉันออกมา แต่ฉันจะไม่หยุด” นิติภูมิพูดกับตัวเอง
นิติภูมินิ่งคิดแผนแล้วหยิบล็อคเก็ตรูปแม่มาเปิดดู
นิติภูมิพูดกับล็อคเก็ต “แม่จะต้องได้เห็นความย่อยยับของมันครับ”

มาลตีวางหนังสือรับสมัครงานกองใหญ่ตรงหน้าวัณณรี วัณณรีหยิบไปพลิกดูแล้วเบ้หน้า
“แม่ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลย วัณเพิ่งจะฝึกงานเสร็จ ยังไม่ได้รับปริญญาด้วยซ้ำ จะให้รีบหางานไปไหนน่ะ” วัณณรีเซ็ง
“แล้วแกจะรออะไร วันนี้ว่างๆแกก็พลิกดูเผื่อเจองานถูกใจเงินเดือนดีๆ” มาลตีบอก
“แต่วันนี้วัณนัดกับคุณคำรพนะ ให้แววไปเที่ยวก่อนนะแม่..หางานเอาไว้ทีหลัง”
เสียงแววดังขึ้น “ฉันไม่ให้แกไป !”
มาลตีกับวัณณรีหันไปเห็นแวว “แวว/พี่แวว”
โรสโผล่ออกมาจากหลังบ้านแล้วก็เห็นแวว
“คุณแวว”
แววลากกระเป๋าเดินทางมาหยุดที่หน้าประตูบ้าน

แววนั่งที่โต๊ะรับแขก โรสเอาน้ำออกมาเสิร์ฟ
“อย่าบอกนะว่าเขาไล่แกออกแล้วน่ะ...เพิ่งจะทำงานได้ไม่กี่เดือนเอง” มาลตีถาม
“ก็ไม่รู้สิแม่ เขาไม่เห็นบอกให้แววรีบกลับไปนี่นา บอกแต่ว่าให้แววกลับมาพักอยากให้กลับเมื่อไรจะโทรมาบอก” แววบอก
“โอ๊ย...นั่นไง เมื่อเช้าตาฉันเขม่นไม่หยุดเลย มันจะมีเรื่องอย่างนี้นี่เอง” มาลตีท้อใจ
“นึกว่าแม่จะสมน้ำหน้าเสียอีกที่แววตกงาน” แววพูด
“อ้อ...เห็นว่าฉันเป็นแม่ใจร้ายล่ะสิ” มาลตีงอน
แววง้อ “ไม่เอาน่าแม่ก็...แววอำเล่นน่ะ”
“ไม่รู้..ฉันงอนไปแล้ว”
โรสแทรกขึ้น “คุณแววต้องพาไปช็อปปิ้งล่ะค่ะถึงจะหายงอน”
ทันใดนั้นเสียงคำรพก็ดังขึ้น “สวัสดีครับ สาวๆ ใครน้าอยากออกไปช้อปปิ้ง โชเฟอร์มาแล้วครับ” คำรพยังไม่เห็นหน้าแววที่นั่งหันหลังให้ “เอ๊ะ..นั่นสาวทีไหนครับ”
คำรพเดินเข้ามาในห้องรับแขก แววลุกขึ้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคำรพ
“สวัสดีค่ะ คุณคำรพ”
คำรพตาเยิ้ม “หนูแวว !”

หน้าออฟฟิศเอกรินทร์ พนักงานสาวคนหนึ่งทำท่านึกหาคำตอบที่ชลธิชากับเริงใจมายืนถาม
“หนูก็ไม่รู้ค่ะพี่ ว่าพี่เอกไปพักร้อนที่ไหน...พี่เขาทำเทปส่งช่องไว้ทั้งเดือนแล้ว สงสัยว่าจะพักยาวเลยล่ะค่ะ”
ชลธิชาตอบรับ “เหรอคะ”
เริงใจกระซิบกับชลธิชา “เหมือนเขาหลบหน้ายังไงก็ไม่รู้นะ”
พนักงานสาวพยักหน้าหงึกๆ “ค่ะ”
“ว้าย...พี่กระซิบดังไปเหรอเนี่ย” เริงใจตกใจ
“หนูว่าพี่เขาอยากหลบหน้าคุณแป้งร่ำน่ะค่ะ พี่เขาเล่นมาตื๊อถึงออฟฟิศเลยนะคะ ทำอย่างกับเป็นแฟนกันอย่างนั้นล่ะ”
ชลธิชากับเริงใจอุทานออกมาพร้อมกัน “แป้งร่ำ !!”
ชลธิชากับเริงใจหันขวับมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

คำรพมองแววเหมือนอยากจะกิน เขาพุ่งเข้าไปหมายจะกอด
“มามะ..ให้พี่คำรพกอดให้ชื่นใจ สมกับที่หายหน้าหายตาไปตั้งน้าน...นาน”
มาลตีหมั่นไส้รีบเอาตัวเข้าแทรกก่อนที่คำรพจะมาถึงตัวแวว
“รับคุณแม่ก่อนดีมั้ยคะ คุณคำรพ”
คำรพชะงักไปแต่สายตายังจับจ้องไปที่แววและวัณณรี
“โถ...คุณมาลตี สงสารคำรพเถอะ อย่ามาขวางกั้นความรักของเราสองคนเลย” คำรพบอก
“แหม...ทำยังกับไอ้ขวัญอีเรียมเลยนะคะ ไปสาบานรักกันตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย” โรสแซว
“แกน่ะสิ อีเรียม” มาลตีดุโรสแล้วพูดกับคำรพ “คุณคำรพคะ...วันนี้เราสองคนแม่ลูกคงไปลั้ลลากับคุณไม่ได้หรอกค่ะ ขอตัวนะคะ”
มาลตีส่งสายตาบังคับให้คำรพออกไป แต่คำรพยังไม่ไป
“โรส..ไปส่งคุณคำรพหน่อย” มาลตีสั่ง
“ไม่เห็นต้องไปส่งนี่คะ คุณคำรพมาบ้านเราจนแทบจะหลับตาเดินได้แล้ว” โรสบอก
“นังโรส...อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ” มาลตีชักฉุน
โรสถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ไปกันเถอะค่ะคุณคำรพ...อย่าให้คุณมาลตีพูดซ้ำนะคะ” โรสบอก
โรสลากแขนคำรพออกไป สามคนแม่ลูกมองหน้ากัน
“แววว่าแม่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” แววเอ่ยขึ้น
มาลตีเสียงสูง “ใครว่าเปลี่ยน...ฉันก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ยังเป็นแม่ยังไงก็เป็นอย่างนั้น”
“แม่ไม่เปลี่ยน...แต่วัณว่าพี่แววน่ะเปลี่ยน” วัณณรีบอก
แววทำหน้างงๆ “พี่เนี่ยนะ”
“อย่างน้อยพี่ก็ยอมลดลาวาศอกให้แม่บ้าง ไม่ได้อยากเอาชนะคะคาน เหมือนแต่ก่อน...เป็นอย่างนี้ไปให้ตลอดเลยนะ เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน”
แววทำท่าจะต่อปากต่อคำ วัณณรีรีบร้องห้าม
“อ๊ะ...ไม่ทันขาดคำเลยนะพี่แวว”
แววทำเสียงสูงเลียนแบบมาลตีแก้เก้อ “พี่ไม่เคยนิสัยอย่างนั้นสักหน่อย จริงมั้ยแม่”
“เอาเถอะๆ...นี่...แม่ว่าบ่ายนี้เราทำหมูกะทะกินกันมั้ย นาน...น้านจะได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้”
“ได้เลยแม่..เดี๋ยวเราขึ้นตุ๊กๆไปตลาดด้วยกัน” แววชวน
“แท็กซี่ได้มั้ยอ่ะ เดี๋ยววัณผิวเสีย”
แววกับมาลตีมองหน้าวัณณรีอย่างหมั่นไส้นิดๆ แต่แห่งความสุขก็อบอวลไปทั้งบ้าน

ชลธิชา เริงใจ และแววชนแก้วน้ำพั้นช์กันอยู่ในร้านกาแฟ
เริงใจพูดเสียงเมาๆ “หมดแก้ว!”
ทั้งสามยกแก้วกระดกจนหมดแก้ว แววกับชลธิชามองเริงใจที่ทำหน้าเหมือนเมาเหล้า
“นี่มันพั้นช์น้ำผลไม้นะ ไม่มีเหล้าสักหยดแล้วหล่อนเมาอะไรยะ” แววถาม
“ยัยเริงมันคออ่อนน่ะ แค่เห็นเหยือกหน้าตาเหมือนโถใส่เหล้าเมาแล้ว” ชลธิชาแขวะ
เริงใจค้อนใส่ชลธิชา “ย่ะ แม่คอทองแดง” เริงใจพูดกับแวว “สรุปว่าเธอต้องขึ้นไปอีกใช่มั้ยเนี่ย”
“ใช่..แต่ถึงขึ้นไปฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงานกับคุณสยุมภูว์ยังไงก็ไม่รู้” แววบอก
“เธอมีเจ้านายคนเดียวไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ทำงานให้เขาแล้วเธอทำงานให้ใคร” เริงใจสงสัย
“นั่นสิ พูดอะไรแปลกๆนะเธอเนี่ย” ชลธิชาแตะหน้าผากแวว “ไม่สบายหรือเปล่า”
“ก็คงงั้นมั้ง ฉันอาจจะฟุ้งซ่านไปเองที่คิดว่าเจ้านายฉัน...ไม่ใช่คุณสยุมภูว์” แววบอก
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันอย่างงง ๆ แล้วทั้งสองก็มองแวว แววมีสีหน้าท้อๆที่เพื่อนไม่เชื่อ
“เออ...ฉันคิดมากไปเองใช่มั้ย” แววพูด
“จะตัวจริงตัวปลอม ถ้าเขาจ่ายเงินเดือนให้แกครบทุกเดือน มันก็จบมั้ง” เริงใจสรุป
“นั่นสิ..เธอไม่เห็นต้องอยากรู้นี่นา ไปจับผิดเขาอย่างกับจับผิดแฟนไปได้” ชลธิชาแขวะ
เริงใจรีบถาม “หรือว่า..เธอมีใจให้คุณสยุมภูว์”
“บ้าเหรอ” แววว่า
“แล้วถ้าเจ้านายเธอไม่ใช่สยุมภูว์ตัวจริงล่ะ” ชลธิชาถาม
“ฉันก็ต้องหาคำตอบให้ได้น่ะสิ ว่าความจริงแล้วเขาเป็นใคร”
“รู้ความจริงแล้วยังไงล่ะ...ก็แค่ได้รู้ มันทำให้มีความสุขตรงไหนไม่ทราบ” เริงใจถามต่อ
“จะตัวจริงตัวปลอม คุณสยุมภูว์เขาก็เป็นเจ้านายเธอนั่นล่ะ ฉันว่าเธอเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ไม่เห็นจะต้องสนใจเลย” ชลธิชาบอก
“ก็ฉันไม่ชอบให้มันค้างคาใจนี่นา”
“ถ้าเพื่อนไม่เหนื่อย ก็ทำต่อไปนะจ้ะ เริงใจขอเอาใจช่วยให้เพื่อนเจอตัวจริงของคุณสยุมภูว์ในเร็ววัน”
“เธอตามคุณสยุมภูว์ แต่เราสองคนตามคุณเอก...เฮ้อ..นี่มันชีวิตเศร้าของสาวโสดตามหารักเลยนะเนี่ย” ชลธิชาถอนใจ
เริงใจยกแก้วน้ำพันซ์ขึ้นชนอีก อีกสองสาวก็ยกแก้วขึ้นมาชนด้วย
เริงใจพูดเสียงดัง “หมดแก้ว !”


ดึกสงัด ที่บ้านเอกรินทร์ แป้งร่ำดูร้อนใจ ขณะที่ไลลาในชุดพร้อมออกเที่ยวกลางคืนส่องกระจกดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองอยู่
“ทำอย่างกับว่าถ้าฉันเดือดร้อนอีกคน นายเอกจะกลับมาอย่างนั้นล่ะ ยัยแป้ง” ไลลาบอก
“ก็ฉันเป็นห่วงเขานี่...ถ้าเขาเป็นอะไรไปล่ะ”
“โอ๊ย..ป่านนี้เขาคงแฮปปี้มีความสุข ไปเป็นชาวเกาะอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วเธอจะมานั่งหูตูบ หางตกอยู่ทำไม” ไลลาว่า
“ไม่ต้องเปรียบเทียบชัดขนาดนั้นก็ได้...ฉันไม่ใช่แมว”
“อีกอย่างนะ...เธอก็บอกฉันเองว่าเธอกับนายเอกยังไม่มีอะไรกัน ยังไม่ได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันยังจะเป็นห่วงเขาขนาดนี้ เป็นเอามากนะเธอน่ะ”
“นาทีนี้..ฉันรู้แล้วว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของเขา แต่ฉันรักเขา เธอไม่เข้าใจหรือไง”
ไลลาส่ายหน้า “เกินจะเยียวยาแล้วนะ เธอน่ะ”
ไลลาหยิบกระเป๋าเดินออกไปอย่างไม่สนใจแป้งร่ำทิ้งให้แป้งร่ำนั่งเศร้าอยู่คนเดียว

สยุมภูว์ยืนรดน้ำต้นไม้ริมรั้วแล้วเขาก็ฉีดน้ำข้ามรั้วไปที่สวนบ้านแวว
แววร้องเสียงดัง “ว๊ายย…!!”
สยุมภูว์ตกใจเมื่อได้ยินเสียงแวว แววโผล่หน้าพ้นรั้วมาในสภาพเปียกปอน สยุมภูว์ก็อดขำไม่ได้
“อ้าว..คุณ ดำน้ำมาเหรอเนี่ย ตัวเปียกเชียว” สยุมภูว์เอ่ยแซว
“บ้าสิ...!!! คิดจะขอโทษสักคำมั้ย” แววถาม
“อ้าว..ผมก็รดน้ำให้สวนคุณอย่างนี้ทุกวัน คุณคิดจะขอบคุณผมสักคำมั้ยล่ะ” สยุมภูว์ย้อน
แววได้แต่ทำท่าทางฮึดฮัด
“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ ไม่เห็นบอกผมเลย”
“ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ยังจะถามอีก” แววกวนกลับ
สยุมภูว์ยิ้มกว้าง “นั่นสิ”
แววเห็นรอยยิ้มกว้างของสยุมภูว์ก็อดจะใจอ่อนไม่ได้
“ฉันทำให้นายดีใจได้ขนาดนี้เลยเหรอ” แววถาม
“คุณเป็นคนวาดภาพ ก็น่าจะรู้ดีนี่ว่ายิ้มของผมโกหกคุณหรือเปล่า”
แววมองสยุมภูว์นิ่งๆ เหมือนจะจับผิด
“คิดว่าผมโกหกคุณอยู่เหรอ?” สยุมภูว์ถาม “ผมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังคุณสักหน่อย”
“นายยิ่งแก้ตัว ก็ยิ่งน่าสงสัย”
สยุมภูว์ทำเป็นรดน้ำต่อ “แย่จัง...โดนจับได้ซะแล้ว” สยุมภูว์มองหน้าแวว “แล้วคุณล่ะ มีอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่า”
แววยิ้ม “สงสัยอะไรก็ถามมาสิ”
สยุมภูว์ทำท่าจะถาม เมื่อเห็นว่าแววอยากฟังเต็มที่เขาก็เปลี่ยนใจ
“ไม่ถามดีกว่า...เดี๋ยวโดนถามกลับ แล้วความลับแตก”
สยุมภูว์เดินผิวปากรดน้ำต้นไม้ต่อไปโดยไม่สนใจแววที่กำลังส่งสายตาหมั่นไส้มาให้เขา แววดูเสื้อผ้าที่เปียกน้ำของตัวเองก่อนจะเดินเข้าบ้านไป สยุมภูว์แอบมองตาม เขาวางสายยางลงพร้อมกับมีสีหน้าที่เริ่มเป็นกังวล

แววเดินเข้ามาที่ห้องรับแขก ขณะที่โรสเอาหนังสือพิมพ์และเอกสารต่างๆมาวางไว้ที่โต๊ะ
“อุ้ย..ออกกำลังแต่เช้าเลยนะคะ ดูสิ...เหงื่อโทรมกายเลยทีเดียว” โรสทัก
แววมองหนังสือพิมพ์กับนิตยสารรับสมัครงาน “นี่ของยัยวัณล่ะสิ”
“มีของคุณแววด้วยค่ะ”
โรสหยิบซองจดหมายจากกองนิตยสารให้ แววรับมาอ่านชื่อคนส่งแล้วก็ยิ้มออก

เพิ่มพงษ์กำลังคุยโทรศัพท์กับนำพล ในขณะที่มืออีกข้างยกดัมเบลล์ไปด้วย
“ขอบคุณมากนะครับคุณนำพล ที่ช่วยดูแลคุณแววมาตลอด...คุณเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางไปดูดอกซากุระบาน แช่น้ำแร่ออนเซ็นได้เลย ผมเตรียมทุกอย่างไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว”
สยุมภูว์เดินเข้ามาในห้องรับแขก เพิ่มพงษ์วางสายไปแต่ยังไม่เลิกยกดัมเบลล์
เพิ่มพงษ์โชว์สยุมภูว์ “เห็นมั้ยครับว่าผมพร้อมรับมือเหตุด่วนเหตุร้ายแค่ไหน”
“นอกจากนิติภูมิแล้ว เราอาจต้องเตรียมรับมือกับแววด้วยนะ” สยุมภูว์บอก
“มั่นใจเถอะครับคุณสยุมภูว์ สองคนนี้ไม่มีทางจะร่วมมือกันถล่มเราได้หรอก”
“ไม่ได้ร่วมมือกัน แต่มีจุดประสงค์ร่วมกัน”
“คือการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณสยุมภูว์ ใช่มั้ยครับ”
สยุมภูว์ยกดัมเบลล์อีกอันขึ้นมาส่งให้เพิ่มพงษ์ที่รับไปแบบงงๆ ก่อนที่เพิ่มพงษ์จะทำหน้าเครียดเพราะหนัก
“ข้างนั้นของนิติภูมิ ข้างนี้ของแวว” สยุมภูว์บอก
“รู้เลยครับว่างานนี้หนักจริง”
เพิ่มพงษ์พูดทั้งๆ ที่หน้าแดงแต่ก็ยังโชว์ความบ้าพลังด้วยการยกดัมเบลล์ต่อเนื่อง สยุมภูว์ยังมีสีหน้าวิตกกังวล

แววอ่านจดหมายจากหลินที่ส่งมาให้ เธอเห็นลายมือตัวโตๆของตงตงและรูปต้นไม้การ์ตูน รูปแมลงเหมือนที่เห็นในสมุดบันทึกของแววที่ตงตงวาดมาให้ด้วย
“ตงตงกับแม่ช่วยกันรดน้ำ ใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ของพี่แววทุกเช้า ตงตงรอให้พี่แววกลับมาสอนวาดรูปสีน้ำมันอยู่ กลับมาเร็วๆนะ”
แววยิ้มเมื่ออ่านจดหมายจบ เธอจะเก็บจดหมายใส่ซองแต่ก็เห็นรูปใบหนึ่งหล่นออกมาจากซองพอดี แววหยิบรูปขึ้นมาดูด้วยสีหน้าแปลกใจก่อนจะพลิกไปที่ด้านหลังรูปที่มีข้อความเขียนไว้
แววอ่าน “คุณสยุมภูว์ กลับมาเยี่ยมไร่... หลิน”
แววพลิกรูปกลับมาดูอีกครั้ง เธอเห็นว่าเป็นรูปถ่ายไกลๆจากมุมหนึ่งในไร่ไปยังระเบียงบ้านพักของแวว มีชายคนหนึ่งกำลังโบกมือให้กล้องแต่ไม่เห็นรายละเอียดว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
“รูปคุณสยุมภูว์..หลินส่งรูปนี้มาทำไมนะ...ยังไงเราก็ต้องกลับไปอยู่ดีนี่นา”
แววละสายตาจากรูปมองออกไปนอกบ้านเธอเห็นว่าสยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์กำลังเดินออกจากบ้าน
สยุมภูว์รู้สึกว่ามีคนแอบมองเขาอยู่ เขาหันกลับมามองพอเห็นว่าเป็นแววจึงโบกมือให้ด้วยท่าทางที่เหมือนในรูปถ่าย
แววโบกมือตอบก่อนจะเอะใจดูรูปอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะคิดอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แววเห็นชื่อนิติภูมิจึงรับสาย
“ค่ะ..คุณนิติภูมิ”
แววรับสายทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่รูปสลับกับการมองสยุมภูว์ที่เดินพ้นรั้วบ้านไป

จบตอนที่ 8


ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไป เวลา 12.00 น. 



กำลังโหลดความคิดเห็น