xs
xsm
sm
md
lg

ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 8

ส่วนพันเทพเมื่อกลับมาบ้าน พันเทพก็มายืนอยู่หน้าตู้ในห้องเก็บของที่ถูกล็อคกุญแจทิ้งไว้ พันเทพมองที่กุญแจ

“เวตาล...” เสียงเงียบจากภายใน ไม่มีเสียงตอบรับ “เวตาล ตายไปรึยัง” ยังไม่มีเสียงตอบกลับ “ท่าทางจะตายไปแล้วสินะ งั้นชั้นคงไม่ต้องปล่อยแกออกมาแล้วสิ”
“เพื่อนข้า จะมาปล่อยข้าให้เป็นอิสระจากห้องแคบนี่รึ”
เสียงเวตาลดังขึ้น
“หึหึ อึดดีจริงๆ ยังอยู่อีก”
“ปล่อยข้าเร็ว ปล่อยข้า ข้าเกลียดห้องแคบๆ นี่ยิ่งนัก”
“หึหึ”
พันเทพไขกุญแจเปิดประตูตู้ แล้วเวตาลก็ค่อยๆ เดินออกมา เวตาลตัวใหญ่ขึ้นจากเดิม เวตาลสูดหายใจเอาอากาศเข้าให้เต็มปอด
“กลิ่นคาวของเลือดมนุษย์”
“แต่ถ้าแกมาแอบดูดเลือดชั้นอีก ชั้นไม่ปล่อยแกไว้แน่”
“ข้าไม่ทำอีกแล้วเพื่อนข้า”
พันเทพสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเวตาลที่ตัวใหญ่ขึ้นและลักษณะบางอย่างเปลี่ยนไป
“ชั้นว่าแกดูแปลกไป”
“เป็นเพราะท่านไม่ได้เจอข้ามานานเกินไป ข้าอยู่แต่ในตู้ จะไปทำอะไรได้เล่า”
“เอาเถอะ ชั้นให้แกออกมาคราวนี้ ชั้นมีเรื่องจะให้แกช่วย”
เวตาลเหลือบมองพันเทพอย่างเจ้าเล่ห์
พันเทพพาเวตาลมาคุยในห้องทำงาน เวตาลนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของพันเทพ พันเทพไล่ตะเพิดให้ไปที่อื่น
“แกคิดว่าแกเป็นนายชั้นรึไง ไป นี่ที่ชั้น” เวตาลมองพันเทพอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์
“ชั้นอยากรู้เกี่ยวกับบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายของไม้ตะพด ว่ามันจะเจ็บปวดทุกครั้งที่ไม้ตะพดสองอันกระทบกันใช่มั้ย”
“เจ้ารู้เกี่ยวกับความเจ็บปวดของข้าได้อย่างไร”
“แกเคยถูกไอ้ฤๅษีนั่นแทงไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ข้าถูกไอ้ฤๅษีเจ้าเล่ห์นั่นใช้ไม้ตะพดแทงข้า ด้วยความแค้นข้าจึงหักไม้ตะพดนั่นซะ ฤๅษีมันจึงลงคำสาปที่ไม้ ข้าจึงเจ็บปวดยิ่งนักที่ไม้ตะพดเลือดและวิญญาณกระทบกัน”
“ตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่”
“ใช่”
“ทำไม...ทำไมไอ้เมฆบาดเจ็บแล้วใช้ไม้ตะพดวิญญาณ เยียวยาไม่ได้ ไม้ตะพดฝั่งนั้น ไม่ใช่เพื่อรักษารึไง”
“หึหึ ที่เจ้าเข้าใจก็เกือบถูก แต่อย่าลืมว่า ไม้ตะพดถูกหักครึ่งพลังการรักษามันไม่มากพอหรอก”
“แต่ทำไมไม้ตะพดเลือดยังสามารถสร้างคำสาปไว้ที่แผลของไอ้เมฆได้ล่ะ”
“คำสาปนั่น ก็เป็นแค่พลังอ่อนๆ ของไม้ตะพดฝั่งทำลายเท่านั้น เพราะถ้าอณุภาพมันเต็มที่ละก็ ดูข้าเป็นตัวอย่างนี่ ข้าถูกขังอยู่ในไม้นั่นเกือบร้อยปี โดนดูดพลังไปแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง”
“ถ้าทุกคนที่มีแผลจากไม้ตะพดจะต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่ไม้ตะพดกระทบกัน แล้วทำไม...ชั้นไม่เป็น”
“เจ้าเคยถูกไม้ตะพดทำร้ายรึ”
พันเทพนึกถึงตอนสู้กับศรนารายณ์ แล้วถูกศรนารายณ์ย้อนจากด้ามร่มแทงเข้าท้อง
“ใช่...ชั้นเคย แต่ชั้นกลับไม่รู้สึกอะไรเมื่อไม้ตะพดกระทบกันเลย”
“คนที่โดนไม้ตะพดแทงบาดเจ็บทุกคน ไม่สามารถรอดจากการลงทัณฑ์ของไม้ตะพดได้”
“แต่ชั้น...ไม่เคยเจ็บแผลอีกเลยนับตั้งแต่วันที่โดนแทง”
เวตาลนิ่งคิด...
“ข้ารู้แล้ว...เพราะเจ้าอาจเคยถ่ายเลือดทิ้ง แล้วดำรงชีวิตด้วยเลือดของทายาท ใช่รึไม่”
“ชั้นไม่เคยทำแบบนั้นหรอก”
“คิดดูให้ดี...มันต้องมี ไม่งั้นแผลเจ้าจะต่างจากคนอื่นไม่ได้”
พันเทพคิดทบทวนตอนที่โดนไม้ตะพดแทงแล้วเสียเลือดมาก และมีคนบริจาคเลือดให้
“ชั้นจำได้แล้ว...ตอนนั้นที่ชั้นโดนแทงด้วยไม้ตะพดอาการสาหัส ทิวาพาชั้นไปโรงพยาบาล มีคนบริจาคเลือดให้”
“มันไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะทำให้หายหรอกนะ มันต้องเป็นเลือดของทายาทเท่านั้น”
“เลือดของทายาทเหรอ...งั้นก็แปลว่า...เลือดวันนั้นเป็นของ...”
“ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไรอยู่ เจ้าจงรู้ว่าไว้ว่า เจ้าพ้นคำสาปด้วยเลือดของทายาทของเจ้า”
“ถ้างั้นแกก็ต้องเจ็บปวดกับคำสาปไปตลอดชีวิตสินะ เพราะแกคงไม่มีทายาทที่ไหน”
เวตาลทำหน้าเจ้าเล่ห์รำพึงรำพันในใจ
“แม้ข้าจะไม่มีทายาท แต่หากไม้ทั้งสองมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง มันก็รักษาให้ข้าหายได้ แต่ข้าไม่มีวันบอกเจ้าหรอก”
วันต่อมาราตรีเดินเข้าไปทำความสะอาดห้องเก็บของ เปิดตู้เจอซากเวตาลที่ลอกคราบทิ้งไว้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย...อย่างกับตัวอะไรมาลอกคราบทิ้งไว้แน่ะ”
ทิวาเดินผ่านได้ยินเสียงโวยของราตรี
“มีอะไรน่ะ ส่งเสียงดังเชียว”
“อะไรเนี่ย ยี้...”
ทิวาเห็นซากของเวตาลที่อยู่ในตู้
“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
“จะรู้มั้ย”
“ประหลาด...มันคล้ายๆ กับตัวประหลาดในฝันเลย”
“ตัวในฝันเหรอ” ราตรีหน้าเสีย พยายามไม่เชื่อ “ไม่ใช่หรอกมั้ง ฝันก็คือฝัน จะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง”
“ก็จริง แล้วนี่ของใช้จัดงานวันเกิดเป็นไงมั่ง”
“ไม่ใช่หน้าที่ซะหน่อย”
ราตรีเดินออกไป ทิวาเข้าไปดูคราบของเวตาลใกล้ๆ เขามองมันอย่างพิจารณา
“หรือพ่อจะเลี้ยงตัวประหลาดเอาไว้จริงๆ”
สีหน้าทิวาครุ่นคิด
ที่ท่ารถบขส.เมฆยังมาทำงานตามปกติ แต่เมฆดูอ่อนแอลงกว่าเดิมการลุก การนั่งก็ดูเชื่องช้ากว่าปกติ เมฆกำลังดูครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง
“ทำไมพันเทพต้องช่วยไม้”
“อาเมฆ ลื้อไม่สบายรึเปล่าเนี่ย บ่นอะไรพึมพำอยู่คนเดียว” เจ๊กีถามเมื่อสังเกตเห็น
“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะเจ๊”
“เออ นี่วันอาทิตย์นี้จะถึงวันเกิดอาไกรแล้ว อั๊วว่าจะทำบุญเลี้ยงพระซักหน่อย ลื้อมาด้วยกันสิ”
“ครับ”
“ชวนอาไม้มาด้วยสิ อั๊วได้ข่าวว่าอาไม้ก็เกิดใกล้ๆ กัน”
“วันเดียวกันเลยครับ”
“อาทิวาลูกไอ้พันเทพก็เกิดวันนั้น น่าแปลกนะ เด็กสามคนที่เกิดวันเดียวกันจะมารวมอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันได้”
เจ๊กีหัวเราะเดินจากไป เมฆติดใจกับคำพูดเจ๊กีขึ้นมาทันที เรียกเจ๊กีเอาไว้
“เจ๊ เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอาเมฆ”
“ผมอยากรู้ว่า ตอนเจ๊กีคลอดคุณไกร เจ๊คลอดที่ไหน”
“ก็คลอดที่รพ.ของพวกเรานี่แหละ ลื้อถามทำไมอาเมฆ”
“ถ้างั้นเด็กสามคนที่เจ๊ว่า เมื่อยี่สิบปีก่อนก็นอนอยู่ใกล้ๆ กันที่รพ.สินะ”
ชาญแทรกเข้ามากลางวง
“ด้วยความที่เป็นเด็กน้อย จึงไม่มีใครจำได้ว่าลูกใครเป็นลูกใคร เลยทำให้สลับตัวกันเกิดขึ้น”
“ลื้อพูดอะไรอาชาญ”
“แหะ แหะ ก็กำลังแต่งนิยายน้ำเน่ากันอยู่ไม่ใช่เหรอ ก็เลยมาช่วยเสริมไง ดีมั้ย”
“ลื้อนี่มันเหลือเกินจริงๆ”
เจ๊กีส่ายหน้าระอาชาญแล้วเดินจากไป ชาญยิ้มแห้งรับคำด่า แต่เมฆกลับดูกังวลใจเกี่ยวกับสิ่งที่ชาญพูด

เจ๊กีมาหาไกรที่ห้องทำงานซึ่งขณะนั้นบนโต๊ะทำงานไกรมีหนังสือกองโตเกี่ยวกับป่าไม้วางอยู่ไกรค้นหนังสือเปิดหาเล่มโน้นเล่มนี้
“หนังสือเก่าของพ่อน่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับป่าอาถรรพ์บ้างสิ”
ไกรยังค้นเปิดหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ แล้วเล่มหนึ่งเขาก็เจอรูปเขาตอนเด็กๆ กับพ่อ พ่อไกรถือปืนลูกซองด้วย ไกรหยิบมาดูเจ๊กีเดินเข้ามาพอดี
“ทำอะไรอยู่อาไกร”
“ค้นข้อมูลน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วในมือนั่นอะไร” ไกรยื่นรูปให้เจ๊กี เจ๊กีหยิบมาดูนิ่ง
“ตอนเด็กๆ ผมมักจะโดนเพื่อนล้อเสมอว่าเป็นลูกเก็บมาเลี้ยง เพราะไม่เหมือนทั้งป๊าทั้งม๊า”
“ไม่เหมือนอีน่ะดีแล้ว ไม่งั้นลื้ออาจจะหายเข้าป่าเหมือนอีอีกคน”
“ป๊าเคยพูดเกี่ยวกับป่าอาถรรพ์บ้างมั้ย”
“อั๊วไม่เคยสนใจฟังการเข้าป่าล่าสัตว์ของอีหรอก”
“ตั้งแต่ป๊าหายสาบสูญไปในป่า ม๊าก็เอาแต่ทำงาน ถ้าม๊าไม่หาเวลาพักผ่อนบ้าง ก็ควรจะหาใครซักคนที่เข้าใจนะครับ”
“อั๊วไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก”
“หรือว่าม๊ายังรอป๊ากลับมา...”
เจ๊กีนิ่ง ไม่ตอบ
“ได้เวลาไปเจี่ยปึ่งแล้ว โตแล้วยังให้ม๊าต้องมาตามอีก”
เจ๊กีเดินออกไป ไกรมองตาม
คืนนั้นพันเทพนั่งสมาธิอยู่ในห้องทำงานโดยมีเวตาลยืนคุมอยู่ด้านข้าง
“ที่ใจกลางของป่าอาถรรพ์เจ้าลองเดินเข้าไปสิ เจ้าเห็นอะไรรึไม่”
“ไม่เห็น มันมืดทึบไปหมด”
“เดินเข้าไปอีกสิ เดินเข้าไปตามคำบอกเล่าของข้า”
พันเทพเดินแหวกใบไม้ใบหญ้า เดินเข้าไปตามทางมืดในป่าแทบมองไม่เห็นอะไร เสียงเวตาลดังขึ้นในการเข้าฌานนี้ด้วย คอยควบคุมการเดินของพันเทพ
“เดินเข้าไป เข้าไปอีก”
“ชั้นมองแทบไม่เห็นอะไรเลยเนี่ย ทำไมไม่ให้ชั้นมาตอนกลางวัน”
“กลางวันกลางคืนก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะที่เจ้าเห็นว่ามืดไม่ใช่เพราะไร้แสงสว่าง แต่จิตใจของเจ้าเองต่างหากที่มันมืดมน”
“ไม่ต้องมาหลอกด่า” พันเทพมองเห็นบางอย่าง “ชั้นเหมือนจะเห็นอะไรแล้ว มีบางอย่างเรืองแสงอยู่ตรงนั้น” พันเทพเดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ เห็นชัดขึ้นว่าเป็นฤๅษีที่ตัวแข็งอยู่ในรากไม้ “นี่มันคนนี่”
พันเทพบอกอย่างตกใจ และเพราะตกใจจึงหลุดจากสมาธิ ลืมตาโพลง
“มีคนอาศัยอยู่ในป่าอาถรรพ์ได้ยังไง”
“เจ้าคงตกใจเกินกว่าที่จะสังเกตว่ามันมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต”
“ฤๅษีนั่นตายแล้วงั้นเหรอ”
“ใช่ นั่นคือของอย่างที่สาม ที่เจ้าอยากรู้นักรู้หนาว่าจะฆ่าคนถือไม้ตะพดได้อย่างไร นี่ไง”
“บ้าแล้ว ใครจะเอาฤๅษีมาได้”
“กรีดมาเพียงยางไม้ เลือดฤๅษี เราก็จะสมประสงค์ทุกอย่าง”
พันเทพตาลุกวาว
“เจ้ารู้ทางใช่มั้ย พาชั้นไป”
เวตาลส่ายหน้า
“ป่าอาถรรพ์ ไม่มีใครเข้าไปโดยปราศจากแผนที่ได้หรอก”
“แล้วแกมีแผนที่มั้ยล่ะ”
“แผนที่อยู่บนตำราหนังเสือไงล่ะ”
พันเทพเจ็บใจที่ตำราหนังเสือไม่ได้อยู่กับตน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเมฆ ไม้เพ่งมองไปที่ลายแทงบนหนังเสือ
“ป่าอาถรรพ์ มันมีอะไรในนั้นกันแน่”
เมฆเดินเข้ามาเห็นไม้กำลังพินิจหนังเสือในมือ
“ทำอะไรอยู่ไม้”
“หากต้องเข้าไปในป่าอาถรรพ์ เพื่อทำให้พ่อหาย ผมก็จะทำ”
เมฆลูบหัวไม้
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาการของพ่อ ทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุดก็พอ”
“แต่ผมไม่อยากเป็นลูกผู้ชายแล้ว ผมไม่อยากให้พ่อต้องเจ็บปวด”
เมฆดึงไม้เข้ามากอด
“ขออย่าให้ความจริงมันเป็นอย่างที่พ่อคิดเลย ไม่มีลูกคนไหนดีเท่าลูกของพ่ออีกแล้ว”
“พ่อหมายความว่ายังไง ไม่มีลูกคนไหน พ่อมีลูกคนอื่นอีกเหรอ”
“เปล่าหรอก”
สีหน้าเมฆไม่ค่อยสบายใจ สีหน้าไม้เองก็เป็นห่วงพ่อ
อีกด้านหนึ่งที่ห้องนอนทิวา ทิวากำลังนอนหลับอยู่ในห้องแม้จะหลับแต่ท่าทางทิวากระสับกระส่าย เหงื่อผุดเต็มหน้า เสียงบางอย่างแว่วมา ทิวามีปฏิกิริยากับเสียงนั้น
“อยากรู้ความจริงหรือไม่ มาเป็นทาสของข้า ข้าจะให้เจ้ารู้ความจริงทุกอย่าง มาเถิดทาสข้า ทาสข้า”
ทิวาสะดุ้งตื่นจากฝัน มองซ้ายมองขวาราวกับจะมีอะไรเข้ามาจู่โจม
“แกเป็นใคร ทำไมต้องมาเข้าฝันชั้นทุกคืนทุกคืน เอาแต่หลบอยู่ในฝัน แน่จริงก็ออกมาเจอหน้ากันเลยซี๊”
เสียงก๊อกแก๊กดังทันทีในตู้เสื้อผ้าของทิวา ทิวาหันขวับไปดู เสียงในตู้เงียบไป ทิวาค่อยๆ ลุกจากเตียงจะไปเปิดตู้ เขารวบรวมความกล้าแล้วก็เปิดตู้ทันที ตู้ว่างเปล่าไม่มีอะไร ทิวาโล่งใจ แต่เขาก็ก้มไปเห็นรอยเท้าบางอย่างที่เหยียบบนเสื้อสีขาวของเขา ทิวาหยิบเสื้อขาวที่พื้นตู้มามองอย่าพินิจสงสัย
คืนเดียวกันนั้นขณะที่ไม้นอนหลับสนิท เมฆมองดูหน้าไม้
“ขออย่าให้มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความเป็นพ่อลูกของเราเลย”
เมฆมองหน้าไม้ เขาหยิบไม้ตะพดที่วางไว้ข้างตัวไม้ขึ้นมาดู
เมฆออกมานั่งหน้าบ้าน เพ่งมองไม้ตะพดในมือท่ามกลางแสงจันทร์
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชั้นเชื่อว่าไม้ตะพดจะต้องตกไปอยู่ในมือของคนที่ดีที่สุด”
เมฆดูบาดแผลตนที่มีเลือดซึมออกมาอีก เขาเหม่อมองออกไปอย่างมีความหวัง
ทิวานอนหลับไปแล้ว ข้างตัวมีผ้าขาวที่เปื้อนรอยเท้าเวตาลวางอยู่ เวตาลปรากฏตัวขึ้นมองทิวา
“เจ้าเรียกข้ามาเองนะ เจ้าเปิดใจให้ข้าเอง”
เวตาลหลับตาสัมผัสตัวทิวา ทิวาลุกขึ้นนั่งราวกับถูกสะกดจิต
“เป็นดวงตาให้ข้า”
ทิวาลืมตาโพลง พร้อมๆ กับที่เวตาลหลับตา ทิวาเดินแข็งทื่อออกไปจากห้อง แววตาเหมือนเวตาล
ทิวาเดินทื่อไปตามถนนหมาเห่าเกรียว ทิวาก็เดินต่อไปจนถึงบ้านเมฆ เมฆกำลังนั่งดูไม้ตะพดอยู่ได้ยินเสียงหมาเห่าเกรียวจึงรีบหาที่ซ่อนไม้ตะพดแล้วชะเง้อดู
“เห่าอะไรของมัน”
ทิวายังตัวแข็งทื่อ เอาไม้ทุบหมาอย่างไม่ปราณี หมาร้องเอ๋ง จนเงียบไปในที่สุด เมฆนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหมาร้องเอ๋ง จึงเดินออกไปดู
เมฆเดินมาเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่หน้าบ้านจึงร้องถาม
“นั่นใครน่ะ”
ทิวาตกใจหันขวับมาดู ในมือถือซากหมาตายจะเอากลับไปให้เวตาล ทิวามองเมฆด้วยแววตาของเวตาล
“ทิวา เธอเหรอ ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น” ทิวาจะวิ่งหนีไปพร้อมซากหมา เมฆคว้าแขนทิวาไว้ “นั่นจะไปไหน” เมฆมองเห็นซากหมา “นั่นเธอทำอะไรลงไปน่ะ”
ทิวาจะหนี แต่เมฆยื้อไว้
ร่างเวตาลที่นั่งหลับตาอยู่ในห้องทิวาเริ่มหน้าเครียดกับสถานการณ์ที่เจอ เวตาลมองเห็นเมฆแบบเบลอๆ ผ่านสายตาทิวา ทิวาก็พยายามหนีแต่เมฆก็รั้งไว้
“เธอมาฆ่าหมาคนอื่นแบบนี้ไม่ได้ เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
ทิวาผลักเมฆกระเด็นล้มลงไป แต่แทนที่เมฆจะปล่อยทิวาไปเหมือนทุกครั้ง คราวนี้เขาไม่ยอม เมฆใช้มือกระแทกเข้าที่ข้อพับขาทั้งสองข้าง ทำเอาทิวาล้มพับลงไป ทิวาหันมาจ้องหน้าเมฆ
“การเริ่มต้นฆ่า มันจะทำให้เธอไม่เห็นคุณค่าชีวิตของคนอื่น เธอต้องยอมรับผิดกับเจ้าของหมา พ่อเธอไม่เคยสอนบ้างรึไง”
ทิวานิ่งจ้องหน้าเมฆเขม็ง ไม่ตอบ เวตาลที่หลับตาพูดขึ้น
“แกจะยุ่งเรื่องของคนอื่นมากไปแล้ว”
เวตาลมองผ่านสายตาทิวาเห็นเมฆเบลอๆ ทิวาเข้ามาหวังจะฆ่าเมฆให้ตาย แต่เมฆก็หลบ ปัดป้อง เหมือนคนสู้ไม่เป็น แต่ว่าเก่งมาก ทิวาทำอะไรไม่ได้ แม้จะมีไม้หน้าสามเป็นอาวุธ แล้วยังอ่อนแอลงเพราะฤทธิ์เวตาลที่อ่อนพลัง ทิวารีบใช้โอกาสนี้วิ่งหนีเตลิด เมฆพยายามขัดไว้ แต่ทิวาก็หนีไปได้ในที่สุด
ทิวาวิ่งกระหืดกระหอบหนีมา ขณะที่เมฆเจ็บใจที่จับทิวาไว้ไม่ได้
“แปลกมาก”
ไม้เดินออกจากบ้านมาหาเมฆ
“พ่อ เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อมาอยู่ตรงนี้”
“หมามันเห่าน่ะ พ่อเลยออกมาดู”
“แล้วไป นึกว่ามีใครมาทำอะไรพ่อซะอีก” เมฆยิ้มๆ “เข้าบ้านเถอะพ่อ นี่ก็ดึกแล้ว พ่อยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่”
ไม้เดินนำเมฆเข้าบ้าน เมฆเจ็บบาดแผลของตนอีกครั้ง เห็นเลือดซึมออกมามากกว่าเดิม
ทิวากระหืดกระหอบกลับมาบ้าน เวตาลลืมตาโพลงในความมืด เวตาลหอบทันทีกับการวิ่งกลับมาทิวา เวตาลไอค่อกแค่กจากที่ร่างกายยังไม่สมบูรณ์มาก
“พวกแกจำไว้ แกทำพลังชั้นฟื้นตัวช้ากว่าเดิม” สีหน้าเวตาลเจ็บใจ “อาหารของข้า”
ทิวานอนหลับอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องใดๆ
วันต่อมาทิวาตื่นขึ้นบนเตียง เขาทบทวนความฝันอย่างแปลกใจ
“ฝันประหลาดแท้ๆ มีไอ้เป๋นั่นได้ไง”
ทิวาจะลุกจากเตียง แต่ต้องตกใจที่เห็นมือตัวเองเปื้อนเลือด
“มาได้ไงเนี่ย”
ทิวารีบลุกเข้าห้องน้ำล้างมือให้สะอาด ขณะล้างมือก็คิดถึงความฝันตอนที่สู้กับเมฆ แม้ท่าทางเมฆเหมือนคนสู้ไม่เป็นแต่ตอบโต้ได้ดีมาก
“บ้าสิ มันก็แค่ฝัน ไอ้เป๋นั่นสู้ได้คล่องแคล่วมันจะเป็นความจริงได้ยังไง ไม่มีทาง”
ทิวาปฏิเสธสิ่งที่ตนรับรู้
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นเมฆกำลังขุดหลุมฝังศพหมาให้กับคนข้างบ้าน เมฆมองมันอย่างเวทนา
“น่าแปลกนะ เลี้ยงมันมาก็หลายปี ไม่เคยวิ่งออกมาถนนเลย มันกลัวรถยังกับอะไร” เมฆยิ้ม “รถที่ชนมันเป็นรถอะไรนะ”
“เอ่อ...รถ รถบรรทุกน่ะจ้ะ”
“ถึงว่าเละเทะเลย ไอ้คนขับรถนี่ก็ใจร้ายนัก ไม่ใยดีเลย”
เมฆได้แต่ยิ้มไม่โต้ตอบ เขาเอาหมาลงหลุมแล้วฝังกลบ แต่มีสีหน้ากลุ้มใจ
ขณะนั้นพันเทพนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกี่ยวกับข่าวที่เอาตัวเองเข้าไปช่วยไม้ หนังสือพิมพ์แซวว่าเพื่อเรียกคะแนนเสียงเลือกตั้งที่โพลออกมาไม่ดี พันเทพเครียด ราตรีเดินเข้ามา
“กำลังยุ่งอยู่รึเปล่าคะพ่อ”
“ก็นิดหน่อย เรามีเรื่องอะไร”
“พอดีว่าราตรีบังเอิญได้ยินว่าพ่อกำลังตามหาของบางอย่าง”
“ของอะไร”
“ตำราหนังเสือ ใช่มั้ยคะ”
“ลูกพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม”
“ก็เพราะราตรีคิดว่าราตรีรู้…ว่ามันอยู่ที่ใคร”
“ว่าไงนะ”
“ถ้าตำราหนังเสือที่พ่อว่ามันมีสองชิ้น แล้วเขียนข้อความเกี่ยวกับไม้ตะพด ด้านหลังก็มีลายแทงไปที่ไหนซักที่ละก็ราตรีรู้ค่ะว่าอยู่ที่ใคร”
“ราตรี ลูกสร้างความหวังครั้งใหม่ให้กับพ่ออีกแล้ว มันอยู่ที่ใคร” พันเทพถามอย่างดีใจ
“อยู่กับลูกชายเจ๊กีค่ะ”
“ไอ้พวกนี้เอาตัวเข้ามาแส่ไม่เข้าเรื่องสินะ”
“แต่ถ้าจะให้ราตรีแนะนำ…ราตรีไม่อยากให้พ่อไปเอามาด้วยตัวเองนะคะ เพราะหนังสือพิมพ์มันหูไวตาไวจะตาย”
“ขอบใจมากลูก สมกับเป็นลูกพ่อจริงๆ”
“พ่อจะให้ใครช่วยคะ ให้ราตรีทำให้มั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก พ่อไม่อยากให้มือลูกเปื้อน คนติดหนีบุญคุณพ่อมีเยอะแยะไป”
พันเทพลูบหัวราตรีอย่างเอ็นดู ราตรีภูมิใจที่เอาใจพ่อตนได้
เวลาผ่านไป...พันเทพนั่งที่โต๊ะทำงานเหมือนเคย สมุนลากเต็กกงเข้ามาในห้อง เต็กกงทำท่าผยองเมื่อมาตรงยืนหน้าพันเทพ
“เชิญกันมาดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องให้คนไปลากมาแบบนี้เลย”
“ไหน ที่บอกจะเป็นหัวคะแนนให้ ชั้นไม่ลืมหรอกนะที่แกพูดไว้”
“จะให้คนเป็นหัวคะแนนแล้วปฏิบัติตัวด้วยแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
พันเทพลุกเดินเข้ามาตบเต็กกงจนหน้าหัน เต็กกงตกใจจะชกกลับ แต่สมุนพันเทพทุกคนชักปืนจ่อทำให้เต็กกงชะงัก
“มากกว่านี้ชั้นก็ทำได้ ชั้นไม่ยึดสัมปทานรถปรับอากาศของแกก็ดีเท่าไหร่แล้ว แกอย่าลืมสิ ชั้นคือคนที่ไว้ชีวิตแก ดังนั้น...ชีวิตที่เหลือของแก เป็นของชั้น ชั้นจะทำอะไรยังไงกับแกก็ได้เข้าใจไว้ด้วย”
เต็กกงแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“มีอะไรจะให้ทำก็ว่ามา”
“รับรองว่าเป็นงานที่แกถนัดแน่ๆ มีคนมาขโมยของของชั้นไป ชั้นอยากได้คืน”
“ของประเภทไหน”
“ก็แค่หนังเสือธรรมดา ของจากบรรพบุรุษ ถ้าเอามาไม่ได้ คนซวยก็คือแกจำไว้ด้วย”
เต็กกงมีสีหน้าไม่พอใจนัก
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเมฆ ไม้นั่งกลุ้มใจถอนหายใจอยู่หน้าบ้าน อบเชยแวะมาหา
“เป็นอะไรน่ะไม้ มีอะไรไม่สบายใจเหรอ”
“เรื่องพ่อน่ะ”
“ลุงเมฆเป็นอะไร”
“อาการไม่ค่อยดีเลย”
“อ้าวก็ผ่าตัดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อาการมันกลับมากำเริบอีกน่ะ”
“แบบนี้จะทำยังไงล่ะ”
“ก็คงต้องหาวิธีรักษาพ่อก่อน นี่จันทร์ก็ว่าจะมาช่วย”
จันทร์กับชาญเดินมาหน้าบ้านพอดี
“นี่ถึงกับนั่งรอเลยเหรอแก”
“หาวิธีได้รึยังล่ะ”
“ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเสือเลยมันก็ยากว่ะ”
“จริงๆ ไม่ฉลาดอย่างที่พูดรึเปล่า”
“เฮ้ย...อะไรวะเนี่ยพี่ชาญ อุตส่าห์ให้เข้าพวกด้วยแล้วนะ”
“ใช้คำว่าอุตส่าห์เลยเหรอ”
“พอก่อนๆ ปัญหาเก่ายังไม่ได้แก้ จะสร้างปัญหาใหม่กันทำไมเนี่ย”
“ถ้าเรื่องเกี่ยวกับหนังเสือ ตอนที่ไอ้พันเทพมันจับชั้นไว้ ชั้นเคยได้ยินมันพูด”
อบเชยนึกถึงตอนที่พันเทพพูดเกี่ยวกับตำราหนังเสือว่าพวกอบเชยกำลังรวบรวมของสามสิ่งเพื่อจะมาฆ่าเค้า
“ไม้ตะพดฆ่ากันเองไม่ได้ ต้องใช้ของอีก 2 สิ่งงั้นเหรอ”
“ใช่ ซึ่งก็คือตำราหนังเสือ แล้วก็ของวิเศษซึ่งพันเทพก็ไม่ได้พูดว่าคืออะไร”
“ถ้างั้นลายแทงในตำราหนังเสือ อาจจะนำไปสู่สิ่งของอย่างสุดท้าย”
“ของที่ไม่รู้ว่าคืออะไร”
“ชั้นยังไม่สนเรื่องของสามอย่างนั่นหรอกนะ ชั้นอยากช่วยพ่อก่อน เพราะแผลของพ่อที่โดนไม้ตะพดแทงจะเจ็บปวดทุกครั้งที่ไม้ทั้งสองอันกระทบกัน ถ้ายังเป็นแบบนี้ไม่มีทางที่ลูกผู้ชายจะสู้กับพันเทพได้เลย”
“ว่าแต่พ่อแกไปโดนไม้ตะพดแทงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็ตั้งแต่พ่อป่วยนั่นแหละ รักษาเหมือนจะหาย”
“ป่าอาถรรพ์นั่นไง ...อุดมไปด้วยสมุนไพร แต่มันเป็นสมุนไพรต้องห้าม เพราะถ้าใครใช้ไม่เป็นน่ะ ถึงขั้นตายได้เลย”
“แล้วพี่ใช้เป็นรึเปล่า” ไม้ถามชาญ
“อย่าว่าแต่เรื่องใช้เป็นใช้ไม่เป็นเลย คนที่จะเข้าไปเอาสมุนไพรในป่าอาถรรพ์ ไม่เคยกลับออกมาได้ซักคน ข้าถึงบอกพวกเอ็งไง ว่าถ้าจะไป ข้าพาไปส่ง แต่ไม่ขอเข้าไป”
“แต่ชั้นไม่กลัว ขอแค่พ่อหาย อีกอย่างเราก็มีลายแทงนี่แล้ว”
“เรื่องกลัว ชั้นก็ไม่กลัวหรอก แต่ไหนๆ ถ้าจะเข้าไปแล้วชั้นว่าเราก็ควรจะสืบให้รู้ไปเลยว่าของอย่างที่ 3 ที่ไอ้พันเทพพูดถึงมันคืออะไรกันแน่”
“ชั้นเห็นด้วยกับจันทร์”
“ถ้างั้น เราจะรู้ได้ยังไง”
ทุกคนไปมองหน้ากัน

ส่วนที่บ้านเจ๊กี ขณะนั้นแพรวาขับรถมาจอดหน้าบ้านเจ๊กี แพรวาครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกำลังจะทำ แพรวามองกระจกมองหลังคุยกับเงาสะท้อนตัวเอง
“ชั้นจะไม่ยอมให้เธอทำร้ายจิตใจคุณไกรหรอกราตรีวันนี้ชั้นจะเป็นคนบอกคุณไกรเองว่าเธอเป็นแฝดที่กำลังมาปั่นหัวเค้าอยู่ พอกันทีราตรี”
แพรวาสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า ก่อนจะก้าวลงจากรถ
แพรวาเข้ามานั่งในห้องรับแขก แม่บ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เธอก่อนที่ไกรจะเดินเข้ามา
“อ้าวคุณแพรวา นึกว่าใครซะอีก” แพรวายิ้ม “จะมาชวนออกไปเที่ยวไหนรึเปล่าครับเนี่ย”
“เปล่าค่ะ”
“วันก่อนที่คุณแพรวาพาผมไปเที่ยว สนุกมากเลยนะครับผมชอบมาก”
“เหรอคะ”
“คุณแพรวาพักหลังๆ นี่ สดใสดีนะครับ ยิ่งล่าสุดที่เราไปให้อาหารปลาด้วยกัน ผมชอบให้คุณเป็นแบบนั้น”
“ก่อนหน้านั้น...ชั้นดูเป็นไงเหรอคะ”
“ผมว่าเมื่อก่อนคุณดูเรียบร้อยไปหน่อย ขาดสีสัน น่ะครับ คงไม่เป็นไรนะครับที่ผมพูดตรงๆ”
แพรวายิ้มเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“แล้ววันนี้คุณแพรวามาหาผมถึงนี่มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณไกรเบื่อที่จะให้อาหารปลารึเปล่าละคะ”
“ไม่เบื่อครับ”
“ชั้นขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
แพรวาเข้าห้องน้ำปิดประตูมองกระจก น้ำตาหยด
“คุณไกรชอบเธอ ราตรี คุณไกรชอบเธอ” แพรวาถอนหายใจ ทำหน้าเข้มแข็ง “แต่เธอไม่ได้ชนะหรอกนะ เพราะชั้นจะไม่ยอมแพ้ เธอเป็นชั้นได้ ชั้นก็เป็นเธอได้เหมือนกัน”
แพรวาปาดน้ำตา ก่อนจะทำเป็นสดใสเดินมาหาไกรที่ยืนรออยู่
“พร้อมแล้วค่ะ เราไปกันเถอะ”

ไกรยิ้มให้แพรวาแล้วพากันเดินออกไป

อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.




 ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 8 (ต่อ) 


ส่วนที่บ้านเมฆเวลานั้น ไม้มองรูปตัวเองกับพ่อที่ถ่ายคู่กัน อบเชยเดินเข้ามาเห็นเดินมานั่งข้างๆ

“ไม้...ชั้นขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อืม”
“เรื่องลูกผู้ชายน่ะ” ไม้นิ่งมอง “ตั้งแต่ลุงเมฆไม่สบาย ลูกผู้ชายที่ชั้นเห็น ก็คือ...” ไม้นิ่งเดินหนีอบเชย ลำบากใจจะตอบ อบเชยเดินตามดึงแขนเสื้อไม้ไว้ “อย่าเดินหนีสิ ตอบมาก่อน แค่พยักหน้าก็ได้”
การที่ไม้เดินหนีและอบเชยดึงแขนเสื้อไว้ทำให้คอเสื้อยืดเปิดออกเห็นชุดลูกผู้ชายที่ไม้ใส่ไว้ข้างใน
อบเชยมองตาโต ไม้ไม่พูดอะไร
“ไม่ต้องตอบละ เคลียร์”
“แต่ช่วงนี้ชั้นคงได้แต่อยู่เฉยๆ ทำเรื่องเกี่ยวกับพันเทพไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกถ้าไม้ตะพดสองอันกระทบกันเมื่อไหร่ พ่อจะทรมานมาก ทำให้พ่อตัวเองเจ็บปวดเป็นฮีโร่ไปก็ไม่ได้มีค่าอะไรหรอก”
“แล้วลูกผู้ชายสู้กับพันเทพโดยไม่มีไม้ตะพดไม่ได้เหรอ”
“ชั้นไม่เก่งขนาดนั้นหรอกอบเชย”
แล้วจันทร์กับชาญก็เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะพอดี ไม้รีบดึงเสื้อขึ้นปกติ
“ชั้นคิดแผนออกแล้ว”
ไม้กับอบเชยรีบแยกจากกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่ทำอะไรกันอยู่น่ะ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ”
“บ้าเหรอ คิดอะไรไปโน่น”
“เห็นนะ เมื่อกี้ทำท่าใส่เสื้อด้วย”
“เสื้อคอมันย้วย แค่จับให้เข้าที่เฉยๆ” ไม้บอก
“นั่นแน่ะ”
“แล้วไหนแผนอะไร ว่ามาซิ” อบเชยรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ถ้าอยากรู้ว่าของวิเศษที่ไอ้พันเทพพูดถึงอย่างที่สามคืออะไร ก็ต้องให้คนวิเศษเข้าไปหา”
“คนวิเศษที่ว่าคือใครกัน”
“ก็ลูกผู้ชายไง”
“เดี๋ยวนะ ลูกผู้ชายเนี่ยนะ เค้าจะมาทำอะไรแบบนั้นให้เอ็งรึไง”
“แล้วอีกอย่าง ไม้ก็บอกไปแล้วว่า ถ้าไม้ตะพดลูกผู้ชายกระทบกับไม้ตะพดของพันเทพ ลุงเมฆจะเจ็บปวด”
“ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องใช้ตัวจริงสิ”
“ไม่ใช้ตัวจริง”
“อย่าบอกนะว่าพวกเธอกำลังหมายถึง...”
อบเชยตาโตด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าจันทร์หมายถึงใคร
ขณะนั้นศรนารายณ์กำลังคุมเด็กส่งน้ำแข็งอยู่ในตลาด
“เอ๊า ขนดีๆ สิ เสิร์ฟให้ลูกพี่เค้าถึงที่ นี่พี่เค้าเป็นลูกค้าประจำเลยนะ”
ชาญ จันทร์ อบเชย ไม้ แอบดูอยู่
“ไม่มีทางหรอก ชั้นไม่ให้พ่อชั้นเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นแน่” อบเชยบอก
“นี่อบเชยคิดดูดีๆ พ่อเธอน่ะเป็นนักมวยแชมป์โลกนะ แล้วก็เคยสู้กับพันเทพมาตั้งหลายครั้ง พ่อเธอเอาตัวรอดได้อยู่แล้วน่า”
ชาญพยักหน้าเห็นด้วย
“ชุดพร้อม หน้ากากพร้อม อุปกรณ์ครบด้วยคนนี้”
“นี่พวกเธอรู้ด้วยเหรอว่าพ่อชั้นเคยปลอมตัวเป็นลูกผู้ชายน่ะ”
“ไม่ต้องห่วง มีแค่พวกเราเท่านั้นแหละน่า” อบเชยนิ่งคิด “หรือเธอจะไปตามลูกผู้ชายตัวจริงมาสู้กับพันเทพ แต่อย่าลืมนะว่าต้องไม่ใช้ไม้ตะพด ซึ่งอาจจะสู้พันเทพไม่ได้เลยก็ได้”
“นี่แกว่าลูกผู้ชายไม่เก่งงั้นเหรอ มาต่อยกันเลยดีกว่า”
“ใจเย็นน่าพี่”
อบเชยมองไม้อย่างเป็นห่วง
“เอาล่ะ อย่างน้อยพ่อก็เจนสนามมากกว่า ดีกว่าให้คนอื่นไปเสี่ยง แล้วจะให้พ่อไปทำอะไรบ้าง”
“ก็แค่แสดงละคร พ่อเธอทำได้อยู่แล้วน่า”
อบเชยถอนหายใจ ไม้จึงลากอบเชยมาคุยกันสองคน
“ชั้นไม่อยากให้อาศรไปเสี่ยงแทนชั้นนะอบเชย เพื่อพ่อแล้วถึงตายชั้นก็ยอมได้”
“ชั้นคิดดูแล้วนะ มันมีเรื่องที่ลูกผู้ชายต้องเสี่ยงอีกเยอะโดยที่ไม่มีใครสามารถทำแทนได้ด้วย”
“แต่ถ้าอาศรเป็นอะไรไป...”
“พ่อชั้นไม่เป็นอะไรง่ายหรอกไม้ พ่อเอาตัวรอดเก่ง”
ไม้ถอนหายใจห่วงศรนารายณ์

ไกรกับแพรวาพากันมาให้อาหารปลาที่ท่าน้ำของวัด ไกรให้อาหารปลา ปลามาแย่งกินกันใหญ่ แพรวาแอบมองไกรที่ดูอ่อนโยน
“มองอะไรครับ” ไกรหันมาถาม
“เปล่าค่ะ”
แพรวาเฉไฉให้อาหารปลาต่อ
เย็นวันนั้นอบเชยพาไม้ จันทร์ ชาญมาที่บ้าน ศรนารายณ์ได้ฟังเรื่องจากเด็กๆ แล้วถึงกับส่ายหน้า
“ไม่เอาด้วยหรอกงานแบบนี้”
ศรนารายณ์ปฏิเสธทันทีที่ได้ยินจากปากจันทร์
“แต่ของแบบนี้ มีแต่คุณศรนารายณ์ แชมป์โลก 14 สมัยเท่านั้นละครับที่ช่วยได้”
“เล่นเอาความจริงมาพูดแบบนี้...” ศรนารายณ์ชั่งใจ “แต่ชั้นไม่เคยปลอมตัวเป็นลูกผู้ชายซักหน่อย พวกเธอเข้าใจผิดแล้ว”
“น่าพ่อ ช่วยพวกนี้หน่อยเถอะ”
ศรนารายณ์มองหน้าอบเชย
“นี่ลูกก็เอากับเค้าด้วยเหรอเนี่ย ไหนเคยห้ามพ่อไว้ว่าอย่าปลอมตัวเป็นคนอื่นไง”
“ครั้งนี้หนูอนุญาต”
ศรนารายณ์นิ่งคิดจันทร์สมทบ
“ถ้าทำได้ นี่เป็นยิ่งกว่าฮีโร่อีกนะครับ”
“แถมยังได้ช่วยคนอื่นอีก”
“คิดดูสิ ถ้าชาวบ้านรู้ จะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน”
“เออ พอแล้ว ตกลงตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาโน้มน้าวหรอก”
จันทร์ ชาญ ไม้ อบเชย มองหน้ากันยิ้ม แต่ไม้ยังไม่ค่อยสบายใจนัก
ไกรกับแพรวาเดินยิ้มแย้มกลับมาที่รถ แก๊งค์วินมอเตอร์ไซค์ก็เข้าล้อมไกรกับแพรวาไว้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
เต็กกงเดินตามออกมาหลังสุด
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“นี่แกอีกแล้ว”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์กระซิบกับเต็กกง
“นี่มันลูกสาวคุณพันเทพนะครับ จะจับไปด้วยเหรอ”
เต็กกงมองแพรวาอย่างเจ้าเล่ห์
“จับไปด้วยสิยิ่งดี ถือเป็นของแถมจากชั้นให้กับไอ้พันเทพ” เต็กกงหัวเราะ
“แต่”
“อย่าเรื่องมาก ชั้นเป็นคนจ่ายเงินพวกแกนะ ไม่ใช่ไอ้พันเทพ พวกแกต้องฟังคำสั่งชั้นคนเดียว”
แก๊งวินมอเตอร์ไซด์นิ่งไม่กล้าขัด “ดี จับมันทั้งคู่นั่นแหละ”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์เข้าล้อมไกรกับแพรวา มีเต็กกงยืนยิ้มคอยคุม ไกรพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองและแพรวา
“ชั้นกับแม่ไปทำอะไรให้แกนักหนารึไง ทำไมชอบมาวุ่นวายกับเรา”
ไกรต่อสู้กับแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไกรเป็นต่อแต่พอได้ยินเสียงแพรวาร้องเสียงดังเพราะโดนเต็กกงฉุดกระชากลากถูไปไกรก็เสียสมาธิ
“โอ๊ย เจ็บนะ”
“คุณแพรวา”
ไกรเสียสมาธิกับแพรวา จึงโดนแก็งวินมอเตอร์ไซค์เอาไม้หน้าสามฟาดเซล้มไป เต็กกงอมยิ้ม แพรวามองไกรอย่างเป็นห่วง
“คุณไกร”
เต็กกงจับไกรกับแพรวามาที่โกดังแล้วมัดทั้งคู่ไว้กับเสาคนละต้น เต็กกงเดินมายืนตรงหน้าไกร
“ที่ชั้นจับแกมาวันนี้ เพราะว่าชั้นต้องการตำราหนังเสือที่อยู่ที่แก”
“ตำราหนังเสือ..แกมาช้าไป”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าชั้นไม่มีตำราหนังเสือแล้ว”
“โกหก”
“ต่อให้แกฆ่าชั้น แกก็ไม่มีวันเจอหนังเสือหรอก”
“งั้นก็มาลองกันดูว่าแกจะพูดแบบนี้ได้ตลอดรึเปล่า” เต็กกงหันมาสั่งแก๊งค์วินมอเตอร์ไซค์ “จัดการ”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์รุมซ้อมไกรแบบไม่ยั้งมือ จนแพรวาทนดูไม่ได้
“หยุดเถอะ ชั้นขอร้อง อยากรู้อะไรให้มาถามชั้นนี่”
“แหม ลูกสาวไอ้พันเทพนี่มันช่างต่างกับพ่อมันสิ้นดี แกไม่ต้องห่วงหรอกนะ เดี๋ยวถึงเวลาแกก็ไม่ได้แค่ยืนเฉยๆแน่” เต็กกงหันมาคาดคั้นไกรต่อ “จะบอกหรือไม่บอก”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นศรนารายณ์แต่งชุดเป็นลูกผู้ชายมายืนอยู่หน้ารั้วบ้านพันเทพ
“น้าศรน้าอย่ามีพิรุธเข้าใจมั้ย ท่องไว้ในใจ เราเกิดมาเพื่อผดุงความยุติธรรม เราคือลูกผู้ชาย”
จันทร์บอก ศรนารายณ์ในชุดลูกผู้ชายพยักหน้ารับ
“พ่อ...ถ้าไม่ไหวต้องหนีนะ อย่าฝืนสู้ รู้มั้ย”
อบเชยบอก ศรนารายณ์พยักหน้ารับ
“อืม”
“ระวังตัวด้วยนะครับอาศร”
ไม้บอกศรนารายณ์พยักหน้ารับ
“อย่าทำเสียชื่อลูกผู้ชายที่สั่งสมมานะพี่ศร” ชาญบอก
“นี่พี่ชาญ คนอื่นเค้าสั่งเสีย นี่ออกแนวฝากความหวังนะเนี่ย”
“ก็ไม่รู้พูดอะไรดี ทุกคนชิงพูดไปหมดแล้วนี่”
“ถ้างั้นก็เข้าไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาเลย”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมๆ กัน ศรนารายณ์ถอนหายใจ รวบรวมความกล้า
ศรนารายณ์เดินแอบๆสมุนพันเทพที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ทั่ว ซอกแซกเข้าไปในบ้าน ขณะนั้นที่โกดังไกรถูกซ้อมจนน่วมไปทั้งตัว แพรวาได้แต่ยืนมองอย่างเวทนา เต็กกงถามไกร
“ตกลงจะบอกหรือไม่บอกว่าตำราหนังเสืออยู่ไหนกันแน่”
“ไม่รู้ มันไม่ได้อยู่ที่ชั้น”
“อึดดีจริงๆ ได้... จัดไปให้มันอีกชุดนึง”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์เข้ารุมไกรอีกครั้ง แพรวายืนมองเศร้าๆ เธอเหลือบไปเห็นมีดปอกผลไม้อยู่ไม่ไกลนัก แพรวาจึงพยายามจะเอามีดมาตัดเชือกให้ได้ โดยไม่ให้เต็กกงสังเกตเห็นเสียงโทรศัพท์เต็กกงดังขึ้นพอดี เต็กกงรับโทรศัพท์เป็นโอกาสที่ดีของแพรวาที่เอามีดมาจนได้
“เออ...แล้วลื้อเตรียมรถเปล่าตีเข้ากรุงเทพตามที่อั๊วสั่งรึยัง จอดอยู่หน้าบ้านอั๊วด้วย แล้วมาจอดทำไม ...ตัดสินใจไปเลย เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ...แล้วให้มันขนของกลับมากับรถนั่นแหละ...จัดการให้เรียบร้อยล่ะ อั๊วมีธุระ...อยากให้ดูของก่อนอีก เออ เดี๋ยวอั๊วไป” เต็กกงวางหูแล้วมองไกรกับแพรวาท่าทางทั้งคู่ไม่น่าหนีไปได้ “ไปพักก่อน เดี๋ยวอั๊วไปธุระแป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมาสภาพนี้แล้วไม่มีปัญญาหนีหรอก” แก๊งวินมอเตอร์ไซค์พยักหน้ารับ พากันแยกย้ายไปพัก เต็กกงจ้องหน้าแพรวา “อย่าคิดหนีนะ ไม่งั้นโดนหนักแน่”
เต็กกงเดินไป พอเต็กกงเดินไปแล้วแพรวารีบเอามีดตัดเชือดจากด้านหลัง สายตาก็มองคนอย่างระแวดระวัง แล้วเธอก็ตัดเชือกขาดในที่สุด แพรวารีบวิ่งไปตัดเชือกให้ไกร
“คุณไกรอดทนไว้นะคะ ชั้นจะพาคุณหนีไปให้ได้”
ไกรแทบไม่มีแรงพูด เธอตัดเชือกไกรจนขาดแล้วพยุงไกรแอบหนีออกไป
ศรนารายณ์ในชุดลูกผู้ชายเดินเข้ามาในห้องนอนพันเทพ ได้ยินเสียงอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ศรนารายณ์มองดูโต๊ะในห้องนอน หาเอกสารหรือหนังสือที่เกี่ยวกับไม้ตะพดแต่ก็ไม่มี
“มันต้องมีหนังสือซักอย่างที่เกี่ยวกับไม้ตะพดสิ ไม่งั้นไอ้พันเทพจะรู้ได้ยังไง ว่าต้องหาอะไรมารวมกับอะไร ทำไมไม่มีนะ หรือว่ามันมีคนคอยบอกก็ไม่น่าเป็นไปได้” เสียงน้ำในห้องน้ำเงียบไป ศรนารายณ์รีบหาที่ซ่อน “ซวยละ”
ศรนารายณ์เปิดประตูไปหลบที่ระเบียง พันเทพเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ พันเทพมองซ้ายมองขวารู้สึกผิดสังเกตบางอย่าง
ศรนารายณ์ยืนเอาหูแนบฟังข้างประตู ศรนารายณ์ได้ยินเสียงเปิดประตูและปิด
“อ้า...ออกไปแล้วสินะ”
ศรนารายณ์ค่อยๆ แง้มประตูเปิดกลับเข้าไปในห้องอย่างระวัง
ศรนารายณ์ในชุดลูกผู้ชายค่อยๆ ย่องเข้ามาในห้องพันเทพอีกครั้ง แต่คราวนี้ผิดคาด
พันเทพเดินออกมาจากที่ซ่อนเพราะรู้ทันศรนารายณ์
“นึกว่าใคร...ลูกผู้ชายนี่เอง” ศรนารายณ์สะดุ้งสุดตัว หน้าเสีย “คราวนี้บุกถึงห้องนอนเลยนะ”
ขณะนั้นแพรวากำลังจะพาไกรออกไปจากโกดัง แก๊งวินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเข้ามาเห็นพอดี
“นั่นคิดจะหนีเหรอ” แพรวาตกใจ รีบพาไกรวิ่งออกไปทันที “พวกเรา พวกมันหนีไปแล้ว ตามมาเร็ว” แก๊งวินมอเตอร์ไซค์กรูกันวิ่งมา “ทางนั้น”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์วิ่งตามออกไป แพรวาพาไกรหนีอย่างทุลักทุเลพยายามจะออกไปจากบ้านเต็กกงให้ได้
ส่วนที่ห้องนอนพันเทพ พันเทพกับศรนารายณ์ประชันหน้ากัน
“ลูกผู้ชายคนนี้นี่ทำตัวแปลกๆ นะ ไม่เที่ยวผดุงความยุติธรรม เอาเวลามาปีนบ้านคนอื่นแทน ดี ชั้นชอบแบบนี้ ใจถึงดี”
ศรนารายณ์อึกอักๆ
“ชั้นทำแบบนี้ ก็เฉพาะคนชั่วอย่างแกเท่านั้นแหละ”
“ชั้นเห็นแววบางอย่างในตัวเธอลูกผู้ชาย...” พันเทพเข้าใจว่าเป็นไม้ที่สวมชุดลูกผู้ชายอยู่ “เธอทำทุกอย่างเพื่อให้คนยอมรับในตัวเธอใช่มั้ยจริงแล้วถ้าเธอมาอยู่กับชั้น เธอจะยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเป็นอยู่อีกนะ”
“มัวพูดพล่ามอยู่ได้ จะบอกอะไร สิ่งที่ชั้นเป็นอยู่น่ะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว”
“ยิ่งใหญ่ภายใต้หน้ากากเนี่ยนะเหรอ ยิ่งใหญ่ที่สุด มันต้องอย่างชั้นสิ ไม่ว่าตอนไหน ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแต่คนกลัวเกรง ไม่ต้องพึ่งหน้ากากเหมือนเธอ จริงมั้ย”
“มันพยายามจะทำอะไรของมันวะเนี่ย” ศรนารายณ์พึมพำอย่างแปลกใจ
“ถอดหน้ากากออกมาเหอะ ชั้นรู้ว่าเธอเป็นใคร...เรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า”
“เลิกพูดหว่านล้อมได้แล้ว เสียเวลาเปล่า จุดประสงค์ของชั้นมาเพื่อฆ่าแก รู้ไว้ซะด้วย”
พันเทพหัวเราะ
“คิดจะฆ่าชั้นงั้นเหรอ เธอรู้อะไรน้อยไปหน่อยละมั้ง ยังมีความจริงอีกหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้ และถ้าเธอรู้...เธอจะต้องเสียใจมากที่ฆ่าชั้น”
“ทำไมจะไม่รู้ เรื่องที่ว่าไม้ตะพดฆ่ากันเองไม่ได้ ชั้นก็รู้ แล้วนี่...” ศรนารายณ์หยิบหนังเสือออกมา “ อย่าลืมสิชั้นมีนี่แล้ว”
พันเทพประหลาด ใจ
“นี่ มีของอย่างที่สามด้วยแล้วงั้นเหรอ”
“ใช่”
“ชั้นไม่เชื่อ การเข้าไปเอาของอย่างที่สามไม่ใช่ง่ายๆ จะมีมันได้ยังไง”
“ในป่าอาถรรพ์ใช่มั้ยล่ะ อย่าลืมสิว่าแผนที่มันอยู่ในตำราหนังเสือนี่ ยังไงมันก็คงไม่ยากเกินไป สำหรับของอย่างที่สาม”
“เธอไปพบกับฤๅษีนั่น”
“ฤๅษีเหรอ ...หือม์ เออ ใช่” ศรนารายณ์เฉไฉ
“หมายความว่า...”
“ถูกแล้ว ชั้นพบกับฤๅษีมา พูดคุยกันถูกคอแล้วท่านก็ให้ของอย่างที่สามมา”
“พูดคุยกันถูกคอด้วยงั้นเหรอ” พันเทพนึกถึง ตอนที่เวตาลพาเขาไปเจอฤๅษีในนิมิต ฤๅษีเป็นเพียงร่างในรากไม้ไร้ชีวิต “หึ หึ งั้นก็ดี งั้นก็ฆ่าชั้นซะเลยสิ ถ้าได้ของครบแบบนั้นแล้วละก็”
“เอ่อ”
“อึกอึกอะไร ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีของอย่างที่สามหรอกเหรอ”
“เอ่อ...”
“เธอหลอกชั้นไม่ได้หรอกเด็กน้อย...เธอไม่ทันชั้นหรอก”
“หมายความว่าไงเรื่องฤๅษี”
“ฤๅษีที่ไหนจะอยู่ยงคงกระพันมาคุยกับเธอล่ะ”
“แล้วที่บอกไปพบฤๅษีคืออะไร”
“เธอกำลังถามถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิตอยู่ แต่ถ้าอยากรู้มากกว่านี้มาเป็นพวกชั้นสิ ชั้นจะบอกความจริงทุกอย่างกับเธอ ทุกเรื่องที่เธอยังไม่รู้”
“ไม่มีทางหรอก”
พันเทพเข้าประชิดตัวศรนารายณ์ราวกับจะเข้ามาผูกมิตร ศรนารายณ์ไม่ไว้ใจรีบต่อสู้ป้องกันตัวทันที
“จะฝึกวิชาเหรอ...ได้เลย”
พันเทพต่อสู้กับศรนารายณ์อย่างดุเดือด
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นแพรวาพาไกรหนีออกมาเจอเต็กกงกำลังคุยอยู่กับคนขับรถเธอแอบย่องผ่านอ้อมรถปอ.ที่จอดอยู่ไป แก๊งวินมอเตอร์ไซค์วิ่งไล่กวดมา แพรวาพาไกรแอบขึ้นไปซ่อนบนรถ
“เออ ขับรถดีๆ ถ้าเจอด่านก็บอกชื่อชั้นไป พวกตำรวจไม่กล้าเล่นหรอก ไปได้แล้ว”
คนขับรถพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นรถไป แก๊งวินมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามา
“เฮีย พวกมันหนีไปแล้ว”
“ซวยละ ปล่อยมันหนีไปได้ยังไง”
“กลับมาอีกทีมันก็หนีแล้ว”
“มันไปไหนไม่ได้ไกลหรอก ค้นให้ทั่วบ้าน”
เต็กกงสั่งหน้าเครียด
บนรถปอ.โล่ง ปลอดคน แต่ที่เบาะหลังสุดแพรวาจับไกรนอนยาวแล้วหนุนตักเธอ แพรวามองไกรอย่างเป็นห่วง
“ไหวมั้ย”
ไกรพยักหน้ายิ้ม
ที่ห้องนอนพันเทพ ขณะนั้นพันเทพกับศรนารายร์ยังต่อสู้กันดุเดือด แต่ศรนารายณ์เสียท่าให้พันเทพจนได้ พันเทพจับศรนารายณ์ล็อคคอแล้วกระชากหน้ากากลูกผู้ชายออก
“แกเป็นตัวปลอมนี่ แกไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“แกรู้ได้ไงว่าตัวจริงเป็นใคร ชั้นนี่แหละจริงที่สุดแล้ว”
ศรนารายณ์ดิ้นจนหลุดจากพันเทพมาได้
“ครั้งนี้ถือว่าเสมอกันละกันนะ ระหว่างชั้นกับแก ชั้นต้องแก้มือให้ได้”
ศรนารายณ์รีบวิ่งหนีออกไป พันเทพวิ่งตาม
ศรนารายณ์วิ่งหนีไปทางรั้วบ้านและปีนขึ้น พันเทพตะโกนเรียกสมุน
“จับมันมาให้ได้”
สมุนวิ่งกรูจะจับศรนารายณ์ที่ปีนอยู่ แต่ก็ได้แค่ฉิวเฉียด ศรนารายณ์หลุดไปได้ พันเทพเปิดประตูบ้านก็ไม่เห็นวี่แววของศรนารายณ์แล้ว
“เจ็บใจนัก...มันกล้าบุกมาถึงนี่ มันต้องมีแผนอะไรแน่ๆ”
ศรนารายณ์วิ่งมาข้างถนน หอบแฮ่ก พอถึงจุดนัด จันทร์ ชาญ ไม้ อบเชย ก็ปรากฏตัวจากที่ซ่อน
“พ่อเป็นไงบ้าง”
“ทำไมกลับมาสภาพนี้ล่ะ”
“โดนจับได้น่ะสิ”
“แต่อาศรไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ไม้ถามอย่างเป็นห่วง
“เกือบตาย”
“แล้วตกลงรู้มั้ยว่าของอย่างที่สามคืออะไรกันแน่” ศรนารายณ์ส่ายหน้า “เอ๊า เสียเที่ยวเปล่าๆ เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“แต่มันพูดถึงฤๅษีที่อยู่ในป่าอาถรรพ์”
“ฤๅษี เจ้าของไม้ตะพดน่ะนะ”
“เรื่องราวเป็นร้อยปีแล้ว จะยังมีชีวิตอยู่ได้ไง เป็นไปไม่ได้”
“มันก็พูดแบบนั้น แต่มันพูดเกี่ยวกับฤๅษีจริงๆ แต่ก็พูดเรื่องไม่มีชีวิตด้วย”
“ฤๅษีที่ไม่มีชีวิตงั้นเหรอ มันเป็นยังไงนะ”
“ศพเหรอ…ป่านนี้เปื่อยถึงกระดูกแล้วมั้ง”
“หรือจะเป็นฟอสซิล”
“อะไรซิ่วๆ นะ”
“ฟอสซิล เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ถูกรักษาไว้โดยธรรมชาติน่ะ อย่างเช่น ยางไม้เคลือบไว้ อะไรแบบนั้น” จันทร์บอก
“อะไรทำให้แกรู้เรื่องอะไรแบบนี้วะเนี่ย ไม่เห็นจำเป็นต่อชีวิตประจำวันตรงไหน”
“ก็ที่พูดอยู่เนี่ย จำเป็นมั้ยล่ะ”
“อย่าเพิ่งเถียงกันเลย พาพ่อชั้นไปพักก่อนเถอะ เอาไงต่อค่อยว่ากัน”
“นึกว่าจะไม่มีคนพูดประโยคนี้ขึ้นมาซะแล้ว”
ทั้งหมดพากันกลับบ้านศรนารายณ์
ส่วนบนรถปอ.ขณะนั้นแพรวาหลับอย่างหมดเรี่ยวแรงพิงกระจก ไกรที่นอนตักเธออยู่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เขามองแพรวาอย่างเอ็นดูแล้วลูบปอยผมเธออย่างห่วงใย
“ขอบคุณนะ”
กลางดึกคืนนั้น ศรนารายณ์ ชาญ จันทร์ หลับกันอย่างไม่เป็นท่าอยู่ในบ้าน อบเชยมองอย่างเอ็นดูแล้วเปิดประตูออกไปหน้าบ้านซึ่งไม้กำลังนั่งเหม่ออยู่ อบเชยเดินมาหา
“ไม่มีอะไรเป็นเรื่องง่ายเลยนะ”
“ถ้ามันง่ายเค้าก็เรียกความฝัน ไม่ใช่ชีวิต”
“ชั้นมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้าเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป”
“แต่ชั้นเห็นนะ”
“เห็นว่าไง”
“เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นยังไง จะทุกข์ จะสุข จะลำบากแค่ไหน ชั้นกับไม้ก็อยู่ข้างกันไปจนแก่เฒ่า”
“เพ้อ ใครจะอยู่กับเธอได้นานขนาดนั้นกัน”
“ปากพูดแบบนี้...แต่แอบดีใจนะน่ะ”
“บ้า” ไม้ต่อว่ายิ้มๆ
“นั่นแน่ยิ้มแล้ว บอกแล้วว่าดีใจ”
ไม้กับอบเชยต่างก็ล้อๆ กัน ยิ้ม แล้วไม้ก็เจื่อนๆ ไม่สบายใจ
“ห่วงเรื่องลุงเมฆเหรอ” อบเชยถาม ไม้พยักหน้า
“ต้องทำยังไง พ่อถึงจะหาย”
อบเชยลูบหลังลูบไหล่ไม้ ปลอบใจกันไป
วันต่อมาเมฆมาที่โรงพยาบาลแล้วเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ พยาบาลสาวนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เอ่ยถาม
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
“เอ่อ...ผมอยากขอประวัติแรกเกิดของลูกชายผมครับ”
“ขอชื่อคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” พยาบาลยื่นกระดาษปากกาให้ เมฆรับมาเขียนแล้วยื่นให้พยาบาล
“รอซักครู่นะคะ” พยาบาลคีย์ชื่อลงในคอมพิวเตอร์แต่ไม่มีข้อมูล “เอ ไม่มีข้อมูลนะคะ อันนี้คุณพ่อคุณแม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อรึเปล่าคะ”
“เปล่าครับ”
“ถ้างั้น...น้องเกิดวันที่เท่าไหร่นะคะ”
“21 กันยา”
“ค่ะ ยี่สิบเอ็ด กันยา...”
“2534 ครับ”
“สองพันห้าร้อยสามสิบ... เดี๋ยวนะคะ นี่มัน 20 ปีผ่านมาแล้วนะคะ”
“ใช่ครับ”
“ยุคนั้นโรงพยาบาลยังไม่มีคอมพิวเตอร์เลย เอกสารเกินยี่สิบปีเนี่ยดิชั้นไม่แน่ใจนะคะว่าจะยังอยู่มั้ย”
อีกด้านหนึ่งที่วัด ขณะนั้นไม้กับอบเชยนั่งพับเพียบรอหลวงพ่ออยู่บนกุฎิ ไม้บ่นกับอบเชย
“ให้มากวนหลวงพ่อทำไมก็ไม่รู้ เกรงใจท่าน”
“เออน่า มาปรึกษา มาคุยกับท่าน ไม้จะได้สบายใจหายเครียดลงไปบ้าง”
“ชั้นไปเครียดตอนไหน”
“ก็เครียดเรื่องพ่อป่วย เรื่องหนังเสือ เรื่องป่าอาถรรพ์ เรื่องพันเทพ นั่นไง” ไม้นิ่งเถียงไม่ออก “เผื่อหลวงพ่อท่านจะชี้ทางสว่างให้ได้”
หลวงพ่อเดินเข้ามาในห้อง
“ว่ายังไงกันโยมทั้งสอง มีเรื่องอะไรกับอาตมารึ”
“ไม้เค้ามีเรื่องไม่ค่อยสบายใจค่ะ คิดไม่ตกเลย”
“อ้าว มีเรื่องอะไรรึโยมไม้”
“พ่อน่ะครับ พ่อไม่ค่อยสบาย”
ขณะที่ไม้กับอบเชยกำลังคุยอยู่กับหลวงพ่อที่กุฎิ เมฆยังอยู่ที่โรงพยาบาล พยาบาลสาวพาเมฆมาพบกับหัวหน้าพยาบาลที่ดูสูงวัย หัวหน้าพยาบาลมองหน้าพยาบาลกับเมฆที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน
“มีอะไรกัน”
“คุณคนนี้เค้าอยากได้ข้อมูลแรกเกิดของลูกเค้า เมื่อยี่สิบปีก่อนน่ะค่ะ ดิชั้นไม่แน่ใจว่าจะยังเก็บไว้อยู่รึเปล่า”
“จะเอาข้อมูลตั้งแต่ยุคนั้นไปทำไมกันคะ”
“ผมกำลังสงสัยเกี่ยวกับการสลับตัวของลูกผม”
“เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอนค่ะ”
“ผมแค่สงสัย ผมยังไม่มีหลักฐาน ก็เลยมาหาดูที่นี่”
“ถ้าจะเกิดการผิดพลาดแบบนั้นจริงๆ น่าจะเกิดขึ้นจากขั้นตอนอื่นมากกว่าที่โรงพยาบาลนะคะ”
“ผมแค่อยากลองดูเอกสารเพื่อเอาไปสืบหาต่อไปน่ะครับ พอจะช่วยได้มั้ย”
“ถ้าไม่ได้จะมาเอาผิดอะไรทางโรงพยาบาล ก็พอจะช่วยได้ค่ะ”
หัวหน้าพยาบาลนิ่งคิด
ส่วนที่กุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อยกถ้วยจิบน้ำชา คุยกับไม้และอบเชย
“โยมเมฆน่ะรึ เป็นอะไรไปซะล่ะ”
“มีแผลที่เรื้อรัง รักษาไม่หายน่ะครับ”
“พาไปหาหมอ หาหยุกยาให้กินรึยัง”
“มันเป็นแผลที่รักษาไม่ได้น่ะครับ”
“ไม่ได้เลยเหรอ...กรรมของโยมเมฆจริงๆ”
“แต่มีคนบอกว่าสมุนไพรบางอย่างในป่าอาถรรพ์อาจรักษาพ่อได้”
“ป่าอาถรรพ์เลยรึ”
“หลวงพ่อรู้จักป่าอาถรรพ์ด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่แค่รู้จัก...แต่เคยไปธุดงค์ที่นั่น”
“จริงเหรอคะหลวงพ่อ หลวงพ่อกลับมาได้ ก็แปลว่าไม่ได้อาถรรพ์จริงนะสิ” อบเชยถามอย่างตื่นเต้น
“จริงไม่จริงอาตมาไม่รู้หรอก แต่พระธุดงค์ส่วนใหญ่มักเลือกที่นั่นในการฝึกจิต ฝึกทั้งสติ ทั้งสมาธิได้ดีนัก”
“ทำไมครับ ทำไมถึงฝึกได้ดี”
“หรือว่ามีทั้งผี ทั้งปีศาจ”
หลวงพ่อหัวเราะ
“อาตมาว่าเรื่องพวกนั้นมันไม่ใช่แก่นของการไปที่นั่นหรอก พูดอะไรมากไป ก็เป็นการชวนให้งมงายกันเปล่าๆ”
“ถ้างั้นผมขอถามว่า...เราจะออกมาจากป่าอาถรรพ์ได้ยังไงครับ”
“สติเพียงเท่านั้นแหละโยม”
“ช่วยขยายความอีกนิดได้มั้ยหลวงพ่อ สติที่หลวงพ่อว่าคืออะไรคะ”
“ระลึกเสมอว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ อย่าปล่อยใจไปตามสิ่งยั่วยุจนหาทางกลับไม่เจอ หลงทางในจิตของตัวเอง”

อบเชยกับไม้พนมมือฟังหลวงพ่ออย่างตั้งใจ

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น.




 ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 8 (ต่อ) 

หัวหน้าพยาบาลพาเมฆมาที่ห้องเก็บของ ภายในห้องนั้นมีเอกสารกองเป็นพะเนิน เมฆมองเข้าไปภายในห้องสำรวจด้วยสายตาคร่าวๆ

“ถ้ามันจะอยู่ ก็อยู่ในห้องนี้แหละค่ะ แต่ชั้นก็ไม่รับประกันว่าคุณจะเจอรึเปล่านะคะ เพราะตอนปี 2538 มีน้ำท่วมใหญ่ เอกสารมากมายเสียหายค่ะ” เมฆพยักหน้ารับ “ใช้ห้องเสร็จแล้วก็ล็อคกุญแจด้วยละกันค่ะ”
“ครับ” หัวหน้าพยาบาลจะเดินไป“ผมขอถามเพิ่มเติมนิดนึงครับ ว่า...พวกประวัติของเด็กแรกเกิดเนี่ย ปกติจะบันทึกไว้ตอนไหนครับ”
“พอเด็กคลอดออกมา เราก็จะบันทึกสีผม สีตาและกรุ๊ปเลือดทันที ในห้องคลอดเลยค่ะ พร้อมๆ กับที่ทำป้ายติดข้อมือเด็กนั่นแหละ”
“ถ้างั้นก็แปลว่า ไม่มีทางผิดตัวแน่ๆ”
“ใช่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หัวหน้าพยาบาลเดินจากไป เมฆมองกองเอกสารในห้องเก็บของไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
ส่วนที่บ้านเจ๊กี ขณะนั้นเจ๊กีเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ มือถือโทรศัพท์แนบหู
“อาไกรนะอาไกร เถลไถลใหญ่แล้ว หายไปทั้งคืนไม่กลับบ้าน โทรไปยังไม่รับโทรศัพท์อีก ไม่ไหวเลยนะเนี่ย…รับโทรศัพท์สิอาไกร”
เจ๊กีไม่สบายใจ เดินไปเดินมา
อีกด้านหนึ่งที่วัดเมื่ออบเชยกับไม้คุยกับหลวงพ่อเสร็จ ทั้งคู่พากันมาเดินเล่นที่ท่าน้ำ ไม้มีสีหน้าครุ่นคิด
“ถ้ามันเป็นทางเดียวที่ทำให้พ่อหาย ชั้นจะไปป่าอาถรรพ์”
“ไม้ไปไหน ชั้นก็ไปด้วยหมดล่ะ”
“ไม่เอา...เธอไม่ต้องไปหรอก ถ้าหากว่าชั้นไม่รอดกลับมา เธอจะได้ช่วยดูแลพ่อไง”
อบเชยหน้างอ
“ก็ชั้นอยากไปกับไม้ด้วยนี่”
“ชั้นไม่อยากพาใครไปเสี่ยงด้วย”
“เห็นแก่ตัว”
“ห๊ะ ชั้นเนี่ยนะเห็นแก่ตัว ชั้นออกจะเสียสละนะ”
“เสียสละอะไรล่ะ ถ้าไม้ไม่กลับมาชั้นจะอยู่โดยไม่มีไม้ได้ยังไง” ไม้มองสบตาอบเชยอย่างซึ้งๆ “...ไหนจะลุงเมฆอีก จะปล่อยให้พ่อตัวเองเห็นลูกจากไป แล้วก็ต้องเจ็บปวดตลอดชีวิตที่เหลืองั้นเหรอ แบบนี้
ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“เธอนี่มันดื้อจริง”
“ตกลงให้ไปด้วยแล้วใช่มั้ย”
อบเชยยิ้ม ไม้ทำเฉยๆ ไม่ตอบแต่ก็แอบยิ้ม
อบเชยกับไม้กำลังจะเดินผ่านท่าน้ำวัดไป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ได้ยินเสียงโทรศัพท์รึเปล่า”
“โทรศัพท์คนแถวนี้ละมั้ง”
“แถวนี้ไม่น่ามีโทรศัพท์นะ”
ไม้กวาดสายตามองหาก็เห็นรถสองคันจอดอยู่ซึ่งเป็นรถของไกรกับแพรวา ไม้เดินไปใกล้ๆ
อบเชยเดินตามไป
“เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในนี้”
“นี่มันรถคุณไกรนี่”
“ทำเป็นรู้ดีนะ” ไม้เดินไปอีกนิดเห็นรถแพรวา “นี่มันรถคุณแพรวานี่”
“ตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ชิ”
ทั้งคู่มองหน้ากันค้อนๆ ไม้กับอบเชยลองมองหาไกรกับแพรวาไปทั่วๆ แต่ก็ไม่เห็น
“ไม่เห็นอยู่แถวนี้เลย”
ไม้ลองเปิดประตูรถไกร ปรากฏว่าเปิดได้
“ไม่ได้ล็อค”
เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด ไม้หยิบโทรศัพท์มาเห็นเขียนหน้าจอว่าแม่ อบเชยมองหน้าไม้
“ถ้ารับเค้าจะไม่หาว่าเราขโมยของลูกเค้าใช่มั้ย”
“ไม่หรอก เราบริสุทธิ์ใจนี่” ไม้กดรับโทรศัพท์ “ฮัล...”
เจ๊กีดีใจที่ได้ยินเสียงคนรับโทรศัพท์คิดว่าไกรแน่ๆ เลยรัวเป็นชุด
“อาไกร ลื้อไปทำอะไรอยู่ที่ไหนทำไมไม่กลับบ้าน อั๊วโทรหาลื้อเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วเนี่ย ทำไมเป็นคนแบบนี้ รู้มั้ยเนี่ยว่าอาม้าเป็นห่วง พระเค้ายิ่งทักอยู่ว่าก่อนวันเกิดให้ระวังอันตรายดีๆ อั๊วก็นึกว่าลื้อเป็นอะไรไปแล้ว รีบกลับมาบ้านเลยนะ”
“เอ่อ...เจ๊กีใจเย็นๆ ครับ ชั้นไม่ใช่คุณไกร”
“ไม่ใช่อาไกร แล้วลื้อเป็นใคร มารับโทรศัพท์ลูกอั๊วได้ยังไง ลูกอั๊วอยู่ไหน”
“ชั้น...ไม้เองครับ”
“อาไม้ ลูกอาเมฆน่ะเหรอ แล้วอาไกรอยู่ไหน”
“ใจเย็นๆ นะครับ คือชั้นยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณไกรอยู่ไหน พอดีชั้นมาที่วัดแล้วเห็นรถคุณไกรจอดอยู่ ไม่ได้ล็อค แล้วโทรศัพท์มันดัง ชั้นเลยมารับ”
“รถไม่ได้ล็อคด้วย อาไกรไม่ใช่คนแบบนั้นนะ ซี้แล้ว ซี้แล้ว ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เลย”
ไม้กับอบเชยมองหน้ากัน
ระหว่างนั้นที่โกดังบ้านเต็กกง เต็กกงกำลังสั่งให้ลูกน้องเก็บหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับแพรวาให้เรียบ เพราะกลัวพันเทพรู้
“เก็บให้หมดนะ อย่าให้ไอ้พันเทพรู้เด็ดขาดว่าเราจับตัวลูกมันมา”
ลูกน้องเต็กกงเคลียร์ของยังไม่ทันเสร็จ พันเทพก็เดินเข้ามา ทุกคนรีบทำท่าทีปกติ
“เป็นไง ของที่ให้ไปเอามาจากลูกเจ๊กี ได้มารึยัง”
“ตอนนี้ติดปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาอะไร”
“คือ...มันหนีไป”
“หนี...พูดง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ ชั้นให้ไปจับมา แต่แกปล่อยให้มันหนี”
“ตอนนี้ก็ให้คนตามหามันทั้งคู่อยู่”
“ทั้งคู่? หมายความว่าไง ชั้นให้แกจับไอ้ไกรมาคนเดียว แกจับใครมาอีก”
“เปล่า ไม่มี แค่ใช้คำผิดน่ะ”
“ถ้าภายในวันนี้หามันไม่เจอ ชั้นจัดการแกก่อนมันแน่ๆ”
“นี่ก็ยังไม่ได้หยุดหาเลย อย่ามาสั่งอะไรที่ชั้นรู้ว่าต้องทำยังไงหน่อยเลยน่า”
“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะ ตอนเย็นชั้นมา หนังเสือต้องมากองอยู่ตรงหน้าชั้น เข้าใจมั้ย”
“รู้แล้ว”
พันเทพจะเดินออกไป เต็กกงเกือบจะโล่งใจแต่มือถือพันเทพก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล...เออ...อะไรนะ พูดอีกทีซิ ใครหายไปจากบ้านนะ” เต็กกงหน้าเสีย“แพรวาเหรอ...หาดีรึยัง...อืม หายไปตั้งแต่เมื่อวาน...”
พันเทพหน้าเครียดเมื่อรู้ว่าแพรวาหายไป
เจ๊กีกับไม้มาเจอกันทีท่ารถบขส. เจ๊กีมีท่าทางร้อนรนเพราะเป็นห่วงลูกชาย
“อาไกรจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ อั๊วละเป็นห่วงอีนัก ไม่เคยลำบากด้วย พวกลื้อต้องช่วยอาไกรนะ ต้องหาทางช่วยอีนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะลองตามหาดูนะครับ เจ๊ใจเย็นๆ ก่อนนะ”
“มันต้องเกี่ยวอะไรกับยายแพรวาแน่ๆ”
“แพรวาไหน อีเป็นใคร อั๊วรู้จักรึเปล่า”
“ก็ลูกสาวนายพันเทพไง”
“อา...อั๊วจำได้แล้ว แล้วอีเกี่ยวอะไรกับอาไกร อีชอบกันเหรอ”
อบเชยมองหน้าไม้
“ไม่รู้”
“ไม่ได้นะ อีชอบกันไม่ได้ อั๊วไม่ให้ลูกอั๊วไปยุ่งกับครอบครัวไอ้พันเทพหรอก ลื้อสองคนต้องช่วยอั๊วนะ นะอาไม้นะ”
ไม้พยักหน้ารับ อบเชยมองหน้าไม้แอบเคือง เข้าใจว่าที่ไม้รับช่วยเพราะแพรวา
ทางด้านพันเทพหลังจากโทรศัพท์วางหูไปแล้ว พันเทพเดินวนไปวนมาอย่างหงุดหงิดอยู่ในโกดัง เต็กกงนึกหวาดหวั่น
“ใคร มันกล้าทำขนาดนี้”
พันเทพยกโทรศัพท์ขึ้นกดหาแพรวาแล้วจะเดินออกจากโกดังไป เต็กกงโล่งอก แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในโกดัง พันเทพชะงักการเดินออกนึกสงสัย เต็กกงรีบกลบเกลื่อนด้วยการสั่งลูกน้อง
“พวกเอ็งรับโทรศัพท์ซะสิ มีงานเข้ารึเปล่าก็ไม่รู้”
สมุนเต็กกงพยายามหาแหล่งเสียง แต่กระเป๋าไปตกในหลืบ พันเทพสงสัยก็หาแหล่งของเสียงเหมือนกันและพันเทพก็เจอก่อนจนได้ เขาหยิบขึ้นมา เต็กกงพยายามจะกลบเกลื่อน
“นี่กระเป๋าเมียชั้นเอง หาตั้งนานว่าไปอยู่ไหน”
เต็กกงจะแย่งกระเป๋าจากพันเทพ พันเทพปัดมือเต็กกงทิ้ง
“เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบเอาไปไหน” พันเทพเปิดกระเป๋าดู เห็นกระเป๋าสตางค์แพรวา เมื่อเปิดดูด้านในเห็นรูปแพรวาอีก พันเทพหันมองเต็กกงตาขวาง เต็กกงกลัวไม่กล้าสบตา “กระเป๋าลูกชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“สงสัยเมียจะเอาไปสับกับใครมาแน่ๆ เลย”
“งั้นเหรอ”
พันเทพจ้องเต็กกงด้วยสายตาเอาเรื่อง
ไม้เดินออกจากท่ารถบขส.ด้วยสีหน้าครุ่นคิดโดยมีอบเชยเดินตามมา
“เต็มใจช่วยเลยละสิ ยิ่งพอเจ๊กีให้แยกคุณไกรออกจากยายแพรวานั่น กลัวเค้าแอบหนีไปด้วยกันแล้วตัวเองจะอกหักใช่มั้ยล่ะ” อบเชยถามอย่างไม่พอใจ
“นี่...คนหายไปทั้งคนนะ เธอมัวคิดอะไรของเธออยู่เนี่ย คุณไกรก็มีบุญคุณกับชั้น คุณแพรวาก็ดีกับชั้น”
“ชิ แล้วจะไปตามหายังไง มีตาทิพย์รึไงล่ะ”
“ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเต๊กกง มือเต็กกงถูกวางบนโต๊ะโดยมีมีดจ่อ แทบจะหั่นนิ้วทิ้ง เต็กกงร้องเสียงดังโวยวาย
“อย่า อย่า อย่าอย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นยอมแล้ว”
“ลูกสาวชั้นอยู่ไหน”
“หนีไปพร้อมไอ้ไกรนั่น”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าชั้นจับลูกสาวแกมาพร้อมกับไอ้ไกร”
พันเทพตบหัวเต็กกง
“แกนี่มันร้ายนัก หนีไปไหน”
“ถ้ารู้จะมายอมให้แกทำร้ายอยู่แบบนี้เหรอ”
“ปากดีนัก ถ้าชั้นไม่เจอลูกสาวชั้นนะ ชั้นจะกลับมาตัดนิ้วแกให้ด้วนเลย คอยดู แล้วอย่าคิดหนีล่ะ ไม่งั้นจะโดนหนักกว่าแค่นิ้วแน่ๆ”
ขณะที่เจ๊กีกับพันเทพกำลังร้อนใจกับการหายตัวไปของไกรและแพรวา คนขับรถที่ไกรกับแพรวาอาศัยมาได้จอดที่ริมถนนสายเปลี่ยวแห่งหนึ่งเพื่อให้ไกรกับแพรวาลงจากรถ
“ต้องลงตรงนี้แหละ รถนี่จะแยกไปอีกทาง”
“ขอบคุณครับ แล้วนี่มันแถวไหนกันล่ะ”
“ไม่รู้ ไม่ได้ทำงานกรมทาง หาโบกคันอื่นไปแล้วกัน”
“ขอเราไปลงแถวที่มันมีคนหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้เข้าตัวอำเภอ แยกไปจังหวัดอื่น...”ไกรกับแพรวามองรอบด้าน มีแต่ต้นไม้เปลี่ยว “อย่าเดินออกนอกถนนล่ะ เดี๋ยวหลงไปป่าอาถรรพ์ไม่รู้นะ” คนขับยิ้มๆ พูดขู่เล่นๆ
“ป่าอาถรรพ์ ?”
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีจริงหรอก เขาเอาไว้หลอกเด็กกัน ไปล่ะ รีบเหมือนกัน”
รถกระบะขับออกไป ไกรกับแพรวามองหน้ากันสองคน
“ไม่ต้องห่วง น่าจะมีรถผ่านเข้าตัวตำบล ตัวอำเภอมั่งล่ะ”
ไกรปลอบใจตัวเองกับแพรวา รอบด้าน เงียบเชียบ ข้างทางเป็นป่าครึ้ม
ไม้เดินมาหาจันทร์ กับชาญที่กำลังทำความสะอาดรถของเมฆอยู่ อบเชยวิ่งตามมา
“ชั้นขอรถพ่อหน่อย”
“จะเอาไปทำอะไร”
ไม้มองรถที่จอดอยู่
“คันนี้ใช่มั้ย” ไม้เอากุญแจรถมาจากมือจันทร์ “ ขอบใจ”
จันทร์ดึงแขนไม้ไว้
“เฮ้ย มีเรื่องอะไร ทำไมไม่บอกกันวะ”
“เราจะไปป่าอาถรรพ์”
อบเชยบอก ชาญที่กินน้ำอยู่ถึงกับสำลัก
“เอ็งนึกว่าป่าอาถรรพ์เป็นแดนเนรมิตเหรอ นึกจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ โบกสองแถวสองต่อถึง เดินเข้าป่าผจญภัย กลับบ้านนอน เข้าป่าอาถรรพ์เหมือนเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายนะเว้ย”
“งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ ชั้นเอาหนังเสือมาแล้ว”
“ชั้นเอาด้วย”
“ข้าไม่เอา ข้าอยากแก่ตาย มากกว่าไปหลงป่าหนาวตายว่ะ”
“พูดงี้ได้ไง พี่เป็นคนเดียวที่อ่านลายแทงได้ พี่ต้องไปอยู่แล้ว ไม่มีทางเลือก”
“แน่ะ กล้าบังคับข้าเหรอ”
“ชั้นอยากได้ยารักษาพ่อ”
จันทร์กับชาญมองหน้ากัน เห็นไม้หน้าเศร้าเพราะห่วงพ่อ
“หลวงพ่อท่านก็ว่า ที่นั่น น่าจะมีสมุนไพรอยู่จริง”
จันทร์กับชาญเห็นใจไม้ ไม้รีบขึ้นไปสตาร์ทรถ ทั้งหมดออกเดินทาง
อีกด้านหนึ่งไกรกับแพรวานั่งอยู่ริมถนนที่ไม่ค่อยมีรถผ่าน แพรวาใช้มีดเล็กๆ แกะเปลือกต้นไม้เป็นชื่อเธอกับไกร ไกรพยายามจะโบกรถที่นานๆ ผ่านมาทีแต่ก็ไม่มีใครจอดซักคัน แพรวาเป็นห่วงไกรที่ระบมจากการถูกซ้อม
“คุณไกรยังเดินไหวมั้ย”
“พอได้อยู่ครับ...ชาวบ้านคงกลัวอาถรรพ์ ไม่มีใครจอดรับ”
“แถวนี้ไม่มีรถบขส.ผ่านเลย น่าแปลกมาก”
“อาจเพราะไม่ใช่เส้นทางหลวงละมั้ง”
“แบบนี้เราต้องเดินอีกไกลเท่าไหร่กันเนี่ย เราเดินกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย”
“ผมยังไหวนะ”
“ไม่ใช่เส้นทางหลวง ยังไงก็ควรมีเพิงให้นั่งพักบ้าง ร้านขายน้ำอะไรก็ไม่มีเลย ไม่มีใครอยู่แถวนี้บ้างเลยรึไง”
“ค่อยๆ เดินต่อไปก็แล้วกัน เดี๋ยวคงเจอคนบ้าง”
“ชั้นว่าแถวนี้มันประหลาดๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีชาวบ้านซักคน”
ไกรกับแพรวาเดินมาเจอเพิงเล็กๆ จนได้ แพรวารีบพาไกรนั่ง
“นี่คงเป็นที่พักตอนหาของป่ากันสินะ”
“ผมว่าป่าแถวนี้ไม่ค่อยมีใครมายุ่งวุ่นวายนะ เราอาจต้องพักที่นี่กันก่อน”
“ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์ เราจะกลับบ้านยังไง อย่าบอกนะว่าต้องเดินไป”
“ผมก็ยังไม่รู้”
“แล้วจะกินอะไรอีกล่ะ”
“มันมีทางนึงที่จะช่วยให้เรารอดได้ คือเข้าป่า...หันไปมองป่า ป่าก็ใหญ่ ดูอุดมสมบูรณ์ด้วย ในนั้นน่าจะพอมีน้ำกับอาหาร”
ระหว่างนั้นไม้ขับรถมาตามถนนด้วยความเร็ว
“ไม้ ระวัง มันอันตรายนะ” อบเชยเตือน
“ข้าว่าจะตายเพราะเอ็งขับรถมากกว่าตายเพราะไปป่าอาถรรพ์อีกว่ะ” จันทร์บอก
“ระวังอยู่ ไม่ต้องห่วง”
ไม้บอก อบเชยมองไม้ที่ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่
“คิดเรื่องแพรวาอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่เวลาจะมางอนอะไรอยู่นะ ตอนเนี๊ยะ”
“ถ้าชั้นเป็นคนหายไป ไม้จะห่วงขนาดนี้รึเปล่า”
“ไม่รู้สิ ก็ไม่เห็นเธอเคยหายไปไหนซักที”
“ตอบให้ดีใจหน่อยก็ไม่ได้”
อบเชยมองไม้อย่างเคืองๆ
“นี่เราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับเดินป่ามาเลยนะ เสบียง เสื้อฝน เสื้อหนาว ปูนขาว เต็นท์ หรืออาหาร” จันทร์บอก
“นั่นเอ็งกะจะไปอยู่ไปกิน รอลูกโตในนั้นเลยรึไง”
“เพื่อความปลอดภัย ความอยู่รอดไงพี่ ไม่เคยดูหนังฝรั่งเหรอ ไปพิชิตยอดเขา ไปพิชิตถ้ำใต้น้ำ อุปกรณ์เพียบ”
“แล้วเป็นไง...ตายกันหมด เหลือพระเอกนางเอกรอด”
“แล้วเราจะรู้ได้ไง...ว่าเราไม่ใช่พระเอกนางเอก”
“ก็เอ็งมีความรักรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่มีเอ็งรอเรียงคิวตายได้เลย”
“ก็ถ้ามีความรักแล้ว...” จันทร์มองอบเชยกับไม้ที่บึ้งตึงใส่กัน “เป็นแบบนี้ ขอตายดีกว่า”
ระหว่างนั่งพักแพรวานอนหลับอยู่โคนไม้ ไกรมองเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินมาทางเขา
“มาบิณฑบาตรตอนนี้ จะเอาอะไรใส่ล่ะ”
ไกรบ่นกับตัวเอง
“โยม…” พระพม่าทักไกร
“อ้าว หลวงพ่อ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ หลวงพ่อยังจำเณรน้อยได้รึเปล่า”
“ถ้าจำไม่ได้อาตมาคงไม่มาเตือน”
“เตือน? เรื่องอะไรครับ”
“อย่าเข้าไปในป่า”
แพรวาสะดุ้งตื่น
“มีอะไรน่ะคุณไกร”
“ก็หลวงพ่อน่ะสิ”
“หลวงพ่อ หลวงพ่อไหน” แพรวาหันไปดูรอบตัว แต่ไม่เห็นใคร “ไม่เห็นมีเลย”
“ก็นี่…” ไกรหันไป แต่ไม่เจอหลวงพ่อซะแล้ว “อ้าว…หลวงพ่อหายไปไหนแล้ว”
ทางด้านพันเทพพอกลับมาจากบ้านเต็กกง พันเทพก็เดินเข้ามาในห้องทำงานอย่างร้อนใจ พอเข้ามาในห้องพันเทพปิดม่าน ล็อคประตูแล้วตะโกนเรียกเวตาลออกมา
“เวตาล เวตาล ออกมา”
ประตูตู้ค่อยๆ เปิดแง้ม เวตาลออกมา
“เจ้าปลุกข้าในเวลาหลับ”
“แกต้องช่วยชั้น พลังของแกต้องช่วยได้”
“เรื่องอะไรรึ”
“ลูกชั้นหายไป แกหาลูกชั้นได้มั้ยว่าอยู่ที่ไหน”
“ข้าช่วย แล้วข้าได้อะไร”
“ชั้นจะเอาอาหารอย่างดีมาบำเรอแก แกจะไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไป”
“ถ้าข้าอยากกินเลือดมนุษย์...เจ้าก็ให้ข้าได้รึ”
“ได้”
เวตาลมองพันเทพอย่างไม่ค่อยเชื่อใจนัก
“ตกลง ข้าจะช่วยเจ้า...ส่งมือมาให้ข้าสิ” พันเทพก็ไม่ค่อยไว้ใจเวตาลนัก แต่ก็ยื่นมือให้เวตาลจับ เวตาลหลับตา “คนที่เจ้ากำลังมีจิตกังวล...มีสองคนด้วยกัน คนหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เพื่อไปยัง... ที่ที่อีกคนอยู่” ภาพนิมิตของเวตาลเห็นไม้กำลังขับรถ “ส่วนอีกคนอยู่ที่ ทางเข้า...”
“ทางเข้าอะไร ที่ไหน”
“ป่าอาถรรพ์”
พันเทพสะบัดมือออกจากเวตาล
“ป่าอาถรรพ์เหรอ ไม้จะเข้าไปในป่าอาถรรพ์แล้วเหรอเนี่ย”
พันเทพเจ็บใจ
ส่วนที่โรงพยาบาล เมฆนั่งหาเอกสารในห้องเก็บของจนเริ่มท้อ เพราะหาเอกสารทั้งกองแต่ก็ไม่เจอ เมฆลุกขึ้นอย่างท้อแท้ ร่างกายก็อ่อนแอดูสภาพย่ำแย่นัก เมฆเจ็บใจที่พยายามมาทั้งวันแต่ก็ไม่เจอ เขาทุบตู้ระบายอารมณ์กำลังจะเดินออกจากห้อง แฟ้มเอกสาร 3 แฟ้มที่อยู่บนหลังตู้ก็ร่วงลงมา เมฆหันไปดู แล้วเดินเข้าไปหยิบ เมฆเปิดแฟ้มแรกออกก็ยังไม่ใช่เขาลองหยิบอีกอันมาดูก็ไม่ใช่อีก เมฆท้อใจ
“คงจะไม่มีแล้วจริงๆ”
เมฆกำลังจะเดินออกไป แต่เท้าเดินไปเตะแฟ้มอีกแฟ้มที่ยังไม่ได้เปิดบนพื้น จนรูปเด็กแล่บออกมานิดหน่อย เมฆมองอย่างไม่สนใจจะเดินออกไป แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เมฆหยิบมาเปิดดูจึงเห็นข้อความที่เขียนว่า
“มารดา นางทิพย์ ศักดินันท์ บิดา นายพันเทพ ศักดินันท์ เด็กชาย กรุ๊ปเลือด เอบี นี่มันของทิวานี่ ไม่มีของไม้...มีของทิวาก็ยังดี”
เมฆถือแฟ้มเดินออกจากห้องไป
อีกด้านหนึ่งที่ห้องทำงานของพันเทพ เวตาลกำลังบอกบางสิ่งบางอย่างกับพันเทพ
“เจ้ามีคนที่ผูกพันทางสายเลือดที่อยู่ห่างไปถึงสองคน เจ้าคนเพศชายนั่น...มีจิตใจปรปักษ์ต่อเจ้าเสียด้วย”
“ชั้นยอมสับเปลี่ยนลูกของชั้นกับไอ้เมฆ คนที่มันถือไม้ตะพดวิญญาณไว้ เพื่อว่ามันจะได้ยกมรดกไม้ตะพดให้กับลูกของชั้นในวันหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็ถึงวันนั้นแล้ว”
“เจ้ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้ครอบครองไม้ตะพดทั้งสองสินะ แม้กระทั่งสายเลือดเจ้าแท้ๆ ยังโป้ปดให้เจ็บปวด”
“ไม่ต้องมาทำถือตำราไตรปิฏก พูดเรื่องดีชั่วกับชั้นหรอกน่า แกก็ไม่ได้ต่างจากชั้นเท่าไหร่หรอก”
“ข้าถามเจ้าคำนึง ถ้าต้องเลือกระหว่างไม้ตะพดกับลูกเจ้า เจ้าจะเลือกอะไร”
“ชั้นทิ้งลูกไปยี่สิบปี เพื่อไม้ตะพด ...เจ้าว่าข้าจะเลือกอะไรล่ะ”
พันเทพย้อนถาม เวตาลมองพันเทพด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ส่วนที่ปากทางเข้าป่าอาถรรพ์ แพรวายังนั่งอยู่กับไกร
“ชั้นว่าชั้นลองเข้าไปข้างใน เผื่อจะมีผลไม้อะไรที่สามารถกินได้อยู่บ้าง” แพรวาบอกไกรนึกถึงคำหลวงพ่อที่ปรากฏตัวมาบอกว่าอย่าเข้าไป เสียงหลวงพ่อลอยมาในความคิด “เดี๋ยวมานะ”
แพรวาจะลุกไป ไกรคว้ามือแพรวาไว้
“อย่า...อย่าเข้าไปเลย”
แพรวามองมือที่จับกัน แล้วอมยิ้มเขินๆ ไกรเองก็เขิน รีบปล่อยมือจากแพรวา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นแค่ไปดูรอบๆ นี่เอง ไม่เดินเข้าไปในป่าหรอก”
“ถ้าไปก็ไปด้วยกันเถอะ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น อยู่กันสองคนก็ดีกว่า”
“ถ้าคิดว่าไปไหวก็ตามใจ”

พันเทพเดินไปเดินมาในห้องอย่างกลุ้มใจ
“มันจะเข้าป่าอาถรรพ์กันแล้ว แล้วแพรวาไปร่วมมืออะไรกับพวกมันด้วย”
“แล้วทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ไร้ซึ่งตำราหนังเสือก็ยากนักจะได้สิ่งที่ต้องการ”
“มันมีอีกทางนึงก็คือ...ก็ให้ไม้พาชั้นเข้าไป”
“เจ้าบอกเหตุผลมาซักข้อที่มันจะพาเจ้าเข้าไปด้วยสิ ข้านึกไม่ออกเลย”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอกเวตาล”
พันเทพยิ้มที่คิดแผนออก
ส่วนเมฆเมื่อกลับมาบ้าน เมฆดูแฟ้มประวัติทิวาเห็นรูปวัยเด็กของทิวาในแฟ้มตอนแรกเกิด
เขาหยิบอัลบั้มรูปของไม้ตอนเด็กมาดู
“ตอนแรกเกิดเหมือนไม้ตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เหมือนมากอย่างกับคนเดียวกัน นี่คงไม่ใช่สาเหตุที่พันเทพเป็นห่วงไม้หรอกนะ ไม่...อย่าเป็นแบบนั้นเลย”
ประตูบ้านเปิดออก เมฆหันไปมองเป็นพันเทพนั่นเอง
“สวัสดีเพื่อนเก่า เรามีเรื่องต้องทำร่วมกันอีกแล้วล่ะ”
“แกคิดจะทำอะไรอีก”
“เดี๋ยวแกก็รู้... จับมันไปขึ้นรถ”
พันเทพสั่งสมุน สมุนกรูเข้าหาเมฆ เมฆพยายามดิ้นแต่เรี่ยวแรงก็มีน้อยเหลือเกิน
ไม้ขับรถมาจอดที่ริมถนนเล็กๆ ทั้งหมดเดินลงมาจากรถ แต่ละคนมีท่าทางเก้ๆ กังๆ ชาญเดินไปเดินมา
“ทิศเหนืออยู่ตรงนั้น ตรงนี้ก็น่าจะเป็นทิศตะวันตก ก็ถูกแล้วนี่นา”
“ยังไง ยังไง ไหนบอกแต่ก่อนเป็นพราน แม่นเรื่องเส้นทางนักหนา”
“ตกลงเรามาถูกทางมั้ยเนี่ย”
“ดูจากทิศแล้ว เรามาไม่ผิดแน่”
“แต่ตลอดทางเราก็ดูสองข้างทางมาตลอด”
“มั่วป่าว” จันทร์ถามชาญ
“ก็ข้าไม่เคยเข้าจากฝั่งถนนนี่นี่หว่า ข้าลงมาจากเขาโน่น”
“อ้างไปเรื่อย”
“ถ้าตามสัญชาตญาณของการเป็นพรานละก็ เราจะไปต่ออีกนิด”
“ถ้าไปอีกนิดก็ต้องใช้พาสปอร์ตแล้วมั้งเนี่ย”
จันทร์เดินหายเข้าไปด้านใน แล้วส่งเสียงเอะอะตะโกนเรียก
“พวกเราเข้ามาดูนี่”
ทุกคนเดินตามเสียงจันทร์เข้าไป แล้วทุกคนก็เห็น ชื่อไกรกับแพรวาที่สลักไม้เอาไว้
“คุณแพรวากับไกร ผ่านมาแถวนี้”
อบเชยมองไม้อย่างน้อยใจ
“มาทำไมกัน ไม่ใช่หลงเข้าไปในป่าอาถรรพ์กันแล้วล่ะ”
“ไม่หรอก คงมานั่งพลอดรักกันนานแล้วมั้ง”
“รอยไม้ยังใหม่อยู่เลย”
ไม้มีสีหน้ากังวล
“เที่ยวนี้ คงถอยไม่ได้แล้วล่ะมั้ง เพื่อน”
อบเชยนิ่งมองไม้อย่างน้อยใจ
หน้าทางเข้าป่าอาถรรพ์ที่แพรวากับไกรเดินเข้ามา เห็นศาลเพียงตาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีพวงมาลัย ของไหว้สารพัด
“นั่นศาลนี่ ศาลอะไรน่ะ”
ไกรกับแพรวาเข้าไปดูใกล้ๆ
“เหมือนจะเป็นศาลฤๅษีอะไรซักอย่าง”
“น่าขนลุกจังเลยนะคะ”
“น่าแปลก...”
“แปลกอะไรคะ”
“เราเดินมาตั้งไกล ไม่เห็นชาวบ้านซักคน แต่ที่ตรงนี้กลับมีศาลขนาดใหญ่ มันต้องมีใครเป็นคนสร้างสิ”
“นั่นสินะ”
รถบขส.จอดที่เพิงไม้ ทั้งหมดลงมาจากรถ แต่ก็ไม่เห็นใคร
“น่าจะเป็นบริเวณนี้ล่ะ ทางเข้าป่าถรรพ์” ชาญบอก
“แน่ใจนะ”
“ไม่น่าพลาด” ทั้งหมดยืนอยู่หน้าศาลตรงปากทางเข้า เรามาถูกที่แล้ว ไม้ขอหนังเสือหน่อย” ไม้ส่งหนังเสือให้ ชาญชี้ตำแหน่งในแผนที่ “ตรงนี้ไง ทางเข้าพอดี ข้าส่งพวกเอ็งแค่นี้ล่ะ”
“เฮ้ย ไม่ได้ ในหนังเสือยังมีตัวอักษรเยอะแยะที่เราอ่านไม่ออก เข้าไปแล้ว เราจะออกมาได้ไง มีแผนที่ ยังไงก็ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
“แต่นี่ก็จะค่ำแล้วนะ แถมคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดซะด้วย ชั้นว่าเข้าไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ก็จริง เราคงต้องนอนแถวนี้กันไปก่อน ไงพี่ก็มีเวลาตัดสินใจอีกคืน” ชาญสีหน้าลำบากใจ “นี่...ดูที่พื้นสิ มีรอยเท้าคนด้วย 2 คน ผู้หญิงกับผู้ชาย”
“จริงด้วย”
“อาจเป็นคุณไกรกับแพรวาก็ได้ รอยเท้าเดินไปทางนั้น” ทั้งหมดเดินตามรอยเท้าไป “คุณไกร คุณแพรวา” ไม้ตะโกนเรียก
“คุณไกร คุณแพรวา พวกเรามาช่วยแล้ว” จันทร์ตะโกน แต่แล้วชาญก็พูดขึ้น
“เงียบๆ ใครเค้าให้ตะโกนในป่าเล่า อยากให้สัตว์ร้ายมันรู้รึไงว่าพวกเราอยู่ตรงไหน”
“อ้าว ทีทาร์ซานยังโหนเถาวัลย์แล้วตะโกนได้เลยนี่”
“อยากตายก็เชิญทำไปเลย”
“หาเงียบๆ จะเจอเหรอ”
“เวลาเอ็งไปแทงกบเงียบๆ เป็นไง ได้ตั้งเยอะ”
“นี่คนนะพี่ ไม่ใช่กบ” ไม้แย้ง
“เชื่อข้าเถอะน่า” ไม้เดินจะตามรอยเท้าไปอีก “ไม้หยุด” ชาญเดินไปยืนข้างไม้ยื่นมือไปข้างหน้า “อุณหภูมิเปลี่ยน นั่นคือเขตป่าอาถรรพ์ อย่าเพิ่งก้าวเข้าไป”
“แต่คุณไกรกับคุณแพรวาล่ะ”
“ถ้าเค้าฉลาดพอ เค้าจะไม่เดินเข้าไปลึกกว่านั้น ...เรารอพรุ่งนี้เถอะ”

ไม้พยักหน้ารับ อบเชยมองไม้อย่างเป็นห่วง

อ่านต่อหน้า 4 




 ลูกผู้ชายไม้ตะพด  ตอนที่ 8 (ต่อ) 

ในป่าอาถรรพ์ขณะนั้น ไกรกับแพรวากำลังกินขนุนป่าลูกใหญ่

“อย่างน้อยก็ช่วยประทังหิวได้ละเนอะ”
“ผมว่าเราออกไปกันเถอะ ใกล้ค่ำแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ”
“ค่ะ”
ไกรกับแพรวาพากันเดินออกจากป่า
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไม้ อบเชย จันทร์ ชาญเดินมาขึ้นรถ
“วันนี้คงต้องนอนกันบนนี้”
“เลือกนอนในที่ที่ถูกใจกันเลย” ไม้แยกย้ายมานอนที่เบาะคนขับ “นอนตรงนั้นจะสบายเหรอเอ็ง ไม่ได้จะขับรถไปไหนนะ”
“ไม่เป็นไร ตรงนี้ล่ะ”
ไม้เอาหนังเสือพันไว้กับคันเกียร์ของรถ แค่ไม้เอาหนังเสือพันไว้กับคันเกียร์ซึ่งคือไม้ตะพด
ลมก็กรรโชกแรก เสียงต้นไม้ในป่าเหมือนร้องโหยหวน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อบเชยถามอย่างแปลกใจ
“พายุเข้าละมั้ง”
“อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้เลยน่ะเหรอ แปลกๆ นะ”
“ช่างเหอะ แค่ปิดกระจกเราก็น่าจะโอเคกันแล้วล่ะ”
“สงสารก็แต่คนติดอยู่ข้างในนั่นแหละ”
ไม้บอก ขณะนั้นภายในป่าลมก็โหมหนักไม่แพ้กัน แล้วฝนก็ตกซ่าลงมาซ้ำอีก ไกรกับแพรวาพากันมาหลบฝนในชะง่อนหิน
“ท่าทางจะไม่หยุดง่ายๆ นะ คืนนี้เราคงต้องติดอยู่ในนี้แล้วล่ะ” ไกรกับแพรวอยู่ใกล้ชิดกันมากในชะง่อนหินแคบๆ “ขอบคุณนะที่คอยช่วยผมมาตลอด”
แพรวาส่งยิ้มให้ไกร
คืนนั้นทุกคนที่อยู่บนรถหลับสนิทยกเว้นอบเชยที่กระสับกระส่ายไปมา นั่งมองพายุฝนข้างนอก
อบเชยแอบไปนั่งมองไม้หลับใกล้ๆ ด้วยความรัก แต่จู่ๆ ไม้ก็ดึงคันเกียร์พร้อมหนังเสือขึ้น แล้วเดินลอยๆ คล้ายละเมอ คล้ายมีแรงบางอย่างจากป่าดูดเขาไป ไม้เปิดประตูรถออกไปด้านนอกที่ฝนกระหน่ำ อบเชยงงรีบตามไป
“ไม้จะไปไหน ฝนมันตกนะ” ไม้ไม่ตอบแต่เดินทื่อไป ราวกับจะเข้าไปในป่าอาถรรพ์ อบเชยลุยฝนวิ่งไปคว้าแขนไม้ไว้ “ไม้ เข้าไปไม่ได้นะ ไม้ ไม้” ไม้ต้านแรงอบเชยจะเข้าไปให้ได้ “ไม้เป็นอะไร ตื่นสิ ตื่น ไม้ ไม้”
อบเชยเรียกเท่าไหร่ไม้ก็ไม่ตื่น อบเชยเลยคว้าข้อมือไม้มากัดเต็มแรง ไม้ร้อง
“โอ๊ย เป็นหมารึไง มากัดชั้นทำไมเนี่ย”
“ก็ดูสิว่าตัวเองทำอะไรลงไป”
ไม้เพิ่งสังเกตว่าตัวเองยืนอยู่กลางฝน
“นี่ชั้นมายืนตรงนี้ได้ยังไงเนี่ย”
“อยู่ๆ ไม้ก็ละเมอเดินมานี่”
ไม้ยืนงง
อบเชยกับไม้กลับมานั่งคุยกันบนรถ ขณะที่จันทร์กับชาญยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
“ฝันว่าอะไร ทำไมถึงละเมอไปแบบนั้น”
“ฝันว่ามีคนเรียกให้กลับบ้าน แต่ชั้นไม่รู้ตัวเลยนะ”
“ก็แน่ล่ะ คนรู้ตัวอยู่ๆ กลางดึกจะไปเดินให้ตัวเปียกทั้งที่ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนเล่นๆ มั้ยล่ะ”
“เลยทำเธอเปียกไปด้วยเลย” ไม้ถอดเสื้อตัวเอง แล้วบิดน้ำออก เอามาเช็ดหัวให้อบเชย “เธอนี่ก็บ้าวิ่งตามออกไป เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”
อบเชยรู้สึกดีที่ไม้ทำแบบนั้นให้ เธอยิ้ม
“แต่ได้แบบนี้ก็คุ้มนะ”
“ทะลึ่ง เอาไปเช็ดเองเลยไป เสร็จแล้วก็นอนซะล่ะ”
อบเชยยิ้ม ไม้เขินๆ
ในป่าอาถรรพ์ขณะนั้นไกรกับแพรวานอนหลับอยู่ในชะง่อนหินด้วยกัน หน้าแพรวาที่หลับอยู่ใกล้ไกรมาก จนไกรเกือบจะห้ามใจไม่ไหวเผลอจูบเธอแต่เขาก็มีสติพอที่จะไม่ทำ ไกรส่ายหัวให้กับพฤติกรรมตัวเอง
บนรถ...เสียงกรนของจันทร์กับชาญราวกับว่าจะแข่งกัน จนไม้นอนไม่หลับ ไม้หันไปเห็นอบเชยที่นอนตะแคงตัวสั่นเพราะความหนาว ไม้มองอย่างเวทนาแล้วก็ลุกไปนอนกอดอบเชยจากด้านหลัง อบเชยตาโตตกใจ
“นี่กลัวว่าจะไม่สบายแล้วก็จะเป็นภาระคนอื่นหรอกนะ” พอรู้ว่าเป็นไม้อบเชยจึงยิ้มออกมา “อุ่นขึ้นมั้ย”
อบเชยยิ้มแก้มปริ
“ตากฝนทุกวันเลยดีกว่า”
ไม้เอามือเคาะหัวอบเชย
“เป็นผู้หญิงนะเราน่ะ”
อบเชยยิ้ม ไม้ก็เช่นกัน
วันรุ่งขึ้นฝนหยุดตกแล้วไกรกับแพรวาออกมาจากชะง่อนหิน แพรวาเสียหลักไกรประคองไว้
ทั้งคู่มองหน้ากัน
“เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะค่ะ เผื่อจะมีรถผ่านมา”
“ใช่ ไปเถอะ”
ไกรกับแพรวาเดินกลับออกมาทางเก่า แต่กลับกลายเป็นว่าทางเก่า ไม่ใช่ทางออก กลายเป็นการเดินวนกลับไปกลับมาที่ไม่มีทางออก
“ตรงนี้มันเคยเป็นทางออกนี่”
“ใช่ ชั้นจำได้ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”
“เราไม่ได้เข้ามาลึกเลยนะ”
“ทำยังไงดีละทีนี้”
ไกรหน้าเครียด
บนรถขณะนั้นอบเชยกับไม้ยังนอนกอดกัน จันทร์ตื่นขึ้นมากำลังจะลงไปข้างล่างเห็นถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
ชาญงัวเงียตามจันทร์มา
“มีอะไร ทำท่าประหลาด เฮ้ย...”
ชาญร้องอีกคนเมื่อหันไปเห็น ไม้สลึมสลือตื่นมาเห็นจันทร์กับชาญกำลังจ้องอยู่ ไม้สะดุ้งสุดตัวลุกขึ้น อบเชยก็ตื่นขึ้นงงๆ เช่นกัน
“ก็ไม่ได้อยากจะขัดความสุขนะเว้ย แต่แบบ...มันเห็นเอง”
“ไม่เกรงใจข้าสองคนเลยนะเอ็ง”
“ไม่มีอะไรจริงๆ” ไม้รีบปฏิเสธ ชาญกับจันทร์มองไม้ที่ถอดเสื้อด้วย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม้ก้มมองตัวเอง “เมื่อคืนเปียกฝนก็เลยถอด แล้วนี่อบเชยก็เปียกฝนตัวสั่นเลยก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“เหรอ”
“ทำไมต้องทำท่าทางไม่เชื่อด้วยเล่า”
“ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรไง”
“อบเชย เธอช่วยพูดอะไรหน่อยสิ”
ไม้ให้อบเชยช่วยพูด แต่อบเชยกลับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ รู้สึกดีจัง”
อบเชยทิ้งคำพูดแล้วก็เดินลงจากรถไป ไม้ตะโกนไล่หลัง
“เฮ้ย พูดแบบนี้ได้ไง คนอื่นเค้าเข้าใจผิดหมด”
“ชั้นไม่มีแบบนี้บ้างก็ให้มันรู้ไป” จันทร์บอกขณะที่ชาญค้อนใส่ไม้
“ชิ”
ไม้ยืนอายหน้าแดงอยู่คนเดียว
เวลาผ่านไป...ไม้ อบเชย จันทร์ ชาญ ยืนอยู่หน้าป่าอาถรรพ์
“ตกลงเราจะเข้าไปจริงๆ ใช่มะ”
“โกหก เราแค่มายืนโพสท่าถ่ายรูปเดี๋ยวก็ขับรถกลับแล้วเนี่ย ...โธ่พี่ มาถึงขั้นนี่ยังจะถามอีก”
“หวังว่าเราคงเจอคุณไกร กับคุณแพรวานะ”
“เจอคุณไกรคนเดียวก็ได้ ยายแพรวาให้หายสาบสุญไปก็ดี” อบเชยบอก ไม้หันมามองอบเชยดุๆ แต่อบเชยไม่สนใจ ชาญดูแผนที่บนหนังเสือ
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
จังหวะนั้นเสียงพันเทพดังมาจากด้านหลัง
“จะไปผจญภัยกันเหรอเด็กๆ”
ทุกคนหันตามเสียง พอเห็นพันเทพก็ตกใจ
“แกมาได้ยังไง”
“ก็ขับรถตามมาสิ ไม่เห็นจะยาก เรื่องอะไรจะปล่อยให้เด็กสนุกกันเองล่ะ จริงมั้ย”
“แกต้องการอะไรกันแน่”
“ก็แค่ขอเข้าไปด้วยคน ก็แค่นั้น”
“เรามีหนังเสือ แต่แกไม่มีจะมาขอไปด้วย มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอ”
“พวกเราไม่มีทางให้แกเข้าไปด้วยหรอก”
“จริงเหรอไม้...แล้วถ้าชั้นไม่มีตำราหนังเสือ แต่มีนี่ล่ะ”
พันเทพเดินไปลากเมฆออกมาจากที่ซ่อน ไม้ตกใจที่เห็นพ่อตนถูกพันเทพจับตัวมา
“พ่อ”
“ทีนี้เธอจะว่ายังไง...จะพาชั้นเข้าไปในป่าพร้อมกับพวกแกได้รึยัง”
ไม้อึกอักลำบากใจ อบเชย จันทร์ ชาญ ก็เช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงพ่อ อย่าทำตามมัน”
“พ่อเป็นพ่อของผม” พันเทพหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ “หัวเราะอะไร”
“พ่อเหรอ! ชั้นคิดอยู่แล้ว...” พันเทพหรี่ตาอย่างเจ้าเล่ห์ “ชั้นถึงยังไม่ได้บอกความจริงไง”
“ความจริง ความจริงอะไร”
ไม้มองเมฆแล้วมองพันเทพ ต้องการคำตอบจากทั้งคู่ เมฆอึกอัก พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ความจริงที่...” พันเทพมองเมฆ “นายเมฆอยากรู้นักหนาไง ใช่มั้ยเมฆ”
“มันเป็นเรื่องระหว่างเรา แกอย่าดึงเด็กมันมาเกี่ยว”
พันเทพยิ้มกวนประสาทเมฆ
“พูดเรื่องอะไรกัน”
“ไม้...ไม้ไม่ต้องทำอะไรเพื่อพ่อ...”
พันเทพกำหมัดต่อยบริเวณแผลของเมฆ เมฆเจ็บปวดพูดต่อไม่ได้
“อ๊ากกกก!”
“พ่อ”
พันเทพคุกเข่าลงไปกระซิบเมฆที่ลงไปนอนกอง
“ใจเย็นๆ ความจริงมันไม่หนีไปไหนหรอก แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา”
“เลวจริงๆ ทำกระทั่งคนที่อ่อนแอกว่า” อบเชยต่อว่า
“ว่ายังไงไม้…ถ้าเธอไม่อยากให้พ่อเธอเจ็บตัวอีก ก็นำทางชั้นไปซะดีๆ”
ไม้คิดหนัก หันมองหน้าทุกคน อบเชย ชาญ จันทร์มองไม้อย่างเห็นใจ
“ตกลง”
พันเทพหัวเราะเสียงดัง
ขณะนั้นไกรกับแพรวา นั่งท้อแท้กันอยู่ใต้ร่มไม้ในป่าแล้วเสียงหัวเราะพันเทพก็ดังเข้ามาแต่เสียงแผ่วเบาและกังวาน แพรวาได้ยิน
“เสียงหัวเราะ คุณไกรได้ยินมั้ย”
“เสียงมันเหมือนจะใกล้ก็ไม่ใกล้ จะไกลก็ไม่ไกล”
“อาจจะเป็นเสียงจากข้างนอกก็ได้ อาจมีคนมาแถวนี้”
“เป็นไปได้ ถ้างั้น...ถ้าเราตะโกนออกไป เค้าอาจได้ยิน” แพรวาพยักหน้าเห็นด้วย “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ข้างนอกมีใครได้ยินมั้ย”
“ช่วยด้วยค่ะ พวกเราติดอยู่ในนี้ ได้ยินมั้ยคะ”
ไกรกับแพรวา ช่วยกันตะโกน
ที่หน้าป่าอาถรรพ์ไม้ อบเชย จันทร์ ชาญ ยังยืนจ้องพันเทพเขม็ง
“จะมัวยืนทำอะไรกันอยู่ พาชั้นเข้าไปได้แล้ว”
“เราจะไว้ใจได้ยังไงว่าถ้าแกได้ของที่ต้องการ แกจะปล่อยพ่อ”
“ไว้ใจไม่ได้...เธอต้องเสี่ยงเอาเอง” ไม้ยิ่งเจ็บใจ “อย่าพยายามจะต่อรอง ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยไม้ มันเป็นวิธีที่ไม่ฉลาด”
“แต่วิธีโกงๆ อย่างแก พวกเราไม่มีวันทำหรอก”
จันทร์จุ๊ปากให้ทุกคนเงียบ
“เงียบก่อน มีใครได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
ทุกคนเงียบพร้อมกัน
“เสียงอะไร”
“ฟังสิ”
เสียงไกรกับแพรวาร้องขอความช่วยเหลือ ดังจางๆ มา
“เสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ”
พันเทพได้ยินก็จำเสียงแพรวาได้คลับคล้ายคลับคลา
“แพรวา...นั่นเสียงแพรวานี่ แพรวาอยู่ไหน”
“ไม่มีใครรู้หรอก ก็ยืนอยู่ด้วยกันนี่”
“รู้แต่เสียงดังมาจากข้างในป่า ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ตายก่อนจะได้เจอกัน”
“หมายความว่าแพรวาเข้าไปในป่าก่อนแล้วเหรอ” พันเทพตกใจ
“ก็คิดกันว่างั้น”
“แล้วจะยืนรออะไร เข้าไปกันได้แล้วจะปล่อยให้ลูกชั้นโดนเสือกินก่อนรึไง ไป๊”
พันเทพไล่ตะเพิดทั้งหมดให้เข้าไป
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวาเดินเข้ามาหาพันเทพในห้องทำงาน แต่ไม่เจอพันเทพ
“ไม่อยู่เหรอ ...ทีตัวเองไปไหนไม่เคยรายงานใคร แต่ลูกจะไปไหนต้องรายงานทุกฝีก้าว พ่อนะพ่อ”
เสียงกุกกักดังจากในตู้ ทิวาได้ยินพอดีจังหวะที่เดินบ่นจะออกไป ทิวานึกสงสัยจึงเดินไปดูในห้องอีกทีเขาเดินไปดูใกล้ๆ แต่เสียงก็เงียบไป พอทิวาหันหลังจะจากไปเสียงก็ดังขึ้นอีก ทิวาหันขวับไปจ้องที่ตู้ จะเปิดตู้ก็มีเสียงพูดมาจากด้านใน
“ถ้าเจ้าอยากเจอข้า ปิดหน้าต่างให้หมดก่อน”
ทิวาตกใจที่ได้ยินเสียงจากด้านในตู้
“แก...แกเป็นใคร ทำไมไปอยู่ในตู้”
“ถ้าเจ้าอยากรู้...จงปิดหน้าต่างซะ”
ทิวาเดินไปปิดหน้าต่างทุกบานในห้องจนไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา
“ปิดแล้ว”
ทิวาจ้องที่ตู้ย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วประตูตู้ก็ค่อยๆ เปิดออกมาช้าๆ ทิวาใจระทึก
ตู้เปิดออกมาทีละนิด เท้าเหี่ยวแห้งของเวตาลก้าวพ้นตู้ออกมาก่อนที่จะเห็นตัว ทิวากลัวจนหายใจแทบไม่ทัน จนเวตาลปรากฏออกมาเต็มตัว
“แก...เป็นตัวอะไรเนี่ย”
“เจ้าอยากเจอข้าไม่ใช่เหรอ”
“ผีหรือคน”
“เจ้าเด็กน้อย...โลกมนุษย์ หาใช่มีแต่พวกเจ้า และเหล่าอสูรกายเท่านั้น อย่าถามเจาะจงเช่นนั้นเลย”
“แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ข้ามากับไม้ตะพด”
“ไม้ตะพดวิเศษน่ะเหรอ...ถ้างั้นแกก็มีอำนาจพิเศษน่ะสิ”
“จะว่าจะยังงั้นก็ไม่ผิด”
“แกคือ...ตัวที่เข้าฝันชั้นแทบทุกวัน ใช่มั้ย” เวตาลยิ้มเจ้าเล่ห์ “แกต้องการอะไรจากชั้น”
“อย่าเรียกว่าต้องการเลยเจ้า เรียกว่าการแลกเปลี่ยนดีกว่า”
“ชั้นจะต้องแลกเปลี่ยนอะไรกับแก ชั้นมีพร้อมทุกอย่างแล้ว”
“แน่ใจรึ” ทิวาลังเล “คนที่เจ้าเรียกว่าพ่อ รักเจ้าดีรึ? หญิงสาวที่เจ้าหมายปอง สนใจเจ้ารึ?”
“แกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้ายังรู้อะไรที่เจ้าเอง...ไม่เคยรู้อีกด้วย”
“มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้อีก”
“ความจริงไง”
เวตาลหน้าเจ้าเล่ห์ ทิวายังสับสนเกี่ยวกับเวตาล

บริเวณหน้าป่าอาถรรพ์ขณะนั้นชาญยืนอยู่หน้าทุกคน แต่กล้าๆกลัวๆ ชาญจะก้าวเท้าเข้าก็หดขากลับ ไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ จนพันเทพหงุดหงิด
“เฮ้ย...ลีลาอยู่ได้ อยากเจ็บตัวอีกคนรึไง”
“แกไม่รู้เรื่องป่าอาถรรพ์ อย่าพูดมากดีกว่าน่า”
พันเทพจะเอาร่มฟาดชาญ
“ไอ้นี่”
ไม้เอามือจับร่มพันเทพไว้
“พี่ชาญเป็นคนเดียวที่สามารถพาเราไปได้ ถ้าพี่ชาญเป็นอะไร ก็ไม่มีใครได้กลับออกมาแน่”
ลมพัดวูบใหญ่ออกมาจากป่า จากการเคลื่อนไหวของไม้ตะพดของพันเทพ
“ชั้นว่าอย่ามัวเสียเวลาเลย เดี๋ยวจะค่ำซะเปล่าๆ”
พันเทพผลักชาญก้าวเข้าเขตป่าอาถรรพ์ ชาญเซถลาเข้าไป คนอื่นเข้าตาม พันเทพให้สมุนคนนึงคุมเมฆไม่ห่าง
ทั้งหมดเดินเข้ามาในป่าอาถรรพ์ เสียงสัตว์ร้องโหยหวนไปหมด ทั้งมดทั้งแมลงรุมกัดคนทั้งหมดที่เดินเข้ามายกเว้นพันเทพ
“โอ๊ย จะกัดอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
“มันคงอดอยากละมั้ง ไม่ได้เจอคนนาน”
“แต่ดูไอ้พันเทพสิ ไม่มีแม้แต่แมลงตัวไหนบินเข้าใกล้เลย”
“จริงด้วย น่าแปลกมาก”
“ก็เพราะพลังจากไม้ตะพดในมือมันนั่นไงล่ะ”
“ไหนล่ะลูกสาวชั้น”
“ก็เข้ามาพร้อมกัน ใครจะไปรู้ล่ะ”
“แกเป็นพรานเก่า ชำนาญเส้นทางไม่ใช่เหรอ ห๊ะ ไหนล่ะลูกสาวชั้น”
“เป็นพราน ไม่ใช่ไก๊ด์ทัวร์นะครับ จะได้ตรัสรู้ได้ว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหน แล้วถึงแม้ข้าจะชำนาญป่าแถบนี้ทั้งหมด แต่ป่าอาถรรพ์ก็เข้ามาครั้งแรกพร้อมๆ กันนี่แหละ”
“แต่ไม่เห็นมีวี่แววคุณไกรกับแพรวาเลยนะ ทั้งที่เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงอยู่เลยแท้ๆ”
“ป่าตั้งกว้าง จะมาเดินเจอกันง่ายๆ ได้ยังไง”
“นี่ ก่อนที่จะเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ข้าต้องขอทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนก่อนเลยนะ การเข้าป่าหาคนกับหาของ มันมีวิธีการเดินที่ไม่เหมือนกัน พวกเอ็งต้องบอกข้ามาให้ชัดว่าจะหาสมุนไพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น หรือจะตามหาคุณไกรกับคุณแพรวา” ชาญมองหน้าไม้ “ห๊ะ” แล้วหันไปมองหน้าพันเทพ “ห๊ะ...เอาไง”
อีกมุมหนี่งของป่าอาถรรพ์แพรวานึกท้อที่ดูเหมือนไม่มีวี่แววว่าใครจะมาช่วย ขณะที่ไกรยังตะโกนอยู่
“มีใครอยู่มั้ย ช่วยด้วย ใครได้ยินบ้าง”
“ชั้นว่าตะโกนไปก็เสียแรงเปล่า ถ้ามีใครได้ยินจริง เค้าคงตอบกลับมาแล้ว”
“แต่มันต้องมีใครซักคนสิที่รู้ว่าเราติดอยู่ที่นี่”
“ใครจะรู้ อย่างมากก็รู้ว่าหายไปแต่จะรู้ได้ไงว่าอยู่ที่ไหน”
“ก็ชาวบ้านแถวนี้ไง อาจจะมีคนเห็นก็ได้ว่าเราเดินเข้ามา”
“คุณไกร…ตลอดทางที่เราเดินมาตั้งไกล เราไม่เจอชาวบ้านซักคน”
“ก็จริง…”
“เราอาจต้องติดอยู่ในนี้ไปจนตายแล้วล่ะ”
ไกรเห็นแพรวามีสีหน้าท้อแท้มาก
“ไม่หรอก พ่อคุณน่ะ มีสมุนตั้งมากมาย สืบตามหาคนแค่นี้ พ่อคุณทำได้อยู่แล้ว”
แพรวายังไม่คลายกังวลนัก
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นชาญจ้องหน้าไม้กับพันเทพ
“อ้าวเงียบทั้งคู่ ตกลงเอาไง จะตามหาของหรือจะตามหาคน”
“ไม้...มาถึงป่าอาถรรพ์แล้วนะ อาจเป็นทางเดียวที่จะช่วยลุงเมฆได้” อบเชยบอกแต่ไม้ลังเล
“แต่นั่นเท่ากับเราจะทิ้งคนให้ติดอยู่ในนี้”
“อย่าให้พ่อเป็นคนทำให้ไม้ลำบากใจเลย”
“ว่าไง จะเลือกคนหรือของ”
“ชีวิตคนสำคัญกว่า ของถ้าไม่ตายยังหาใหม่ได้” ไม้บอกทำให้อบเชยเกิดอการหึง
“เลือกผู้หญิง มีความคิดรึเปล่าเนี่ย พ่อตัวเองไม่สำคัญรึไง” ไม้หนักใจ
“พ่อยังไม่ตายหรอกลูก ไม่ต้องห่วง” เมฆบอก พันเทพหัวเราะหยามหยัน อบเชยจึงหันไปพาลพันเทพ
“หัวเราะอะไร เป็นตัวเองจะเลือกคนหรือของ”
“เอาของสิ คนถ้าไม่ตายก็ทำใหม่ได้”
“เลือกของ มีความคิดรึเปล่าเนี่ย” อบเชยต่อว่าพันเทพ ชาญจึงพึมพัมออกมา
“เลือกอะไร ก็ไม่เห็นถูกใจซักอย่าง”
“อะไร พูดอะไร” อบเชยหันมาพาลกับชาญ
“เปล๊า”
“ชั้นตัดสินใจเอง พาชั้นไปให้ถึงปลายทางที่แผนที่บอก”
ไม้หันขวับไปมองพันเทพ
“แพรวาเป็นลูกแกนะ แกจะปล่อยลูกให้ตายอยู่ในป่าเพื่อการได้มีอำนาจของแกงั้นเหรอ”
“เลวที่สุด”
“ไม่ต้องมาสั่งสอนชั้น ถ้าอยากเป็นคนดีนัก ก็แยกออกไปสิ” ทุกคนนิ่งมองหน้ากัน ไม้ลำบากใจ “หึหึ สุดท้ายก็รักตัวกลัวตายกันหมดแหละวะ”
“ถ้างั้นข้าก็จะเดินตามทางที่หนังเสือนี่บอก”
“จะได้กลับก่อนค่ำมั้ย”
“ชั้นก็อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่งั้นลำบากแน่”
ชาญมองหน้าทุกคน แต่ละคนถอนหายใจ
ส่วนที่บ้านพันเทพ ทิวายังยืนอยู่หน้าห้องทำงานของพ่อ เขาแทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่ตนเห็น ทิวา
ยืนรวบรวมสติแล้วตบหน้าตัวเอง
“เราก็ไม่ฝันไปนี่ ตัวประหลาดนั่น พูดภาษาคนได้ ทำไมพ่อต้องเลี้ยงตัวแบบนี้ไว้ด้วยน่าขยะแขยงที่สุด”
เสียงเวตาลดังจากในห้อง
“หากเจ้าสงสัยในตัวข้าก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้ว่า...ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง”
ทิวาครุ่นคิดอย่างหนัก
ส่วนที่ป่าอาถรรพ์ ภายในป่าแวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดสมุนไพรมากมาย
“พี่ชาญ สมุนไพรมากมายแบบนี้ พี่พอจะรู้บ้างมั้ย อันไหนพอจะช่วยพ่อได้” ไม้ถามชาญ
“ข้าก็พอจะรู้คุณสมบัติไม่กี่ชนิดหรอกนะ แต่เท่าที่ข้ากวาดตามองคร่าวๆ เนี่ย มัน...แปลกตาไปหมด เหมือนว่าเป็นสมุนไพรที่มีแต่ที่นี่ที่เดียว”
“แล้วชั้นควรจะทำยังไงดีล่ะพี่”
“ไม้ ชั้นว่าพันเทพน่ะ น่าจะรู้เรื่องสมุนไพรนะ”
ไม้เหลือบตามองพันเทพ ที่คุมเมฆอยู่ไม่ห่าง
“ทำไมเธอคิดยังงั้นล่ะ”
“ชั้นเคยโดนพันเทพน่ะมันฝังเข็มสกัดจุด แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้”
“อืม มีเหตุผล”
“มีเหตุผลอะไร ชั้นไม่เห็นจะเข้าใจว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหน”
“นั่นสิ”
“ก็คนที่รู้วิธีการฝังเข็มแบบจีน จนถึงขนาดรู้จุดสำคัญของการเคลื่อนไหวได้น่ะ มักจะเชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบหมอจีนด้วย”
“ซึ่งการรักษาแบบหมอจีนน่ะ เต็มไปความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร”
“งั้นเหรอ”
ทุกคนหันไปมองพันเทพอย่างสนใจ พันเทพกวาดสายตามองต้นไม้ใบหญ้าอย่างระแวดระวังตลอดทาง เขาหันมาเห็นทั้ง 4 คนกำลังจ้องมา
“มีปัญหาอะไรกับชั้นรึไง”

ไม้ จันทร์ ชาญ และอบเชยไม่ตอบ แต่พากันเดินต่อ

อ่านต่อตอนที่ 9



กำลังโหลดความคิดเห็น