รักประกาศิต ตอนที่ 8
ลัคนายิ้มหวานพร้อมกับเดินเข้ามากอดนริศรา นริศรายืนอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก
“น้องนิดจริงๆด้วย หายไปเลยนะจะติดต่อส่งข่าวให้พี่รู้บ้างก็ไม่ได้ นี่พอยายวันบอกพี่ว่านิดอยู่ที่ไหนพี่ก็รีบมาทันทีเลยนะ”
พูดจบลัคนาก็กอดนริศราอีกครั้ง พิสุทธิ์ถึงกับส่ายหน้าด้วยความเซ็ง แล้วลัคนาก็หันไปหาภูชิชย์
“พ่อเลี้ยงภูชิชย์ใช่ไหมคะ ดิฉันชื่อลัคนา สุริยรักษ์ค่ะ”
พอได้ยินนามสกุลภูชิชย์ก็หันไปหานริศราทันที นริศราหน้าเจื่อนไป
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณลัคนา สุริยรักษ์” ภูชิชย์พูด
ลัคนายิ้ม “ลาวัลย์น้องสาวดิฉันเขาเล่าให้ฟังหมดแล้ว ขอบคุณที่ช่วยดูแลน้องนิดนะคะ”
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ คุณลัคนาเป็นญาติกับนริศราหรือครับ” ภูชิชย์ถาม
“พี่สะใภ้ค่ะ ที่มาคราวนี้ก็เพราะอยากจะมาดูด้วยว่าน้องนิดอยู่ยังไง คุณณะพี่ชายแกเป็นห่วงน่ะค่ะ”
ภูชิชย์ยิ้ม “คุณลัคนาอยากจะไปเที่ยวที่ไร่ไหมล่ะครับ จะไปพักก็ได้ผมยินดีครับ”
นริศราสะดุ้งด้วยความตกใจที่ได้ยินภูชิชย์ชวนลัคนาไปที่ไร่ ลัคนายิ้มพร้อมกับนิ่งคิดก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่รบกวนขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะเรื่องที่พักน่ะ นา พักโรงแรมคุณโป๊ะจะสะดวกกว่า” ลัคนาหันมาพูดกับพิสุทธิ์ “ยังไงพี่ขอรบกวนอีกนะคะคุณโป๊ะ”
“ได้ครับผมจะจัดการให้” พิสุทธิ์รับปาก
ทันใดนั้น ลาวัลย์ก็เดินเข้ามา ลัคนาหันไปเห็นก็พูดกับทุกคน
“อุ๊ย...ยายวันมาแล้ว”
“สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง คุณโป๊ะ เอ่อ...พี่นารู้จัก” ลาวัลย์จะถามแต่ลัคนาชิงสวนขึ้น
“เรียบร้อยจ้ะ พ่อเลี้ยงชวนพี่ไปที่ไร่เรียบร้อยแล้ว” ลัคนาหันไปพูดกับภูชิชย์และพิสุทธิ์ “งั้นนาขอตัวก่อนนะคะ คุณโป๊ะจะกลับโรงแรมเลยหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ....ยังครับ ผมจะไปกับนิด” พิสุทธิ์ตอบ
“งั้นอย่าลืมโทรบอกที่โรงแรมให้พี่นาหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ ไปนะคะทุกคน”
ลัคนารีบลากลาวัลย์ที่ไม่ค่อยจะเต็มใจจะไปให้เดินไปกับตน นริศรามองตามด้วยความกลุ้มใจแล้วหันไปมองพิสุทธิ์ พิสุทธิ์ยิ้มปลอบแต่พอนริศราหันไปเห็นภูชิชย์ที่จ้องอยู่เธอก็ถึงกับเครียดทันที
ภูชิชย์กับเจมส์เดินคุยกันอยู่ข้างหน้า ส่วนนริศราและพิสุทธิ์เดินตาม พิสุทธิ์สังเกตว่านริศรามีสีหน้าไม่มีความสุข พอใกล้ที่รถจอดพิสุทธิ์ก็ดึงแขนนริศราให้หยุดเดิน ในขณะที่ภูชิชย์กับเจมส์เดินห่างออกไปข้างหน้า
“เป็นอะไรอ่ะนิด กลัวเหรอ” พิสุทธิ์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ที่จริงเราก็ทำใจแล้วว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่พอรู้ว่ามันใกล้เข้ามาก็อดกลัวไม่ได้” นริศราบอก
“ไม่ต้องกลัวนะ เอาเป็นว่าถ้านิดต้องเสียงานที่นี่ ก็ยังมีงานของเราสำรองแล้วกัน รับรองถ้านิดทำงานที่เชียงใหม่คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่รู้แน่นอน”
นริศรานิ่งคิดสีหน้าเครียด
“เอาเป็นว่าถึงตอนนั้นค่อยมาคุยกันก็แล้วกัน” พิสุทธิ์บอก
ภูชิชย์กับเจมส์เก็บของใส่ท้ายรถจนเสร็จ ทั้งสองหันไปเห็นพิสุทธิ์กับนริศรายืนคุยกันอยู่ภูชิชย์ก็เลยเดินไปหา
“ไปคุยกันต่อในรถเถอะ คุยหลายคนสนุกดีออก” ภูชิชย์ชวน
ภูชิชย์ยิ้มนัยตาวาวให้นริศราจนนริศรารู้สึกหวาดหวั่นแล้วเขาก็เดินกลับไปรอที่รถ นริศรากับพิสุทธิ์มองหน้ากันด้วยความเซ็งแล้วเดินตามภูชิชย์ไป
ภูชิชย์ขับรถกลับไร่ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือนั่งเงียบในบรรยากาศที่ชวนอึดอัด
“อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้ว่าเธอมีพี่ชายและพี่สะใภ้” ภูชิชย์พูดขึ้น
นริศรานั่งเงียบ ภูชิชย์ยิ้มกวนๆ แล้วพูดต่อ
“ดูๆแล้วพี่สะใภ้ของเธอเขาก็ดีกับเธอมากนะ เธอหนีที่บ้านมาทำไม” ภูชิชย์เริ่มกวน “หรือเธอติดยา ไม่เป็นไรนะ ฉันพาไปรักษาได้”
“จะบ้าเหรอ หน้าฉันเหมือนคนสิ้นคิดขนาดนั้นหรือไง” นริศราเริ่มรำคาญ
“ใครจะไปรู้ คนเราสมัยนี้ไว้ใจได้ง่ายๆเหรอ”
“นี่พ่อเลี้ยง คุณไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งสรุปดีกว่าไหมคะ” นริศราฉุน
“ได้ ฉันจะรอไปถามพี่สะใภ้เธอ”
ภูชิชย์กับนริศราตั้งท่าคล้ายจะทะเลาะกัน พิสุทธิ์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบไกล่เกลี่ย
“ใจเย็นๆครับ อย่าเพิ่งทะเลาะ ค่อยๆคุยกันดีกว่านะครับ”
จู่ๆ เจมส์ก็พูดภาษาไทยคล่องปร๋อออกมา “ถูกของคุณโป๊ะ คนไทยนิสัยดีไม่ทะเลาะกันนะครับ”
ทุกคนอึ้งต่างหันไปมองเจมส์ด้วยความตกใจ
“พูดไทยได้เหรอ” ทั้งสามพูดพร้อมกัน
“ผมเรียนภาษาไทยที่วัดไทยในอเมริกามาหกปี” เจมส์เล่า “พูดได้ เขียนได้ อ่านได้ แต่ด่าไม่คล่องครับ”
เจมส์ยิ้มอย่างสดใสให้กับทุกคน
“เป็นไงครับหยุดทะเลาะกันเลย” เจมส์หันไปพูดกับพิสุทธิ์
พิสุทธิ์ยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งให้เจมส์เป็นการขอบคุณที่ทำให้ทั้งสองหยุดทะเลาะกันได้
ลาวัลย์เปิดตู้เย็นในห้องพักของลัคนาที่โรงแรมแล้วหยิบน้ำเปล่าออกมาดื่ม ส่วนลัคนาเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋ามาแขวนที่ตู้
“นึกแล้วยังเสียดาย พี่นาไม่น่ารีบลาพวกนั้น วันยังไม่ได้คุยกับพ่อเลี้ยงเลย” ลาวัลย์ตัดพ้อ
“กลัวเขาไม่รู้ว่าแกชอบหรือไง” ลัคนาพูด ลาวัลย์แอบค้อน “เป็นผู้หญิงน่ะหัดเล่นตัวไว้บ้างนะจะได้มีค่า”
ลาวัลย์ประชด “จ้า....ที่กับนายโป๊ะเห็นพยายามดันน่าดู”
ลัคนายักไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะพูดต่อ
“อ้าว....ก็พี่ยังไม่เห็นไร่นี่ เลยไม่รู้ว่ารวยจริงหรือเปล่า ถ้าวันไหนจับได้ว่า นายนี่รวยกลวงพี่ไม่ยอมให้แกคุยกับเขาอีกแน่”
“พี่นา...นี่มันชีวิตวันนะ ขอวันเลือกทางเดินเองได้ไหม” ลาวัลย์บอก
“ไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เหมือนพี่ใหญ่ เห็นไหมรายนั้นเลือกสามีผิดทุกวันนี้ยังต้องมายืมเงินแกเงินฉันอยู่เลย ฉันไม่ยอมให้แกมีแฟนจนเด็ดขาด ไม่ไหวจะดูแลย่ะ” ลัคนาบ่น
ลาวัลย์เซ็ง “อุตส่าห์มาทำงานถึงเชียงใหม่แล้วพี่ยังตามมาควบคุมชีวิตฉันอีก”
ลัคนาค้อนแล้วเดินไปหยิบเครื่องสำอางก์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
ภูชิชย์ นริศรา พิสุทธิ์ยืนอยู่ที่ท้ายรถ เจมส์เอากระเป๋าเดินทางลงมาถือโดยมีนิพนธ์คอยช่วย
“เฮ้อ...โล่งอก แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย ถ้างั้นผมต้องให้เจมส์สอนภาษาอังกฤษผมด้วยแล้ว” นิพนธ์ถอนหายใจยาว
“ด้วยความยินดีครับพี่นิพนธ์” เจมส์กล่าว
“นั่นๆๆๆ รู้วัฒนธรรมเราด้วยนะ หัดเรียกพี่เรียกน้องไว้แบบนี้คนงานรักตายเลย” นิพนธ์ท่าทางดีใจ
ภูชิชย์พูดกับเจมส์ “พักที่บ้านพักของพี่นิพนธ์นะ มันมีสองห้องนอน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาว่ากันเรื่องฝึกงาน”
นิพนธ์กับเจมส์ช่วยกันขนของแล้วเดินออกไป
พิสุทธิ์หันมาพูดกับนริศรา “เราไปเที่ยวกันได้แล้วใช่ไหม”
นริศราพยักหน้ารับแล้วจะเดินไปกับพิสุทธิ์ แต่ภูชิชย์รีบเรียกเธอไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีกคะ” นริศราถาม
“ฉันว่าจะปรึกษาเธอเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับเจมส์เย็นนี้หน่อย” ภูชิชย์รีบหาเรื่อง
“เราจะมีงานเลี้ยงเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง” นริศรางง
“ฉันก็บอกเธออยู่นี่ไง”
“ไหนคุณบอกวันนี้ฉันแค่ไปรับเจมส์ไง”
“ก็ใช่ แต่พอมาคิดดูอีกที เจมส์เป็นฝรั่ง ถ้าเราไม่มีงานแนะนำ คนงานคงไม่กล้าเข้าหาเจมส์ ตกลงจะช่วยฉันได้ไหม” ภูชิชย์ถาม
นริศราคิดหนักมองหน้าพิสุทธิ์ด้วยความเกรงใจ พิสุทธิ์รีบยิ้มให้ทันที
“ไม่เป็นไรหรอกนิด ไว้เที่ยวกันคราวหน้าก็ได้ แต่วันนี้เราขออยู่ช่วยนิดด้วยนะ”
นริศรายิ้ม “ขอบใจนะโป๊ะ เราไปคุยกับแม่อุ้ยเรื่องอาหารก่อนดีกว่า”
นริศรากับพิสุทธิ์จะเดินไปด้วยกัน
ภูชิชย์ยืนเหวอ “อ้าว...แล้วฉันล่ะ”
ภูชิชย์จะเดินตามไปแต่นริศราหันกลับมามองตาขวางแล้วพูด
“พ่อเลี้ยงไม่ต้องมาหรอกค่ะ คุณให้จัดการแล้ว ฉันจะทำเอง”
พูดจบนริศรากับพิสุทธิ์ก็เดินไปด้วยกัน ภูชิชย์มองตามตาขุ่น
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ภูชิชย์บ่น
เจ้าทิพย์ดารานั่งเพ้นท์เสื้ออยู่ในห้องเพ้นท์ของเธอ เธอเอากระดาษแข็งรองเสื้อยืดที่วาดลายไว้แล้ว ส่วนโต๊ะด้านข้างมีสีอะครีลิคและแก้วใส่พู่กันตั้งอยู่
สักพักเจ้าดาระกาก็เดินเข้ามา พอเห็นลายเพ้นท์ของบุตรสาวก็ชอบใจ
“เพ้นท์เสื้อใส่เองอีกเหรอลูก”
เจ้าทิพย์ดาราหันมายิ้มให้
“ให้ภูค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราตอบแล้วหันไปหยิบพู่กันมาระบายเสื้อ
เจ้าดาระการู้สึกอึดอัดใจ เจ้าทิพย์ดาราเห็นเจ้าแม่เงียบไปก็มองอย่างสงสัย
“เจ้าแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เจ้าพ่อให้มาถามเรื่องที่จะชวนคุณโป๊ะมาทานข้าวที่บ้าน ลูกชวนเขาหรือยัง”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “เจ้าแม่คะ น้อยรู้ว่าอยากเชียร์คุณโป๊ะ แต่เขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้วนะคะ”
“อ้าว...มีแฟนแล้วเหรอ” เจ้าดาระกาเพิ่งทราบ
“น้อยก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะคะ แต่ดูๆแล้วคุณโป๊ะน่าจะชอบคุณนิดผู้จัดการไร่สุพัฒนา”
“ลูกเคยบอกว่าเขาเป็นเพื่อนกันนี่”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “น้อยแค่รู้สึกตามที่เห็นน่ะค่ะ แต่ถึงยังไงน้อยก็ไม่มองผู้ชายคนอื่นนอกจากภูอยู่แล้ว เจ้าพ่อเจ้าแม่เลิกเชียร์ได้ค่ะ”
เจ้าดาระกามองเจ้าทิพย์ดาราด้วยความเครียด เจ้าทิพย์ดาราเข้ามากอดอ้อนเจ้าแม่ของตัวเอง
เจ้าเทพมงคลยืนมองวิวในไร่ด้วยสีหน้าเครียดอยู่ที่ระเบียง โดยมีเจ้าดาระกายืนอยู่ใกล้ๆ
“พี่จะไม่ปล่อยให้ลูกของเราต้องไปอยู่กับคนที่ยอมให้น้องสาวบงการชีวิตอย่างนั้นเด็ดขาด”
“น้องก็คิดเหมือนกัน ถ้าพ่อเลี้ยงกับลูกเราแต่งงานไป คนที่จะเจ็บปวดและทรมานที่สุดก็คือลูกสาวเรา แต่เราจะทำยังไงล่ะคะ เพราะลูกเรายืนยันหนักแน่นว่าจะรักพ่อเลี้ยงคนเดียว”
เจ้าเทพมงคลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทรออก
“เจ้าพี่จะโทรหาใครคะ” เจ้าดาระกาถาม
“ผู้ว่าฯ พี่จะคุยเรื่องที่เราจะช่วยงานฤดูหนาว”
“แล้วมันจะเกี่ยวกับลูกเรายังไงคะ”
เจ้าเทพมงคลยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร เขากดต่อสายแล้วคุยกับผู้ว่าทันที
“สวัสดีครับท่านผู้ว่าฯ”
ภูชิชย์เดินอย่างหงุดหงิดมานั่งที่โต๊ะทำงาน
“ดีนะ ฉันเป็นเจ้าของไร่ แต่ไม่ให้มีส่วนร่วม แต่กับแฟนตัวเอง ดึงไปช่วยงานซะงั้น” ภูชิชย์บ่น
ภูชิชย์เปิดแฟ้มจะทำงานแต่ก็ต้องปิดแฟ้มลงเพราะความเซ็ง ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ภูชิชย์หยิบมาดูเห็นชื่อเจ้าทิพย์ดาราก็รีบกดรับ
“สวัสดีครับเจ้า”
เจ้าทิพย์ดารานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องเพ้นท์เสื้อ
“ภูไปรับนักศึกษาฝึกงานมาหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“งั้นเราจะเจอกันกี่โมงดีคะ”
“กี่โมง” ภูชิชย์งงแล้วเขาก็นึกได้ “โอ๊ย....ตายแล้ว ผมขอโทษครับเจ้า วันนี้ผมคงพาเจ้าไปดูหนังไม่ได้แล้ว”
เจ้าทิพย์ดาราหน้าเสีย “อ้าว...ทำไมล่ะคะ หรือว่าคุณเล็กเธอไม่ยอมให้ไป”
“เปล่าหรอกครับ พอดีตอนเย็นเราจะมีงานเลี้ยงต้อนรับเจมส์เขาน่ะครับ”
“ภูไม่เห็นบอกเรื่องนี้กับน้อยเลย”
“เอ่อ ผมขอโทษครับ...พอดี...เราเพิ่งแพลนกันน่ะครับ ถ้ายังไงผมขอเชิญเจ้าด้วยนะครับ”
“เอ่อ...ได้ค่ะ น้อยจะไปร่วมงาน”
เจ้าทิพย์ดาราวางสายแล้วนิ่งคิด
“ภูลืมนัดน้อยเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราตัดพ้อกับตัวเอง
ภูชิชย์นั่งบ่นถึงนริศราอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา
“ไม่รู้ยัยนั่นทำงานเละไปถึงไหนแล้ว”
ลูกมือของแม่อุ้ยกำลังเตรียมข้าวของสำหรับทำกับข้าวอยู่ในโรงครัว พรตำน้ำพริก แม่อุ้ยยืนเคี่ยวแกง ภูชิชย์เดินเข้ามาในโรงครัวแล้วมองไปทั่วๆ พอเห็นทุกคนวุ่นวายเขาก็มองหานริศราแล้วก็เห็นนริศรากับพิสุทธิ์ช่วยกันล้างผักเตรียมหมูเตรียมเนื้ออย่างสนุกสนาน ภูชิชย์เดินเข้าไปหาทั้งคู่แล้วถามขึ้นทันที
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”
ทุกคนชะงักแล้วมองภูชิชย์เป็นตาเดียว บรรยากาศในโรงครัวเงียบกริบขึ้นมาทันที
ภูชิชย์พูดกับทุกคน “เอ่อ...ก็ คือ ฉันกลัวจะเสร็จไม่ทัน”
“แต่พ่อเลี้ยงไม่เคยทำครัวนี่คะ” แม่อุ้ยงง
“มันจะยากอะไรแม่อุ้ย” ภูชิชย์พูด
“แต่มันก็ไม่ง่ายนะครับ คนไม่เคยทำอาหารอาจจะไม่ชอบ” พิสุทธิ์บอก
“งั้นก็ให้ ผู้จัดการคนเก่งผมเขาสอนแล้วกัน” ภูชิชย์หาเรื่อง
นริศรางง “ฉันเหรอ”
ภูชิชย์ยักคิ้วกวนๆ ให้นริศรา
ปังตอสับลงมาบนเขียงเต็มแรง นริศราถือปังตอที่เพิ่งสับในมือด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ภูชิชย์เห็นถึงกับทำหน้าแหยงๆ บนโต๊ะมีเนื้อหมู เนื้อไก่ และผักสีสันสวยงามวางอยู่เต็มไปหมด
“ถ้าอยากช่วย พ่อเลี้ยงก็หั่นหมูให้เป็นชิ้นลูกเต๋าก็แล้วกัน ทำได้ไหมคะ” นริศราถาม
“ก็ไม่น่ายาก” ภูชิชยืพูดจบก็จะหั่นหมูออกเป็นครึ่งชิ้น
นริศรารีบจับมือภูชิชย์ยั้งไว้ “นี่พ่อเลี้ยง หั่นชิ้นพอคำสิ หั่นชิ้นใหญ่อย่างนั้นจะทานเข้าไปยังไง เป็นมั้ยเนี่ย ถามจริง”
ภูชิชย์มองที่มือนริศราที่กำลังจับมือตนไว้ นริศรามองตามแล้วรีบปล่อยด้วยความเขิน แล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงแม่อุ้ยดังขึ้น
“โอ้โฮ คุณโป๊ะ อย่างกับมืออาชีพแน่ะ”
ภูชิชย์กับนริศราหันไปเห็นแม่อุ้ยกำลังดูพิสุทธิ์ซอยผักอย่างมืออาชีพ ภูชิชย์เห็นก็ได้แต่อึ้ง
“ตอนเรียนอยู่อเมริกาผมต้องทำอาหารทานเองน่ะครับ” พิสุทธิ์เล่า “แล้วก็เคยฝึกงานในโรงแรมที่นั่น ก็เลยพอทำเป็นบ้าง”
“งานนี้แม่อุ้ยก็หายห่วงได้เลยนะคะ โป๊ะเขามืออาชีพ” นริศราบอก
“คุณนิดเคยอยู่อเมริกากับคุณโป๊ะเหรอคะ” พรถามขึ้น
นริศรากับพิสุทธิ์อึ้ง นริศราเห็นภูชิชย์เหลือบมองอยู่ก็รีบปฏิเสธทันที
“เอ่อ...เปล่าหรอกจ้ะพร”
ภูชิชย์หยุดหั่นหมูแล้วมองนริศราไม่วางตา
“พ่อเลี้ยงคะ ถ้าทำไม่เป็นก็อย่าเกะกะเลย ให้ฉันกับโป๊ะช่วยก็พอแล้ว” นริศราพูดขึ้น
ภูชิชย์ยักไหล่ “ฉันจะทำ ทีเธอทำไร่ทำสวนไม่เป็น ฉันยังให้โอกาสเลย เพราะฉะนั้นเธอต้องคอยสอนฉัน”
ภูชิชย์ยิ้มกวนๆ นริศรากัดปากด้วยความเจ็บใจ
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเดินเข้ามาในห้องทำงานของภูชิชย์
“ไหนแกบอกพี่ภูกลับมาตั้งนานแล้วไง แล้วนี่ไปไหน” สุพัฒนาถาม
“กลับมาแล้วจริงๆนะคะ ก็พวกในไร่ยังบอกว่าเห็นคุณนิพนธ์พาฝรั่งไปพักที่บ้านผู้จัดการเลย” บัวเกี๋ยงบอก
“งั้นพี่ภูอยู่ไหนล่ะ”
บัวเกี๋ยงส่ายหน้า “บัวเกี๋ยงก็ไม่ทราบค่ะ”
“โอ๊ย...แกนี่ใช้อะไรไม่ได้เรื่อง ดีแต่โง่ไปวันๆ”
สุพัฒนาเดินไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะภูชิชย์เพื่อจะกดโทรออกแต่เธอเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของภูชิชย์วางอยู่บนโต๊ะ
“สงสัยพ่อเลี้ยงคงอยู่แถวนี้แหล่ะค่ะถึงไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย” บัวเกี๋ยงพูด
“งั้นแกก็ไปตามหาพี่ภูสิ บอกว่ามาพาฉันไปซื้อของที่เชียงใหม่หน่อย”
“แล้วบัวเกี๋ยงจะไปตามหาที่ไหนล่ะคะคุณเล็ก”
“แกจะไปหาที่ไหนก็เรื่องของแก” สุพัฒนาตวาด “ไปสิ”
สุพัฒนาตบโต๊ะจนบัวเกี๋ยงสะดุ้งแล้วรีบเดินออกไปทันที
แม่อุ้ยกับพรช่วยกันตำน้ำพริกและทำอาหารเหนือ ภูชิชย์พยายามหั่นหมู นริศราเหลือบมองแล้วก็แอบขำ พอภูชิชย์หันมาเธอก็ทำเป็นเคี่ยวน้ำซอส
พิสุทธิ์หั่นผักเสร็จแล้วก็เข้ามาช่วยนริศรา ภูชิชย์ก็มาช่วยด้วยแต่ทำซอสหกผิดกับพิสุทธิ์ที่ทำได้อย่างคล่องแคล่ว
ภูชิชย์ยืนทำสมาธิอยู่หน้าเตา แล้วเขาก็ลงมือหยิบกุ้ง หยิบผัก และเครื่องปรุงต่างใส่กระทะจากนั้นก็ผัดอาหารอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจราดไวน์ใส่กระทะ แต่ราดเยอะเกินไปทำให้ไฟลุกพรึ่บ นริศรารีบดึงภูชิชย์เข้ามากอดเพื่อหลบไฟ
ภูชิชย์กับนริศรามองหน้ากัน ภูชิชย์แอบยิ้ม นริศราเห็นภูชิชย์ยิ้มก็ทำเป็นหงุดหงิดกลบความเขินก่อนจะไล่ภูชิชย์ให้ออกไป แต่ภูชิชย์จะไม่ไป นริศราจึงดันหลังเขาให้ออกไปจากครัว
นริศรากลับมาจัดการผัดต่อเอง เธอรู้สึกแปลกจึงหันหลังกลับไปดูก็เห็นภูชิชย์ยืนดูอย่างตั้งใจ นริศราสะดุ้งที่เห็นภูชิชย์ แต่เธอก็หันกลับไปผัดต่อด้วยสีหน้าละเหี่ยใจ ภูชิชย์แอบมองนริศราจากด้านหลังจู่ๆ ก็เผลออมยิ้ม
นริศรายกถาดหมูที่หมักแล้ว พริก ผลไม้ แล้วจานใส่ไม้เสียบให้ภูชิชย์ จากนั้นเธอก็เสียบบาบีคิวให้ดูเป็นตัวอย่าง บัวเกี๋ยงมายืนแอบดูทั้งคู่ด้วยความรู้สึกอย่างหึงหวงจับใจ
บัวเกี๋ยงกลับมายืนรายงานให้สุพัฒนาฟัง สุพัฒนาหอบถี่ด้วยความโกรธ
“บัวเกี๋ยงละแทบทนไม่ไหวอยากจะเอาถังขยะครอบหัวมันจริงๆ มันน่ะทั้งอ่อยทั้งจับมือพ่อเลี้ยงแล้วยังมีกอดกันด้วยนะคะ”
“นี่มันกล้ากอดพี่ภูเหรอ” สุพัฒนาโมโห
ใช่ค่ะ ทั้งกอด ทั้งส่งสายตาหวานหยดเยิ้มเลยค่ะ บัวเกี๋ยงกระดากปากไม่อยากจะเล่า นี่ขนาดผัวมันยืนหัวโด่อยู่ด้วยทั้งคนนะคะ”
“แล้วผัวมันก็ยอมให้เมียมันทำแบบนี้น่ะเหรอ”
“อู๊ย ทำไมจะไม่ยอมล่ะคะ บัวเกี๋ยงละรู้ไส้ไอ้คนพวกนี้ดีเลยค่ะ ถึงจะเป็นผัวเมียกันแต่ก็บอกชาวบ้านว่าไม่มีอะไร เพราะมันคิดจะปอกลอกพ่อเลี้ยงไงล่ะคะ” บัวเกี๋ยงใส่ไฟ
สุพัฒนาเริ่มหอบหนักขึ้น “นังนิด ฉันอยากจะฆ่าแกนัก”
สุพัฒนาหอบหนักพร้อมกับกำมือแน่นด้วยความแค้น
นริศรากำลังชิมอาหารที่ทำเสร็จแล้วอยู่กับพิสุทธิ์ แม่อุ้ยกำลังเคี่ยวอาหารอยู่ที่เตาแต่ก็มองทั้งคู่อย่างเอ็นดู แล้วแม่อุ้ยก็ยิ้มกับพร ส่วนภูชิชย์กำลังเอาหมู มะเขือเทศ พริกหยวกเสียบไม้พร้อมกับแอบมองทั้งสองอย่างไม่พอใจ
ทันใดนั้นสุพัฒนาก็พุ่งเข้าไปผลักนริศราจนอาหารหกเลอะเสื้อ บัวเกี๋ยงวิ่งตามมายืนอยู่ข้างๆ ภูชิชย์
ทุกคนที่อยู่ในครัวชะงักไปทันที
พิสุทธิ์พูดกับสุพัฒนา “นี่มันอะไรกันคุณ ของขึ้นหรือไง”
“ปากดีนักนะ ไอ้พวกสิบแปดมงกุฎ ไม่มีทางที่พวกแกจะมาหลอกพี่ฉันได้” สุพัฒนาเสียงดังลั่น
“คุณเล็กใครจะมาหลอกพี่” ภูชิชย์งง
“ก็ไอ้สองคนผัวเมียนี่ไงคะ พี่ภูรู้ไว้เลยนะว่าพวกมันกำลังวางแผนจะปอกลอกพี่ภู”
“คุณเล็กเอาอะไรมาพูดคะ หรือว่ามีใครไปฟ้องคุณอีก” นริศราพูดแล้วก็หันไปมองบัวเกี๋ยง
บัวเกี๋ยงรีบหลบตาแล้วทำเป็นมองไปทางอื่น แต่ก็ไปเจอสายตาของแม่อุ้ยกับพรที่มองมาอย่างรู้ทัน บัวเกี๋ยงจึงก้มหน้านิ่ง
“ไม่ต้องมีใครมาฟ้องฉันก็รู้ว่าแกกับผัวแกคิดจะทำอะไร แกกำลังหาทางใช่เสน่ห์มารยาหลอกให้พี่ภูรักใช่ไหม เก่งนะผัวยืนทนโท่อยู่นี่ก็ยังกล้าทำ” สุพัฒนาโวยวาย
“นี่คุณเล็ก ถึงคุณจะเป็นเจ้านายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไร้มารยาทกับฉันได้นะคะ” นริศราเตือน
“อีบ้า นี่แกกล้าด่าฉันเหรอ”
สุพัฒนาจะเข้าไปตบนริศราแต่พิสุทธิ์มาขวางไว้ ภูชิชย์รีบถอดถุงมือพลาสติกออกแล้วเข้าไปขวางด้วย “คุณเล็ก หยุดนะ”
“พี่ภูนั่นแหล่ะหยุด วันนี้คุณเล็กจะกระชากหน้ากากของไอ้สองผัวเมียนี่ออกมา”
พูดจบสุพัฒนาก็ผลักพิสุทธิ์จนเซไปแล้วเข้าไปดึงนริศรามาจะตบแต่นริศราปัดป้องแล้วก็ผลักสุพัฒนาออก
“กรี๊ดดด นังนิด แกผลักฉัน” สุพัฒนาหันไปสั่งบัวเกี๋ยง “บัวเกี๋ยงตบมันสิ”
บัวเกี๋ยงจะเข้าไปตบแต่พิสุทธิ์รีบเข้ามาหานริศราแล้วจ้องหน้าบัวเกี๋ยงจนบัวเกี๋ยงต้องชะงัก ส่วนภูชิชย์รีบเข้าไปขวางน้องสาวเอาไว้
“คุณเล็ก หยุดนะ” ภูชิชย์ตวาด
“พี่ภู มาดุคุณเล็กทำไม ด่าพวกมันสิ พวกมันจะปอกลอกสมบัติพวกเรา”
“คุณเล็กกลับไปเถอะ” ภูชิชย์บอก
“พี่ภู ทำไมไม่ฟังคุณเล็ก”
ภูชิชย์เสียงดุ “พี่บอกให้กลับไป บัวเกี๋ยงพาคุณเล็กกลับไปสิ”
สุพัฒนาตกใจ “นี่..นี่พี่ภู...พี่ภูไล่คุณเล็ก”
สุพัฒนาทำเป็นหอบแล้วกรี๊ดลั่น ก่อนจะร่วงลงไปกับพื้นแล้วตั้งท่าจะชักแต่พอวางมือไปที่พื้นสุพัฒนาก็รู้สึกเหนียวเหนอะ
“อ๊าย นี่มันน้ำมันนี่” สุพัฒนาร้องออกมาอย่างรังเกียจ
“ไม่ชักแล้วเหรอคะ” นริศราแกล้งถาม
“นังนิด แกแกล้งฉันเหรอ”
“ใครจะไปแกล้งคุณ ครัวทุกที่ก็มีไอน้ำมันทั้งนั้น”
“นังนิด นังบ้า ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ”
สุพัฒนาจะเข้าไปตบนริศราแต่ภูชิชย์ดึงแขนน้องสาวไว้
“ไปกับพี่”
พูดจบภูชิชย์ก็ลากสุพัฒนาออกไปทันที บัวเกี๋ยงยืนอยู่เห็นทุกคนจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องจึงรีบวิ่งออกไปด้วย
ภูชิชย์ลากสุพัฒนาที่พยายามดิ้นหนีออกมาตามทางเดินหน้าโรงครัว
“ปล่อยคุณเล็ก พี่ภูเข้าข้างมัน ไม่เข้าข้างคุณเล็ก”
“คุณเล็ก ถ้าคุณเล็กทำถูก พี่อยู่ข้างคุณเล็กอยู่แล้ว แต่นี่คุณเล็กไปหาเรื่องนริศรา”
“ก็มันหลอกล่อพี่ภูมาที่ครัวนี่”
“หลอกล่อที่ไหน เราจะมีงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาฝึกงาน ทุกคนก็มาช่วยทำอาหารจัดงาน คุณเล็กน่าจะถามก่อนไม่น่าวู่วามเลย”
“ใช่สิ คุณเล็กผิด กี่ครั้งแล้วที่พี่ภูว่าคุณเล็ก บอกคุณเล็กมาตรงๆดีกว่าพี่ภูชอบมัน”
ภูชิชย์อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“คุณเล็ก เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว พี่มีเจ้าน้อยคุณเล็กก็รู้”
“เหรอคะ แต่นับวันพี่ภูก็ยิ่งแคร์มันมากกว่าคุณเล็ก ไม่ใช่สิคะ พี่ภูแคร์ทุกคนทั้งนังเจ้าน้อย นังนิด แต่พี่ภูไม่แคร์คุณเล็ก”
“คุณเล็ก มันไม่ใช่อย่างนั้น”
สุพัฒนาตวาด “ไม่ต้องพูด พี่ภูแคร์พวกมันมากก็ไปอยู่กับพวกมันสิ ไปเล้ย”
สุพัฒนาร้องไห้โฮแล้วผลักภูชิชย์
“ไปสิ ไปให้พ้น”
สุพัฒนาวิ่งร้องไห้ออกไป บัวเกี๋ยงออกมาจากที่ยืนแอบดูอยู่แล้วเดินไปหาภูชิชย์
“พ่อเลี้ยงเป็นยังไงมั่งคะ”
“ไปดูคุณเล็กไป” ภูชิชย์บอก
“แต่ว่าบัวเกี๋ยงก็ห่วงพ่อเลี้ยงนะคะ”
“ฉันบอกให้ไปดูคุณเล็ก”
บัวเกี๋ยงหน้างอแล้วเดินสะบัดออกไป ภูชิชย์มองตามน้องสาวตัวเองด้วยสายตาเป็นกังวล
นริศรานั่งเซ็งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว สักพักพิสุทธิ์ก็เดินเข้ามาปลอบ
“นิด โอเคหรือเปล่า”
นริศรายิ้มเศร้าๆ “ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปเราก็ชินแล้ว”
“เราไม่เข้าใจ ทำไมนิดต้องมาทนมาอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ดีกับนิดด้วย นิดไปทำงานกับเราไม่ดีกว่าเหรอ”
“โป๊ะ ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่ที่เราทนอยู่ทุกวันนี้ เพราะนี่เป็นงานเดียวที่เราหาได้ด้วยตัวเอง แล้วคนที่ไม่ดีกับเราเอาเข้าจริงก็มีไม่กี่คน”
“แต่ไม่กี่คนของนิดน่ะคือเจ้าของที่นี่นะ” พิสุทธิ์พูด
ภูชิชย์เดินเข้ามา
“นริศรา ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”
นริศราหันไปมองภูชิชย์ ภูชิชย์ถอนหายใจด้วยความหนักใจ ส่วนพิสุทธิ์มองนริศราด้วยแววตาเป็นห่วง
อ่านต่อหน้าที่ 2
รักประกาศิต ตอนที่ 8 (ต่อ)
ภูชิชย์ยืนคุยกับนริศราด้วยความรู้สึกผิดที่มุมหนึ่งในไร่
“ดูท่าทางโป๊ะจะเป็นห่วงเธอมากนะ” ภูชิชย์บอก
“นี่พ่อเลี้ยงแอบฟังเราคุยกันเหรอ” นริศราถามฉุนๆ
“ใครว่าฉันแอบ ก็เธอคุยในที่โล่งซะขนาดนั้น ฉันก็บังเอิญได้ยินน่ะสิ”
นริศราค้อน “นี่คือเรื่องที่พ่อเลี้ยงเรียกฉันมาคุยใช่ไหมคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะไปทำอย่างอื่น”
“เดี๋ยวสิ ฉันมีอีกเรื่อง”
นริศรากำลังจะเดินไปแต่ก็หยุดรอฟัง
“ที่คุณเล็กทำกับเธอน่ะ ฉันขอโทษนะที่เป็นต้นเหตุ”
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วฉันไม่อยากจะคิดหรอกค่ะ แต่ถ้าพ่อเลี้ยงรู้ว่าฉันลำบากใจก็ดีแล้ว”
“ฉันก็มาขอโทษแล้วไง” ภูชิชย์บอก
“แต่ฉันว่าขอโทษ ไม่น่าจะแก้ปัญหาอะไรได้มาก”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ฉันอยากให้พ่อเลี้ยงอยู่ห่างๆฉันหน่อย เพราะฉันรู้สึกว่าคุณมาใกล้ฉันทีไรเป็นเรื่องทุกที ฉันเลยคิดว่าเราอยู่ไกลๆกันจะดีที่สุด”
“ฮึ....ทำไม กลัวแฟนเธอเข้าใจผิดละสิ” ภูชิชย์ตัดพ้อ
“ฉันกับโป๊ะเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ” นริศราย้ำ
“ตกลงยังไงกัน นายวัสเธอก็บอกไม่คิดอะไร นายโป๊ะก็ไม่ใช่แฟน เธอหลอกอะไรฉันหรือเปล่าเนี่ย”
นริศราถอนใจ “แล้วทำไมฉันจะต้องมานั่งอธิบายเรื่องพวกนี้กับคุณด้วย เอาเป็นว่าพ่อเลี้ยงจะทำตามที่ฉันขอร้องได้หรือเปล่า”
ภูชิชย์พยายามนึก “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ฉันขอว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คุณก็อยู่ห่างๆฉันได้ไหม เราจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับคุณเล็กอีกไงคะ”
ภูชิชย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ตกลง..ต่อไปนี้ฉันจะอยู่ห่างๆเธอ...สบายใจได้”
นริศรายิ้ม “ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง”
ภูชิชย์มองหน้านริศราสักครู่แล้วก็เดินออกไป นริศราหันหลังเดินกลับ
ภูชิชย์กับนริศราเดินแยกไปคนละทาง แต่ภูชิชย์หันกลับมามองนริศราแป๊บนึงก่อนจะเดินต่อ
สุพัฒนาเดินมาตามทาง โดยมีบัวเกี๋ยงเดินตามมาห่างๆ ด้วยความหงุดหงิด
“คุณเล็กจะเดินไปไหนคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“เรื่องของฉัน”
“เอ่อ...แล้วทิ้งพ่อเลี้ยงมาแบบนี้จะดีเหรอคะ”
“อีบัวเกี๋ยง ถ้าแกไม่หุบปาก ฉันจะให้แกกินดินแทนข้าวมื้อเย็น”
บัวเกี๋ยงหุบปากพร้อมกับหน้างอทันที ทั้งสองเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงแปลงดอกไม้
สุพัฒนาชะงักมองด้วยความสงสัย บัวเกี๋ยงเดินมาดูด้วย
“นี่ใครมาทำแปลงดอกไม้ของฉัน” สุพัฒนาถาม
“บัวเกี๋ยงก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเป็นคนในไร่ก็ไม่น่าจะมีใครกล้ามายุ่งนอกจาก.....” บัวเกี๋ยงกำลังจะพูดต่อแต่สุพัฒนาพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“พี่ภูเหรอ นี่พี่ภูทำให้ฉันเหรอ” สุพัฒนายิ้ม
ทันใดนั้นทั้งสองก้ได้ยินเสียงนิพนธ์ที่กำลังอธิบายให้เจมส์ฟัง “บริเวณตรงนี้ก็จะเป็นแปลงดอกไม้ของคุณเล็กน้องสาวของพ่อเลี้ยงครับ”
นิพนธ์พาเจมส์เดินเข้ามาที่แปลงดอกไม้พอเห็นสุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเขาก็อึ้งไป
“คุณเล็ก”
“นิพนธ์ พี่ภูทำแปลงดอกไม้ให้ฉันใหม่ใช่ไหม” สุพัฒนาถาม
นิพนธ์อึกอักพยายามคิดหาคำตอบ “เอ่อ...คือ....”
“จะพูดอะไรก็พูดออกมาสิ” สุพัฒนาว่า
นิพนธ์ยิ้ม “คุณเล็กชอบไหมครับ”
สุพัฒนามองแปลงดอกไม้แล้วเริ่มยิ้มอย่างมีความสุข เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ ดอกไม้แล้วนั่งดู
“ดอกไม้สวยดีนะ ถ้าเสร็จหมดคงสวยน่าดู” สุพัฒนายื่นมือจะจับดอกไม้แต่แล้วก็นึกได้ว่ามือเลอะ “บัวเกี๋ยง มือฉันเลอะ”
บัวเกี๋ยงหันซ้ายหันขวา “แล้วจะให้บัวเกี๋ยงทำไงล่ะคะ”
นิพนธ์เดินไปหยิบสายยางแล้วเปิดก๊อกน้ำ จากนั้นเขาก็ดึงสายยางไปหาสุพัฒนา สุพัฒนาล้างมือแล้วนั่งดูดอกไม้อย่างมีความสุข นิพนธ์มองด้วยแววตามีความสุข พอสุพัฒนาเห็นเจมส์ก็สงสัย
“แล้วนี่ใคร” สุพัฒนาถาม
“ผมเจมส์ครับ นักศึกษาฝึกงาน”
สุพัฒนาฉุนขึ้นมาทันที “เธอนี่เองตัวต้นเหตุ รู้ไหมว่ามาถึงก็ก่อเรื่องเลย”
พูดจบสุพัฒนาก็เดินกลับไปด้วยความโมโห บัวเกี๋ยงรีบวิ่งตามไป เจมส์มองตามอย่างงงๆ
“นี่ใครครับพี่นิพนธ์ มาถึงก็ดุผมเลย”
“คุณเล็ก น้องสาวคนเล็กของพ่อเลี้ยงครับ” นิพนธ์บอก
มัลลิกานั่งดื่มกาแฟอยู่กับเพื่อน 2 คนในร้านกาแฟสุดหรู
“มอลลี่ ยูเลิกยุ่งกับพี่วัสไปจะดีกว่าไหม” เพื่อนคนที่หนึ่งบอก
“ทำไมต้องเลิก” มัลลิกาถามกลับ
“คราวที่แล้วเขาว่ายูเสียๆหายๆนะ”
“นั่นสิ ยัยคุณเล็กบอกจะบังคับพี่ชายได้ แต่ก็ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง” เพื่อนอีกคนเสริม
“ก็เพราะคุณเล็กไม่ทำนี่ไง ไอถึงต้องทำเอง” มัลลิกาบอก
“มอลลี่ ยูก็ไม่ใช่ว่าขี้เหร่ สวยๆอย่างนี้หาเอาใหม่ก็ได้”
“ไอก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าสวยอย่างไอหาผู้ชายได้ไม่ยาก แต่ไออยากได้พี่วัส” มัลลิกายืนยัน
เพื่อนๆ ได้ยินก็พากันเหนื่อยใจ
“ความรักที่ได้มาจากการเอาชนะจะมีความสุขเหรอ” เพื่อนถามขึ้น
มัลลิกายักไหล่ “สุขไม่สุขไม่รู้ รู้แต่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้” มัลลิกาพูดเน้น “ไม่ได้ แล้วตกลงจะช่วยไหม”
“ก็ต้องช่วยสิ ยังไงเราก็เพื่อนกัน” เพื่อนของมัลลิกาพูดแล้วหยิบกระดาษที่จดอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าส่งให้มัลลิกา “นี่น่ะมือดีที่สุดที่หาได้เลยนะ”
มัลลิกานั่งอ่านกระดาษใบนั้นด้วยสีหน้ามีความสุข
ภูชิชย์ที่เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเดินลงมาที่ห้องรับแขกก็ต้องแปลกใจที่เห็นสุพัฒนาที่เปลี่ยนชุดใหม่นั่งยิ้มรออยู่ พอเห็นพี่ชายสุพัฒนาก็วิ่งเข้าไปกอดจนภูชิชย์ถึงกับงง
“เอ่อ...คุณเล็กหายโกรธพี่แล้วเหรอ” ภูชิชย์งง
“เพราะแปลงดอกไม้ที่พี่ภูทำให้ไงคะ พอคุณเล็กเห็นคุณเล็กก็หายโกรธเลย” สุพัฒนาบอก
ภูชิชย์ตกใจ “แปลงดอกไม้ คุณเล็กเห็นแล้วเหรอ”
“แต่คุณเล็กดีใจแค่เรื่องดอกไม้นะคะ ส่วนเรื่องนังนิดนัง คุณเล็กจะหายโกรธก็ต่อเมื่อพี่ภูรับปากว่าจะอยู่ห่างจากมัน”
“คุณเล็กไม่ต้องห่วงหรอก นริศราเขาก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้พี่สักเท่าไหร่”
“เช๊อะ คุณเล็กไม่เชื่อมันหรอก ยังไงพี่ภูก็อย่าไปยุ่งกับมันนะคะ”
ภูชิชย์ยิ้มรับ
“เดี๋ยวพี่จะไปงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาหน่อยนะ คุณเล็กไปด้วยกันไหม”
“ไม่ค่ะ แล้วพี่ภูก็ไม่ต้องไปหรอก อยู่เป็นเพื่อนทานข้าวกับคุณเล็กนะคะ”
“คุณเล็ก เราเป็นเจ้าของไร่ยังไงก็ต้องไป” ภูชิชย์บอก
“พี่ภู ทำไมคะ พอคุณเล็กอารมณ์ดีทีไรพี่ภูต้องทำให้มันเสียด้วย พี่ภูอยากไปอยู่กับมันนักใช่ไหม”
“คุณเล็ก ฟังพี่บ้างสิ”
“ไม่ฟัง พี่ภูจะไปไหนก็ไป”
สุพัฒนาเดินกระทแกเท้าขึ้นข้างบน ภูชิชย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ซุ้มหน้างานเลี้ยงต้อนรับเจมส์ตกแต่งด้วยเถาวัลย์ ภายในงานมีอาหารบุปเฟ่ต์ มีเตาปิ้งบาร์บีคิว และมีผลไม้ของไร่สีสันสวยงามวางอยู่เต็มไปหมด ลุงปั๋นและคนงานชายอีกคนกำลังช่วยกันติดไฟประดับ
พรกับแม่อุ้ยยกถาดอาหารมาวางที่โต๊ะเพิ่มเติม บัวเกี๋ยงเร่เข้ามาดูอาหาร
“กินเข้าไปจะตายไหมเนี่ย” บัวเกี๋ยงเบะปาก
พรหมั่นไส้จึงวางถาดอาหารดังโครมแล้วก็ถกแขนเสื้อ
“กินอาหารคุณนิดน่ะไม่ตายหรอก แต่มันจะตายเพราะปากไปกินอย่างอื่น”
“อีพร เดี๋ยวนี้ชักแรงนะแก” บัวเกี๋ยงด่า
แม่อุ้ยเดินเข้ามา “แล้วเอ็งเบาลงเหรอ นับวันจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆนะ อย่าให้ข้าเหลืออดนะ แม่จะเอาตะหลิวยัดปากสักวัน”
“เชอะ ไอ้พวกเลือกนายผิด สักวันอีบัวเกี๋ยงจะทำให้กระเด็นพ้นหูพ้นตาเลย”
ระหว่างนั้นคนงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาบัวเกี๋ยง
“พี่บัวเกี๋ยง คุณเล็กบอกให้มาตามพี่ไปอยู่เป็นเพื่อน”
“อะไรวะ...นี่คุณเล็กไม่มางานเหรอ” บัวเกี๋ยงเซ็ง
คนงานหญิงส่ายหน้า บัวเกี๋ยงมองอาหารบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
“ไง...รอดตายแล้วสิพี่บัวเกี๋ยง หน้าตาดูสบายใจดีนะ” พรจิก
บัวเกี๋ยงเดินเชิดหน้าออกไป แม่อุ้ยกับพรมองตามด้วยความหมั่นไส้
“อีบัวเกี๋ยงมันต้องโดนอย่างนี้ ตินักด่านัก อดกินเลยสม” แม่อุ้ยสะใจ
ท้องฟ้าโดยรอบเริ่มมืดลง พวกคนงานนั่งกินข้าวและพูดคุยกัน บางคนเดินมาตักอาหาร แม่อุ้ย กับพรช่วยปิ้งบาบีคิวให้คนงาน ลุงปั๋น ผล นั่งเฮฮาอยู่กับเหล่าคนงานชาย
ภูชิชย์ นริศรา นิพนธ์ พิสุทธิ์ เจ้าทิพย์ดารา และเจมส์นั่งอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกัน พิสุทธิ์คอยหั่นอาหารส่งให้นริศรา นริศราส่งทิชชู่ให้พิสุทธิ์ ภูชิชย์แอบมองด้วยแววตาเขม่น
“งานออกมาน่ารักดีนะคะภู” เจ้าทิพย์ดาราชม
ภูชิชย์นิ่งเงียบจนเจ้าทิพย์ดารามองด้วยความสงสัยก่อนจะเรียก “ภูคะ”
“อะไรครับเจ้า” ภูชิชย์หันมาตามเสียง
“ใจลอยไปไหนคะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ เจ้าจะเอาอาหารอะไรเพิ่มไหมครับ ผมจะไปตักให้”
“ภูคะ อาหารของน้อยยังเต็มโต๊ะอยู่เลยนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราสะกิดให้ภูชิชย์ดูจานของเธอ พอเห็นอาหารหลายจานอยู่ตรงหน้าเจ้าทิพย์ดาราเขาก็ยิ้มเจื่อนๆ เจ้าทิพย์ดาราหันไปมองนริศราที่กินอาหารอยู่จนนริศรารู้สึกตัวจึงยิ้มให้
“น้อยเพิ่งทราบว่าคุณนิดเป็นแม่งาน ต้องขอชมว่าจัดงานออกมาได้ดีจริงๆค่ะ”
“โชคดีที่ได้โป๊ะมาช่วย ลำพังนิดคนเดียวคงไม่สำเร็จหรอกค่ะ”
“นิดก็ถ่อมตัวเกินไป จริงๆนิดเขาเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับเจ้า ผมน่ะแค่ลูกมือ” พิสุทธิ์บอก
“น้อยเห็นด้วยกับคุณโป๊ะค่ะ คุณนิดเธอเป็นคนเก่ง ทั้งสวยทั้งเก่งจนน้อยเริ่มจะอิจฉาเธอแล้ว”
“เจ้าน้อยอย่าอิจฉานิดเลยค่ะ หลายอย่างนิดทำเพื่อความอยู่รอดนะคะ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “นั่นแหล่ะค่ะที่เรียกว่าเก่ง ถ้าเป็นน้อยคงรอดอยาก”
นริศรา พิสุทธิ์ และเจ้าทิพย์ดาราหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ผมว่าได้เวลาแล้ว พ่อเลี้ยงกล่าวแนะนำเจมส์กับคนงานหน่อยดีไหมครับ” นิพนธ์พูด
ภูชิชย์หันมาพูดกับเจมส์ “เจมส์ไปกับผม”
ภูชิชย์ นิพนธ์ และเจมส์ลุกขึ้นไปด้วยกัน
สุพัฒนานั่งหน้างออยู่ที่โต๊ะไม่ยอมแตะข้าวไข่เจียวที่วางอยู่ตรงหน้า บัวเกี๋ยงชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเสียดาย
“นังบัวเกี๋ยง” สุพัฒนาเรียก
บัวเกี๋ยงเดินเข้ามานั่งคุกเข่าข้างๆ สุพัฒนา
“นี่แกทำบ้าอะไรให้ฉันกินเนี่ย”
“โธ่...คุณเล็กขา ก็อาหารทั้งหมดน่ะไปอยู่ในงาน บัวเกี๋ยงก็เลยทำได้แค่นี้ค่ะ”
สุพัฒนาโมโหปัดจานข้าวไข่เจียวตรงหน้าทิ้งลงพื้นทันที
“งั้นแกก็กินเองแล้วกัน”
“โธ่...คุณเล็กขา ทำไมทำกับบัวเกี๋ยงแบบนี้ล่ะคะ” บัวเกี๋ยงนึกได้ “เอางี้ไหมคะ ถ้าคุณเล็กอยากทานอย่างอื่นเราก็ไปที่งานกันดีไหมคะ”
พูดจบบัวเกี๋ยงก็ยืนลุ้น
“ฉันไม่ไป” สุพัฒนาตอบทำลายความหวังของบัวเกี๋ยง “ต่อให้คืนนี้หิวตายฉันก็ไม่ไป”
“เอ่อ...งั้นบัวเกี๋ยงขอไปตักอาหารให้คุณเล็กก็ได้นะคะ เดี๋ยวบัวเกี๋ยงกลับมา”
“ไม่ต้อง ฉันไม่กินแกก็ต้องไม่กิน”
สุพัฒนาจ้องตาบัวเกี๋ยงเขม็ง บัวเกี๋ยงหน้าจ๋อยรีบหลบตาทันที
ลุงปั๋นกับคนงานพยายามซ่อมไมค์โครโฟนและเครื่องเสียง ภูชิชย์กับเจมส์ยืนรออยู่ใกล้ๆ เวที ภูชิชย์มองกลับไปที่โต๊ะก็เห็นพิสุทธิ์กับนริศรากำลังนั่งคุยกัน ตักอาหารแบ่งกัน โดยมีเจ้าทิพย์ดารานั่งคุยด้วย
ลุงปั๋นพยายามซ่อมเครื่องเสียงแต่ก็ไม่สำเร็จ “เอ...ทำไมไฟมันไม่เข้าหว่า”
ภูชิชย์เริ่มหงุดหงิด “ตกลงยังไงน่ะลุงปั๋น จะซ่อมได้ไหม”
“ได้แน่นอนครับพ่อเลี้ยง ผมขอเวลาอีกแป๊บนะครับ” ลุงปั๋นบอก
ภูชิชย์เริ่มเซ็ง ยิ่งหันไปมองที่โต๊ะอาหารเห็นภาพดังกล่าวก็ยิ่งเซ็ง
บัวเกี๋ยงเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำพอเห็นสุพัฒนาจ้องตาขวางก็ลงมานั่งข้างๆ อย่างเจี๋ยมเจี่ยม แล้วก็มีเสียงท้องร้องดังที่บัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงอายแต่ก็พูดกับสุพัฒนา
“คุณเล็กขาบัวเกี๋ยงหิว”
“แกห้ามหิวเลยนะนังบัวเกี๋ยง ยังไงฉันก็จะไม่ไปที่งานเด็ดขาด”
พูดจบก็มีเสียงท้องร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง บัวเกี๋ยงเริ่มงงจับที่ท้องตัวเอง
“เอ๊ะ...ไม่ใช่เสียงท้องเรานี่หว่า เสียงท้องคุณเล็กร้องหรือเปล่าค่ะ”
สุพัฒนาค้อนใส่บัวเกี๋ยงแต่ก็เริ่มปวดท้องเพราะหิวจัด
“แกไปเอาข้าวไข่เจียวเมื่อกี้มาให้ฉันใหม่สิ”
“ไม่มีค่ะ ไข่เมื่อกี้ก็ฟองสุดท้ายพอดี” บัวเกี๋ยงบอก
“ผักผลไม้อะไรสักอย่างก็ไม่มีเหรอ”
“มีค่ะ แต่อยู่ในงานหมด” บัวเกี๋ยงตอบ
“โอ๊ย....นังนิดบ้า นี่ฉันจะทำยังไงกับแกดีถึงจะไล่แกไปได้” สุพัฒนาโมโห
“บัวเกี๋ยงว่าคุณเล็กคงไล่มันไม่ได้แล้วล่ะคะ”
“นังบัวเกี๋ยง!”
“แหม...ก็จริงนี่คะ เราทำมาทุกวิธีแล้ว ทั้งให้คนงานไล่ คุณเล็กไล่ มันก็ยังเชิดหน้าชูคออยู่ได้ แล้วจะให้ใครไล่มันได้อีกละคะ”
สุพัฒนาค้อนบัวเกี๋ยงแล้วคิด สักพักเธอก็นึกได้
“ฉันรู้แล้วว่าใครที่จะกำจัดนังนิดมันได้”
“ใครคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“ก็พี่ภูกับตัวมันไง”
บัวเกี๋ยงงง “คุณเล็กจะทำอะไรคะ?”
สุพัฒนายิ้มร้ายเพราะสะใจที่คิดแผนออก ทันใดนั้นก็มีแสงไฟหน้ารถพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามา
“อุ๊ยสงสัย พ่อเลี้ยงกลับมาแล้วค่ะ” บัวเกี๋ยงบอก
สุพัฒนายิ้มดีใจแล้วเดินออกไปโดยมีบัวเกี๋ยงเดินตามไปด้วย
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเดินออกมาที่หน้าบ้าน ทั้งสองเห็นนิพนธ์ปิดประตูรถพร้องกับถือกล่องใส่อาหาร 3-4 กล่องอยู่ พอเห็นสุพัฒนานิพนธ์ก็ยิ้มดีใจ
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณเล็กทานอะไรหรือยัง เลยเอาอาหารมาให้ครับ” นิพนธ์บอก
“พี่ภูล่ะ” สุพัฒนาถาม
“พ่อเลี้ยงกำลังจะกล่าวเปิดงานครับ ผมไปจัดอาหารให้นะครับ”
สุพัฒนามองอาหารที่นิพนธ์ถือแล้วผลักออก
“ไม่ต้อง ฉันไม่กิน”
“ทำไมละคะ คุณเล็กยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะคะ บัวเกี๋ยงเองก็หิว” บัวเกี๋ยงงง
“ฉันบอกว่าไม่กินก็คือไม่กิน” สุพัฒนาพูดกับนิพนธ์ “นิพนธ์ เธอไปตามพี่ภูกลับมานี่ บอกฉันจะกินข้าวกับพี่ภูเท่านั้น”
“แต่พ่อเลี้ยงกำลังจะขึ้นกล่าวเปิดงาน ถ้าจะกลับมาได้ก็คงอีกนานนะครับ ผมว่าคุณเล็กทานก่อนเถอะครับอย่ารอเลย”
“ไอ้นิพนธ์ แกสั่งฉันเหรอ”
“ผมแค่ไม่เห็นด้วยกับการที่คุณเล็กจะทรมานร่างกายแบบนี้”
“มันเรื่องของฉัน หน้าที่ของแกคือไปตามพี่ภูกลับมา”
นิพนธ์พยักหน้ารับแล้วเดินคอตกขึ้นรถก่อนจะขับกลับไป
“ไอ้นิพนธ์นี่ก็บ้าขึ้นทุกวัน เรื่องที่ควรทำไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรละชอบทำดีนัก” สุพัฒนาบ่น
“แหม...แต่ถ้าไม่ได้คุณนิพนธ์มือนี้เราคงหิวกันหน้ามืดนะคะ” บัวเกี๋ยงบอก
“นี่แกจะกินของนังนิดมันเหรอ”
“โอ๊ย ชั่วโมงนี้ต่อให้เกลียดยิ่งกว่านังนิดบัวเกี๋ยงก็กินแล้วค่ะ หรือคุณเล็กจะไม่กิน”
สุพัฒนานิ่งคิดไปเล็กน้อย “ไปจัดของขึ้นโต๊ะให้ฉันสิ”
บัวเกี๋ยงรีบเดินไปทันที สุพัฒนายิ้มอย่างสะใจ
“นังนิด ฉันแทบจะทนรอดูวันแกไสหัวออกไปจากที่นี่ไม่ไหวแล้ว”
นิพนธ์แอบดูสุพัฒนาอยู่ตรงหน้าต่างด้านนอก เขาเห็นสุพัฒนากำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย“นึกว่าจะไม่ยอมทานซะแล้ว”
นิพนธ์ยิ้มแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป
ผลกับกลุ่มคนงานชายนั่งกินอาหารอยู่โต๊ะเดียวกัน
“แหม...ไอ้บีคิวเนื้ออย่างนี่อร่อยว่ะ กินแล้วมีใครเปรี้ยวปากอยากเหล้าบ้างวะ” ผลถาม
“เฮ้ย พี่ผล อย่าบอกว่าชวนไปข้างนอกนะไม่เอาแล้ว” เป็งกลัว
“ข้าก็ไม่เอานะเว้ย ถ้าคราวนี้พ่อเลี้ยงจับได้ คุณนิดคงช่วยไม่ได้อีกแล้ว” หนานบอก
“เออน่า...ไม่ต้องห่วง วันนี้ไม่ต้องออกไปหรอก มีมาบริการถึงที่”
“พี่แอบเอาเหล้าเข้ามาเหรอวะ” เป็นถาม
ผลชูถุงกระดาษให้ดูแล้วจะหยิบขวดที่อยู่ข้างในออกมา คนงานรีบจับมือห้ามไว้
“ไอ้บ้าผลเอ๊ย เอ็งหาเรื่องอีกแล้ว กูยังไม่อยากถูกไล่ออกนะเว้ย” หนานรีบห้าม
“เฮ้ย...อย่าปอดแหกสิ คนอย่างไอ้ผลรอบคอบเสมอ คราวนี้น่ะแปรรูปมาเสร็จเรียบร้อย”
ผลหยิบขวดออกจากถุง ทุกคนตาโตดีใจที่เห็นว่าเป็นขวดชาเขียว
“ชาเขียว” กลุ่มคนงานชายพูดพร้อมกัน
ผลจุ๊ปากให้ทุกคนเสียงเบา แล้วเขาก็เอาขวดมาตั้งบนโต๊ะ ทุกคนยิ้มมองขวดชาเขียวตาเป็นมัน
“แต่เราจะกินกันยังไงวะ” หนานถาม
“ทำยังกับไม่รู้นิสัยพ่อเลี้ยง เดี๋ยวแกก็กลับแล้ว แล้วที่เหลือก็กลับกันหมด หลังจากนั้นก็สนุกกันได้เลย” ผลบอก
กลุ่มคนงานชายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
นิพนธ์เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ แล้วเอ่ยถามทุกคนที่โต๊ะ
“พ่อเลี้ยงยังไม่กล่าวอีกเหรอครับ”
“ยังเลยค่ะ ไม่รู้มีปัญหาอะไร แล้วคุณนิพนธ์ไปไหนมาคะ” นริศราถามกลับ
“เอ่อ...ผมเอาอาหารไปให้คุณเล็กน่ะครับ”
นริศราเผลอมองตานิพนธ์ เธอเห็นนิพนธ์พยายามทำเป็นกินอาหารกลบเกลื่อน
ภูชิชย์กับเจมส์ยังยืนรอลุงปั๋นซ่อมไมค์โครโฟนอยู่ข้างเวที
“ฉันไม่รอแล้วนะลุงปั๋น เสร็จแล้วไปตามที่โต๊ะแล้วกัน” ภูชิชย์บอกด้วยความหงุดหงิด
ลุงปั๋นหมุนที่ใส่แบตเสร็จแล้วก็กดเปิดไฟสักพักไฟก็ติด
“ได้แล้วครับพ่อเลี้ยง พอดีตรงที่ใส่ถ่านมันหลวมผมเอากระดาษยัดให้แน่นแล้วครับ แหม หาตั้งนาน”
ภูชิชย์รับไมค์โครโฟนแล้วหันมาพยักหน้ากับเจมส์ให้เดินตามขึ้นเวทีไป
“สวัสดีทุกคน” ภูชิชย์พูดใส่ไมค์โครโฟน
คนงานที่คุยกันอยู่เริ่มเงียบ ภูชิชย์ยิ้มแล้วมองไปทั่ว พอมองไปที่โต๊ะตัวเองเขาก็เห็นพิสุทธิ์กับนริศรายังคุยกันอยู่ แถมพิสุทธิ์ยังแกะเนื้อบาบีคิวจากไม้ให้นริศราด้วย มีเพียงเจ้าทิพย์ดาราที่ตั้งใจฟังเขา
“อะแฮ่ม...ฉันขอเวลานิดหน่อยนะ” ภูชิชย์พูดเสียงดังขึ้น “ฟังๆกันหน่อยแล้วกัน คือวันนี้ทางไร่สุพัฒนาของเรามีความยินดีที่ได้ต้อนรับนักศึกษาฝึกงานจากอเมริกา พวกเราเรียกชื่อเขาง่ายๆว่าเจมส์แล้วกัน”
ภูชิชย์ผายมือไปทางเจมส์ เจมส์ยกมือไหว้ทุกคน คนงานต่างเป่าปากและปรบมือให้เจมส์
“คนที่จะทำงานกับเขาก็ไม่ต้องกลัว เพราะเจมส์พูดภาษาเราได้เก่งมาก ใครที่จะนินทาเขาก็คิดให้ดีแล้วกัน”
คนงานหัวเราะร่วน พิสุทธิ์พูดเสียงเบากับนริศรา
“พ่อเลี้ยงเขามีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ”
นริศรากระซิบ “ไม่น่าเชื่อนะว่านิสัยดีๆจะเก็บไว้มิดเลย”
พิสุทธิ์กับนริศราหัวเราะพร้อมๆ กัน โดยไม่รู้ว่าภูชิชย์แอบเหลือบมองทั้งคู่อยู่ตลอด
“เอาละขอให้เจมส์กล่าวอะไรกับพวกเราหน่อยนะ” ภูชิชย์กล่าว
เจมส์รับไมค์โครโฟนจากภูชิชย์แล้วพูดภาษาเหนือทันที “สวัสดีครับ ผมจื่อเจมส์ ขอฝากเนื้อฝากตั๋วโต๊ยเน้อครับ”
คนงานสาวๆ กรี๊ดสนั่น แล้วเจมส์ก็ส่งไมค์โครโฟนคืนให้ภูชิชย์
“เอาละ เราก็รู้จักเจมส์กันแล้ว ตอนนี้ฉันก็เลยคิดว่าเราน่าจะมีเพลงมอบให้เจมส์สักเพลง ขอเชิญคุณนิดผู้จัดการของเรามาร้องเพลงให้เจมส์สักเพลง”
คนงานปรบมือกันลั่น เจ้าทิพย์ดารากับพิสุทธิ์มองหน้านริศราด้วยความงง นริศราก็อึ้งจนถึงกับเหวอ
“นิดเตรียมเพลงมาร้องด้วยเหรอ” พิสุทธิ์ถาม
“เพลงอะไร เราไม่ได้เตรียมมานะ” นริศรางง
“แต่เสียงปรบมือแฟนคลับเยอะขนาดนี้ คุณนิดคงต้องร้องสักเพลงแล้วค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
นริศราเริ่มโมโหจึงทำท่าจะไม่ลุกแต่คนงานโต๊ะใกล้ๆ ลุกขึ้นปรบมือให้ นริศรายิ้มรับเจื่อนๆ
ภูชิชย์ยืนรอพร้อมกับยิ้มกวนๆ อยู่บนเวที นริศราเดินหน้าตึงมาหา
“คุณแกล้งฉันเหรอ” นริศราฉุน
“เด็กนักเรียนคุยในห้องเรียนก็ต้องโดนทำโทษเป็นธรรมดา” ภูชิชย์ว่า
“แต่ฉันไม่ใช่....”
นริศรายังพูดไม่จบภูชิชย์ก็สวนขึ้นทันที “คนงานรอฟังเพลงเธออยู่นะ”
“เล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้ค่ะ....ฉันจัดให้”
นริศรารับไมค์โครโฟนแล้วเดินยิ้มหวานขึ้นเวที
“ขอบคุณทุกคนมากนะจ๊ะ แต่จะร้องเพลงคนเดียวไม่มีดนตรีมันก็แปลกๆใช่ไหม”
คนงานตอบพร้อมกันว่า “ใช่”
“คงต้องขอเชิญพ่อเลี้ยงภูชิชย์ขึ้นมาเล่นกีตาร์ให้หน่อยแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างเหวอๆ ภูชิชย์ได้ยินก็ชะงักทันที เขาหันขวับขึ้นไปบนเวทีก็เห็นนริศรายิ้มกวนกลับ
“ปรบมือให้พ่อเลี้ยงหน่อยจ้ะ” นริศราพูดใส่ไมค์โครโฟน
ทุกคนปรบมือดังลั่น
เจ้าทิพย์ดาราที่นั่งอยู่เริ่มอึ้ง
“เอ...พ่อเลี้ยงเล่นกีตาร์ด้วยเหรอครับ ผมไม่เคยรู้เลย” นิพนธ์ถาม
“ภูเคยเล่นตั้งแต่สมัยมัธยมค่ะ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลิกไป น้อยเองก็เคยฟังไม่กี่ครั้งเอง ไม่ยักรู้ว่าภูกลับมาเล่นอีก” เจ้าทิพย์ดาราตอบทั้งๆ ที่ยังอึ้งอยู่
“ถึงว่าผมไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงจับกีตาร์สักครั้ง จะว่าไปผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อเลี้ยงมีกีตาร์ คุณนิดนี่เก่งนะครับ ไปรู้มาได้ยัง”
“นั่นสิคะ”
เจ้าทิพย์ดารายังอึ้งอยู่ พิสุทธิ์ที่นั่งฟังอยู่ด้วยหันไปมองบนเวทีด้วยความสงสัย
ลุงปั๋นเอาเก้าอี้มาวางบนเวที ภูชิชย์ขึ้นไปนั่ง แล้วลุงปั๋นก็ไปรับกีตาร์มาจากคนงานก่อนจะเดินมาให้ภูชิชย์
“กีตาร์ของไอ้เป็งมันครับ พอดีมันถือมาดีดเล่น ผมเลยยืมมาให้” ลุงปั๋นบอก
ภูชิชย์รับกีตาร์ไป เขามองหน้านริศราแล้วถามขึ้น
“เธอจะร้องเพลงอะไร”
“ถ้าเป็นสุนทราภรณ์รุ่นๆพ่อเลี้ยงคงไม่ไหวค่ะ” นริศราแขวะ
“นี่...ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น”
นริศรายิ้มกวน “เพลงที่คุณเล่นคืนนั้นก็ได้ค่ะ คืนที่ฉันเดินไปเจอคุณน่ะ”
ภูชิชย์อึ้ง “เธอจำได้เหรอ”
“จำได้ไปนานเลยล่ะ เพราะฉันนึกว่าผีเล่น”
ภูชิชย์มองเขม่น “ชิ...ทำปากดี ฉันเล่นแล้วเธอร้องให้จบแล้วกัน”
ภูชิชย์เริ่มเล่นกีตาร์ คนงานปรบมือกันลั่น พอนริศราเริ่มร้องเพลงคนงานก็ยิ่งอึ้งและนั่งฟังเคลิ้มไปกับเสียงเพลงของทั้งคู่
อ่านต่อหน้าที่ 3
รักประกาศิต ตอนที่ 8 (ต่อ)
ภูชิชย์เล่นกีตาร์ด้วยอารมณ์ซาบซึ้งไปกับบทเพลง สลับกับการเหลือบมองหน้านริศรา นริศราก็ร้องเพลงอย่างไพเราะจนจบเพลง
บรรดาคนงานต่างลุกขึ้นยืนปรบมือเป่าปากกันอย่างสนุกสนาน สักพักก็มีเรียกร้องให้เอาอีก...เอาอีก แม่อุ้ย พร และเหล่าคนงานยืนดูด้วยความชื่นชม
“คุณนิดของข้า นี่ทั้งสวยทั้งเก่งจริงๆ แถมยังร้องเพลงเพราะอีกนะนังพร” แม่อุ้ยชื่นชม
“ดูๆไปพ่อเลี้ยงกับคุณนิดก็เหมาะกันนะแม่อุ้ย ถ้าบอกว่าเป็นแฟนกันฉันก็เชื่อเลยล่ะ” พรเคลิ้ม
พอได้ยินพรพูดแม่อุ้ยก็กระตุกแขนพรให้มองดูด้านหน้า พรเห็นว่าตัวเองยืนอยู่หลังโต๊ะเจ้าทิพย์ดารา นิพนธ์ และพิสุทธิ์
พอได้สติพรก็หน้าเสียทันที เธอรีบกระซิบแม่อุ้ย
“แม่อุ้ย...ตายแล้วฉันจะทำไงดีอ่ะ เจ้าน้อยจะได้ยินไหมเนี่ย”
แม่อุ้ยกระซิบตอบ “นังพรเอ๊ย อยากส่งตัวไปให้เจ้าน้อยตบปากจริงๆ พูดไม่คิด ตอนนี้จะทำไงได้ กลับไปโต๊ะสิวะ”
แม่อุ้ยดึงหูพรให้เดินกลับไป เจ้าทิพย์ดาราเหลียวมองตามแม่อุ้ยกับพรไป พอหันกลับมาก็เห็นพิสุทธิ์นั่งมองไปบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด พิสุทธิ์หันมาเห็นว่าเจ้าทิพย์ดารามองอยู่ก็ยิ้มเจื่อนๆ เจ้าทิพย์ดาราก็ยิ้มรับเจื่อนๆ เช่นกัน แล้วทั้งสองก็หันกลับไปมองบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด
ผลที่มองไปบนเวทีแล้วหันกลับมามองขวดชาเขียว
“ทนไม่ไหวแล้วเว้ย เปรี้ยวปากชะมัด”
ผลเปิดขวดชาเขียวแล้วรินเหล้าใส่แก้ว
“ไหนว่าจะรอให้พวกเจ้านายกลับไปก่อนไง” เป็งถาม
“ก็มันกินอะไรก็ไม่อร่อย ขอข้าเผาหัวหน่อยเถอะวะ” ผลบอก
หนานกับคนงานคนอื่นๆ หัวเราะแล้วยื่นแก้วมาให้ผลริน แต่เป็งยังคงลังเล
“ไม่เป็นไรหรอกน่าไอ้เป็ง ยังไงพ่อเลี้ยงก็คงกลับก่อนพวกเราเมา” หนานพูด
ในที่สุดเป็งก็ยื่นแก้วมาให้ผล แล้วทั้งหมดก็ชนแก้วกันและส่งเสียงเฮลั่น จนโต๊ะอื่นหันมามอง คนงานหนุ่มจึงต้องจุ๊ปากให้เงียบๆ
ภูชิชย์ นริศรา และเจมส์เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ นริศราเดินตรงไปนั่งข้างๆ พิสุทธิ์ ภูชิชย์เดินไปนั่งกับเจ้าทิพย์ดาราเหมือนเดิม
“Thank you very much indeed. นะครับพ่อเลี้ยง” เจมส์กล่าว “พี่นิด You guys make tonight is my night จริงๆครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ” นริศรายิ้มให้
“ว่าแต่พ่อเลี้ยงกับคุณนิดแอบไปซ้อมกันเมื่อไหร่ครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” นิพนธ์สงสัย
“ไม่ได้ซ้อมหรอกค่ะ พอดีนิดเคยได้ยินพ่อเลี้ยงเล่นเพลงนี้แล้วนิดรู้จักอยู่แล้วก็เลยร้องได้” นริศราบอก
“ตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่ผมยังไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงเล่นกีตาร์เลย คุณนิดโชคดีมากนะครับมีโอกาสได้เห็นด้วย” นิพนธ์พูด
“พอดีวันนั้นผมนอนไม่หลับ เลยไปรื้อกีตาร์มานั่งเล่น นริศราเขาก็นอนไม่หลับเดินมาผ่านมาก็เลยเห็นก็เท่านั้นเอง” ภูชิชย์อธิบาย
เจ้าทิพย์ดารากับพิสุทธิ์ได้ยินก็นั่งนิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก
เวลาผ่านไป ไฟบนเวทีดับลง คนงานส่วนใหญ่ทอยอยแยกย้ายกลับห้องพัก เหลือคนงานนั่งกินกันอยู่แค่เล็กน้อยเท่านั้น
แม่อุ้ย พร และลุงปั๋นลุกจากโต๊ะทำท่าจะกลับ นริศราเดินกลับมาที่โต๊ะ
“เจ้าน้อยกับคุณโป๊ะกลับไปแล้วเหรอคะ” แม่อุ้ยถาม
“จ้ะ พ่อเลี้ยงไปส่งเจ้าน้อยแล้ว โป๊ะก็เพิ่งกลับไป ส่วนเจมส์เขาง่วงมากคงเหนื่อยจากการเดินทาง ฉันเลยให้คุณนิพนธ์พากลับไปบ้านแล้ว” นริศราบอก
“งั้นคุณนิดก็ไปนอนเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้” แม่อุ้ยพูด
“ฉันอยากดูความเรียบร้อยจนงานเลิก” นริศราบอก
“นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว พรว่าเลิกตอนนี้ดีที่สุดค่ะ ขืนปล่อยไปเรื่อยๆได้อยู่กันยันเช้า”
“ก็ดี เดี๋ยวช่วยกันเก็บของหน่อยนะ ฉันจะอยู่ช่วยด้วย” นริศราเห็นด้วย
ลุงปั๋นตะโกน “อ้าวเฮ้ย....เลิกได้แล้ว พวกเราช่วยกันเก็บข้าวของแล้วได้ไปนอนกัน”
คนงานคนอื่นๆ พากันลุกขึ้นช่วยเก็บโต๊ะ เก็บของ มีเพียงโต๊ะของผลที่ยังนั่งกินกันอยู่
“แหม....ดูพวกไอ้ผลสิ คนอื่นลุกมาทำงานกัน พวกมันนั่งเป็นคุณชายกันอยู่ได้ ขอไปด่าหน่อยเถอะ” แม่อุ้ยฉุน
นริศราดึงแขนแม่อุ้ยไว้ “ไม่ต้องหรอกแม่อุ้ย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
นริศราเดินไปที่โต๊ะผล ขณะที่ทุกคนที่โต๊ะกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“นี่ พรุ่งนี้เราต้องทำงานกันปกตินะ ช่วยเก็บของแล้วรีบกลับไปนอนกันดีกว่า” นริศราบอกกับกลุ่มของผล
ผลลุกขึ้นยืนพูดกับนริศรา
“ถ้าผมช่วย คุณนิดจะกลับไปนอนกับผมไหมครับ”
คนงานทั้งกลุ่มหัวเราะลั่น นริศราถอยห่างทันทีเพราะได้กลิ่นเหล้า
“นี่กินเหล้ากันเหรอ”
ผลรีบปิดปากทันทีเพราะกลัวกลิ่นออก กลุ่มคนงานที่โต๊ะผลเริ่มหน้าเสียก้มหน้าหลบตา
“เหล้าที่ไหน ไม่มีครับ” ผลปฏิเสธ
นริศรามองไปบนโต๊ะก็เห็นขวดชาเขียววางอยู่หลายขวด เธอจึงหยิบขึ้นมาดม
“แล้วนี่อะไร?” นริศราถาม
ผลหัวเราะ “ไหนๆก็เจอแล้ว งั้นมากินด้วยกันสักจอกนะครับ”
ผลจับมือนริศราแล้วจะเอาแก้วเหล้าป้อนเธอ นริศราปัดแก้วเหล้าออกแล้วกระชากมือกลับ หนานกับเป็งรีบลุกขึ้นมาดึงผลไม่ให้ลวนลามนริศราอีก
“ฉันขอสั่งให้ทุกคนกลับไปนอนเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันเอาเรื่องแน่” นริศราเสียงแข็ง
“โธ่เอ๊ย...ทำเป็นหยิ่ง มันก็ไอ้ลูกจ้างเขาเหมือนกันแหล่ะวะ”
ผลพูดแล้วสะบัดตัวหลุดจากเพื่อนที่จับ เขาจะเข้าไปกอดนริศรา นริศราโมโหผลักผลเซไปชนโต๊ะจนแก้วแตกบาดมือเลือดไหล
“ฤทธิ์เยอะนักเหรอ”
ผลโมโห เขาพุ่งจะเข้าไปทำร้ายนริศรา แต่จู่ๆ ก็มีมือใครสักคนเข้ามากระชากคอเสื้อของผลจากด้านหลัง
“ใครวะ” ผลโมโห
แล้วผลก็ถูกผลักไปชนกับกลุ่มเพื่อนร่วมโต๊ะ ผลหันมาเห็นว่าเป็นภูชิชย์ก็ตกใจ
“พ่อเลี้ยง!”
ผล เป็ง หนาน และพวกคนงานที่กินเหล้านั่งก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิด ภูชิชย์กับนริศรายืนจ้องผลและเหล่าคนงาน บนโต๊ะมีขวดชาเขียวของกลางนับสิบขวดวางอยู่
“ใครเป็นคนเอามา” ภูชิชย์ถาม ทุกคนเงียบจนภูชิชย์ตบโต๊ะอย่างแรง “ว่าไง”
“พี่ผลครับ” หนานบอก
ผลโกรธ “ไอ้หนาน ไอ้สารเลว มึงหักหลังกู”
ผลจะลุกขึ้นไปชกหนาน หนานรีบหลบทันที
“หยุดนะไอ้ผล” ภูชิชย์ตะคอก ผลถึงกับชะงัก
“ผมผิดไปแล้วครับพ่อเลี้ยง ผมขอโทษ ผมสัญญาครับว่าจะไม่ทำอีกแล้ว” ผลพูดเสียงอ่อย
พวกคนงานที่เหลือยกมือไหว้ภูชิชย์แล้วกล่าวขอโทษด้วย
ภูชิชย์หันมาพูดกับนริศรา “เธอคิดว่าควรจะลงโทษพวกนี้ยังไง”
นริศราถอนใจยาว “คือตามกฎถ้าพวกเขากินเหล้าในเวลางาน ก็ควรจะโดนไล่ออก”
ผลและคนงานชะงักมองหน้านริศราด้วยความตกใจ
“แต่เวลานี้มันไม่ใช่เวลางาน แล้วคืนนี้เราก็มีงานเลี้ยงด้วย ควรเป็นโทษพักงานหรือตัดเงินเดือนแทนดีไหมคะ”
ผลและคนงานถอนใจโล่งอก
“มันก็ดี สำหรับคนที่กินเหล้า ฉันจะพักงานและตัดเงินเดือน หนึ่งเดือน” ภูชิชย์พูด
เหล่าคนงานยกมือไหว้ขอบคุณภูชิชย์กับนริศรากันยกใหญ่
“แต่ไอ้ผล” ภูชิชย์พูดต่อ “แกทำผิดซ้ำซากทั้งๆที่แกทำงานอยู่ข้างๆฉันแท้ๆ แล้วคราวนี้แกก็เอาเหล้ามาเลี้ยงเพื่อนซะเอง ฉันไล่แกออก”
ผลลุกพรวดขึ้นทันที
“พ่อเลี้ยง มันไม่โหดไปหน่อยเหรอครับ”
“หลังอาหารเช้าแกจะต้องออกไปจากที่นี่” ภูชิชย์ยืนยัน
ผลยืนจ้องหน้าภูชิชย์กับนริศราด้วยความแค้นใจ
ภูชิชย์กับนริศราเดินคุยกันมาตามทางกลับห้องพักคนงานหญิง
“เธอคงจะคิดว่าฉันใจร้ายสิที่ไล่ผลมันออก”ภูชิชย์ถาม
นริศราถอนใจ “ที่ฉันเคยขอร้องพ่อเลี้ยงให้ช่วยนายผล เพราะคิดว่าคนเราทำผิดพลาดกันได้ ถ้าเราให้โอกาสเขาก็จะแก้ไขให้ดีขึ้น แต่มันคงใช้ไม่ได้กับนายผล บอกตรงๆว่าคราวนี้ฉันเห็นด้วยกับพ่อเลี้ยงค่ะ”
ภูชิชย์ชะงักมองหน้านริศรา แล้วก็ขำออกมา “นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย”
“อันไหนที่พ่อเลี้ยงทำถูกฉันก็ไม่รู้จะขัดไปทำไม” นริศราบอก
ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าบ้านพัก
“ยังไงฉันก็ขอบคุณนะสำหรับงานวันนี้” ภูชิชย์กล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะฉันได้โอที” นริศรายิ้ม “ฉันขอตัวนะคะ”
นริศราเดินขึ้นบ้านไป ภูชิชย์มองตามแล้วเผลอยิ้มพอนึกขึ้นได้เขาก็รีบหุบยิ้มแล้วงงตัวเอง
“เฮ้ย...นี่เราคิดอะไรวะ”
ภูชิชย์ตบหัวตัวเองเรียกสติแล้วรีบเดินกลับบ้านทันที
สุพัฒนานอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีบัวเกี๋ยงนอนอยู่ข้างเตียง สักพักโทรศัพท์ของบัวเกี๋ยงก็ดังขึ้น สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงสะดุ้งตื่น บัวเกี๋ยงรีบคว้าโทรศัพท์มาดูพอเห็นหน้าจอก็ตกใจไม่กล้ากดรับ
สุพัฒนาตวาดบ่าวด้วยความหงุดหงิด “บัวเกี๋ยง ใครมันโทรมาหาแกตอนนี้?”
“เอ่อ....พ่อค่ะ”
“แกออกไปคุยข้างนอนเลยไป ฉันจะนอน”
บัวเกี๋ยงรีบลุกเดินออกไปคุยนอกห้อง สุพัฒนามองตามตาเขม่นเพราะโมโหที่ต้องตื่นกลางดึก
บัวเกี๋ยงฟังผลพูดแล้วก็มีสีหน้าตกใจ
“พี่ผลนะพี่ผล ไม่น่าหาเรื่องเลย กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้ ทำไมไม่ระวังตัว”
“เงียบเถอะน่าอีบัวเกี๋ยง” ผลว่าอย่างฉุนๆ “พี่เรียกเอ็งมาช่วยหาทางออก ไม่ได้เรียกมาด่าซ้ำ”
“แล้วฉันจะไปช่วยพี่ยังไงล่ะ”
ผลเข้ามากอดจากด้านหลัง
“เอ็งก็ไปขอคุณเล็กให้ช่วยสิวะ”
“จะบ้าเหรอ พี่ก็รู้ว่าไอ้กฎห้ามกินเหล้านี่ทั้งพ่อเลี้ยงกับคุณเล็กเป็นคนตั้งกฎ แล้วพี่จะให้ฉันไปบอกคุณเล็กว่ายังไง อย่าลืมสิ พี่เป็นคนเอาเหล้าเข้ามาเองนะ”
ผลโมโห “โว้ย แล้วนี่พี่จะทำไงดีวะ”
“พี่ก็ไปหางานที่อื่นทำสิ ไม่เห็นจะยากเลย”
ผลจ้องหน้าบัวเกี๋ยงแล้วบีบแขนเธออย่างแรงจนบัวเกี๋ยงเจ็บ
“พี่ผล...ฉันเจ็บนะ”
“ฮึ...ให้พี่ไปทำงานที่อื่น เอ็งจะได้เสวยสุขอ่อยพ่อเลี้ยงได้สะดวกใช่ไหม”
“นี่ ฉันรู้ตัวฉันหรอกน่าว่าไม่มีอะไรดีจะไปสู้เจ้าน้อย พี่ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย”
“ถึงพี่จะไปอยู่ข้างนอก แต่ถ้าจับได้ว่าเอ็งนอกใจพี่ เอ็งตายแน่” ผลขู่
ผลปล่อยแขนบัวเกี๋ยงแล้วเดินไปนั่งเก็บของใส่กระเป๋า บัวเกี๋ยงมองตามแล้วก็ลอบยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะเดินไปหาผล
“ฉันช่วยเก็บของให้นะ”
คนงานนั่งกินอาหารอยู่ในโรงอาหารตอนเช้ามืด นริศรากับเจมส์เดินอยู่ที่หน้าโรงอาหารโดยจะไปที่จอดรถ
“เดี๋ยวช่วงเช้านี่พี่จะพาดูไร่ทั้งหมดก่อนนะ เจมส์จะได้เห็นว่าที่นี่ทำอะไรบ้าง แล้วช่วงบ่ายเราก็จะเข้าตามตารางงานของพี่ พี่ทำไว้หมดแล้ว” นริศราอธิบาย
นริศราส่งใบตารางงานให้เจมส์ เจมส์เดินไปหยุดอ่านใต้แสงไฟ นริศราเดินตามไป
“Well organized มากครับ” เจมส์ชม
“ไปกันเถอะสายแล้ว” นริศราชวน
ทั้งสองเดินไปถึงรถก็เห็นรถของภูชิชย์แล่นเข้ามาจอด ภูชิชย์ลงมาหาทั้งคู่
“จะไปเริ่มงานใช่ไหม งั้นไปรถฉันแล้วกัน”
นริศรางง “ทำไมคะ”
“ก็วันนี้วันแรกฉันก็ควรจะไปกับเจมส์ด้วยไม่ใช่เหรอ” ภูชิชย์ยื่นหน้ามากระซิบกับนริศรา “จะได้ประเมินด้วยว่าตอนนี้เธอมีความรู้เรื่องงานดีแค่ไหน” ภูชิชย์หันมาพูดกับเจมส์ “ไปเจมส์ ขึ้นรถ”
นริศราถอนใจด้วยความเซ็งแล้วขึ้นรถไปกับภูชิชย์และเจมส์
คนงานกำลังเตรียมดินอยู่ที่ไร่องุ่น โดยมีภูชิชย์กับเจมส์ยืนฟังนริศราอธิบายอยู่
“ตรงนี้เรากำลังเตรียมดินเพื่อลงองุ่น ดินในบริเวณนี้จะเป็นลักษณะกลุ่มดินภูเขามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นเราจะทำการไถให้ลึก แล้วตากดินไว้ 1 อาทิตย์ โดยปลูกพืช ตระกูลถั่วคลุมไว้ก่อน แล้วไถกลบเมื่อออกดอกจะเป็นการทำให้ดินมีลักษณะดีขึ้น”
ภูชิชย์มองยิ้มๆ
ต่อมา ภูชิชย์จอดรถดูนริศรากำลังสอนขับแทร็กเตอร์ให้กับเจมส์ เจมส์ขับแทร็กเตอร์ไปเรื่อยๆ แล้วรถก็เป๋ไป ภูชิชย์ตกใจจะวิ่งเข้าไปดูแต่นริศราก็ดึงรถกลับมาได้ ภูชิชย์ที่แอบดูอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
นริศราเดินนำเจมส์ดูมุมต่างๆ ในไร่กาแฟและฟาร์มปศุสัตว์ เธออธิบายและสาธิตวิธีการรีดนม การเก็บกาแฟ โดยมีภูชิชย์ยืนมองอย่างชื่นชม
เวลาต่อมา นริศรายืนอธิบายเกี่ยวกับการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำอยู่ที่บ่อเก็บน้ำภายในไร่
“ในอนาคตที่กิจการของไร่ขยายมากขึ้น เราอาจจะต้องขยายขนาดของบ่อออกไปอีก” นริศราบอก
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าต้องใช้น้ำเท่าไหร่ถึงจะพอกับที่เราต้องการ” เจมส์ถาม
“ไม่ยากค่ะ ทุกวันนี้เรามีบันทึกอยู่แล้วว่าใช้น้ำวันละกี่ลิตร คูณด้วย 365 วันก็จะรู้ว่าใน 1 ปีเราควรสำรองไว้เท่าไหร่ โดยคิดออกมาเป็นลูกบาศก์เมตร แล้วคิดอัตราส่วนการขยายของการใช้น้ำต่อพื้นที่ บวกกับการระเหยของน้ำอีกวันละ 1 ซม. เราก็จะได้ปริมาณน้ำคร่าวๆ แล้วค่อยมาคำนวนหาขนาดของบ่อ”
เจมส์อ้าปากค้าง “ว๊าว...พี่นิดเพิ่งมาทำงานแล้วเก่งแบบนี้ แสดงว่าพ่อเลี้ยงต้องสอนเก่งมากเลยนะครับ”
ภูชิชย์ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับอึ้งและพูดไม่ออก
“ค่ะ” นริศราปรายตามอง “ถ้าไม่ได้การสอนงานในแบบฉบับของพ่อเลี้ยง พี่จะไม่เป็นงานขนาดนี้”
เจมส์ยกนิ้วชื่นชมภูชิชย์ ภูชิชย์ยิ้มรับเจื่อนๆ
เจมส์ยืนจดรายละเอียดพร้อมกับช่วยกับคนงานผสมปุ๋ยอยู่ที่โรงทำปุ๋ยหมัก นริศรากับภูชิชย์ยืนดูอยู่ในที่ที่ห่างออกมา
“ทำไมไม่บอกเจมส์ล่ะ ว่าฉันแทบไม่ได้สอนงานอะไรเธอเลย ทุกอย่างเธอเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ภูชิชย์ถาม
“บอกไปแล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรคะ”
“ความสะใจมั้ง อย่างน้อยเธอก็ได้เอาคืนฉัน”
“สะใจฉัน แล้วพ่อเลี้ยงก็เสีย ไร่ก็เสีย เจมส์ก็ไม่ได้ความรู้อะไรมากขึ้น ตัวฉันก็จะกลายเป็นลูกน้องที่ไม่ดี ฉันว่าความสะใจไม่เรียกว่าประโยชน์นะคะ”
“นี่เธอคิดอย่างนี้จริงๆเหรอ”
“ค่ะ ฉันคิดแบบนี้แล้วฉันสบายใจ ส่วนพ่อเลี้ยงจะเชื่อฉันหรือไม่ มันเป็นปัญหาของพ่อเลี้ยงแล้วค่ะ”
ระหว่างนั้นเจมส์ก็ตะโกนถามนริศรา “พี่นิดครับ ปุ๋ยเสร็จแล้วเราจะทำยังไงต่อครับ”
นริศราแยกเดินไปหาเจมส์ ภูชิชย์มองตาม
“เธอช่วยฉันเหรอเนี่ย” ภูชิชย์พูดเบาๆ
เจ้าทิพย์ดารายืนดื่มกาแฟและมองเหม่อออกไปไกลอยู่ที่ระเบียงบ้าน เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่งานเลี้ยงต้อนรับเจมส์
“งานออกมาน่ารักดีนะคะภู” เจ้าทิพย์ดาราพูดชม
ภูชิชย์นิ่งเงียบจนเจ้าทิพย์ดาราต้องเรียก “ภูคะ”
“อะไรครับเจ้า” ภูชิชย์รู้สึกตัว
“ใจลอยไปไหนคะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ เจ้าจะเอาอาหารอะไรเพิ่มไหมครับ ผมจะไปตักให้”
“ภูคะ อาหารของน้อยยังเต็มโต๊ะอยู่เลยนะคะ”
เจ้าทิพย์ดาราสะกิดให้ภูชิชย์ดูบรรดาจานที่วางอยู่ตรงหน้าของเธอ พอเห็นอาหารหลายจานตรงหน้าเจ้าทิพย์ดาราภูชิชย์ก็ยิ้มเจื่อนๆ
แล้วเจ้าทิพย์ดาราก็นึกถึงตอนที่พรพูดกับแม่อุ้ยหลังจากชมการร้องเพลงและเล่นกีตาร์ของนริศรากับภูชิชย์บนเวทีจบ
“ดูๆไปพ่อเลี้ยงกับคุณนิดก็เหมาะกันนะแม่อุ้ย ถ้าบอกว่าเป็นแฟนกันฉันก็เชื่อเลยล่ะ” พรพูด
พอได้ยินพรพูดเช่นนั้นแม่อุ้ยก็กระตุกแขนพรให้มองดูด้านหน้าซึ่งเป็นโต๊ะของเจ้าทิพย์ดารา
แม่อุ้ยรีบดึงหูพรให้เดินกลับไปทันที
เจ้าทิพย์ดาราเหลียวมองตามแม่อุ้ยกับพรไป แล้วหันกลับมาก็เห็นพิสุทธิ์กำลังมองไปบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด พิสุทธิ์หันมาเห็นเจ้าทิพย์ดารามองอยู่ก็ยิ้มเจื่อนๆ เจ้าทิพย์ดาราก็ยิ้มรับเจื่อนๆ เช่นกัน
แล้วทั้งสองก็หันกลับไปมองบนเวทีด้วยสีหน้าเครียด
พอคิดถึงเหตุกาณณ์เมื่อคืน เจ้าทิพย์ดาราก็ถอนใจด้วยความเครียด เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเดินมาหาบุตรสาว
“เจ้าน้อยลูก ไม่สบายหรือเปล่า” เจ้าดาระกาถามขึ้น
เจ้าทิพย์ดารางง “เอ่อ....เปล่านี่คะ”
“เห็นเด็กบอกเช้านี้ลูกไม่ยอมทานอะไรเลย”
“น้อยไม่หิวค่ะ สงสัยจะอิ่มจากเมื่อคืน”
“ไม่เป็นไร ดีเหมือนกัน กลางวันนี้จะได้ทานอาหารเยอะ” เจ้าเทพมงคลกล่าว
“เจ้าพ่อจะไปไหนเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“พ่อไม่ได้ไปหรอก แต่จะให้ลูกไปแทน ที่โรงแรมคุณโป๊ะ” เจ้าเทพมงคลบอก
“เจ้าพ่ออ่ะ”
“ฟังพ่อก่อนสิ พ่อมีธุระ คือพ่อคุยกับทางผู้ว่าฯแล้ว งานฤดูหนาวปีนี้เราจะจัดงานระดมทุนก่อนถึงวันงาน ซึ่งโรงแรมคุณโป๊ะเขาก็จะช่วยเรื่องสถานที่ พ่อเลยจะให้น้อยไปประชุมแทนพ่อ”
เจ้าทิพย์ดารามองหน้าเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาด้วยความรู้สึกว่านี่เป็นแผน
“นี่ๆๆ ไม่ต้องมองพ่อกับแม่แบบนั้นเลย เรื่องจับคู่น่ะพ่อกับแม่เลิกคิดไปแล้ว รู้ว่ายังไงลูกก็ไม่มองคนอื่น” เจ้าดาระกาบอก
“แล้วทำไมถึงให้น้อยไปคนเดียวล่ะคะ”
“ก็หมอนัดตรวจร่างกายเจ้าพ่อวันนี้ ถึงต้องรบกวนลูกไงจ๊ะ”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ” เจ้าทิพย์ดารายกมือไหว้ “น้อยขอโทษค่ะที่เข้าใจเจ้าพ่อเจ้าแม่ผิด เอาเป็นว่าน้อยจะจัดการเรื่องนี้ให้นะคะ”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาแอบยิ้มให้กัน
พิสุทธิ์เดินมานั่งที่โต๊ะที่อยู่ที่แผนกเซลล์ของโรงแรม เขาเปิดคอมพิวเตอร์ดูแล้วเหม่อคิด
“เมื่อวานพ่อเลี้ยงดูสนใจนิดแปลกๆ” พิสุทธิ์สั่นหัวเหมือนไม่ยอมรับ “เป็นไปไม่ได้น่า เราคงคิดมากไปเอง”
เซลล์พี่เลี้ยงเดินเข้ามานั่งประจำโต๊ะแล้วเอ่ยทัก
“หวัดดีค่ะคุณโป๊ะ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะคะ”
พิสุทธิ์ยิ้ม “เห็นบอกว่าวันนี้กรุ๊ปสถานฑูตจะเข้า ผมเลยอยากมาขอดูงานครับ”
“ค่ะ เดี๋ยวมาแล้วพี่จะพาลงไปนะคะ”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น พิสุทธิ์กดรับทันที
“สวัสดีครับ พิสุทธิ์ Speaking. How may I help you?” พิสุทธิ์ตกใจ “ห๊ะ...อีกแล้วเหรอ..ได้ครับ เดี๋ยวผมลงไป”
พิสุทธิ์วางสายด้วยท่าทีเซ็ง แล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะเซลล์พี่เลี้ยง
“เดี๋ยวผมลงไปที่ Front ก่อนนะครับ แล้วจะรีบขึ้นมา”
เซลล์ยิ้มรับ พิสุทธิ์รีบเดินจ้ำลงไปทันที
ลัคนาทุบโต๊ะที่เคาท์เตอร์รีซีฟชั่นของโรงแรมอย่างหัวเสีย พนักงานต่างล่าถอยด้วยความกลัว
“ตกลงมีใครเชิญคุณโป๊ะหรือยัง ฉันรีบนะ” ลัคาโวยวาย
“พี่นา...เบาๆสิ”
ลาวัลย์เตือนแล้วพยายามดึงแขนลัคนาให้ออกมาจากเคาท์เตอร์
“เบาได้ไง ไม่เห็นเหรอว่ามันแพง เราไม่ควรจ่าย” ลัคนาโวยไม่หยุด
“แต่นี่มันก็ราคาลีมูซีนโรงแรมนะ แล้วเราก็ไปตั้งไกลใช้รถเขาทั้งวัน ราคามันก็เหมาะสมแล้วนี่ ถ้าพี่นาไม่อยากจ่ายวัลย์ขับให้ก็ได้”
“ไม่ได้ เราไปไร่สุพัฒนาทั้งที จะไปรถญี่ปุ่นเก่าๆของแกได้ไง”
“ถ้าพี่จะเอารถโรงแรมจริงๆวันจ่ายให้ก็ได้”
“ยัยวัน ถ้าแกอยากจ่ายเงินมากก็เอาห้าพันมาให้ฉันไปซื้อขนมให้หลาน ยังไงฉันก็ไม่จ่าย ไม่งั้นเราจะตีสนิทนายโป๊ะไปทำไม”
ลัคนาเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ แล้วพิสุทธิ์ก็เดินออกมาจากด้านหลังเคาท์เตอร์
“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
พิสุทธิ์ยืนรอส่งลัคนากับลาวัลย์ที่หน้าโรงแรม ลัคนายิ้มแย้มอย่างมีความสุข แต่ลาวัลย์รู้สึกอายมาก
“ที่จริงคุณโป๊ะชาร์จบิลเข้าห้องก็ได้นะคะ วัลย์เต็มใจจ่าย” ลาวัลย์บอก
“ยัยวัน คุณโป๊ะบอกให้ฟรีแล้วเราไปจ่ายก็หักหน้ากันสิ เสียมารยาทจริงๆ” ลัคนาหันมาดุ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณวัน เพราะยังไงคุณลัคนาก็เหมือนจะเป็นญาตินิดเขาอยู่แล้ว”
สองพี่น้องสะดุดหูกับคำว่า “เหมือนจะเป็น”
“เหมือนอะไรกันคะ พี่เป็นพี่สะใภ้ก็ต้องถือเป็นญาติใกล้ชิดละไม่ว่า” ลัคนารีบพูด
แล้วรถหรูของโรงแรมก็แล่นมาจอด พิสุทธิ์เปิดประตูให้สองพี่น้องก้าวขึ้นรถไปแต่ก่อนจะปิดประตูพิสุทธิ์ก็ยิ้มแล้วพูด
“ถ้าผมต้อนรับอะไรบกพร่องก็ขอโทษด้วยนะครับ เพราะฐานะของผมตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานเท่านั้น เที่ยวให้สนุกนะครับ”
พิสุทธิ์ปิดประตูให้แล้วรถก็เคลื่อนออกไป พิสุทธิ์มองตามแล้วส่ายหน้า
ลาวัลย์นั่งอารมณ์เสียอยู่ในรถ
“เป็นไงล่ะพี่นา เขาด่าแบบผู้ดีขนาดนี้แล้วจะกล้าขออะไรอีกไหม”
“กล้าสิ” ลัคนาตอบทันที
“พี่นา...วันอายเขาแล้วนะ”
“แต่ฉันไม่แคร์ แค่ฉันได้อย่างที่ฉันต้องการก็พอ แกก็เลิกคิดมากได้แล้ว ทำยังกับถือหุ้นโรงแรมเขางั้นแหล่ะ ถ้าแกเป็นแฟนเขาสิ ฉันจะไม่ให้กระเด็นสักบาทเลย”
ลาวัลย์เห็นคนขับรถแอบเหลือบมองทางกระจกหลังแล้วก็ทำเป็นไม่มอง เธอรู้สึกอายจนต้องเบี่ยงตัวหลบเพราะกลัวคนขับมองอีก
เจมส์กำลังช่วยคนงานดูต้นกล้าอยู่ที่เรือนเพาะชำกับภูชิชย์และนริศรา ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์กดรับแล้วพูด
“ว่าไงนิพนธ์.......มาแล้วเหรอ....ได้เดี๋ยวฉันกับคุณนิดจะไปเดี๋ยวนี้”
ภูชิชย์วางสาย นริศรามองอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอคะ เห็นพูดถึงฉัน”
“พี่สะใภ้เธอมาเยี่ยม” ภูชิชย์บอก
นริศราอึ้ง “พี่นาน่ะเหรอคะ”
ภูชิชย์พยักหน้ารับแล้วสังเกตเห็นว่านริศราหน้าเจื่อนไป
ลัคนากับลาวัลย์มองเห็นไร่สุพัฒนาอันกว้างใหญ่ไพศาล ลัคนายืนมองจากหน้าต่างด้านในห้องรับแขกอย่างมีความสุข
“ตายแล้ว นี่รวยจริงจังนะเนี่ย ยัยวัลย์ฉันว่าเผลอๆนายนี่จะรวยกว่านายโป๊ะก็ไม่รู้ แกต้องจับเขาให้ได้นะ”
ลาวัลย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “เป็นเอามาก”
“เอ๊ะ...ยัยวัน ที่เราดั้นด้นมานี่ก็ไม่ใช่เพราะแกชอบพ่อเลี้ยงเหรอ”
“ชอบน่ะใช่ แต่จะมาจับน่ะไม่ใช่ คนอย่างวันรักคนด้วยใจไม่ได้รักด้วยสมอง”
“แกจะใช้ใจบ้าบออะไรของแกก็ตามใจ แต่รายนี้ฉันจะใช้สมองฉันช่วยแกเอง”
ลัคนายิ้มอย่างมีความหวัง
ทันใดนั้น ภูชิชย์กับนริศราก็เดินเข้ามา พอเห็นทั้งคู่ลัคนาก็รีบยิ้มหวานทันที
“พ่อเลี้ยงสวัสดีค่ะ” ลัคนาลุกไปกอดนริศรา “น้องนิด พี่กับยัยวันมาเยี่ยม ดีใจไหม”
นริศรารู้สึกกระอั่กกระอ่วนใจแต่ก็ฝืนยิ้มรับ
อ่านต่อหน้าที่ 4
รักประกาศิต ตอนที่ 8 (ต่อ)
สุพัฒนาลุกพรวดขึ้นมายืนจ้องบัวเกี๋ยงด้วยความไม่พอใจ
“ใครบอกแกบัวเกี๋ยง”
“ใครจะบอกคะ ความสามารถบัวเกี๋ยงล้วนๆ เมื่อกี้บัวเกี๋ยงไปด้อมๆมองๆแถวห้องทำงานพ่อเลี้ยง ก็เห็นคุณนิพนธ์โทรตามพ่อเลี้ยง บอกว่าญาตินังนิดมาหา บัวเกี๋ยงก็เลยไปแอบดู สวยทั้งคู่เลยนะคะ”
“สวยด้วยเหรอ” สุพัฒนาถามย้ำ
“ไม่ใช่แค่สวยนะคะ ท่าทางจะรวยด้วย เห็นมารถคันใหญ่มีคนขับรถมาด้วยนะคะ”
สุพัฒนาตวาด “พอแล้ว แกจะบรรยาหาสวรรค์อะไร”
บัวเกี๋ยงหุบปากทันที
“นังนิด แกเป็นแค่ลูกจ้างกล้าพาญาติมาเป็นแขกพี่ภูเลยเหรอ”
สุพัฒนารีบเดินออกไปด้วยความโมโห บัวเกี๋ยงรีบวิ่งตามไปด้วย
นิพนธ์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ สักพักสุพัฒนากับบัวเกี๋ยงก็เดินเข้ามา
“พี่ภูอยู่ไหน” สุพัฒนาถาม
“พ่อเลี้ยงมีแขกครับ” นิพนธ์ตอบ
“แขกที่ไหน ญาตินังนิดมันไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อครับ”
“ก็แล้วพี่ภูกับพวกมันอยู่ไหนล่ะ”
“พ่อเลี้ยงกับคุณนิดกำลังพาไปเที่ยวชมไร่”
“อะไรนะ นี่พี่ภูต้อนรับมันขนาดพาชมไร่เองเลยเหรอ”
“เอ่อ...ครับ”
สุพัฒนาเดินไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะภูชิชย์แล้วกดโทรออกทันที
โทรศัพท์ของภูชิชย์ที่วางอยู่ในรถมีเสียงสายเข้า แต่ภูชิชย์ นริศรา ลัคนา และลาวัลย์กำลังยืนอยู่ที่คอกวัว
“ตรงนี้จะเป็นส่วนของฟาร์มวัวครับ” ภูชิชย์บอก
“ที่นี่สวยมากค่ะ แต่สงสัยจะเที่ยววันเดียวไม่หมด” ลัคนาพูดเป็นนัย
“ถ้าชอบก็มาอีกก็ได้นะครับ”
“แน่นอนค่ะ” ลัคนาหันไปพูดกับลาวัลย์ “ยัยวัน พี่ขอพักนั่งคุยกับน้องนิดหน่อยนะ เธอไปเดินเล่นกับพ่อเลี้ยงก็ได้”
“เอ่อ...พี่นา ไปด้วยกันสิ” ลาวัลย์อาย
“ไปเถอะไม่ต้องห่วง” ลัคนาหันไปพูดกับภูชิชย์ “พ่อเลี้ยงคะ ฝากพาน้องของนาเดินเล่นหน่อยนะคะ นาอยากคุยกับน้องนิดค่ะ”
ลาวัลย์มองหน้าภูชิชย์แบบเขินๆ
สุพัฒนากดวางแล้วกดโทรออกไปใหม่ รอสักพักก็ไม่มีคนรับสาย สุพัฒนาโมโหยกโทรศัพท์ขว้างใส่พื้นทันที
“นี่พี่ภูเขาหายไปไหนของเขานะ” สุพัฒนาหันมาพูดกับนิพนธ์ “แล้วทำไมเธอไม่รู้จักถาม”
นิพนธ์ถอนใจ “ผมขอโทษครับ”
สุพัฒนาโกรธ เธอจ้องหน้านิพนธ์อย่างเอาเรื่อง นิพนธ์ลุกจากโต๊ะแล้วเดินมาใกล้ๆ สุพัฒนาด้วยความเป็นห่วง
“คุณเล็กครับ เพิ่งโมโหเลยนะครับ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงกลับมาก็คงมาเล่าให้คุณเล็กฟัง ผมว่าถ้าคุณเล็กโกรธแล้วไม่สบายขึ้นมามันจะไม่ดีต่อสุขภาพคุณเล็กนะครับ”
“โอ๊ย...เก็บคำเทศน์โง่ๆของเธอไว้เถอะนิพนธ์ ฉันรำคาญ ไม่อยากจะฟัง”
นิพนธ์หน้าจ๋อย สุพัฒนาโมโหผลักนิพนธ์ออกแล้วเดินไปโดยมีบัวเกี๋ยงเดินตามไปด้วย นิพนธ์มองตามแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
สุพัฒนาเดินหอบด้วยความโกรธจัดออกมาด้านหน้าสำนักงาน
“คุณเล็กคะ เราไปตามหาพ่อเลี้ยงในไร่ไหมคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“ไม่ต้อง”
บัวเกี๋ยงงง “คุณเล็ก คุณเล็กไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมวันนี้ใจเย็น”
“ใครว่าฉันใจเย็น ฉันร้อนจะเป็นไฟอยู่แล้ว”
“บัวเกี๋ยงงงค่ะ ก็ถ้าคุณเล็กร้อน แล้วทำไมเราไม่ไปตามหาพ่อเลี้ยงล่ะคะ เพราะถ้าเจอนังนิดกับญาติๆมันเราจะได้ตบๆๆๆมันไงคะ”
“แกก็อีกคน โง่แบบไม่คิดปรับปรุงระบบเลย น่าส่งให้ไปเป็นเมียไอ้นิพนธ์นัก” สุพัฒนาด่า
บัวเกี๋ยงบ่นพึมพำ “อี๋ แค่ผู้จัดการกระจอก”
“บ่นอะไร”
“เปล่าค่ะ บัวเกี๋ยงแค่สงสัยว่าทำไมคุณเล็กต้องมาว่าบัวเกี๋ยงโง่ด้วย”
“ก็คราวที่แล้วพากันไปตบนังนิดกับนังเจ้าน้อยน่ะเป็นไง สุดท้ายพวกมันใช้มารยาจนพี่ภูไปเข้าข้างมันจำไม่ได้เหรอ”
“เฮ้อ...แล้วจะทำไงล่ะคะ ไล่มาสารพัดวิธีแล้วมันก็ยังอยู่”
“มันยังมีอีกวิธีที่เรายังไม่ได้ใช้”
บัวเกี๋ยงมองหน้าสุพัฒนาด้วยความสงสัย สุพัฒนายิ้มร้ายๆ อย่างสะใจ
นริศรากับลัคนาปลีกตัวมานั่งคุยกัน ลัคนามองดูภูชิชย์กับลาวัลย์ที่เดินอยู่ด้วยกันไกลๆ ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ที่จริงพี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอเธออีกหรอกนะ” ลัคนาเอ่ยขึ้น
“เรื่องนั้นนิดรู้อยู่แล้วค่ะ” นริศราตอบ
“แต่ในเมื่อเราต้องเจอกัน ก็ทำดีต่อกันไว้แล้วกัน” ลัคนาบอก
“แหม...พูดแบบนี้ แสดงว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่นาคงอยากได้อะไรอีกแน่”
ลัคนาโมโห “ยัยนิด! ฉันเป็นพี่สะใภ้เธอนะ”
“เราอย่ามาเสียเวลานับญาติทั้งๆที่ใจเราไม่คิดเลยนะคะ นิดรู้ค่ะว่าที่พี่นามานี่ก็เพราะจะใช้นิดเป็นสะพานให้พี่วันไปจับพ่อเลี้ยงใช่ไหมคะ”
“ใช่ รู้แล้วก็ช่วยฉันหน่อยละกัน”
ลัคนาพูดแล้วเชิดหน้าใส่เหมือนออกคำสั่ง นริศรายิ้มหวานรับ
“ไม่ค่ะ นิดไม่ชอบช่วยคนที่ทำร้ายนิด และนิดตีสองหน้าไม่เก่งเหมือนพี่นาด้วยค่ะ”
“อ๋อ...นี่เธอขวางฉันเพราะจะจับพ่อเลี้ยงไว้เองละสิ”
นริศราขำ “พี่นาคะ จนถึงวันนี้พี่นายังแยกไม่ออกอีกเหรอคะ ว่านิดไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเดียวกับพี่นา”
ลัคนาโกรธจัดจ้องหน้านริศรานิ่ง นริศราจ้องกลับอย่างไม่ลดละ
ลาวัลย์เดินมายืนดูวัวในคอก ภูชิชย์มองไปที่นริศรากับลัคนาที่นั่งคุยกันอยู่ไกลๆ
“อีกนานไหมคะกว่ามันจะโตจนให้นมได้” ลาวัลย์ถามขึ้น
ภูชิชย์ไม่ทันฟังจึงถามกลับ “คุณวันสนิทกับนริศราไหมครับ”
“นี่พ่อเลี้ยงไม่ได้ฟังวันเหรอคะ”
“ขอโทษครับ คุณวันพูดว่าอะไรครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ แต่ที่พ่อเลี้ยงถามวันน่ะหมายความว่ายังไงคะ”
“เอ่อ...ก็ผมแค่รู้สึกว่าผมรู้จักนริศราน้อยมาก ในฐานะนายจ้าง ผมควรจะรู้จักเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้น่ะครับ”
ลาวัลย์ได้ยินก็หน้าจ๋อยไปก่อนจะพูดกับภูชิชย์
“เรื่องของคุณนิด วันคงตอบได้ไม่ดีเท่าเจ้าตัวหรือพี่นาหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปคุยกับเขากันไหมครับ”
ลาวัลย์พยักหน้ารับ ภูชิชย์ยิ้มแล้วผายมือให้ลาวัลย์เดินนำไป
ลัคนากับนริศรานั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่สนใจกัน พอภูชิชย์กับลาวัลย์เดินเข้ามาใกล้ ลัคนาก็รีบยิ้มหวานให้ทันที
“ทำไมกลับมาเร็วจัง” ลัคนาถาม
“พ่อเลี้ยงเขามีเรื่องคุณนิดจะถามพี่นาค่ะ” ลาวัลย์ตอบอย่างเซ็งๆ
“เรื่องน้องนิด” ลัคนาปรายตามองนริศราอย่างไม่พอใจ
“ครับ เอ่อ...คือ”
ภูชิชย์มองนริศราที่กำลังนั่งนิ่งหน้าเครียดอยู่ แล้วเขาก็นั่งลงข้างนริศรา ลัคนายิ่งโมโหกระตุกแขนลาวัลย์ให้ดู ลาวัลย์ยักไหล่แบบไม่รู้จะทำยังไงแล้วก็นั่งลงข้างลัคนา
“ตอนนริศรามาทำงานที่นี่ ผมยังไม่ได้สัมภาษณ์บุคคลอ้างอิงของเขาเลย ก็เลยอยากถามอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”
“แหม...ถ้าอย่างนั้นพ่อเลี้ยงก็ถามถูกคนแล้วล่ะค่ะ” ลัคนายิ้มรับ
แล้วลัคนาก็แอบยิ้มเยาะนริศรา
“คือนามสกุลสุริยรักษ์ ผมเห็นว่าเหมือนกับนายทหารสองท่าน”
“พล.อ.ณัฐ เป็นพ่อของน้องนิดค่ะ และพันเอก ณรงค์ เป็นพี่ชายและเป็นสามีดิฉัน เอ๊ะ...นี่น้องนิดไม่ได้บอกพ่อเลี้ยงเหรอคะ” ลัคนาสงสัย
“เปล่าครับ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาปิด” ภูชิชย์บอก
“คงจะอายน่ะค่ะ” ลัคนาพูด
“อายที่เป็นลูกนายพลน่ะเหรอ” ภูชิชย์มองนริศราอย่างงงๆ
ลัคนากับนริศราประสานสายตาสู้กัน
“อายที่เรียนไม่เก่งมากกว่าค่ะ” ลัคนาพูดขึ้น “น้องนิดน่ะเขาต่างจากคุณณะพี่ชายเขามาก รายนั้นน่ะเขาเรียนเก่งได้ทุนตั้งแต่เด็กๆจนล่าสุดก็ยังได้ทุนจากกองทัพไปเรียนต่อ แต่น้องนิดสิคะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ คุณพ่อท่านพล.อ.ณัฐก็เลยส่งไปเรียนที่อเมริกา หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ก็....ไม่จบ”
ภูชิชย์มองหน้านริศรา นริศราพยักหน้ารับ
“ค่ะ วุฒิการศึกษาของฉันคือ ม.6” นริศราบอก
ภูชิชย์มองนริศราด้วยความรู้สึกสงสาร
รถของภูชิชย์แล่นมาจอดที่หน้าสำนักงาน ทั้งหมดก้าวลงมาจากรถ
“ผมขอเชิญคุณลัคนากับคุณลาวัลย์ทานอาหารกลางวันด้วยกันนะครับ” ภูชิชย์บอก
“ยินดีค่ะ” ลัคนารีบตอบรับ
“นริศรา เธอช่วยไปบอกเด็กให้จัดโต๊ะเพิ่มสามที่นะ แล้วให้นิพนธ์มาทานด้วย”
“พ่อเลี้ยงจะให้พี่นิดกับพี่วันทานที่นี่เหรอคะ” นริศราถาม
“ก็ใช่น่ะสิ” ภูชิชย์ตอบ
“ไม่ได้ค่ะ” นริศราพูด
ลัคนากับลาวัลย์มองหน้ากันด้วยความงง แล้วสองพี่น้องก็มองภูชิชย์ ภูชิชย์ก็งงเช่นกัน
“พี่นากับพี่วันมาในฐานะญาติฉัน ก็ควรจะทานที่โรงอาหารกับฉัน” นริศราบอก
“อะไรนะ น้องนิด จะให้พี่ไปทานกับคนงานงั้นเหรอ” ลัคนาทำท่ารังเกียจ
“นริศรา....” ภูชิชย์จะพูดแต่นริศราสวนขึ้นทันที
“พ่อเลี้ยงคะ ถ้าคนงานมีญาติมาเยี่ยมที่ไร่กันทุกคน พ่อเลี้ยงจะให้มาทานข้าวที่นี่กันหมดไหมคะ ถ้าใช่ฉันจะได้ออกประกาศให้คนงานทราบ”
“น้องนิด...มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ลัคนาฉุน
“ถ้าพี่นารู้สึกว่ามากเกินไป กลัวจะติดเป็นบุญเป็นคุณกับนิด ก็ไม่ต้องทานสิคะ นิดเข้าใจค่ะว่าพี่นาเป็นคนดีขี้เกรงใจ ไม่ชอบรบกวนคนอื่น”
ลัคนากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจแต่ก็พูดอะไรไม่ออก ลาวัลย์ยิ้มให้ภูชิชย์กับนริศรา
“จริงด้วยค่ะคุณนิด” ลาวัลย์พูด “พี่กับพี่นามากวนนานแล้วเกรงใจ เราสองคนขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ ถ้ามีอะไรที่โรงพยาบาลให้วันช่วยก็บอกได้เลยนะคะพ่อเลี้ยง คุณนิด”
นริศรายกมือไหว้ “ขอโทษด้วยนะคะพี่วัน”
“พี่เข้าใจค่ะ ไปนะคะ” ลาวัลย์กล่าวลาแล้วดึงแขนลัคนา ลัคนายิ้มให้ภูชิชย์แต่เชิดหน้าใส่นริศรา จากนั้นทั้งคู่ก็เดินกลับไป
ภูชิชย์มองหน้านริศรานิ่งก่อนจะพูดกับเธอ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ภูชิชย์พานริศราเดินมาที่มุมหนึ่ง
“ถ้าพ่อเลี้ยงจะไล่ฉันออกอย่างเป็นทางการ จะคุยที่สำนักงานฉันก็ไม่ว่านะคะ ถึงตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” นริศราพูดเรียบๆ
“ฉันจะไล่เธอออกด้วยสาเหตุอะไร”
นริศรางง “ก็ตำแหน่งผู้จัดการไร่ต้องจบปริญญาตรี แต่ฉันไม่จบ” นริศราถอนใจ “แล้วยังปิดบังคุณอีก ฉันขอโทษนะคะ ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“ไป...เธอจะไปไหน แล้วใครสั่งให้ไป”
นริศรามองภูชิชย์ด้วยความแปลกใจ
“ถ้าจะมีคนผิด นายวัสก็ผิดที่รับคนที่คุณสมบัติไม่ตรงกับวุฒิที่เราตั้งไว้ ส่วนฉันก็ผิดที่แกล้งให้เธอไปเป็นผู้จัดการ” ภูชิชย์บอก
“แต่ฉันเป็นลูกจ้างที่มาของานคุณทำ ฉันไม่ควรทำแบบนั้น”
“นี่แหล่ะที่ฉันอยากรู้ ว่าเธอทำทำไม”
นริศราตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ในวันที่ทำให้เธอต้องออกหางานทำให้ภูชิชย์ฟัง...
วันนั้น นริศราเปิดประตูเข้ามาเห็นลัคนานั่งทำบัญชีอยู่
“พี่นามีอะไรหรือเปล่าคะถึงให้คนไปตาม”
“พี่ขอพูดตรงๆนะ พี่อยากจะตัดเงินค่าใช้จ่ายที่จะส่งนิดเรียนต่อออก” ลัคนาพูด
นริศราตกใจ “อะไรนะคะ ทำไมต้องตัดด้วย เหลืออีกแค่เทอมเดียวนิดก็จะจบแล้ว”
“อย่าลืมสิว่าตอนคุณพ่อป่วยเราก็หมดไปกับค่ารักษาคุณพ่อเป็นล้าน แล้วนี่นิดยังจะมาเอาส่วนที่เหลือไปเรียนอีกเหรอ”
“แต่เงินที่นิดเรียนก็เป็นเงินที่คุณพ่อตั้งใจจะให้นิด พี่ณะเองก็รับรู้”
“ก็เพราะคุณพ่อลำเอียงน่ะสิ” ลัคนารีบพูด
นริศรางงกับสิ่งที่ได้ยิน “พี่นา....นิดไม่อยากจะเชื่อว่าพี่นาจะคิดแบบนี้”
“ก็มันจริงไหมล่ะ ลองคิดดูนะถ้าพี่แบ่งเงินก้อนนี้ให้นิดเรียนจนจบ พอกลับมานิดก็มาแบ่งเงินที่เหลือกับคุณณะ แล้วคุณณะจะเหลืออะไร นิดยังมีหลานอีกสองคนนะ ใจคอจะเอาเปรียบหลานเหรอ”
นริศรานิ่งอึ้งเพราะพูดไม่ออก ลัคนาได้ทีก็รีบซ้ำเติมนริศราทันที
“คุณณะได้ทุนไปเรียนก็ยังมีเงินเดือนจากทางราชการให้พี่ใช้ แล้วนิดล่ะช่วยเหลืออะไรทางบ้านบ้าง....นอกจากแบมือขอเงิน”
นริศราเล่าเรื่องของตัวเองให้ภูชิชย์ฟังต่อ
“ช่วงนั้นฉันก็ออกตระเวณหางาน แต่ไม่มีที่ไหนรับ จนคุณวัสให้โอกาสทั้งๆที่รู้ว่าฉันวุฒิไม่ถึง ฉันจึงมาที่นี่”
“แสดงว่าเธอก็เพิ่งเจอนายวัสอย่างที่เธอบอกน่ะสิ” ภูชิชย์ถาม
“ทุกคนบนโลกนี้เขารู้กันหมดแล้วค่ะ มีแต่คุณนั่นแหล่ะที่มาหาว่าฉันจะจับคุณวัส”
“ก็ตอนนั้นเธอมันน่าสงสัยนี่ เอาละๆเอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า”
“เริ่มต้นใหม่?” นริศรางง
“ฉันยอมรับนะว่าเธอทำผลงานหลายอย่างได้ดีมาก ดีจนฉันอดทึ่งไม่ได้ ฉันอยากให้เธอทำงานที่นี่ต่อ”
“จริงเหรอคะ” นริศราดีใจ
“เธออยากจะกลับไปทำตำแหน่งเลขาไหมล่ะ ฉันจะให้นิพนธ์กลับมาเป็นผู้จัดการไร่เหมือนเดิม”
นริศราครุ่นคิด ภูชิชย์ถามย้ำ
“ว่าไงล่ะ”
“ฉันขอทำตำแหน่งเดิมได้ไหมคะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับคุณเล็ก”
ภูชิชย์ยิ้มแล้วยื่นมือให้จับ “ได้สิ ผู้จัดการนริศรา”
นริศรายิ้ม “ขอบคุณค่ะ ผู้อำนวยการภูชิชย์”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี
ลัคนาเปิดประตูห้องพักที่โรงแรมแล้วเดินเข้ามาอย่างหงุดหงิด ลาวัลย์เดินตามเข้ามาด้วย
“เจ็บใจยัยนิดนัก ทำแบบนี้มันเท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับพี่ชัดๆ” ลัคนาฉุน
“อ้าว...ก็พี่นาเองนั่นแหล่ะที่ไปประจานเขาก่อน” ลาวัลย์แย้ง
ลัคนาเดินมาหยิกแขนลาวัลย์จนลาวัลย์ต้องปัดมือพี่สาวออก
“โอ๊ย...พี่นามาหยิกวันทำไม”
“แกก็อีกคน ตกลงจะเอาไงกันแน่ ฉันช่วยจนเหนื่อย ไปอยู่ข้างยัยนิดซะงั้น ระวังเถอะยัยนิดจะจับอีตาพ่อเลี้ยงของแก”
ลาวัลย์ถอนใจ “โธ่พี่นา พ่อเลี้ยงเขาไม่มีสายตามองวันด้วยซ้ำ แค่คุยกันวันนี้วันก็รู้แล้ว”
“แกก็เลยถอยทัพอย่างงั้นเหรอ ไหนแกบอกว่าชอบเขาหนักชอบเขาหนาไง”
“วันก็ไม่ได้บอกว่าวันเลิกชอบพ่อเลี้ยงนี่ ยิ่งได้คุยได้รู้จักกันวันนี้ วันก็ยิ่งมั่นใจว่าวันคิดถูกที่เห็นเขาเป็นชายในฝัน แต่บางทีชายในฝันก็อาจจะเหมาะที่จะอยู่ในฝันก็ได้นะ”
“ยายวัน ฟังให้ดีนะ แกจะเห็นพ่อเลี้ยงเป็นชายในฝันหรือในสี่แยกอะไรของแกก็ช่าง แต่หน้าที่ของแกคือจับเขาให้ได้ แต่งงานกับเขา แล้วชีวิตแกจะสบายเหมือนฉัน”
“อย่างพี่นาเนี่ยนะเรียกสบาย”
“ก็ใช่สิ ไม่เห็นเหรอ”
“เห็นสิ พี่วันมีเงิน มีครอบครัวดี มีสามีที่รักพี่วันมาก มีน้องสะใภ้ที่เคยรักเคารพพี่ แต่เพราะพี่วันไม่พอยังอยากได้เงินเพิ่ม ยังบังคับสามีให้เป็นใหญ่เป็นโต บงการชีวิตคนทุกคน สุดท้ายวันก็เห็นพี่นานี่แหล่ะที่เครียดที่สุดเวลาคนอื่นทำไม่ได้อย่างใจ แบบนี้เรียกสบายตรงไหน”
“นี่ยัยวันไปเลยนะ พูดไม่เข้าหูแบบนี้ฉันไม่คุยด้วยแล้ว” ลัคนาโกรธ
ลาวัลย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจกับพี่สาวของตัวเองก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินออกไป ลัคนามองตามอย่างไม่พอใจ
“คิดแบบนี้น่ะสิถึงเป็นพยาบาลต๊อกต๋อยไม่ไปไหนกับเขาหรอก”
เจ้าทิพย์ดารา พิสุทธิ์ ผู้ว่าฯ และทีมงานเดินดูห้องจัดเลี้ยงภายในโรงแรม พิสุทธิ์คอยอธิบายให้ทุกคนฟัง จากนั้นพิสุทธิ์ เจ้าทิพย์ดารา ผู้ว่าฯ และทีมงานก็มานั่งประชุมกันบริเวณล็อบบี้โรงแรม
เวลาผ่านไป พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดาราเดินมาส่งผู้ว่าฯ กับทีมงานที่หน้าประตูโรงแรม
“ผมดีใจนะที่ได้คนหนุ่มสาวมาช่วยงานการกุศล ยังไงก็อย่าทิ้งกันกลางคันล่ะ” ผู้ว่าฯ บอก
พิสุทธิ์กับเจ้าทิพย์ดารายกมือไหว้ลาผู้ว่าฯกับทีมงาน แล้วทั้งสองก็เดินคุยกันไปตามทางเดิน
“แล้วคุณโป๊ะคิดหรือยังคะว่าจะทำอะไรประมูลในงาน”
“ยังเลยครับ เรื่องศิลปะต้องขอให้นิดเขาช่วย”
“แน้...ไม่ได้นะคะ น้อยก็แอบจองคุณนิดไว้ในใจแล้วเหมือน อยากให้คุณนิดมาสอนเพ้นท์ แล้วจะเอาผลงานออกประมูล” เจ้าทิพย์ดาราพูดยิ้มๆ
พิสุทธิ์หัวเราะ “นี่เราสองคนแย่งตัวนิด โดยไม่ถามพ่อเลี้ยงเลยนะครับ เกิดพ่อเลี้ยงหวงนิดขึ้นมาละยุ่งเลย”
เจ้าทิพย์ดาราได้ฟังก็นิ่งอึ้งจนพิสุทธิ์สงสัย
“เจ้าเป็นอะไรครับ”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ กำลังคิดวิธีแย่งชิงตัวคุณนิดค่ะ”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน
“คุณโป๊ะกับคุณนิดนี่คงสนิทกันมากนะคะ” เจ้าทิพย์ดาราว่า
“ครับ นิดเป็นผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดแล้ว”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “น้อยก็พอดูออกค่ะ”
พิสุทธิ์เขิน “ว้า....ผมว่าผมไม่ค่อยแสดงออกแล้วนะครับเนี่ย”
“น้อยอ่านแววตาคนเก่งค่ะ แหม..ก็ คุณนิดเธอทั้งสวยทั้งน่ารักแล้วยังเก่งอีกด้วย”
“เขาไม่ได้แค่เก่งนะครับ ยังเข้มแข็งไม่กลัวกับอุปสรรคในชีวิตด้วย”
พิสุทธิ์คุยถึงนริศราด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุข เจ้าทิพย์ดาราเห็นก็ถึงกับขำทันที
“อย่าบอกใครอีกนะคะว่าคุณโป๊ะไม่แสดงออกว่าชอบคุณนิดน่ะ”
พิสุทธิ์หัวเราะเพราะเขิน เจ้าทิพย์ดารายิ้มด้วยความเอ็นดู
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงมายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าสำนักงาน ทั้งสองเห็นนริศราขับรถมาจอด แล้วลงจากรถพร้อมกับเดินถือแฟ้มเข้าสำนักงานไป
บัวเกี๋ยงรีบพูดกับสุพัฒนาทันที
“อุ๊ย...มันมานั่นไงคะ เราจะทำอะไรกับมันดีคะ”
“ปล่อยมัน” สุพัฒนาบอก
บัวเกี๋ยงงง “อ้าว...ถ้าปล่อยมันแล้วเราจะมาเฝ้ามันทำไมคะ”
“เลิกถามซะทีได้ไหม”
สุพัฒนาตวาด บัวเกี๋ยงถึงกับจ๋อย
แล้วทั้งสองก็เห็นนริศราเดินออกมาจากสำนักงานแล้วก็ขับรถออกไป สักพักภูชิชย์กับนิพนธ์ก็เดินออกมาแล้วแยกย้ายกันไป
สุพัฒนาพูดกับบัวเกี๋ยง
“บัวเกี๋ยง เดี๋ยวแกคอยดูอยู่ด้านหน้านะ ถ้ามีใครมาก็เข้าไปเรียกฉันด้วย”
“แหม...เย็นเลิกงานแบบนี้ใครจะมาคะ”
“เออน่า....กันไว้ก่อน”
“แล้วคุณเล็กจะเข้าไปทำอะไรคะ บัวเกี๋ยงยังไม่รู้เลย” บัวเกี๋ยงถาม
“ฉันจะเข้าไปทำให้นังนิดมันกระเด็นไปจากที่นี่น่ะสิ”
“ทำไงคะ” บัวเกี๋ยงถามต่อ
“เซ้าซี้จริง บอกไปคนโง่ไม่เคยทำงานดีๆอย่างแกก็ไม่รู้เรื่องหรอก รำคาญ”
พูดจบสุพัฒนาก็เดินเข้าสำนักงานไป บัวเกี๋ยงมองตามแล้วเบ้ปากไล่หลังทันที
ประตูสำนักงานเปิดออก สุพัฒนาเดินเข้ามาแล้วดึงกุญแจที่ใช้ไขประตูออก เธอเดินไปที่โต๊ะของนิพนธ์แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอเครื่องเปิดสุพัฒนาก็เอากุญแจไขลิ้นชักแล้วหยิบ Flash Drive ออกมาเสียบเครื่องเพื่อเปิดไฟล์
สุพัฒนาเริ่มเปิดแฟ้มที่นริศราถือมาวางก่อนหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจ เธอลงมือทำอะไรบางอย่างต่อไป
บัวเกี๋ยงยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าสำนักงานแล้วเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น บัวเกี๋ยงมองเบอร์แล้วกดรับด้วยความไม่เต็มใจ
“ว่าไงพี่ผล.....โอ๊ย...ฉันก็ไม่มีเงินหรอก.....นี่เงินเดือนยังไม่ออกจะเอาที่ไหน”
ทันใดนั้น นิพนธ์ก็เดินมาที่ด้านหลังของบัวเกี๋ยง บัววเกี๋ยงมัวแต่คุยโทรศัพท์จึงไม่ทันเห็น นิพนธ์เดินเข้าสำนักงานไป
“แค่นี้นะ...ไว้เงินออกจะส่งไปให้” บัวเกี๋ยงกดวางสายอย่างอารมณ์เสีย
นิพนธ์เดินมาถึงประตู พอจับลูกบิดแล้วเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อคเขาก็แปลกใจรีบเปิดเข้าทันที เขามองภาพตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
“คุณเล็ก”
จบตอนที่ 8
ติดตามอ่านรักประกาศิต ตอนต่อไป พรุ่งนี้