บ่วง ตอนที่ 8
พนักงานในบริษัทพากันตั้งวงนินทา วรรณศิกากับพัชมนเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อน
“ดูดู๊ คุณศามนทำอะไรไม่คิด ครอบครัวแตกแยกแล้วเห็นไหม”
“คุณศามนอาจจะไม่ได้เริ่มก่อน ผู้หญิงอาจจะมาเองก็ได้” อนุกูลที่ยืนอยู่ด้วยแย้ง
วรรณศิกามองหน้า
“ไม่ต้องมาแก้แทนกันเลย ฮึ...” วรรณศิกาบอกพัชนี “เดี๋ยวตอนกลางวัน เธอชงกาแฟนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณมน”
อนุกูลท่าทางกลุ้มใจ
“คุณรัมภากับเด็กอยู่เรือนใหญ่ คุณศามนอยู่เรือนเล็ก ก็เหมือนแยกกันอยู่น่ะสิ แบบนี้ไม่ดีเลย”
“โฮ้ย ใครจะไปทนได้”
วรรณศิกาพูดอย่างมีอารมณ์ วางกระแทกแก้วน้ำกระฉอกเข้าตาอนุกูล
“เป็นวรรณหน่อยไม่ได้ หย่าไปแล้ว ไม่แค่แยกกันอยู่อย่างนี้หรอก เฮอะ ปัญหาโลกแตก พวกมักมาก ผู้ชายเห็นแก่ตัว”
กลุ่มสาวๆ ข้างๆ ข้างหลังเลื่อนเก้าอี้เข้ามาร่วมวงฟังทันที อนุกูลถอนใจ
“บางครั้งมันก็แค่ผิดพลาด ผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิงหรอก”
พนักงานชายคนหนึ่งเห็นด้วย
“ใช่...จริง”
กลุ่มผู้ชายเข้ามาสนับสนุนอนุกูล วรรณศิกาไม่ชอบใจ
“ไม่เหมือนยังไง เข้าข้างกันน่ะสิไม่ว่า”
“ผู้หญิงเซ็กส์กับความรักเป็นเรื่องเดียวกัน ผู้ชายน่ะคนละเรื่อง เรานอนกับใครก็ได้ โดยไม่ต้องมีความรัก” อนุกูลอธิบาย
“นั่นไง ยอมรับออกมาแล้ว ไอ้ผู้ชายไม่รู้จักรับผิดชอบ”
พนักงานหญิงคนหนึ่งชี้ปราดไปที่พนักงานชาย
“มักง่าย”
ตอนนี้พนักงานหญิงและพนักงานชาย แยกกลุ่มกันชัดเจน อินสุดชีวิต อนุกูลเซ็งๆพยายามอธิบายต่อ
“ผมแค่กำลังจะบอกว่า คุณศามนน่ะรักคุณรัมภาหมือนเดิม แต่ผู้หญิงที่เข้ามาน่ะ ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ คุณรัมภาไม่น่าเสียใจขนาดนั้น”
“นั่น เสียใจก็ผิด ช็อคจนเข้าโรงพยาบาล ทั้งๆที่ถูกนอกใจก็ผิดงั้นสิ ถามหน่อย ถ้าผู้หญิงทำบ้าง พวกคุณจะยอมรับไหม สังคมจะยอมรับไหม”
พนักงานหญิงเห็นด้วย
“ถูก!”
“โอ๊ย พูดไม่รู้เรื่องแล้ว พอจะอธิบาย ก็ไม่ยอมฟังเอะอะก็ด่าๆๆ บ่นๆๆๆ เคยเข้าใจกันบ้างไหม” อนุกูลบ่น
พนักงานชายเห็นด้วย
“ใช่!”
“ไม่...ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ยิ่งพูดยิ่งของขึ้น ทนไม่ไหวแล้วโว้ยๆๆๆไอ้พวกเห็นแก่ตัว”
“อืม สาดมาเลยดีกว่าไหม”
วรรณศิกาเห็นอนุกูลท้าทายก็สาดน้ำใส่ อนุกูลกับพนักงานชายกระโดดหลบวงแตก พัชนีตกใจเข้าไปห้าม
“พี่วรรณ!”
“ไล่ออกเลยสิ ทำงานให้พวกผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างคุณอย่างคุณมน ไม่อยากทำเหมือนกันโว้ย”พนักงานหญิงเชียกันลั่น
“เย้ๆ พี่วรรณชนะเลิศ”
วรรณศิกาสะบัดแล้วเดินจากไป พัชนีต้องเดินตาม พนักงานหญิงชี้หน้าพนักงานชายที่เป็นแฟน
“พยักหน้าหงึกหงักเชียว เข้าใจกัน เป็นคนแบบเดียวกันใช่ไหม ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ”
ทั้งก๊วนก็สะบัดหน้าพรืดเดินตามวรรณศิกากับพัชนีไป พนักงานชายหน้าเหวอ
“เอ๊า...ผมไปเกี่ยวอะไรด้วย”
อนุกูลเซ็งมาก
“โฮ้ย...ผู้หญิงสมัยนี้แรงส์ ยิ่งแรงส์ ยิ่งเจ๋ง ว่างั้น เฮ้อ”
วันต่อมา...เดือนแรมและดีดี้ขนอาหารมาเหมือนเคย คำ หล้า บุญสืบเดินออกมาต้อนรับ เดือน
แรมมองอย่างแปลกใจ
“เอ๊า ทำไมบ้านเงียบจัง”
“มันเงียบเพราะมีอีตัวมาร มาทำลายครอบครัวเขาน่ะสิ” หล้าด่า
ดีดี้สะดุ้งหันไปถามเดือนแรม
“อุ๊ยเขาว่าใคร ฟังคุ้นๆ”
“อ๋อ เขาว่าเรา!”
เดือนแรมกับดีดี้หัวเราะกันไม่มีความละอาย
“ฮะฮะฮ่า”
หล้ามองเหยียด
“โห...ศีลธรรม...ความละอายแก่ใจไม่มีสักนิด”
เดือนแรมเชิดไม่สน
“ฉันไม่เกี่ยวสักหน่อย เขาไม่ได้รักกันแล้ว ไม่ได้นอนกันตั้งนานแล้ว ถึงยังไงก็ต้องเลิกกัน รถของคุณรัมภาจอดอยู่เรือนใหญ่ แสดงว่าย้ายไปอยู่เรือนใหญ่ใช่ไหม โถ...จะไปทั้งทีไปแค่เนี้ย แล้วเอาลูกไปด้วยไหม”
บุญสืบโกรธจี๊ด
“หนอย...ทนไม่ไหวแล้ว”
บุญสืบจะเข้าไปเล่นงานเดือนแรม คำส่งเสียงดุ
“ไอ้บุญสืบ”
“แม่ ก็ฉันทนไม่ไหว”
“ไม่ได้จะห้าม แต่งงานนี้ข้าจะขอ...”
คำตบหน้าเดือนแรมเปรี้ยง!
“นี่แน่ะ !”
เดือนแรมโกรธมาก
“อีคำ นี่มึงกล้ากับกูหรือ คอยดูนะ กูป็นนายผู้หญิงของบ้านนี้เมื่อไหร่จะไล่ออกให้หมด”
หล้าไม่กลัว
“โฮ้ย...แกมีเงินคนเดียวหรือไง งานทำมีเยอะแยะไป รับใช้โสเภณีอย่างแก พวกฉันไปทำงานเลี้ยงวัว เลี้ยงควายที่บ้านนอก ยังสะอาดกว่า”
“อ๊าย”
เดือนแรมโกรธตัวสั่น ชี้หน้าจะเข้าไปตบ บุญสืบเข้าขวางเสียงเข้มแมนมาก
“มาสิ...เอ็งตบพ่อแม่ข้าเมื่อไหร่ ข้าขอคืนทีเดียว เอ็งไม่สลบ อย่ามาเรียกกูว่ากะเทย”
เดือนแรมมองมือ มองตัวบุญสืบแล้วรีบถอยไปกับดีดี้
“ไอ้บุญสืบ !”
ดีดี้หวาดๆ
“ไปเหอะ ไหนๆเราก็แค่จะดูเขาแค่นั้น ก็รู้แล้วนี่ ว่าเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน วันนี้แค่นี้ก่อน ไปเร็ว”
ดีดี้วางของแล้วลากเดือนแรมกลับไป เดือนแรมชี้หน้า ยกเท้าให้ แต่ก็ล่าถอยตามดีดี้ไป
เดือนแรมกับดีดี้ เดินกลับออกมาเจอศามนกำลังจะเข้าบ้าน
“คอยดู จะฟ้องคุณศามนให้หมดเลย อีพวกคนใช้”
“นั่น…นั่นมาแล้ว”
เดือนแรมรีบไปเกาะแขนศามน
“คุณมน พวกคนของคุณมันจะตบเดือน เดือนก็เป็นเมียคุณคนหนึ่งนะ มันทำแบบนี้กับเดือน คุณต้องเอาเรื่องมันนะคะ”
ศามนมองเดือนแรมอย่างเย็นชา
“ทีหลังคุณอย่ามาที่นี่อีกเลยนะ”
เดือนแรมอึ้งตะลึง
“คุณมน !”
ดีดี้พึมพำคนเดียว
‘เอาแล้วไง ตัวใครตัวมันล่ะทีนี้’
“เรื่องวันก่อน ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
ศามนแกะมือออกแล้วเดินต่อ เดือนแรมช็อค กรี๊ดลั่น
“อ๊าย...คุณมน เดี๋ยวสิคะ คุณทำแบบนี้กับเดือนไม่ได้นะคะ...นี่มันอะไรกัน มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
เดือนแรมเซ็งไม่เป็นไปตามแผน
เดือนแรมเดินมาถึงบ้านปัดข้าวของลงพื้นดังเคร้ง อารมณ์เสีย
“หนอย...อีเมียหลวงจืดชืดพรรค์นั้นมีอะไรดี โง่ๆๆ”
แพงพุ่งเข้ามาในห้องดลใจเดือนแรมต่อไป
“ใจเย็นๆ คุณศามนของเอ็งเขาแค่ละอายแก่ใจ แค่มโนธรรมชั้นตื้นๆเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”
เดือนแรมนึกๆ
“หรือว่าเขาจะละอายแก่ใจขึ้นมา”
“อีนังเมียหลวง มันย้ายหนีออกไปแล้ว แค่นี้ก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
เดือนคิดอะไรได้
“อีนังรัมภามันย้ายหนีไปแล้ว เดี๋ยวคุณศามนก็ต้องกลับมาหาเรา เราต้องใจเย็นอีกหน่อย สงครามระหว่างเมียหลวงเมียน้อย มันไม่จบง่ายๆหรอก มันตั้งอยู่คู่กับโลกใบนี้ไปจนกว่าโลกจะแตกนั่นแหละ”
“ต่อไป ข้าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ความโง่ของผู้หญิงเก่งอย่างนังรัมภา มันจะทำตัวของมันเอง”
“ผู้หญิงอย่างนังนั่น มันเป็นสาวมั่น มันถือว่ามันสวย มันสาว มันมีความรู้ มันไม่แคร์ผู้ชาย แล้วไง ไม่ขึ้นคาน ก็เป็นแม่หม้ายทุกรายเฮอะ”
“ไม่เหมือนเรา คนอย่างเรา อย่างเอ็งอย่างข้า มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เราเดิมพันเอาผู้ชายด้วยชีวิตทั้งชีวิต เราไม่แคร์โลก ไม่แคร์ใคร คนอย่างเราต่างหากที่จะได้เป็นเจ้าของผู้ชายดีๆ อย่างคุณศามน”
แพงดลใจจนเดือนแรม รู้สึกดีขึ้น ทั้งสองยิ้มร้าย
รัมภาเอารถมาจอดหน้าเรือนใหญ่ ไปรับเด็กๆด้วยตัวเอง หล้ามารับของ ศามนเดินมาต้อนรับ เด็กๆดีใจวิ่งเข้ามาหาพ่อ ศามนเข้ามากอดเด็กๆ
“คุณพ่อ”
“เป็นไงอยู่เรือนใหญ่สบายไหมลูก”
“ก็สบายดีครับ แล้วทำไมเมื่อคืน คุณพ่อไม่นอนห้องคุณแม่ล่ะ”
ศามนมอง รัมภาที่เดินเลี่ยงเข้าบ้าน ไม่พูดจาด้วย
“เรือนเล็กไม่มีใครดูแลน่ะลูก เดี๋ยวคืนนี้พ่อก็จะมานอนกับคุณแม่ คงไปๆมาๆทั้งเรือนเล็กแล้วก็เรือนใหญ่”
ไลล่าโล่งใจ
“โอเค้...นึกว่าทะเลาะกันเสียอีก”
ศามนยิ้มให้มองตามรัมภา พยายามจะง้อ ไม่รู้สำเร็จไหม
รัมภาและศามนเย็นชาใส่กัน ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยมองหน้ากัน ทั้งหมดกินข้าวเย็นด้วยกัน ศามนพยายามใช้ชีวิตปกติ รัมภาไม่มองหน้าไม่พูดด้วย ต่างคนต่างกินให้เสร็จๆ เด็กๆก็ยังสดใสอยู่ ไม่รู้เรื่อง
รัมภากินยานอนหลับกินแล้วดื่มน้ำตาม เพราะยังเครียด ก่อนจะเข้านอนบนเตียงโดยมี ศามน นอนข้างๆ รัมภาใช้ที่ปิดตา ปิดตานอนหันข้างให้ ศามนถอนใจเซ็ง จำต้องนอนกับคนที่ไม่ยอมพูดกับตน
วันใหม่...ศามนนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้อง มือถือดังขึ้นเขามองชื่อ เห็นคำว่า เดือนแรม ศามนถอนใจ ตัดใจ ไม่รับสายหันไปทำงานต่อ
เดือนแรมแค้นมองมือถือ
“ฮึ...ใจแข็งนักหรือ ไม่เป็นไร คนอย่างอีเดือนแรม ไม่มีงานการอะไรทำ
อยู่แล้ว ฉันจะโทรมันทั้งเช้ากลางวันเย็นอย่างนี้แหล่ะ ไม่ถึงวันของอีเดือนแรมมั่งก็แล้วไป”
เดือนแรมมองมือถือ แล้วกดข้อความ
“ไม่รับสายก็ส่งข้อความ...” เธอเริ่มพิมพ์ “คิดถึง คิดถึง รัก รัก รัก”
เดือนแรมพิมพ์ข้อความบ้าง รูปหัวใจบ้าง
ที่บริษัท... พนักงานแตกตั้งวงกันทุกเที่ยงแบ่งแยกชายหญิงวรรณศิกาเริ่มนินทา
“ฉันเข้าใจคุณรัมภานะ ผู้หญิงที่ไหนมันจะไปทำใจได้ ผู้ชายไปนอนกับผู้หญิงอื่น เห็นคาตาอยู่อย่างงี้”
“แล้วไอ้ผู้หญิงพวกนั้น มันไส้เดือนกิ้งกือหรือไง ถึงต้องทำท่าสกปรกขนาดนั้น”
อนุกูลรำคาญท่าทางเดือดร้อนจริงจังของวรรณศิกา เธอมองเขาตาขวาง พัชนีรีบเข้าขวางกลางเก็บแก้วน้ำ ไม่ต้องการให้เหมือนคราวที่แล้ว
“เอ้อ เอาน้ำออกก่อนนะคะ”
“มันก็เหมือนเราต้องไปใช้แปรงสีฟันกับคนอื่นไง มันขยะแขยง ไอ้ผู้ชายสกปรกน่าขยะแขยง อย่าให้รู้นะว่าไอ้อ้วนของฉันนอกใจฉัน ฉันไม่ใจเย็นเหมือนคุณภาแน่”
“แล้วที่ทำตัวเย็นชาห่างเหินนี่ มันแก้ปัญหาตรงไหนไม่ทราบ...โอเค ยอมรับก็ได้ ผู้ชายมันไม่ได้มีสมองนักหรอกนะ ก้นถึงฟากปากถึงข้าว มันคิดแค่นี้ ตรงไหนมันสบาย มันก็อยู่ ตรงไหนมันไม่สบายมันก็ไม่อยู่”
“แปลว่าอะไร จะให้ผู้หญิงเราอดทน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตากหน้าให้อภัยทั้งๆที่ใจยังเจ็บอยู่อย่างนั้นหรือ ไอ้ผู้ชายเห็นแก่ตัว”
“ไม่ได้บอกให้อดทน แต่บอกว่าให้รู้จักให้อภัยกันบ้าง ผิดแค่ครั้งเดียวลงโทษมันทั้งชีวิตแบบเนี้ย ใครมันจะไปทนได้”
“งั้นก็ต้องเข้าใจเราบ้างสิ ก่อนที่จะทำ ทำไมไม่คิด พอทำไปแล้วก็มาหวังว่าผู้หญิงต้องให้อภัย มีแต่พูดเอาแต่ได้ทั้งนั้น ไม่กงไม่กินมันแล้วโว้ย”
วรรณศิกาโยนจานข้าวเปล่า เข้าไปกลางวง กลุ่มอนุกูลวงแตกอีกข้าวกระจาย พัชนีมองจานข้าวเสียดาย
“เอ๊าเก็บน้ำ แต่ลืมเก็บข้าว”
“พวกเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น”
ขาดคำพนักงานหญิง โยนจานข้าวอีก พัชนีพุ่งไปจะแย่งแต่ไม่ทัน พนักงานชายทั้งหลายร้องฮือ แล้ววงแตก พนักงานหญิงมองแฟนตนเอง
“ยิ่งฟังยิ่งเกลียด คืนนี้ไม่ต้องมาที่ห้องแล้วนะ จะไปไหนก็ไป”
พัชนีเห็นจานข้าวแล้วพุ่งไป แต่พนักงานหญิงอีกคนหยิบมาโยนเปรี้ยงเสียก่อน วงที่สองแตก พนักงานหญิงคนนั้นสะบัดหนีไป พนักงานหญิงอีกคนโวยวายบ้าง
“ฮึ่ย ขนาดดีๆ รักเมียอย่างคุณศามนยังเป็นไปได้ ของเราจะเหลือเรอะ ยิ่งคิดยิ่งแค้น”
พัชนีจะคว้าจานข้าว แต่พนักงานหญิงคนนั้นหยิบถึงก่อน เขวี้ยง ผู้ชายวงที่สามแตกฮือ เพื่อนๆหญิงทั้งหลายอาละวาดกันคนละทีสองที โดยมีพัชนีเด็กดีสาละวนวุ่นวายคอยเก็บจานข้าวพุ่งไปตรงนั้นตรงนี้แต่ไม่เคยทัน สาวๆทั้งหลายยกเว้นพัชนี อารมณ์เสียเดินหายไป อนุกูลบ่นอุบ
“เออ ดี...วีน เหวี่ยงเข้าไป โฮ้ย...แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นมาแม่คู้น”
ศามนออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะแต่งตัวไปทำงาน…
“คุณ...น้ำยาโกนหนวดผมหมดแล้ว อย่าลืมซื้อให้ด้วยนะ”
รัมภายังอยู่บนเตียงในชุดนอน ยังไม่ลุกแต่นอนไม่หลับอยู่แล้วเธอนอนเล่นอยู่บนเตียงหันหลังให้ ไม่สน ทำเป็นไม่ได้ยิน ศามนเห็นอาการก็ถอนใจกลุ้ม
ทั้งหมดทานอาหารเช้าด้วยกันเด็กๆ เตรียมไปโรงเรียน ศามนบ่นกับรัมภา ขณะหยิบกระปุกเนยถั่วมาเปิด ทาขนมปัง
“เนยถั่วหมด มีคุณรู้อยู่คนเดียวว่าผมต้องกินต้องใช้อะไร เมื่อก่อน ผมไม่เคยต้องถาม ทุกอย่างคุณจะตรวจดูให้ผม ตอนนี้ จะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วใช่ไหม”
รัมภากินต่อ ทำเป็นไม่ได้ยินอีก เด็กแฝดมองตาแป๋ว บุญสืบที่ยืนดูแลอยู่ ตอบให้แทน
“เอ้อ ผมไปซื้อให้เอง ว่าแต่ไอ้เนยถั่วนี่ มันถั่วลิสงหรือถั่วปากอ้าครับ”
ศามนมองหน้า บุญสืบจ๋อยไป รัมภาที่โมโหคุกรุ่นอยู่ หยิบมือถือศามนมาชูให้ดู พร้อมกด
“ในมือถือคุณ มีแต่ข้อความจากผู้หญิงคนนั้น มีแต่คำว่ารัก คำว่าคิดถึง ภาษาไทยคงจำได้แค่นี้ ถึงเขียนเป็นแค่นี้”
ศามนพลอยโมโหลืมตัวไปด้วย ทั้งสองเสียงดังมากขึ้น
“คุณแอบดูมือถือผม คุณระแวงผม”
“ถ้าคุณยังไม่เลิกติดต่อกัน ก็อย่าหวังว่าฉันจะเป็นเหมือนเดิม”
รัมภาหัวเสียลุกจากโต๊ะไปก่อน ศามนมองเด็กๆแล้วลุกตาม รัสตี้กับไลล่าหันมากระซิบกันหน้าตากังวล
“พ่อกับแม่ทะเลาะกันจริงๆนี่นา”
รัมภาเดินมาสงบสติอารมณ์ ศามนเดินมา ทั้งสองเสียงดังมากกว่าเมื่อครู่อีก กลายเป็นการทะเลาะกันเต็มรูปแบบ
“ผมไม่ได้ติดต่อเขา เขาเป็นคนติดต่อมา ผมจะห้ามเขาได้ยังไง”
“เมื่อคืนคุณกลับดึก”
“ผมมีประชุม”
“ฉันโทรถามคุณวรรณ เขาบอกว่าไม่มี”
“ประชุมทางไกลทางอินเตอร์เน็ต คุณวรรณเขาจะไปรู้เรื่องอะไร”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณไม่โกหก เมื่อก่อนฉันมันโง่ ปล่อยให้คุณกับเขามาสวมเขาฉันถึงในบ้าน ฉันจะไม่โง่อีกต่อไปแล้ว”
“ก่อนหน้านั้น ผมไม่เคยมีอะไรกับเขา เพิ่งครั้งนั้น แค่ครั้งเดียว”
“ฉันไม่เชื่อ คนอื่นเขาคงหัวเราะเยาะฉันกันหมด เขาหัวเราะเยาะฉันมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สามีเอาผู้หญิงอื่นมานอนที่บ้าน ที่เตียง แถมยังใส่เสื้อผ้าของฉันฉันโง่ดักดานไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว”
“สิ่งที่มันกำลังทำร้ายคุณไม่ใช่ผม แต่เป็นจินตนาการของตัวคุณเอง”
“ฉันพยายามทำหน้าที่ของฉัน เพื่อคุณ เพื่อลูก เพื่อบ้าน ทุกวันเหนื่อยแค่ไหนแล้วดูคุณสิ กับผู้หญิงชั้นต่ำอย่างนั้น คุณคบเขาทำไม เขาดีกว่าฉันตรงไหน คนมักง่าย”
“บางที เพราะคุณมันเลิศเลอเพอร์เฟ็คไปมั้ง”
รัมภาชะงัก
“คุณมน”
“คิดว่าตัวเองแน่ คิดว่าตัวเองถูก ความเป็นเพศอ่อนแอ มันทำให้คุณถูกเสมองั้นหรือ”
“ทำผิดแล้วอย่ามาโทษคนอื่น”
“ถามจริงๆ คุณทำหน้าที่ภรรยาได้ดีแล้วหรือ คุณใส่ใจผมจริงๆหรือ คุณเข้าใจผมจริงๆหรือ และคำถามสุดท้าย...คุณรักผมจริงๆหรือเปล่า ถ้าแค่นี้อภัยให้ไม่ได้ ชีวิตเราก็จะเดินไปจากตรงนี้ไม่ได้ อยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ตามใจ”
ศามนโกรธจริงๆ พูดเสร็จ ส่งสายตาเย็นชามาหา รัมภาตกใจเมื่อเขาเดินจากไป
“คุณมน !”
รัมภาแทบกรี๊ดออกมา มือกำกันแน่น ร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง
พนักงานชายหญิงในโรงงาน รวมตัวกัน ถกปัญหา ซึ่งเป็นประเด็นสอดคล้องกับเรื่องของศามนกับรัมภา
“ขอเคลียร์กันเลยนะ พวกเราทุกคนทนไม่ไหวแล้ว เรื่องระแวง ข้อหนึ่ง จับผิดข้อสอง เมื่อไหร่จะเลิก” อนุกูลเริ่มขึ้นก่อน
พนักงานชายเห็นด้วย
“ใช่”
“เอ้อ...เอาข้าว เอาน้ำออกก่อนนะคะ ไอ้นี่ด้วย เอาแบบโต๊ะว่างๆ ดีกว่านะ”
พัชนีรีบเก็บของที่อยู่บนโต๊ะจนว่าง วรรณศิกามองหน้าอนุกูล
“ถ้าทำตัวดีๆ มีใครเขาอยากจับผิดบ้าง มันมีประวัติทั้งนั้นแหล่ะ”
“ความมั่นใจในตัวเองของพวกคุณหายไปไหนหมด ไหนว่าเริ่ด ไหนว่าเชิด แคร์ทำไม”
“เอ๊า...ก็พวกแกหลอกฉันสำเร็จแล้วนี่ ถ้ารู้ก่อน พวกฉันก็ไม่เอาเหมือนกันแหล่ะ อีตอนโปรโมชั่น ก็มาทำเป็นดี ทำเป็นรักเราคนเดียว สัญญานั่นนี่ สัจจะน่ะ เคยมีไหม”
“พวกผู้หญิงก็มีหมดโปรเหมือนกันนะ พอแต่งปุ๊บ อ้วน แก่ ปากมาก ขี้บ่น ขี้เกียจ จะนอนกันทีแทบจะต้องจุดธูปไหว้ หน้าที่พวกนี้ ไม่นับงั้นสิ”
วรรณศิกาโกรธตวาดลั่น
“คุณว่าฉันแก่หรือ”
อนุกูลสะดุ้งโหยง พนักงานหญิงเริ่มเข้ามาด่าสามีที่เป็นพนักงานชาย
“แกไปฟ้องคุณนุว่าฉันอ้วนใช่ไหม”
“ไอ้พล...ฉันปากมาก ก็เพราะแกมันเฮงซวย”
พนักงานหญิงสองคนเข้าไปตบหัวสามีเปรี้ยง
“ก็เมื่อคืนมันเหนื่อย แค่ขอหยุดวันสองวัน ต้องแฉด้วยหรือ ทนไม่ไหวแล้วโว้ย”
พนักงานหญิงอีกคนพูดเสร็จก็เอาแจกันดอกไม้ขึ้นมาเขวี้ยง ซึ่งจังหวะเดียวกับที่อนุกูลเข้าไปห้ามทำให้โดนแจกันดอกไม้เขวี้ยงใส่หัว ตรงหน้าผากเข้าไปเต็มๆ
“นี่อย่า โอ๊ย !”
วรรณศิกาตะโกนลั่น
“เฮ้ย เจ้านายหัวแตก”
สิ้นเสียงประกาศ ทุกคนวิ่งหายวับไป คนละทิศละทางในทันใด เหลือแต่พัชนีที่ยืนกับอนุกูล เข้าไปดูแล
“คุณนุ ตายแล้ว เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
อนุกูลเซ็งเลย
“โอ้โห หายวับราวกับถูกเสก เออ...ดีแฮะ”
พัชนีทำแผลล้างแผลให้ อนุกูลยังบ่น อารมณ์เสีย
“โฮ้ยพูดไม่รู้เรื่อง อีตอนรักกันมันก็พูดภาษาเดียวกัน ตอนแต่งงานกันนับวันยิ่งพูดกันคนละภาษา”
“เฮ้อ...ยิ่งฟังยิ่งปวดหัว การแต่งงานนี่ดูน่ากลัวจังนะคะ”
“กลัวหรือ”
“คุณไม่กลัวหรือ พี่วรรณ เขาพูดบ่อยๆว่าคุณก็กลัวก็เลยเลือกเป็นโสดอยู่อย่างนี้”
พัชนีก้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อทำแผล อนุกูลมองตาค้างไป แล้วพูดแบบมีนัย
“อย่าเพิ่งกลัวสิ เดี๋ยวคนที่คิดจะจีบคุณก็ใจเสียแย่”
“คนที่คิดจะจีบฉันมีที่ไหนกัน”
อนุกูลมองยิ้มๆ พัชนีหวาดๆ
“มองอะไรคะ”
อนุกูล ยักไหล่ไม่ตอบ
“ขอบใจนะ โชคดี แค่แผลเล็กๆ แต่ไอ้พวกผู้ชายลูกน้องผม สงสัยมีผ่าตัดใหญ่ เฮ้อ”
พัชนีหัวเราะ
อ่านต่อหน้า 2
บ่วง ตอนที่ 8 (ต่อ)
เด็กแฝดนั่งด้วยกัน ปะปนกับเด็กนักเรียนอื่นที่กำลังทำงานบนโต๊ะ แต่ทั้งรัสตี้และไลล่าดูซึมไป ด้วยเรื่องครอบครัว ดูเศร้าๆ ครูเดินเข้ามาถาม
“รัสตี้ การบ้านอยู่ไหนคะ ครูไม่เห็นเลย”
รัสตี้หยิบมาจากเป้ แล้วส่งให้ครูหน้าเศร้าเพราะลืมทำ ครูเปิดดู
“ยังไม่ได้ทำนี่ ครูบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ให้ทำที่บ้านไงคะ”
รัสตี้ก้มหน้า
“นั่งทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ เอ้าคนอื่นวาดรูปเสร็จหรือยัง ชั่วโมงหนึ่งแล้วส่งได้แล้วค่ะ”
ครูหันมาเห็นไลล่ายังไม่ได้ทำงานตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ไลล่าดูเหม่อๆ
“ไลล่า นี่ยังไม่ได้เริ่มเลยหรือคะ แล้วนั่งทำอะไรตั้งนาน นี่วิชาโปรดของหนูไม่ใช่หรือ”
ไลล่าเริ่มทำงานวาดรูปแบบจำใจอมทุกข์
เย็นนั้น รัมภานั่งร้องไห้ โทรระบายให้พัชนีฟัง
“ฉันโตที่เมืองนอก สำหรับคนไทยในต่างแดน เราไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ฉันไม่รู้จะระบายกับใครจริงๆ”
พัชนีคุยโทรกับรัมภา หลังเลิกจากงาน
“พัชยินดีฟังทุกเรื่องค่ะ ตอนนี้เลิกงานแล้ว เล่ามาเถอะ ตอนนี้คุณภารู้สึกยังไงบ้างคะ”
“ฉัน...ฉันเหมือนอยู่ในบ้านที่ร้อนเป็นไฟ อยากจะหนี แต่ก็...ไม่มีประตูทางออก ต้องทนอยู่อย่างร้อนๆต่อไป”
“มันเป็นยังไงคะ”
“ฉันนึกถึงตอนเราแต่งงานกันใหม่ๆ เราไปพักผ่อนกันที่กระท่อมบนภูเขาเวลานั้น เรามีความสุขมาก...”
รัมภานึกถึงอดีตที่หวานชื่นในกระท่อมบนภูเขาที่ต่างประเทศ เธอกับศามนนอนกอดกันผิงไฟกันบนพรม พูดคุยและหอมแก้ม บรรยากาศความรัก อบอุ่น
“...แล้วจู่ๆ ก็เกิดพายุหิมะ...อาหารและน้ำมีจำกัด สัญญาณโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เวลานั้น ฉันกลัวมากแต่คุณศามน ยังใจเย็น เขาออกไปขออาหาร ขอน้ำ ตอนนั้น ฉันตัดสินใจฝากชีวิตและทุกอย่างไว้กับผู้ชายคนนี้ คุณพัชนึกออกไหมคะ ผู้หญิงที่แต่งงานเร็ว เลี้ยงลูกอย่างเดียว มันเป็นยังไง...ไม่มีงาน ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ชีวิตทั้งหมด เป็นของสามีและลูกเท่านั้น”
พัชนีคิดตาม
“เวลานี้ พอคุณมีปัญหากับคุณศามน ก็เหมือนคุณต้องอยู่ในบ้านที่ลุกเป็นไฟ”
“และฉันมองไม่เห็นประตูทางออก เพราะตลอดเวลา ฉันพึ่งแต่เขาเท่านั้น ฉันไม่รู้วิธีที่จะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกโดยไม่มีเขา ฉันทำไม่เป็น”
“เฮ้อ...สำหรับผู้ชาย มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่สำหรับผู้หญิงมันคือความทุกข์ ตลอดชีวิตแบบนี้นี่เอง”
รัมภาร้องไห้โฮออกมา บุญสืบกำลังถือโทรศัพท์บ้านจะมาให้รัมภา แต่เห็นรัมภากำลังคุยมือถือร้องไห้ก็เลยบอกไปในโทรศัพท์
“คุณครูหรือครับ คุณรัมภาติดสายครับ มีอะไรฝากไว้ได้ไหมครับ”
บุญสืบเดินออกไป โดยที่รัมภาไม่รู้...บุญสืบถือโทรศัพท์ คุยกับครู
“หลายวันนี้ หนูรัสตี้ ไม่ได้ทำการบ้านมาจากที่บ้านเลย ฝากกำชับทางบ้านให้กวดขันด้วยนะคะ”
“อ๋อ...ครับๆ”
รัมภาวางโทรศัพท์ไปแล้วเดินมากินยา บุญสืบเดินไปดู ตั้งใจจะมาบอกเรื่องเด็ก รัมภาเอายาใส่ปากดื่มน้ำแล้วหันมาเห็น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ้อ คุณผู้หญิงไม่สบายหรือครับ”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย ปวดหัว ปวดตัวไปหมด กะว่าจะขอนอนสักงีบ จะหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอหรือว่าต้องกินเพิ่มขึ้น”
รัมภาเปิดขวดยาออกมากินเพิ่มอีก สองเม็ด บุญสืบมองตามเป็นห่วง
“หรือว่าต้องลองเปลี่ยนยี่ห้อ...เฮ้อ”
รัมภาเดินไปจะไปห้อง บุญสืบจะบอก แต่เธอไปแล้วไม่มีเวลาสำหรับการใส่ใจเรื่องลูก
“เอ้อ...คุณผู้หญิง...เฮ้อ”
หลังจากที่กลับจากโรงเรียนโดยรถโรงเรียนมาส่ง เด็กๆ รัสตี้กับไลล่า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเสร็จ เดินออกมา บุญสืบคอยดูแล
“คุณรัสตี้ วันนี้มีการบ้านอะไรบ้าง เอาออกมาทำกันดีไหมครับ”
“ไลล่า มีสองชิ้น”
“อ่ะ...งั้นเอาออกมาทำเลย”
ไลล่าเปิดเป้หยิบสมุด หล้าเดินยกถาดน้ำกับของว่างมา
“น้ำกับขนมมาแล้วจ้า”
บุญสืบหันไปหารัสตี้
“คุณรัสตี้ก็เหมือนกัน ไหนลองดูในเป้ซิ ว่ามีการบ้านอะไรบ้าง”
รัสตี้เปิดเป้ แล้วโวยวาย พร้อมทำท่าตกใจสุดตัว
“เฮ้ย !”
“อะไรหรือ”
“มือ...รัสตี้เห็นมือใครไม่รู้อยู่ในนั้น”
รัสตี้เริ่มกลับไปเป็นเด็กโกหก มีจิตนาการสูงเกินอีกครั้ง เล่นละครแนบเนียนจนไม่รู้ว่าผีจริงหรือผีปลอม
“มืออะไรที่ไหน ไปอยู่ในเป้ ไม่มีหรอกครับ”
“มีครับ มีจริงๆ”
“เหลวไหล ฟังนะคุณรัสตี้ ผีไม่มีจริงในโลกรู้ไหมครับ คนกลัวผีน่ะเป็นคนจิตใจอ่อนแอ เราต้องไม่เป็นคนอย่างนั้นรู้ไหมครับ...พ่อ มาดูทีเด๊ะ” บุญสืบพูดเสียงดังฟังชัด จริงๆกลัวแต่ทำปากเก่ง
“แหม...กลัวผีเป็นคนอ่อนแอ ตัวเองเข้มแข็งก็มาดูเองเด่ะ...” หล้าเปิดเป้ออกดูแล้วสะดุ้ง “เฮ้ย !”
บุญสืบบ้าจี้ สะดุ้งแล้วลงไปมุดที่มุมห้อง แต๋วแตกทันที
“เฮ้ยๆๆๆ ผีๆๆๆ”
หล้ายังทำเสียงตกใจอยู่
“หนังสือนี่ หนังสือทั้งนั้นเลย”
บุญสืบแทบกรี๊ด โดนพ่อแกล้ง
“หนอย มุขแยะนักนะพ่อ แกล้งกันนี่นา”
หล้าหัวเราะ ไลล่าหันไปว่ารัสตี้
“รัสตี้ นิสัยไม่ดี รัสตี้โกหก รัสตี้ต้องไปหาหมอ”
บุญสืบเซ็ง
“โดนทั้งเด็กทั้งคนแก่หลอก ไปช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า คุณหนูสองคนทำการบ้านให้เสร็จนะ เดี๋ยวบุญสืบจะมาดู”
บุญสืบออกไป หล้าออกตามแล้วปิดประตูห้อง รัสตี้วิ่งมาล็อกประตู หน้าตารัสตี้ยังดูนิ่งเฉย จนไม่รู้ว่าผีจริงหรือผีปลอม นั่นยิ่งสั่นประสาทไลล่ามากขึ้น
“ผี ผี ผีอยู่ในตู้ มันหนีไปอยู่ใต้เตียงแล้ว”
“นี่ หยุดนะรัสตี้ หยุด”
“มีผีอยู่ใต้เตียงจริงๆ ดูสิดู”
ไลล่ากรี๊ด
“ไม่...ไม่”
หล้ากับบุญสืบ วิ่งกลับมาที่หน้าห้องเด็กใหม่ เพราะได้ยินเสียงไลล่า
“เสียงคุณหนูนี่”
หล้าร้อนใจ
“ร้องผีๆ อีกแล้ว เปิดประตูเร็ว”
บุญสืบจะเปิดแต่เปิดไม่ออก
“คุณหนู ล็อกห้องทำไมครับ เปิดประตูหน่อยคุณหนู”
รัสตี้แกล้งไลล่าต่อเพราะมาว่าตนเมื่อครู่
“นั่นๆ ผีลอยออกมาอยู่เหนือหัวไลล่าแล้ว ดูสิ...ดู”
ไลล่าปิดหู ก้มหน้ามุดผ้าห่มเริ่มกลัว ร้องดังลั่นกระทืบเท้าเร่าๆ
“อ๊าย...ไม่ ไม่...หม่ามี้ หม่ามี้ ช่วยด้วย !”
เสียงร้องกรี๊ดๆของไลล่าดังลั่น รัมภายังหลับอยู่ไม่ได้ยิน...บุญสืบกับหล้าพยายามเปิดประตู คำวิ่งมาหา
“นี่อะไรกัน...คุณหนูกรี๊ดทำไม”
“คุณหนู เปิดหน่อยครับ เปิดๆ”
รัสตี้ชี้มือไป นิ้วมือแสดงการลอยของผี พร้อมทำเสียงต่ำๆ
“ผี...ผี ลอยขึ้น...ลอยขึ้นไปอยู่บนเพดานแล้ว”
ไลล่ากรี๊ดต่อ
“อ๊าย...หยุด...หยุด...ช่วยด้วย...แดดดี้...หม่ามี้...ช่วยไลล่าด้วย”
คำร้อนใจ
“โฮ้ยทำอะไรสักอย่างสิ”
บุญสืบนึกได้
“ไปเอาของก่อน”
หล้ามองหน้า
“กุญแจสำรอง”
“ข้าวสารเสก”
คำตบหัวบุญสืบเปรี้ยง
“นี่แน่ะ ! ข้าไปเอากุญแจสำรองมาก่อน”
คำวิ่งออกไป ไลล่ายังร้องลั่น
“ช่วยด้วยๆ”
บุญสืบร้อนใจมาก
“ไม่ทันแล้ว ต้องใช้แรงควาย”
หล้างงๆ
“แล้วจะเอาควายมาจากที่ไหน”
“ก็ฉันนี่แหละ”
บุญสืบออกแรงกระแทกประตู
“ฮึ่ย...ฮึ่ย”
“ถ้าเอ็งเป็นควาย ข้าก็พ่อควายล่ะ มาช่วยกัน” หล้าช่วยดันอีกคน “ฮึ่ย...ฮึ่ย”
“โฮ้ย...เหนื่อยจริง เอาใหม่”
บุญสืบเดินถอยออกมาจากประตูสองสามก้าว หล้าเอาด้วย กะจะวิ่งแล้วพุ่งชนประตูพร้อมกัน
“พอนับหนึ่งถึงสามนะ ลุยเลยนะพ่อ 1 2 3”
ทั้งสองพุ่งเข้าไปกะว่าโดนประตูแน่ แต่แล้ว รัสตี้เปิดประตูออก ร่างของทั้งสองถลาผ่านประตูเข้าไปเป็นทางยาว แล้วกระแทกเข้าข้างฝาอีกด้านหนึ่ง
“โอ๊ยๆๆๆ”
หล้ากับบุญสืบลงไปนั่งโอดโอยที่พื้น รัสตี้หัวเราะขำ คำเพิ่งได้กุญแจมา เดินเข้ามาในห้อง
“คุณหนู นี่คุณหนูโกหกสร้างเรื่องหรือคะ”
“ฮือ...ช่วยด้วย ไลล่ากลัว”
ไลล่าวิ่งเข้ามากอดคำ ยังร้องไห้ไม่หยุด คำหันไปดุรัสตี้
“ทำไมแกล้งน้อง แกล้งคนอื่นแบบนี้ ใช้ไม่ได้รู้ตัวไหมคะ”
รัสตี้ทำสีหน้าเหมือนเด็กเกเร ยักไหล่ไม่แคร์ หล้ากับบุญสืบยังโอดโอยเจ็บอยู่
บุญสืบกับหล้าทายากันอยู่ คำก็อยู่ด้วย ต่างก็กลุ้มอกกลุ้มใจ
“โฮ้ย...เขียวไปครึ่งซีกเลยกู” หล้าบ่นอุบ
บุญสืบแปลกใจ
“คุณรัสตี้ แกเลิกเป็นอย่างนี้ไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”
“หรือว่า เพราะย้ายกลับมาเรือนใหญ่ แกเลยกลับไปเป็นเด็กมีปัญหา ชอบสร้างเรื่องโกหกอีก” หล้าออกความเห็น
คำส่ายหน้าถอนใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าที่เรือนนี้ ถ้าจะมีผี ก็มีแต่ผีปู่ย่าตายาย คอยปกปักรักษา ที่เป็นอย่างนี้ เพราะพ่อแม่นั่นแหล่ะ พ่อแม่มีปัญหา เด็กเลยมีปัญหาไปด้วย”
รัมภายังหลับสนิท คำ หล้าและบุญสืบ แง้มประตูออกดู คุยกันเบาๆ
“คุณหนูไลล่า ร้องดังสามบ้านแปดบ้าน นอนหลับเฉยเลย” หล้าบ่น
“ไม่หลับได้ไง ฉันเห็นกินยานอนหลับเข้าไปตั้งหลายเม็ด” บุญสืบบอก
คำมองรัมภาอย่างสงสาร
“คงเครียดจนนอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับก็กินยา พอกินยาก็ติดยาท่าทางเบลอๆทั้งวันทั้งคืน โถ คุณผู้หญิงของนังคำ เฮ้อ”
ค่ำนั้น...ศามนกับอนุกูล มานั่งดื่มเหล้าดับอารมณ์อยู่ด้วยกัน ศามนกลายเป็นคนเที่ยวไปแล้ว รายล้อมด้วยนักเที่ยวและเสียงดนตรี บรรยากาศคึกคัก
“เมื่อก่อนผมมีบ้านให้กลับ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
อนุกูลตบไหล่เข้าใจ ศามนได้แต่นั่งเศร้า
“ไม่เป็นไรหรอก คนในนี้ ที่มันเต้นเป็นบ้าอยู่นั่น ครึ่งหนึ่ง ก็ไม่มีบ้านให้กลับเหมือนกัน”
เช้าวันใหม่...รัมภาใส่บาตรพระอยู่หน้าบ้านโดยมีคำดูแล...รัมภาเดินเข้ามาในห้องคุณหญิงอบเชย อย่างรู้สึกคิดถึง เดินเข้ามามองในห้อง นั่งลงที่เตียง มองรูปคุณหญิงที่หัวเตียง พูดกับรูป
“คุณแม่ยังอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ วันนี้หนูใส่บาตรให้แล้วนะคะ คุณแม่ขา คุณแม่ยังอยู่กับหนูใช่ไหมคะ ผู้หญิงคนนั้น เขาจะทำอะไรเราไหมคะ”
ควันดำลอยมา แล้วกลายเป็น แพงมองเข้าไปในเรือนใหญ่อาฆาตแค้น
“นังชื่นกลิ่น คุณหลวงเป็นของฉัน แกเห็นหรือยังคุณหลวงรักฉัน ไม่ได้รักแก ฮะฮะฮ่า...อีกหน่อยเขาก็เบื่อแก เขากำลังจะทิ้งแก ตอนนี้ ฉันแค่รอวันให้แกเป็นบ้า เป็นบ้าเหมือนที่ฉันเป็น”
แพงจะพุ่งเข้าไปในบ้าน วิญญาณของคุณหญิงอบเชยปรากฎตัวขวางไว้
“ที่นี่เป็นอาณาเขตของข้า แกไม่มีสิทธิ์เข้า”
คุณหญิงเพ่งมองมา แพงเกิดไฟร้อน ด้วยอำนาจบันดาล แพงร้องกรี๊ดยาว เจ็บปวดวูบหนึ่ง แต่ครู่หนึ่งก็ดีขึ้น เพราะเป็นวิญญาณที่กล้าแข็งกว่า
“เฮอะ ตั้งแต่ลูกแกรู้ความจริง ใส่บาตร ทำบุญให้ แกดูดีขึ้นเยอะเลยนะ”
“สักวัน ข้าจะแข็งแรงขึ้น ข้าจะเข้าไปที่เรือนเล็ก เข้าไปทำลายสถานที่เสพสมของเอ็ง”
“ฝันไปเถอะ แรงรักของแม่ ฮึ...ยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ไม่มีทางสู้แรงแค้นข้ามภพข้ามชาติของข้าได้หรอก ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า”
แพงยอมล่าถอยหายวับไป คุณหญิงมองเข้าไปในบ้านอย่างเป็นห่วงลูก หายตัววับ เข้าไปดูรัมภาที่ยังเศร้าอยู่ที่เตียง
“คุณแม่ขา เขาทำแบบนี้กับลูกทำไม เขาไม่รักลูกแล้วใช่ไหม”
รัมภานั่งลงบนเตียงไร้ที่พึ่ง คุณหญิงเข้าไปกอดไว้
“แม่อยู่นี่ลูก ไม่เป็นไรนะ อ้อมกอดของแม่ มีไว้ปกป้องลูก มีไว้ให้ความอบอุ่นลูก แม่อยู่ที่นี่แล้ว จะติดตามคุ้มครองลูก ตลอดไปนะลูกนะ”
รัมภาหลับตารู้สึกอบอุ่นขึ้น เหมือนได้รับการโอบกอด
ค่ำคืนนั้น...ศามนยังไม่กลับบ้าน เขายืนร้องเพลงเศร้าๆตะโกนร้องเป็นบ้า ด้วยความเจ็บในจิตใจ อาการเมามาย ร้องไป ก็เซไป อนุกูลที่เป็นเพื่อนเที่ยวทุกครั้งต้องลุกประคอง
“โอ๊ะระวังหน่อยครับ ระวังหน่อย”
“ผมไม่เมา ปล่อย”
ศามนผลักอนุกูลแล้วยืนใหม่ ก็เซลงอีก แล้วลุกใหม่ มาร้องเพลงเสียงตะโกนน่าเกลียดต่อไป อนุกูลส่ายหน้า ดูเขาเวลานี้ไม่เหลือสภาพของศามนคนเดิมเลย
ดึกมากแล้ว ศามนเดินเมาโซเซมา เคาะประตู
“เปิดหน่อยเปิด”
รัมภาเดินลงมามองที่ประตู ศามนตะโกนบอก
“เปิดหน่อยคุณ ผมไม่ได้เอากุญแจไป”
รัมภาเปิด แต่ไม่พูดด้วยเพราะโกรธที่กลับดึก เธอเอากระเป๋าของส่วนตัวมาโยนตรงหน้าบ้านแล้วปิดล็อค ไม่ให้เข้า
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวสิคุณ”
เขาเรียกไว้แต่ไม่ทัน รัมภาล็อคไปแล้ ศามนยืนเซ็ง ที่ภรรยาไล่ไปนอนที่อื่น ไม่ยอมให้เข้าบ้าน
“ได้ จะเอาอย่างนี้ก็ได้ ไปนอนเรือนเล็กก็ได้โว้ย”
ศามนหิ้วกระเป๋าเดินกลับไป รัมภาแอบมองอยู่มุมหนึ่ง ยังโกรธไม่หาย
“ไปเที่ยวกลางคืนงั้นหรือ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน”
ค่ำวันต่อมา รัมภาออกมาเที่ยวกับวรรณศิกาและพัชนี เต้นรำกับพัชนี หน้าตาร่าเริง หัวเราะเพราะแอลกอฮอลล์ พัชนีนั่งมองอยู่แอบพิมพ์ข้อความ คุยกับอนุกูล
“คุณภาทำรื่นเริง สนุกสนาน ไม่เหมือนคุณภาคนเดิมเลย ทำไงดีคะ”
ทางด้านศามนร้องเพลงท่าทางเมาแล้ว สาวนั่งดริงก์ปรบมือ เพลิดเพลินไปด้วย
อนุกูลแอบพิมพ์ข้อความ ตอบพัชนีไป
“จะไปทำยังไงได้ คนกำลังสติแตก ประชดกันไปประชดกันมา ทางผมก็แย่หมดไปสามขวดแล้ว”
ขณะเดียวกัน พัชนีและอนุกูลพิมพ์ข้อความคุยกันไปมา
“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อคะคุณอนุกูล”
“นับถอยหลังลงเหวได้เลย คู่นี้ไปไม่รอดหรอก ผมรับรอง อีกไม่นานก็หย่า”
พัชนีตกใจพึมพำ
“หย่าเลยหรือ...เฮ้อ”
ศามนเดินเมาโซเซ กำลังจะเข้ามาในเรือนหลังเล็ก แพงยืนมองที่หน้าบ้าน
“ฮึ...เริ่มต้นน่ะ ฝีมือข้า แต่ตอนนี้น่ะ นังรัมภามันทำตัวเอง นังชื่นกลิ่นมันไล่คุณหลวงกลับมาในอาณาเขตของข้า มันไล่มาเองโดยข้าไม่ต้องทำอะไร ฮะฮะฮ่า”
ศามนเข้ามาในบ้าน เดินเข้ามาเปิดไฟ เห็นเดือนแรมนั่งอยู่ก็ตกใจ
“คุณ”
“เดือนแวะมาเยี่ยม เห็นประตูบ้านไม่ได้ล็อคเลยเข้ามานั่งรอ คงไม่โกรธนะคะ...ก็คุณน่ะ โทรมาไม่ยอมรับสาย”
“คุณออกไปเถอะ ผมขอ...”
ศามนพูดไม่ทันจบ ร่างของแพงก็พุ่งเข้ามา พร้อมท่องบทสวดมนต์ผูกมัดใจเพ่งไปที่เขา ศามนนิ่งไป หลุดภวังค์พูดไม่จบประโยค
“ในเมื่อเรือนใหญ่ อยู่ในอำนาจของนังแก่ เรือนเล็กแห่งนี้ ย่อมอยู่ในอำนาจของอีแพง”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก นั่งลงตรงนี้ค่ะ ให้เดือนปรนนิบัติคุณนะคะ”
เดือนแรมลุกไปเอาน้ำ เอาผ้ามาเช็ดตัวให้ เธอลูบไล้ไปกับเนื้อตัวเขาด้วยผ้าพร้อมใช้สายตายั่วยวน เสียงบทสวดเข้ามาอีก เดือนแรมเข้าไปกอดจูบ ศามนหลับตาเคลิ้มแล้วจูบตอบ กดเดือนแรมลงไปที่โซฟา แพงลูบไล้ศามนอยู่อีกข้าง นัวเนียกันสองคนหนึ่งผี
“ฮึ ความรักแสนเศร้า มนต์ดำใดๆ ไม่จำเป็นดอก...ความรักแท้จริงแค่เปลือกนอกจอมปลอม แท้จริงมันก็แค่ตัณหาหญิงชายฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
แพงหัวเราะสะใจ
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 8 (ต่อ)
เช้าวันใหม่...ศามนกับเดือนแรมนอนเปลือยกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่ม ศามนงัวเงียตื่นพอเห็นเป็นเดือนแรมก็ตกใจ
“เฮ้ย คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เราทำอะไรกันเมื่อคืน อย่าบอกนะจำไม่ได้”
ศามนคิดๆ จำได้ว่าเขากับเดือนแรมมีอะไรกันเมื่อคืนนี้
“บ้าจริง นี่กี่โมงแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า คุณกลับไปเถอะ”
“ได้ค่ะ ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันจะมาเฉพาะเมื่อคุณต้องการฉันไม่กดดัน ไม่เรียกร้อง เพราะนี่คือคุณสมบัติสำคัญของ เมียน้อย”
เดือนแรมยิ้ม ใช้ผ้าห่มพันกาย ลุกเดินจากไป
อนุกูลเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าตรงไปที่ร้านขายยาที่รู้จักกันดี
“พี่...วันนี้อยู่ร้านหรือ”
“ก็อยู่ทุกวัน ถามแปลก”
อนุกูลเขิน อายคนรู้จัก
“เอ้อ...เอายาแบบเมื่อวานน่ะ”
“หา...อีกแล้วหรือ”
“เอามาเถอะน่า”
“มิน่า...อยากซื้อกับคนอื่น อายเป็นด้วยหรือ แล้วผู้หญิงที่หิ้วมาเมื่อวานกับวันนี้น่ะ คนเดียวกันไหม”
“เปล่า”
“โอ้โห...งั้นขอแนะนำหน่อยนะ แทนที่จะซื้อยาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์ ท่านควรซื้อนี่ เอาแพ็คใหญ่ไปเลย ถุงยางอนามัย เพราะนอกจากคุมกำเนิดได้แล้วยังป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่ออื่นๆอีกด้วย”
คนขายยา วางยาทั้งแบบหลังคุมกำเนิด และถุงยางอนามัยไว้ตรงหน้า อนุกูลเขินๆ
“โธ่...มันบังเอิญ มีแบบนี้บ่อยที่ไหนเล่า พูดมากจริงโว้ย”
“เพราะเป็นเพื่อนกันนะถึงเตือน”
“อุ๊ย คุณภา”
อนุกูลเดินไปหลบเอาหนังสือมาปิดหน้าเพราะรัมภาเดินเข้ามาในร้าน เธอไม่เห็นอนุกูล
“จะซื้อยานอนหลับ ไม่เอายี่ห้อนี้นะคะ”
รัมภาหยิบยาจากกระเป๋ามาให้ดู
“ทำไมล่ะครับ”
“ตอนหลังมันใช้ไม่ได้ผล ต้องทานมากขึ้นน่ะค่ะ อยากได้ยี่ห้อที่แรงกว่านี้”
อนุกูลลดหนังสือลงเข้ามาถามเสียงเข้มทันที ด้วยความเป็นห่วง
“คุณจะเอายานอนหลับแรงๆไปทำไม”
รัมภาดีใจที่เจอ
“คุณนุมาซื้อยาเหมือนกันหรือคะ ซื้อยาอะไรคะ”
“อ๋อ ก็ของพวกนี้ไงครับ”
คนขายชี้ไปที่แพ็คถุงยางอนามัยที่วางค้างอยู่ อนุกูลตกใจพุ่งไปหยิบแผงยาเม็ดเล็กๆชนิดหนึ่งจากกล่องยาที่วางใกล้ๆกันมาวางพร้อมปัดพวกถุงยางออกไป เพื่อเบี่ยงเบนจากของตรงหน้า
“วิตะมินซีครับ ผมชอบกินนี่ไงครับ ต้องกินทุกวันเลย”
อนุกูลแกะหนึ่งเม็ดมากิน โดยไม่ดูฉลาก คนขายตาเหลือก เพราะป้ายคำว่าวิตะมินซี มันชี้มาที่อีกกล่องหนึ่ง ไม่ใช่ที่อนุกูลหยิบไป
“เฮ้ย นั่นมันยาคุมกำเนิดโว้ย วิตะมินซีน่ะซองนี้”
“แหวะ !”
อนุกูลหันไปคายทิ้ง คนขายหัวเราะ
“ไม่เป็นไร ไอ้ยาคุมนี่น่ะ ผู้ชายที่กินทุกวันก็มีนะ ผู้ชายที่เขาอยากแปลงเพศไง โถ...ไม่นึกว่า น้องจะเอากับเขาด้วย”
รัมภามองอนุกูลที่เขินๆ ยิ้มๆ พอเข้าใจแล้ว
หลังจากออกมาจากร้านขายยา อนุกูลกับรัมภาเดินคุยกันมาตามทาง รัมภาขำๆ
“คุณก็ ไม่เห็นต้องอายเลย...ใครๆเขาก็รู้ว่าคุณน่ะเพลย์บอย”
“อ๋อ ผู้ชายขี้เล่น....ใช่ๆ ผมน่ะขี้เล่นอยู่แล้ว เล่นเลยแล้วกันจั๊กจี๋ๆ”
อนุกูลจี๋ รัมภาจั๊กกะจี้
“นี่... ไม่เอา บ้าจริงคุณนี่ เพลย์บอยแปลว่าขี้เล่นที่ไหนกัน”
อนุกูลหันไปเล่นสนิทสนมกับรัมภา เจนนี่เดินมาเห็นภาพนั้นพอดีก็เดินเข้ามาชี้หน้าอนุกูลแล้วโวยวาย
“หนอย...หายมาตั้งนาน ให้ฉันรอในรถ แอบมาพบกับผู้หญิงคนใหม่หรือแล้วอ้างว่ามาซื้อยาให้ฉัน”
อนุกูลสะดุ้ง
“เฮ้ย...ไม่ใช่...มาซื้อยาจริงๆ”
เจนนี่ผลักอนุกูลลงไปในบ่อปลาก้นจ้ำเบ้า เปียกครึ่งตัว
“เฮ้ยๆๆ”
รัมภาตกใจ
“ว้ายคุณนุ”
คนที่เดินอยู่แถวนั้นตกใจหยุดมอง
“ทีหลัง ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ”
เจนนี่สะบัดจากไป รัมภามองสภาพอนุกูลแล้วขำ
“ตายแล้ว”
“ยังไม่ตาย แค่เปียก”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนค่ะ อยู่ใกล้แค่นี้ ดีกว่าขับรถติดฝ่าเข้าไปในเมือง”
อนุกูลมองไปรอบๆ เห็นคนมุงดูก็หน้าเสีย
“อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ โชว์บันเทิงสัตว์โลก อภินันทนาการจากทางห้าง ถ้าชอบก็บริจาคได้ครับ”
อนุกูลไม่มีอาย ยังแซวคนเดินไปมาที่ขำไปด้วย
รัมภาขับพาอนุกูลมาบ้าน จอดรถเดินลงมาเข้าบ้านไปด้วยกัน ดีดี้แอบมองอยู่มุมหนึ่ง
“คุณรัมภา พาผู้ชายที่ไหนมาบ้านวะ แหม...ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”
ดีดี้แอบเดินตามทั้งสองคนที่เดินเข้าไปในบ้านหน้าตาร้ายกาจคิดแต่เรื่องบัดสี...รัมภาเดินนำอนุกูลเข้ามาในห้อง โดยไม่ปิดประตู
“เข้ามาก่อนค่ะ เดี๋ยวเอาเสื้อคุณศามนเปลี่ยนให้”
ดีดี้ย่องมาแอบมาดู แล้วยื่นมือถือไปกดถ่าย ตอนอนุกูลยืนถอดเสื้อต่อหน้ารัมภาและรัมภายิ้มเอาไว้ได้
“โฮ้ย ไปถอดในห้องน้ำสิคะ”
“เออลืม ถอดต่อหน้าผู้หญิงซะเคย”
“คุณนี่บ้าจริงๆ”
ดีดี้มองรูปในมือถือของตนเอง ยิ้มพอใจ ได้ภาพที่ชวนเข้าใจผิดได้ว่ารัมภากับอนุกูลมีสัมพันธ์กัน โดยที่รัมภากับอนุกูลไม่รู้ตัว
“สำเร็จ อีดีดี้...ได้เงินดาวน์รถมอไซค์แน่งานนี้”
รัมภาเอากาแฟมาให้ อนุกูลที่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว
“กาแฟร้อนค่ะ”
“ตกลงคุณซื้อยานอนหลับแรงๆไปทำไม คิดจะฆ่าตัวตาย”
“ฉันเป็นแม่คนนะ”
“งั้นก็ฆ่าตัวตายพร้อมลูก”
รัมภายิ้มไม่ถือ
“ปากเสียใช้ได้เลยนะคุณน่ะ ผู้หญิงคนนั้นแฟนคุณหรือ”
อนุกูลส่ายหน้า
“เขาแต่งงานแล้ว รักๆเลิกๆกับแฟนเขา”
“ผู้หญิงแต่งงานแล้วเนี่ยนะ”
“ไม่รู้สิ ผมถูกจริตกับคนแต่งงานแล้ว สงสัยเป็นโรคจิต คุณก็แต่งงานแล้วระวังตัวให้ดี”
“หา ?”
รัมภาตกใจเพราะเขาทำหน้าตาเฉยๆ เหมือนไม่ได้ล้อเล่น อนุกูลยิ้มออกมา
“ล้อเล่น...” อนุกูลมองรัมภาอย่างเห็นใจ “คุณถึงขนาดต้องกินยาเลยหรือ”
“ตั้งแต่เกิดเรื่องฉันนอนไม่ค่อยหลับ ในหัวคิดตลอด บางทีก็ร้องไห้...มองอะไรคะ”
รัมภาถาม เพราะอนุกูลท้าวคางมองตนอยู่ สายตาชื่นชม
“ขนาดเศร้า ยังสวยเหมือนเทพธิดากรีก”
รัมภาอึ้ง ก่อนจะซาบซึ้ง
“ขอบคุณนะคะ คำชมพวกนี้ สำหรับผู้หญิงที่หมดความมั่นใจอย่างฉัน
ทำให้รู้สึกดีขึ้นจริงๆ”
“ฟังนะ คนเราเกิดมามีสิทธิ์ที่จะมีความสุข เท่าๆกับมีความทุกข์ อยู่ที่เราเลือก”
“ฉันไม่เคยเลือก คุณศามนต่างหาก เป็นคนเลือก จริงสิ...คุณวรรณกับคุณพัชบอกว่าคุณเข้าข้างคุณมน” รัมภาน้ำเสียงงอนเล็กน้อย
“เฮ้อ...วันๆ คงคุยกับสองคนนั้น ผู้หญิงเมาท์แต่เรื่องไม่สบายใจ ทั้งวี่ทั้งวัน”
“เป็นคุณ คุณจะทำยังไง”
“ไปเที่ยว หาอะไรทำ จมแต่เรื่องไม่สบายใจ คิดอะไรไม่ออกหรอก คุณชอบไปไหนล่ะ ปกติน่ะ”
“แม่บ้านอย่างฉันจะไปไหนได้นอกจากไปซื้อกับข้าว”
“งั้นไปเที่ยวตลาดกัน ผมอาสาเป็นคนหิ้วของให้”
อนุกูลลุกขึ้นทันที พยายามทำให้รัมภามีความสุข
ที่จอดรถมุมหนึ่ง ถูกกันเป็นลานแอโรบิก ครูแอโรบิกอยู่บนเวทีนั่งร้านง่ายๆ กำลังนำสาวๆ และแอน น้อย เจี๊ยบ เต้นออกกำลังกายประกอบเพลง
“เอ๊าชก ชก แรงๆ ชกตรงๆ ดีๆ แรงขึ้นอีก ดีๆ”
เดือนแรมในชุดออกกำลังกายเซ็กซี่ สีสันแสบตา เดินมาตั้งใจจะมาร่วมวงออกกำลังกาย เธอเดินออกมา ยืนข้างหน้า ออกท่าออกทางตามครู พวก น้อย แอน เจี๊ยบพอจะรู้เรื่องของเดือนแรม เลยมองกันอย่างเกลียดชัง
“โฮ้ยคนเราสมัยนี้ หน้าด้านหน้าทน ทำครอบครัวเขาแตกแยก ยังมีหน้าแต่งตัวสวย ออกมาพบปะชาวบ้านได้อีก” น้อยแดกดัน
“เป็นเมียน้อยผัวฉันหน่อยไม่ได้ นี่แน่ะ นี่ๆ”
แอนยกขาถีบๆไปทางเดือนแรม ครูมองงงๆ แล้วตะโกนบอกลงมาจากเวที
“เอ๊า ให้ชกนะคะ ยังไม่ได้ให้ถีบ”
“ก็คนมันอยากถีบนี่คะครู คนบางคนน่ะ บาปหนา มันเกาะแน่นอยู่ตามตัวใช้มือ เดี๋ยวต้องไปล้างแอลกอฮอลล์”
พวกชาวบ้านหัวเราะเยาะกัน จนเดือนแรมที่ตอนแรกไม่อยากสนใจต้องหันมาด่ากราด
“นี่ หัวเราะเยาะอะไรกัน”
ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวตลาดที่ชอบรัมภามองเดือนแรมอย่างหมั่นไส้ เช่นเดียวกับน้อยแอน เจี๊ยบ
“หนอย”
เดือนแรมโมโหกับท่าทางชาวบ้านเลยเดินขึ้นเวทีไปปิดเครื่องเสียง ครูตกใจ
“เอ้อ คุณขึ้นมาไม่ได้นะคะ”
“ฉันมีอะไรจะพูดให้ได้ยินกันให้ทั่วๆ”
เจี๊ยบมองหยัน
“เออดี ฉันก็อยากฟังมันพูด”
น้อยเบ้หน้า
“คนพวกนี้ เดี๋ยวมันก็ต้องปฏิเสธ”
แอนมองอย่างเกลียดชัง
“ให้มันปฏิเสธยังไงฉันก็ไม่เชื่อมันหรอก”
สามสาวตั้งใจฟัง เดือนแรมเดินไปดึงเฮดโฟนมาจากหัวของครูแอโรบิก มาพูดใส่ไมโครโฟน ท่าทางมั่นเกินร้อยในความเลวของตน
“ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อย”
“นั่นไง” น้อยโวย
เดือนแรมท่าทางภูมิใจตนเองมากก่อนจะประกาศลั่น
“ฉันเป็นผู้ช่วยภรรยา”
สามสาวมองหน้ากัน ตกใจ แทบกรี๊ด ชี้หน้าด่าเดือนแรมพร้อมกัน
“อ๊าย อีปลวกหน้าหนา”
เดือนแรม เดินมาบอกใส่ไมค์ เน้นๆ ย้ำๆ
“ฉันเป็นเมียคุณศามนเจ้าของบ้านใหญ่จริงๆ”
รัมภาชะงักเท้าที่เดินมากับอนุกูล เพราะได้ยินทั้งหมดแล้ว เงยหน้าขึ้น อนุกูลพึมพำ
“เอาแล้วไง ไม่น่าเลยเรา”
แอน น้อย เจี๊ยบ เจ็บแค้นต่อไป น้อยหันไปบอกครู
“ครู...เมื่อกี๊บอกให้ถีบแรงๆไง ถีบไปตรงๆ แล้วฝากทีหนึ่งด้วย”
ครูแอโรบิกสะดุ้ง ตนยืนข้างหลังเดือนแรมพอดี ยิ้มจ๋อยๆรีบถอยมายืนข้าง ไม่อยากมีเรื่อง
“แหม...บอกให้ชก ไม่ใช่ถีบ”
เดือนแรมมองไป เห็นรัมภาอนุกูลยืนอยู่ ก็รีบใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์
“ภรรยาที่บกพร่อง ไม่ทำหน้าที่ ก็ต้องมีคนช่วยจริงไหมคะ คุณรัมภา”
สายตาทุกคู่หันมามองไป...รัมภาตกใจ ช็อคนิ่ง ชาวบ้านหันตามตกใจที่เห็นรัมภาเช่นกัน เจี๊ยบถอนใจ
“โถ ร้อยวันพันปี เฮ้อ...ทำไมต้องมาวันนี้”
อนุกูลรีบเข้าไปกระซิบข้างๆ ให้กำลังใจ
“ใครๆก็มองมาที่คุณ อย่าร้องไห้ คนเราเมื่อจนตรอก มันมีทางเดียว คือต้องสู้ อย่ายอมแพ้เขา อย่าหันหนี เผชิญหน้ากับเขา สู้กับเขา”
รัมภาหัวใจถูกบีบจนแทบจะหายใจไม่ออก พูดออกมาเหมือนคนใกล้จะเป็นลม
“ฉัน...ฉัน...ก้าวขาไม่ออก”
อนุกูลเดินไปตะโกนไปที่เดือนแรมบนเวที
“คุณเอาอะไรมาพูด ทำเป็นคุยเขื่องมากกว่า อิจฉาที่เห็นคนรักกันน่ะสิ”
“ฉันไม่ได้คุย ไม่ได้โม้ เมื่อคืนฉันก็อยู่กับเขาทั้งคืน ไม่เชื่อถามคุณภรรยาหลวงดูสิ ว่าผัวเขาอยู่ที่บ้านหรือเปล่า”
รัมภาหลับตา น้ำตาร่วงลงมา ศามนไม่อยู่จริงๆ เพราะตนไล่ไปเอง
“ไม่ต้องห่วงนะคะพี่รัมภา น้องเดือนคนนี้ไม่ได้ต้องการอะไร คุณพี่ก็อยู่ส่วนของพี่ คุณน้องก็อยู่ส่วนของน้อง สงสารน่ะค่ะ มีลูกตั้งสองคนแล้ว”
“โธ่โว้ย”
น้อยบ้าเลือดแค้นจัด เดินไปลากเก้าอี้สนามมา จะเอาทุ่มเวที จนแอนต้องเตือน
“อย่า ๆ เดี๋ยวติดคุก”
“ก็ดูมันสิ”
“น้องไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้จริงๆ ไหนๆมันก็เกิดขึ้นแล้ว หรือคุณพี่จะให้เดือนกราบขอโทษ เดือนกราบก็ได้” เดือนแรมยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ เรามาดีกันนะคะ ก็เหมือนกับที่ผ่านมา ที่เราอยู่ด้วยกันไงคะ เดือนช่วยดูแลบ้าน ดูแลครอบครัวให้พี่”
รัมภาหน้าซีดแล้วซีดอีก มือเริ่มสั่น อนุกูลเข้าไปยืนข้างๆจับมือไว้
“พาฉันกลับบ้าน ฉันอยากกลับบ้าน”
“ผมจะพาไปที่รถ”
อนุกูลจับมือรัมภามั่นคง จูงให้กลับไปที่รถ
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย”
แอนหยิบหินมา น้อยเข้าไปห้าม
“เฮ้ย ไหนบอกเดี๋ยวติดคุก”
“ก้อนแค่เนี้ย แค่ปรับ”
แอนเขวี้ยงหินใส่ เจี๊ยบเขวี้ยงบ้าง สามสาวเลยช่วยกันเขวี้ยงใหญ่ เจี๊ยบตะโกนแค้นๆ
“ค่าปรับแค่นี้ มีจ่ายโว้ย...เป็นเมียน้อย ยังไม่ถึงเวลาตกนรก กฎหมายยังเอาผิดไม่ได้ แต่คนรอบข้างลงโทษได้ ด้วยการสาปแช่งโว้ย”
แอนตะโกนไล่
“เออ...ไปเลย นังหน้าด้าน นี่แน่ะนี่...นี่”
น้อยแอนเจี๊ยบเขวี้ยงก้อนหิน ชาวบ้านโห่ไล่
“ฮึ่ย ไปเลย...ไปเลย”
เดือนแรมได้แต่ชี้หน้าพวกสามสาวแค้นๆ แล้วลงจากเวทีหนีไปท่ามกลางเสียงโห่สาปแช่งของชาวบ้าน
รัมภากลับถึงบ้านเร่งฝีเท้าเดินมา มือไม้สั่นด้วยความโกรธ จะเดินเข้าไปที่ห้องเหมือนจะไปทำอะไรบางอย่าง
“คุณรัมภา คุณจะรีบไปไหนครับ”
“อย่าตามมา ขอร้อง”
รัมภาเดินเข้าห้องปิดประตู เธอเดินมาที่มุมห้องแล้ว ร้องออกมาอย่างสุดเสียงเหมือนสัตว์ที่ร้องโหยหวนเพราะถูกทำร้าย เสียงกรี๊ดๆๆโหยหวนสองถึงสามครั้งตามด้วยการร้องไห้โฮเสียงดัง อนุกูลยืนหลับตาท่ามกลางเสียงกรี๊ด สงสารรัมภามาก
“ลูกชื่นจ๋า แม่อยู่นี่ลูก แม่อยู่นี่ อดทนไว้นะลูกนะ”
ร่างของคุณหญิงอบเชยปรากฏขึ้นร้องไห้น้ำตาไหลพรากสงสารลูกจับใจ เธอเดินมากอด แต่ร่างของรัมภาทรุดลงไปจากอ้อมกอด ลงไปที่พื้นโครมเป็นลมไป คุณหญิงอบเชยได้แต่ยืนมองอ้อมกอดว่างเปล่าตกใจเป็นห่วง
“ลูกแม่...ฮือ”
เสียงล้มตึงทำให้อนุกูลสะดุ้ง พุ่งไปที่ประตู
“คุณภา คุณภา”
อนุกูลเปิดประตูไม่ออกตะโกนลั่น
“ใครอยู่ในบ้าน ไปเอากุญแจมาที มีใครอยู่ไหมครับ”
อนุกูลพยายามเคาะพยายามเขย่าประตูต่อ
แพงรับรู้ความเจ็บปวดของรัมภา รู้สึกสะใจ เดินไปมา เต้นรำอยู่กลางบ้านของตนเอง มีความสุข แต่แววตาเศร้า เพราะตนเองก็มีความเข้าใจความรู้สึกนั้นเช่นกัน
“เสียงร้องไห้โหยหวนของผู้หญิง มันดังก้องโลกอยู่ทุกเวลา ดังมาจากอดีต ดังมาจากอนาคต ดังจากมุมนั้น ดังจากมุมนี้ มันเฝ้าถามสายลมในความมืดอันเงียบเหงา เฝ้าถามอยู่ทุกค่ำคืน ความรักคืออะไรฮะฮะฮ่าๆๆ”
แพงหัวเราะแบบคนบ้า น้ำตาคลอหน่วยทั้งที่หัวเราะ
รัมภานอนหลับอยู่ในห้องพักไข้ในโรงพยาบาล อนุกูลมองอย่างสงสาร ห่มผ้าให้แล้วเดินออกไป
อนุกูลเดินมาที่ล็อบบี้ในโรงพยาบาล โทรศัพท์บอกข่าวศามน ที่ได้ฟังแล้วตกใจไม่น้อย
“อะไรนะ เดือนแรมเขาพูดอย่างนั้นหรือ แล้วภาเขาเป็นไงบ้าง”
“หมอตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีอะไร เขาจะส่งต่อหมอจิตเวช”
“จิตเวชหรือ”
“คุณภาเป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นคนไข้จิตเวชไปแล้ว คิดดูนะคุณ คนเป็นสิบๆ คนแถวนี้ทั้งนั้น ยังไงก็ต้องเจอะเจอกันไปตลอดชีวิต คุณรัมภาเขาจะอายแค่ไหน”
“เขาไม่น่าพูด”
“ผู้หญิงอย่างเดือนแรม อันตรายเกินไป ถอยออกมาเถอะ”
“ผมไม่เคยตั้งใจ ทุกครั้งมันเกิดขึ้นจาก...”
ศามนนิ่งเงียบไปพยายามหาคำตอบ อนุกูลเข้าใจ
“ผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมเข้าใจ”
“ไม่ใช่...คุณไม่เข้าใจ มันไม่เหมือนกัน ทุกๆครั้ง ผมจะได้ยินเสียง เสียงอะไรสักอย่าง ผมได้ยินมาตั้งแต่ถึงเมืองไทยใหม่ ๆ ผมบอกไม่ถูก”
แพงยืนมองอยู่มุมหนึ่ง เพ่งสายตามา เสียงสวดดังขึ้น เธอควบคุมเขาด้วยบทสวด
“นี่ผมว่าคุณออกมาเลยดีไหม มาคุยกันที่นี่ดีกว่า”
ศามนปวดในหัว
“โอย...”
“คุณมนว่าไงครับ จะออกมาเยี่ยมภรรยาคุณหรือเปล่า”
แพงเร่งเสียงสวดให้ดังขึ้น จนศามนปวดหัวมาก ปล่อยโทรศัพท์ตกลงพื้น แล้วสลบหลับไป
“ว่าไงครับ จะมาคืนนี้เลยไหม”
โทรศัพท์เงียบไป อนุกูลงงๆ
“คุณมน คุณศามน !”
เสียงมือถือ กลายเป็นสัญญาณขาด
“เฮ้ย อะไรของเขา นี่จะไม่มาเยี่ยมเมียตัวเองหรือไง”
แพงที่ยังเพ่งบทสวดมาที่ศามนควบคุม บังคับ
“ไม่ว่า ชาติไหน ภพไหน คุณหลวงต้องเป็นของอีแพง อีแพงมีคุณหลวงเป็นเจ้าชีวิต คุณหลวงก็ต้องมีอีแพงเป็นเจ้าชีวิตเหมือนกัน”
ในอดีต...หลวงภักดีนอนอยู่ แพงก้มหน้าลง หลับตา ภาวนาบทสวดบทเดียวกันแล้วเป่าพ่วง หลวงภักดีงัวเงียตื่นขึ้น
“แพง...เช้าแล้วหรือ...แต่งตัวจะไปไหน”
“แพงจะไปเอาเสื้อที่สั่งตัดไว้ แล้วจะแวะซื้อเครื่องประดับที่ตลาดค่ะ”
“จะรีบไปไหน ขอกอดหน่อยเถอะ”
หลวงภักดีกอดแพงอย่างหลงใหล
“คุณหลวงจะกอดแพงก็ได้ แต่ว่า...แพงต้องเอาเงินไปจ่ายเขา คุณหลวงเอาเงินให้เมียได้ใช่ไหมคะ”
“ได้สิ นั่นไงกระเป๋าเงิน จะเอาเท่าไหร่ก็เอาไป”
แพงหอมแก้ม
“น่ารักจริงๆ แพงไปก่อนนะ เดี๋ยวจะรีบกลับมาใหม่ รับรองเมียของคุณหลวง ต้องสวยไม่แพ้ใครแน่”
แพงเดินไปหยิบเงินมา แล้วเปิดประตูเดินออกไป กล้าที่แอบดูอยู่ รีบเข้ามาหาหลวงภักดีที่ลงไปนอนเล่นใหม่ พยายามดึงให้ลุกขึ้น
“คุณหลวง รีบลุกขึ้น อาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ”
“อะไรอีกล่ะ นายกล้า แล้วนี่เข้ามาทำไม”
“คุณบัวโทรเลขไปบอกเรื่องราวทั้งหมดกับคุณหญิงอบเชยแล้ว เดี๋ยว คุณหญิงอบเชยก็จะมาถึง เร็วเข้าครับ รีบไปไปเรือนใหญ่กัน”
กล้าลากหลวงภักดีเดินมาตามทางท่าทางของหลวงภักดีดูหงุดหงิด ผสมกับเบลอๆ
“นี่ ไม่ต้องรีบก็ได้”
“คุณชื่นกลิ่นน่ะเสียใจจนไม่ยอมกินข้าวกินปลา คราวนี้คุณหญิงเอาคุณหลวงตายแน่”
“คุณชื่นเป็นอะไรหรือ”
“ผมบอกคุณทุกวัน คุณก็ถามผมใหม่ทุกวัน เธอน้อยใจคุณ ตั้งแต่ย้ายไปเรือนเล็ก คุณไม่ยอมแวะไปหาเธอเลย ทำไมใจดำนักล่ะครับ”
“ก็ฉัน...เอาอย่างนี้ นายไปบอกเขาให้หน่อยว่าฉันติดงาน ฉันฝากนายไปเยี่ยมแล้วกัน ตอนนี้ฉันอยากไปตลาด ไอ้ร้านตัดเสื้อผ้าของผู้หญิงนี่มันอยู่ไกลไหม”
กล้าตกใจ
“คุณหลวง...นี่คุณเป็นอะไรไป คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ”
หลวงภักดีไม่ตอบ ดูเบื่อๆ กล้ามองหน้า
“ฟังนะครับ คุณขึ้นไปเยี่ยมคุณชื่นกลิ่น พูดคุยเอาอกเอาใจเธอ ถ้าเธอหรือคุณหญิงถามเรื่องแพงก็ไม่ต้องตอบ”
หลวงภักดี
“ไม่ต้องตอบหรือ”
“ถ้าจำเป็น ก็ต้องปฎิเสธว่าไม่ได้รักนางแพง รักแต่คุณชื่นกลิ่นคนเดียว”
“แต่ฉันรักแพงนี่”
“คุณหลวง คุณชื่นกลิ่นแป็นเมียคุณนะครับ”
“แต่แพงก็เป็นเมียฉันเหมือนกัน”
“โธ่คุณหลวง!”
กล้าเกาหัว หลวงภักดีกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องไปแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
บ่วง ตอนที่ 8 (ต่อ)
รถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าเรือนใหญ่ บัวสวรรค์ออกมารอ ยกมือไหว้เมื่อคุณหญิงอบเชยที่ลงมาพร้อมกับความโมโห
“อีนังโสเภณีนั่นอยู่ไหน”
“เขาให้ตามิ่งขับรถคุณหลวงไปส่งที่ตลาด”
“ให้คนรถขับไปส่งที่ตลาดเชียวหรือ มันมีสิทธิ์อะไรมาใช้รถของบ้านนี้”
“เขาบอกว่าเขาเป็นเมียคนหนึ่ง บ่าวทุกคนในบ้านต้องรับใช้เขาเหมือนรับ
ใช้คุณชื่น”
เพ็ญไม่พอใจ
“แล้วไอ้มิ่งมันเป็นอะไร ทำไมมันต้องเชื่อ”
“คุณหลวงบอกว่า ถ้าใครไม่เชื่อแพง ท่านจะไล่ออก”
คุณหญิงกำหมัดแน่น โมโห เพ็ญหันไปถาม
“นี่บ้านจะลุกเป็นไฟแล้วนะคะคุณหญิง ทำยังไงดี”
“ลูกชื่นของแม่ ฉันขอเห็นหน้าลูกฉันก่อน!”
คุณหญิงเร่งรีบเดินเข้าไปในบ้าน คนอื่นจึงเดินตาม
ชื่นกลิ่นยังซมอยู่บนเตียงเหมือนเดิมทุกวัน เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แต่ในห้อง หันมาเจอแม่ ก็น้ำตาร่วง
“คุณแม่ขา”
“ชื่นกลิ่นลูกแม่ แม่อยู่นี่แล้วลูก”
สองแม่ลูกโผลเข้ากอดกัน เพ็ญมองชื่นกลิ่นอย่างสงสาร
“โถคุณหนู ทำไมซูบอย่างนี้ล่ะคะ”
“ตั้งแต่เกิดเรื่อง พี่ชื่นก็เอาแต่อยู่ในห้อง บางวันก็เหม่อ บางวันก็ร้องไห้ กินข้าวก็ไม่ค่อยยอมกิน” บัวสวรรค์บอกเสียงเศร้า
ชื่นกลิ่นสะอื้น
“ลูกคิดถึงคุณแม่ทุกนาที คุณหลวงไม่รักชื่นแล้ว...คุณหลวงไม่รักชื่นแล้ว จะทำยังไงดีคะคุณแม่”
คุณหญิงเจ็บแค้น
“ไม่...ไม่จริง ไม่มีใครไม่รักลูกของแม่ แม่อยู่นี่แล้ว แม่จะจัดการทุกอย่างให้ลูกเอง แม่จะจัดการเองลูก”
คุณหญิงเดินออกไป เพ็ญรีบตาม บัวสวรรค์เข้าไปกอดชื่นกลิ่นไว้
กล้าลากหลวงภักดีเดินมาตามทาง มาเจอกับคุณหญิงอบเชยและเพ็ญที่เดินออกมาพอดี
“มานี่ครับ รีบไปที่ห้องคุณชื่นเร็วเข้า”
“นี่ไม่ต้องดันได้ไหม ฉันก็เดินอยู่นี่ไง”
“คุณหลวง”
เสียงคุณหลวงดังขึ้น หลวงภักดีกับกล้าตกใจ หลวงภักดียกมือไหว้
“ก่อเรื่องไว้ขนาดนี้ ทีหลังไม่ต้องไหว้ฉันก็ได้”
กล้าพึมพำ
“โอย ประโยคแรก ก็โดนเลย”
“ไปคุยกันที่ห้องรับแขก ระหว่างเดินไป หวังว่าคุณหลวงจะคิดคำตอบดีๆมาให้ฉันนะ”
ทั้งหมดเดินมานั่งในห้อง ท่าทางคุณหญิงอบเชยยังโกรธดุดันตามนิสัย ทำให้ทั้งห้องหนาวๆร้อนๆ
“เรื่องที่เกิดขึ้น อธิบายมาซิ ทำไปทำไม”
หลวงภักดีนิ่ง กล้ากระซิบ
“ปฏิเสธ ตอบปฏิเสธสิครับ”
หลวงภักดียังนิ่งไม่ตอบ คุณหญิงอบเชยยิ่งไม่พอใจ
“ถ้าไม่ตอบ งั้นฉันจะถาม แม่ชื่นของฉันทำหน้าที่ภรรยาบกพร่องหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“หน้าที่ที่ฉันหมายถึง หมายรวมทั้งหน้าที่นอกเตียง และบนเตียง”
“คุณหญิง”
เพ็ญตกใจ ถามลึกไปไหม
“ใช่...ฉันเป็นคุณหญิง และเป็นผู้หญิง แต่ทำไมเล่า ทำไมผู้หญิงจะพูดเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ ไอ้ที่ทำกันอยู่ ผู้หญิงมันก็ต้องร่วมมือทั้งนั้น ถ้าถึงเวลามีปัญหา มันก็ต้องงัดมาคุยกัน...ว่าไง”
“ไม่บกพร่องทั้งนอกเตียงและบนเตียงขอรับ”
“ถ้างั้นทำไมต้องไปคว้านังเศษขยะนั่นมาเป็นเมีย...ทำไม”
หลวงภักดีนิ่งไป
มิ่งขับรถเข้ามาจอด แพงเฉิดฉายในชุดใหม่ ผมใหม่ เดินลงมาจากรถทีท่าเหมือนคุณนาย มีข้าวของในถุงกระดาษ
“ขอบใจนะ เอ้านี่ รางวัลจ้ะ”
แพงยื่นทิปให้ มิ่งไม่รับ
“เงินน่ะใครๆก็อยากได้ แต่ข้าว่า คืนให้เอ็งดีกว่า จะได้เก็บเอาไปทำบุญ จะได้ไม่ต้องตกนรกชาติหน้า”
แพงแค้น เดินลงไป มิ่งขับต่อไปเก็บที่โรงรถ แพงยืนด่าไล่หลัง
“ทำปากเก่งไปเถอะ สักวันจะให้คุณหลวงไล่ออก”
แพงเดินมาจะเข้าบ้าน นวลกับติ่งวิ่งมาต้อนรับ ยิ้มหวานมาหา
“วันนี้เอ็งทำดีนะ รู้จักมาต้อนรับ มาช่วยข้าถือของ เอ้า...เอาไป”
แพงยื่นถุงใส่ของให้ นวลยื่นมือคล้ายจะรับ แพงปล่อย นวลชักออก ข้าวของหล่นลงพื้น
“อีนวล !”
“เปล่า ไม่ได้มาต้อนรับ ไม่ได้มาถือของ แค่จะมาบอกว่า คุณหญิงอบเชยท่านมาแล้ว เงาหัวเอ็งจะไม่มีก็วันนี้แหล่ะ ฮะฮะฮ่า”
แพงตกใจ
“คุณหญิงอบเชยมา”
ทั้งนวลทั้งติ่ง ทำหน้าเยาะเย้ยเต็มที่
“อยู่ที่เรือนใหญ่กำลังสอบสวนคุณหลวงอยู่ รีบไปซะสิ”
แพงมองไปทางเรือนใหญ่ กังวล
คุณหญิงอบเชยมองหน้าหลวงภักดีที่นั่งนิ่ง กล้านิ่วหน้ามองเจ้านายทำไมกลายเป็นคนดูดายแบบนี้ไปได้ คุณหญิงรอมาครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น
“ตกลงวันนี้จะได้คำตอบไหม”
หลวงภักดีก็ยังนิ่ง
“อ้อ ลืมไป การนิ่งเฉยเป็นคำตอบอย่างหนึ่งของคำว่ายอมรับ เอาล่ะ ในเมื่อยอมรับ นังเพ็ญ...”
“เจ้าขา”
“ไปจัดการได้”
เพ็ญหน้าร้ายลุกไปทันที
เพ็ญเดินเข้ามาในเรือนคนใช้เปิดประตูเข้ามา พึ่งตกใจ เพราะเพ็ญพุ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าขนของออกมาโยนลงพื้นโครมๆ
“พี่เพ็ญ...จะทำอะไรน่ะพี่”
“เอ็งเก็บข้าวของ ไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ได้แล้ว”
“ไล่ฉันแล้วฉันจะไปอยู่ไหนล่ะพี่ ขอฉันอยู่ต่อเถอะนะ”
“ไม่ได้...เอ็งเป็นแม่ เลี้ยงลูกไม่ได้ดี ปล่อยให้มันมาแย่งผัวชาวบ้าน เอ็งก็ต้องรับกรรมของเอ็งเหมือนกัน”
แพงเดินเข้ามาโวย
“วางของของแม่ฉันเดี๋ยวนี้”
“มาแล้วหรือ แหม แต่งตัวอย่างกับคุณนาย...โถ อีไพร่”
แพงตรงเข้าไปแย่งของจากมือเพ็ญ
“เอาของๆแม่ฉันมา แม่ฉันเป็นแม่ยายคุณหลวง แม่ฉันต้องได้อยู่บ้านนี้”
เพ็ญแย่งกลับ
“อยู่ไม่ได้ คุณหญิงไล่เอ็งกับแม่ออกไปจากบ้านนี้แล้ว นังอกตัญญูกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
“อีแก่ อยากเจอกับข้าใช่ไหม”
“ก็มาสิ!”
ทั้งสองยกมือขึ้นหรา เตรียมตบกัน และแล้วแพงก็หยุด
“ไม่...ไม่ ฉันไม่ใช่คนใช้อีกต่อไปแล้ว ฉันจะไม่ตบกับคนใช้ด้วยกัน”
แพงหันหลังเดินออกไป
“เอ็งจะไปไหน”
“คู่ต่อสู้ของฉัน นับจากนี้ไปคือคุณหญิงอบเชย”
แพงหน้าตาร้ายกาจออกไป เพ็ญกับพึ่งรีบตาม
แพงเดินเข้ามาหาคุณหญิงอบเชยด้วยทีท่าที่ไม่ใช่บ่าวอีกต่อไป คุณหญิงนั่งมอง ไม่สะทกสท้าน หลวงภักดีและกล้าหนาวๆร้อนๆ เพ็ญกับพึ่ง ทยอยตามมา เพ็ญรีบวิ่งแซงเข้ามาขวาง
“อีแพง...มึงจะทำอะไรคุณหญิง ดูทำท่าซิ หนอย อีคางคกขึ้นวอ”
เพ็ญทำท่าจะตบ พึ่งรีบขวางเข้าไปดึงเพ็ญไว้
“อย่านะพี่เพ็ญ ฉันขอ”
คุณหญิงอบเชยยิ้มเยาะยกมือผลักเพ็ญออกไปเบาๆ ทำทีว่าจะจัดการเอง เพ็ญยอมหยุด ก้มหน้าถอยไป คุณหญิงเดินเข้าไปหา มองหัวจรดเท้า สายตาดูถูก
“ฮึ...เสื้อผ้าดูก็รู้ว่าไปตัดร้านเดียวกับลูกชื่น ผมเผ้า เครื่องประดับก็เหมือนกัน” คุณหญิงทำจมูกฟุดฟิด “เอ๊ะเหมือนได้กลิ่นอะไร...อ๋อ นึกออกแล้ว ต่อให้ดัดจริตยังไงก็ยัง...เหม็นสาบคนใช้”
แพงสะอึก
“คุณหญิง!”
“ฮึ...ว่าไม่ได้ คนอย่างเอ็ง มันก็เหมือนสัตว์ในฤดูผสมพันธุ์ ถึงเวลาคันขึ้นมา มันก็คิดแต่จะหาใครก็ได้มาเป็นผัว”
แพงไม่พอใจเถียงเสียงเข้ม
“ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่สำหรับฉัน ต้องเป็นคุณหลวง ฉันรักคุณหลวงมาก่อนคุณชื่นกลิ่น”
“รักเหรอ แกไม่ได้รักหรอก แกคิดไปเอง สิ่งที่แกรัก คือเงินทองและความสบาย แกรู้อะไรไหม หมูหมากาไก่ เวลามันหากินน่ะ มันหากินเองนะ มันไม่ได้พึ่งคนอื่น แต่ผู้หญิงที่คิดจะใช้ผู้ชายเป็นบันไดไปสู่ความสะดวกสบายเลย น่ะ อย่างอ้างความรักเลย อายสัตว์ดิรัจฉานมันเปล่าๆ”
“ฮึ...ด่าไปเถอะ จะด่าว่าอีแพงชั้นต่ำยังไงก็ได้ ใช่ ฉันมันผู้หญิงชั้นต่ำ ต่ำๆอย่างนี้แหล่ะ ถึงเป็นเมียลูกเขยคุณหญิง”
คราวนี้คุณหญิงอบเชยเป็นฝ่ายหน้าเสียบ้าง
“อีแพง เอ็งไสหัวออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะบีบคอเอ็งให้ตายคามือ”
“ตายเร็วไม่สนุกหรอก ให้อีแพงอยู่รับใช้คุณหญิงคุณชื่นแบบนี้ต่างหากที่สนุก”
“ข้าจะเอานังโสเภณีอย่างเอ็งไปทิ้งขยะเดี๋ยวนี้ มานี่”
คุณหญิงอบเชยเข้าไปจิกหัวแพงลากออกไปสองสามก้าว พึ่งร้องวี้ด เพ็ญจับพึ่งไว้ แพงไถลไปตามที่ถูกจิกหัว แล้วจู่ๆคนที่เข้ามาผลักคุณหญิงจนเซเกือบล้ม กลับเป็นหลวงภักดี
“นี่หยุดนะ...”
หลวงภักดีเข้าขวางแพง ปกป้อง ทุกคนตกใจกันหมด
“คุณหลวง”
คุณหญิงตกใจคาดไม่ถึง เพ็ญเข้าไปรับคุณหญิง...
“คุณพระช่วย เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณหญิง”
หลวงภักดีเพิ่งได้สติ
“เอ้อ...ผมขอโทษ”
“คุณหลวง คุณเป็นอะไรของคุณ”
คุณหญิงมองอย่างสงสัยดูแปลกๆไป กล้าเข้าไปเตือนสติหลวงภักดีแปลกใจเช่นกัน
“เป็นบ้าไปแล้วหรือครับ ทำแบบนี้กับคุณหญิงอบเชยได้ยังไง”
“ก็คุณหญิงจะไล่แพงออกไปจากบ้านนี้ ผมไม่ยอม แพงไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ผมไม่ยอม”
คุณหญิงโกรธมาก
“ไม่ยอมหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวออกไปทั้งคู่เลย ออกไปเดี๋ยวนี้”
“ได้ครับ ผมจะพาแพงออกไปอยู่บ้านของผม”
แพงยิ้มพอใจสะใจ ชื่นกลิ่นมีบัวสวรรค์คอยประคอง ส่งเสียงดังมา
“ไม่...ไม่ได้นะคะ”
“ลูกชื่น ลงมาทำไม”
“คุณหลวงแต่งงานกับหนู ถ้าคุณหลวงไป หนูจะอยู่ยังไงคะคุณแม่”
“คนเรา ขาดข้าวขาดน้ำมันถึงตาย ขาดผู้ชายไป ไม่มีใครตายหรอกลูกชื่น”
บัวสวรรค์รีบเข้าไปเตือนสติคุณหญิง
“คิดให้ดีก่อนนะคะคุณอา ผัวไปทาง เมียไปทาง คนจะมองพี่ชื่นว่ายังไง มิต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาวหรือคะ”
กล้ารีบเข้ามาหาอบเชยอีกคนส่งเสียงเบา
“คุณหลวงเหมือนคนขาดสติ ผมอยู่กับท่านมาตั้งแต่เด็ก ท่านไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมขอเวลาคุยกับท่านก่อนได้ไหมครับ อย่าเพิ่งไล่ท่านไปเลย”
คุณหญิงโมโห
“นี่...พวกเธอ”
ชื่นกลิ่นเข้ามาจับแขนแม่ขอร้อง
“คุณแม่ขา ชื่นรักคุณหลวง ชื่นไม่รู้จะอยู่ยังไง ถ้าไม่มีคุณหลวง ชื่นกลัว ถ้าคุณหลวงไปแล้ว เธอจะไม่กลับมา”
แพงทำหน้าเบื่อ
“ฮึ่ยน่ารำคาญจริง ไปกันเถอะค่ะคุณหลวง แพงกับแม่อยากไปอยู่บ้านใหม่ใจจะขาดแล้ว”
ชื่นกลิ่นข้าไปอ้อนวอนขอหลวงภักดี จนเขาสงสารเหมือนใจอ่อนวูบหนึ่ง
“คุณหลวงเจ้าขา อยู่ที่นี่นะคะ ชื่นยังทำใจไม่ได้ อย่าเพิ่งไปไหนเลย”
“แม่ชื่น...”
หลวงภักดีทำท่าจะไปหา แต่ถูกแพงดึงไว้
“คุณหลวงมานี่...”
บัวสวรรค์ขอร้องคุณหญิง
“คุณอาขา ตอนนี้ทุกคนร้อนกันไปหมด ทอดเวลาออกไปสักครู่ดีไหมคะ บางทีอาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบของผู้ชาย อีกหน่อย หมดช่วงข้าวใหม่ปลามันไปแล้ว อาจจะลืมนางแพงก็ได้ ไหนๆพี่ชื่นก็ออกปากเองแล้ว”
คุณหญิงมองทางนั้นทางนี้ที แค้นใจมาก
“ฮึ่ย...”
คุณหญิงยอมรามือ เดินกลับไป เพราะทำอะไรไม่ได้
“คุณแม่”
ชื่นกลิ่นตามไปง้อแม่ แพงสะใจ ดึงหลวงภักดีไว้กับตัว คนที่เหลือได้แต่กระอักกระอ่วน กลุ้มใจ
คุณหญิงเดินเข้าไปด้านใน ยังโมโหอยู่มาก เดินปัดข้าวของออกไปจากโต๊ะเครื่องแป้ง ระบายโทสะ
“ฮึ่ย...นังหอกข้างแคร่ ฉันอยากจะฆ่าแกจริงๆ”
ชื่นกลิ่นเดินมาหา ห่วงความรู้สึก
“คุณแม่ขา”
คุณหญิงอบเชยหันมาจับแขนทั้งสองข้างลูกสาวเขย่า
“ทำไม ทรมานตัวเองอย่างนี้ทำไม ไหนบอกมาซิ รักเขามากนักหรือ”
“คุณแม่อย่าโกรธลูกเลยนะคะ ลูกไม่มีใครแล้ว ถ้าคุณแม่ไม่รักลูกอีกคน ลูกจะทำยังไง”
ชื่นกลิ่นร้องไห้ เหมือนเด็กๆ คุณหญิงสงสารลูกสุดใจ ดึงเข้ามากอด
“ลูกชื่นของแม่ ลูกต้องเข้าใจความรักเสียใหม่นะลูก ไม่มีความรักไหนสำคัญเท่ารักตัวเอง ที่ลูกทำอยู่นี่ คิดว่ารักตัวเองมากพอแล้วหรือ”
ชื่นกลิ่นมองอย่างขอโทษ
“คุณแม่...”
“ตอนลูกยังเล็ก พ่อแม่ทุกคน แม้แต่มดตัวหนึ่ง ยุงตัวหนึ่ง ยังไม่ยอมให้กัดแต่พอโตขึ้นมา ไม่กินข้าว เอาแต่นั่งร้องไห้ทำร้ายตัวเอง เพราะผู้ชายเพียงคนเดียว ทำแบบนี้ คิดถึงใจพ่อแม่บ้างหรือเปล่า”
“หนูขอโทษ...หนูขอโทษ”
“หนูจะให้คุณหลวงอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เลิกเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีนี้เสียที หนูรู้ไหม ยิ่งทำ ก็ยิ่งหมดคุณค่า ไม่มีใครเขามาสนใจเราด้วยวิธีนี้หรอก หนูต้องกินข้าว ต้องลุกขึ้นมา ต้องใช้ชีวิตให้เป็นปกติ หนูทำได้ไหมล่ะ”
“ฮือ...คุณแม่”
ชื่นกลิ่นซาบซึ้งเข้าใจ กอดแม่ร้องไห้ไปด้วยกัน แต่ยังทำไม่ได้ในทันที
หลวงภักดีเดินเข้าบ้านมาสีหน้ากลุ้มๆ แพงเดินตามงอนง้อ กระเง้ากระงอด กล้าเดินตามมาอีกคน
“คุณหลวงเจ้าขา เรื่องพวกนี้น่าเบื่อเหลือเกิน แพงไม่อยากอยู่บ้านนี้แล้ว คุณหลวงน่าจะพาแพงไปอยู่ที่อื่น หาบ้านใหญ่ๆ ให้แพงอยู่นะเจ้าคะ”
“คุณแม่ของคุณหลวง คงไม่พอใจแน่ ถ้ารู้เรื่องของเธอ” กล้าพูดขึ้น
“พี่กล้า...ใครถาม ผัวเมียเขาจะคุยกัน มาอยู่ตรงนี้ทำไม”
“ถ้าคุณแม่คุณหลวงรู้ว่า คุณหลวงทิ้งคุณชื่นกลิ่น อาจจะไปเรียนเสด็จในกรม อาจจะให้ส่งคุณหลวงเข้าค่ายทหารที่หัวเมือง”
“ฉันเป็นเมีย ฉันจะตามไป”
“ค่ายทหารตั้งอยู่ในกระท่อมกลางป่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยู่ได้ ไม่มีความสะดวกสบาย ไม่มีคนใช้ ไม่มีใครชื่นชมเมียคุณหลวงอย่างเธอ เธอจะกลับไปสู่ความยากจนที่เธอกลัว เธอจะไปหรือ”
แพงอึ้ง
“คุณแม่คุณหลวงจะทำจริงหรือเจ้าคะ”
หลวงภักดีมองแพงแล้วพยักหน้าว่าอาจจะจริง
“ฮึ่ย!”
แพงเซ็ง นั่งลงทันที ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ดังใจ
“งั้นรอหน่อยก็ได้”
“รออะไร” กล้าถามอย่างสงสัย
“รอแพงท้องกับคุณหลวงไง ตอนนี้เป็นแค่เมียน้อย แต่ถ้าท้อง อีแพงก็เป็นแม่ของทายาทคุณหลวง ถึงเวลานั้น ญาติคุณหลวงก็ต้องต้อนรับแพงอยู่ดี”
กล้าอึ้งไป แพงเข้าไปเง้างอด คุณหลวงยิ้มให้พยักหน้าว่าจริง
วันใหม่...นวลกับติ่งช่วยกันเด็ดผักเตรียมทำกับข้าว ทำไป คุยไป
“หมั่นไส้อีนังคางคกจริงๆ ดูท่าทางที่มันพูดกับคุณหญิงสิ มีความสำนึกบุญคุณ มีความยำเกรงกันบ้างไหม” นวลพูดอย่างเกลียดชัง
“ใช่...อีตอนอดอยาก พากันมาพึ่งใบบุญให้ท่านเลี้ยงทั้งแม่ทั้งลูก ถึงตอนนี้ดูมันทำ”
นวลซาบซึ้งคำสอน
“คุณหญิงเขาด่าดีนะ เกิดเป็นลูกผู้หญิง จะเอาแต่พึ่งผู้ชายไม่ได้”
ติ่งพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ !”
นวลเสียงดัง
“มันต้องมีศักดิ์ศรีความเป็นคน”
“ใช่ !”
“มันต้องทำงานด้วยตัวเอง”
“ใช่ !”
นวลวางมีดลุกขึ้นยืนประกาศกร้าว
“ว่าแล้ว หาทางเป็นเมียพี่กล้าดีกว่า”
“เอ้าอีนี่”
“ก็คุณหญิงน่ะพูดถูก แต่ทำยาก แค่คิดก็เหนื่อย ไปดีกว่า”
นวลได้ความคิด รีบออกไปทันที ติ่งงง เกาหัว ตกลงที่พูดน่ะ คนเดียวกันไหม
“เฮ้ย อะไรวะ”
จบตอนที่ 8
อ่านต่อตอนที่ 9 พรุ่งนี้