กระบือบาล ตอนที่ 14
บนศาลาการเปรียญเวลานั้น ใจเด็ดกำลังก้มกราบครั้งสุดท้าย แล้วเงยหน้าขึ้นประเคนภัตราหารหลวงพี่
“พักนี้หนักหน่อยนะใจเด็ด” หลวงพี่เอ่ยขึ้น
“ครับหลวงพี่”
“แล้วอาการของโยมเจนจิราเป็นยังไง”
ใจเด็ดนิ่งไปอึดใจ ด้วยความเจ็บปวด “ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ”
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิใจเด็ด...ตอนนี้โยมเจนไม่อยู่...รู้มั้ยว่าสิ่งที่เราต้องทำคืออะไร”
“อะไรครับหลวงพี่”
“เราต้องเข็มแข็งขึ้นเป็นสองเท่า” ใจเด็ดใจชื้นขึ้นมาเหมือนได้กำลังใจเพิ่มขึ้นมาทันที “เคยได้ยินคำกลอนนี้มั้ย...เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน...เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์...แต่คนที่ควรชมนิยมกัน...ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา”
ได้ยินที่หลวงพี่พูดปลุกปลอบ แววตานักสู้ของใจเด็ดฮึดขึ้นมาอีกครั้ง
สรนุชเดินเคียงกันมากับโชคชัยภายในวัด
“เดี๋ยวเราไปไหว้พระประทานก่อนแล้วค่อยไปหาหลวงพี่ที่ศาลานะครับ”
“ค่ะ”
ระหว่างนั้นเสียงคุ้นหูของณวัตดังขึ้น
“จะมาทำบุญล้างบาปกันหรือไง”
สรนุชกับโชคชัยชะงักเมื่อได้ยิน ทั้งสองหันมาตามเสียงแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นณวัตเดินเข้ามา
“วัต”
โชคชัยเห็นณวัตก็ถึงกับใจหายวูบเหมือนคนอกหักกลางอากาศ ณวัตปรี่เข้ามาแล้วมองที่โชคชัยกับสรนุช
“ยังไง...ฉันถามว่าจะมาทำบุญล้างบาปหรือไงไอ้บ้านนอก”
“คุณพูดเรื่องอะไร...ผมไม่เข้าใจ”
“โอเค๊...งั้นฉันจะพูดง่ายๆ ให้สมกับความรู้คนบ้านนอกอย่างแก” ณวัตพูดพร้อมกับจ้องตาโชคชัยเขม็ง “ก็บาปที่เป็นชู้กับเมียชาวบ้านไง”
สรนุชเหลืออดแล้วรีบเข้ามาผลักณวัตออกทันที
“วัต..! เมื่อไหร่คุณจะเลิกคิดอกุศลซะที...นุชกับคุณโชคชัยไม่ได้มีอะไรอย่างที่วัตคิด”
“ไม่มีอะไร...แล้วไอ้ที่ออกมาจากโรงแรมด้วยกันมันคืออะไร”
สรนุชชะงักไปแล้วหันมองหน้าโชคชัย โชคชัยเดินเข้ามาหาณวัตเพื่อจะอธิบาย
“ฟังผมอธิบายก่อนได้มั้ยครับ”
ณวัตไม่สนใจฟัง ผลักอกโชคชัยอย่างเอาเรื่องทันที
“อธิบายอะไร...อธิบายว่าแกมีความสุขกับแฟนฉันเมื่อคืนยังไงน่ะเหรอ”
เวลาเดียวกันใจเด็ดเดินลงมาจากศาลา รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ดังมาจากมุมหนึ่ง ใจเด็ดมองไปทางเสียงนั้น
ณวัตของขึ้นเต็มที่ เดินเข้ามาผลักอกโชคชัย “ไง...พูดซิวะ”
ณวัตผลักอกโชคชัยหลายครั้ง แต่โชคชัยก็ไม่ตอบโต้อะไร “ทำไม...พูดไม่ออกหรือไง”
สรนุชรีบเข้ามาดึงรั้งณวัตเอาไว้ “พอได้แล้ววัต”
“อย่ายุ่ง”
ณวัตสะบัดแขนออกเต็มแรง จนสรนุชเสียหลักกำลังจะล้ม แต่แล้วใจเด็ดก็เดินเข้ามารับร่างสรนุชเอาไว้ได้ทันพอดี
ทุกคนหันมองใจเด็ด สรนุชรีบดึงตัวเองออก ณวัตพอเห็นใจเด็ดก็เปลี่ยนเป้าหมาย
“เฮ้อ...นี่มันปาร์ตี้อะไรเนี่ย...คนนึงก็ไอ้บ้านนอก...อีกคนก็ไอ้เด็กเลี้ยงควาย”
“ส่วนอีกคนก็เป็นไอ้บ้าเสียสติ” ใจเด็ดเอ่ยสวนขึ้น
“นี่แกว่าฉันเหรอ”
“ใจเด็ด...ฉันขอละ...อย่ามีเรื่องมีราวเลย” โชคชัยหันมาทางณวัต “ส่วนคุณ...ผมกับคุณสรนุชไม่ได้มีอะไรหรือเป็นอะไรกันอย่างที่คุณคิดจริงๆ”
“สองครั้งแล้วที่ฉันเห็นแกมาเกาะแกะนุช...แกคิดว่าฉันจะเชื่อหรือไง”
โดยไม่มีคาดคิด ณวัตเหวี่ยงหมัดใส่โชคชัยทันที โชคชัยไม่ทันระวังจึงโดนหมัดของณวัตจนล้มลง
“คุณโชคชัย”
ณวัตปรี่เข้าไปกระโดดคร่อมร่างของโชคชัย โชคชัยยังพยายามอธิบาย
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
ณวัตเลือดขึ้นหน้า ไม่ฟังเสียงใคร ต่อยโชคชัยอีก โดยที่โชคชัยไม่ตอบโต้
สรนุชเข้าไปห้ามณวัตก็โดนผลักออกมาอีก ใจเด็ดคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่างก่อนจะหันไปเห็นถังน้ำวางอยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งใส่ปุ๋ยคอกละลายน้ำ
ใจเด็ดสาดถังน้ำมูลควายใส่ณวัตที่กำลังระดมต่อยโชคชัยอยู่อย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างจึงได้ยุติลง
“ไอ้บ้า...น้ำอะไรวะ” ณวัตดมกลิ่นตัวเองแล้วร้องถามอย่างหงุดหงิด
“ปุ๋ยคอกละลายน้ำ...ไม่ต้องกลัวว่ามันจะสกปรกหรอกคุณ....เพราะความคิดของคุณมันสกปรกกว่าไอ้น้ำขี้ควายนี่อีก” ใจเด็ดบอก
“แก” ณวัตโกรธสุดขีด
ณวัตปรี่เข้าไปหาใจเด็ด แต่สรนุชเข้ามาขวางเอาไว้ “เลิกบ้าได้แล้ววัต”
“บ้างั้นเหรอ...นุชก็เห็นอยู่ว่าพวกมันรุมวัต”
“ยังจะบ้าต่อใช่มั้ย...ได้...ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมรับใบลาออกของนุชได้เลย”
สรนุชบอกไม้ตายเสร็จก็เดินออกไป ณวัตมองใจเด็ดกับโชคชัยก่อนจะรีบวิ่งตามสรนุชออกไป
โชคชัยเช็ดเลือดมุมปากเจ็บตัวเจ็บใจ ใจเด็ดหน้าเครียดเช่นกัน
ด้านชิดชัยยืนรออยู่ที่หน้ารถ คอยมองความเคลื่อนไหวภายในวัดอย่างสะใจ
“โวยวายกันอย่างนี้...สงสัยนังนั่นจะโดน...ฮิๆ”
ระหว่างนั้นสรนุชเดินออกมาอย่างหัวเสีย ชิดชัยรีบหลบข้างรถแทบไม่ทัน
ณวัตรีบวิ่งเข้ามาขวางสรนุชเอาไว้
“นุช...” ณวัตดึงแขนสรนุชเอาไว้ “นุชพูดเล่นใช่มั้ย”
สรนุชสะบัดมือณวัตออกจ้องหน้า “วัตมานี่ทำไม”
ณวัตยิ้มออกมา ทั้งๆ ที่มีขี้ควายติดตัว “นุชดีใจใช่มั้ย”
“หน้านุชเหมือนคนดีใจเหรอ...บอกไว้ก่อนเลยนะวัต...ถ้าวัตมานี่เพราะไอ้ความหึงบ้าๆ บอๆ ของวัตละก็...นุชว่าวัตกำลังเข้าใจผิด”
“เพราะนุชไม่ได้ชอบไอ้บ้านนอกพวกนั้นใช่มั้ย”
“ที่นุชบอกว่าวัตกำลังเข้าใจผิดน่ะหมายความว่า...วัตกับนุชไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว...เพราะฉะนั้นวัตไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนุช”
สรนุชพูดกระแทกเสียงใส่ณวัตชัดๆ แล้วเดินออกไป ณวัตมองตามด้วยความคั่งแค้นสุดๆ
“นุช...นุช ! ฮึ่ยย์”
พอเห็นว่าสรนุชไปแล้วชิดชัย ค่อยๆ เดินเข้ามาหาณวัตหวังประจบประแจง
“เป็นไงบ้างครับ..” ชิดชัยชะงึกกึกเพราะกลิ่นขี้ควายเตะจมูก “โห...นี่คุณวัตกับคุณนุชไปนั่งคุยใต้ตูดควายมาเหรอครับเนี่ย...กลิ่นใช้ได้เลยนะเนี่ย”
“พาฉันไปโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองนี้”
“คุณวัตจะไปทำไมครับ”
“แล้วแกจะให้ฉันอยู่อย่างนี้หรือไง”
ณวัตเงื้อหมัดใส่ชิดชัย ชิดชัยรีบวิ่งจู๊ดออกไป
ณวัตมองเข้าไปในวัดแค้นใจเด็ด “ไอ้เด็กเลี้ยงควาย! แกเล่นผิดคนแล้ว”
ส่วนโชคชัยมายืนอยู่ริมน้ำอย่างเศร้าสร้อยเหมือนคนอกหัก ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น
“ไปหาหมอมั้ยนายก”
ใจเด็ดเดินเข้ามาพร้อมกับส่งน้ำให้กับโชคชัย
“ไม่ต้องหรอก...”
“ผมไม่ได้หมายถึงแผลที่ปากนายก”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีหมอคนไหนรักษาได้...นอกจาก...” โชคชัยเกือบหลุดชื่อสรนุช
ใจเด็ดมองโชคชัย รู้สึกเห็นใจเพราะเขาเองก็เคยเป็นอย่างนี้
“นี่นายกยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ”
“ใจเด็ด...ฉันรู้ว่าฉันอยู่ในฐานะอะไร”
“แล้วนายกก็จะรอต่อไปทั้งๆ ที่นายกก็รู้ว่าไม่มีหวังงั้นเหรอ”
“ไม่หรอก...คนที่ไม่มีหวังคือคนที่ยอมแพ้...แล้วฉันก็รู้ว่านายเองก็ยังมีหวังอยู่”
โชคชัยสบตากับใจเด็ดเหมือนรู้ว่าใจเด็ดเองก็ยังตัดใจจากสรนุชไม่ได้ โชคชัยตบไหล่ใจเด็ดแทนคำขอบใจก่อนจะเดินออกไป
ใจเด็ดนิ่งไป นึกสำรวจหัวใจตัวเองเรื่องสรนุชเช่นกัน ระหว่างนั้นใจเด็ดก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“โอ๊ย”
ภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังหมุนคว้าง ใจเด็ดกัดฟันแน่นต่อสู้กับความเจ็บปวด
ไม่นานต่อมาหมอกำลังตรวจดูม่านตาของใจเด็ด แล้ววางไฟฉายลงอย่างหนักใจ หมอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วบอกให้ใจเด็ดทำตาม
“เอานิ้วแตะปลายจมูกตัวเอง แล้วก็เอามาแตะที่นิ้วหมอได้มั้ย”
ใจเด็ดทำตาม แต่นิ้วใจเด็ดไม่สามารถแตะที่นิ้วของหมอได้ ใจเด็ดนิ่งไปแล้วมองปฏิกิริยาหมอว่าเป็นยังไง
“มันแย่ลงใช่มั้ยหมอ”
“หมอว่าหัวหน้าคงรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว...” หมอพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักใจ “ถ้าหัวหน้ายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ...หมอเกรงว่า...”
หมอพูดแค่นั้นก่อนจะหยุดไป ใจเด็ดนิ่งไปด้วยความกังวล
ส่วนเจนจิรานอนไม่ได้สติอยู่ที่เตียง ระหว่างนั้นใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วเดินเข้ามาหยุดที่ข้างเตียง ใจเด็ดนิ่งไป นึกถึงตอนที่คุยกับหมอ
“ผมจะตายเหรอหมอ”
“ถ้าหัวหน้ายังดื้อที่จะไม่ไปรักษาที่กรุงเทพฯ”
ใจเด็ดรู้สึกเป็นกังวล เอามือไปจับที่มือของเจนจิรา
“เวลาพี่เหลือไม่มากแล้วนะเจน...จะไม่ยอมกลับมาช่วยพี่ดูแลควายจริงๆ เหรอ”
ใจเด็ดมองเจนจิราหวังว่าเธอจะฟื้น แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ กลับมา
อรอนงค์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่บริษัท ท่าทางลับๆ ล่อๆ ปนเขินๆ
“เอ่อ...จะดีเหรอคะ...ได้ค่ะหมอ”
พออรอนงค์หันไปเห็นสรนุชเดินเข้ามาในออฟฟิศ
“อุ้ย...แล้วเจอกันนะคะหมอ”
อรอนงค์วางสายเป็นจังหวะที่สรนุชเดินเข้ามาที่โต๊ะพอดี
สรนุชยังหงุดหงิดจากเรื่องณวัตอยู่ “คุยกับใคร”
“เปล่า...” อรอนงค์แปลกใจเมื่อเห็นท่าทางสรนุช “ไปทำบุญมาน่าจะอารมณ์ดีนะ”
“แกเจอวัตหรือยัง” สรนุชย้อนถาม
“วัต..? คุณวัตมาเหรอ”
สรนุชพยักหน้ารับ “เฮ้อ...ไม่รู้จะมาทำไม...อร...เดี๋ยวแกเฝ้าออฟฟิศให้ฉันหน่อยนะ...ฉันไม่อยากเจอเขา”
“ห๊า”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
อรอนงค์มีพิรุธ “เอ่อ...เปล่า...พอดีฉันว่าจะไปหาหมอ”
“หมอ...นี่แกนัดหมอเกริกไกรเอาไว้เหรอ”
อรอนงค์รีบปฏิเสธ “ใช่...เอ๊ย...ไม่ใช่...ฉันหมายถึงหมอคนอื่นที่โรงพยาบาลน่ะ”
“ทำไม...เป็นอะไร”
“เป็น...เป็น...เอ่อ....ฉันปวดท้องน่ะ”
สรนุชดักคอ “แต่ท่าทางแกไม่เหมือนคนปวดท้องเลยนะ”
“ก็...ฉันไม่อยากให้แกเป็นห่วงไง...โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว...ไม่รู้ว่าเป็นโรคเครียดลงกระเพราะหรือเปล่า”
“ให้ฉันพาไปมั้ย”
“อุ้ย....ไม่ต้องหรอก...” อรอนงค์มองไปรอบๆ “แกต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นนะ...ไม่เป็นไร...ฉันไปเองได้...ฉันไปก่อนนะ”
อรอนงค์รีบเดินออกมาทันที สรนุชมองตามด้วยความเป็นห่วง
เกริกไกรยืนรออรอนงค์อยู่ที่หน้าตลาด อีกมุมหนึ่งช่อผกาเดินนวยนาดเข้ามา ช่อผกาชะงักไปเมื่อเห็นเกริกไกร
“มาทำอะไรที่ตลาดคะหมอ”
เกริกไกรหันมาเห็นช่อผกาก็ตกใจ “ทำไม...สัตวแพทย์เดินตลาดไม่ได้หรือไง”
“ได้น่ะมันได้...แต่ฉันไม่เคยเห็นหมอมาเดินเลยนี่” ช่อผกาสังเกตท่าทาง “หรือว่าหมอนัดใครเอาไว้”
เกริกไกรตกใจรีบปฏิเสธ “เปล่า...ไม่ได้นัดใครเอาไว้”
“มีพิรุธอย่างนี้แสดงว่าต้องนัดใครเอาไว้แน่ๆ...หรือว่า...”
เกริกไกรตีตนไปก่อนไข้ “เปล่าๆ...ฉันไม่ได้นัดคุณอ..”
ช่อผกาพูดสวนขึ้นก่อนที่เกริกไกรจะพูดจบ “พี่เด็ด...หมอนัดพี่เด็ดเอาไว้ใช่มั้ย”
“หื๊อ..!” ได้ยินอย่างนั้นแล้วแผนในหัวก็ทำงาน “เอ่อ...ใช่...เนี่ยไอ้เด็ดมันนัดไว้ตรงนี้”
ช่อผกาดีใจสุดขีด “เหรอ...แล้วพี่เด็ดอยู่ไหนอ่ะหมอ”
“เอ่อ...เอ่อ...ในตลาด...ไอ้เด็ดมันอยู่ในตลาด”
“เยส...งั้นเดี๋ยวผกาไปเซอร์ไพรส์พี่เด็ดดีกว่า”
ช่อผการีบวิ่งเข้าไปในตลาด เกริกไกรโล่งอก ระหว่างนั้นอรอรนงค์ก็เดินเข้ามาที่ด้านหลังเกริกไกร
“หมอคะ”
เกริกไกรตกใจร้องลั่น “เฮ้ย”
“อะไร...อะไรคะ”
“เปล่าหรอกครับ...แหม...คุณอรเนี่ยตรงเวลาดีนะครับ...ผมว่าเราไปที่อื่นดีกว่าครับ”
“ทำไมละคะ...ก็อรอยากมาตลาดนี่”
เกริกไกรมองไปรอบๆ แล้วคิดในใจว่าซวยแน่เพราะช่อผกาอยู่ในตลาด เกริกไกรไม่อยากให้เจอ
“แล้วคุณอรจะมาตลาดทำไมเหรอครับ”
อรอนงค์กับเกริกไกรเดินเข้ามาในร้านขายปลา เห็นปลาหลายตัวกำลังว่ายน้ำอยู่ในกาละมัง
“เอ่อ...ผมว่าเราไปซื้อปลาที่ตายแล้วดีกว่าครับ”
“อ้าว...ทำไมละคะ...ตายแล้วมันจะใช้ได้ยังไง”
“แล้วคุณอรไม่สงสารมันบ้างเหรอครับ...ถึงเราจะไม่ใช่คนทุบหัวปลา...แต่เราก็เป็นคนสั่งฆ่ามันนะครับ”
“แล้วใครว่าอรจะมาซื้อปลาไปกินคะ”
เกริกไกรงง
“อรจะมาซื้อปลาพวกนี้ไปปล่อยค่ะ”
“อ้าวเหรอครับ...มาครับ...งั้นผมช่วยเลือก”
“ไม่ต้องหรอกคะ...แม่ค้า...ฉันเหมาทั้งกาละมังจ้ะ”
แม่ค้ารีบหยิบปลาใส่ถุงส่งให้ทันที
เกริกไกรมองอรอนงค์แล้วยิ่งเห็นความสวยงามจากภายใน “คุณอรนี่สวยจากภายในจริงๆ นะครับ”
จังหวะนั้นแม่ค้าทำปลาตัวหนึ่งในกาละมังหลุดมือ
“อ้าว...แม่หนูช่วยจับหน่อยเร็ว”
เกริกไกรกับอรอนงค์รีบจับปลากันทันที อรอนงค์คว้าปลาขึ้นมาได้ แต่แล้วทั้งอรอนงค์กับเกริกไกรก็อึ้งไปเมื่อเห็นช่อผกายืนจ้องอยู่
“โกหก...ที่แท้หมอก็นัดนังนี่ไว้ใช่มั้ย”
“เอ่อ...เปล่า...คือเรา...เจอกันที่นี่ใช่มั้ยครับคุณอร”
“ไม่เชื่อ...ผกาจะไปบอกพี่เด็ดว่าหมอเป็นหนอนบ่อนไส้”
“เดี๋ยวคะคุณผกา” อรอนงค์จะตามแต่เพราะตกใจจึงทำปลาหลุดมือ “ว้าย”
ปลาลอยอยู่กลางอากาศ แล้วปลาเจ้ากรรมก็ดันหล่นลงไปในคอเสื้อของช่อผกา
“อ๊าย...เอาออกไป...เอามันออกเดี๋ยวนี้”
เกริกไกรสบโอกาสรีบดึงมืออรอนงค์ไปทันที
“ไปเร็วครับคุณอร”
สองคนวิ่งออกมาปล่อยให้ช่อผการ้องโวยวายเป็นคนบ้าอยู่กลางตลาด
เกริกไกรกับอรอนงค์กำลังปล่อยปลาลงน้ำอย่างมีความสุข
“ไปดีนะ...อย่าให้ใครเขาจับได้อีกละ”
อรอนงค์หันมาก็เห็นเกริกไกรอมยิ้ม
“ขำอะไรเหรอคะ”
“เปล่าหรอกครับ...คือ...พอผมเห็นคุณอรพูดกับปลาแล้วก็คิดว่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่ชอบพูดกับสัตว์”
“หมอกำลังหมายถึงควายใช่มั้ยคะ”
“ไม่หรอกครับ...สัตว์พวกนี้ถึงจะฟังเราไม่รู้เรื่อง...แต่ผมว่ามันรู้สึกได้ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน”
อรอนงค์นิ่งไปด้วยความรู้สึกผิด
“ทำไมเราต้องมาเป็นศัตรูกันด้วยคะ...ทำไมฉันต้องขายรถไถ...แล้วทำไมหมอต้องเลี้ยงควาย”
เกริกไกรเห็นอรอนงค์เศร้าลงก็พยายามพูดเปลี่ยนประเด็น
“แหม...ผมไม่น่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย...คุณอรอุตส่าห์อยากทำบุญทั้งที...เอ่อ...คุณเชื่อเรื่องปล่อยปลาสะเดาะเคราะห์...แสดงว่าคุณอรเชื่อเรื่องดวงใช่มั้ยครับ”
“ทำไมเหรอคะ”
“เอ้า...คุณอรอาจจะไม่รู้ว่าก่อนที่ผมจะเป็นหมอควายผมเคยเป็นหมอดูมาก่อน”
“จริงเหรอคะ”
“จริงซิครับ...ไม่เชื่อ...มา...ขอผมดูมือหน่อยครับ”
อรอนงค์พาซื่อ ยื่นมือให้เกริกไกรดู
“คุณอรเป็นคนเชื่อคนง่ายใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ...ก็ไม่นี่คะ”
“จริงเหรอครับ...แต่ผมว่าใช่นะ...ดูซิ...ขนาดผมหลอกจับมือคุณอรยังให้จับเลย”
“หมออ่ะ”
อรอนงค์จะยกมือตีเกริกไกร แต่เกริกไกรจับมือไว้แล้วส่งสายตาเปี่ยมรักให้ อรอนงค์ปล่อยให้เกริกไกรจับมือแต่หลบตาด้วยความเขิน
ด้านชิดชัยพาณวัตมาเช็คอินที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และกำลังเอาเสื้อผ้าณวัตออกจากกระเป๋าใส่ไว้ในตู้ให้ ระหว่างนั้นณวัตใส่ชุดคลุมอาบน้ำออกมา
ชิดชัยหันมาเห็น “เป็นไงครับ...ชอบห้องมั้ยครับ”
“ชอบอะไรของแก...ฉันบอกให้เอาโรงแรมที่ดีที่สุด...นี่อะไร...ห้องคนใช้บ้านฉันยังดีกว่านี้เลย”
ชิดชัยหน้าเสีย “เอ่อ...ที่ผมให้คุณวัตอยู่นี่ก็เพราะจะได้อยู่ใกล้ๆ คุณนุชไงครับ...ไอ้พวกเหลือบลิ้นไรจะได้ไม่ต้องมาไต่มาตอม”
“ไอ้บ้านนอกกับไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่นน่ะเหรอ...”
“ไอ้บ้านนอกน่ะไม่เท่าไหร่...แต่ไอ้เด็กเลี้ยงควายนี่ตัวแสบเลยครับ...โอ๊ย...ถ้าไม่มีมันซักคน...ป่านนี้รถไถของเราขายระเบิดระเบ้อแล้วครับ” ชิดชัยใส่ไฟใจเด็ดทันที
“ทำไม...มันมีอิทธิพลกับชาวบ้านขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ครับ...ไม่ว่าจะเรื่องอะไร...ถ้าไอ้หมอนี่ไม่เห็นด้วยก็จะปลุกระดมชาวบ้านให้คิดเหมือนมัน”
ณวัตได้ยินอย่างนั้นก็บ่นพึมพำออกมา “ถ้ามันอยู่เรื่องที่ของเราก็คงลำบาก”
“คุณวัตว่าอะไรนะครับ” ชิดชัยได้ยินไม่ชัด
“เปล่า...แล้วถ้าเรากำจัดมันได้...ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นใช่มั้ย”
“แน่นอนครับ...เอ่อ...คุณวัตจะทำอะไรเหรอครับ”
ณวัตไม่ตอบหรี่ตาร้ายมองไปข้างหน้า
คืนนั้นบริเวณละแวกบ้านตาแมง ไอ้โม่งสองคนค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแอบที่พงหญ้าข้างบ้านตาแมง ไอ้โม่งทั้งสองมองไปที่บ้านตาแมงที่ยังเปิดไฟสว่าง แล้วดึงหน้ากากออกจึงเห็นว่าเป็นชิดชัยกับลูกน้อง
“บุกเข้าไปเลยเถอะพี่”
“แกจะใจร้อนทำไม”
“ผมไม่ได้ใจร้อน...แต่ผมคัน...ไอ้ยุงบ้าพวกนี้กัดเจ็บฉิบ”
“ไม่ได้เว้ย...เรื่องนี้คุณวัตแกกำชับมาว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด...รอให้พวกมันขึ้นนอนก่อนดีกว่า”
ตาแมงกำลังเอาผ้าขาวม้าคอยเช็ดคอยถูรถไถคันใหม่อย่างคนบ้าเห่อ ระหว่างนั้นเมียตาแมงเดินลงมาตาม
“ไง...จะนอนกับไอ้รถไถข้างล่างเลยมั้ย”
“เออๆ...ขึ้นแล้วๆ” หันมาลูบรถไถเหมือนเป็นควาย “พรุ่งนี้เจอกันนะ”
ตาแมงเดินขึ้นบ้านไป แต่ยังคอยหันมองรถไถอย่างอาลัยอาวรณ์
ส่วนชิดชัยนั่งหันหลังพิงต้นไม้รอ ระหว่างนั้นลูกน้องสะกิด
“พี่...พี่”
“อะไรวะ”
“ตาแมงขึ้นบ้านไปแล้วพี่”
ชิดชัยหันไปมองที่บ้านตาแมงก็เห็นไฟบนบ้านดับแล้ว ชิดชัยดึงหน้ากากลงมาใส่เตรียมพร้อมทันที
ชิดชัยกับลูกน้องค่อยๆ ย่องเข้ามาใต้ถุนบ้านที่มืดสนิท ชิดชัยมองไปรอบๆก่อนจะสั่งขึ้น
“แกไปดูต้นทางเอาไว้”
จู่ๆ ตาแมงเดินลงมาจากในบ้าน เสียงจากฝีเท้าทำให้ชิดชัยและลูกน้องรีบวิ่งไปหลบหลังตุ่มน้ำ
ตาแมงกำลังเดินเข้ามาตรงที่ชิดชัยกับลูกน้องหลบอยู่ แต่ระหว่างนั้นเสียงของเมียตาแมงก็ดังขึ้น
“จะเห่ออะไรนักหนาห๊ะไอ้แก่...ถ้าแกไม่นอนละก็..พรุ่งนี้ฉันจะเอาไปคืนพวกคาบาตี้คอยดู”
ตาแมงชะงักหยุดก่อนจะหันมองว่ารถไถอยู่ปลอดภัย จึงยอมเดินขึ้นบ้านไป
ชิดชัยกับลูกน้องโล่งอก ก่อนที่ทั้งสองจะออกมาจากที่ซ่อนตรงเข้ามาที่รถไถ ชิดชัยมองไปที่โซ่ที่ล่ามรถไถเอาไว้ก่อนจะหยิบคีมตัดเหล็กขึ้นมา
ตาแมงนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ในมุ้งกับเมีย ระหว่างนั้นเห็นควันไฟลอยเข้ามาในบ้าน ตาแมงทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะสะกิดเมีย
“นี่...นี่”
“อะไร...วันนี้เหนื่อย...เอาไว้วันหลัง”
“ไม่ใช่เว้ย...แกได้กลิ่นไหม้มั้ย”
เมียตาแมงทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพยักหน้าว่าได้กลิ่นเหมือนกัน
ตาแมงตลบมุ้งขึ้นก่อนจะรีบวิ่งไปที่ประตูบ้านแล้วจะเปิดออกไป แต่ทันทีที่ตาแมงเปิดประตูบ้านออกตาแมงก็ต้องตกใจ
เช้าวันต่อมา สรนุชกับอรอนงค์นอนหลับสนิทอยู่ในห้อง ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น อรอนงค์งัวเงียก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มากด
“ฮาโหล...”
แต่ปรากฏว่าเสียงโทรศัพท์ยังดังขึ้นอีก อรอนงค์เลยสะกิดสรนุช
“นุช...ใครโทรหาแกน่ะ...นุช”
สรนุชงัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนจะควานหามือถือก่อนจะกดรับสาย
“คะ...ชิดชัย...มีอะไร” สรนุชตกใจ “อะไรนะ”
เสียงร้องด้วยความตกใจของสรนุชทำให้อรอนงค์ถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง
“มีอะไรเหรอนุช”
สรนุชไม่ตอบ สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
รถไถตาแมงเสียหายจากการถูกเผา ตาแมง เมียและครอบครัวนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ
“หมด...หมดตัวแล้ว”
สรนุชกับอรอนงค์พยายามช่วยกันปลอบ
“ไม่มีอะไรนะคะ...ใจเย็นๆ...ยังไงรถก็มีประกันอยู่”
“ใคร...ใครมันทำอย่างนี้ได้ลงคอ” เมียตาแมงถามขึ้นด้วยความสงสัย
สรนุชมองซากรถไถ...อยากรู้เหมือนกัน ระหว่างนั้นชิดชัยกับลูกน้องวิ่งเข้ามา
“ได้เรื่องแล้วครับ...เราเจอนี่ที่พงหญ้าข้างๆ น่ะครับ”
ชิดชัยส่งแกลอนน้ำมันให้สรนุชดู
“แล้วเจออะไรอีกมั้ย”
“ไม่มีเลยครับ”
ชิดชัยแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะแอบหยิบกระดาษใบนึงออกมา
“นี่ครับ...ผมเจอกระดาษนี่ติดไว้ที่หัวกระไดบ้านตาแมงน่ะครบ”
สรนุชรีบหยิบมาดูก่อนที่สรนุชจะอึ้งไปเมื่อในกระดาษเขียนว่า “ แด่เพื่อนควายอันเป็นที่รักของเรา”
สรนุชนิ่งไป รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร !
เวลาเดียวกัน ชาญณรงค์กำลังทำบัญชีอยู่ภายในบ้าน ระหว่างนั้นสมคิดวิ่งเข้ามา
“นายครับนาย”
“อะไรวะ”
“มีคนมาหานายครับ...ไอ้คนที่ขับรถสปอร์ตหน้าฝรั่งๆ น่ะครับ”
“หน้าหล่อๆ...ใครวะ” ชาญณรงค์นึกออก “หรือว่า...”
สักครู่หนึ่งชาญณรงค์เดินออกมาที่หน้าบ้าน
“สวัสดีพ่อวัต”
ณวัตยืนอยู่ข้างรถสปอร์ตหันมา พอเห็นชาญณรงค์ก็ยกมือไหว้
“เออ...ไหว้พระๆ...แหม...กลับมาอย่างที่บอกจริงๆ”
“ครับ...พอมาถึงนี่...ผมก็นึกถึงผู้พันทันที...” แล้วทำเป็นนึกขึ้นมาได้ “อ๋อ...ผมมีของฝากให้ผู้พันด้วยนะครับ”
ณวัตเดินไปเปิดรถก่อนจะหยิบถุงกระดาษสองสามใบออกมา
“เสื้อเชิ้ตจากห้องเสื้อดังที่กรุงเทพฯครับ...ไม่รู้ว่าผู้พันจะชอบหรือเปล่า”
“อูย...ซื้อมาให้ลำบากทำไม” แต่พอดึงออกมาก็ชอบทันที ผสมกับความงก “แหม...แต่ว่าโบราณเขาว่าไว้ว่าอย่าให้อะไรที่มันเป็นเลขคี่นะ...มันไม่ดี”
“ผมคิดอยู่แล้วละครับ...ก็เลยซื้อมาอีกตัว” ณวัตรู้ทัน
แล้วณวัตก็ส่งถุงในมือให้ชาญณรงค์อีกถุง ชาญณรงค์หยิบขึ้นมาดูก็พอใจก่อนจะเห็นว่าณวัตยังเหลืออีกถุงในมือ
“แหม...แต่ถ้าเป็นเลขสามก็ดีนะ...จะได้ครบพระพุทธ...พระธรรม...พระสงฆ์”
“อ้าว...ไหนเมื่อกี้นายบอกว่าเลขคี่ไม่ดีไงครับ” สมคิดแย้ง
ชาญณรงค์ถึงกับกระแทกศอกใส่ จนสมคิดจุกหน้าเขียว
“แหม...ท่าทางผู้พันจะเป็นคนธรรมะธัมโมน่ะครับ...ลองดูในถุงอีกทีซิครับ”
ชาญณรงค์รีบเปิดถุงดูก่อนจะหยิบแว่นกันแดดขึ้นมา
“โอ้โห...คราวนี้ก็ครบองค์สามพอดี...เอ...แต่อย่าบอกนะว่าไอ้ที่ซื้อของมาให้ฉันนี่จะแทนค่าสินสอด”
“ไม่หรอกครับ...เพราะผมมีเรื่องสำคัญกว่านั้น”
ณวัตยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นมาทันที
ไม่นานต่อมา ชาญณรงค์กำลังดูนามบัตรในมือด้วยอาการสั่นเทิ้ม
“ห๊า ! นี่คุณวัตเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทคาบาตี้เหรอ”
“ผู้พันก็เห็นตำแหน่งผมอยู่ในนามบัตรแล้วนี่ครับ”
“โห...แล้วก็ไม่บอก...มิน่าถึงได้ดูมีสง่าราศีขนาดนี้...แล้วคุณวัตมาคราวนี้มาทำอะไร...หรือว่าคุณนุชแกทำงานไม่ได้เรื่องก็เลยต้องมาดูเอง”
“ตอนนี้ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องรถไถเท่าไหร่หรอกครับ...ที่ผมมาหาผู้พันในวันนี้เพราะรู้ว่าผู้พันเป็นผู้กว้างขวางที่หนองระบือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว...คุณวัตอยากได้อะไรอยากหาอะไร...รับรองว่าผมว่าจัดให้ได้เต็มที่”
“แล้วถ้าผมอยากได้ที่สักแปลงละครับ” ณวัตลองหยั่งเชิง
“ที่เหรอ...? คุณวัตอยากได้ที่ที่หนองระบือไปทำอะไร”
“คือพ่อผมมีโครงการที่จะทำโรงงานที่นี่...ก็เลยอยากได้ที่หลายผืนหน่อย”
“ไม่มีปัญหา...แล้วคุณวัตอยากได้ที่ใหญ่แค่ไหนละ”
ณวัตยิ้มเย็น “ทั้งตำบลหนองระบือ”
ชาญณรงค์ได้ยินอย่างนั้นถึงกับอ้าปากค้าง
อ่านต่อหน้า 2
กระบือบาล ตอนที่ 14 (ต่อ)
เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์เวลานั้น สมหญิงกำลังดูไพ่ป๊อกอยู่ โดยมีสุบินและภิรมย์กำลังสนใจอย่างเคร่งเครียด สมหญิงพลิกไพ่ขึ้นมาเป็นไพ่ตัวแจ๊ค
“โห...”
“มีอะไรครับ” สุบินสงสัย
“ก็ไอ้ตัวแจ๊คนี่ไงคะ...มันหมายถึงศัตรู...ตอนนี้ปัญหาทางด้านงานของเราคงจะเป็นพวกที่อยู่ตรงข้าม”
“โอ๊ย...ใครก็ดูได้สมหญิงเอ๊ย...ถ้าให้ไอ้ฝั่งตรงข้ามเป็นพวกเดียวกับเราแล้วจะเรียกว่าปัญหาได้ไง” ภิรมย์ไม่เชื่อ
ใจเด็ดเดินเข้ามากับเกริกไกรพอดี ใจเด็ดถามขึ้น “ทำอะไรน่ะ”
“เอ่อ...พี่สมหญิงกำลังดูดวงของสถานีอยู่น่ะครับ” สุบินบอก
“หัวหน้าคะ...ไพ่มันบอกว่าตอนนี้หัวหน้ากำลังจะเดือดร้อนเพราะฝ่ายตรงข้าม”
“สมหญิง...ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก...ฉันเชื่อการกระทำของตัวเองมากกว่า” ใจเด็ดบอก
ระหว่างนั้นมีเสียงโวยวายของชาวบ้านดังเข้ามา ทุกคนหันไปก็เห็นสรนุช อรอนงค์ และชิดชัยกับตาแมงและครอบครัวตรงเข้ามา
“ใครให้คุณเข้ามาในนี้”
ตาแมงเห็นใจเด็ดก็ปรี่เข้าไปต่อว่าทันที
“หัวหน้า...หัวหน้าทำไมทำอย่างนี้...ผมรถไถของผมทำไม”
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับงง โดยเฉพาะใจเด็ด “เผารถไถ..”
“ใช่”
สรนุชเดินเข้ามาหาใจเด็ด ก่อนจะยื่นเศษกระดาษใบนั้นให้
ใจเด็ดเห็นก็อึ้งไป
เวลาเดียวกันโชคชัยขับรถเข้ามาจอด มีรถตำรวจตามหลังมาอีกคัน โชคชัยรีบลงจากรถ
“เร็วครับ”
โชคชัยวิ่งนำตำรวจเข้าไปในสถานีทันที
ใจเด็ดปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่รู้เรื่องเผารถไถ
“ผมไม่ใช่คนเผา...แล้วผมก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น”
“นายไม่รู้เรื่อง...แต่ชาวบ้านทุกคนรู้ว่าคนเดียวในหนองระบือนี้ที่ไม่ชอบรถไถก็คือนาย...แล้วไหนจะมีกระดาษนี่อีก...นายยังจะเถียงอีกเหรอ”
“คุณ...คุณลองคิดดีๆ...ถ้าผมจะทำจริงๆ ทำไมผมต้องทิ้งอะไรไว้ให้คุณตามมาจับผมหรือไง”
สรนุชชะงักไป อรอนงค์เข้ากระซิบ
“ก็จริงของคุณใจเด็ดนะนุช”
ชิดชัยเห็นอย่างนั้นก็รีบเสริม
“อ๋อ...นี่แกกำลังจะบอกว่าพวกเราเผารถไถตัวเองแล้วใส่ร้ายแกหรือไง”
“พวกเราคิดไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก...เอ...แต่คิดอย่างนี้...หรือว่าจะทำจริงๆ” เกริกไกรว่า
“อ้าวๆ...เดี๋ยวก็โดนหมิ่นประมาทอีกข้อหาหรอก” ชิดชัยโวย
ใจเด็ดเดินเข้ามาหาสรนุช “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องคิดว่าเป็นฝีมือพวกเราด้วย”
“ฉันพูดขนาดนี้แล้วนายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” สรนุชหันมอง ก่อนจะเห็นไพ่วางอยู่บนโต๊ะเลยเดินเข้าไป “สมมติว่าฝ่ายนายเป็นสีดำ...ฝ่ายฉันเป็นสีแดง...แล้วตัวนายก็คือคิงโพธิ์ดำ...ส่วนฉันเป็นควีนโพธ์แดง...แล้วคราวนี้...ตาแมงที่ปกติเป็นสีดำก็คือฝ่ายนาย...กลับกลายมาเป็นฝ่ายแดงก็คือฉัน...นายก็เลยยอมไม่ได้เพราะกลัวจะเสียแนวร่วม...นายก็เลยใช้...” หยิบแจ๊คโพธิ์ดำ “ลูกน้องของนาย...ให้ไปเผารถไถ...เพื่อเป็นการข่มขู่...ไม่ให้ชาวบ้านคนอื่นกล้าซื้อรถไถคาบาตี้อีก”
“แล้วถ้า” ใจเด็ดหยิบแจ๊คโพธิ์ดำขึ้นมา “ไม่ใช่คนของผม...แต่เป็นคนของคุณ” หยิบแจ๊คโพธิ์แดงขึ้นมา “ที่ต้องการใส่ร้ายพวกเราละ”
ระหว่างนั้นโชคชัยรีบวิ่งเข้ามา
“ขอโทษนะครับ...ทุกคนอยู่ในความสงบนะครับ”
แล้วโชคชัยก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นสรนุชกับใจเด็ดและทุกคนยืนล้อมรอบโต๊ะที่มีไพ่วางอยู่ ระหว่างนั้นตำรวจวิ่งตามโชคชัยเข้ามาก็เข้าใจผิด
“อ้าว...ไหนนายกบอกว่ามีม๊อบไง...นี่มันเล่นไพ่กันนี่”
ทันทีที่ตำรวจพูดอย่างนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันทีเมื่อชาวบ้านและคนของสถานีต่างรีบวิ่งหนีกระเจิง
สรนุชกับใจเด็ดต่างก็ยืนอึ้งเพราะไพ่ยังอยู่ในมือคาหนังคาเขา
สรนุชอยู่บนโรงพัก กำลังพยายามอธิบายกับร้อยเวร
“จะให้ฉันพูดกี่ครั้งคะ...ฉันไม่ได้เล่นจริงๆ”
ร้อยเวรกำลังสอบปากคำสรนุชกับใจเด็ด
“แหม...คาหนังคาเขาอย่างนี้...ผมว่าคุณอย่าปฏิเสธดีกว่า”
สรนุชหันไปพูดกับใจเด็ด “นี่...อธิบายให้คุณตำรวจเขาฟังซิว่าเราไม่ได้เล่น”
“คุณ...ผมก็พูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว...จะให้ผมพูดอะไรอีก”
สรนุชร้องออกมา “อ๊าย...ฉันไม่ได้เล่น...ฉันไม่ได้เล่น”
ระหว่างนั้นสารวัตรเดินเข้ามา สงสัยที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวาย
“อ้าว...ใจเด็ด...มีเรื่องอะไรกัน”
สรนุชเห็นสารวัตรทักทายใจเด็ดก็รีบเข้าไปพูดทันที
“รู้จักกันเหรอ...ดีแล้ว...จะได้อธิบายง่ายๆหน่อย...ฟังนะคะ...ฉันถูกจับเพราะเข้าใจผิดว่าเล่นไพ่...ทั้งๆ ที่พวกเราไม่ได้เล่นเลย”
“แต่ชุดจับกุมยืนยันครับว่าเราจับได้คาหนังคาเขาจริงๆ” ร้อยเวรยืนยัน
ใจเด็ดลุกขึ้นมาอธิบาย “คือมันเป็นอย่างนี้ครับ...พอดีคุณผู้หญิงคนนี้เข้าใจผิดว่าผมเป็นคนเผารถไถของเธอก็เลยพยายามจะอธิบาย...แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคุณผู้หญิงแกใช้สติปัญญาส่วนไหนถึงได้เอาไพ่มาอธิบาย”
“อ้าว...หลอกด่ากันนี่...ที่ฉันใช้ไพ่อธิบายเพราะอะไร...ก็เพราะฉันพูดดีๆ แล้วนายไม่เข้าใจไง”
สรนุชปรี่เข้าไปหาใจเด็ดจะเอาเรื่อง
“แล้วฉันก็ไม่ได้เข้าใจผิด...นายนั่นแหละที่เผารถไถฉัน”
“อ้าว...คุณไม่มีหลักฐานอะไรซักอย่างแล้วจะมาบอกว่าผมเป็นคนทำได้ยังไง”
สรนุชกับใจเด็ดเริ่มตะโกนใส่หน้ากัน จนร้อยเวรและสารวัตรต้องรีบเข้ามาห้าม
“เดี๋ยวครับๆ...ค่อยๆ คุยกันดีกว่า”
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับสารวัตร...คนอย่างนี้ต่อให้พูดยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจ...พระพุทธเจ้าบอกว่ามีบัวแค่สี่เหล่า...แต่ยัยนี่ต้องเป็นเหล่าที่ห้า...บัวใต้โลก”
“อ๊าย! นายว่าฉันโง่เหรอ”
สรนุชปรี่เข้าไปจะทำร้ายใจเด็ด ร้อยเวรต้องดึงสรนุชเอาไว้ ส่วนใจเด็ดก็ตกใจรีบดึงสารวัตรเข้ามาบัง
“ปล่อยฉัน...ปล่อย”
ร้อยเวรไม่ยอมปล่อยทำให้สรนุชใช้ร่างของร้อยเวรเป็นหลักก่อนจะยกสองเท้าถีบเข้าไปที่ใจเด็ด ใจเด็ดคว้าสารวัตรมาบังจนทำให้ทั้งใจเด็ดและสารวัตรล้มคว่ำไปทั้งคู่
สรนุชฟาดศอกใส่ร้อยเวรจนร้อยเวรหน้าหงายเงิบ ก่อนที่สรนุชจะกระโดดเข้าไปหาใจเด็ดโดยมีสารวัตรอยู่ตรงกลาง
ความวุ่นวายระหว่างใจเด็ดกับสรนุชทะเลาะกัน โดยมีผู้รับกรรมคือสารวัตรกับร้อยเวร !!!
ใจเด็ดกับสรนุชถูกจับแยกขังคนละห้อง และทั้งคู่กำลังยืนอยู่ในห้องขัง
“เอ่อ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะสารวัตร”
สารวัตรกับร้อยเวรตาเขียวปากเจ่ออยู่หน้าห้องขัง
“ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจขังพวกคุณเหมือนกัน...แต่ที่ผมทำอย่างนี้เพราะอยากให้คุณกับคุณใจเด็ดใจเย็นๆ กันก่อน...อยู่ในนี้สงบสติอารมณ์ซักคืนนะ”
“ห๊า ! สารวัตรพูดเล่นใช่มั้ยคะ”
สารวัตรยิ้มให้ แล้วพูดกับร้อยเวร “พรุ่งนี้ค่อยปล่อยตัวนะ”
“ครับผม”
สารวัตรเดินออกไปเลย ร้อยเวรเช็คกุญแจอีกครั้งก่อนจะเดินตามสารวัตรออกไป สรนุชเห็นอย่างนั้นก็ร้องโวยวาย
“เดี๋ยวๆๆ...กลับมาก่อน...ตำรวจจะรังแกประชาชนไม่ได้นะ...ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
ใจเด็ดที่ยืนสะกดกลั้นอารมณ์ก็สุดทน “เลิกโวยวายซะทีได้มั้ยคุณ”
สรนุชได้ยิน ก็หันขวับมาทันที “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนาย...นายทำให้ประวัติฉันมีมลทิน”
“อ้าว...ไม่ใช่เพราะคุณมาหาผมที่สถานี แล้วก็หยิบไพ่มาทำโน่นทำนี่หรอกเหรอ...ถึงได้เป็นอย่างนี้...ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดว่า...ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณ”
“อ๊าย” สรนุชกรีดร้องทรุดตัวลงกับพื้นห้องขังร้องโวยวายต่อ ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง
ส่วนทางด้านเกริกไกร และสุบินกำลังซุ่มอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ
“เอาไงดีหมอ...เสี่ยงมั้ย”
“อย่าดีกว่า...ขืนโดนจับกันหมดแล้วใครจะช่วยเรา”
ระหว่างนั้นอรอนงค์เดินเข้ามาที่หน้าสถานี เกริกไกรหันไปเห็นพอดี
“คุณอรครับ”
เกริกไกรกับสุบินรีบวิ่งเข้ามาหาอรอนงค์
“อ้าว...หมอมาทำอะไรคะ”
“ก็มาเยี่ยมไอ้เด็ดน่ะครับ...แล้วคุณอรละครับ”
“ฉันมาประกันตัวนุชน่ะค่ะ...แล้วทำไมไม่ขึ้นไปละคะ”
“ขึ้นไปให้โดนจับหรือไง...ขืนขึ้นไปตอนนี้ตำรวจก็เหมารวมว่าเราอยู่ในวงไพ่ด้วยน่ะดิ”
“เออใช่...ฉันก็ด้วย...แล้วจะทำยังไงดีคะ”
“ผมกับสุบินกำลังหาทางกันอยู่ครับ”
แล้วเกริกไกรก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ฉันนึกออกแล้ว”
อรอนงค์กับสุบินมองเกริกไกรด้วยความแปลกใจ
ไม่นานต่อมาอรอนงค์ กับสุบินยืนรอเกริกไกรอยู่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง
“หมอหายไปไหนเนี่ย”
“นั่นดิ...อยากรู้จริงๆ ว่าหมอจะทำอะไร”
ระหว่างนั้นเสียงของเกริกไกรดังขึ้น “มาแล้วครับ”
อรอนงค์กับสุบินหันมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเกริกไกรใส่ชุดลิเกเต็มยศ
“หมอ...หมอแต่งเป็นลิเกทำไมเนี่ย”
“อ้าว...นี่คุณสุบินจำผมได้เหรอครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ละคะ...อย่าบอกนะคะว่าหมอจะให้เราปลอมตัวขึ้นไปบนโรงพัก”
เกริกไกรเห็นท่าทางของอรอนงค์กับสุบินก็รู้ว่าไม่เห็นด้วย “เอ่อ...ไม่ใช่ความคิดที่ดีใช่มั้ยครับ”
“ใช่” อรอนงค์ กับสุบินตอบพร้อมกัน
เกริกไกรหน้าจ๋อยลง ระหว่างนั้นอรอนงค์เหมือนนึกวิธีขึ้นมาได้
“ลองวิธีอรบ้างมั้ยคะ”
เกริกไกรกับสุบินมองอรอนงค์ด้วยความสนใจ
ส่วนสรนุชนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในห้องขัง ขณะที่ใจเด็ดเองก็นั่งกอดเข่าอยู่อีกห้อง
“เว้ย...ฉันทนไม่ไหวแล้ว
ใจเด็ดพูดขึ้นกวนๆ “ไม่ไหวก็ปล่อยซิ...แต่เบาๆ หน่อยแล้วกัน”
“จะบ้าหรือไง...ทำไมฉันต้องมาอยู่ในนี้ด้วย...ฉันจะเหม็นตายอยู่แล้ว”
ระหว่างนั้นเห็นตำรวจเปิดประตูให้โทนเข้ามาในบริเวณห้องขัง
“โทน...”
โทนเข้ามาหาใจเด็ดพร้อมกับยื่นถุงข้าวให้ “หมอให้เอาของกินมาฝากครับหัวหน้า”
“อ้าว...แล้วหมอละโทน”
“หมอเขาไม่กล้าเข้ามาครับ...แกกลัวว่าจะโดนตำรวจจับ”
สรนุชแอบกัด “เพื่อนแท้จริงๆ”
ใจเด็ดปรายตามอง แล้วค่อยมาพูดกับโทน “ฝากไปบอกหมอนะโทนว่าไม่ต้องมาประกันตัวฉันเพราะพรุ่งนี้ก็ออกแล้ว”
“อ้าว...ทำไมละ” สรนุชอึ้ง
“ไปได้แล้วโทน...ขอบใจมาก”
โทนยิ้มให้ก่อนจะรีบวิ่งออกไป สรนุชพยายามเรียกไว้
“เดี๋ยว...แล้วเพื่อนไม่ฝากอะไรให้หรือไง...กลับมาก่อน...นี่”
เวลาผ่านไปใจเด็ดกำลังแกะห่อข้าวที่พวกเกริกไกรเอามาให้ สรนุชแอบมองแล้วกลืนน้ำลายด้วยความหิว
ระหว่างนั้นเสียงท้องสรนุชร้องดังขึ้น ใจเด็ดหันไปมอง สรนุชทั้งตกใจทั้งอายรีบหันหน้าหนี
“แหม...เสียงจิ้งจกในห้องขังนี่มันร้องเพี้ยนๆ เนอะนายว่ามั้ย”
ใจเด็ดส่ายหน้าอย่างรู้ทันหันไปแกะห่อข้าวออกดู แล้วหันไปมองสรนุช เห็นสรนุชที่แอบมองเพราะกลิ่นเตะจมูกเลยไม่ทันตั้งตัวเลยหันหนีไม่ทัน
“ทานมั้ยคุณ”
“ไม่...ฉันยังไม่หิว”
“ก็ดี...จะได้ไม่เปลือง”
ว่าแล้วใจเด็ดก็ทำเป็นตักข้าวกินยั่วสรนุช สรนุชแอบกลืนน้ำลายมองตามช้อน
“โห...ไม่เคยกินข้าวกะเพราที่ไหนอร่อยเท่านี้จริงๆ...คุณลองมั้ย”
“ไม่”
ใจเด็ดอมยิ้มที่สรนุชปากแข็งก่อนจะค่อยๆ กินยั่วสรนุช สรนุชกำหมัดแน่นเพราะเหลือคำสุดท้ายแล้ว
พอเห็นคำสุดท้ายใจเด็ดก็ตักเข้าปากเรียบร้อย สรนุชเหมือนหมดอาลัยตายอยาก
ใจเด็ดมองหาน้ำ แต่ปรากฏว่าไม่มี
“อ้าว...ไอ้หมอไม่ได้เอาน้ำมาให้เหรอ”
“ชิ...สมน้ำหน้า”
สรนุชเหลือบไปเห็นขวดน้ำวางอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องขัง จึงรีบเข้าไปหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มกินอั้กๆๆ
“ฮ้า...ชื่นใจจริงๆ...ไม่เคยกินน้ำที่ไหนเท่าที่นี่จริงๆ”
สรนุชหันไปยิ้มเยาะให้ใจเด็ด ใจเด็ดเข็ดเขี้ยวในความแสบของสรนุช
ระหว่างนั้นตำรวจเดินเข้ามาในห้องขัง
“เอ่อ...คุณตำรวจครับ”
“ว่าไง”
“ทำไมห้องผมไม่มีขวดน้ำเหมือนห้องนั่นครับ”
“เอ้า...ไอ้ขวดน้ำพวกนั้นมันขวดเอาไว้ใส่ฉี่...อย่าเผลอไปกินเข้าละ” ตำรวจว่า
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับตาโตตกใจ เพราะดันกินเข้าไปเต็มๆ
ครู่ต่อมาสรนุชกำลังพยายามอาเจียนลงในส้วม ขณะที่ใจเด็ดเองก็เกาะลูกกรงกวนไม่เลิก
“ผมว่านะ...ถ้าคุณอยากจะเอามันละก็...คุณไม่ลองดื่มอีกสักอึกละ...รับรองทั้งของเก่าของใหม่ออกมาแน่”
สรนุชหันขวับ มองด้วยความเจ็บใจ “ไม่ต้องมาพูดเลย...ถ้าฉันเป็นอะไรไปละก็...ฉันจะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะนาย”
“โธ่คุณ...ใจเสาะไปได้...แค่กินฉี่มันไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
“เหรอ...งั้นลองดูมั่งมั้ย”
ว่าแล้วสรนุชก็จะเอาขวดน้ำที่เธอกินมาสาดใส่ใจเด็ด แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อใจเด็ดยื่นกล่องข้าวให้
“นี่ของคุณ”
“นายแกล้งฉันเหรอ”
“แล้วก็ไอ้ขวดน้ำที่คุณกินเข้าไปนะ...ผมเป็นคนวางไว้เอง...คุณไม่สังเกตเหรอว่ามันไม่มีกลิ่น”
สรนุชโกรธก็โกรธ ซึ้งก็ซึ้ง เลยดึงกล่องข้าวมาเพราะไม่รู้ว่าจะทำไง สรนุชเปิดกล่องข้าวก่อนนั่งลงกินด้วยความหิว ใจเด็ดมองสรนุชทั้งรักทั้งเกลียดเช่นกัน
“ผมไม่ได้เป็นคนเผารถไถ”
สรนุชชะงัก หันมามอง “นายว่าอะไร”
“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่า ว่าผมกับคนของผม...ไม่ได้เป็นคนเผารถไถของคุณ”
“ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใคร”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้...แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ...ผมกับคนของผมไม่มีทางทำอะไรสกปรกอย่างนั้น...แล้วถ้าเจนเขารู้ว่าผมทำอย่างนั้นเพื่อแก้แค้นให้เธอ...ผมว่าเธอต้องไม่ดีใจ”
สรนุชสบตาใจเด็ดเหมือนจะดูว่าแววตาของใจเด็ดโกหกหรือไม่
“ฉันเสียใจเรื่องคุณเจนด้วยนะ...ถึงเราจะไม่ถูกกันทางอุดมการณ์...แต่ฉันไม่เคยที่จะคิดทำร้ายเธอเลย”
“คุณอาจจะพูดให้ตัวเองดูดีหรือพูดให้ตัวเองพ้นผิดยังไงก็ได้...ตอนนี้เจนเขาทำอะไรไม่ได้แล้วนี่”
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” สรนุชเสียงเศร้า
ใจเด็ดชะงักไป เมื่อเห็นสรนุชเศร้าลง
“ถ้านายคิดว่าฉัน...ฉันยินดีชดใช้ด้วยอะไรก็ได้...ถ้ามันจะทำให้เธอกลับมาเหมือนเดิม”
ใจเด็ดนิ่งไปเริ่มอ่อนลง “ผมเชื่อคุณ...กินข้าวเถอะ”
ใจเด็ดพยักหน้าให้ สรนุชรู้สึกโล่งที่ได้ยินใจเด็ดพูดอย่างนั้น
ณวัต นัดเจอชิดชัยในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง เวลานั้นรูปรถไถถูกเผาอยู่ในมือของณวัต
“ดีมาก” ณวัตเอ่ยขึ้น
ชิดชัยรีบเข้ามาเลียแข้งเลียขา
“แล้วให้ผมทำอะไรต่อดีครับคุณวัต...เอ...หรือถ้าคุณวัตยังไม่สะใจ...จะให้ผมเผาสาขาของเราเลยมั้ยครับ”
ณวัตเหล่มองชิดชัย ชิดชัยต้องรีบหุบยิ้ม
“เอารูปนี้ส่งไปให้ต้นสังกัดของไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่น...แล้วบอกด้วยว่าเป็นฝีมือของมัน”
“โห...คุณวัตนี่ปราดเปรื่องจริงๆ...เดี๋ยวผมจะจัดการให้ทันทีเลยครับ”
ชิดชัยรีบออกไป ณวัตหรี่ตาร้าย
“ฉันไม่ยอมให้ไอ้เด็กเลี้ยงควายอย่างแก...มาขวางทางฉันเด็ดขาด”
คืนนั้นอรอนงค์นั่งรอกระวนกระวายอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ระหว่างนั้นณวัตเดินเข้ามา อรอนงค์หันไปเห็นก็รีบเข้าไปหาทันที
“คุณวัต”
“มีอะไร”
“ยัยนุชถูกตำรวจจับคะ”
“อ้าว...เรื่องอะไร”
“ตำรวจเข้าใจผิดว่ายัยนุชเล่นไพ่...คุณวัตไปประกันตัวนุชให้หน่อยซิคะ”
ณวัตได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป เหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่ก่อนที่จะบอกอรอนงค์
“ยังไงฉันก็ต้องช่วยอยู่แล้ว...นุชเป็นแฟนฉันนะ”
“ขอบคุณมากคะคุณวัต...เฮ้อ”
อรอนงค์โล่งอกที่ณวัตจะไปช่วย โดยไม่เห็นเลยว่าณวัตกำลังหรี่ตาร้ายเจ้าเล่ห์
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชาญณรงค์เดินมารับสาย
“ฉัน...ผู้พันชาญณรงค์พูด” พอรู้ว่าใครโทร.มา รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “อ้าว...คุณวัตเอง...มีอะไรให้รับใช้ครับ”
ณวัตอยู่ในห้องพักที่โรงแรม
“เรื่องที่เราคุยกันเอาไว้...ผมอยากจะดำเนินการพรุ่งนี้เลย” ณวัตนิ่งฟัง “ก็ไม่มีอะไรหรอก...แค่พรุ่งนี้ทางสะดวก
ขณะที่ช่อผกาเดินลงบันไดมา ต้องชะงักกึก เมื่อได้ยินชาญณรงค์คุยโทรศัพท์
“อะไรนะ...คุณนุชกับไอ้ใจเด็ดติดคุกเหรอครับ ฮะๆๆ” ชาญณรงค์หัวเราะลั่น “แหม...ทางสะดวกจริงๆ ด้วย...ได้ครับ...แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ใจหาย “พี่เด็ดติดคุก”
บรรยากาศในห้องขังและรอบๆ เงียบสนิท ใจเด็ดนั่งพิงกำแพงหลับไม่คิดอะไร แต่สรนุชกลับมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว ระหว่างนั้นเสียงตุ๊กแกดังขึ้น สรนุชถึงกับกระโดดผลุง เข้ามาติดลูกกรงฝั่งใจเด็ด
“นี่...นี่”
ใจเด็ดพูดขึ้นทั้งๆ ที่หลับตาอยู่ “คนจะนอน...เงียบหน่อยได้มั้ยคุณ”
“อย่าเพิ่งนอนซิ...ฉันว่าเรามานั่งคิดกันดีกว่าถ้านายไม่ได้เป็นคนเผารถไถ...แล้วจะเป็นฝีมือใคร”
ใจเด็ดค่อยๆ ลืมตาขึ้น “กลัวก็พูดมา...ไม่ต้องอ้างเรื่องอื่น”
สรนุชชะงัก ที่ใจเด็ดรู้ทัน
“เออ...ฉันกลัว...มีไรมั้ย”
“กลัวอะไร...โรงพักนี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์...ไม่มีอะไรหรอก” ใจเด็ดบอก
“จริงเหรอ”
“จริงซิ...แต่ถ้าคนตายที่นี่ก็ไม่แน่”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับทันที “นายพูดอะไรของนาย”
“เอ้า...คุณไม่เห็นเชือกที่ห้อยทีลูกกรงคุณหรือไง...คุณคิดว่าเป็นเชือกอะไรถึงได้มีพวงมาลัยห้อยอยู่ด้วย”
สรนุชเอามือปิดหูไม่อยากได้ยิน “หยุด! หยุดพูดเดี๋ยวนี้”
ใจเด็ดยังพูดต่อ “บางทีคืนนี้คุณอาจจะมีคนนอนเป็นเพื่อนก็ได้”
“ฉันบอกให้หยุดไง”
สรนุชร้องโวยวายลั่น แล้วทันใดนั้นไฟในโรงพักก็ดับพรึ่บ พร้อมๆ กับเสียงของสรนุชร้องดังขึ้นด้วยความตกใจ
“อ๊าย! ช่วยด้วย...ช่วยด้วย!”
เทียนถูกจุดสว่างวาบขึ้น ใจเด็ดถือเทียนอยู่
“เอาไปใช้แก้ขัดก่อน” ร้อยเวรบอก
ใจเด็ดกับสรนุชต้องยืนชิดติดกันเพื่ออาศัยแสงสว่าง
“เอ่อ...แล้วไม่ทราบว่าไฟจะมาเมื่อไหร่คะ”
“เรื่องนั้นก็ไม่ทราบครับ ผมเป็นตำรวจไม่ใช่พนักงานการไฟฟ้า บางทีก็ชั่วโมงหนึ่งหรืออาจจะถึงเช้า”
“เช้า!” สรนุชแทบช็อก!
“เอาละ...นอนได้แล้ว...มีอะไรก็เรียกแล้วกัน...แล้วเทียนน่ะอย่าให้ดับละ...ไม้ขีดหมดแล้วด้วย”
ร้อยเวรเดินถือเทียนออกไป คราวนี้สรนุชแทบจะร้องไห้ออกมา
“นี่เดี๋ยวก่อนซิ...คุณตำรวจ...คุณตำรวจ! ทำไมฉันต้องมาอยู่อย่างนี้ด้วย”
ใจเด็ดมองสรนุชด้วยความสงสาร
เวลาผ่านไป สรนุชนั่งเอามือป้องลมเพื่อไม่ให้เทียนเล่มที่ตั้งกลางระหว่างห้องขังใจเด็ดกับห้องขังสรนุชดับ ส่วนใจเด็ดกลับนั่งกอดเข่าหลับอยู่อีกมุม
“นี่...ไม่คิดจะมาช่วยกันหน่อยหรือไง”
ใจเด็ดค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ก็ผมไม่ได้กลัวนี่”
สรนุชหมั่นไส้ “ฮือ...สุภาพบุรุษมาก”
สรนุชมัวแต่มองใจเด็ดทำให้มือของเธอไปโดนเปลวเทียน “โอ๊ย!”
ใจเด็ดมองสรนุชที่กำลังเอามือที่โดนอมเอาไว้ ก่อนที่จะเห็นเปลวเทียนเริ่มไหว สรนุชตกใจ
“ว้าย..อย่าเพิ่งดับซิ”
สรนุชรีบเอามือมาป้องเทียนเอาไว้ แล้วสรนุชก็อึ้งไปเมื่อเห็นมือของใจเด็ดค่อยๆ ยื่นมือเข้ามาโอบมือของเธอเอาไว้อีกชั้น
“คุณนอนเถอะ...เดี๋ยวผมดูเทียนให้เอง”
“คิดว่าสภาพนี้ฉันจะนอนหลับหรือไง”
สรนุชกับใจเด็ดสบตากัน สรนุชเริ่มหวั่นไหว จึงรีบตั้งกำแพงความรู้สึกตัวเอง
“เอ่อ...งั้นฉันนั่งอยู่ตรงนี้แล้วกัน...ถ้านายเมื่อยก็เรียกฉันนะ”
สรนุชกับใจเด็ดนั่งใกล้กัน แต่ทั้งสองกลับเปิดใจให้กันไม่ได้เหมือนลูกกรงที่ขวางกั้นทั้งสองคนเอาไว้
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 14 (ต่อ)
รุ่งเช้าวันต่อมา ชาญณรงค์แต่งตัวเสร็จเตรียมไปข้างนอก และกำลังเช็คความหล่อหน้ากระจก โดยมีสมคิดยืนงงอยู่ข้างๆ
“นายครับ...จะไปดูที่กับคุณณวัตต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“แล้วมันหนักหัวแกตรงไหนห๊ะไอ้คิด...คุณวัตเขาเป็นถึงเจ้าของบริษัทคาบาตี้...ฉันก็ต้องแต่งตัวให้เกียรติเขาหน่อย”
ชาญณรงค์เหลือบไปมองนาฬิกาแล้วก็ต้องแปลกใจ
“ทำไมป่านนี้ผกามันยังไม่ลงมาอีก...ไอ้คิด...แกขึ้นไปตามซิ”
“โห...อย่าดีกว่านาย...ผมกลัวโดนถีบลงมาเหมือนคราวที่แล้วอีก” สมคิดแหยง
“ฉันบอกให้ไปไง...แล้วบอกมันด้วยให้แต่งตัวสวยๆ...วันนี้ฉันจะพามันไปกับคุณวัต” สมคิดทำท่าละล้าละลัง เลยโดนตะเพิด “ไป๊”
สมคิดรีบวิ่งจู๊ดไป ชาญณรงค์ยิ้มเจ้าเล่ห์วางแผนในหัว
“ถ้ายัยช่อได้เป็นศรีภรรยาคุณวัต...เราก็สบายไปทั้งชาติ...หึๆ”
ระหว่างนั้นเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน ชาญณรงค์มองไป
ขณะที่ณวัตยืนรออยู่นอกรถ กำลังเอื้อมมือไปบีบแตรเรียกชาญณรงค์ให้เปิดประตูหน้าบ้าน
ณวัตหงุดหงิด “ไปไหนวะ”
จังหวะนั้นชาญณรงค์ก็เดินออกมารับเอง
“โทษทีพ่อวัต...พอดี...ผมให้ไอ้คิดมันไปทำธุระน่ะ”
“ครับ...งั้นเราไปกันเลยมั้ยครับ”
“เดี๋ยวก่อนซิ...เห็นลูกสาวฉันบอกว่าอยากไปด้วย...คุณวัตคงไม่รังเกียจนะ”
ณวัตชะงัก เพราะกลัวว่าความลับจะรั่ว
“เอ่อ...ผมเกรงว่า...”
ยังไม่ทันที่ณวัตจะพูด สมคิดก็วิ่งร้องโวยวายเข้ามาหาชาญณรงค์
“นายครับนาย”
“อะไร”
สมคิดไม่พูดแต่ยื่นกระดาษโน้ตให้ชาญณรงค์
ชาญณรงค์อ่านข้อความที่ลูกสาวฝากไว้ให้ “พี่เด็ดไปไหน...หนูจะไปด้วย...ไม่ต้องตามหา” ชาญณรงค์อ่านอย่างหงุดหงิด แล้วขย้ำกระดาษ “ฮึ่ยย์...ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ”
“เอ...ไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่นถูกจับอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” ณวัตว่า
“หรือว่ามันจะแหกคุกแล้วมาพาคุณหนูหนีไปครับนาย” สมคิดเติมเชื้อไฟ
ชาญณรงค์ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
ที่สถานีตำรวจ มือของใจเด็ดกับสรนุชจับกันเอาไว้ ทั้งคู่นั่งหลับพิงกัน โดยมีลูกกรงกั้นอยู่ แสงแดดยามเช้า เริ่มสาดเข้ามาแยงตาจนทำให้สรนุชค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น แต่แล้วเห็นสภาพตัวเอง สรนุชก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเธอกับใจเด็ดจับมือกัน
สรนุชรีบดึงมือออก จนทำให้ใจเด็ดสะดุ้งตื่น สรนุชทำหน้าตายไม่รู้เรื่อง
“เช้าแล้วเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซิ...ไหนบอกว่าจะดูเทียนให้ไง...หลับก่อนฉันซะอีก”
ใจเด็ดลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “จริงเหรอ...แต่เท่าที่ผมจำได้...ผมได้ยินคุณกรนนะ”
“ห๊า”
ระหว่างนั้นใจเด็ดกับสรนุชได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางด้านหน้า
“ทำไมไม่ได้”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้...ทำไมต้องถามด้วย”
ใจเด็ดได้ยินเสียงนั้นก็จำได้ทันที “เสียงผกานี่”
ใจเด็ดกับสรนุชมองไปด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้านช่อผกากำลังยืนเถียงกับสารวัตรอยู่
“ไหนบอกว่าตำรวจต้องดูแลประชาชนไง...ฉันขอแค่นี้มันมากหรือไง”
“ใช่ ! บ้าหรือเปล่าจะมาขอติดคุก...ห๊ะ” ตำรวจงง
ช่อผกามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง 2 - 3 ใบวางอยู่เหมือนจะไปเที่ยว
“พี่เด็ดอยู่ไหน...ฉันก็จะอยู่ด้วย”
“นี่...ผกา...โรงพักนะไม่ใช่โรงแรม...จะเข้าจะออกซี้ซั้วได้ไง” สารวัตพยายามกล่อม
“แล้วทำไงฉันถึงจะได้เข้าไปอยู่กับพี่เด็ด”
“ทำยังไงก็ไม่ได้...ห้องขังน่ะเขาเอาไว้สำหรับคนที่ทำผิด...เข้าใจ๊...ไป๊ๆ...กลับบ้านไปซะ”
สารวัตรจะเดินออกไป ช่อผกาคิดตามคำพูดของสารวัตร
“ต้องทำผิดเหรอ...?” ช่อผกาเริ่มคิดแผนออก
สารวัตรกำลังจะเดินเข้าห้อง ระหว่างนั้นช่อผกาเรียกขึ้น
“นี่...”
สารวัตรหันมา “อะไรอี..”
สารวัตรพูดยังไม่ทันขาดคำ ช่อผกาก็ตบหน้าดังเผียะ !
“แล้วอย่างนี้ฉันมีความผิดหรือยัง”
ใจเด็ดชะเง้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สรนุชเห็นอย่างนั้นก็กัด เพราะหึง
“ห่วงเหลือเกินนะ”
“ทำไมเหรอคุณ...”
สรนุชชะงัก “เปล่า...
ระหว่างนั้นร้อยเวรพาช่อผกาเข้ามา พอช่อผกาเห็นใจเด็ดก็รีบวิ่งเข้ามาหาใจเด็ดทันที
“พี่เด็ด...พี่เป็นไงมั่ง”
“พี่สบายดี...แล้วผกามาทำอะไร”
สรนุชมองด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดขึ้น
“ติดแค่คืนเดียวจะเป็นไร...ไม่เห็นต้องมาประกันตัวเลย”
“ใครว่าฉันมาประกันตัวพี่เด็ด...ฉันจะมาอยู่กับพี่เด็ดต่างหาก...พี่เด็ดจ๋า...ผกาตบหน้าตำรวจเพื่อมาจะได้ทำผิดแล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันไง...ดีมั้ยพี่”
ใจเด็ดกับสรนุชถึงกับเหวอ เป็นจังหวะเดียวกับที่ร้อยเวรเปิดห้องขังของสรนุชเสร็จ
“เอ้า...อยากอยู่ก็รีบเข้าไป”
ช่อผกางง “เปิดห้องนั่นทำไม...ฉันจะอยู่ห้องนี้”
“อยู่ไม่ได้...ห้องนั่นมันของผู้ชาย”
“อ้าว...”
สรนุชหัวเราะสะใจ “ไม่รู้เหรอไงว่าห้องขังเขาแยกชายหญิง”
“จริงเหรอ..” หันไปแว้ดตำรวจ “แล้วทำไมไม่บอกฉัน”
“เอ้า...ก็ไม่คิดว่าฉลาดน้อยนี่...ไป...เข้าไปได้แล้ว”
ร้อยเวรจับตัวช่อผกายัดเข้าไปในห้องสรนุช ก่อนจะปิดประตูทันที ช่อผการ้องโวยวาย
“ไม่เอา...ฉันไม่อยู่ห้องนี้...ฉันจะอยู่กับพี่เด็ด...ปล่อย...ปล่อยฉัน”
สรนุชแอบยิ้มสะใจก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าใจเด็ดมองอยู่ เลยทำหน้าตายเหมือนเดิม
โชคชัย เกริกไกร สุบิน ภิรมย์ และสมหญิงเดินมาที่หน้าสถานีตำรวจ
“ขอบคุณนายกนะครับที่ช่วยไอ้เด็ด” เกริกไกรเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...เดี๋ยวผมจะอธิบายกับตำรวจเองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
“แล้วนี่...คุณโชคชัยจะช่วยนุชมันด้วยหรือเปล่าครับ” สุบินถาม
โชคชัยงง “แฟนคุณนุชยังไม่ประกันตัวคุณนุชออกไปอีกเหรอครับ”
“อ้าว...ไอ้หมาวัดมันมานี่เหรอครับ” สุบินเพิ่งรู้เรื่อง
“ใช่ครับ...พวกคุณไม่รู้เรื่องเหรอ”
“ไม่รู้จะมาทำไม...แต่ผมเดาได้เลย...ว่ามันน่ะดีใจที่ยัยนุชโดนขังมากกว่า...เชื่อดิ...มันไม่มาประกันตัวยัยนุชหรอก”
โชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปในสถานีตำรวจด้วยความเป็นห่วงทันที
“โห...ท่าทางนายกจะเป็นห่วงคุณนุชมากนะคะ” สมหญิงแซว
สุบินกับเกริกไกรมองหน้ากันเหมือนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โชคชัยกำลังคุยกับทางตำรวจที่โต๊ะ เกริกไกร และสุบินพยายามหันมองไปทางอื่น เพราะตำรวจยังมองด้วยความสงสัยกับเรื่องที่เกริกไกรกับสุบินปลอมตัวมาเมื่อคืน
โชคชัยแปลกใจ “ไม่ได้โดนจับเรื่องเล่นไพ่เหรอครับ”
“ครับ...สารวัตรแกให้สองคนนั่นสงบสติอารมณ์เท่านั้นแหละครับ”
ยังไม่ทันที่ตำรวจจะลุกออกไป ชาญณรงค์ กับณวัต ก็บุกเข้ามาบนโรงพัก พอสุบินเห็นณวัตก็ปากสุนัขใส่ทันที
“มาแล้วๆ...แฟนแห่งปี...ยัยนุชโดนจับตั้งแต่เมื่อคืน...แต่ดันโผล่มาตอนนี้...พวกเรา...ตบมือให้หน่อยเร็ว”
ภิรมย์กับสมหญิงตบมือกันเกรียว
ณวัตหันมาเอาเรื่องสุบิน “แก”
สุบินเห็นณวัตจะเข้ามาเอาเรื่องก็รีบโวยวาย “คุณตำรวจจับเลยครับ...ไอ้นี่มันจะต่อยผม”
สารวัตรรีบเข้ามาเพื่อระงับความวุ่นวาย “เอาละๆ...มีอะไรครับผู้พัน”
“ผมมาแจ้งความ”
“เรื่องอะไรกันผู้พัน” สารวัตรงง
“เรื่องอะไร...ก็เรื่องที่ไอ้ใจเด็ดมันพาลูกสาวผมหนีไง”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นถึงกับตกใจ
เกริกไกรท้วงทันที “จะเป็นไปได้ยังไงผู้พัน...ใจเด็ดยังถูกขังอยู่เลย”
“ใช่ครับ...แล้วผกาก็ไม่ได้หนีไปไหน...โน่น...อยู่ในห้องขังโน่น”
ชาญณรงค์แทบช็อก “อะไรนะ”
เกริกไกร สุบิน ภิรมย์ และสมหญิงถึงกับหัวเราะก๊ากออกมา
“แล้วจับลูกสาวผมได้ยังไง...ลูกสาวผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ไม่ผิดอะไร...ตบหน้าผมเต็มๆ...เห็นบอกว่าอยากเข้าไปอยู่กับหัวหน้าใจเด็ดมาก...เลยลงทุนทำร้ายตำรวจ”
ได้ยินอย่างนั้น เกริกไกร สุบิน ภิรมย์ และสมหญิงก็หัวเราะดังกว่าเดิม
ชาญณรงค์ฉุน “ขำอะไร...ญาติใครเสีย”
สมหญิงฉุน โต้คืน“อ้าว...อย่าเพิ่งอารมณ์เสียซิผู้พัน ตัวเองไม่อบรมลูกสาว แล้วจะมาลงกับพวกเราได้ยังไง”
เกริกไกรเย้ยต่อ “ใช่...อย่างนี้เขาเรียกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“ฮึ่ยย์...เหลืออดแล้วเว้ย”
ชาญณรงค์กระโดดเข้าไปตะลุมบอนกับเกริกไกร จนวุ่นวายไปทั้งโรงพัก สารวัตรกับร้อยเวรโดนลูกหลงไปอีกไม่ใช่น้อย
ด้านช่อผกาพยายามตะโกนเรียกตำรวจ “นี่...ให้ฉันไปอยู่กับพี่เด็ดนะ...นี่...มีใครได้ยินฉันมั้ย”
“มี...ฉันนี่แหละได้ยินเต็มสองรูหู...เมื่อไหร่เธอจะเลิกโวยวายซะที”
ใจเด็ดกุมขมับปวดหัว ช่อผกาเข้าไปเอาเรื่องสรนุช
“ฉันจะตะโกนแล้วทำไม...ห้องขังนี่มันเป็นของแกเหรอ”
“ผกา...พอเถอะ...แค่นี้พี่ก็รู้แล้วว่าผกาเป็นห่วงพี่” ใจเด็ดพยายามกล่อม
“แต่ผกาอยากเข้าไปดูแลพี่เด็ดนี่...ผกาไม่ได้อยากอยู่กับนังนี่ซะหน่อย”
“แล้วคิดว่าฉันอยากอยู่กับเธอหรือไง” สรนุชสวนคืน
“เอ๊ะ...จะหาเรื่องกันใช่มั้ย”
ก่อนที่ช่อผกากับสรนุชจะตะลุมบอนกัน ร้อยเวรก็เดินเข้ามา “นายใจเด็ดกับนางสาวสรนุช”
ใจเด็ดกับสรนุชสงสัยว่าเรื่องอะไร
“มีอะไรครับ”
“ออกมาได้แล้ว”
ร้อยเวรเปิดประตูให้ใจเด็ดกับสรนุช ช่อผกาจะตามออกมา แต่ร้อยเวรปิดประตูซะก่อน
“มีคนมาประกันตัวพวกเราเหรอคะ”
“ใช่...นายกโชคชัยน่ะ...แล้วอีกอย่างห้องขังมันเต็มก็เลยต้องปล่อยตัวคุณสองคนไปก่อน”
“เต็มอะไร...ก็มีกันอยู่เท่านี้เอง”
ขาดคำช่อผกา ใจเด็ด สรนุชและช่อผกาถึงกับอึ้ง เมื่อสารวัตรคุมตัวเกริกไกร สุบิน ภิรมย์ สมหญิง ชาญณรงค์ และณวัตเข้ามา
“พ่อ”
ชาญณรงค์ปรี่เข้ามาทันที “หนอย...นังลูกดีเด่น...เห็นมั้ยว่าแกทำอะไรลงไป”
“หมอ...ทำไม...มีเรื่องอะไร”
เกริกไกร สุบิน ภิรมย์ และสมหญิงสีหน้าสลดลง
“ทะเลาะวิวาท...เฮ้อ...อายุขนาดนี้แล้วยังเล่นกันเป็นเด็ก ไป เข้าไปสงบสติอารมณ์กันซักคืนแล้วกัน” สารวัตรตอบแทน
ทั้งหมดแยกย้ายกันเข้าห้องขังไป ณวัตรีบบอกกับสรนุช
“นุช...นุชประกันตัววัตให้หน่อยซิ”
สุบินตะโกนแทรกมา “อย่านะนุช...แกคิดดูซิว่าขนาดแกโดนจับทั้งคืน...มันมาประกันตัวแกมั้ย”
ณวัตโมโห “หุบปากไปเลย”
“ฉันจะพูดทำไม”
สารวัตรจับแยกห้องไม่อย่างนั้นทั้งสองแก๊งคงได้ตะลุมบอนกันอีก
ใจเด็ดกับสรนุชกุมขมับกลุ้มใจที่เรื่องบานปลาย วุ่นไม่จบ
สรนุชกับใจเด็ดเดินลงมาพร้อมกับโชคชัย
“ต้องขอโทษนะครับคุณนุช...ผมคิดว่าแฟนคุณเขามาประกันตัวไปแล้ว” โชคชัยเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกคะ...แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะขอบคุณคุณโชคชัยยังไงแล้ว...ขืนให้นอนอีกคืน...ฉันคงต้องเป็นไข้เลือดออกตายแน่”
ใจเด็ดรู้สึกเป็นส่วนเกินจึงเดินแยกออกไป
“ใจเด็ด...ให้ฉันไปส่งดีกว่า”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมไม่อยากรบกวนนายกไปมากกว่านี้”
ใจเด็ดมองสรนุช แต่สรนุชหลบตา ใจเด็ดเดินออกไป
“ไปครับ...รถผมจอดทางโน้น”
โชคชัยเดินนำไป สรนุชแอบมองตามใจเด็ดไม่วางตา
วันต่อมาใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาในสำนักงานสถานี ลงนั่งพักที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ใจเด็ดสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกกำลังใจใหม่อีกครั้ง ก่อนจะที่หยิบเอกสารขึ้นมาดู ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ใจเด็ดรับสาย “สวัสดีครับ” นิ่งฟัง “ครับ...พูดอยู่ครับ” แล้วก็รู้ว่าปลายสายเป็นหัวหน้าศูนย์ปศุสัตว์ “ครับท่าน...ครับ”
สีหน้าใจเด็ดเครียดลง เป็นกังวลขึ้นมาทันที
ไม่นานต่อมาใจเด็ดเดินทางไปปศุสัตว์จังหวัดทันที หัวหน้ายื่นรูปที่รถไถถูกเผากับพร้อมกับกระดาษข้อความให้กับใจเด็ด
ใจเด็ดในชุดข้าราชการหยิบขึ้นมาดู
“คุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง”
“ผมคงอธิบายอะไรไม่ได้”
“แสดงว่ายอมรับใช่มั้ยว่าคุณเป็นคนทำเรื่องนี้”
ใจเด็ดยื่นรูปคืนให้กับหัวหน้า
“ที่ผมอธิบายไม่ได้...เพราะผมไม่ได้เป็นคนทำครับ” ใจเด็ดบอก
“แล้วไอ้กระดาษที่เขียนไว้นี่ละ “แด่เพื่อนควายอันเป็นที่รักของเรา”...”
“ผมไม่ได้ทำครับ” ใจเด็ดยืนกราน
หัวหน้าชักโมโห “ใจเด็ด ! ผมเคยเตือนแล้วใช่มั้ย...แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูผู้ใหญ่จะเป็นยังไง”
“ผมไม่ได้ทำ” ใจเด็ดพูดอยู่คำเดิม
“คุณพูดได้...แต่จะมีใครเชื่อ” หัวหน้าพูดพร้อมกับทรุดตัวลงนั่ง “เขียนรายงานมาส่งฉัน”
“ผมไม่ได้ทำ แล้วจะให้ผมเขียนรายงานได้ยังไงครับท่าน”
“ฉันสั่งให้ไปเขียนมาไง แล้วฉันจะบอกนายไว้อีกอย่าง ต่อไปนี้...ห้ามนายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกคาบาตี้อีก”
ใจเด็ดเหวอ “ท่านครับ”
“ทุกกรณี” หัวหน้าบอก
ใจเด็ดกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ
ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ สุบิน ภิรมย์ สมหญิงกำลังนั่งทายาหม่องให้กันและกัน
ภิรมย์พูดกับสมหญิง “นี่...พรุ่งนี้ไปวัดล้างซวยมั้ย”
“ฉันว่าล้างผู้พันกับนังผกาออกไปจากหนองระบือน่ะถึงจะหายซวย”
ระหว่างนั้นเกริกไกรเดินเข้ามา สุบินรีบถามขึ้น
“แล้วหัวหน้าใจเด็ดละหมอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน...ที่บ้านพักก็ไม่อยู่”
ทุกคนแปลกใจว่าใจเด็ดหายไปไหน ระหว่างนั้นใจเด็ดในชุดข้าราชการเดินกลับมา
“ไอ้เด็ด...ไปไหนมาวะ” เกริกไกรเห็นชุดก็รู้ทันที “หรือว่า...ถูกเรียกเข้าจังหวัดเหรอ”
ใจเด็ดพยักหน้า “มีคนร้องเรียนว่าที่รถไถตาแมงถูกเผาเป็นฝีมือเรา”
“อะไรกัน...ตำรวจยังไม่ได้ทำอะไร...อยู่ๆ มาสรุปว่าเราเป็นคนทำได้ยังไง” สมหญิงฉุน
“แล้วเขาว่ายังไงอีกครับ” สุบินถามอย่างห่วงใย
“ห้ามพวกเรายุ่งกับพวกคาบาตี้อีก...ไม่อย่างนั้น...สถานีนี้อาจจะโดนยุบ”
ทุกคนอึ้งกันไปตามๆ กัน สุบินคิดถึงสรนุชขึ้นมาทันที
สรนุชนั่งมองแผลที่โดนไฟจากเปลวเทียนที่นิ้วอยู่ที่โต๊ะทำงาน ระหว่างนั้นชิดชัยเดินถือแฟ้มเข้ามา
“คุณนุชครับ” เห็นสรนุชยังเหม่อ ชิดชัยเรียกดังขึ้น “เอ่อ...คุณนุชครับ”
สรนุชรู้สึกตัว รีบทำตัวเป็นปกติ “มีอะไร”
“ช่วยเซ็นเอกสารให้หน่อยครับ”
ชิดชัยส่งเอกสารให้กับสรนุช สรนุชเปิดมาอ่านแล้วทำหน้าสงสัย
“นี่มันอะไร”
“อ๋อ...ก็เอกสารที่เราจะส่งมอบรถคันใหม่ให้ตาแมงไงครับ”
“แล้วหาตัวคนเผาได้แล้วเหรอประกันถึงได้ยอมจ่าย”
“เอ้า...ก็พวกกระบือบาลไงครับ” ชิดชัยบอกขึงขัง
สรนุชท้วงทันที “แต่ผลยังไม่สรุป”
“โธ่คุณนุช...ยังไงก็ต้องเป็นพวกมันร้อยเปอร์เซ็นต์”
สรนุชปิดเอกสารก่อนจะส่งคืนให้กับชิดชัย
“ฉันจะรอผลสอบสวนก่อน....ส่วนรถไถของตาแมง...ฉันรับผิดชอบเอง”
“แต่ว่า..” สรนุชจ้องหน้าชิดชัยเขม็ง “ก็ได้ครับ”
ขณะที่ชิดชัยกำลังจะหมุนตัวออก อยู่ๆ สุบินก็เดินพรวดเข้ามาในออฟฟิศก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้ามาหาสรนุช
“นุช...นี่แกจะทำเกินไปแล้วนะเว้ย”
“สุบิน...เป็นไรของแก”
“เป็นไร...ถามได้...แกรู้ดีว่าเรื่องอะไร” สุบินของขึ้นแล้ว
“สุบิน...แกพูดกับฉันดีๆ ได้มั้ย...บอกมาว่าเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่แกส่งเรื่องไปทางจังหวัด ให้เอาผิดคุณใจเด็ดว่าเป็นคนเผารถไถตาแมงไง”
สรนุชแทบช็อก “ว่าไงนะ”
“นุช...ฉันไม่รู้ว่าแกเกลียดคุณใจเด็ดมาแต่ชาติปางไหนนะ...แต่ฉันยืนยันได้ว่าคุณใจเด็ดเขาไม่ได้เป็นคนเลวแล้วก็ไม่ได้เป็นคนเผาอย่างที่แกคิด” สุบินยืนยัน
“ใช่ซิ...ตอนนี้เปลี่ยนสีไปอยู่ทางโน้นแล้วนี่” ชิดชัยประชด
“ชิดชัย!” สรนุชปราม ชิดชัยรีบก้มหน้างุด สรนุชพูดต่อ “สุบิน...ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร”
“ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร...มันต้องเป็นคนของคาบาตี้นี่แหละ” สุบินบอกอย่างมั่นใจมาก
สุบินกับสรนุชหันไปจ้องชิดชัย วัวสันหลังหวะอย่างชิดชัยหันมาเห็นถึงกับสะดุ้ง
“อุ้ย...ผมไม่รู้เรื่องนะครับ...” แล้วรีบปัดสวะให้พ้นตัว “อ๋อ...ผมรู้แล้ว...ตาแมงไงครับ...ต้องเป็นตาแมงแน่นอน...ตาแมงอาจจะโกรธก็เลยร้องเรียนไปกับหน่วยงานของรัฐ...ต้องเป็นตาแมงแน่ๆ ครับ”
ชิดชัยยืนยันหน้าเครียด สรนุชเองก็เครียดเหมือนกันเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรทะแม่งๆ อยู่
สุบินเดินออกมาจากบริษัทคาบาตี้ สรนุชวิ่งตาม “เดี๋ยวก่อนบิน”
สุบินหยุดแล้วหันมาเห็นสรนุชตามมา “อะไร”
“ฉันไม่อยากคุยในนั้น...ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นใคร...บิน...เขาจะยุบสถานีจริงๆ เหรอ”
“ก็เออเด่ะ...นุช...ฉันถามแกจริงๆเถอะ...แกเชื่อหรือเปล่าว่าคุณใจเด็ดเป็นคนเผารถแก”
สรนุชนิ่งไป “เอ่อ”
“อย่าเพิ่งตอบ...แกถามหัวใจแกดีๆ...แล้วแกค่อยบอกฉัน”
สรนุชนิ่งอีก สำรวจคำตอบในหัวใจ “ฉันไม่เชื่อ”
สุบินยิ้มออกมาได้ เพราะคิดไว้ไม่ผิดว่าสรนุชไม่ใช่คนเลวร้าย “ถ้าอย่างนั้นแกก็ควรไปคุยกับคุณใจเด็ด”
“แล้วทำไมแกไม่บอกให้เขามาคุยกับฉันละ”
“นี่ไง...นี่ไง...ไอ้ทิฐิของแกนี่ไงที่ทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตเลยเถิดมาถึงขนาดนี้...นุช...ฉันคงไปบังคับอะไรแกไม่ได้...แต่แกคิดดูดีๆ แล้วกันว่าแกจะแก้ปัญหานี่ยังไง”
สรนุชนิ่งไปกับคำแนะนำของสุบิน
ชาญณรงค์ออกห้องขังที่โรงพัก กลับมาถึงบ้านก็ส่งเสียงเรียกสมคิด ดังลั่น
“ไอ้คิด...ไอ้คิด”
สมคิดรีบวิ่งเข้ามาหา
“สมคิดมาแล้วครับ...”พอเห็นสภาพของชาญณรงค์ก็ตกใจ “อุ้ย...”
“ตกใจอะไร...คอยดูนะ...เดี๋ยวฉันจะสั่งย้ายทั้งโรงพักเลย...มาขังทหารผู้ทรงเกียรติอย่างฉันได้ยังไง...ไปหาอะไรให้กินหน่อยซิ”
“เอ่อ...จะไม่อาบน้ำก่อนเหรอครับ” สมคิดแนะ
“แกเคยได้ยินนิทานเรื่องกล่องข้าวน้อยฆ่าทหารรับใช้มั้ย”
“อุ้ย!” กำลังจะเดินไป แล้วนึกขึ้นมาได้ “จริงด้วยนาย...นายรู้มั้ยครับว่าคุณหนูเป็นอะไร”
“ทำไม...ฉันก็เห็นมันออกจากคุกสบายนี่”
“ไม่ใช่ครับ...ตั้งแต่กลับมานี่คุณหนูแกเอาแต่ใส่ชุดขาว แล้วก็เดินไปเดินมาตลอดเลยครับ”
ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังขึ้น เรียบและนิ่ง ไม่โวยวายอย่างเคย “เขาเรียกว่าเดินจงกรม”
ชาญณรงค์กับสมคิดมองไปตามเสียงแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นช่อผกาใส่ชุดขาวค่อยๆเดินลงมา
“ฉันกำลังบำเพ็ญภาวนา เพื่อให้หมดเคราะห์หมดโศกกันซักที”
ชาญณรงค์ซึ้งนัก น้ำตาแทบไหล “มันต้องอย่างนี้ซิ...นี่...ไอ้คิด...แกเห็นมั้ย...อย่างนี้เขาเรียกว่าลูกกตัญญู...ดีมากลูก”
“หนูทำให้พี่เด็ดค่ะ” ช่อผกาบอก
ชาญณรงค์เคลิ้ม “มันต้องอย่างนี้...ถือศีลทำสมาธิจะได้สร้างบุญกุศลให้พ่...” จนพอนึกออก “แกว่าอะไรนะ...นี่แกทำให้ไอ้เด็ดเหรอ”
“ค่ะ...”
ช่อผกาพูดนิ่งๆ เรียบๆ ก่อนจะเดินจงกรมออกไป
ชาญณรงค์ตะโกนอย่างหงุดหงิด“เว้ย ! ฉันจะบ้า”
ส่วนสรนุชนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานคนเดียวภายในสำนักงานคาบาตี้
ใจเด็ดยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และการกระทำที่ใจเด็ดทำกับเธอตอนที่อยู่ในห้องขัง เขาไม่ใช่คนเลวอย่างที่จะทำอย่างนั้นได้
แล้วในที่สุดสรนุชก็ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดโทร.ออก
“สุบิน...ฉันรู้แล้วว่าต้องทำยังไง...แต่แกต้องช่วยฉัน”
แววตาของสรนุชอ่อนลงแฝงด้วยความกังวลใจ
คืนนั้นอรอนงค์ใส่ชุดนอนน่ารักออกมาจากห้องน้ำ เดินมาหยิบนาฬิกาดูแล้วแปลกใจ
“สองทุ่มแล้ว...ไปไหนนะยัยนุช”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น อรอนงค์รีบเดินไปเปิดคิดว่าเป็นสรนุช
“ไปไห..” อรอนงค์ตกใจเพราะกลายเป็นณวัต “คุณวัต”
ณวัตยืนอยู่หน้าประตู “ตกใจอะไร...นุชละ”
“นุชยังไม่กลับค่ะ”
“ยังไม่กลับ? ไปไหน” ณวัตฉงน
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ไม่รู้หรือไม่บอก...นุชไปกับใคร...ไอ้บ้านนอกหรือว่าไอ้เด็กเลี้ยงควาย”
“คุณวัตคะ...อรไม่ทราบจริงๆว่านุชไปไหน...ถ้านุชกลับมา...อรจะบอกว่าคุณวัตมาหาแล้วกันค่ะ...ขอโทษนะคะ”
อรอนงค์บอกอย่างแนๆ พร้อมกับทำท่าจะปิดประตู แต่ณวัตกลับเอามือยันเอาไว้ แล้วเดินเข้ามาในห้อง
“คิดว่าฉันโง่มากใช่มั้ย”
“คุณวัตจะทำอะไร”
ณวัตไม่ตอบแต่ใช้สายตาโลมเลีย อรอนงค์รีบเอามือปิดคอเสื้อ ณวัตคิดจะขู่เล่น
“ถ้าเธอไม่บอกว่านุชไปไหน...ฉันก็คงต้องให้เธอทำหน้าที่แทนนุช”
“หน้าที่อะไรคะ”
“ก็แฟนเขาทำหน้าที่อะไรละ”
ณวัตพูดพร้อมกับทำหน้าหื่นใส่ อรอนงค์ก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา
“อ๊าย”
ณวัตตกใจ “เฮ้ย! เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“อย่าเข้ามานะ...ออกไปๆๆ ...ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย”
อรอนงค์ร้องเสียงดังมาก จนทำให้ณวัตตกใจกลัวว่าใครจะมาได้ยิน เลยรีบปิดประตู นั่นกลับยิ่งทำให้อรอนงค์สติแตก
อรอนงค์วิ่งวนไปรอบห้องพร้อมกับร้องโวยวายให้คนช่วย
“เฮ้ย! จะร้องทำไม...ฉันล้อเล่น”
อรอนงค์ตกใจ ไม่เชื่อที่ณวัตบอก ณวัตเห็นว่าอรอนงค์สติแตกเลยรีบวิ่งไล่ อรอนงค์วิ่งหนีแต่สะดุดล้มลงที่เตียง ณวัตเห็นอย่างนั้นก็กระโดดตะครุบ
ร่างของณวัตกับอรอนงค์คร่อมกันอยู่ ใบหน้าแนบชิดกัน อรอนงค์หน้าตาตื่น ส่วนณวัตสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขียว ที่แท้อรอนงค์ชันเข่าเอาไว้ทำให้โดนห้องเครื่องของณวัตเข้าเต็มๆ
“โอ๊ย”
ณวัตพลิกตัวลงเจ็บจุกจนหน้าเขียว ขณะที่อรอนงค์รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป
อ่านต่อหน้า 4
กระบือบาล ตอนที่ 14 (ต่อ)
อรอนงค์วิ่งเข้ามาหลบในห้องน้ำล็อคประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะหยิบแปรงขัดส้วมขึ้นมาเป็นอาวุธ
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำเอาอรอนงค์ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“นี่...นี่” ณวัตนั่นเองพยายามเคาะเรียกที่หน้าห้องน้ำ
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้...นี่...ฮึ่ยย์! ถ้าเธอพูดเรื่องนี้ให้ยัยนุชฟังละก็...อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”
ณวัตพูดขู่จบก็เดินกระเผลกออกจากห้องไป
อรอนงค์นั่งถือแปรงขัดส้วมอยู่ในห้องน้ำตัวสั่นงันงก ด้วยความกลัว
ใจเด็ดนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานจ้องมองกระดาษ ที่ต้องเขียนรายงานความประพฤติอยู่ตรงหน้า โดยไม่รู้ว่าที่หน้าออฟฟิศ สุบินเดินเข้ามาชะโงกมองเข้าไปในออฟฟิศก็เห็นใจเด็ดอยู่คนเดียว
“เอาไงดีวะ” สุบินลังเลเหมือนมีเรื่องบางอย่าง จนในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“เอาวะ...เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง”
ใจเด็ดตัดสินใจพับกระดาษเขียนรายงานเก็บ เขาทำใจไม่ได้ที่จะเขียนในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ เป็นจังหวะเดียวกับที่สุบินเปิดประตูเข้ามา
“คุณสุบิน...มีอะไรครับ”
“เอ่อ...มีคนอยากจะพบคุณใจเด็ดน่ะครับ...ตอนนี้เขารออยู่ที่หน้าสถานี”
“ใครเหรอครับ”
สุบินไม่ยอมบอก “ผมคิดว่าคุณใจเด็ดไปเห็นเองดีกว่า...ผมเชื่อเขาเป็นคนที่คุณใจเด็ดอยากคุยด้วยที่สุด”
ใจเด็ดสงสัยว่าใคร..?
ใจเด็ดเดินออกมาพร้อมกับสุบินที่หน้าสถานี “ใครเหรอครับ”
ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น “ฉันเอง”
ใจเด็ดหันไปเห็นสรนุชเดินเข้ามา สรนุชกับใจเด็ดต่างชะงักนิ่งกันไป
“คุณมาทำไม” ใจเด็ดหันขวับไปทางสุบิน “สุบิน”
สุบินรีบอธิบายกลัวจะไปกันใหญ่ “คือ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...เห็นนุชบอกว่าอยากคุยกับคุณใจเด็ดนะครับ”
“ฉันอยากคุยกับนาย”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ...คุณสรนุช”
สรนุชชะงักเมื่อเห็นใจเด็ดเรียกเธออย่างเหินห่าง
“กลับไป”
“ฉันไม่กลับจนกว่านายจะฟังฉัน...ฉันรู้เรื่องที่นายโดนสอบทางวินัย”
ใจเด็ดไม่สนใจ “ไม่ไปใช่มั้ย”
ใจเด็ดเดินหนีเข้าไปในสถานีโดยไม่สนใจสรนุช
“นุช...ฉันว่าแกกลับไปก่อนเถอะ...ดูท่าคราวนี้คุณใจเด็ดจะโกรธจริงๆ ว่ะ”
“ไม่...ฉันรอตรงนี้...จนกว่าเขาจะยอมคุยกับฉัน”
สรนุชมองเข้าไปในสถานีอย่างมุ่งมั่น สุบินมองสรนุชอย่างเห็นใจ
ด้านใจเด็ดเดินกลับมาตามทางในสถานี ขณะนั้นสุบินรีบวิ่งเข้ามาหาใจเด็ด
“คุณใจเด็ด...คุณใจเด็ด
ใจเด็ดไม่ยอมหยุด จนสุบินต้องเร่งฝีเท้ามาขวางใจเด็ดเอาไว้
“ผมขอโทษที่ทำอย่างนี้...แต่นุชเขาอยากคุยกับคุณใจเด็ดจริงๆ นะครับ”
ใจเด็ดนิ่งเงียบไม่พูดอะไรแล้วจะเดินออกไป
สุบินวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้ “คุณใจเด็ด”
“ผมไม่มีอะไรต้องคุย...ไปบอกให้เธอไปซะ”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป สุบินถอนหายใจด้วยความหนักใจในทิฐิของใจเด็ดและสรนุช ระหว่างนั้นเสียงฟ้าคำรามดังขึ้น สุบินหันมองไปก็เห็นฟ้าแลบแปลบปลาบ
ไม่นานต่อมา เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาที่เท้าของสรนุช แต่สรนุชยืนนิ่งไม่หวั่นไหว และจู่ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว แต่สรนุชก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
ใจเด็ดกลับเข้ามาในสำนักงาน แล้วมองสายฝนที่ข้างนอก แวบหนึ่งใจเด็ดสงสัยว่าสรนุชจะยืนรออย่างที่บอกจริงหรือเปล่า
สรนุชยังยืนอยู่ที่เดิม และฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง
สรนุชยืนนิ่งกำหมัดไม่ยอมแพ้ มองเข้าไปที่สถานี แต่ทุกอย่างเงียบงันไม่มีวี่แววของใจเด็ด
เวลาต่อมาสรนุชที่ยืนตากฝนอยู่หน้าบ้าน ขณะที่ใจเด็ดที่นั่งทำงานอยู่ในสำนักงาน สรนุชเริ่มตาปรือแต่ยังแข็งใจ นาฬิกาล่วงเลยจากสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน
ใจเด็ดทนไม่ได้ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน ใจเด็ดครุ่นคิดเอาไงดี
สรนุชยืนอยู่ที่เดิมเริ่มจะหมดแรง ทันใดนั้นก็มีร่มยื่นเข้ามากันฝนให้ สรนุชดีใจรีบเงยหน้ามอง
“ทำบ้าอะไรของเธอ”
สรนุชหันมาก็เห็นใจเด็ดยืนกางร่มให้ “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่านายจะฟังฉัน”
ใจเด็ดไม่พูดอะไร ดึงสรนุชเดินไปที่รถของสรนุชที่จอดอยู่ เปิดประตูรถแล้วดันร่างสรนุชให้ขึ้นไป
สรนุชจะดันประตูเพื่อลงมา แต่ใจเด็ดดันไว้ สรนุชเลยต้องลดกระจกรถลงคุยกับใจเด็ด
“นี่...จะทำอะไร”
“ผมบอกแล้วไงว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
“ฉันเชื่อว่านายไม่ได้เป็นคนเผารถไถ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
สรนุชพูดต่อ “...แล้วทำไมนายไม่เชื่อฉันบ้างว่าฉันไม่ได้เป็นคนใส่ร้ายนาย”
“เพื่ออะไร” ใจเด็ดสวนขึ้น สรนุชฟังแล้วชะงักไป “คุณพูดอย่างนี้เพื่ออะไร”
“นายรักควายมากขนาดนี้เลยเหรอ...มันมากพอที่จะทำให้ฉันเป็นคนเลวในสายตาของนายใช่มั้ย”
ใจเด็ดสบตากับสรนุช ทั้งสองสำรวจความจริงผ่านแววตาของกันและกัน
“ฉันไม่ได้อยากให้สถานีของนายถูกยุบ”
คำพูดสรนุชทำให้ใจเด็ดอ่อนลง สองคนสบตากันเนิ่นนาน ความรักของทั้งสองที่ซ่อนอยู่เริ่มเผยออกมา
ใบหน้าของใจเด็ดเคลื่อนเข้าใกล้สรนุช สรนุชเองก็ค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าหาแต่แล้วแขนของสรนุชก็ไปโดนพวงมาลัยทำให้เสียงแตรดังขึ้น
ใจเด็ดกับสรนุชได้สติทันที ทั้งสองรีบผละออกจากกัน
“อย่าทำอะไรที่มันเป็นไม่ได้อีกเลย” ใจเด็ดบอก
“หมายความว่าไง” สรนุชอึ้ง
“คุณก็รู้ว่าเราสองคนเหมือนอยู่คนละโลก”
ใจเด็ดพูดพร้อมกับเดินจากมา สรนุชเสียใจนัก เอาหัวพักกับพวงมาลัยหมดเรี่ยวแรง
เสียงแตรดังเนิ่นนาน ใจเด็ดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินต่อ โดยไม่สนใจเสียงแตรที่ยังดังค้างอยู่อย่างนั้น
แต่พอใจเด็ดเดินพ้นมุมสถานีเท่านั้น ก็ทิ้งร่มลงอย่างหมดแรงเช่นกัน
อรอนงค์ใส่เสื้อผ้าเต็มยศ เสื้อแขนยาวติดกระดุมถึงคอและแขน ใส่กางเกงยีนส์นั่งอยู่ที่ล็อบบี้ ยังมีอาการตื่นตระหนกจากเรื่องณวัตไม่หาย
สรนุชเดินตัวเปียกกลับเข้ามาในโรงแรม อรอนงค์หันมาเห็นพอดี
“นุช...แกไปไหนมา...ทำไมถึงได้เปียกอย่างนี้”
สรนุชฝืนยิ้มให้อรอนงค์
“ไม่มีอะไรหรอก...รถฉันเสียระหว่างทางน่ะ...แล้วแกละทำไมยังไม่นอนอีก”
อรอนงค์ชะงักไป “เอ่อ...ก็...ก็ฉันเป็นห่วงแกไง...ไปๆ...รีบขึ้นไปเช็ดตัวดีกว่า”
ขณะที่อรอนงค์กับสรนุชจะเดินไป ทั้งสองก็ต้องชะงักเมื่อเห็นณวัตเดินเข้ามา อรอนงค์ก็รีบหลบข้างหลังสรนุชทันที
“ไม่ดึกเกินไปเหรอนุช”
“นุชจะไปไหนก็เรื่องของนุช”
สรนุชดึงอรอนงค์ให้เดินต่อ แต่ณวัตกลับพูดขึ้น
“เรื่องของนุชที่มีไอ้บ้านนอกหรือไอ้เด็กเลี้ยงควายแสดงนำละ”
สรนุชชะงักแล้วหันมา “ก็ทั้งสองคนนั่นแหละ...ไง...พอใจหรือยัง...ถ้าพอใจแล้วก็อย่ามายุ่งกับผู้หญิงหลายใจอย่างฉันเลย”
สรนุชพูดจบก็เดินออกไปทันที อรอนงค์หันมาก็เห็นณวัตจ้องอยู่
อรอนงค์ตกใจ “ว้าย...นุชรอฉันด้วย”
ณวัตมองตามแล้วยิ้มอย่างนึกสนุก
เช้าวันต่อมา เงินจำนวนหนึ่งจากยายนุ้ยถูกยื่นให้กับชาญณรงค์
“นี่จ้ะผู้พัน...ต้องขอโทษผู้พันจริงๆ ที่ขาดไปหลายงวด...พอไอ้แดงส่งเงิน...ฉันก็รีบเอามาให้ผู้พันเลยจ้ะ”
ชาญณรงค์หยิบปึกเงินขึ้นดู
“นับดูก่อนก็ได้จ้ะ” ยายนุ้ยว่า
“ไม่เป็นไร...เก็บไว้เถอะ” ชาญณรงค์เลื่อนปึกเงินคืนให้ ยายนุ้ยงง
“ต่อไปนี้ไม่ต้องมาส่งดอกให้ฉันแล้วนะ”
“ห๊า ! จริงเหรอผู้พัน...” ยายนุ้ยแทบจะถลาเข้าไปกอดเข่า “ผู้พันนี่ใจบุญจริงๆ...ยกหนี้ให้กับคนยากคนจน...ขอให้เจริญรุ่งเรืองนะพ่อคู๊ณ”
ชาญณรงค์ดึงขาออก ยายนุ้ยมองท่าทีของชาญณรงค์ที่เปลี่ยนไป
“ไม่ต้องมาโดน...ฉันขี้เกียจอาบน้ำใหม่...แล้วที่ฉันบอกว่าไม่ต้องส่งดอกแล้วน่ะ...หมายความว่า...นาแกขาดแล้ว...ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของที่ของแก”
“ห๊า”
“เอ้าๆ....อย่าเพิ่งตกใจ...ฉันยังพูดไม่หมด...พรุ่งนี้ให้แกรีบย้ายออกไปจากที่นาฉันด้วย”
ยายนุ้ยอ้าปากค้างก่อนจะเป็นลมคาที่
เวลาต่อมาสุบิน ภิรมย์ และสมหญิงช่วยกันจับยายนุ้ยที่กำลังจะผูกตายที่ใต้ต้นไม้
“ปล่อย...ให้ฉันตายดีกว่า...อยู่ไปก็ไม่มีอะไรเหลือ” ยายนุ้ยพิลาปรำพัน
“ใจเย็น...มีอะไรคุยกันก่อนนะ”
“ไม่...คุยไปทำไม...ฉันอยากตาย...ปล่อยให้ฉันตาย”
ระหว่างนั้นใจเด็ดวิ่งเข้ามาพร้อมกับคนงานชาย
“นั่นครับหัวหน้า...ช่วยพูดกับยายนุ้ยด้วยหัวหน้า”
ใจเด็ดเข้ามาก็ตกใจเมื่อเห็นยายนุ้ยกำลังถูกพวกสุบิน และพวกคนงานต่างช่วยกันห้ามกันวุ่นวาย
“อุ้มลงมาเลย...อุ้มลงมา”
ภิรมย์กับคนงานช่วยกันอุ้มยายนุ้ยลง แต่ยายนุ้ยเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย
“เป็นอะไร...ยายนุ้ย...เกิดอะไรขึ้น”
ยายนุ้ยเข้ามากอดใจเด็ด “หัวหน้าช่วยฉันด้วย...ช่วยฉันด้วย”
เวลาผ่านไป...ใจเด็ดนั่งคุยกับยายนุ้ยที่อารมณ์เย็นลงแล้วแต่ยังร้องไห้ฟูมฟายอยู่ สุบิน ภิรมย์ สมหญิงนั่งปลอบยายนุ้ย มีคนงานชายคอยให้ดมยาดมยาหอม
“หัวหน้า...หัวหน้าช่วยยายด้วย” ยายยุ้ยว่า
“ใจเย็นๆ นะยาย...ผู้พันยึดนายายได้ยังไง”
“ยายแกไม่ได้ส่งค่างวดให้แกสามงวดน่ะครับหัวหน้า...แต่พอหลานแกทำงานได้เงินมาก็ส่งมาให้ยาย...แต่พอยายเอาเงินไปให้ผู้พัน...ก็...ผู้พันแกก็บอกว่าตอนนี้นาของยายแกเป็นของผู้พันแล้วเพราะยายแกขาดส่งมาหลายงวด” คนงานบอก
ภิรมย์ตบเข่าฉาด “บ๊ะ...ทำไมมันน่าเลือดอย่างนี้วะ”
“หัวหน้า...หัวหน้าช่วยยายด้วย...ยายไม่มีนาผืนนี้ยายก็ไม่อยากอยู่แล้ว”
“ยาย...ทำใจดีๆนะยาย...หัวหน้าต้องช่วยยายได้แน่” คนงานชายหันมาพูดกับใจเด็ด “หัวหน้าครับ...หัวหน้าช่วยยายแกด้วยนะครับ...หัวหน้าต้องห้ามไม่ให้ผู้พันทำอย่างนี้กับคนอื่นอีกนะครับ”
“หมายความว่าไง”
ยายนุ้ยสวนออกมาทันที “ยายไม่ใช่รายแรกที่โดนผู้พันทำอย่างนี้...ในละแวกนั่นทั้งหมดก็โดนผู้พันยึดที่นาไปหมดแล้วค่ะ”
“อะไรนะ”
ใจเด็ดได้ยินก็เลือดขึ้นหน้า หุนหันจะเดินออกไป สุบินเห็นก็รีบห้ามเอาไว้
สุบินสงสัย “จะไปไหนครับ”
“ฉันจะไปคุยกับผู้พันว่าทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“แต่ตอนนี้คุณใจเด็ดโดนทัณฑ์บนอยู่นะครับ...ถ้าขืนมีเรื่องอีก” สุบินท้วง
“แล้วจะปล่อยให้ชาวบ้านตายทั้งเป็นอย่างนี้น่ะเหรอ”
พูดจบใจเด็ดเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไร
“คุณสุบินรีบตามหัวหน้าไปเถอะค่ะ” สมหญิงบอก
สุบินพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งตามใจเด็ดออกไป
เพียงไม่นานต่อมา ใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาในบ้านของชาญณรงค์พร้อมกับสุบิน
“ผู้พัน ผู้พัน”
ภายในบ้านเงียบสนิท ไม่นานก็เห็นช่อผกาใส่ชุดขาวเดินเยื้องย่างลงมา
“สวัสดีค่ะพี่เด็ด”
สุบินแปลกใจที่เห็นช่อผกาดูแปลกไป
“เอ่อ...โทษนะผกา...ผีแม่ชีเข้าสิงเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ...ตอนนี้ฉันกำลังบำเพ็ญภาวนาให้พี่เด็ด...ขอให้บุญกุศลของฉันในครั้งนี้ส่งผลให้พี่เด็ดหมดเคราะห์หมดโศกน่ะจ้ะ”
“ขอบใจมากนะผกา...แต่ตอนนี้พี่อยากรู้ว่าพ่อผกาอยู่ไหน”
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ “พี่เด็ดถามหาพ่อทำไมจ้ะ...หรือว่า...พี่เด็ดจะมาขอผกากับพ่อ”
“ผกา...พี่อยากรู้ว่าพ่อผกาอยู่ไหน”
ใจเด็ดพูดสีหน้าเครียดจนทำให้ช่อผกาหวั่นใจ
ชาญณรงค์กำลังชี้ให้ณวัตดูที่นายายยุ้ยโดยมีสมคิดคอยยืนกางร่มให้ “เป็นไงครับ...สวยมั้ยครับ”
“โอเค...แล้วไอ้ที่สองแปลงทางโน่นของใคร”
“ไม่ต้องห่วงครับ ตรงนั้นน่ะ...ยิ่งกว่าของตาย แต่รอแป๊ปนึงครับ ขืนประเจิดประเจ้อเดี๋ยวมันจะไม่ดี”
ระหว่างนั้นเห็นรถของใจเด็ดขับเข้ามาเหมือนทำท่าจะชนกลุ่มของชาญณรงค์ จนชาญณรงค์ ณวัตและสมคิดต่างแตกกระเจิง
ใจเด็ดกับสุบินลงจากรถ ชาญณรงค์กับณวัตปรี่เข้ามาเอาเรื่อง
“เฮ้ยอะไรวะ” ชาญณรงค์ย๊วะสุดขีด
ใจเด็ดไม่พูดพร่ำทำเพลง “ผู้พันทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“ฉันทำอะไร”
“ก็เที่ยวไปยึดที่นาชาวบ้านแบบนี้...มันไม่ใจดำไปหน่อยเหรอ”
“ใช่...เขาแค่ขาดส่งไม่กี่งวด...ทำอย่างนี้เขาเรียกว่าโกงกันหน้าด้านๆ” สุบินเสริม
ณวัตสวนขึ้นมา “อ้าว...ก็สัญญาก็มีอยู่...ผู้พันเขาทำผิดตรงไหน”
ใจเด็ดมองไปที่ณวัต รู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะไม่ชอบมาพากล
“ผู้พันอยากได้ที่ไปทำอะไรตั้งมากมาย” ใจเด็ดหันมาถามผู้พันชรา
ชาญณรงค์กับณวัตแอบเหล่มองกัน
“ได้อะไร ฉันก็แค่ทำตามสัญญา ในเมื่อพวกนั้นไม่จ่ายดอก ฉันก็ยืดที่ ถามหน่อยว่าฉันผิดตรงไหน”
“มันไม่ผิดหรอก...แต่มันไม่มีมนุษยธรรม” สุบินว่า
“มนุษยธรรมเหรอ..? เหอะ...แล้วทีพวกมันเชิดเงินฉันไปตั้งเท่าไหร่...ฉันไม่เห็นว่าอะไร” ชาญณรงค์เยาะ
ใจเด็ดเดินเข้ามามองชาญณรงค์กับณวัตเอาเรื่อง
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าผู้พันจะเอาที่ของชาวหนองระบือไปทำอะไร...หรือว่า...ผู้พันกำลังสมคบคิดกับใคร...” เหล่มองทางณวัต “แต่ผมขอบอกไว้เลยว่า...ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน...เอาที่ดินของชาวบ้าน...เอาที่ดินของบรรพบุรุษไปจากชาวหนองระบือเด็ดขาด”
“เหรอ...แล้วแกจะทำยังไง...ไม่เอาน่า...บอกมาเลยว่าจะทำยังไง...ไม่ใช่ว่าจะทำท่าเท่ห์เรียกเรตติ้งอย่างเดียว” ชาญณรงค์ทำท่าเลียนแบบใจเด็ด “ผมจะปกป้องชาวบ้าน...ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกชาวบ้าน...โด่...ไหน...แกจะทำอะไร”
“คอยดูก็แล้วกัน” ใจเด็ดจ้องหน้าณวัต “ผมจะทำทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไอ้คนที่จะเอาที่พวกเรา”
ใจเด็ดสบตากร้าวกับณวัต ณวัตเองก็ไม่กลัวเช่นกัน
ชิดชัยเดินลับๆ ล่อๆ เข้ามาในบริเวณสถานที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ชิดชัยเดินเข้ามาก่อนจะหยุดถามขึ้น
“เรียกผมมาในที่ลับหูลับตาอย่างนี้...คุณวัตมีอะไรเหรอครับ”
ณวัตยืนหน้าเครียดด้วยความโกรธอยู่ตรงนั้น “ฉันอยากให้แกกำจัดไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่น”
“กำจัด..? ไอ้เด็กเลี้ยงควายนั่นมันต้องทำอะไรแน่ๆ...คุณวัตถึงได้โกรธขนาดนี้” ชิดชัยสงสัย
“เรื่องนั้นแกไม่ต้องรู้...ทำที่ฉันสั่งก็พอ”
“เอ่อ...แต่ว่าไอ้เรื่องฆ่าคนนี่...ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่”
“แล้วใครว่าฉันจะให้ไปฆ่ามัน”
ชิดชัยยิ่งงง “ไม่ฆ่ามัน...แล้วฆ่าใครครับ”
ณวัตหรี่ตาร้าย อย่างอำมหิต
สรนุชกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในออฟฟิศ ระหว่างนั้นแก้วกาแฟยื่นเข้ามาตรงหน้า
“ขอบใจมากอร”
“พูดอย่างนี้...วัตก็น้อยใจซิครับ”
สรนุชเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นว่าเป็นณวัต
“วัต...”
“มีอะไรให้วัตช่วยมั้ย”
“ไม่มีค่ะ”
ณวัตดึงเก้าอี้ลงนั่ง สรนุชมองอย่างไม่พอใจ
“แล้วอรไปไหนแล้วละ”
สรนุชรู้สึกแปลกใจ “ทำไมคะ”
“เปล่า...ก็ปกติวัตเห็นนุชกับอรตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋”
“อรเขาไม่ค่อยสบาย...นุชก็เลยให้เขาหยุด...”
ณวัตนึกขำพึมพำออกมา “กลัวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
“ว่าไงนะคะ”
“อ๋อ...เปล่าจ้ะ”
ณวัตยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไร แต่สรนุชกลับไม่สบายใจกับรอยยิ้มนั้น
อรอนงค์ยืนเหม่ออยู่ริมน้ำ ระหว่างนั้นเกริกไกรเดินเข้ามาอีกมุมเห็นอรอนงค์ยืนอยู่แล้ว
เกริกไกรรีบวิ่งเข้ามาหา “คุณอรครับ”
อรอนงค์หันมาเห็นเกริกไกร ก็รีบเข้ามาหาทันที “หมอ”
“คุณอรเป็นอะไรหรือเปล่าครับ....ผมได้ยินเสียงคุณอรทางโทรศัพท์ไม่ค่อยดีเลย”
“เปล่าหรอกค่ะ...เอ่อ...วันนี้หมอยุ่งหรือเปล่าคะ”
“ทำไมเหรอครับ”
“ช่วยอยู่เป็นเพื่อนอรได้มั้ยคะ”
เกริกไกรเหล่มองอรอนงค์รู้สึกถึงความผิดปกติ
“คุณอรมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ...บอกผมมาเถอะครับ”
อรอนงค์นิ่งไปไม่กล้าเล่าเรื่องณวัต
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...อรแค่คิดถึงบ้าน...แล้วหมอจะอยู่เป็นเพื่อนอรได้มั้ยคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ละครับ...ในเมื่อคุณอรเป็นคนสำคัญที่สุดของผม”
คำพูดของเกริกไกรทำให้อรอนงค์สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่อึดใจเดียวสีหน้าของอรอนงค์เครียดลงอีก
เกริกไกรมองด้วยความสงสัยและเป็นห่วง
สุบินถือไฟฉายกำลังเดินตรวจควายในคอก
“เออ...อยู่ดีมีสุขก็ดีแล้ว...พวกแกจะรู้มั้ยเนี่ยว่าพวกแกทำให้คนเขาทะเลาะกันเนี่ย”
แต่สุบินก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่มุมหนึ่งในคอกควาย
“ใครวะ” สุบินก็ตะโกนเพื่อหยั่งเชิง
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ...ออกมาเว้ย...ถ้าไม่ออกฉันยิงจริงๆ ด้วย”
สุบินปิดไฟฉายก่อนจะแกล้งทำมือเป็นปืน ระหว่างนั้นเสียงภิรมย์ดังขึ้น
“อย่ายิงครับอย่ายิง...ผมเอง”
ภิรมย์เดินออกมาจากเงามืด ให้สุบินเห็นชัดๆ
“โธ่...ตกใจหมด...แล้วมาทำอะไรดึกๆ ป่านนี้”
“คือหัวหน้าบอกให้เราเดินตรวจบ่อยๆนะครับ...แกกลัวว่าจะมีคนที่ไม่ชอบควายเข้ามาทำอะไร...แล้วคุณสุบินละครับ...มาทำอะไร”
“ฉันก็เห็นว่าตอนนี้ทุกคนเหนื่อยกันหมด...ฉันมาอยู่ที่นี่ก็อยากทำอะไรให้บ้าง...ไปนอนเถอะ...เดี๋ยวฉันจะเดินตรวจให้เอง”
ภิรมย์เดินออกไป สุบินเลยเปิดไฟฉายแล้วเดินตรวจอีกรอบ
ข้างๆ คอกควายที่เป็นพุ่มไม้...มีไอ้โม่งสองคนแอบเข้าไปในโรงเรือน เป็นชิดชัยกับลูกน้องนั่นเอง ลูกน้องเอาหญ้าสดวางไว้ในราง ส่วนชิดชัยก็ทำหน้าที่โรยยา
ครู่ต่อมา ชิดชัยยิ้มเหี้ยมเมื่อเห็นควายกำลังกินหญ้าผสมยาเบื่อ
เช้ามืดวันต่อมา ใจเด็ดตื่นแล้วเดินออกมาจากห้องนอนเดินไปมุมกาแฟ ขณะชงกาแฟอยู่ใจเด็ดเผลอไปโดนแก้วกาแฟที่วางอยู่จนหล่นลงแตกกับพื้น ดังเพล้ง !!!
ใจเด็ดมองเศษแก้วกาแฟที่หล่นอยู่รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
ไม่นานต่อมาใจเด็ดเดินหอบฟางเข้ามาที่คอกเพื่อให้อาหารควาย “มื้อเช้ามาแล้ว”
ฟางในมือถูกทิ้งลงพื้น ใจเด็ดยืนอึ้งกับภาพตรงหน้าควายในคอกนอนตายกันเต็มโรงเรือน ใจเด็ดช็อกคาที่
อ่านต่อตอนที่ 15 พรุ่งนี้