ดอกโศก ตอนที่ 3
ตอนเย็นวันนั้น สุดเขตเดินเข้ามาในห้องรับแขก หลังทานข้าวมื้อค่ำเสร็จ หันมาทางเฉลย
“วันนี้แกงมัสมั่นอร่อย แกปรุงเองใช่มั้ยเฉลย”
“ค่ะ ไม่หวานไปหน่อยหรือคะท่าน” เฉลยถามนายกลับ
“ไม่...กำลังดี แกจำให้แม่นนะว่ารสนี้ ยายจวนทำทีไร ฉันกระเดือกไม่ลงใส่น้ำตาลเป็นกิโล”
“ค่ะ”
“ใครไปตามอภิรมย์ฤดีรึยัง อ้อ...” สุดเขตหันมาเห็นดอกโศกนั่งแอบๆ อยู่มุมห้อง “มาแล้วรึ”
ดอกโศกไหว้คุณตา
“ทำไมไม่มากินข้าวด้วยกัน”
“ทานแล้วค่ะ”
“อ้าว ไปกินที่ไหน”
“ในครัวค่ะ”
คุณตาหน้าขรึมทันที “ทำไมไปกินในครัว”
“เพราะ....หนูหิวค่ะ”
“หิว...ทำไมหิวแต่หัววัน” สุดเขตประหลาดใจ
“เพราะไม่ได้ทานข้าวกลางวันค่ะ” ดอกโศกบอกตามจริง
เพ็ญพักตร์ เพ็ญตระการ และสุดสวยเดินพรวดออกมา ไหล่กระแทกดอกโศกอย่างจงใจ ดอกโศกเซไป ดอกโศกขยับปากจะพูด
สุดเขตรีบพูดขัด “อ้าว...ทำไม เหลย ไม่จัดปิ่นโตให้อภิรมย์ฤดีรึ”
“จัดค่ะ ท่าน” เฉลยบอก
คุณตาหันมา สีหน้าเป็นคำถาม “อภิรมย์ฤดี?”
“อุ๊ไม่ให้ทานค่ะ”
นายพลสุดเขตนิ่งอึ้งไปนิด
“อุ๊” คราวนี้หันมาทางเพ็ญตระการ
“อุ๊ไม่ทราบนี่คะ เหลยให้ไปปิ่นโตเดียว เหมือนทุกวัน อุ๊ก็ทานเหมือนทุกวัน”
“เฉลย” สุดเขตพูดเสียงเขียวมาก “แกไม่ได้บอกเหรอว่าฉันสั่งให้จัดปิ่นโตใหญ่ไปให้กินด้วยกันพี่น้อง”
“บอกค่ะ”
“บอกใคร”
“บอกคุณอุ๊ค่ะ” เฉลยบอก
อุ๊รีบท้วงทันที “จริงเหรอ เหลยบอกฉันเหรอ บอกตอนไหนไม่ได้ยินเลย”
“บอกแล้วค่ะ” เฉลยบอก แต่ลดเสียงพูดเบาลง
“เอาล่ะ แกล่ะพูดอะไรให้มันชัดๆ หน่อย อมอะไรอยู่ฮะนังเหลย” สุดเขตถามคาดคั้น
เห็นเฉลยก้มหน้านึกรู้ทันที
“เอา..เรื่องแล้วไปแล้ว ตาให้กินข้าวด้วยกัน จะได้คุยกันพี่น้อง อุ๊มีอะไรก็บอกน้องด้วย เขาเพิ่งไปโรงเรียนอาจจะยังไม่รู้เรื่อง” สุดเขตบอก
“ค่ะ คุณตา”
“ดีแล้ว...อภิรมย์ฤดี?”
“หนูขอแยกปิ่นโตค่ะ” ตอบทันควัน
ทุกคนตกตะลึง หันมาจ้องดอกโศกเป็นดาเดียว
“แยกปิ่นโต ! ทำไม?”
“เพราะอุ๊เค้าไม่อยากทานกับหนู หนูกลัวอดข้าวอีกค่ะ” ดอกโศกบอก
“แหม เรื่องมากจริงนะ ใครเขาจะปล่อยเธออดข้าว” เพ็ญพักตร์แทรกขึ้นอย่างหมั่นไส้
“อุ๊ค่ะ” ดอกโศกบอก
“ก็เฉพาะวันนี้เท่านั้น เข้าใจผิดกันแค่นี้จะโกรธจะเคืองอะไรนักหนา” เพ็ญพักตร์ฉุนขาด ในใบหน้าเรียบเฉยนั้น
“ไม่ได้โกรธค่ะ แค่กลัวจะอดข้าวอีกเท่านั้น อดแล้วหิวแสบท้องเลยค่ะ ความจริงอุ๊น่ะเป็นคนพูดเองเมื่อเช้าตอนที่เฉลยบอกว่าคุณตาให้จัดปิ่นโตเดียว อุ๊พูดว่า....” ดอกโศกทอดเสียงไว้
“อุ๊...เจ้าพูดว่าอะไร” คุณตาถามต่อทันที
“อุ๊ไม่ได้พูดอะไรซักอย่างค่ะ คุณตา อุ๊ไม่ได้ยินเลยที่เฉลยบอก”
“เฉลย...” สุดเขตหันมาทางสาวใช้เก่าแก่
“อิฉันไม่ได้ยินค่ะว่าคุณอุ๊พูดว่าอะไร” เฉลยว่า
“ไม่จริง...โกหก” ดอกโศกจ้องหน้าเฉลย
“ท่านคะ ขอประทานโทษค่ะ” เฉลยขอตัว ค้อมหัวแล้วออกไป
“อภิรมย์ฤดี...เพ็ญตระการ พูดว่าอะไร”
“พูดว่า... ‘กินปิ่นโตเดียวกันน่ะเหรอ...จ้างให้’…”
อุ๊เสียงแหลมขึ้นมาทันที “ดอกโศก เธอจะบ้าเหรอ ใส่ความชั้นไม่ได้พูด”
เพ็ญพักตร์ผสมโรง “อภิรมย์ฤดีจะพูดอะไรคิดเสียก่อนนะ ฉันก็อยู่ด้วยตลอดเวลานะเมื่อเช้า”
ดอกโศกหันมามองเพ็ญพักตร์ สายตานั้นทะลุทะลวงเข้าไปในจิตวิญญาณ เพ็ญพักตร์ขยับตัวนิดหน่อย แล้วทำสีหน้าไม่แคร์
“คุณพ่อคะ ลูกว่า...เราต้องระวังเหมือนกันนะคะ ไม่ทราบเขาอบรมกันมาอย่างไร...อยู่กับเรามาตั้งหลายปี ยังไม่ดีขึ้นเลย” เพ็ญพักตร์ลดเสียงเบาลงเหมือนบ่นๆ
ดอกโศก หันขวับมองเพ็ญพักตร์ทันที ในใจคิดว่าทีตัวเองอบรมลูกล่ะ
“มองอะไรแม่อภิรมย์ฤดี ฉันว่าเธอเป็นตัวปัญหานะ” เพ็ญพักตร์บอก
ดอกโศกพยายามข่มอารมณ์ “คุณตาคะ”
“อย่างที่คุณป้าเขาว่า ทำอะไรระวัง ยังไงๆ ก็กระเทือนถึงยาย”
ดอกโศกนิ่งงัน คิดถึงยายที่สุด
“พรุ่งนี้สองคนพี่น้องกินกลางวันปิ่นโตเดียวกัน พ่อจะขึ้นห้อง เรื่องนี้จบ ไม่ต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บอีก” พูดจบนายพลสุดเขตลุกขึ้นหยิบไม้เท้าจะเดินไป ทุกคนลุกตาม
ดอกโศกเรียกขึ้น “คุณตาคะ”
สุดเขตหยุด เพ็ญพักตร์หยุด มองหน้าอุ๊ อุ๊ถามด้วยสายตา เพ็ญพักตร์ตอบด้วยสายตาว่าเรียบร้อย
“หนูมีเรื่องจะเรียนคุณตาอีกเรื่องค่ะ”
“งั้นเราออกไปข้างนอกเถอะค่ะ คุณแม่” อุ๊รีบดึงแม่ไป
ดอกโศกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณตานายพลฟัง
เวลาต่อมา เพ็ญพักตร์ กับอุ๊ คุยกันอยู่ ที่อีกมุมหนึ่งในบ้าน
“คุณแม่...แน่ใจนะคะว่าอุ๊จะไม่โดนคุณตาเอ็ด” แ
เพ็ญพักตร์พูดด้วยท่าทีสบายๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส “ไม่เคยแน่ใจอะไร อย่างนี้มาก่อนเลย”
ระหว่างนั้นจิ๋ว เด็กรับใช้คนหนึ่งอายุประมาณ 15-16 ปี เจ๋อนิดๆ ล้นหน่อยๆ เดินเร็วๆ ลงมาจากข้างบน เดินรี่จะออกหน้าบ้าน อุ๊เรียกไว้
“จิ๋ว”
จิ๋วเกือบหน้าคะมำ
“จะรีบไปไหน” อุ๊ถาม
“ท่านให้ตามน้าสมค่ะ คุณอุ๊ เสียงท่านนะเคี้ยว...เขียวค่ะสั่งพลางไม้เท้ากระแทก..ปึง ไปตามไอ้สมมาเดี๋ยวนี้”
“ไอ้จิ๋ว..ไปเร็วๆ เชียว..ไม่ต้องลวดลาย” อุ๊พูดเสียงเย้าๆ
“คุณอุ๊ถามจิ๋วเองนี่” จิ๋วว่า
“ไป๊...เร็ว”
เพ็ญพักตร์กับอุ๊พูดพร้อมๆ กัน “ไปได้แล้วนังจิ๋ว นายสมนั่งคอยอยู่หน้าตึกแน่ะ”
“คอยเหรอคะ คอยใครคะ คุณเพ็ญ”
“คอยแกไปเรียกน่ะซิ ไปเร็วๆ เลย”
“น้าสมเค้ารู้ได้ไงคะคุณเพ็ญว่าท่านจะเรียก” จิ๋วคาใจ
“ไอ้สม...จริงมั้ย บอกมา” สุดเขตถามสียงเขียว
“ไม่จริงครับท่าน”
ดอกโศกอ้าปากจะพูด สุดเขตยกมือห้ามเบาๆ “เดี๋ยว...แน่ใจนะไอ้สม”
“แน่ใจที่สุดเลยครับ ผมก็ขับไปเรื่อยๆ จนถึงโรงเรียนคุณอุ๊ ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับท่าน”
สีหน้าดอกโศกแทบระเบิด
“ไม่มีใครลงจากรถกลางทางแล้วเดินไปโรงเรียน”
“ไม่มีครับ...ใครจะเดินละครับ ก็มีอยู่แค่สองคน คุณอุ๊กับคุณอภิรมย์”
“ขากลับล่ะ คุณอภิรมย์ลงจากรถที่หน้าบ้านรึเปล่า”
“เปล่าครับท่าน คุณอภิรมย์มาลงหน้าตึกพร้อมๆ คุณอุ๊”
ดอกโศกไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ลุกพรวดขึ้นแล้วฉวยแก้วน้ำสาดโครมเข้าไป แล้วยังหยิบอะไรปาโดนหัวจังๆ
“ไอ้โกหก ไอ้เลว ไอ้บ้า ไอ้...”
“หยุด...อภิรมย์ฤดี”
ดอกโศกคับแค้นใจนัก ร้องไห้ออกมาทันที คุณตาทำมือให้สมออกไปได้
ดอกโศกหมดความอดทนแล้ว ร้องไห้...ร้อง..เสียงดัง เป็นเสียงร้องของเด็กสาวที่ว้าเหว่หลงทางโดยแท้ ก้มหน้าร้องสะอึกสะอื้น
คุณตาโบกมือให้สมออกไป
คุณตามองหลาน พินิจพิเคราะห์ ใจคิดตรึกตรองอย่างหนัก ดอกโศกร้องไห้จนหมดน้ำตา นั่งชันเข่า ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
“อภิรมย์ฤดี” สุดเขตเอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่ดุ แต่เฉยๆ
ดอกโศกเงยหน้ามองคุณตา นัยน์ตาช้ำแดงก่ำ แล้วลุกขึ้นเดินซมซานออกไปจากห้องคุณตาเหมือนนกปีกหัก
“อภิรมย์ฤดี...อย่าเพิ่งไปอยู่ก่อน”
ดอกโศกไม่ฟังอะไรแล้วกลับตัวไป
ไม่นานหลังจากนั้น เพ็ญพักตร์ส่งเงินให้สม สมไหว้ รับแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ตระกูลพูดโทรศัพท์อยู่ “คุณอัศนัย คุณจะมาเดี๋ยวนี้ก็ได้นะ ผมว่างพอดี ที่จริงก็รออยู่ตั้งแต่บ่ายแล้ว ได้...ได้ เดี๋ยวพบกัน” น้ำเสียงตระกูลฟังเหมือนผู้ใหญ่พูดกับผู้อาวุโสน้อยกว่า แม้อัศนัยจะเป็นหุ้นส่วนก็ตาม
ระหว่างตระกูลพูด ดอกโศกเดินไปสีหน้าช้ำ นัยน์ตาแดงก่ำ ผ่านหน้าไป สองแม่ลูก เพ็ญตระการ กับเพ็ญพักตร์ มองหน้ากัน ยิ้มให้กัน แต่ไม่ออกนอกหน้านัก
“เดี๋ยวคุณอัศนัยจะมา....มีอะไรกันหรือแม่ลูก” ตระกูลหันมาถาม
ดอกโศกตรงเข้ามาในห้อง แล้วรีบเก็บของ คิดในใจอยู่ไม่ได้แล้ว เก็บแล้วนั่งมองจะไปอยู่ที่ไหนดี สมองใช้ความคิดอย่างหนัก
เด็กสาวหยิบถุงเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา เปิดออก ในนั้นมีไม้กางเขน 1 อัน และพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ทั้งสองอย่างอยู่ในกล่องพลาสติกแยกกัน
ดอกโศกหยิบไม้กางเขนมาไว้ในมือ...สีหน้าครุ่นคิดถึงที่มา
วันนั้นคุณพ่อส่งไม้กางเขนให้ เด็กหญิงดอกโศกรับกางเขนมา จูบเบาๆ
“เก็บไว้ แต่ไม่ใช่มีไว้แล้วชีวิตจะดีขึ้น ตัวเองเท่านั้นทำให้ชีวิตตัวเองดี จำไว้นะ แอนเจล่า”
“แอนเจล่า....นางฟ้า” นึกถึงตอนนี้ เสียงดอกโศกพึมพำ ทวนคำพูดคุณพ่ออันโตนิโยออกมา น้ำตารื้นขึ้นมาคลอๆ อีก หยิบพระพุทธรูปใส่มือ ประนมมือไหว้...คิดถึงอีกเหตุการณ์ในอดีต
วันนั้นคุณนายประดับวางพระพุทธรูปใส่มือดอกโศก เด็กหญิงดอกโศกรับมาแล้วไหว้ท่วมหัว
“ฉันให้เจ้าไว้บูชา เอาไว้เตือนใจให้ทำความดีเสมอนะดอกโศก”
ดอกโศกยิ้มรับ
“แต่ความดีจะเกิดได้เพราะตัวเจ้านะ ไม่ใช่พระพุทธรูป…จำไว้” คุณนายประดับสอนสั่ง
นึกถึงตอนนี้ดอกโศกกอบกุมกำพระพุทธรูป เอามาแนบอก หลับตาลงด้วยสีหน้าอึดมาก
ดอกโศก หิ้วหอบถุงผ้า เปิดประตูออกไป โดยไม่รู้ว่าที่หน้าต่างชั้นบนเวลานั้น เพ็ญพักตร์ยืนมอง สีหน้าเย็นนิ่ง ลึกๆ ในสายตาดูโล่งใจ
“มันไปแล้วหรือลูก”
“ค่ะ คิดว่ามันจะกลับไปอยู่กับยายนะคะคุณแม่” เพ็ญตระการบอก
“หวังว่าครั้งนี้มันจะไปจริงๆ ตลอดเวลา 10 ปี มันทำท่าจะไปหลายหนแต่ ไม่เห็นไปจริงๆ ซักที” เพ็ญพักตร์ว่า
ดอกโศกออกจากประตูบ้าน เลี้ยวซ้ายแล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปตามทาง อัศนัยเลี้ยวรถจอดหน้าบ้าน บีบแตรสั้นๆ ทีหนึ่ง....คอยเวลา
ดอกโศกเดินมาเรื่อยๆ อัศนัยยังคอยอยู่ แล้วเหลียวหน้าไปดู เห็นหลังดอกโศกเดินไป
อัศนัยถอยรถทันที แล่นตามไป เห็นความผิดปกติแล้ว ดอกโศกเดินเซไป 2 - 3 ก้าว อัศนัยจอดรถ ลงมาแล้ว....วิ่งพรวด ทันรับร่างดอกโศกที่ล้มลงพอดี
ดอกโศกลืมตาตื่นขึ้นมาในรถอัศนัย ใบหน้าชายหนุ่มอยู่ตรงหน้า มองด้วยสายตาเป็นห่วง ยังไม่มีแววของความรักชัดเจนนัก
“คุณอัศนัย”
“ดอกโศก...เป็นยังไงบ้าง”
“หน้ามืดค่ะ...ทำไมคุณ...”
“ฉันจะมาหาคุณตระกูล เห็นเข้าพอดี”
“ขอบคุณนะคะ” เปิดประตูรถจะลง เหลียวหาถุงผ้า
“อยู่นี่...” อัศนัยหยิบส่งให้ “เข้าบ้านด้วยกันอย่าเดินไป เธอยังไม่สบายอยู่...หน้าซีดมาก” อัศนัยหันไปสตาร์ทรถ
“ไม่ค่ะ” ดอกโศกลงไปจนได้
“โธ่...ดอกโศก” เหมือนทุกครั้ง อัศนัยรีบตามลงไป “เมื่อไหร่จะหายดื้อเสียที”
“คุณอัศนัยคะ ดอกโศกจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
อัศนัยมีสีหน้าตกใจ แต่ก็ไม่แสดงออก เพราะไม่ใช่เรื่องผิดคาด “ใครทำอะไรอีก”
ดอกโศกสะท้อน ถอนหายใจอยู่ในอก น้ำตาจะเอ่อล้น แต่กัดฟันข่มกลั้นไว้เต็มที่จนตัวสั่นสะท้าน อัศนัยหยิบถุงผ้าในมือดอกโศก จูงมือไปขึ้นรถ ปิดประตูให้
ดอกโศกทำท่าไม่ยอม
“ขอทีเถอะ ว่าง่ายๆ ซักครั้งได้มั้ย”
นัยน์ตาโศกซึ้งคู่นั้นมองจ้องหน้าอัศนัย นิ่งสักครู่ ก็พยักหน้าน้อยๆ อัศนัยออกรถไปทันที
ไม่นานหลังจากนั้น รถแล่นเข้ามาจอดหน้าตึก อัศนัยมาเปิดประตูให้ดอกโศก หมื่นวิ่งลงมาหน้าตาประหลาดใจ
“เป็นอะไร ไอ้หมื่น...” อัศนัยแปลกใจ
“เอ้อ...”
อัศนัยมองไปอีกทาง “ป้าหม่อน...มีอะไร”
หม่อนไม่ตอบเข้ามาจูงดอกโศกไป “คุณหนูดอกโศก...”
ดอกโศกยกมือไหว้ทักทาย “ป้าหม่อน...”
“ป้าจะพาไปทานขนมค่ะ”
“แต่ว่า....หนู...เอ้อ มีเรื่องจะเล่าให้คุณอัศนัยฟังค่ะ” ดอกโศกบอก
“ทานขนมก่อนเถอะค่ะ คุณนัยคะ...คุณนัยมีแขกค่ะ” ป้าหม่อนว่า
อัศนัยประหลาดใจ “ใคร....ไม่ได้นัดใครไว้นี่”
“งั้น...” ดอกโศกหันไปพูดกับป้าหม่อนก่อนจะบอกอัศนัย “แต่คุณอัศนัยต้องไปส่งที่บ้านยาย... อย่าให้ค่ำนะคะ”
“ไว้พูดกันทีหลัง” อัศนัยก้าวเดินขึ้นตึกไป
ห้วงเวลานั้นพอดีกับที่ปรียากมลก้าวออกมายืนเด่น อัศนัยตะลึงงัน ดอกโศกเหลียวมองปรียากมล
ปรียากมลหันมามองดอกโศก สบตากันนิดเดียว ไม่สนใจเด็กนักเรียนกะโปโล ป้าหม่อนจูงดอกโศกเดินเลี่ยงๆ ไป หมื่นตามไปด้วย
อัศนัยก้าวเดินขึ้นไปช้าๆ ทีละก้าว สายตาชายหนุ่มไม่ได้ละจากวงหน้าปรียากมล ขณะที่ภายในใจ ภาพความหลังผ่านเข้ามาเหมือนสายน้ำไหล ไม่หยุดหย่อน (ภาพในฉาก 29)
ขณะที่ภาพเก่า วนเวียนในความคิดอัศนัย เสียงปรียากมล
“อัศนัย.....โอ อัศนัย ในที่สุดเราก็พบกันอีก กี่ปีแล้วนี่...สิบ ยี่สิบปี หรือว่าร้อยปี”
ภาพเหล่านั้นจางหายไป อัศนัยเดินมาถึงตัวปรียากมลพอดี
“อัศนัย” ปรียากมลเรียกซ้ำ
“ปรียากมล” อัศนัยทักทายเสียงแผ่ว
“คุณได้ยินฉันรึเปล่า” ปรียากมลถาม
อัศนัยสั่นหน้านิดๆ
“ฉันพูดว่า ในที่สุดเราก็พบกันอีก กี่ปีแล้วนะที่ฉันจากคุณไป สิบปี หรือว่ายี่สิบปี หรือว่าร้อยปี”
อัศนัยไม่ตอบแต่ถามกลับ “คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ทำไมต้องเสียเวลาถามคำถามโง่ๆ อย่างนั้น คุณไม่ต้องอยากรู้เหมือนกับที่ฉันไม่อยากตอบ”
“ผมควรจะอยากรู้อะไรล่ะ ปรียากมล” น้ำเสียงนั้นเย้ยแกมหยันอยู่ในที
อัศนัยเอ่ยประโยคนั้นขึ้น พร้อมๆ กับที่ภาพความรักความหลังระหว่างอัศนัยและปรียากมลสมัยวัยรุ่นหนุ่มสาวผุดขึ้นในห้วงความคิดคำนึง
วันนั้น ที่หน้าบ้านเช่าหลังเล็กๆ หลังนั้น ปรียากมล เพิ่งกลับจากโรงเรียนถึงบ้าน ยังอยู่ในชุดนักเรียน เหลียวมาเห็นอัศนัยซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนเช่นกัน ยืนคอยอยู่แถวๆ นั้น ปรียากมลยิ้มกว้าง ทำมือบอกว่ารอเดี๋ยว
ปรียากมลวิ่งเอากระเป๋าไปเหวี่ยงเข้าบ้าน แล้ววิ่งออกมาหาอัศนัย ด้วยท่าทางร่าเริง
อัศนัยขี่จักรยาน ปรียากมลซ้อน หัวเราะร่าเริง อีกเหตุการณ์ทั้งสองคน กินไอติมกัน ที่ร้านไอติมในซอย ผลัดกันป้อน เจ้าของร้านเหล่มอง ปรียากมลหันไปหัวเราะเย้าๆ กับเจ้าของร้าน แล้วชวนกันวิ่งออกไป
ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นแห่งนั้น สองคนนั่งคุยกัน แล้วครู่ต่อมาก็นอนคุย ท่าทางรักกันมาก คุยจนหน้าเข้าไปชิดกัน มองตากัน หายใจหอบแรงทั้งคู่
ปรียากมล ดึงตัวอัศนัยเข้าไปด้วยพลังที่เหนือกว่า ปากจวนถึงปากอยู่แล้ว อัศนัยส่ายหัวดึงตัวเองออกมาแต่ปรียากมลดึงเข้าไปใหม่
ภายในห้องวาดรูปเวลานั้น ใบหน้าอัศนัยถูกปรียากมลดึงเข้าไป แล้วจูบกันอย่างดูดดื่ม จู่ๆ อัศนัยผละออกท่าทางไม่อยากทำ ปรียากมลดึงรั้งร่างของเขากลับเข้าไปอีกครั้ง
ปรียากมลนั่งพับเพียบขดตัวอยู่ในโซฟาหนานุ่มในห้องรับแขก อัศนัยนั่งห่างออกไปหน่อย
“บ้านนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลย มีแต่ต้นไม้ที่โตขึ้น คุณดูแลดีจริงๆ นะอัศนัย”
“คุณอยู่ที่ไหน ผมรู้มาว่าคุณไปอยู่ต่างประเทศ”
“เก้าอี้นี้ตัวใหม่” ปรียากมลไม่ตอบคำถาม เสมองไปรอบๆ “ใครจะคิดว่าเป็นบ้านที่ปลูกตั้งยี่สิบปีแล้ว...ใช่มั้ยอัศนัย บ้านหลังเล็กๆ ข้างๆ รั้วบ้านคุณหายไปไหนหมด บ้านที่ฉันเคยเช่าอยู่”
“มันพัง” น้ำเสียงอัศนัยเน้นจงใจ “พังไปหมดแล้ว”
ปรียากมลนัยน์ตาหมองลง “จริงสินะ มันพังไปหมดแล้ว” พลางขยับตัวเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นร่าเริง “อย่าบอกนะว่าเด็กผู้หญิงเมื่อกี้เป็นลูกสาวคุณ”
“ทำไมจะเป็นลูกสาวผมไม่ได้”
“เพราะฉันรู้มาว่าคุณไม่แต่งงาน”
“ไม่ใช่ไม่แต่งงาน ผมยังไม่ได้แต่งงาน” อัศนัยท้วง
“นั่นสิ ถ้าคุณไม่แต่งงานฉันคงประหลาดใจมาก เพราะคุณน่ะเสน่ห์แรงจะตาย แปลว่าคุณมีแผนจะแต่งหรือ น่าเสียดายจริง”
อัศนัยไม่ตอบมองนิ่งๆ สายตาเป็นคำถาม
“ทำไมน่าเสียดายน่ะหรือ” ปรียากมลรู้ทันทุกกิริยา ใส่จริตหัวเราะน้อยๆ ก่อนบอก “คุณน่าจะรู้ตัวนะ”
ระหว่างนั้นหม่อนเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะถือถาดใส่น้ำเข้ามาวาง
“ป้าหม่อน...ใช่มั้ยจ๊ะ”
“ค่ะ...คุณปรียากมล” หม่อนทักด้วยความคุ้นเคย
“นั่นสิ ว่าจะทักตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ป้าหม่อนยังเหมือนเดิม”
“ค่ะ” หม่อนพูดสั้น ห้วน ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทันที
ปรียากมล ยักไหล่นิดๆ ไม่สนใจอีกต่อไป ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้อัศนัยแล้วนั่งลงเบียด อัศนัยขยับตัวออกไป ปรียากมลดึงแขนไว้ อัศนัยขืนตัวไม่ยอม แต่ปรียากมลก็ดึงไว้ ด้วยกิริยาที่เหนือกว่าทางจิตใจ
จังหวะหนึ่งทั้งคู่มองหน้ากัน สบตากันนิ่ง
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่บ้านรัตนชาติพัลลภ ในเวลาเดียวกัน สองแม่ลูก เพ็ญพักตร์ กับเพ็ญตระการ ยังกังวลเรื่องดอกโศกไม่หาย
“คุณแม่...” น้ำเสียงอุ๊วิตกอย่างหนัก
“นี่อุ๊ ถ้ากลัวนักจะให้แม่ไปตามมันกลับมามั้ย” เพ็ญพักตร์หงุดหงิดกับความเยอะของบุตรสาว
“คุณแม่ อุ๊ก็แค่ไม่ทราบว่าคุณตาจะว่ายังไงเท่านั้นค่ะ” อุ๊หน้าง้ำ
“ว่ายังไง....ว่าใคร”
“ก็.......ว่าเรื่องที่ดอกโศกออกไปจากบ้านน่ะสิคะ”
“แล้วไง?”
“คุณตาก็อาจจะเปลี่ยนใจเชื่อมัน...เรื่องเมื่อเช้า ไม่งั้นมันจะหนีไปเหรอคะ ถ้ามันผิดจริง”
“นี่...พูดจาให้มีเหตุผลมั่งอุ๊...โตจนป่านนี้แล้ว มันไม่เกี่ยวว่าผิดหรือไม่ผิดถึงหนี”
“เกี่ยวกับอะไรล่ะคะ” อุ๊งง สีหน้าฉงน
“เกี่ยวกับที่มันรู้ว่ามันอยู่ไม่ได้....” เพ็ญพักตร์หัวเราะออกมานิดๆ “มันมาถึงวันที่รู้ว่ามันอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
ส่วนดอกโศกใบหน้ายังนองน้ำตาเต็มสองตา กล้ำกลืนอยู่คนเดียว หมื่นและหม่อนดูอยู่ห่างๆ หม่อนเห็นอาการจึงทำท่าให้หมื่นไปเรียกอัศนัย หมื่นวิ่งอ้าวไปทันควัน
ภายในห้องบนชั้น 2 ที่ อัศนัย อยู่กับปรียากมลสองต่อสอง คือเป้าหมายของไอ้หมื่น
“เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายที่ฉันไว้ทุกข์” จู่ๆ ปรียากมลก๋เอ่ยขึ้น
อัศนัยฉงนนัก “ไว้ทุกข์”
“สามีฉันเขาเป็นลูกครึ่งจีนอังกฤษ....รวย.....มาก....เขามีธุรกิจหลายอย่างที่สิงคโปร์ ฉันอยู่สิงคโปร์ 10 ปี วันๆ ได้แต่แต่งตัวสวยไปช้อปปิ้ง ไปออกกำลังกายแล้วก็ไปงานกลางคืน เขาเลี้ยงฉันเหมือนเลี้ยงหมาจับอาบน้ำแต่งตัวสวย กิน..นอนเป็นเวลา” ปรียากมลยิ้มเยื้อนขณะเล่าฉากชีวิตที่หายไป นานถึง 10 ปี
อัศนัยยิ้มนิดๆ อย่างไม่เชื่อหู “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะยอม”
“ก็....สบายดี ทั้งๆที่ฉันไม่ได้รักเขาเลย” พลางหันมามองเห็นหน้าอัศนัย “จริงๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้น อย่าลืมสิว่าฉันพูดจริงเสมอ กับคุณ”
ใบหน้าอัศนัยตระหนักชัดคำกล่าวนี้ สีหน้าจดจำรำลึกภาพความรักความหลัง
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในห้องที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันในเวลานี้
“แต่คุณต่างหากที่อาจจะพูดจริงแต่ทำไม่จริงกับฉัน” ปรียากมลจ้องหน้าอัศนัยนิ่ง
ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้อีก “จริงมั้ย อัศนัย” แตะแก้มเบาๆ ในท่วงทีอันเย้ายวน
อัศนัยหัวเราะเบาๆ กิริยาเป็นตัวของตัวเอง มั่นใจ “ถ้าคิดว่าเด็กหนุ่มๆ จะเกิดอารมณ์มากกว่าผู้ใหญ่ วันนี้ผมอาจทำไม่จริงยิ่งกว่า”
ปรียากมลเพ่งมองเข้าไปในดวงตาอัศนัย “คอยดูกันต่อไป” แล้วลุกขึ้นฉุดมืออัศนัย ให้ลุกขึ้นไปด้วย “พาฉันไปเดินดูบ้านคุณดีกว่า ฟื้นความหลังกันหน่อยได้หรือไม่”
“เชิญ....” อัศนัยผายมือให้
อีกเหตุการณ์ในห้องวาดรูป ทั้งอัศนัย ปรียากมล ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ วันนั้นปรียากมลโอบแขนไปรอบคออัศนัย เคลียคลอ จูบไปมา อัศนัยอึกอักนิดหน่อยๆ กลัวๆ กล้าๆ ปรียากมลเป็นฝ่ายรุกมากกว่า
“ฉันรักคุณ....รักคุณจริงๆ รักฉันมั้ยอัศนัย
“รักสิ...” อัศนัยจูบตอบ
“มากมั้ย” ปรียากมลถาม
“มาก”
“แค่ไหน?”
อัศนัยเข้าไปอีก จูบพันพัวนัวเนีย “มาก...”
แต่แล้วจู่ๆ อัศนัยผละออกมา สีหน้าตื่นเต้น หวาดหวั่น ไม่กล้า
“อัศนัย” ปรียากมลเหมือนจะอารมณ์เสีย
“ผมรักคุณปรียากมล ผมจึงต้องถนอมคุณ”
“ถนอม!” ปรียากมลถอนใจ อย่างอ่อนใจ “โอเค...ถนอมฉันไว้...ไว้ให้ใครเหรออัศนัย”
ทั้งสองคนเดินออกมา เห็นหมื่นคอยอยู่
“มีอะไรหมื่น”
“คุณนัยจะไปส่งคุณหนูดอกโศกหรือว่าจะให้ผมไปส่งครับ”
“ฉันไปเองแกอย่ายุ่ง” อัศนัยบอก
“คุณหนูคอยตั้งนานแล้ว”
“อีกประเดี๋ยวฉันจะไป...ดอกโศกอยู่ไหน”
ดอกโศกซับน้ำตาจนแห้ง แล้วพูดกับป้าหม่อน “หนูอยากกลับแล้วค่ะ ป้าหม่อน”
“ป้าให้หมื่นไปตามคุณนัยแล้วคุณหนู คอยสักประเดี๋ยวนะคะ”
“คุณนัยมีแขกนี่คะ ป้าหม่อน”
ในห้องวาดรูปเวลาเดียวกัน ปรียากมลไล่สายตามองภาพวาดของอัศนัย ไล่ไปเรื่อยๆ
“คุณทำเป็นอาชีพได้เลยนะอัศนัย ทำไมวาดแล้วเก็บอยู่เฉยๆ แบบนี้” ปรียากมลหยุดชะงัก เห็นรูปตัวเอง “โอ....รูปนี้ คุณยังเก็บไว้เหรอเนี่ย”
“อ้าว...เก็บสิ มันคือผลงานชิ้นหนึ่งของผมเหมือนกันนี่นา”
“คุณมีพัฒนาการมากมั้ย...เขียนรูปมนุษย์แบบนี้..เหมือนที่คุณพัฒนาฝีมือเขียนรูปวิวมั้ย”
“ไม่ทราบ”
“ไม่ทราบเหรอ ดี...ฉันจะมานั่งเป็นแบบให้คุณวาดอีก...” ปรียากมลเดินเข้ามากระซิบเบาๆ “ทีนี้คุณจะได้รู้”
อัศนัยถอนใจเบาๆ หันหลังให้ปรียากมล สีหน้าหวั่นไหวขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมารถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาช้าๆ
“รถฉันมารับแล้ว” ปรียากมลบอก
“คุณย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้วหรือ” อัศนัยถาม
“ใช่ เพราะคิดถึงคุณ”
อัศนัยหัวเราะเล่นๆ “ขอบคุณมาก....” อัศนัยผายมือให้ขึ้นรถ
ปรียากมลเดินลงบันได มองไปเห็นดอกโศก “มีคนมาคอยคุณ...หนูเข้ามาสิจ๊ะ ฉันจะกลับแล้ว”
ดอกโศก เดินเข้ามา
“ขอโทษที่ดึงตัวคุณพ่อของหนูไว้เสียนาน”
ดอกโศก มีสีหน้าตกใจ
อัศนัยหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องตกใจหรอก เธอพูดเล่น”
“คุณบอกเองว่าทำไมจะเป็นลูกไม่ได้”
“เชิญครับ ดอกโศกลาคุณปรียากมล”
ดอกโศกไหว้นุ่มนวล นอบน้อม
“จ้ะ...ป้าหม่อน นายหมื่นฉันไปนะ”
สองคนรับคำ หมื่นไหว้ อัศนัยไปส่งที่รถปิดประตูให้ รถแล่นออกไป
“ดอกโศก...ไปข้างบนก่อน” อัศนัยบอก
“จะค่ำแล้วค่ะ ดอกโศกอยากกลับบ้านยาย คุณนัยไปส่งหน่อยนะคะ”
“เล่าให้คุณนัยฟังก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น” อัศนัยพูดแกมบังคับกลายๆ
ไม่นานหลังจากนั้น ภายในห้องนั่งเล่น มีเพียงดอกโศก และอัศนัย
ดอกโศกน้ำตาไหลเป็นสาย เล่าเรื่องราวไปจนหมดสิ้นแล้ว “ไม่อยากอยู่อีกเลยค่ะ ทนไม่ไหวแล้ว” ดอกโศกสะอื้นแรง “ไม่อยากทนแล้ว”
อัศนัยนิ่งอึ้ง
“ไม่ได้ทำอะไรเขาเลย อดทนทุกอย่าง ทำไมเขาต้องเกลียด..มากขนาดนี้”
อัศนัยยังนิ่ง แต่สีหน้าอ่อนโยน รับรู้ รับฟัง เพื่อให้ดอกโศกระบาย
“วันนี้ดอกโศกคิดว่าจะทนเป็นวันสุดท้าย ไม่มีวันกลับไปเหยียบบ้านนั้นอีก”
ดอกโศกไม่รู้หรอกว่า ในเวลาเดียวกัน คุณตาของเธอ กำลังต่อว่าเสียงค่อนข้างดัง ต่อหน้าเพ็ญพักตร์ อุ๊ โอ๋ อ้น สุดสวย เฉลย สม จิ๋ว
“คนทั้งคนหายไปไม่มีใครรู้ใครเห็น...ได้ยังไง ฮะ”
ทุกคนนิ่งเงียบ สีหน้าไปตามอารมณ์
“หากันทั่วแน่ๆ แล้วรึ ในสวน...ที่บ่อน้ำ...ในห้องเขา ไม่มีแน่รึ”
เสียงตอบกันเบาๆ ว่าทั่วแล้ว...ไม่มี
“จะว่าหนีไปเพราะฉันเอ็ด... อภิรมย์ฤดี ไม่ใช่คนวู่วามแบบนั้น เขาเป็นคนหนักแน่นเขาอยู่บ้านนี้มาสิบปีฉันรู้ดี โดนดุโดนเอ็ดไม่รู้กี่หนเขาก็ทน” สุดเขตปรารภ
สุดสวยแหวขึ้นมาทันควัน “โอ๊ย....แม่คนนี้จะทำให้เดือดร้อนไปถึงไหนนะ คุณพ่อลูกว่ามันออกไปก็ไปเถอะ ค่ะ เบื่อ...เบื่อ...เบื่อเต็มที่แล้ว
“สุดสวย” สุดเขคเข้ามาโอบไหล่ โอ๋ พาเดินไป “ไป พ่อพาไปห้องหนูนะลูก” เห็นว่าสุดสวยมีกิริยาเริ่มวีน “สุดสวยไปกับพ่อ”
“มันอะไรกันนักหนานะวันนี้ก็เห็นมันดีๆ ตอนกลับมาจากโรงเรียน มันลงรถหน้าประตูบ้าน เดินหิ้วปิ่นโตเข้ามาลูกก็เห็นมันหน้าตาปกติไม่น่ามีเรื่องราวอะไรเล๊ย” สุดสวยพูดสิ่งที่เห็น ไม่คิดอะไร
คุณตาผู้ชราชะงัก หันมองจ้องหน้าอุ๊ อุ๊มองคุณตา แล้วต้องรีบหลบตาวูบ
“ทุกคนไปได้แล้ว”
ทุกคนขยับตัว
“อุ๊....ไอ้สม อยู่ก่อน แม่เพ็ญจะอยู่กับลูกก็ได้”
ฉาก 11นอกห้อง ต่อเนื่อง
โอ๋ อ้น เฉลย และจิ๋ว สี่คนเดินออกมา แล้วต้องหลีกทางให้คุณตาที่จูงมือสุดสวยออกมา
สุดสวยมีกิริยาแปลกๆ แล้ว
“จะไปไหนคุณพ่อ ลูกจะดูหน้ามันก่อน...จะไล่มันไปให้พ้นเลย”
“พ่อพาไปห้องไงล่ะ...หนูจะได้นอนนะ สุดสวย อ้อ...เฉลยแกอยู่รอฉันด้วย..เข้าไปรอข้างใน” สุดเขตพาสุดสวยเดินไป
เฉลยหน้าไม่ดี รอรีๆ
“มีเรื่องอะไรอีก...ยัยอภิรมย์ของอ้นน่ะ ทำเรื่องยุ่งยากตลอด” โอ๋เริ่มบ่น
“นี่...จนป่านนี้ยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าใครเป็นใครนิสัยยังไง เบื่อหน่ายพวกมีตาแต่ไม่มีแววจริงๆ”
“ไอ้อ้น ปากเหรอนั่น” โอ๋ด่า
“ทำไมไอ้โอ๋ ไม่เหมือนพวกตัวเองเหรอ อ้อ ไม่เหมือนหรอกเพราะปากตัวเองมันยื่นมันยาวไปถึงโน่น...” อ้นว่าใส่อีกดอก
พอดีเห็นคุณตาเดินกลับมา “เถียงกันเรื่องไร้สาระจริงๆ ไอ้สองคนนี่” สองคนหัวหด “เอ้า เฉลย ฉันสั่งให้เข้าไปรอข้างในไง...มายืนรีรออยู่ทำไม....” จ้องหน้าเฉลย
ส่วนอัศนัยยังคงเกลี้ยกล่อมดอกโศก
“ดอกโศก กลับบ้านคุณตาเถอะนะ เดี๋ยวคุณนัยพาไป”
“ทำไมคุณนัยฟังดอกโศกไม่รู้เรื่อง บอกว่าไม่กลับไปเหยียบบ้านคุณตาอีกไงคะ” ดอกโศกยืนกรานหนักแน่น
“ไปอยู่กับยายไม่ได้หรอก ดอกโศกไม่ได้อยู่ตั้งสิบปีแล้ว เขาไม่มีที่ให้อยู่หรอกนะ”
ดอกโศกสะท้อนใจขึ้นมาอีก กัดริมฝีปากกลั้นน้ำตา แต่แล้วไม่ไหวสะอื้นแรง ตัวสั่นไปหมด ก้มลงซุกหน้ากับเข่า อัศนัยสงสารมาก
ที่บ้านรัตนชาติพัลลภ บรรยากาศเริ่มมาคุ อุ๊ เพ็ญพักตร์ สม และเฉลย กำลังรอฟัง
“แค่รู้ว่าอภิรมย์ฤดีลงรถหน้าบ้านเดินหิ้วปิ่นโตเข้าบ้านเท่านั้น ฉันก็รู้ว่าพวกแกทั้งหมดโกหก” สุดเขตเอ่ยขึ้น
ทุกคนก้มหน้านิ่งทั้งหมด
“แต่ยังไม่รู้เท่านั้นว่าต้นเรื่องเป็นใคร” สุดเขตกวาดสายตามอง “แม่เพ็ญ...จะว่ายังไง
“ในส่วนของลูก ลูกไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ ค่ะ คุณพ่อ” เพ็ญพักตร์บอกออกมาเสียงเรียบ
สุดเขตจ้องเพ็ญพักตร์นิ่งนาน ค้นความจริง จนเพ็ญพักตร์จำต้องหลบตา หันไปมองทางอื่น
“พ่อทำให้เธอบอกความจริงไม่ได้ก็ไม่ใช่พ่อของเธอแล้ว...” นิ่งไปอึดใจ “ไอ้สม”
นายสมสะดุ้งสุดตัว
คุณตาจ้องหน้าสม สมหน้านิ่งแต่ใจสั่น
“นังเหลย!” นายพลสุดเขตหันขวับมาเรียกเฉลยแบบหักมุม
“เจ้าค่ะ”
“แกสองคนพูดความจริงออกมา พูดจบแล้วแกอยากไปจากห้องนี้ได้เลย ฉันไม่เอาผิดอะไรทั้งนั้น ฉันจะรับรู้แค่ว่าแกสองคนเป็นคนใจดำใส่ร้ายเด็กที่น่าสงสารได้ลงคอ”
สองคนนิ่งเงียบ
“เฉลยพูดมาก่อน อภิรมย์ฤดีว่าแกโกหก...แกโกหกเรื่องอะไร”
“ดิฉัน...เอ้อ พูดไม่จริงว่าดิฉันไม่ได้ยินว่าคุณอุ๊พูดอะไร...ที่จริงดิฉันได้ยินค่ะ” เฉลยเอ่ยขึ้นจนได้
“คุณเพ็ญอยู่ที่ไหนตอนนั้น” สุดเขตซัก
เฉลยนิ่งอยู่อึดใจ “ยืนอยู่ตรงนั้นค่ะ”
“อุ๊พูดเสียงดังหรือค่อย”
“เสียงปกติค่ะ เอ้อ...ดังกว่าปกตินิดหน่อย” เฉลยว่า
“คุณเพ็ญได้ยินใช่มั้ย”
เฉลยนิ่ง
คุณตาคาดคั้นเสียงเขียว “ใช่มั้ย”
“ค่ะ....แต่”
“แกไปได้” สุดเขตเสียงกร้าว
เฉลยหันมามองหน้าเพ็ญพักตร์ เพ็ญพักตร์หน้าเครียดจัด เฉลยออกเดินไปจากห้อง
“ไอ้สม” สุดเขตหันมาทางนายสม
“ครับท่าน”
“แกจอดรถก่อนถึงโรงเรียน”
“ครับ” นายสมสารภาพ
“แกเอาปิ่นโตกับกระเป๋านักเรียนไปวางที่ถนน”
“ครับ”
“แกจอดรถให้อภิรมย์ฤดีลงที่หน้าบ้าน”
“ครับ”
“ที่แกทำทั้งหมด...ใครสั่ง” สุดเขตจบด้วยประโยคสำคัญ
สมนิ่งสีหน้าอึดอัดเต็มกลืน
“ใครสั่งแกไอ้สม” สุดเขตเสียงขุ่นเขียว
สมยังไม่กล้าตอบอยู่ดี
อุ๊พูดแทรกขึ้น “สม...ออกไปได้แล้ว”
“อุ๊” สุดเขตจ้องหน้าเพ็ญตระการ
“อุ๊สั่งเองค่ะ”
“ดีมากที่กล้าหาญ” สุดเขตว่า ก่อนจะหันไปทางสม “ไอ้สมเดี๋ยว แกทำทุกอย่างที่คุณอุ๊สั่ง ฉันเห็นใจ เจ้านายสั่งแกฝืนคำสั่งไม่ได้ แต่ฉันจะถามอีกข้อหนึ่ง ข้อนี้สำคัญ ทำไมแกต้องโกหกฉันว่าไม่ได้ทำ”
สมนิ่งงันไป
“แกบอกความจริงแกก็ไม่ผิดเพราะเจ้านายสั่ง”
สมยังนิ่งอยู่
สุดเขตโกรธมาก กระแทกไม้เท้าดังสนั่น “ไอ้สม มึงบอกมาเสียทีว่าทำไมมึงถึงกล้าโกหกกูอะไรปิดปากมึง”
“ไม่มีครับท่าน”
“ไม่มีแน่นะ”
“ครับ” สมพูดไม่เต็มคำ
“เงยหน้า มองกู” สุดเขตกระแทกไม้เท้าอีกที “กูบอกให้เงยหน้า...มองหน้ากู...มอง!” เสียงสุดเขตดังมาก
สมลนลานแทบหมดสติแล้ว
“คุณพ่อคะ...” เพ็ญพักตร์ขัดขึ้น
“เดี๋ยว” สุดเขตยกมือห้าม “ยังไม่ต้องพูด...ไอ้สม”
“ครับ....ท่านครับ...ผมผิดไปแล้วครับ เพราะว่าคุณ....”
สมไม่ทันจะเอ่ยชื่อเพ็ญพักตร์ออกมา สุดเขตก็พูดขัดขึ้นเร็วมาก “แกไปได้”
“เอ้อ....เพราะ” สมยังอยากพูดต่อ
สุดเขตขัดอย่างเร็วอีก “ไปได้ไอ้สม แกไม่ผิดฉันยังยืนคำเดิม”
สมรีบออกไป สุดเขตหันมาทางบุตรสาวคนโต
“เพ็ญพักตร์”
เพ็ญพักตร์คอแข็ง อย่างเย่อหยิ่ง
“พ่อไม่ฟังจากไอ้สม...จะฟังจากเธอ ให้เงินไอ้สมไปเท่าไหร่” เพ็ญพักตร์ไม่ตอบ “เพ็ญพักตร์” น้ำเสียงตวาดแรงมาก
“คุณตาขา...คุณแม่ไม่เกี่ยวค่ะ อุ๊เองค่ะ อุ๊ทำเรื่องทั้งหมด” อุ๊รีบสมอ้าง
“แม่เพ็ญ” สุดเขตไม่สนใจหลานสาว
“คุณตา อุ๊เป็นคนให้เงินสมค่ะ”
“ตาเป็นตาแก....เป็นพ่อของแม่แก....และตาไม่โง่นะ”
คำพูดเฉือนใจประโยคนั้น แม้จะไม่รู้สา แต่ก็ทำเอาสองคนแม่ลูกนิ่งเงียบ
“จงเกลียดจงชังอะไรเขานักหนาฮึอุ๊ ตาไม่เห็นเขาจะมาแข่งขันอะไรกับอุ๊เลย เขาเดินไปโรงเรียนมากี่ปี เขาอยู่ห้องเล็กๆข้างล่างมากี่ปี แต่อุ๊อยู่ห้องใหญ่ชั้นบน นั่งรถเก๋งไปโรงเรียน” สุดเขตเอ่ยขึ้น
“คุณตาให้เขามาอยู่ชั้นบนหรือให้รถไปส่งเขาก็ได้นี่คะคุณตาไม่สั่งเอง” อุ๊ ยังกล้าประชดประชันอีก
“นั่นสิ....รู้มั้ยว่าตาไม่เสียใจอะไรเท่านี้เลย...ที่ตาไม่ได้สั่งอย่างนั้น ตาผิดมาก หวังว่าอุ๊คงรู้สึกผิดเหมือนกัน”
ฟังแล้วเพ็ญพักตร์ยิ่งคอแข็ง
“ต่อสู้กับใครก็ตาม ควรจะเท่าๆ กัน สู้กับคนที่ด้อยกว่าเราทุกอย่างมันไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีฝืมือเพราะยังไงๆ เขาก็แพ้เราวันยังค่ำ” มองหน้าลูกหลานครู่หนึ่งแล้วบอก “อุ๊ไปได้ แม่เพ็ญอยู่ก่อน”
อุ๊ก้าวออกมา ประตูห้องนั้นปิดลง อุ๊ยืนกระวนกระวาย สักครู่หนึ่ง เพ็ญพักตร์เปิดประตูออกมา
“คุณแม่ คุณตาว่าอะไรคะ”
เพ็ญพักตร์ส่ายหน้า พูดไม่ออก
“คุณแม่ขา คุณตาว่าอะไรคุณแม่”
เพ็ญพักตร์น้ำตาคลอเต็มตา อุ๊โอบกอดแม่ไว้ในอก รู้สึกสงสารจับใจ เพ็ญพักตร์ร้องไห้อยู่กับอกลูกสาว
“นังดอกโศก เพราะมันคนเดียว อุ๊เกลียดมันที่สุด”
ที่เกลียดมากล้นพ้นใจอยู่แล้ว เวลานี้เพ็ญตระการยิ่งเกลียดดอกโศกเพิ่มเป็นทวีคูณ!
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 3 (ต่อ)
อัศนัยจูงมือดอกโศก ลงหน้าตึก มาขึ้นรถ ป้าหม่อน กับไอ้หมื่น เดินมาจากด้านหลัง
“ตกลงพาไปไหนคะ คุณนัย” หม่อนถาม...อยากรู้ เพราะเป็นห่วงดอกโศก
“พาไปหายาย...”อัศนัยบอก พยางพยักหน้าไปที่ดอกโศก “ไม่ยอม”
“คุณหนู กลับไปหาคุณตาเถอะค่ะ”
หม่อนอ้อนวอนอีกแรง แต่ดอกโศกส่ายหน้า
“ให้อยู่ที่นี่ก่อนสิครับคุณนัย” หมื่นออกความคิด
“พูดเป็นบ้าไปได้ไอ้หมื่น แกคิดว่าทางบ้านดอกโศกจะยอมให้มาอยู่กับเราเรอะ พาไปส่งยายนี่แหละ”
“คุณนัย จะดีรื้อ บ้านนั้นเขาไม่เหมือนใครนะ” ป้าหม่อนนึกได้ว่าไม่ควร จึงลดเสียงพูดเบาลง “คุณเพ็ญ คุณอุ๊ คุณสุดสวย...”
“ไม่เป็นไรป้าหม่อน มีอะไรก็พูดความจริงกัน คนบางคนจะได้รู้เสียทีว่าคนที่ถึงกับต้องหนีออกจากบ้านน่ะเพราะเขาเสียใจแค่ไหน”
“คุณนัยจะโดนข้อหาว่าพาหลานสาวเขาหนีสิไม่ว่า” หม่อนบอก
“ฉันจะกลัวทำไม”
“อ้าว!...เป็นงั้นไป” หม่อนอึ้ง
“ฉันไม่ได้พาหนีนี่นา ฉันพากลับไปต่างหาก”
“พากลับไป กลับไปไหน...ก็บอกจะพาไปหายายอยู่เดี๋ยวนี้”
“ก็ดอกโศกเขาจะไป ฉันก็ต้องพาไป...พาไปก่อนเอาให้ดอกโศกสบายใจก่อน” อัศนัยอธิบาย
“สบายใจแน่เหรอคุณนัย ไปอยู่กับตายายเนี้ยนะ” หมื่นดูจะกังวล
คืนนั้นสมหวังกำลังซัก สมใจ ต่อหน้าลูกๆ สมปอง และสมหมาย
“วันนี้แกไปไหนมา”
“ตลาด” สมใจบอกขณะก้มหน้าก้มตาเก็บของ
“โกหก ...มานี่” สมหวังฉวยข้อมือลากมา “บอกมาไปไหน”
“บอกว่าไปตลาด...ตลาดเว๊ย”
“ไปทำไม”
“เอ๊ะ...ไปตลาด เขาไปกันทำไม” สมใจประชด
“ไหนล่ะ ของที่ซื้อมาจากตลาด อยู่ที่ไหน ซื้ออะไรมามั่ง”
“ไม่ทันซื้อฝนตกเสียก่อน”
สมหวังตบเปรี้ยงแบบตวัดๆ สมใจฟุบไปแล้วสะบัดตัวขึ้นมาสู้ สมหวังตบซ้ำ สมใจหลบแล้วทั้งผลัก ทั้งถีบ...สู้ตาย แบบอึดๆ ในอก
“มึงสู้กูเรอะ นังสมใจ” สมหวังโกรธจัด
“เออ...กูสู้...ยอมมานานแล้วโว๊ย” สมใจตะโกนใส่หน้า
“เอาสิวะ” สมหวังเงื้อสุดแขน
“พ่อ....อย่า” สมหมายกระโจนคว้าแขนพ่อลากไป “พี่ปองเอาแม่ออกไป”
“เออ...มาแล้ว มาแล้ว”สมปองพยุงลากแม่ออกไป
สมหวังทั้งดิ้นรน ทั้งร้องด่าสมหมาย ด่าสมปอง
“ไอ้หมาย ไอ้เวร มึงปล่อยกูนะ อีปอง เอาแม่มึงมานี่” สมหวังทะลึ่งพรวดเข้ากระชากแขนสมใจจนได้
“อีปอง ให้เอาแม่ไปแค่นี้เงอะงะอยู่ทำไมวะ” สมหมายดึงตาสมปอง “อีโง่”
สมปองเหวี่ยงขาใส่หมายเบาะๆ “ไอ้หมาย นี่แน่ะ ด่ากู” สมปองลากแม่ออกไป
ทั้งคู่ทำทีรวนเรกันไปมา ในที่สุดสมปองก็พาแม่ออกไป สมหมายพาพ่อออกไป
“กูรู้นะว่ามึงไปรับเงิน อีสุดจิตต์ลูกสาวมึงส่งเงินมานึกว่ากูไม่รู้เรอะ ถ้ามึงไม่เอาเงินมาให้กู มึงตายแน่อีสมใจ”
“จะโกงเงินเด็กเรอะ....ฮะ โกงของนังโศกมันมากี่ปีแล้วล่ะ โกงกระทั่งเงินเด็กมียางอายมั้งมั้ย” สมใจพูดกระแทกเสียงใส่
“อีสุดจิตต์แม่นังโศกน่ะ ใครล่ะ ใครเลี้ยงมันมาจนโต...ไม่ใช่กูหรอกเรอะ” สมหวังทวงบุญคุณ
“เออ เงินขายขนมของกู เอาเลี้ยงใครละวะ” สมใจเถียงกลับ
สมหวังฉุนเงื้อง่าเข้ามา “ลำเลิกเรอะ”
สมปองร้องเสียงดังห้ามพ่อ
“งั้นที่มึงเอาที่สุดจิตต์มันส่งมาน่ะ พอดีกันแล้ว เงินนี่กูจะไปให้นังโศกมัน..เงินแม่มันส่งให้ลูกอย่ามาเบียดบังของมันเลยนะ” สมใจบอก
สมหวังนิ่งไปสักครู่แล้วเอ่ยขึ้น “เท่าไหร่”
“อะไรเท่าไหร่”
“มันส่งมาเท่าไหร่”
“เอ้อ...ก็...ไม่มาก แค่...”
สมหวังขัดใจนัก “โว๊ย....” ทะลึ่งพรวดเข้ามา สมหมายจับไม่ทัน “อมอะไรอยู่วะ” สมหวังกระชากแขนสมใจอย่างแรง จนหน้าเผชิญหน้า “บอกมาเท่าไหร่”
สมใจจ้องตาสามี แล้วพูดแผ่วเบา “แสนหนึ่ง”
สมหวังตะโกนเสียงดัง “แสนหนึ่ง....มันส่งมาแสนหนึ่ง”
ยายพยักหน้า
“แล้วแกจะให้นังโศกมันหมดทั้งแสนแกบ้ารึเปล่า” สมหวังโวย
“ให้โศกมันน่ะไม่บ้าหรอก ให้แกสิบ้า” สมใจบอก
“อยู่ที่ไหน...เงินอยู่ที่ไหน”
“แกจะเอาเท่าไหร่..ก็เอาไป ที่เหลือจะได้ให้นังโศก”
“กูจะเอาทั้งหมด”
“ไม่ได้” สมใจเสียงแข็ง
“อยากเจ็บตัวรึ...” ขยับตัวเข้ามาใกล้
ลูกสองคนผวาเข้าปกป้องแม่ สมหวังจ้องหน้าทุกคน ปองหมายมีสีหน้าอ้อนวอนพ่อ
ดอกโศกยืนดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่สีหน้าเหนื่อยหน่าย อัศนัยยืนอยู่ด้วย
อัศนัยกระซิบ “กลับก่อนมั้ย”
“ไม่ค่ะ”
อัศนัยมองหน้าเป็นคำถามว่าแล้วจะยังไงต่อไป
“รอให้ยายแบ่งเงินให้ตาเสร็จก่อน”
ดอกโศกอัศนัย ทำท่าเข้าใจทันที ส่ายหน้าอ่อนใจกับความคิดของดอกโศก
สองคนหันไปดูข้างในห้อง
“เอ้า...เอาไป”
สมหวังรับเงินมา บ่นทันที “สองหมื่น...แค่เนี้ย”
“แค่นั้นแหละ ที่เหลือจะให้โศกมัน หมาย ปอง แกไม่ต้องเอาหรอกนะ เงินของหลานมันให้มันไป”
“โอ๊ย ไม่เห็นอยากได้เลย มือตีนมีทำเองได้” สมปองว่า
“แต่ฉันอยากได้ซักกะนิดซักกะหน่อย ซักหมื่นนะแม่” สมหมายอ้อน
สมใจเก็บเงิน “พอ...พอไอ้หมาย เอาอะไรตั้งหมื่น”
“ให้ข้าอีกหมื่น” สมหวังบอก
สมใจชะงัก มองสมหมายสายตาแบบขุ่นมัว
“หมื่นเดียว” ว่าแล้วเข้ามาแย่ง จากมือยาย
“ไม่ได้...ไม่ให้”
“ยาย...” เสียงเรียกดังขัดจังหวะขึ้น
ทุกคนหันไปมอง เห็นดอกโศกเข้ามา โดยมีอัศนัยตาม
“ยายให้ตาไปสามหมื่น น้าปอง น้าหมาย คนละสองหมื่น ที่เหลือยายเก็บไว้นะจ๊ะ”
สมใจร้องเอะอะว่า...ไม่ได้ ยายไม่เอา สมปองก็พูดพร้อมๆ กันว่า น้าก็ไม่เอา
ส่วนสมหมายบอกว่า...แต่ฉันเอา
“นั่นแหละ ยุติธรรมแล้วเว๊ย” สมหวังว่า
“เอ๊ะ แล้วตัวมันได้อะไร” สมใจไม่พอใจแทนหลาน
“หนูไม่เอา...หนูไม่ต้องใช้เงิน แค่นี้นะยายไม่ต้องพูดเรื่องเงินอีก”
ทุกคนนิ่ง สมใจส่ายหน้าไม่เห็นด้วย สมหมายพูดเบาๆ ขอบใจนะโศก ส่วนสมปองนั้นพึมพำว่าเก็บเงินไว้เองดีกว่าโศกไม่ต้องให้หรอก
“โศก..เงินของแก..”
“ยาย...หนูจะขอมาอยู่กับยายนะจ๊ะ”
ทุกคนหันขวับมาดู สีหน้าแปลกใจมาก
“หนูเอาของมาแล้วอยู่ตั้งแต่คืนนี้เลยจ้ะ”
“โศกเอ๊ย...ไม่ได้หรอกลูก คุณตาแกเขาไม่ยอมหรอก” สมใจรู้จักอดีตสามีนายพลท่านนี้ดีกว่าใคร
“ท่านให้หาคุณเพ็ญค่ะ” จิ๋วเอ่ยซ้ำขึ้นมา หลังเข้ามารอในห้องเพ็ญพักตร์ได้พักใหญ่
“พูดสองหนแล้วนะจิ๋ว ฉันได้ยินแล้ว”
จิ๋วเดินก้มตัวออกไป
“คุณแม่...”
ใบหน้าเพ็ญพักตร์ ยังมีร่องรอยร้องไห้ นัยน์ตายังแดงช้ำ
“คุณแม่...คุณตาว่าอะไรคุณแม่เมื่อเย็นนี้” อุ๊ยังคาใจเรื่องหลังอาหารเย็นไม่หาย เพราะแม่ไม่ยอมบอก
ภาพเหตุการณ์ นั้นผุดขึ้นในความคิดเพ็ญพักตร์ เป็นคำพูดของนายพลผู้เป็นบิดา ที่ต่อว่าลูกสาวสุดที่รักของเธอ
“พ่ออยากให้เธอดูแลอุ๊มากกว่านี้เพ็ญพักตร์”
“มันเกินเด็ก เธอเลี้ยงให้มันแก่แดด”
“เลี้ยงอย่างนี้เขาเรียกว่าไม่สงสารลูก เลี้ยงให้คนรังเกียจ”
“คนอื่นรังเกียจยังไม่เท่าฉัน ที่เป็นตามันแท้ๆ ยังรังเกียจมันเพราะฉนั้นเธอ...” สุดเขตหยุดกึก
เห็นเพ็ญพักตร์ ร้องกรี๊ดเบาๆ ก้มหน้าแล้วระเบิดเสียงร้องไห้
สุดเขตพูดเสียงเข้มขึ้นจากที่พูดนิ่มๆ ในประโยคก่อนๆ “จำไว้ว่าอุ๊น่าเกลียดมากวันนี้ ใจร้ายไม่มีเมตตาพูดจาว่าคนให้เสียใจ และที่ร้ายที่สุดคือมันย้อนฉัน ฉันจะไม่พูดกับมันเป็นหน้าที่ของเธอ เธอเป็นแม่มัน”
“คุณพ่อว่าหนูเลี้ยงลูกไม่ดี หนูก็เลี้ยงอย่างที่หนูเป็น คุณพ่อเลี้ยงหนูมายังไงล่ะคะ” เพ็ญพักตร์ย้อน
สุดเขตหน้าเข้มขึ้น...เข้มขึ้น จ้องเพ็ญพักตร์นิ่ง นัยน์ตาเหมือนแสงไฟ “ผิดที่สุดในชีวิตฉันก็เรื่องนี้แหละ” ชี้หน้า “เธออย่าทำผิดแบบฉัน...เตือนไว้”
อุ๊หน้าเครียดจัดหลังฟังเรื่องที่แม่เล่า “คุณตาไม่เคยว่าคุณแม่แรงๆ ทำไมคุณตาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้คะ คุณแม่”
“อย่าถามว่าทำไม...ถามว่าเพราะใครดีกว่า” เพ็ญพักตร์บอก
“ใช่...เพราะมันคนเดียว เกลียดมันที่สุด”
“แม่ว่า...พรุ่งนี้คุณตาต้องออกไป ตามมันกลับมา”
“อุ๊ก็ว่า....แล้วมันจะกลับมามั้ยคุณแม่”
“มันรู้ว่ามันจะเจออะไรถ้ากลับมา อยากเจอก็มาสิ”
ด้านอัศนัยยังคุยกับดอกโศกอยู่หน้าบ้านมีเพียงแสงไฟสลัวๆ มองเข้าไปเห็นสี่คนเตรียมตัวนอนอยู่ในบ้าน กางมุ้ง เปลี่ยนเสื้อผ้า สักครู่ไฟดับ
“ถ้าคุณตามาตามเอง จะไม่กลับเหรอ”
ดอกโศกมีสีหน้าครุ่นคิดตรึกตรองมาก “ไม่ค่ะ...ตั้งใจว่าจะไม่”
อัศนัยมองอย่างเอ็นดู ยังไม่ใช่รัก “ดอกโศก จำวันที่โดนคุณตาดุได้มั้ยที่ดอกโศกไปนั่งร้องไห้ที่บ่อน้ำหลังบ้านหลายปีแล้วนะ”
“จำได้ค่ะ”
“เราคุยกันว่าไงจำได้ใช่มั้ย”
ภาพเหตุการณ์นั้นผุดขึ้นในความคิดทั้งคู่
ใบหน้าเด็กหญิงดอกโศกเวลานั้น น้ำตาเต็มตา อัศนัยสีหน้าอ่อนโยนปลุกปลอบ เช็ดน้ำตาให้
ดอกโศกไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
“โกรธมากเหรอ”
“มากค่ะ”
“เขาทำอะไร”
“เขาตี....” สะอื้นเฮือกขึ้นมาสุดตัว “เจ็บ”
“ถ้าจะไม่ให้เขาตีอีก ต้องทำยังไง”
ดอกโศกเงยหน้าจ้องอัศนัย แต่นัยน์ตาคิด “หนูก็หนีเขาแล้วนะ”
“หนีให้พ้น” อัศนัยพยักหน้า “เขามาทาง...หนีไปอีกทาง วิ่ง...วิ่งหนีเลย”
“วิ่งแล้วค่ะ...แต่ไม่ทัน” เด็กหญิงดอกโศกบอก
“เพราะดอกโศกยังเด็ก เขาเป็นผู้ใหญ่ แต่ต่อไปเราก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน หัดหนีให้พ้น”
“ถ้าหนีไม่พ้นล่ะคะ” ดอกโศกไม่วายถามย้อน
นึกถึงตรงนี้อัศนัยจึงย้อนถาม เตือนความจำดอกโศก
“สุดท้ายดอกโศกถามคุณนัยว่าถ้าหนีไม่พ้น คุณนัยตอบว่าไง”
“คุณนัยบอกว่า หนีไม่พ้นก็ต้องสู้ค่ะ”
“สู้ด้วย....” อัศนัยทอดจังหวะ
“ด้วยเหตุผลค่ะ”
“จำแม่น ตกลงนี่กำลังหนีใช่มั้ย”
“ค่ะ เพราะสู้แล้วสู้ไม่ไหวค่ะ” ดอกโศกว่า
“ดีแล้ว...สู้ไม่ไหวก็ต้องหนี ไปนอนเถอะ ดึกแล้วพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน...เออ พรุ่งนี้เช้าคุณนัยมารับไปส่งโรงเรียนนะ”
ดอกโศกจะพูด อัศนัยทำท่าว่าหยุด
“รู้แล้วว่าไม่ต้องมาจะไปเอง” อัศนัยเดินจากไป
ดอกโศกยิ้มนิดๆ อัศนัยเดินมาสักครู่ เห็นป้อมเข้า “ป้อม”
ป้อมวิ่งพรวดเข้ามา “คุณนัย” ไหว้แล้วถาม “โศกมาเหรอครับ”
“อยู่โน่น...ป้อมกินเหล้าเหรอเนี่ย” อัศนัยได้กลิ่นละมุดจางๆ
“เปล่าครับ เพื่อนกิน มันอ้วกใส่ผม” ป้อมปฏิเสธ แล้วรีบวิ่งไป
อัศนัยหันไปมองตาม
ป้อมวิ่งไปหาดอกโศก ดอกโศกทักทายป้อม ทั้งคู่ดีใจ สีหน้าอัศนัยครุ่นคิด มองจ้อง ดอกโศกทำท่าเหมือนได้กลิ่นเหล้า อัศนัยหันหลังกลับเดินจากไป
“ทำไมเป็นเพื่อนกับพวกกินเหล้าล่ะป้อม”
“แต่เราไม่ได้กินนะ” ป้อมว่า
“เป็นเพื่อนกัน เขากินแล้วตัวเองจะไม่กินได้ไง กินเหล้าผิดศีลข้อ 5 นะ คุณนายประดับบอกว่าให้ระวัง เพราะผิดง่ายมาก”
“สัญญาว่าไม่กิน เออ....โศกกลับมาอยู่กะยายเหรอ” ป้อมถาม
“ฮื่อ”
“ดีใจจัง อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ใช่มั้ย ไม่กลับไปแล้วนะ”
“ฮื่อ...อย่าลืมสัญญานะว่าจะไม่กินเหล้า” ดอกโศกไม่รับปาก สนใจเรื่องป้อมหัดกินเหล้า
ค่ำคืนนั้น แก้วเหล้าในมือว่างเปล่าปรียากมลดื่มจนหมดแก้ว ขณะที่อัศนัยกับหม่อน ยืนมองอยู่หน้าห้อง
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” อัศนัยถามเบาๆ
“ซักชั่วโมงแล้วค่ะ บอกป้าว่าคุณนัยนัดให้มา”
“จะนัดทำไม เขาเพิ่งกลับไปเมื่อเย็น”
“ป้าก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว” หม่อนหันหลังกลับออกไป
อัศนัยถอนใจยาว อย่างระอา เดินเข้าไป
ปรียากมลหันมา ในอาการกึ่มๆ “อัศนัย มาแล้วหรือไปไหนมา ฉันมาตั้งนานแล้ว”
“ผมไม่คิดว่าจะต้องรับแขกคนเดียวกันสองครั้งในวันเดียว” อัศนัยว่า
ปรียากมลลุกขึ้น เห็นชัดว่าแต่งตัวล่อแหลมพอควร “ฉันกลับไปอาบน้ำจะนอน แต่คิดถึงคุณ”
“โอเค มีอะไรจะคุยเหรอ”
“พรุ่งนี้ค่อยคุย พาฉันไปนอนก่อน” ปรียากมลบอก
“พรุ่งนี้ผมทำงาน คุยเสียเลยคืนนี้ เดี๋ยวผมไปส่งคุณก็ได้ คุณเมามากแล้วนะ”
“ฉันไม่เมาเหล้าหรอก”
อัศนัยหัวเราะเบาๆ รู้ว่าปรียากมลจะพูดอะไรต่อ
“ฉันเมาคุณนั่นแหละ”
อัศนัยสวนทันที “ผมไน่น่าเมาหรอก ลุกขึ้นเถอะปรียากมล เดี๋ยวให้หม่อนพาไปนอน”
“โอเค ขอบคุณที่ไม่ไล่ฉันไปตั้งแต่คืนนี้”
“ใครจะไล่เพื่อนเก่าได้ลงคอ” อัศนัยเดินไปกดกริ่ง “มีแต่ชุดนอนของผมใส่ได้นะ”
“ได้...ไม่ได้ ฉันก็ต้องเปลือยน่ะสิ”
อัศนัยฟังแล้วต้องข่มความรู้สึกแปลกๆ ที่ฉาบบางๆในสีหน้า แล้วทำเสียงปกติ “ป้าหม่อนเปิดห้องแขกให้คุณปรียากมลด้วย”
หม่อนเปิดประตู เดินนำปรียากมลเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ปรียากมลเมาเล็กน้อย หม่อนเปิดผ้าคลุมเตียง พับเรียบร้อย ตบหมอนไล่ฝุ่น 2-3 ที เปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ และผ้าเช็ดตัวเล็กมาวางให้
“ป้าหม่อนไม่ต้องหยิบชุดนอนหรอก เดี๋ยวคุณนัยจะเอามาให้ฉัน จะไปนอนก็ไปเลยนะ”
“อ้อ เจ้าหมื่น เอาชุดนอนคุณนัยมาเรอะ” หม่อนหันไปทางลูกชาย
“ฉันนอนแล้วด้วย แค่นี้ทำไมคุณนัยไม่ให้แม่ทำ” หมื่นบ่นพึมพำ “ปลุกฉันทำไม” แล้วเดินออกไป
หม่อนรับชุดนอนมา “นี่ค่ะ ชุดนอนคุณนัย” สีหน้าดูสะใจ “ให้หมื่นเอามาให้”
ทั้งคู่สบตากันอย่างแรง แววตาสู้กันอยู่สักครู่
“ป้าเอาไปคืนคุณนัย ปกติฉันไม่ใส่อะไรเวลานอน”
หม่อน อึ้งไปนิด
“เอาไปสิ เกิดจะพูดไม่รู้เรื่องขึ้นมาล่ะ”
หม่อนยังเดินเอาไปวางอีกทีหนึ่ง
“ฉันบอกให้เอาไปคืนคุณอัศนัย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ดิฉันถึงจะเอาไป คุณนัยคงนอนแล้ว” หม่อนตอบ
“ฉันบอกให้เอาไปเดี๋ยวนี้” แม้เสียงนั้นไม่ตวาด แต่เข้มเคร่งน่าเกรงขาม
หม่อนยืนนิ่ง
“ฉันเอาไปเอง” ปรียากมลทำท่าเดินเข้าไป
หม่อนเดินมาหยิบท่าทีเฉยๆ แล้วเดินออกไป ฝีเท้าปกติไม่เร่งร้อนอย่างในละคร ปิดประตู
ปรียากมล ยืนนิ่งสักครู่ รูดซิปเสื้อ ปลดตะขอถอดเสื้อ
รุ่งเช้าวันต่อมา ดอกโศกแต่งชุดนักเรียนเรียบร้อย เดินเข้าไปหายายที่นั่งอยู่หน้าบ้าน
“วันนี้ยายไม่ขายขนมเหรอจ๊ะ หนูตื่นมาตี 4 เห็นยายนอนเงียบ..ของก็ไม่มี”
“ไม่ได้ขายมาสองวัน แขนไม่มีแรงไม่รู้เป็นอะไร” สมใจว่า
“คั้นกะทิมั้ย พรุ่งนี้หนูคั้นให้นะจ๊ะ”
สมหวังเพิ่งตื่น หาวหวอด สมปองแต่งชุดขับรถตุ๊กๆ ถือหมวกเดินจะออก
“พ่อน่ะ ช่วยแม่แกคั้นกะทิหน่อยสิ ตัวเป็นผู้ชายแท้ๆ” สมปองบอก
“เออ...พรุ่งนี้ฉันคั้นเอง” สมหวังว่าส่งๆ
“หนูไปโรงเรียนนะยาย”
สมหมายวิ่งออกมา “เมื่อไหร่ได้เงินล่ะโศก”
โศกมองยาย ยายโบกมือให้ไปกันก่อน
สมปองเปิดประตู แล้วทำหน้าตกใจเล็กๆ เพราะเห็นนายพลสุดเขตยืนอยู่ ไหว้แล้วไป สมหมายออก ทำหน้าตกใจไม่ต่างจากสมปอง ไหว้แผลบหนึ่ง แล้วไปเหมือนกัน
พอดอกโศก ไหว้ยาย ไหว้ตา หันกลับมาต้องตกตะลึง
“อภิรมย์ฤดี ตามารับกลับบ้าน” สุดเขตเอ่ยขึ้น
อุ๊ยืนอยู่ด้านหลังอีกด้วย
ดอกโศกไหว้แล้ว ยืนนิ่ง
“อุ๊จะไปคอยในรถ ทำไมต้องให้อุ๊เข้ามาในนี้ด้วย” อุ๊บ่นอุบ
“อุ๊...ยังไม่ต้องไป” สุดเขตสั่ง ตามองจ้องดอกโศกอยู่
ดอกโศกยิ้มน้อยๆ ตอบเสียงนุ่มนวล “ขอประทานโทษค่ะ คุณตา หนูจะอยู่กับยายค่ะ”
“งั้นก็ไปโรงเรียน ตาไปส่ง”
“หนูนั่งรถเมล์ไปได้ค่ะ”
สุดเขตยืนนิ่ง...นิ่ง มองหลาน รู้นิสัยดื้อของหลานตัวเองดี
ดอกโศกหลบตาต่ำ เหลือบขึ้นสบตาคุณตานิดหนึ่ง แล้วหลบอย่างเดิม
สมหวังมองเหตุการณ์อยู่ ทำท่าขยับตัว สมใจจับแขน สมหวังทำท่าเข่นเขี้ยวใส่ สมใจไม่สะท้านจับแขนแรงขึ้น ส่ายหน้า นัยน์ตากล้าแข็ง สมหวังหงอยไป
“สมใจ” สุดเขตเรียกเสียงดัง
สมใจเดินออกมาช้าๆ
“อภิรมย์ฤดีอยู่ที่นี่อย่าให้มีปัญหา”
“จะมีปัญหาอะไรกันค้า...นี่ยายมันนะคะท่าน” สมใจประชดประชัน
“แต่ตาไม่ใช่ตา น้าสองคนก็ดูไม่ค่อยปกติ” สุดเขตว่า
“อ้าว ทำไมลูกผมเป็นยังไง พูดให้ดีๆ นะท่าน” สมหวังไม่พอใจ สวนออกมาทันที
“อย่างที่ฉันพูด” สมหวังฮึดฮัดทำท่าจะตอบ สุดเขตรีบพูดตัดบท “อภิรมย์ฤดีจะอยู่ที่นี่ก็ได้แต่วันนี้ไปโรงเรียนกับตาก่อน”
“หนูไม่...”
สุดเขตไม่สนใจหันหลังกลับ “ตาจะไปคอยที่รถ” แล้วเดินออกไปทันที
สมปองเร่งเครื่องตุ๊กๆ อยู่หน้ารถคุณตา นายสมยืนคอยอยู่ข้างรถ สมหมายขายหนังสืออยู่ที่แผง
สุดเขตเดินออกมาอย่างสง่า มองไปสบตาสมปอง ขมวดคิ้วนิดจำไม่ได้
สมปองถอดหมวก แล้วก้มตัวโค้งอย่างนอบน้อม คุณตาทำหน้าพูดไม่ออก อุ๊มองอย่างเหยียดหยาม
“ป้าฮะ สกุลไทยออกแล้วนะฮะ” สมหมายเรียกลูกค้า
“เล่มนึง” ป้าลูกค้าบอก
สมหมายหยิบหนังสือ “นี่ฮะ แล้วหนังสือขวัญเรือน กุลสตรี แพรวสุด ดิฉัน พลอยแกมเพชร บ้านและสวน มติชน สยามรัฐ ศิลปวัฒนธรรม สารคดี ไทยรัฐ เดลินิวส์ คมชัดลึก” สมหมายบอกเร็วปรื๋อจนฟังไม่ทัน “เอามั้ยฮะป้า”
คุณตาชำเรืองมองสมหมาย นัยน์ตาแข็งกร้าว
สมปองยังคงเร่งเครื่องปรื๋อๆ “ตุ๊กตุ๊กฮะ ตุ๊ก ตุ๊ก ไปที่เดียวกันนั่งด้วยกันได้ฮะ ประหยัดน้ำมันลดโลกร้อนฮะ”
สมหมายตะโกนถาม “ลดโลกร้อนยังไงเหรอ....ร้อนจะตายแถวนี้”
สุดเขตไม่สนใจ เดินขึ้นรถ สมเปิดคอย อุ๊จะเดินไปอีกข้าง ขึ้นไปนั่งคู่
“อุ๊...ไปนั่งข้างหน้า”
“คุณตา! ทำไมคะ”
“ให้อภิรมย์ฤดีนั่งกับตา”
“คุณตา” น้ำตาอุ๊ไหลออกมาทันที “อุ๊ไม่ยอม”
“เมื่อวาน อุ๊นั่งข้างหลัง อภิรมย์ฤดีนั่งข้างหน้าไม่ใช่หรือ”
เพ็ญตระการพูดไม่ออก เปิดประตูหน้าขึ้นไปนั่ง ปิดประตูอย่างแรง
คุณตาไม่พูดอะไร มองตรงไปข้างหน้า คอย
ด้านนอก สมหมายกับสมปองก็แสดงบทบาทตัวเองไป ส่วนอุ๊น้ำตาไหล สะอื้นนิดๆ
ดอกโศกเดินออกมาจากซอย หยุดยืนมองมายังรถ
ครู่ต่อมาดอกโศกนั่งอยู่ข้างสุดเขตในที่นั่งตอนหลัง คุณตานั่งนิ่งมองไปข้างหน้า เห็นอุ๊หน้าบึ้งนั่งด้านหน้าคู่คนขับ ขยับตัวไปมา กระแทกเท้า
“อุ๊ นั่งนิ่งๆ อย่างหยุกหยิก”
“ไม่สบายค่ะ”
“เป็นอะไร” สุดเขตถาม
“ปวดท้องค่ะ” ทำหน้าแย..เพราะเครียดอยู่
“จะให้ทำยังไง” สุดเขตรู้ทัน
“ขอไม่ไปโรงเรียนค่ะ” อุ๊บอก
ในห้องเรียนเช้าวันนั้น ถึงคาบเรียนแล้ว เก้าอี้นักเรียนของอุ๊ ยังว่างอยู่ ดอกโศกตั้งใจเรียน คู่กับเจนนิเฟอร์ สีหน้าดอกโศก นิ่ง สงบ แต่เห็นว่าในใจยังกังวลลึกๆ
อุ๊กลับเข้าห้องนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง มีเสียงสะอื้นดังแผ่วๆ
เพ็ญพักตร์ นั่งมองลูกสาวคนเดียวอย่างเป็นกังวล
อุ๊พลิกตัวขึ้นมา นัยน์ตาแดงช้ำ “คุณแม่...”
เพ็ญพักตร์หันมามอง แล้วเขยิบตัวเข้ามากอดลูกไว้ ตบหลังปลอบโยน
“ทำยังไงต่อคุณแม่”
“ไม่เห็นต้องทำอะไร ทำตัวตามปกติ”
“อุ๊กลัวคุณตา”
เ”กลัวทำไม คุณตาจะทำอะไร”
“ไม่ทราบ แต่...ก็กลัว คุณตาคงไม่รักอุ๊อีกแล้ว อาจจะไม่พูดกับอุ๊เลยก็ได้”
“ปู่ย่าตายายเขาไม่โกรธลูกหลานนานหรอก ความผิดของอุ๊น่ะมันไม่ใช่ความผิดร้ายแรงถึงขนาดต้องตัดเป็นตัดตาย มันก็แค่คนไม่ชอบกัน แกล้งกันนิดๆ หน่อยๆ แบบเด็กๆ” เพ็ญพักตร์แนะทางลูก
“จริงนะคุณแม่ แค่แกล้งกันแบบเด็กๆ ไม่เป็นไรจริงนะคุณแม่” อุ๊ถาม
“จริงลูก” น้ำเสียงเพ็ญพักตร์หนักแน่นมาก “มันไม่ผิดมากหรอกลูกไม่ต้องกลัว ถ้าคุณตาจะทำโทษอุ๊ แม่จะช่วยไม่ต้องกลัว กะอีแค่หลานคนใช้คนหนึ่ง” ประโยคหลังนี้เพ็ญพักตร์ลดเสียงเบาลงเหมือนพูดกับตัวเอง
เย็นวันนั้นเลิกเรียนแล้ว ดอกโศกเดินคู่กับเจนนิเฟอร์ พอจะออกจากโรงเรียน ต้องหยุดชะงัก
เมื่อเห็นคุณตายืนคอย ดอกโศกไหว้ สุดเขตหันหลังกลับดอกโศกตามไป อัศนัยเดินมาถึงพอดี แม้จะผิดหวัง แต่พอใจที่เห็นคุณตาเป็นคนมารับ
เวลาเดียวกันสมปองขับรถตุ๊กๆ เข้ามาจอดที่หน้าปากซอยเข้าบ้าน ลูกค้าลง ส่งเงินให้แล้วเดินไป
“พี่ๆ....เงินทอนฮะ”
“อ้าว ลืม” ลูกค้าว่า
“หรือจะให้เพิ่มละฮะ” สมปองเย้า
“จะเอาเหรอ ถ้าจะเอาแล้วเรียกทำไม”
สมปองส่งเงินให้ “ไม่เอาหรอกฮะ แล้ววันหลังขึ้นรถผมอีกแล้วกันนะฮะ” สมปองเดินลงรถตรงไปร้านหนังสือ “ป้า ไอ้หมายล่ะ”
“มันรวยอะไรมา เห็นซื้อแมคอันใหญ่มากิน โค้กแก้วใหญ่ มันทอดถุงใหญ่ แถมขนมอะไรไม่รู้ กินเสร็จมันบอกลางาน 7 วัน” ป้าเจ้าของร้านหนังสือเล่าเป็นฉากๆ
สมปองอ้าปากค้าง “หา....ลา 7 วัน มันจะไปไหน”
“เชื่อมั้ย ป้ายังไม่เชื่อหูตัวเองเลย”
“ไปไหน?” สมปองฉงนในใจ
“ไปพักผ่อน” ป้าบอกต่อ
“พักผ่อน! โห...ไฮโซอ่ะ ที่ไหนป้ารู้ป๊ะ” สมปองไม่อยากเชื่อหู
“สมุย” ป้าบอก
“ฮ้า เกาะสมุยเหรอป้า” สมปองยิ่งสงสัยหนัก
“เออ อยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลยว่ะ” มองไปเห็นรถสุดเขตแล่นมา “เฮ้ย...”
สมปองหันไปมองด้วย
รถนายพลสุดเขตแล่นเข้ามาจอด ดอกโศกหันมาไหว้คุณตา สมยังคงนั่งเฉย
“สม” สุดเขตต้องเรียก
สมรู้ตัว รีบลงมาจะเปิดประตูให้ดอกโศก ดอกโศกไม่รอเปิดลงไปเอง แล้วปิดเบาๆ ไม่มองหน้าสมเดินตัวตรง ผ่านสมปองหยุดทักเบาๆ สมปองตอบ แต่ปรายสายตามองมาที่รถ
“ไปได้” รถเคลื่อนไปช้าๆ
“โศก คุณตาเค้าจะมารับงี้ทุกวันเหรอ” สมปองสงสัย
“ไม่รู้สิน้าปอง”
“มาชัวร์ เค้าจะเอาแกกลับไปอยู่กะเค้าใช่มั้ย” สมปองยังคาใจ
“น้าหมายล่ะจ๊ะป้า” ดอกโศกไม่สนใจเรื่องคุณตา หันไปทางป้าเจ้าของร้านหนังสือ
“โอ๊ย...จะเหลือเร้อ เงินเยอะซะขนาดนั้น ไปเที่ยวแล้ว”
“ไปไหน” ดอกโศกยิ้มนิดๆ
“เกาะสมุย เออ! แกจะกลับไปอยู่กะเค้าป่ะ”
สองคนคุยกัน โดยไม่รู้ว่าอัศนัยยืน มองจ้องมาจากอีกฟากถนน
เย็นนั้นดอกโศกแวะมาที่บ้านคุณนายประดับ
“ทำไมถึงจะไม่ไปล่ะดอกโศก”
“เพราะ...” ดอกโศกตรึกตรองแล้ว “หนูไม่อยู่ทุกคนที่นั่นจะมีความสุข”
“ทำไม” คุณนายสงสัย
“เพราะเขาเกลียด”
“ทุกคนเลยหรือ” คุณานายประดับไม่อยากเชื่อ
ดอกโศกนิ่งคิด “เกือบค่ะ เกือบทุกคน”
“เท่ากับมีบางคนที่รักแก”
“หนูก็ไม่แน่ใจ” ดอกโศกรู้สึกอย่างนั้น ลังเล สงสัย
“ใคร?”
“คุณตา” ดอกโศกบอก
“ก็เห็นว่าคุณตาดุบางครั้งไม่มีเหตุผล บางครั้งไม่ฟังคำอธิบาย” คุณนายประดับท้วง
“ใช่ค่ะ แต่คุณตาเป็นคนเดียวที่ยังรักหนูบ้าง ส่วนคนอื่นๆ หนูว่าไม่มีเลย เขาเกลียดอย่างเดียว มีคุณตากับอ้น..” นัยน์ตาดอกโศกขณะพูดหมองจัด “เท่านั้น”
“เชื่อฉันนะดอกโศก เจ้าไม่ต้องรักเขาพวกนั้นหรอก แต่อย่าเกลียดตอบเขา แค่หลีกหนีเขาให้ห่างเท่านั้น”
ดอกโศกยิ้มกระจ่างตา ก้าวเดินออกไปยังหน้าบ้านคุณนายประดับ
ใบหน้าดอกโศกยังยิ้มสดใสอยู่ เมื่อก้าวพ้นออกมาจากประตูบ้าน และสบตากับอัศนัยที่ยืนคอยอยู่
อ่านต่อตอนที่ 4 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.