xs
xsm
sm
md
lg

ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฉันรักเธอนะ  ตอนที่ 9

ไคคุงเดินออกมาจากออฟฟิศเป็นไท หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ออก

“ผมมีเรื่องให้คุณช่วยจัดการหน่อย...เกี่ยวกับบริษัทชื่ออิสสยาม...ใช่...นี่แค่เริ่มต้น เอาแค่เบาะๆก่อน...เริ่มที่คนชื่อองอาจก่อนก็แล้วกัน”
ขณะเดียวกัน องอาจพูดคุยกับเป็นไทในห้องทำงาน
“ไหนคุณเป็นไทบอกว่าไคคุงเค้าร้ายกาจไง ผมว่าเค้าก็ออกจะสุภาพนะ ไม่เห็นมีวี่แววความร้ายกาจตรงไหนเลย”
เป็นไทยิ้มมุมปาก
“หึ หึ...ให้ผมพูดปากเปียกก็ไม่มีใครเชื่อผมหรอก ไว้เจอกับตัวเองก่อนแล้วกันค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ใหม่”
“อิจฉาเค้าที่เค้าเป็นแฟนยูกิรึเปล่า เลยใส่ร้ายเค้าน่ะ”
“เออ ผมมันเลว คุณน่ะระวังเขาไว้เถอะ เดี๋ยวจะพัวพันกับเรื่องอะไรไม่รู้ตัวเขายิ่งมาขู่ๆอยู่ด้วย”
องอาจไม่เชื่อ
“เขาน่ะเหรอมาขู่ ผมว่าหน้าคุณไทยังหน้ายักษ์กว่าเขาซะอีกนะ”
“ผมไม่พูดเรื่องนี้แล้ว คุณไปทำงานของคุณต่อเถอะ”
“เถียงไม่ชนะก็เปลี่ยนเรื่องเลยนะ โอเคๆ ทำงานก็ทำงาน”
องอาจเดินออกไป เป็นไทห่วงองอาจอยู่เหมือนกัน

นับดาวลากรจนามาหน้าบ้าน
“ย่า...ไหนย่าห้ามไม่ให้หนูไปโกหกหลอกลวงใครล่ะ แล้วไหงตอนนี้มายุส่งซะ”
รจนายิ้มแหย พยายามแก้ตัว
“ก็มันบาปอยู่แล้วนี่ มันไม่บาปไปกว่าสิ่งที่ทำอยู่หรอก แต่มันจะช่วยคนอื่นให้มีความหวังต่อไปนะ”
“คนอื่นที่ว่าคือย่า”
“ใช่ อย่าไปช่วยนุ้ยมัน มันยังสาว ทำงานอีกไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนขั้นแล้ว แต่ย่านี่สิ แก่จะตายวันไหนก็ไม่รู้ การจะกลับมาดังอีกครั้ง”
“พอเลยๆๆ ย่าลืมไปแล้วรึไงว่าหนูกำลังทำอะไรอยู่”
ทั้งคู่ไม่รู้ว่าวราพรรณเดินออกมาแอบฟังด้วย
“ก็รู้ว่ามันไม่มียูกิอยู่แล้ว เราน่ะกำลังปลอมเป็นยูกิอยู่”
“ก็นั่นไง แล้วนี่เค้าจะมาให้หนูปลอมตัวเป็นตัวหนูเอง แล้วยังไงล่ะ มันจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่”
“เป็นยูกิ ถึงจะดังแต่ก็ลำบากเนอะ มีแต่คนจ้องจะทำร้าย”
“ช่างยูกิก่อนมั้ย จะให้หนูเอายังไง จะเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้วเนี่ย”
วราพรรณที่แอบฟังอยู่ทนไม่ได้ งงว่าเรื่องเป็นมายังไงกันแน่ก็โวยวายขึ้นมา
“ยูกิไม่มีอยู่แล้ว มันหมายความว่ายังไงกัน แล้วที่แกว่าแกกำลังปลอมเป็นยูกิอยู่คืออะไร”
นับดาวพอเห็นว่าวราพรรณรู้เพิ่มอีกคน เธอหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ซีซีเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า เธอครุ่นคิดเรื่องที่เป็นไทปฏิเสธเธอแล้วหงุดหงิดมาก
“กล้าปฏิเสธฉันได้ยังไง ในเมื่อบริษัทตัวเองก็จะล่มเพราะการจัดคอนเสิร์ตของยาย ยูกิอยู่แล้ว แกคิดว่าแกเป็นใครกันแน่ ชิ มาโกหกฉันว่าคอนเสิร์ตกำลังเตรียมงานไปได้สวย มันจะสวยได้ยังไง ยายยูกิไปเก็บขยะอยู่ที่เกาะโน่น แกจะเอายูกิไหนมาเล่น ห๊า...คิดว่าจะปิดข่าวไปได้ถึงไหนเชียว เดี๋ยวแม่จะแฉให้ดู”
ทันใดนั้นเสียงแพรวไพลินก็ดังขึ้น
“จะแฉใครเหรอจ้ะซีซี”
ซีซีหันชวับไปมองหน้า
“นี่ฉันไม่ควรจะเจอเธอบ่อยขนาดนี้นะ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากเข้ามาทักนักหรอก ถ้าไม่เห็นว่ายืนพูดคนเดียวอยู่ ท่าทางจะเหงาแต่ที่แท้กำลังหาวิธีกลับมาดังอีกครั้งน่ะเอง ยากหน่อยนะ”
“ถึงฉันจะอยู่คนเดียวก็ยังดีกว่าเธอ ที่แฟนกำลังจะล่มจมละนะ”
แพรวไพลินชะงัก
“หมายความว่าไง”
ซีซีเยียดปากหยัน
“ก็แฟนเธอจะทำคอนเสิร์ตยูกิไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ต้องล่มแน่ๆ”
“นี่เธอแช่งแฟนฉันเหรอ”
“ไม่ได้แช่งนะจ้ะ แต่จะจัดคอนเสิร์ตยูกิแล้วไม่มีตัวยูกิน่ะ จะเป็นไปได้ยังไง”
แพรวไพลินขำๆ
“ไม่มียูกิอะไร เธอเอาอะไรมาพูด ฉันยังเจอยายยูกิเดินปั้นหน้าอยู่ในออฟฟิศพี่ไทอยู่เลย จะไม่มียูกิไปได้ยังไง”
“โกหก เธอน่ะช่วยแฟนเธอปิดข่าวใช่มั้ยล่ะ กลัวนักข่าวจะรู้แล้วสปอนเซอร์ถอนหมดละสิ คอยดูเถอะฉันจะแฉให้หมด”
“ถ้ามันหายไปจริงก็ดีสิ แต่มันยังเกาะติดแฟนฉันแจอยู่เนี่ย ฉันจะโกหกทำไม ฉันเกลียดมันจะตาย เธอไปเอาข่าวมาจากไหนว่ามันหายไป รู้ไว้เลยว่าแหล่งข่าวน่ะเชื่อถือไม่ได้เอาซะเลย”
“ห๊า...”
“เสียเวลาคุยจริงๆเลย”
แพรวไพลินเดินเชิดๆออกไป ปล่อยซีซียืนงง
“แหล่งข่าวฉันเนี่ยนะมั่ว ก็ฉันเป็นคนลักพาตัวมันไปกับมือ นี่ตกลงฉันมั่วเหรอ”
ซีซีงงว่ามันเรื่องอะไรกัน

นับดาว รจนา วราพรรณ นั่งคุยกันอยู่บนโซฟา
“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้แหละแก” นับดาวบอกหลังจากเล่าที่เธอปลอมตัวเป็นยูกิอยู่ในเวลานี้ให้ฟัง
วราพรรณช็อค รจนาขำๆ
“ถึงกับช็อค”
“นี่หมายความว่าคนที่ฉันไปขอถ่ายรูป ไปทำข่าว คอยสะกดรอยตาม ถ่ายรูปปาปารัชชี่ นั่นคือแกหมดเลยงั้นเหรอ”
“ใช่...แต่เดี๋ยวนะ แกเองเหรอที่เป็นถ่ายภาพปาปารัชชี่ฉัน แล้วไปลงข่าวแย่ๆน่ะ”
วราพรรณพยักหน้ารับ
“นี่ฉันทำข่าวเพื่อนตัวเองมาตลอดหลายเดือน โดยที่ฉันไม่รู้เรื่องได้ยังไง”
นับดาวโวย
“นี่แกถ่ายรูปทุเรศพวกนั้นไปลงได้ยังไง”
“แกทำได้ไงน่ะ”
“แกนั่นแหละทำได้ไง”
รจนาตัดบท
“พอมั้ย อะไรที่ผ่านไปแล้ว จะมัวคร่ำครวญอะไรกัน แก้ปัญหาไม่ดีกว่าเหรอ”
“แก้อะไร ไม่ต้องแก้ เพราะหนูทำให้ทุกคนสมหวังไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งย่า ทั้งนุ้ย แม้กระทั่งตัวเอง”
วราพรรณรีบบอก
“ได้สิ ถ้าเราร่วมมือกันมันต้องมีทาง”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ”
ทั้งหมดมองหน้ากัน ครุ่นคิด

ซีซีที่ยังงงๆ เรื่องยูกิอยู่ พึมพำเบาๆ
“แล้วยูกิที่อยู่ที่เกาะคือใคร หรือว่า...มันหนีมาแล้ว”
ซีซีรีบหยิบโทรศัพท์โทรออกทันที
เสียงโทรศัพท์มือถือของยามาดะดัง เขาเดินมารับ
“ฮัลโหล”
“นี่แกอยู่ไหน”
“ก็อยู่ที่เกาะน่ะสิ ถามแปลกๆ” ยามาดะย้อนอย่างรำคาญ
“แกปล่อยให้ยูกิหนีไปได้ใช่มั้ย”
“ยูกิหนี...หนีได้ยังไง” ยามาดะหันไปมองยูกิที่นั่งกินข้าวอยู่ “ยังนั่งกินข้าวอยู่นี่เลย”
“อย่ามาโกหก ฉันรู้นะ”
“งั้นก็ลองคุยกันดู”
ยามาดะยื่นโทรศัพท์ให้ ยูกิงงๆ
“ฮัลโหล”
“เสียงยูกินี่ นี่แกยูกิจริงๆรึเปล่า”
“ก็จะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ” ยูกิหันไปพูดกับยามาดะ “ อะไรเนี่ย”
ยูกิส่งโทรศัพท์คืน ยามาดะรับมาพูด
“ไง บอกแล้วว่าอยู่นี่”
“แกดัดเสียงใช่มั้ย”
“จะบ้าเหรอ ใครจะไปดัดเสียงได้เหมือนขนาดนั้น”
“งั้นแกถ่ายรูปคู่กับมันแล้วส่งรูปมาให้ฉัน”
“ทำไมต้องถ่ายคู่ด้วย”
“ก็ยืนยันว่ามันอยู่กับแกน่ะสิ แล้วเพื่อป้องกันแกตุกติก เอารูปเก่าส่งมาให้ฉันดูบอกให้ยูกิมันทำท่าจา พนมมาด้วย ถ่ายแล้วส่งมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
“เค้าเป็นผู้หญิง จะทำท่าจา พนมได้ไง”
“ทำไม่ได้แปลว่ามันหนีไปแล้ว เงินแกก็ไม่ต้องเอา”
ซีซีวางหูอย่างไม่สบอารมณ์นัก ยามาดะลำบากใจที่จะต้องถ่ายรูปคู่กับยูกิ เธอเดินผ่านไทยทิกเก็ตเมเจอร์ เห็นมีโปสเตอร์คอนเสิร์ตยูกิแปะอยู่ แถมที่จอทีวียังมีประมวลภาพคอนเสิร์ต ของยูกิอีกด้วย ยิ่งทำให้เธอร้อนใจ

ยูกิกำลังทานข้าวอยู่ ยามาดะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่
“เอ่อ...คือ...”
ยูกิมอง ยามาดะจ๋อยๆ
“คือซีซีเค้าอยากให้ผมถ่ายรูปคู่กับคุณแล้วส่งไปให้เค้าดู”
“เค้าจะอยากให้ทำแบบนั้นทำไม”
“คือเค้าไม่เชื่อว่าคุณยังอยู่ที่เกาะ คิดว่าคุณหนีไปแล้ว”
“ฉันจะหนีได้ไง...เค้าบ้ารึเปล่า”
"งั้นเพื่อเป็นหลักฐาน ถ่ายรูปคู่ส่งไปหน่อยได้มั้ย”
“ถ้าฉันไม่ทำ คุณก็ซวยใช่มั้ย”
ยามาดะพยักหน้า ยูกิถอนใจ
“เฮ้อ...งั้นก็ได้ ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนี่”
ยามาดะกับยูกิอยู่ใกล้กันเพื่อถ่ายรูป เขาแอบมองเธอที่อยู่ใกล้ๆแล้วเขิน ยูกิทำหน้าตาน่ารักจะถ่ายรูป
“เอ่อ...คือมีเงื่อนไขอีกนิดนึงเรื่องท่าทาง”
“ท่าทางอะไร”
“คือจะมายิ้มน่ารักแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวซีซีไม่เชื่อ”
“แล้วยายซีซีให้ฉันทำท่าอะไร”
“จา พนม”
ยูกิงง
“อะไรคือจา พนม”
“นักแสดงที่ดังของไทย เขามีท่าประจำอยู่”
“ยังไง”
ยามาดะทำท่าจา พนม ช้างกูอยู่ไหน ยูกิหัวเราะ
“ท่าอะไรประหลาดชะมัด นี่ฉันต้องทำเหรอ”
ยามาดะพยักหน้า ยูกิทำท่าจาพนมหน้าตาจริงจังมาก
“แบบนี้ได้มั้ย”
ยามาดะหัวเราะ
“ได้สิ...เหมือนมาก”
“คุณหัวเราะเป็นด้วยเหรอ ฉันไม่เคยเห็นคุณหัวเราะมาก่อนเลย”
ยามาดะเขิน ทำเปลี่ยนเรื่อง
“มาถ่ายรูปให้เสร็จๆไปดีกว่า”
ยูกิถ่ายรูปคู่กับยามาดะทำท่าช้างกูอยู่ไหน ภาพออกมาดูตลก ยามาดะแอบยิ้ม

มือถิอซีซีมีสัญญาณข้อความเข้ามา เธอเปิดดูเป็นรูปยูกิคู่กับยามาดะ
“มันยังอยู่ที่เกาะจริงๆ”
ในทีวีมีสัมภาษณ์นับดาวโปรโมท ซีซีมองดูอย่างตั้งใจ
“ที่เกาะก็อยู่ ที่นี่ก็อยู่ มันจะมีสองคนไปได้ยังไง...ต้องมีคนนึงเป็นตัวปลอมสิ ปัญหาคือทางเค้าหรือทางเราที่เป็นตัวจริง”
ซีซีกลุ้มใจขึ้นมา

รจนา วราพรรณ นับดาวนั่งกินข้าวเย็นอยู่ด้วยกัน อยู่ๆ วราพรรณก็โพล่งขึ้นมา
“นึกออกแล้ว ฉันคิดแผนได้แล้ว”
นับดาวมองหน้า
“ยังไง แผนอะไร”
รจนาปลกใจ
“นั่นสิ”
วราพรรณ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา นับดาวกับรจนามองอย่างสงสัย รออย่างใจจดใจจ่อ ว่าแผนคืออะไรกัน

ค่ำนั้น วราพรรณพานับดาวมาที่ออฟฟิศ สังวรทำงานอยู่ตกใจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย อ้าวยูกิคุณมาหาผมถึงที่นี่มีอะไรให้รับใช้ครับ”
นับดาวส่ายหน้า
“นับดาวค่ะ”
สังวรณ์เปลี่ยนท่าที วางฟอร์มทันที
“นี่คุณเห็นผมเป็นเพื่อนเล่นกับคุณเหรอ ผมเคยชวนคุณไปดูหนังรึไง ถึงคิดว่าอยากจะเข้ามาพบผมเมื่อไหร่ก็ได้น่ะ สมุดคิวผมยาวเป็นหางว่าว”
วราพรรณรีบบอก
“คือนับดาวมีเรื่องบางอย่างอยากจะมาคุยด้วยค่ะ”
นับดาวตกใจ กระซิบถามเพื่อน
“ห๊า...ฉันเนี่ยนะมีเรื่องอยากคุย”
วราพรรณกระซิบตอบ
“เออ เฉยๆเหอะน่ะ”
สังวรณ์เชิด
“แล้วไง ใครอยากพบก็มาพบได้ โดยไม่สนว่าผมอยากพบรึเปล่างั้นเหรอ”
“ฉันไม่รู้ ก็นึกว่าเรื่องนี่เจ้านายอยากให้เรื่องที่นับดาวปลอมเป็นยูกิ จะเป็นเรื่องด่วน งั้นฉันกับนับดาวกลับกันก่อนก็ได้”
สังวรณ์ชะงักรีบเปลี่ยนท่าที
“อ่ะ ไหนๆก็มาแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินล่ะน่าดู”
“คือนับดาวตกลงที่จะปลอมเป็นยูกิค่ะ”
นับดาวตกใจ กระซิบ
“เฮ้ย ฉันเนี่ยนะ”
วราพรรณกระซิบตอบ
“แกมีหน้าที่พยักหน้าเออออก็พอ”
สังวรณ์โล่งใจแต่ยังเก๊กอยู่
“ก็แค่นี้ ทำเป็นเล่นตัวไปได้”
“แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมค่ะ”
“หึ๊”
“คือนับดาวอยากให้เลื่อนตำแหน่งให้ฉันตามสัญญา แล้วก็โปรโมทย่าของเธอตามที่สัญญาด้วย”
นับดาวเริ่มเข้าใจ รีบเสริม
“คือ...ทั้งสองเกลี้ยกล่อมฉันสำเร็จน่ะค่ะ ถ้ามีแค่คนเดียวฉันก็ไม่ทำ”
“แล้วก็...อีกอย่างนึงคือ นับดาวอยากให้ยูกิที่จะถูกลักพาตัวไปซ่อนไว้ ให้อยู่ในความดูแลของฉัน”
นับดาวตกใจ
“ห๊า...” เธอนึกได้ว่าต้องเออออก็รีบเปลี่ยนท่าที “ใช่...เพื่อความปลอดภัย ฉันไม่อยากให้ใครเป็นอันตรายใดๆทั้งนั้น”
วราพรรณยื่นข้อเสนอต่อ
“แล้วอย่างสุดท้าย”
นับดาวอึ้งแปลกใจ
“นี่ยังมีอีกเหรอ”
“นับดาวเขาอยากทราบแผนการของหัวหน้าทุกขั้นตอน ว่าต้องทำอะไรยังไง เมื่อไหร่บ้าง”
นับดาวพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่...คือเป็นคนรอบคอบน่ะค่ะ ต้องรู้แผนล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่ตื่นเต้น”
สังวรณ์ไม่พอใจ
“นี่พวกเธอจะมาต่อรองกับฉันเหรอ ฉันเป็นใคร พวกเธอเป็นใครรู้ตัวรึเปล่า”
“ถ้าไม่ได้ตามนั้น ฉันก็ไม่ตกลงค่ะ ไปเหอะนุ้ย”
นับดาวกับวราพรรณหันหลังจะเดินไป สังวรณ์รีบรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ...ทำเป็นเล่นตัวไปได้”
นับดาวกับวราพรรณยิ้มแฉ่งที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

แพรวไพลินกำลังลองของที่เพิ่งช้อปปิ้งมาทั้งกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า มีแต่ของแบรนด์เนมอยู่ในห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้น
“โอ๊ย...โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลาเลย”
แพรวไพลินถอดรองเท้าส้นสูงที่ลอง กระเป๋าที่สะพาย แล้วเดินไปรับโทรศัพท์
“อะไร”
สังวรณ์โทรศัพท์หาแพรวไพลิน ท่าทางเขาสบายใจนั่งเอกเขนกเอาขาพาดบนโต๊ะ
“แหม ท่าทางกำลังอารมณ์ดีนะเนี่ย”
“มีอะไร โทรมาเอาป่านนี้ ไม่มีความเกรงใจบ้างรึไง”
“นั่นแน่...ทำเข้ม เหมือนเป็นคนมีธุระเยอะ ผมรู้คุณน่ะว่างทั้งวันนั่นแหละ”
“ฉันว่างแล้วทำไม ช่วยไม่ได้ก็คนมันเกิดมารวยโดยไม่ต้องทำมาหากินนี่”
“หึ หึ งั้นสนใจจะมาเป็นสปอนเซอร์ไอ ยูกิตัวปลอมรึเปล่าล่ะ”
แพรวไพลินแปลกใจ
“หมายความว่าไง”
“ก็แผนการณ์ที่เคยคุยกันไว้ไง เรื่องจะให้คนปลอมเป็นไอ ยูกิ เพื่อล่มงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ไงล่ะ ตอนนี้คนที่จะปลอมเป็นไอ ยูกิตกลงแล้วนะ”
“นี่จะเอาจริงๆเหรอ”
“อ้าว...ทำไมถามแบบนี้ล่ะ”
“ก็...ฉันสงสารพี่ไทน่ะสิ”
“แต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะกำจัดไอ ยูกิออกไปจากแฟนคุณไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่...”
“ไปคิดดูก็แล้วกัน ถ้าตกลงพรุ่งนี้ก็มาเจอกัน”
สังวรณ์วางโทรศัพท์ ยิ้มอย่างสะใจที่จะได้เล่นงานเป็นไท ส่วนแพรวไพลินดูค่อนข้างลำบากใจ

เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง นับดาวกับวราพรรณคุยกันเปิดใจ
“เราจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นแก๊งค์ลวงโลกเลยว่ะ”
“แล้วที่แกปลอมเป็นยูกิตอนนี้ ไม่ใช่แก๊งค์ลวงโลกเลยรึไง หลอกฉันซะสนิทเลย” วราพรรณค้อน
“สถานการณ์มันพาไป ฉันไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย”
“แล้วแกรู้รึเปล่าว่ายูกิตัวจริงอยู่ไหน”
“นั่นล่ะปัญหา ฉันถึงเลิกไม่ได้ซักที”
“โดนจับตัวไปเหรอ”
“ฉันว่าซีซีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น”
วราพรรณหน้าตื่น
“เหรอ...จริงๆแกน่าจะบอกเรื่องนี้กับฉันตั้งนานแล้วนะ ป่านนี้อะไรๆคงจะดีขึ้น”
นับดาวหน้าสลดลง
“ฉันขอโทษ”
“ขอโทษทำไม ตอนเด็กๆตอนที่โกหกฉันว่าบ้านมีสระว่ายน้ำไม่เห็นจะขอโทษซักคำ”
“ฉันนี่ขี้โกหกจริงๆเลยเนอะ...แต่เชื่อเถอะ มันไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขจริงๆหรอก”
“เอาน่า ดราม่าอยู่ได้ พรุ่งนี้เราต้องเจออะไรอีกเยอะ”
“อืม...”
“เรื่องยูกิตัวจริง เดี๋ยวฉันจัดการเอง ระหว่างที่เราซ้อนแผนอยู่เนี่ย เราต้องหายูกิตัวจริงให้เจอให้ได้ ไม่งั้นอะไรมันจะแย่ลงเรื่อยๆ”
“หวังว่าเราคงทำสำเร็จกันนะ ไม่งั้นมีแต่คนเสียใจเพราะฉันแน่ๆ”
นับดาวกลุ้มใจ ส่วนวราพรรณใช้ความคิดวางแผนการณ์

ที่ลานจอดรถ...องอาจกำลังไขกุญแจรถตัวเองอยู่ เป็นไทขับรถมาจอดตรงรถองอาจ
“อย่าลืมข้อมูลยูกิที่ผมขอล่ะ”
“ผมเคยลืมที่คุณไทสั่งด้วยเหรอครับ”
“กลับบ้านดีๆล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“แหม พูดซะเป็นทางการเชียว เป็นลางอะไรรึเปล่าเนี่ย ปกติไม่เห็นจะล่ำลากันแบบนี้”
“เออ งั้นไปล่ะ”
เป็นไทขับรถออกไป ทิ้งองอาจเหลือคนเดียวที่ลานจอดรถ ทันใดนั้นคนในชุดดำ 3 คนที่แอบซุ่มอยู่ก็โผล่ออกมา วิ่งมาโจมตีทั้งอัดทั้งทั้งกระทืบโดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว องอาจลงไปนอนกับพื้น
“พวกแกเป็นใคร”
“แกคือองอาจใช่มั้ย”
“นี่แกตีคนก่อนถามว่าเค้าเป็นใครรึไง”
ไอ้โม่งอีกคนเข้ามาเตะ
“ให้ตอบ ไม่ใช่ให้ถาม”
องอาจจุก
“ถ้าตอบว่าไม่ใช่องอาจล่ะ แกจะทำไง”
“ไม่ใช่ได้ไง โกหก”
ไอ้โม่งเตะ องอาจจุก
“บังคับให้ใช่ แล้วจะถามทำไม”
ไอ้โม่งหันไปสั่งพวก
“แบบนี้ไม่ผิดตัวแน่ เล่นมันเลย”
องอาจตกใจ
“เฮ้ย...”
สามไอ้โม่งรุมอัดกระทืบองอาจกันไม่ยั้ง จนสะบักสะบอมไปทั้งตัว
“ฝากไปบอกเจ้านายแกด้วย ว่าอย่ามาแหยมกับยูกิอีก ไม่งั้นจะไม่หักแค่มือขวาแบบนี้แน่”
องอาจสะบักสะบอม
“โดนอะไร เจ้านายฉันไม่เห็นมันโดนอะไรเลย ที่โดนนี่...คนนี้นี่”
“พูดมากนัก เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก”
ไอ้โม่งเตะอีก องอาจจุกหนัก
“จะเดี๋ยวทำไม โดนแล้วเนี่ย”
“ไปพวกเรา แค่นี้ก็พอ”
ไอ้โม่งทั้ง 3 วิ่งหนีหายไปในความมืด ทิ้งองอาจไว้ลำพัง
“ไปไม่ได้แคร์กันเลย ไม่ได้เกี่ยวด้วยเลย”
องอาจลุกขึ้นมาไม่ไหว ได้แต่หยิบโทรศัพท์โทรออก

วราพรรณเดินบ่นลงจากรถ
“หัวหน้านะหัวหน้า กะอีแค่ตารางงานมีทแอนด์กรี๊ดแค่นี้ต้องให้ฉันมาเอาถึงนี่”
ทันใดนั้น เสียงมือถือดังขึ้น วราพรรณหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เห็นว่าเป็นเบอร์ไม่ได้เมมไว้ ก็พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เบอร์แปลกๆ ใคร”
วราพรรณกดรับสาย เสียงองอาจที่อยู่ปลายสายละล่ำละลักพูด
“คุณเป็นไท คุณเป็นไทช่วยผมด้วย ผมถูกทำร้าย”
“ฉันไม่ได้ชื่อเป็นไท นายโทรผิดแล้ว”
องอาจดูเบอร์ที่โชว์หน้าจอเห็นเป็นชื่อวราพรรณก็ตกใจ
“เฮ้ย ยัยนักข่าวทอม”
วราพรรณได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่าเป็นองอาจ
“นี่นายเองเหรอไอ้เกย์ลามก จะมาไม้ไหนอีก”
“ผมไม่ได้มาไม้ไหน ช่วยผมด้วย ผมถูกทำร้าย”
วราพรรณไม่เชื่อ
“เหรอ งั้นก็โทรแจ้งความสิมาบอกฉันทำไม”
วราพรรณตัดสายทิ้ง ทันใดนั้นไอ้โม่งทั้งสามที่วิ่งหนีมาก็ชนวราพรรณล้มลง พอพวกมันลุกขึ้นได้ก็จะวิ่งหนีไป แต่วราพรรณไม่ยอมให้หนี
“อ้าว จะชนแล้วหนีเหรอ”
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”
“แหนะยังมีหน้ามาขู่อีก แล้วสวมไอ้โม่งทำไม กลัวฉันจะจำหน้าได้ใช่มั้ย ไม่ต้องเลย รู้จักนักข่าวหัวเห็ดอย่างฉันน้อยไปแล้ว”
วราพรรณจะเข้าไปกระชากหน้ากากไอ้โม่ง
“อีนี่วอนซะแล้ว”
ไอ้โม่งไม่พอใจจะตรงเข้าไปทำร้ายวาพรรณ องอาจวิ่งมาถึงพอดีร้องห้าม
“เฮ้ย !อย่าทำร้ายผู้หญิง เค้าเป็นทอม”
ไอ้โม่งยิ้มหยัน
“ที่แท้ก็พวกเดียวกัน เล่นงานมันเลย”
ไอ้โม่งคนหนึ่งจะต่อยวราพรรณแต่องอาจกระโดดขวาง
“อย่า !”
องอาจถูกไอ้โม่งต่อยเซไป วราพรรณเห็นอย่างนั้นก็โกรธ
“อ๋อ นี่เอาจริงใช่มั้ย”
วราพรรณจะต่อยไอ้โม่ง องอาจกระโดดเข้าขวาง
“อย่าคุณ”
องอาจถูกหมัดวราพรรณ เซไป พวกไอ้โม่งโกรธ
“พวกเรารุม"
ไอ้โม่งทั้งสามกระโดดถีบ แต่องอาจกระโดดเข้ามาขวางอีก
“หนีไปคุณ”
องอาจถูกรุมกระทืบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังมา ก่อนจะเห็นรปภ.วิ่งเข้ามาระงับเหตุ พวกไอ้โม่งเห็นก็ตกใจหนี
“เฮ้ย ! หนี”
“จะไปไหน”
วราพรรณทำท่าจะวิ่งตามพวกไอ้โม่งไป แต่ได้ยินเสียงองอาจดังมาเสียก่อน
“อย่าคุณ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็สงสารผมบ้างเถอะ”
วราพรรณหันมา เห็นองอาจนอนหงิกอยู่บนพื้นถนนลานจอดรถ ก็ทำหน้าเซ็ง ๆ
“สรุปฉันต้องขอบคุณนายใช่มั้ย”

เป็นไทเปิดประตูเข้ามาในห้องพักที่โรงพยาบาลอย่างรีบร้อน เห็นองอาจนอนเขียวช้ำไปทั้งตัวอยู่บนเตียง
“คุณเป็นไงบ้างองอาจ ที่ออฟฟิศบอกคุณโดนซ้อม”
“ก็อย่างที่เห็นแหละครับ”
“คุณไปมีเรื่องกับใครมา”
“แหม...ยังมีหน้ามาถาม”
“หมายความว่าไง”
“คุณไทนั่นแหละไปมีเรื่องกับใครมา”
“ผมเนี่ยนะ”
“มันฝากมาบอกว่าอย่าไปยุ่งกับยูกิอีก ไม่งั้นไม่หักแค่มือขวาแน่”
เป็นไทนึกถึงตอนที่ไคคุงมาหา แล้วเจอกับองอาจ แล้วบอกว่าองอาจคือมือขวาของเขา
“ไคคุง”
“นั่นไง...ผมเกี่ยวอะไรเนี่ย ผมไม่เคยยุ่งกับยูกิเลย”
“นี่คงเชือดไก่ให้ลิงดูสินะ”
“คนในออฟฟิศมีเป็นร้อย ทำไมต้องเป็นผมด้วย”
“เพราะคุณสำคัญต่อผมไง...ไคคุงมันไม่ธรรมดาจริงๆ ผมบอกคุณแล้วไง”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็เชื่อแล้ว”
“คุณนี่มารับเคราะห์แทนผมจริงๆ คุณพักงานไปก่อนเลยไม่ต้องห่วง”
“โดนขนาดนี้ยังให้ทำงานก็ไม่ไหวนะ...แล้วนี่คุณไทจะทำไงต่อไปครับเนี่ยกับยูกิก็ต้องดิวงานกันแน่ๆ มันจะห่างได้ยังไง”
เป็นไทครุ่นคิด กังวลกับสิ่งที่จะเกิดต่อไป

ซีซีซื้อกาแฟอยู่ในร้าน เธออ่านข่าวยูกิในหนังสือพิมพ์เรื่องคอนเสิร์ตก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที
“เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ มันมียูกิอยู่ในสองที่พร้อมกันไม่ได้ มันต้องมีตัวปลอม ฉันต้องรู้ให้ได้เลยว่าใครตัวปลอม”
พอซีซีเอาหนังสือพิมพ์ลงจากหน้า เธอก็เห็นนับดาวเดินผ่านหน้าร้านไป ซีซีตกใจ
“ยูกิ...” ซีซีขยี้ตา “ยูกิจริงๆด้วย พระเจ้าช่วย”
ซีซีรีบเดินออกจากร้านวิ่งตามนับดาวไป แต่พอออกไปหน้าร้านแล้วเธอก็ไม่เห็นนับดาวแล้ว แท็กซี่คันหนึ่งขับผ่านไป นับดาวนั่งอยู่ในนั้น ไม่ได้สนใจซีซี ส่วนซีซีก็มองซ้ายมองขวา ก็ไม่เห็นนับดาว
“ไวนักนะ ฉันต้องจับให้ได้ คอยดู”
ซีซีบอกตัวเองอย่างจริงจัง

วราพรรณเดินมาทำงาน ปรากฎว่าของบนโต๊ะหายไปหมด เธอตกใจ
“เฮ้ย…ขโมยขึ้นออฟฟิศ ขโมย”
พนักงานคนอื่นๆมองวราพรรณอย่างเซ็งๆ
“ไม่มีใครของหายเลยเหรอ”
“ของคุณย้ายไปอยู่ในห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว”
เลขาสังวรณ์ชี้ไปห้องทำงานส่วนตัว วราพรรณอึ้งงง
“ห้องนั่น หมายความว่า…”
วราพรรณเดินไปที่หน้าห้องๆนั้น มีป้ายเขียนว่า “บรรณาธิการ” เธอตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเดินเข้าไปในห้อง ลูบตามโต๊ะ ตามเก้าอี้ ป้ายตำแหน่งบก.ที่เป็นชื่อเธอ “วราพรรณ ศรีสวัสดิ์”วางอยู่บนโต๊ะ เธอดีใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มแก้มปริ

รจนาอ่านหนังสือพิมพ์แล้วเห็นสกู๊ปวงสุนทรีย์ภรณ์เต็มหน้าหนังสือพิมพ์ มีรูปเธอสมัยสาวๆ เต็มหน้า พาดหัวว่า “สุนทรีย์ภรณ์ คุณค่าแห่งเพลงไทย ที่ไม่ควรถูกลืม” รจนายิ้มแก้มปริ มีความสุขมาก นับดาวเดินลงมาจากบ้าน รจนากำลังเห่อตัวเองในหนังสือพิมพ์ หันมาเรียกหลานสาว
“นี่นับดาว ดูย่าลงหนังสือพิมพ์สิ เห็นมั้ยๆ”
“แค่ได้ลงหนังสือพิมพ์ ไม่ได้หมายความว่าจะกลับมาดังซักหน่อย”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์บ้านส่งเสียงดังขึ้น รจนารีบไปรับ
“ฮัลโหล...ค่ะ รจนากำลังพูด...รายการจันทร์พันดาวเหรอคะ...จะให้ฉันไปออกจันทร์พันดาว...ที่นี่หมอชิตด้วย...มีคนอวดผีอีก แหม รายการหลังดูหลอนๆนะ...ได้ค่ะ ได้ ว่างทุกวันค่ะ...พร้อมมากค่ะ...ได้ค่ะ ได้...ขอบคุณค่ะ”
รจนาวางสายยิ้มมีความสุขมาก
“นี่เค้าจะให้ย่าไปสัมภาษณ์ออกทีวีด้วย สุนทรีย์ภรณ์กลับมาแล้ว เห็นมั้ยๆ”
นับดาวยิ้มแห้งๆให้ย่า ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือนับดาวดังขึ้น เธอกดรับสาย
“ฮัลโหล...”
สังวรณ์คุยโทรศัพท์กับนับดาว โดยมีวราพรรณส่งเสียเย้วๆอยู่ข้างๆ
“เป็นไง สิ่งที่ฉันทำ ตรงตามเงื่อนไขรึยัง”
วราพรรณตะโกนเข้าโทรศัพท์สังวรณ์
“แก๊ ฉันได้เลื่อนตำแหน่งแล้วเว้ย เป็น บก.แล้ว”
สังวรณ์มองดุๆ
“ตกลง จะเอายังไงต่อไปก็ว่ามา” นับดาวถามเสียงเข้ม
สังวรณ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ วราพรรณยังดีใจกับตำแหน่ง ส่วนนับดาวดูเธอไม่ค่อยจะเต็มใจกับสิ่งที่จะต้องทำต่อไปนัก

ยูกิหลับอยู่ที่เปลญวน สักครู่ยามาดะเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ตกปลา
“ยูกิ ไปตกปลาได้แล้ว แอบมาหลับอยู่นี่เอง...”
ยามาดะเข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆ มองเธออย่างเอ็นดู
“นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกินจริงๆนะเธอเนี่ย”
ยามาดะส่ายหน้า แล้วหันมามองยูกิอีกทีอย่างหลงใหลในความน่ารัก...เขาห้ามใจตัวเองไม่ไหว ก้มลงไปจะหอมแก้ม ทันใดนั้นยูกิละเมอขึ้นมาหน้าตากังวล
“ไทคุง...”
ยามาดะชะงักกึก หน้าเจื่อนไป
“นายมาหาฉันเหรอ ไทคุง...”
ยามาดะนึกว่ายูกิคิดถึงไทคุง ทนฟังไม่ได้ รีบลุกออกพร้อมเบ็ดตกปลา ลืมถังน้ำไว้ พอยากมาดะออกไป ยูกิละเมอ ยกมือเปะปะแบบไล่ส่ง ไทคุง จนเธอตกเปลไป
“อย่านะ ไทคุง อย่าเข้ามานะ ออกไป...อ๊อย”
ยูกิตื่นขึ้น ร้องโอดโอย แล้วนึกได้
“โอ้ย อู้ย ฮึย ทำไมเราถึงฝันว่าไทคุงจะมาฆ่าเราไปได้นะ ฝันร้ายแท้ๆ เลย”
ยูกิมองเห็น กระป๋องน้ำที่ ยามาดะลืมวางทิ้งไว้เมื่อกี้
“ฮึ...ถังตกปลานี่ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...”

ยูกิมองกระป๋องอย่างสงสัย

อ่านต่อหน้า 2



ฉันรักเธอนะ  ตอนที่ 9 (ต่อ)

สังวรณ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางวางกล้ามแสดงอำนาจ วราพรรณกับนับดาวนั่งอยู่อีกฝั่ง

“เป็นไงเธอ เห็นอำนาจฉันรึยังล่ะ อยากเสกอะไรก็เสกได้”
“เชื่อค่ะ” วราพรรณทำเสียงประชด
นับดาวเซ็งคำอวดของสังวรณ์
“แล้วก็อย่าลืมล่ะ ว่าถ้าฉันจะทำลายอะไร มันก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นถ้าคิดตุกติกอะไรกับฉันละก็...จุดจบคงไม่ดีแน่”
วราพรรณกลืนน้ำลายเอื๊อก นับดาวหมั่นไส้
“ไม่ลืมหรอกค่ะ เพราะที่คุณเรียกเรามาวันนี้ก็ทำเพื่อจะทำลายคนอื่นไม่ใช่รึไง”
“ก็ดี...ควรจะระลึกไว้เสมอว่าเล่นอยู่กับใคร”
“แล้วเมื่อไหร่จะเข้าเรื่องซักที แผนการของคุณน่ะ ฉันอยากรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“เดี๋ยวสิ ฉันรอแขกคนสำคัญอยู่”
“นี่ยังมีใครมาร่วมด้วยเหรอ”
เสียงเปิดประตูดังขึ้น นับดาวกับวราพรรณหันไปตามเสียงนั้น แล้วก็เห็นคนเปิดประตูมาคือแพรวไพลิน นับดาวกับวราพรรณตกใจ
“มาพอดีเลย” สังวรณ์ยิ้มให้
แพรวไพลินเห็นนับดาวก็ถึงกับอึ้งไปเช่นกัน นับดาวรีบหลบตาก้มหน้างุด
“นี่...นี่...คือตัวปลอม...ไม่ใช่ยูกิจริงๆ...เหรอ??”
“นี่แหละคนที่จะมาปลอมตัวเป็นยูกิ” สังวรณ์ยืนยัน
“มาดามทุสโซ่ปั้นเหรอ เหมือนมาก”
นับดาวไม่กล้าสบตาแพรวไพลิน ขณะที่วราพรรณสงสัย
“คุณเป็นแฟนของคุณเป็นไทไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องมาร่วมมือทำลายงานคอนเสิร์ตยูกิด้วย”
แพรวไพลินเชิ่ด
“ฉันจะไม่ยอมให้นังยูกิมันมาแย่งแฟนฉันหรอก”
“แล้วข้อมูลที่ให้เอาติดมาน่ะได้มั้ย” สังวรณ์ถาม
แพรวไพลินหยิบของจากกระเป๋าโยนให้
“ตารางการทำงานไปจนถึงวันคอนเสิร์ต”
สังวรณ์หัวเราะชอบใจ
“คุณนี่เก่งกว่าที่คิด”
“นี่ฉันเป็นแฟนเจ้าของบริษัทนะ จะเอาข้อมูลแค่นี้ไม่ได้ยากหรอก”
นับดาวมองแพรวไพลินทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ ที่เธอหักหลังเป็นไท แอบพึมพำ
“การหักหลังคนอื่นนี่เป็นเรื่องที่ควรภูมิใจใช่มั้ยเนี่ย”

ยามาดะนั่งตกปลาอยู่ที่โขดหิน นึกถึงยูกิที่ละเมอถึงไคคุงก็รู้สึกเศร้ามาก เขาทุบมือไปกับก้อนหิน ร้องตะโกนระบายอารมณ์
“อ๊ากกกกก...”
ยูกิถือถังน้ำเข้ามาตกใจ ทำถังน้ำร่วง ยามาดะหันไปมองทำหน้านิ่งเรียบเฉย ยูกิมองเจื่อนๆ
“นายลืมถังน้ำไว้แน่ะ”
ยามาดะไม่ตอบ ลุกขึ้นเดินผ่านหน้ายูกิไปเลย
“อ้าววว นายจะไปไหน ไม่ตกปลาแล้วเหรอ...”
ยูกิวิ่งตาม แล้วดึงแขนเขาให้หันมา
“เดี๋ยวก่อนสิ รอก่อน นายเป็นอะไร ทำไมต้องหนีฉันด้วย”
ยามาดะดึงแขนออก
“แล้วเธอเป็นอะไร ทำไมต้องมาตามตื้อฉันด้วย”
“ประสาทหรือเปล่า ก็นายเป็นคนนัดฉันให้มาตกปลาไม่ใช่เหรอ ฉันมาตื้อนายตรงไหนไม่ทราบ”
“ดัดจริต”
ยามาดะหันหนีเดินออกไป ยูกิยัวะเดินตามด่า
“อีตาบ้า พูดมาได้ยังไง”
ยามาดะหันกลับมาหายูกิแบบไม่ทันตั้งตัว ยูกิเลยชนกับอกยามาดะที่กอดหมับไว้ทันที
“เออ ฉันขอโทษ”
ยูกิจะดึงตัวออก แต่ยามาดะกลับไม่ปล่อย กอดยูกิเข้ามากับอก
“นี่นายทำอะไร”
“ไม่ต้องมาแอ๊บแบ๊ว”
“ไอ้บ้า”
“ถ้าอยากให้ฉันปล้ำ ก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่า”
“ไอ้ทุเรศ หยาบคายเกินไปแล้วนะ”
“ฉันไม่อยากเป็นผู้ชายโง่ๆ ให้เธอปั่นหัวเล่นเหมือนไอ้ไทคุง”
“ไทคุงมาเกี่ยวอะไรด้วย นายไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขานะ”
“ทำไม รักมันมากนักเหรอ”
“เขาเป็นสุภาพบุรุษมากกว่า ไอ้ยากูซ่าป่าเถื่อนอย่างนายก็แล้วกัน”
ยามาดะหึงจัดก้มลงไปจูบ ยูกิรีบเบี่ยงหน้าหลบ กลายเป็นยามาดะหอมแก้มเธอแทน เธอกรี๊ดแล้วรีบผลักยามาดะออกไป แล้วตบหน้าอย่างแรง ยูกิมองยามาดะ น้ำตาคลอเบ้า ด้วยความน้อยใจเสียใจ
“เลวมาก ฉันเกลียดนายที่สุด”
ยูกิวิ่งหนีออกไป ยามาดะมองตามอย่างเสียใจ

เป็นไทเดินถือแฟ้มเอกสารเข้าไปในออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้น เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้เมมไว้ เป็นไทกดรับ
“ฮัลโหล”
ไคคุงนั่งอยู่บนรถที่จอดที่ลานจอดรถบริษัทเป็นไท เขามองไปที่ป้ายอิสสยาม คุยโทรศัพท์อย่างสบายใจ
“สวัสดีคุณเป็นไท สบายดีมั้ย”
“ไคคุง”
“ดีใจจังที่คุณจำเสียงผมได้ด้วย ผมไม่ชอบให้ใครลืม”
“คุณมีธุระอะไร”
“ผมได้ข่าวว่าคนในบริษัทคุณโดนทำร้ายร่างกายเหรอ ผมละเป็นห่วงคุณจริงๆ อาการหนักมั้ยพนักงานคุณน่ะ”
“ดีขึ้นแล้ว”
“ค่อยโล่งอก คุณก็ควรจะระวังตัวไว้บ้างนะครับ คนเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมระวังอยู่แล้ว”
“หวังว่ายูกิกับผมคงไม่ได้ทำอะไรให้คุณลำบากใจนะ”
“ครับ”
“คงได้เจอกันอีกเร็วๆนี้นะครับ คุณเป็นไท”
ไคคุงวางหูด้วยรอยยิ้มที่ร้ายลึก ส่วนเป็นไทรู้สึกลำบากใจกับงานครั้งนี้มากขึ้น

สังวรณ์ดูเอกสารตารางงานที่แพรวไพลินเอามาให้ เขายิ้มอย่างพอใจแล้ววางมันลง
“วันมีทแอนด์กรี๊ดจะเป็นวันสุดท้ายของมัน ไอ้เป็นไท”
วราพรรณสงสัย
“เราต้องทำยังไงบ้าง”
“พรุ่งนี้เธอต้องไปจับตัวยูกิมา แล้วเอานับดาวไปเสียบแทน ฉันจะให้แพรวไพลินไปช่วยเธอ”
“ไม่ต้อง ฉันจัดการคนเดียวได้” วราพรรณรีบบอก
“แล้วถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะ”
“ฉันเคยทำงานพลาดด้วยเหรอ”
สังวรณ์นิ่งคิด วราพรรณพยายามเกลี้ยกล่อม
“เรื่องนี้ฉันขอจัดการเองดีกว่า ยังไงก็มีนับดาวอยู่ด้วย เอายายคุณหนูนี่ไปด้วยภาระชัดๆ”
แพรวไพลินมองไม่พอใจ
“นี่...ฉันจบเมืองนอกนะ ฉันไม่ได้โง่”
“ไม่ได้บอกว่าโง่ แต่กระโปรงสั้น ส้นสูง แบบนี้ จะทำอะไรได้นอกจากสร้างภาระ”
“เค้าเรียกคนมีสไตล์ย่ะ ไม่เหมือนพวกเธอหรอก แต่งตัว...อย่าให้พูดเลย...แล้วนี่นานแค่ไหนกว่าอะไรๆจะสำเร็จเนี่ย”
สังวรณ์บอกทันที
“ไม่กี่วันหรอก เราต้องรีบรวบรัดแผนการให้เร็วที่สุด ก่อนที่ใครจะจับได้ซะก่อนว่านี่เป็นยูกิตัวปลอม”
“ไม่มีใครจับได้หรอก ซุปเปอร์สตาร์น่ะไม่มีใครกล้ามองอย่างจับผิดหรอก ทำอะไรก็ดี ก็ถูกไปหมดแหละ” นับดาวออกความเห็น
“ก็จริงของเธอ” สังวรณเห็นด้วย
นับดาวแอบพึมพำ
“ไม่จริงได้ไงล่ะ ทำมาเป็นเดือน ไม่เห็นมีใครจะรู้อะไรเลย”
สังวรณ์สรุป...
“แต่ยังไง เราก็ต้องรวบรัดให้เร็วที่สุด”
“ดี ฉันไม่ชอบรอ...แล้วนี่จะจับตัวยูกิไว้ที่ไหน ฉันขอไปตบมันซักทีเถอะ”
แพรวไพลินหันมาถามวราพรรณ
“เรื่องนั้นฉันดูแลเอง ฉันบอกใครไม่ได้หรอก เพื่อความปลอดภัยของตัวประกัน”
“เชอะ ทำเป็นเข้ม... พอเอาเข้าจริง มีเงินมากองตรงหน้าก็ปากสว่างแล้วละมั้ง”
“นี่”
วราพรรณจะเข้าไปต่อยแพรวไพลิน นับดาวห้ามไว้ สังวรณ์ปรามเช่นกัน
“พอๆ ฉันไม่อยากดูมวย”
นับดาวหันไปถามสังวรณ์
“นี่ ฉันถามจริงเหอะ คุณเป็นไทเค้าไปทำอะไรให้คุณนักหนาเหรอ ทำไมต้องจ้องจะทำลายเค้าด้วย”
“คนที่ควรจะจัดคอนเสิร์ตยูกิคือฉัน ไม่ใช่ไอ้เป็นไท”
“แล้วถ้าคอนเสิร์ตล่ม ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะได้จัดไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่...แต่ถ้าฉันไม่ได้ ใครก็ไม่ได้”
นับดาว กับวราพรรณมองสังวรณ์ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลวได้ขนาดนี้

วราพรรณเดินมาส่งนับดาวขึ้นแท็กซี่ที่หน้าบริษัท
“ขอโทษนะไม่ได้ไปส่ง ต้องทำงานว่ะ”
“ไม่เป็นไร...นี่นุ้ย เราจะทำแบบนี้กันจริงๆเหรอ”
“พูดเหมือนเป็นคนดีนะ แล้วทุกวันนี้ไม่ได้หลอกลวงคนอื่นอยู่เหมือนกันเหรอ”
“ไม่ได้บอกว่าตัวเองดี แต่รู้สึกการหักหลังมันต้องมีคนเสียใจ”
วราพรรณตบบ่า
“แกไม่ต้องห่วงนะเว้ย เรารู้แผนพวกมัน แต่พวกมันไม่รู้แผนเรา ยังไงเราก็เหนือกว่า”
“แกจะเล่นเกมกับคนแบบนั้นจริงๆเหรอ มันอันตรายนะ”
“แกว่าชีวิตพวกเรา มีอะไรจะเสียอีกว่ะ”
นับดาวเห็นด้วยกับวราพรรณ แต่เธอไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากความเงียบ และแววตากังวล

นับดาวนั่งรถแท็กซี่มาลงที่บริษัทเป็นไท เธอมองป้ายบริษัท “อิสสยาม” แล้วถอนหายใจ
“คุณจะรู้บ้างมั้ย ว่ามีคนกำลังจะทำลายบริษัทที่คุณสร้างมากับมือ”
นับดาวมองป้ายบริษัทอย่างท้อแท้เหนื่อยหน่าย แล้วเดินเข้าไปด้านใน พนักงานหลายคนยกมือไหว้ บางคนก็ซุบซิบกันบ้าง เลขาเป็นไทเดินผ่านนับดาวพอดี
“ขอโทษนะคะ คุณไทอยู่ออฟฟิศรึเปล่า”
“อยู่ห้องทำงานค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวเดินรี่ไปที่ห้องเป็นไท เลขานึกได้ รีบวิ่งตามนับดาวไป นับดาวเดินถึงที่หน้าห้องเป็นไทเธอเปิดประตูเข้าไปเลย เลขาตามมาห้ามไม่ทัน



นับดาวเปิดประตูไปในห้องเป็นไท เห็นแพรวไพลินกำลังเกาะไหล่ ออดอ้อนเป็นไทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ นับดาวตกใจ เลขาตามเข้ามา
“ขอโทษค่ะ หนูบอกไม่ทันว่าคุณไทมีแขก”
แพรวไพลินตวาดแว๊ด
“แขกที่ไหน คนกันเองต่างหาก”
นับดาวบ่นคนเดียว
“มาเร็วเคลมเร็วจริงๆ ยายนี่”
เป็นไทเซ็งๆที่เห็นนับดาวมาเห็น
“คุณยูกิมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
แพรวไพลินรีบเสริม
“พี่ไทเค้าหมายความว่า มีเรื่องด่วนอะไรขนาดนั้น อยู่ๆก็พรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะประตู ไม่มีมารยาท”
“ฉันขอโทษจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ด้วย”
“รู้แล้ว ก็จะยืนดูอยู่ตรงนี้น่ะเหรอ ก็ดีเหมือนกัน...” แพรวไพลินมองเสื้อผ้านับดาว “เสื้อผ้าชุดนี้...”
นับดาวหน้าเสีย คิดในใจ
‘ซวยละ ไม่ได้เปลี่ยนชุด จำได้แน่เลย’
แพรวไพลินโพล่งขึ้นมา
“เสื้อผ้าสวยดีนี่ แบรนด์อะไร”
นับดาวถอนหายใจโล่งอก แอบพึมพำ
“หึ หึ เมื่อกี้ตอนเป็นนับดาวล่ะ ยังดูถูกเรื่องการแต่งตัวอยู่เลย”
แพรวไพลินจ้องหน้า
“พูดอะไรพึมพำ กลัวได้ยินรึไง”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ไม่ต้องครับ...” เป็นไทหันไปหาแพรวไพลิน “แพรว ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ออกไปรอข้างนอกก่อนได้มั้ย”
แพรวไพลินอึ้ง
“ห๊ะ... นี่พี่ไทไล่แพรว พี่ไทเห็นมันสำคัญกว่าแพรวเหรอ”
“แพรวไม่ได้มีธุระอย่างอื่นนอกจากชวนไปเป็นเพื่อนช้อปปิ้งไม่ใช่เหรอ งั้นพี่ขอคุยงานก่อน”
“พี่ไท...จำไว้เลย”
แพรวไพลินเดินถือกระเป๋าออกมา เดินผ่านนับดาว เธอมองด้วยสีหน้าแค้น
“ลอยหน้าลอยตาได้ก็แค่วันนี้เท่านั้นแหละ คอยดูพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
แพรวไพลินเดินออกไป นับดาวมองตามแล้วส่ายหน้า พอแพรวไพลินออกไป เป็นไทก็ส่งภาษามือให้เลขาออกไปข้างนอกด้วย แล้วหันมาถามนับดาว
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเลยครับ”
ขณะเดียวกันนั้น ไคคุงนั่งอยู่บนรถ ถือกล้องส่องทางไกลมองมาที่ห้องเป็นไท เห็นภาพเป็นไทกับนับดาวอยู่กันสองต่อสองในห้อง เขาลดกล้องลงมองด้วยความโกรธ
“นี่แกไม่กลัวเลยใช่มั้ย เล่นกับใครไม่เล่นนะ”

นับดาวเดินเข้ามามองหน้าเป็นไทใกล้ๆ เธอเป็นห่วงเป็นไทเหลือเกิน อยากจะเตือนเขา เป็นไทงงว่าเธอมองทำไม
“นี่คุณมองหน้าผมทำไม มีอะไรรึเปล่า”
“คุณไปเช็คดวงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ย”
“ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนั้นหรอก”
“นั่นไง ไอ้พวกบอกไม่เชื่อเนี่ยอันตราย คุณน่ะไม่รู้อะไร คุณอาจจะถึงคราวเคราะห์แล้วก็ได้นะ”
เป็นไทหัวเราะ
“ตลกน่า ผมว่าไร้สาระ”
แล้วอยู่ๆอาวุธดาวกระจายแบบญี่ปุ่นก็พุ่งผ่านหน้าต่าง เฉียดหน้าเป็นไทไปปักที่ผนัง เป็นไทกับนับดาวตกใจ
“มาจากไหนเนี่ย” นับดาววิ่งไปชะเง้อมองที่หน้าต่างไม่เห็นใคร
เป็นไทมองที่อาวุธที่ปักติดกับผนังอย่างพินิจ ขณะที่ไคคุงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สะใจที่ขู่เป็นไทได้
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ทีนี้จะกล้าไม่ใส่ใจคำพูดฉันอีกมั้ย หึหึ”
ทางด้านเป็นไทมองอาวุธดาวกระจาย แล้วเขาก็คิดถึงคำขู่ของไคคุงที่โทรมา
“ต้องเป็นฝีมือไคคุงแน่ๆ”
นับดาววิ่งมาหาเป็นไท ถึงดาวกระจายออกจากผนัง
“อาวุธนี้น่าจะนำเข้ามาจากญี่ปุ่น อาจจะเป็นพวกนินจาที่ใช้วิชาอำพรางตัวกับผนัง แต่ดูจากวิถีสังหารแล้วน่าจะพุ่งตรงมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้”
เป็นไทขัดขึ้น
“ดาวกระจายน่ะ จตุจักรก็มีขาย”
นับดาวจ๋อย
“อ้าวเหรอ”
“แล้วทิศตะวันตกเฉียงใต้น่ะ มันเป็นกำแพง”
เป็นไทชี้ไปที่ผนัง นับดาวจ๋อยหนัก
“โอเค ฉันมั่ว แต่ฉันเตือนแล้วว่าคุณน่ะดวงตก พอไม่เชื่อแล้วเป็นไง ฟ้าก็ส่งสะเก็ดดาวกระจายนี่มาเตือน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ฟ้าเป็นห่วงคุณนะ”
“ทุกอย่างมีเหตุก็ต้องมีผลทั้งนั้น ไม่ใช่ปาฏิหาริย์หรอก”
“บางอย่างก็ไม่ต้องมีเหตุผล แค่ใช้ใจก็พอ...ฉันเป็นห่วงคุณนะ”
เป็นไทได้ยินรู้สึกดี ทั้งคู่มองตากันซึ้ง ดาวกระจายก็ปลิวเข้ามาอีก คราวนี้มาเป็นชุด ทั้งคู่หลบกันชุดใหญ่ เป็นไทไม่ไหว หยิบผ้าสีขาวมาแทนธง ค่อยๆยกมือขึ้นหันหน้าไปทางหน้าต่าง
“โอเคๆๆๆ ยอมแล้วๆ”
ไคคุงถึงกับหอบที่ปาดาวกระจายออกไปจำนวนมา แต่พอเขาเห็นธงยอมแพ้ของเป็นไท เขาก็ยิ้ม

เป็นไทยืนหันหน้ายอมแพ้ไปทางหน้าต่าง นับดาวงงว่าเป็นไททำอะไร
“นั่นคุณพูดกับใครน่ะ ฟ้าเหรอ ตกลงคุณเชื่อฉันแล้วใช่มั้ย”
“ฟ้าของคุณจะส่งดาวกระจายชุดใหญ่มาแบบนี้เลยรึไง”
นับดาววิ่งเข้าไปหาเป็นไท เป็นไทดีดตัวหนีทันที
“อย่าๆๆ อย่าเข้าใกล้ผมนะ”
นับดาวก้าวตาม
“ทำไมล่ะ”
เป็นไทก้าวถอยหนี
“ถ้าคุณห่วงผม อยากให้ผมปลอดภัย เราอยู่ห่างๆกันซักพักเถอะ”
นับดาวก้าวตาม
“ทำไมล่ะ ฉันอยากรู้เหตุผล”
เป็นไทก้าวถอยหนี
“บางอย่างไม่ต้องมีเหตุผล แค่ใช้ใจก็พอ...ผมขอร้องล่ะ”
นับดาวได้แต่ทำหน้าจ๋อย เป็นไทเองก็ยังหวาดๆ นับดาวเดินคอตกออกไป

เป็นไทมาเยี่ยมององอาจที่โรงพยาบาล เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง องอาจตกใจมาก
“โห มันโหดขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ผมจะโกหกคุณเพื่ออะไรล่ะ”
“ถ้างั้น…รอดมาได้นี่ถือว่าโชคดีมากเลยนะครับเนี่ย”
“ผมคงต้องห่างกับยูกิซักพักแล้วล่ะ”
“แล้วแบบนี้จะทำงานกันยังไง นี่ก็ใกล้จะมีทแอนด์กรี๊ดแล้วด้วย”
เป็นไทหันมององอาจ ยิ้มละไม องอาจรู้ทัน
“นั่นไง นี่จะให้ผมกลายเป็นสื่อกลางใช่มั้ยเนี่ย นี่ขนาดยังไม่ออกจากโรงพยาบาลนะ”
“ก็ผมไม่รู้จะทำยังไงนี่ ไม่รู้ว่าจะโดนสะกดรอยตามรึเปล่า”
“เฮ้อ…นี่ก็ต้องไม่เจอยูกิเลยสิ”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ นับดาวก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ฮัลโหลลลลล”
เป็นไทกับองอาจตกใจมองหน้ากัน เป็นไทไม่รู้จะทำไงนอนพับไปกับโซฟาทันที นับดาวเดินเข้ามา
“ได้ข่าวว่าคุณองอาจเกิดอุบัติเหตุเหรอคะ เป็นอะไรมากรึเปล่า”
นับดาวเห็นเป็นไทนอนกับพื้น
“อ้าวคุณไทนี่”
องอาจยิ้มแหยๆ
“แกเพลียน่ะครับ สงสัยจะทำงานหนัก หลับเป็นตายเลยดูสิ”
นับดาวมองเป็นไทที่หลับอยู่กับโซฟา สงสัยเหมือนกัน องอาจรีบเปลี่ยนเรื่อง
“อย่าไปสนใจแกเลยครับ สนใจผมดีกว่า ผมคนป่วย”
“ไปโดนอะไรมาคะเนี่ย ช้ำไปทั้งตัวเลย”
“หึ หึ โดนลูกหลงจากเด็กช่างกลตีกันน่ะครับ”
“โห…โชคร้ายจังเลยนะคะ”
นับดาวคุยกับองอาจ แต่ก็เหลือบตาไปมองเป็นไทเป็นระยะ เป็นไทแกล้งกรนเพื่อให้เนียนขึ้น องอาจขำๆ
“มีกรนด้วย ท่าทางเพลียมากจริงๆ”
นับดาวพยักหน้ารับเชื่อตามที่องอาจพูด นับดาวอยู่คุยด้วยครู่เดียวก็ลากลับไป เธอเดินจากห้ององอาจมาอย่างครุ่นคิด
“ถ้าอยากจะช่วยคุณไท...บางทีคุณองอาจอาจจะช่วยได้ก็ได้นี่”
นับดาวคิดได้ก็ยิ้ม แล้วรีบเดินกลับไปทางเก่า

เป็นไทขยับตัวด้วยความเมือย ตามร่างกาย หลังจากที่ต้องแกล้งนอนนาน
“เมื่อยไปทั้งตัวเลยเนี่ย”
“ก็ใครให้นอนท่านั้นล่ะ ก็น่าจะเมื่อยอยู่หรอก”
“เฮ้อ...”
“แล้วนี่จะหนีไปได้ซักแค่ไหนเชียวคุณไท”
เป็นไทคิดอะไรไม่ออก เขาโยกคอไปมาแก้เมื่อย แล้วนับดาวก็เปิดประตูเข้ามาอีก นับดาวพรวดพราดเข้ามา
“คุณองอาจ”
เป็นไทกับองอาจตกใจ เป็นไททำตัวแข็งค้างไว้ท่ากำลังเอามือจับท้ายทอยตัวเอง องอาจงงว่ามามุกไหน นับดาวมองๆ
“อ้าวคุณไท ตื่นแล้วเหรอคะ”
เป็นไทยังทำตัวแข็งค้างไว้ องอาจรีบช่วยแก้ตัวแทนทันที
“นี่ไม่ใช่คุณไทหรอกครับ นี่เป็นหุ่นขี้ผึ้งของขวัญจากมาดามทุสโซ่”
“ห๊ะ หุ่นขี้ผึ้ง”
นับดาวเดินวนรอบเป็นไทที่ทำตัวแข็งอยู่ เธอมองอย่างพินิจพิจารณา
“นี่หุ่นจริงเหรอ”
เธอจะเอามือจิ้มเป็นไท องอาจร้องห้าม
“อย่านะ ห้ามจับเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ”
“หุ่นขี้ผึ้งน่ะ ถ้าโดนความร้อนจากร่างกายคน มันก็จะละลายน่ะสิครับ มันจะพังหมด”
“อ๋อ...มาดามแกปั้นเหมือนมากเลยนะคะ”
“ฝีมือแกดังไปทั่วโลกอยู่แล้วครับ”
“แล้วทำไมต้องปั้นคุณไทด้วย”
“พอดีคุณไทเคยจัดงานให้มาดาม แกเลยมอบให้เป็นของขวัญ”
“แล้วนี่คุณไทตัวจริงไปไหนแล้วละคะ”
“กลับไปแล้วครับ บอกจะกลับไปนอนต่อที่บ้าน”
“แล้วหุ่นนี่”
“เดี๋ยวรอคนมายกไปครับ”
นับดาวพยักหน้า เชื่อตามที่องอาขบอก
“คุณยูกิลืมอะไรเหรอครับถึงกลับมาอีกรอบ”
“คือฉันมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ”
องอาจพึมพำ
“โอ้โห ท่าจะยาว”
เป็นไทที่เป็นหุ่นเบะหน้า องอาจรีบหาทางออก
“ผมว่าเราไปคุยกันที่อื่นเถอะครับ ผมอยากเดินยืดเส้นยืดสายพอดี”
“ก็ได้ค่ะ แต่หุ่นจะไม่หายใช่มั้ย”
“ไม่มีใครเอาหรอกครับ ไม่ต้องห่วง”
องอาจพานับดาวเดินออกไปนอกห้อง เป็นไทถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนั่ง คอเคล็ดขยับไม่ได้ คอต้องค้างไว้ท่าเดิม
“ณ จุดนี้ ยาวแล้วเรา”

องอาจกับนับดาวเดินคุยกันที่สวนของโรงพยาบาล
“คุณยูกิมีอะไรเหรอครับ” องอาจถามอย่างแปลกใจ
“คุณองอาจพอจะรู้มั้ยคะว่าคุณไทเค้ามีศัตรูที่ไหนบ้าง”
“ถ้าพวกคู่แข่งทางธุรกิจก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาครับ”
“เรามองว่าธรรมดา เขาอาจกำลังทำอะไรไม่ธรรมดาอยู่ก็ได้นะคะ”
“คุณยูกิหมายความว่ายังไงครับ”
“เอาเป็นว่าคุณองอาจช่วยๆเตือนคุณไทให้ระวังตัวหน่อยนะคะ ฉันเป็นห่วง ฉันพยายามเตือนเค้าแล้วแต่เค้าไม่สนใจเลยค่ะ”
“ครับผมจะช่วยเตือนอีกแรง”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“แล้วแฟนคุณไปไหนซะละครับ ไม่เห็นหน้านานเลย”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ผมว่าเรื่องคุณไท คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมดูแลให้ได้ แต่ผมว่าคุณน่าจะไปอยู่กับแฟนคุณให้มากๆนะครับ ทุกคนจะได้ปลอดภัย”
“คืออะไรคะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เป็นห่วงชีวิตคู่ของคุณก็เท่านั้นเอง แหะแหะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าลืมบอกคุณไทนะคะ...แล้วก็บอกด้วยว่าระวังคนใกล้ตัว”
“ครับ ระวังกันจะแย่แล้วครับ แหะ แหะ”

นับดาวถอนหายใจด้วยความเป็นห่วงเป็นไท องอาจกลับมองนับดาวด้วยความหวาดระแวงมากกว่า

อ่านต่อหน้า 3



ฉันรักเธอนะ  ตอนที่ 9 (ต่อ)

องอาจเดินกลับมาที่ห้อง เป็นไทกลับไปแล้ว พบแต่วราพรรณกำลังนั่งปอกผลไม้อยู่

“ไม่ยักรู้ว่าคุณก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน”
“หลงตัวเอง ที่ฉันมาเพราะเห็นแก่มนุษยธรรมต่างหาก”
“ถึงขั้นปอกผลไม้รอนี่ไม่ใช่แค่มนุษยธรรมล่ะมั้ง เค้าเรียกว่ามีใจ”
“ปากอย่างนี้น่าฝากมีดไว้จริงๆเลย”
วราพรรณทำท่าจะเสียบ องอาจร้องลั่น
“เฮ้ย ๆอย่าเล่นบ้าๆ เดี๋ยวผีผลัก”
วราพรรณลอยหน้าลอยตาไม่รู้ชี้ กินผลไม้ที่ปอกไว้
“อะไรกันมาเยี่ยมเค้าแล้ว ของเยี่ยมสักอย่างก็ไม่มีแถมยังมากินของเค้าอีก”
“งั้นก็เอาไปกินต่อสิ ฉันไม่ถือ คิดว่าของตัวเองแล้วกัน”
วราพรรณยื่นจานผลไม้ให้ องอาจรับมานั่งที่เตียง บ่นกับตัวเองเบาๆ
“งั้นที่กินไปผมก็ถือว่าทำบุญเหมือนกัน”
“หาว่าฉันเป็นสัมภเวสีเหรอ”
วราพรรณเข้ามาล็อกแขนองอาจด้วยความโกรธ องอาจร้องเสียงหลง จานผลไม้ตกลงพื้น
วราพรรณตกใจ รีบปล่อยตัวองอาจถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันขอโทษ ฉันลืมไป เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผมไม่เป็นไร แต่เสียดายอดกินผลไม้อร่อยๆ ที่คุณปอกเลย”
องอาจทำเสียงอ้อนเต็มที่ วราพรรณเซ็ง แต่ก็ปอกผลไม้ให้ใหม่ ไม่นานนักก็ยื่นผลไม้ที่ปอกเสร็จจานใหม่ให้ องอาจที่นั่งรออยู่
“งั้นก็รีบกินซะ ฉันจะได้กลับ”
วราพรรณทำท่าจะกลับ องอาจหยิบผลไม้ขึ้นมา ทำแกล้งทำหล่น
“โอ๊ย”
“เป็นอะไรอีก”
“เจ็บแขนสงสัยแผลจะอักเสบ”
วราพรรณรู้ทัน
“จะให้ฉันป้อนใช่มั้ย”
“ผมไม่กล้าหรอกครับ แค่คุณปอกให้ผมก็เกรงใจแย่แล้ว”
องอาจหยิบผลไม้ขึ้นมากิน ก่อนจะแกล้งทำตกอีก
“โอ๊ยแย่จริง ๆ เลย จู่ ๆแขน ก็ไม่มีแรง ไม่รู้จะพิการหรือเปล่า”
วราพรรณทำหน้าเซ็ง มานั่งข้าง ๆ องอาจแล้วป้อนผลไม้ให้
“กินซะ แล้วก็เลิกสำออยซะที ไม่งั้นนายได้พิการจริงๆแน่”
องอาจแอบยิ้ม ก่อนจะกินผลไม้ที่วราพรรณป้อนให้

นับดาวเดินหน้ายุ่งเข้ามาโยนกระเป๋าลง นั่งที่โซฟา รจนาเดินออกมาจากครัวเห็นเข้าทักขึ้น
“เป็นอะไรไป ทำหน้ายังกับแบกโลกไว้ทั้งโลก”
นับดาวเหม่อ หลุดปาก
“มันยิ่งกว่านั้นอีกย่า ถ้าเขาคนนั้นเป็นอะไรไป ฉันคงอยู่ไม่ได้”
“ฮึ!! เขาคนนั้น เขาคนไหน”
นับดาวสะดุ้งรู้สึกตัว
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ย่า”
“นี่ฉันไม่ได้หูดับเหมือนแกนะ นี่ริมีแฟนเหรอ ใครกันบอกมาเดี๋ยวนี้”
“ใครจะมาชอบผู้หญิงโลโซอย่างฉันล่ะ ย่า...ฉันคงไม่มีพอสำหรับใครหรอก”
“โธ่ นับดาว ใครไม่รักแก ย่ารักของย่าเองก็ได้”
รจนาาคว้าตัวนับดาวไปกอด
“จำไว้นะ นับดาว ถึงแกไม่มีใคร แกยังมีย่าอยู่ ย่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่ย่ารักหรอก”
นับดาวได้ยินที่ย่าพูดแล้ว ฉุกใจคิดขึ้นมา ตาเป็นประกาย
“จริงด้วย หนูจะไม่มีวันยอมให้คนที่หนูรักโดนทำร้ายเหมือนกัน”
นับดาวรีบลุกขึ้น คว้ากระเป๋า แล้วรีบวิ่งออกไป
“หนูไปก่อนนะย่า”
“อะไรกัน มาเร็ว เคลมเร็วเหลือเกินนะแก”
ย่ามองตามนับดาวงงๆ

วราพรรณประคององอาจไปที่เตียง พลางถามด้วยความสงสัย
“แล้วนี่นายไม่สงสัยบางเหรอ พวกที่ทำร้ายนายเป็นใคร”
“ไม่สงสัย” องอาจตอบทันที
“แสดงว่ามีศัตรูเยอะ”
“ไม่เกี่ยวกับผมหรอก น่าจะเกี่ยวกับยูกิมากกว่า”
วราพรรณตกใจตาโตอยากรู้ขึ้นมาทันที
“หาว่าไงนะ นายหมายถึงเรื่องที่ยูกิตัวจริงถูก ลักพาตัวงั้นเหรอ”
องอาจงง
“ตัวจริงอะไร...แล้วใครถูกลักพาตัว”
วราพรรณรู้ว่าหลุดปากรีบกลบเกลื่อน
“ปละเปล่า ฉันก็พูดไปเรื่อย แล้วนายรู้มั้ยยูกิมีศัตรูที่ไหนบ้าง”
“แล้วคุณอยากรู้ไปทำไม”
“ฉันเป็นนักข่าว ตอบมาเถอะหน่า”
องอาจพยายามคิด แล้วส่ายหน้า
“ก็ไม่น่าจะมีนะ เพราะนาน ๆ ยูกิมาเมืองไทยที หรือถ้ามีก็คงอยู่ญี่ปุ่นมั้ง”
“แล้วคอนเสิร์ตครั้งนี้มีใครได้หรือเสียผลประโยชน์อีกมั้ย นอกจากคุณสังวรณ์เจ้านายฉัน”
องอาจแปลกใจ
“คุณสังวรมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ฉันก็พูดไปเรื่อย”
“ก็ไม่น่าจะมีมั้ง นอกจาก...ซีซี”
“ซีซีทำไม”
“ก็พอมีคอนเสิร์ตยูกิ คอนเสิร์ตซีซีก็ถูกยกเลิกหมด แถมยังโดนแบนจากต้นสังกัดทั้งที่เมืองไทยและญี่ปุ่นด้วย”
“เรื่องอะไร ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ต้นสังกัดที่เมืองไทยจับได้ว่าซีซีอยู่เบื้องหลัวกลุ่มแอนตี้แฟนยูกิที่ญี่ปุ่น ก็เลยสั่งแบนและปิดข่าวเรื่องนี้เพราะกลัวเสียชื่อเสียงถึงประเทศไทย”
“มิน่าล่ะ อยู่ดีๆ ซีซีถึงแถลงข่าวยกเลิกคอนเสิร์ตทั้งหมดเพราะปัญหาสุขภาพที่แท้ก็ถูกกดดันเรื่องนี้นี่เอง”
วราพรรณเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น...

ยูกิยืนเหม่อเศร้าอยู่ริมทะเล เธอคิดถึงช่วงเวลาที่ถูกยามาดะหอมแก้ม แล้วส่ายหน้าไม่อยากนึกถึง
“คนบ้า ทำไมฉันต้องนึกถึงเรื่องบ้าๆ ของนายด้วยนะ”
ยูกิถอนใจ แล้วเดินกลับมาที่บ้าน แล้วชะงักมองเห็นที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน มีชุดอาหารญี่ปุ่นเซทข้าวางอยู่เป็นเซทสวยงาม บนโต๊ะอาหาร
ยูกิมองอึ้งนึกไม่ถึง แล้วเห็น แผ่นกระดาษโน้ตที่แปะไว้ เขียนว่า
“SORRY”
พอจะนึกรู้ว่าเป็นฝีมือของยามาดะ เลยปึ่งโกรธงอนขึ้นมา
“ซอรี่ ...ขอโทษเหรอ ...”
ยูกิฉีกกระดาษโน้ทเป็นชิ้นๆ ทิ้งไป แล้วจัดการเอาอาหารบนโต๊ะไปเททิ้งที่ถังขยะ ยามาดะที่แอบดูอยู่ ซึมจ๋อยไปถนัด

ยูกิระบายอารมณ์อย่างเซ็งๆ
“ฮึ นึกว่ามาเอาใจเล็กๆน้อยๆ แล้วฉันจะลืมทุกอย่างได้เหรอ ฉันไม่มีวันให้อภัยนายหรอก”
“ฉันรู้แล้ว”
เสียงยามาดะดังขึ้น ยูกิตกใจหันกลับไป เห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าอาวุธ แล้ววางกระเป๋าลงที่โต๊ะแถวนั้น เมื่อเปิดออก ยูกิข้างใน มี ปืน มีดสั้น มีดยาวแบบต่างๆ วางอยู่เต็มไปหมด
“อยากให้ฉันตายแบบไหน เธอก็เลือกมาเลย”
ยามาดะจ้องตายูกิจริงจัง ยูกิอึ้งไม่เข้าใจ
“นี่มันอะไรกัน”
“ถ้าเธอไม่ต้องการคำขอโทษของฉัน ฉันก็จะชดใช้ให้เธอด้วยชีวิตไงล่ะ”
“ยามาดะ!”
“เลือกสิ ยืนเฉยอยู่ทำไม”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นฆาตกร”
“ถ้าเธอไม่กล้า ฉันจัดการเองก็ได้”
ยามาดะหยิบปืนขึ้นมาทำท่าจะยิงตัวเอง ยูกิร้องลั่นรีบเข้าไปห้าม...
“อย่านะ นายจะบ้าเหรอ”
“ฉันทำให้เธอเสียใจ ฉันสมควรตาย”
ยูกิทนไม่ไหวตบหน้ายามาดะไปฉาดใหญ่
“ฉันไม่นึกเลยว่านายจะ งี่เง่าแบบนี้”
“ถ้าเธอไม่พูดกับฉัน ทำเหมือนฉันเป็นอากาศที่ไม่มีตัวตน มันก็ไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้วหรอก”
ยูกิอึ้ง
“ฉันทำให้เธอได้ทุกอย่างเลยนะ ยูกิ ขออย่างเดียว กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”
ยูกิมองยามาดะที่มองมาด้วยสายตาจริงใจแล้ว อึ้งไปอีก แล้วเธอก็ทำเป็นไม่สนใจเดินหนีออกไป ยามาดะมองตามไปอย่างตัดพ้อ
“ยูกิ”
ยูกิชะงักแล้วพูดขึ้นทั้งๆที่หันหลังให้
“มัวแต่เรียกอยู่นั่นแหละ มาเป็นเพื่อนเล่นน้ำทะเลหน่อยสิ”
ยามาดะอึ้ง แปลกใจ
“ฮะ”
ยูกิหันกลับมามอง ทำดุ
“ยังยืนเฉยอยู่อีก”
“เธอหายโกรธฉันแล้วเหรอ”
ยูกิยิ้มๆ
“ฉันบอกว่าชวนเพื่อนไปเล่นน้ำทะเลไง เพื่อนก็แปลว่าเพื่อนสิ”
ยามาดะ ดีใจ กระโดดตัวลอย
“ไชโย ยูกิหายโกรธฉันแล้ว”
ยูกิยิ้มเขินๆ แล้วหันวิ่งไปที่ทะเลอย่างร่าเริง ยามาดะวิ่งตามลงไป เล่นน้ำกัน สาดน้ำใส่กัน ยิ้มแย้ม เล่นแกล้งกันอย่างสนุกสนาน ทั้งคู่มองกันด้วยสายตาที่รู้สึกดีๆต่อกัน

ค่ำนั้นวราพรรณ กำลังง่วนอยู่กับจอคอม search หาข้อมูลทุกอย่างของซีซี
“เป็นคนไทยที่ไปโกอินเตอร์ที่ญี่ปุ่น นิสัยเสียมากเลยไม่มีคนอยากจ้าง แม่เป็นชาว บ้านธรรมดา เลยไม่เคยเอ่ยถึงแม่ พยายามอัพตัวเองให้ดูไฮโซ นิสัยแบบนี้เองถึง เป็นดาวร่วง”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาได้”
นักข่าวคนนึงถือซองเอกสารมาให้
“นี่ข้อมูลส่วนตัว และการติดต่อทุกทางทั้งอีเมล์ เบอร์โทร เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ที่อยู่เพื่อนสนิท คนรู้จัก ผู้จัดการ...”
“เออ พอแล้ว ไม่ต้องบอกละเอียดขนาดนี้หรอก ฉันเปิดอ่านเองได้ ไปได้แล้ว”
นักข่าวหน้าจ๋อยๆเดินออกไป วราพรรณยิ้ม
“เป็นเจ้านายคนนี่ดีจังวุ้ย พูดอะไรใครก็เกรงใจ หุหุ”
วราพรรณเปิดอ่านเอกสารที่ได้มา

นับดาวเดินขึ้นมาบนบ้าน ได้ยินเสียงรจนาร้องเพลงลูกกรุงโหยหวนมาจากห้องที่แง้มประตูอยู่ เธอมองผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่ เห็นรจนาแต่งชุดราตรีเต็มสูบ และร้องอยู่บนเตียงประหนึ่งเป็นเวทีคอนเสิร์ต นับดาวมองแล้วถอนหายใจไม่กล้าทำอะไรที่จะดับฝันย่า
นับดาวเดินเข้ามาในห้องพระ เธอพนมมืออธิษฐาน
“หนูรู้ว่าสิ่งที่หนูทำมันไม่ดี แต่ถ้ามันทำให้คนอื่นเขามีความหวัง มีความสุข หนูก็ไม่รู้จะทำยังไง หนูอยากให้ทุกคนมีความสุขต่อไป ส่วนกรรมทั้งหมดขอให้มันมาตกที่หนูเอง แล้วบุญที่หนูทำดีมาขอให้ทำให้คุณเป็นไทผ่านเรื่องร้ายๆไปได้ด้วยดี คุณยูกิปลอดภัย และหาตัวเธอเจอเร็วๆ ก่อนที่อะไรมันจะแย่ลง สาธุ...”
นับดาวเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง เธอรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังทำอยู่

เป็นไทเดินออกมาที่ระเบียงห้อง เขาชะโงกไปดูรอบๆเพื่อความปลอดภัย
“น่าจะปลอดภัยนะ อยู่สูงขนาดนี้มันไม่น่าจะถึงขั้นจ้างสไนเปอร์นะ”
เป็นไทมานั่งทอดอารมณ์ต่อที่ริมระเบียง เขาคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ที่เจอ นึกถึงตอนที่โดนดาวกระจายจู่โจม แล้วนับดาวบอกว่าเป็นห่วงเขา เป็นไทยิ้ม สุขใจ ขณะกำลังอารมณ์โรแมนติก ลมก็พัดแจกันบนโต๊ะล้มลงส่งเสียงดัง เป็นไทสะดุ้งเฮื้อก รู้สึกไม่ปลอดภัยทันที
“เฮ้ย...” เป็นไทมองซ้ายขวา ระแวดระวัง “อะไรวะ แค่คิดถึงก็ไม่ได้เลยรึไง มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”
เป็นไทรีบเดินเข้าบ้านอย่างระแวง

วันใหม่...นับดาวพลิกดูข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากวราพรรณ ก่อนจะพูดสรุปเรื่องทั้งหมด
“ฉันว่าเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วฉันจะไปบอกคุณเป็นไท”
นับดาวผลุนผลันลุกขึ้นออกไป วราพรรณตกใจรีบตามไป
“เฮ้ย! ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ”
“แล้วจะปล่อยให้ยูกิตกอยู่ในอันตราย งานคอนเสิร์ตคุณเป็นไทพังไม่เป็นท่าได้ไง”
“แต่ถ้าแกบอกคุณเป็นไทก็ต้องรู้สิว่าแกเป็นตัวปลอม”
นับดาวชะงักไป
“เออจริง”
“แล้วไหนจะเรื่องงานฉันงานแก มีหวังได้พังกันหมดแน่”
“แล้วแกจะปล่อยให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย ต้องมาเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัวของเราสองคนเหรอ ฉันทนโกหกใครต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“แล้วแกคิดเหรอว่าจะมีคนเชื่อเรื่องที่แกพูดเหรอหลักฐานสักอย่างก็ไม่มี เผลอๆ จะถูกเหมาว่าเป็นพวกเดียวกับยัยซีซีด้วย”
นับดาวอ่อนลง
“นั่นสิ ฉันก็ลืมคิดข้อนี้ไป”
วราพรรณปลอบ
“เรื่องนี้มันใหญ่เกินตัวเรา แถมีคนหลายคนมาเกี่ยวข้องด้วย ทำอะไรต้องรอบคอบ จะใช้อารมณ์อย่างนี้ไม่ได้”
“แต่จะให้ฉันนั่งเฉยๆโดยไม่ทำอะไร ฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน” นับดาวตัดสินใจแน่วแน่ “ยังไงก็ต้องบอกให้คุณเป็นไทรู้ ส่วนเค้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเค้า”
นับดาวพูดเสร็จเดินออกไปอย่างเด็ดเดี๋ยว วราพรรณรีบตามไป
“เฮ้ย นับดาว เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน รอฉันด้วย”

เป็นไทกำลังขับรถเล่นอยู่ เสียงมือถือดังขึ้น เขาหยิบมาดู พอเห็นว่าเป็นชื่อยูกิ ก็ลำบากใจ เขาครุ่นคิดในใจ
‘ฉันไม่ดีเองที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เธอหรือใครต้องลำบากใจเพราะเรื่องนี้อีก’
เป็นไทตัดใจ วางมือถือลงที่เดิมปล่อยให้เสียงเรียกดังจนขาดหายไป
นับดาวปิดมือด้วยความผิดหวัง วารพรรณเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ว่าไง”
“เค้าไม่ยอมรับสาย”
“นั่นไง แสดงว่าเจ้าตัวเค้าไม่อยากรู้ จะมาว่าเราทีหลังไม่ได้”
“ฉันจะไปหาเค้าที่คอนโด”
“ยังไม่หายบ้าอีกงั้นเชิญแกไปคนเดียวแล้วกัน ฉันไม่เอาด้วยแล้ว”
วราพรรณเซ็ง

วราพรรณขับมอเตอร์ไซด์เลี้ยวออกมาตามทางๆหนึ่ง แล้วมือถือก็ดังขึ้น เธอจอดรถหยิบมือถือมาดูเห็นหน้าจอชื่อคนที่โทรมา “ไอ้เกย์” ก็รับแบบเซ็ง ๆ
“โทรมาทำไม”
“คุณเป็นญาติของคนไข้ชื่อองอาจใช่มั้ยครับ”
“ไม่ใช่ญาติ ขนาดรู้จักยังไม่อยากรู้จักเลย”
“แต่ผมติดต่อใครไม่ได้จริง ๆ คือตอนนี้เค้าอาการโคม่าน่ะครับ หมอต้องการคนเซ็นรับรองเพื่อผ่าตัดด่วน”
วราพรรณตกใจ
“หาว่าไงนะ ได้...เดี๋ยวฉันจะรีบไป”
วราพรรณรีบขับมอเตอร์ไซด์ออกไป

องอาจรับมือถือคืนจากรปภ.ของโรงพยาบาล พร้อมกับส่งเงินให้หนึ่งร้อยบาท
“ขอบใจมากนะพี่”
รปภ.รับเงินแล้วเดินไป องอาจพูดกับตัวเอง
“ชอบกวนประสาทดีนัก ต้องแกล้งซะให้เข็ด”
องอาจยิ้มกับตัวเอง

วราพรรณรีบวิ่งอย่างร้อนใจมาตามโถงหน้าห้อง ผลักประตูเข้ามาในห้อง พลางถามอย่างร้อนใจ
“ฉันมาแล้วคนไข้เป็นยังไงบ้าง...”
วราพรรณพูดไม่ทันจบก็เห็นองอาจยังใส่ชุดโรงพยาบาล ยืนอยู่ริมหน้าต่างหันมายิ้มแต้ ทักทาย
“อ้าว เธอเองเหรอ”
วราพรรณงงๆ
“ก็ไหนโรงพยาบาลบอกว่านายโคม่า”
องอาจทำหน้าซื่อ
“เปล่านี่ สงสัยมีเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่า”
“แต่มีคนโทรมาบอกฉัน แถมเบอร์ที่โชว์ก็เป็นเบอร์นาย”
องอาจยิ้มล้อๆ
“นั่นแน่ เดี๋ยวนี้เมมเบอร์ผมไว้ด้วยเหรอ”
วราพรรณไม่พอใจแกล้งกลบเกลื่อน
“ฉันจะได้รู้ไงเวลานายโทรมาจะได้ไม่รับ”
“แต่คุณก็รับแถม แถมยังมาหาผมเพราะความเป็นห่วงอีกต่างหาก”
วราพรรณโกรธ
“หมายความทั้งหมดเป็นแผนนายใช่มั้ย”
“นี่คุณอย่ามาใส่ร้ายกันสิ”
“ถ้านายไม่รู้เค้าจะใช้เบอร์นายโทรมาได้ไง”
องอาจแก้ตัว
“ก็แบตผมหมดฝากให้รปภ.ช่วยชาร์ตให้สงสัยสลับกับเครื่องคนอื่นมั้ง”
“โกหก”
วราพรรณเข้าไปล็อกแขนข้างหนึ่งขององอาจไว้ด้านหลัง ก่อนจะเตะเขาจนทรุดลงไปกองกับพื้น องอาจร้องเสียงหลง
“โอ๊ยๆ อย่าทำผม รู้อย่างนี้ตอนนั้นปล่อยให้พวกไอ้โม่งรุมโทรมซะก็ดี ไม่น่าไปช่วยเลย”
“ฉันต่างหากที่ช่วยนาย”
วราพรรณบีบแขนหนักขึ้นไปอีก องอาจเจ็บ
“แต่ถ้าผมไม่เข้าไปป่านนี้คนที่เจ็บอาจจะเป็นคุณก็ได้ แล้วไหนจะเรื่องซีซีอีก ถ้าผมไม่ช่วยคุณ คุณก็คงทำงานไม่สำเร็จ”
วราพรรณได้ยินชื่อซีซีก็ตกใจรีบปล่อยแขนองอาจ
“นี่นายรู้ความจริงหมดแล้วเหรอ รู้ได้ไง ใครบอก”
องอาจเจ็บแขนลุกขึ้นตอบ
“คุณนั่นแหละบอก เล่นซักข้อมูลซะละเอียดยิบ ถ้าไม่เอาไปทำงานแล้วจะเอาทำอะไร”
วราพรรณโล่งอก
“แล้วไป คิดว่ารู้เรื่องอะไรซะอีก”
องอาจสงสัย
“คุณมีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า”
“ไม่มี ไม่ใช่เรื่องของนายอย่าถามมากอารมณ์เสีย”
วราพรรณทำท่าจะเดินออกไป องอาจแกล้งล้ม
“โอ๊ย”
วราพรรณทำหน้าเซ็งหันมา
“อยากโดนซ้ำใช่มั้ย”
องอาจแกล้งกลัว
“โอ๊ย กลัวๆ ผมต้องโทรบอกคุณซีซีเรื่องที่คุณซักประวัติเธอแล้ว เธอจะได้ระวังตัว”
“เฮ้ย...อย่านะ”
“นั่นแน่ แสดงว่ามีความลับจริงๆด้วย เอาเป็นว่าผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีกก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนโอเคมั้ย”
วราพรรณเซ็ง องอาจแอบยิ้มเป็นต่อ

วราพรรณเข็นรถเข็นให้องอาจนั่งอย่างสบายใจทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย วราพรรณพูดเซ็งๆ
“คราวนี้พอใจหรือยัง”
“ยัง เพราะต่อไปนี้ถ้าผมโทรเรียกคุณเมื่อไหร่คุณก็ต้องมา”
วราพรรณโกรธ
“อย่างนี้มันจะมากไปแล้ว”
องอาจแกล้งยิบมือถือขึ้นมาโทร วราพรรณร้องห้าม
“คุณซีซีครับมีคนตามเช็กประวัติคุณครับ”
วราพรรณแค้นๆ
“ก็ได้ๆ รอให้ฉันเสร็จงานนี้ก่อนเถอะเราได้เห็นดีกันแน่”
องอาจขำ
“แต่ผมกลัวว่ากว่าจะถึงวันนั้นคุณจะหลงรักผมซะก่อน”
“ไอ้บ้า ไม่มีทาง”
วราพรรณเขิน ทำกร้าวใส่ องอาจยักคิ้วเป็นต่อ แล้วสั่ง
“เย็นนี้อยากกินขนมจีบ ออกตังค์ให้ด้วยนะ”
องอาจลุกขึ้นเดินออกไปได้อย่างหน้าตาเฉย กวนประสาท วราพรรณมองตามขุ่นใจ
“ไอ้เกย์ตัณหากลับ...ฝากไว้ก่อนเถอะ"

นับดาวเดินมาอย่างเหงาๆ เศร้าๆอยู่ที่สวนสาธารณะ เธอตามหาเป็นไทไม่เจอแล้วทรุดนั่งที่มุมหนึ่ง
ถอนหายใจเฮือก ขณะเดียวกันนั้น เสียงมือถือดังขึ้น เธอหยิบมากดรับสาย...วราพรรณกลับจากการออกไปซื้อขนมจีบ ถือถุงขนมจีบเดินมาพูดมือถือกับนับดาวที่มุมหนึ่ง
“เป็นไงแก คุณเป็นไทเขาว่ายังไงบ้าง”
“ฉันยังไม่เจอเขาเลย”
“อ้าว”
“ฉันไปตามเขาทั้งที่คอนโดแล้ว รออยู่ตั้งนานเขาก็ยังไม่กลับมาเสียที”
“ที่โรงพยาบาล คุณเป็นไทก็ไม่ได้มานะ”
“รู้ได้ไง แกไปหาคุณองอาจเหรอ”
วราพรรณเสียงสูงขึ้นมา ร้อนตัว
“เปล้าว...ใครจะไปหาไอ้เกย์บ้าอย่างนั้นล่ะ ฉันแค่เดาเอา แกไม่ต้องสนใจหรอก รีบกลับบ้านไปพักเถอะ”
“ไม่...ฉันไม่มีทางเปลี่ยนใจ ยังไงฉันต้องพบคุณเป็นไทให้ได้”
“ฉันไม่ได้บอกให้แกเปลี่ยนใจ ฉันแค่บอกให้แกเปลี่ยนสถานที่”
“ว่าไงนะ”
“พรุ่งนี้คุณเป็นไทเขาก็ไปทำงานไม่ใช่เหรอ เราก็ไปพบเขาที่ออฟฟิสสิ...เพื่อนรัก”
“เออ...จริงด้วย แหมเรื่องแค่นี้ทำไมฉันคิดไม่ออกนะขอบใจมากนะ นุ้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน”
นับดาววางสาย ยิ้มออกมาได้

สายๆของวันใหม่...ซีซีเดินมามองออฟฟิศเป็นไท แววตามุ่งมั่น
“ฉันขอดูหน้ายายยูกิที่พวกแกพูดถึงหน่อยเถอะ อยากรู้นักว่าไอ้คนที่อยู่ที่นี่หรือไอ้คนที่อยู่กับฉันกันแน่ที่เป็นตัวปลอม”
ซีซีจะเดินเข้าไปในออฟฟิศเป็นไท แต่วราพรรณเข้ามาขวางไว้ซะก่อน
“จะไปไหนคะ คุณซีซี”
“แกเป็นใคร”
“คุณนั่นแหละ มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันจะมาทำไมแล้วเกี่ยวอะไรกับแก”
“ฉันเป็นบก.หนังสือพิมพ์บันเทิง ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวฉันก็เขียนข่าวคุณได้ แต่จะเขียนข่าวให้ดีขึ้นหรือแย่ลง มันก็อยู่ที่ความพึงพอใจของฉัน”
ซีซีหน้าเหวอ
“บก.เลยเหรอ” ซีซีรีบเปลี่ยนท่าทางทันที ยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ หวังว่าคุณคงเอ็นดูซีซีนะคะ”
“มือไม้อ่อนขึ้นมาเลยนะ”
“ปกติซีซีก็เป็นคนมีสัมมาคารวะอยู่แล้วค่ะ”
“สัมมาคารวะแบบไหน เมื่อกี้นี่แทบจะเหยียบหัวกันอยู่แล้ว”
ซีซีจ๋อยไป
“คือวันนี้ ฉันมาหาไอยูกิน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ ไม่มี ไม่อยู่”
วราพรรณยังพูดไม่ทันขาดคำเลย นับดาวก็เดินเข้ามา
“เฮ้ย...นุ้ย มาถึงเร็วจังเลย”
วราพรรณหน้าเสีย ซีซีหันไปตามเสียงที่ส่งมา เห็นนับดาวก็ตกใจ นับดาวเองก็ตกใจเหมือนกัน
“ยูกิ นี่แกจริงๆ”
“ซีซี...”
วราพรรณกับนับดาวมองหน้ากันไม่รู้จะเอาไงดี นับดาวแก้เก้อไปด้วยการพูดภาษาญี่ปุ่น
“โอไฮโย โกไซมัส”
“แกเป็นตัวปลอมใช่มั้ย”
นับดาวพูดสำเนียงญี่ปุ่นเว่อร์
“ตัวปลอมอะไรคะ ไม่เข้าใจ”
“แกจะเป็นตัวจริงไปได้ยังไงล่ะ แล้วที่ฉันจับขังไว้ที่เกาะจะเป็นใคร”
วราพรรณกับนับดาวมองหน้าซีซี นับดาวพูดสำเนียงญี่ปุ่นเว่อร์ๆ
“หมายความว่า...”
“ไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้”
ซีซีวิ่งเตลิดออกไป นับดาวกับนุ้ยมองหน้ากัน
“คราวนี้เอาไงต่อดี”
วราพรรณถอนใจ
“เรื่องซีซีไว้ก่อน เอาวันนี้ให้รอดก่อนเถอะ”
นับดาวกับวราพรรณมอง พยักหน้าให้กัน

ซีซีตกใจที่เห็นยูกิอีกคน เธอแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ซีซีโทรหายามาดะทันที
“นี่...ยายยูกิยังอยู่กับแกที่เกาะรึเปล่าน่ะ”
ยามาดะกำลังทำกับข้าวไป คุยโทรศัพท์ไป
“นี่อะไรอีกเนี่ย บอกว่าอยู่ก็อยู่สิ”
ยูกิเดินเอาเสื้อผ้าที่ซักรีดมาให้ยามาดะ
“นี่เสื้อผ้าคุณนะ”
เสียงยูกิรอดเข้าไปในโทรศัพท์
“นั่นเสียงมันเหรอ”
“คุณคิดว่าบนเกาะมีคนอื่นอยู่อีกรึไง เขาก็ทำงานบ้านอย่างที่คุณสั่งนั่นแหละ”
ซีซีสับสน
“มันยูกิตัวจริงรึเปล่า”
“อะไรของคุณ”
“ตอบมาสิ แกแน่ใจนะว่านั่นเป็นยูกิตัวจริง”
“ผมคือคนที่รู้เรื่องยูกิที่สุด ผมไม่เคยคลาดสายตาจากเธอ แล้วคุณอย่าลืมว่าผมเป็นยากูซ่ามืออันดับต้นๆ คุณคิดว่าผมจะจับคนผิดมารึไง คุณก็เห็นว่ายูกิตัวจริง”
“เออ งั้นก็แค่นี้แหละ ดูแลมันอย่าให้คลาดสายตาล่ะ”
ซีซีวางโทรศัพท์ ยามาดะงงๆกับซีซี
“มีอะไรเหรอ”
ยามาดะเขินยูกิ
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ยามาดะก้มหน้าก้มตาทำกับข้าวต่อ ยูกิมองยามาดะยิ้มๆ ทางด้านซีซีวางโทรศัพท์แล้วครุ่นคิด
“ถ้านั่นตัวจริง แล้วนี่เป็นใคร...ฉันต้องรู้ให้ได้เลยคอยดูสิ”

ซีซีเครียดจัด

อ่านต่อหน้า 4



ฉันรักเธอนะ  ตอนที่ 9 (ต่อ)

วราพรรณยืนรอแพรวไพลินอยู่ที่หน้าออฟฟิศ แพรวไพลินเดินเฉิดฉาย เสื้อผ้าหรูไฮเข้ามา

“นี่แต่งเต็มไปป่ะเนี่ย มีกาล่าดินเนอร์ต่อรึไง”
แพรวไพลินยิ้มหน้าบาน
“ยายยูกิจะหายไป ฉันก็ต้องมีฉลองชุดใหญ่เป็นธรรมดา”
“ใครจะไปรู้ แฟนคุณอาจจะชอบเพื่อนฉันมากกว่ายูกิก็ได้”
“ไม่มีทางหรอก พี่ไทไม่มีทางสนใจยายบ้านนอกนั่นหรอก อีกอย่างมันอยู่ไม่กี่วันก็โดนแฉแล้วแยกย้าย ยิ่งไม่มีทางใหญ่”
วราพรรณยิ้มดูถูก
“จะคอยดู”
“ก็บอกว่าไม่มีทางไง แกนี่ยังไงเนี่ย”
เป็นไทเดินเข้ามาพอดี
“แพรวมาทำอะไรแต่เช้าน่ะ”
“พอดีว่านักข่าวจากหนังสือที่แพรวรู้จักเขาจะมาสัมภาษณ์ยูกิน่ะค่ะ”
วราพรรณรีบแนะนำตัว
“สวัสดีค่ะ ฉันวราพรรณ”
“แต่จะสัมภาษณ์ยูกิต้องนัดล่วงหน้าก่อนนะ”
“แพรวนัดเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“หึ๊...แล้วทำไมพี่ไม่รู้”
“แพรวแจ้งเลขาพี่ไทไว้แล้วนะคะ”
“แต่...”
เป็นไทจะแย้งอีก นับดาวเหมือนรู้คิวเดินเข้ามาด้วยท่าทางแบบญี่ปุ่นที่โอเวอร์กว่าปกติ
“โอไฮโยะ ค่ะทุกคน”
“เอ่อ ยูกิครับ”
“ฉันมีนัดสัมภาษณ์ใช่มั้ยคะ เลขาคุณไทโทรไปแจ้งเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นเหรอ...ถ้างั้นก็เชิญด้านในกันก่อนเลย”
เป็นไทผายมือเชิญทุกคนเข้าไปในบริษัท แล้วเดินนำไปยังห้องประชุม
“จะสัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นอะไรเหรอครับ”
“เกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นนี่แหละค่ะ”
“ถ้างั้นผมขออยู่ฟังด้วยละกันนะครับ”
แพรวไพลินกับวราพรรณพูดพร้อมกัน
“ไม่ได้ค่ะ”
เป็นไทมองงงๆ แพรวไพลินรีบบอก
“คือนักข่าวเค้าแจ้งแพรวไว้แล้ว ว่าเค้าต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาสัมภาษณ์”
เป็นไทสงสัย
“ทำไม”
วราพรรณอึกอัก
“คือ...ไม่งั้นจะเกร็ง แล้วทำออกมาไม่ดีน่ะค่ะ”
“เอางั้นก็ได้ครับ แต่ยังไงผมก็ขอดูต้นฉบับก่อนตีพิมพ์ด้วยละกัน”
“ได้ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไทไปกับแพรวนะคะ เดี๋ยวแพรวจะนวดไหล่ให้”
นับดาวมองแพรวไพลินที่ออดอ้อนเขา เป็นไทเดินออกไปกับแพรวไพลินแต่ก็ชำเลืองตามองนับดาว วราพรรณแอบมองพฤติกรรมของทั้งคู่ จนแพรวไพลินกับเป็นไทออกไปจากห้อง เธอจึงหันมาแซว
“แกชอบเค้าเหรอ”
“อะไร เปล่าซะหน่อย”
“อย่ามาโกหก ตั้งแต่ฉันรู้จักกับแกมา ไม่เคยเห็นแกมองใครด้วยสายตาแบบนั้น”
“ฉันก็มองของฉันไปเรื่อยนั่นแหละ”
“เอาเถอะ โกหกฉัน ก็โกหกหัวใจตัวเองด้วยก็แล้วกัน”
“มัวพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย เดี๋ยวก็เสียแผนกันพอดี”
“โอเค งั้นมาเริ่มแผนซ้อนแผนกันเลย”
วราพรรณเดินไปล็อคประตูห้องประชุม
“เพื่อแผนที่แนบเนียน เราจะทำการสร้างช่องโหว่”
“หืม”
“เอาเสื้อผ้าที่ฉันให้เตรียมไว้มามั้ย”
นับดาวพยักหน้า วราพรรณส่งยิ้มให้อย่างนักวางแผน

นับดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเป็นชุดที่ดูบ้านๆ ไม่หรูหรา เหมือนคนธรรมดามากว่าซุปเปอร์สตาร์ เธอเอาเสื้อผ้าชุดเก่าเก็บใส่กระเป๋า วราพรรณเตรียมกระดาษเช็ดเครื่องสำอางมาลบหน้าที่แต่งสวยๆพร้อมกับแต่งให้ดูโทรมขึ้นนิดนึง
“แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
“อะไรเรียบร้อย”
“ก็วิธีการสร้างช่องโหว่ให้สมจริงไง ไม่เชื่อแกคอยดู”
“เฮ้ย เดี๋ยว แล้วพวกเขาจะเชื่อเหรอ”
“นี่ ถ้าพวกนั้นเขาคิดว่าฉันจะบุกบริษัท ลักพาตัวซุปตาร์ได้ด้วยตัวคนเดียวละก็น่ะ มันก็โง่บรมแล้วว่ะ มันจะทำได้ไง ไม่งั้นคนก็หายไปทั่วประเทศแล้ว”
“ก็จริง”
“ถ้างั้น มันไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วเว้ย”
“เอา ว่าไงก็ว่าตามกัน”
นับดาวกับวราพรรณยิ้มให้กัน ก่อนที่ วราพรรณจะเปิดประตูห้องประชุมอกไป ตามไปด้วยนับดาว พอทั้งสองเดินออกมาจากห้องประชุม เป็นไทที่รออยู่นานก็รีบพุ่งเข้าหาทันที แพรวไพลินมองนับดาวแล้วก็หงุดหงิด เดินพุ่งมากระซิบวราพรรณ
“นี่แกลากเพื่อนขึ้นมาจากที่นอนรึไง ทำไมสภาพเป็นแบบนี้ แล้วดูซิเสื้อผ้ากระจอกแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนจับได้กันพอดี”
เป็นไทมองนับดาว
“เอ๊ะ เหมือนเมื่อกี้ยูกิไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
แพรวไพลินเซ็งเลย
“นั่นไง เห็นมะ”
“พอดีว่าเราถ่ายรูปกันนิดหน่อยเลยเปลี่ยนชุด แล้วก็อยากได้หน้าแบบสไตล์เซอร์หน่อยน่ะค่ะ เลยไม่ให้แต่งหน้าจัด”
นับดาวแสดงท่าญี่ปุ่นแบบเว่อร์มาก
“ไฮ้ ซูมิมาเซน มากๆเลยนะคะ ที่ไม่ได้บอกก่อนหน้ายูกิดูแย่มากเลยเหรอเคอะ”
แพรวไพลินกระซิบนับดาว
“ให้มันน้อยๆหน่อย แบบนี้เค้าก็จับได้พอดี”
วราพรรณแอบยิ้มที่แผนที่เธอวางไว้สำเร็จจริงๆ
“ผมว่ายูกิดูแปลกๆไปนะครับ”
แพรวไพลินตกใจ รีบแก้ตัว
“แปลกตรงไหนคะพี่ไท ปกติก็เห็นเพี้ยนอยู่แล้ว อย่าไปสนใจเลยค่ะ ไปหาอะไรทานกันดีกว่าพี่ไท”
แพรวไพลินพยายามลากเป็นไทออกไป พอแพรวไพลินกับเป็นไทออกไป นับดาวกับวรพรรณก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก
“เห็นมั้ยเป็นไปตามแผนเป๊ะ ฉันบอกแล้ว ยายแพรวนี่น่ะมีดีแค่เงินเท่านั้นแหละ”
นับดาวมองตามเป็นไทไป เธอรู้ดีว่าแพรวมีดีอีกอย่างที่เหนือเธอคือ มีเป็นไทนั่นเอง ขณะเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์วรพรรณดังขึ้น เธอกดรับสาย

สังวรณ์คุยโทรศัพท์กับวราพรรณเพื่อเช็คงาน
“เป็นไง...งานเรียบร้อยดีมั้ย”
“ก็ดีค่ะ”
“ถ้างั้นก็ดี แล้วนี่เธอเอายูกิตัวจริงไว้ไหน”
“เอ่อ…เอาไว้ บนรถตู้ค่ะ เธอสลบอยู่”
“ดี งั้นฉันขอเช็คผลงานหน่อย”
“ห๊า...มีเช็คด้วยเหรอ”
“นี่ ถึงยายแพรวมันจะโง่ ฉันก็ไม่ได้โง่เหมือนมันหรอกนะ อย่าเที่ยวเหมารวม”
วราพรรณหน้าเสีย
“ค่ะ ได้ค่ะ”
สังวรณ์วางโทรศัพท์อยางสะใจ
“คราวนี้ล่ะไอ้เป็นไท ฉันอยากจะเห็นว่าแกจะแก้ตัวกับสื่อยังไง”

วราพรรณหน้าเครียดมาก หลังจากวางสาย รีบบอกนับดาว
“เฮ้ย นับดาว แย่แล้วว่ะ”
“เรื่องอะไร”
“คุณซังวอนเค้าอยากจะเช็คว่ายูกิถูกจับจริงมั้ย”
“ถ้างั้นฉันก็ต้อง...”
วราพรรณพยักหน้า
“ใช่...”
นับดาวหน้าเหยเก

รถของสังวรณ์จอดรออยู่ที่ ลานจอดรถค่อนข้างเปลี่ยว ครู่หนึ่งมีรถตู้เข้ามาจอดตรงหน้า วราพรรณเดินออกมาจากรถตู้ ส่วนสังวรณ์ก็ลงมาจากรถ
“ขอฉันดูตัวจริงยูกิใกล้ๆหน่อย”
วราพรรณเดินไปเปิดรถตู้ นับดาวถูกมัดมือ มัดแขน มัดปาก ติดกับเบาะ พยายามดิ้นขัดขืน สังวรณ์จับหน้าดู แล้วก็เอาผ้ามัดปากออก นับดาวแอ๊บญี่ปุ่นแต่ไม่ค่อยเหมือน
“ตาสสูเกเตะ ตาสสูเกเตะ”
สังวรณ์เอาผ้าปิดตามเดิม หันมาถามวราพรรณ
“นั่นพูดว่าอะไรน่ะ สำเนียงแปล่งๆนะ”
“ก็แบบขอความช่วยเหลือน่ะค่ะ”
“เธอฟังออกด้วยเหรอ”
“ก็น่าจะประมาณนั้นนะคะ ฉันว่าเธอคงตกใจเสียงเลยเพี้ยนน่ะค่ะ”
สังวรณ์เอาหน้าเข้าไปดมใกล้ๆ
“กลิ่นตัวหอมสดชื่น จนอยากจะเอามาสกัดเป็นหัวน้ำหอม”
นับดาวทำท่ารังเกียจ วราพรรณรีบเข้ามาช่วยกัน
“คุณซังวอนอย่าลืมสัญญา ว่าจะไม่ยุ่ง จะปล่อยให้ฉันเป็นคนดูแลยูกิเอง”
“เออ ไม่ลืมหรอก ฉันก็แค่เช็คของเท่านั้นเอง...แล้วนี่จะเอาไปขังไว้ไหน”
“เกาะค่ะ”
“เกาะอะไร”
“ฉันบอกคุณซังวอนไม่ได้หรอก เพื่อความปลอดภัยของยูกิ”
สังวรณ์เซ็งๆ
“เออ จะทำอะไรก็ทำเถอะ ขอให้แผนฉันสำเร็จก็พอ”
สังวรมองนับดาวด้วยแววตาของผู้ชนะ

วราพรรณขับรถตู้มาจอดริมถนน เธอรีบวิ่งลงมาเปิดประตูเข้าไปแก้มัดให้นับดาว
“เฮ้ย แกมัดแน่นมาก ฉันแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
“ก็ต้องทำให้มันสมจริงสิวะ คราวนี้ล่ะ เราก็เป็นคนคุมเกมแล้ว”
วราพรรณยิ้มมีความสุขแต่นับดาวดูจะลำบากใจ
“มัวแต่ดีใจอยู่นั่น รีบพาฉันไปซ้อมสิ เดี๋ยวก็เรื่องใหญ่หรอก”
“เออ ใช่ๆ”
วราพรรณรีบวิ่งไปนั่งที่คนขับแล้วขับออกไป

เวทีถูกเซ็ตเรียบร้อยแล้ว ทีมงานเดินไปเดินมาเช็คเสียง เป็นไทชะเง้อรอนับดาว องอาจเดินเข้ามาถาม
“ชะเง้อคอยาวเลยนะ ไหนบอกว่าจะห่างกันซักพักกับยูกิไง”
“ผมห่วงงาน มันควรจะลองรันได้แล้ว”
“ห่วงงานเหรอ ไคคุงเค้าจะฟังมั้ยนั่น เดี๋ยวก็โดนลูกดอกปักอกเข้าจริงๆหรอก”
“แล้วนี่หายดีแล้วเหรอ”
“ผมห่วงงานกับเจ้านายมากกว่าน่ะสิ”
“น้ำตาจะไหล” เป็นไทประชด
ขณะเดียวกันนั้น นับดาวเดินกระหืดกระหอบเข้ามา
“ขอโทษทีค่ะ พอดีทำธุระเพิ่งเสร็จ...อ้าวคุณองอาจหายแล้วเหรอคะ”
“พอคุณยูกิไปเยี่ยม ผมก็อาการดีขึ้นทันทีเลย”
“เกินไปค่ะ”
นับดาวกับเป็นไทสบตากัน แต่บังเอิญว่าพอสบตากับปุ๊บ เสียงเหล็กจากการขนฉากก็ตกใส่พื้นเสียงดัง เป็นไทกับองอาจ สะดุ้งเฮื้อก นึกว่าโดนเล่นอีกแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไร แต่เป็นไทก็ตีตัวห่างกับนับดาว ไม่กล้าเข้าใกล้

เย็นนั้น นับดาวเทสเสียง อยู่บนเวที เป็นไทกับองอาจอยู่ด้านล่างเวที ทีมงานต่างวุ่นในหน้าที่ของตน เป็นไทยืนดูนับดาวอยู่ไกลๆ องอาจเดินมาแซวอีก
“อยากจะตีตั๋วดูแถวหน้ามั้ย”
“พูดอะไรของคุณน่ะ”
“น่าสงสารจริงจริ๊ง อยากดูแลใกล้ๆ แต่ก็ได้แค่มองดูอยู่ไกล เพราะกลัวอันตรายจะเกิดกับตัวเอง”
“นี่คุณหาว่าผมห่วงตัวเองมากกว่าคนอื่นเหรอ”
“ทำไมละครับ ใครก็ต้องห่วงตัวเองมากกว่าคนอื่นทั้งนั้น ไม่เห็นแปลกเลย ไอ้พวกเสียสละยอมเจ็บ ยอมตายนั่นสิแปลก”
องอาจยังพูดไม่ทันขาดคำ นับดาวก็ไปเหยียบบริเวณที่น็อตเวทีไม่แน่น ทำให้เธอเสียหลัก เซลงจากเวที เป็นไทหันไปเห็นพอดี เขารีบวิ่งสุดชีวิต เอาตัวไปรองนับดาวที่ตกลงมาจากเวที การกระแทกทำให้เขาจุกแอ่ก ทีมงานคนอื่นๆตกใจกันหมด ทั้งคู่ต่างมองตากันอย่างโรแมนติค จนคนเริ่มเข้ามามุง นับดาวไม่เป็นอะไรรีบลุกขึ้นมา ส่วนเป็นไทนอนจุกนิ่ง องอาจมองเหวอ
“นั่นไง เจอพวกแปลกยอมเสียสละเข้าซะแล้ว”
นับดาวเป็นห่วงเขา
“คุณไทเป็นอะไรรึเปล่า...คุณไท”
เป็นไทยังจุก
“คุณปลอดภัยดีใช่มั้ย”
“ค่ะ” นับดาวช่วยพยุงเป็นไทลุกขึ้น “คุณไทสิหนักเลย มาช่วยฉันทำไมคะเนี่ย อันตรายเปล่าๆ”
“มันมีอะไรที่อันตรายกว่านี้อีกครับ”
องอาจเข้ามาถาม
“คุณไทเป็นไงบ้าง”
“ห่วงเวทีที่พังมากกว่าฉันเถอะ ไม่งั้นยูกิจะตกอีก”
องอาจเห็นเป็นไทห่วงยูกิ ก็ยิ้มมุมปาก ยิ่งได้เห็นนับดาวที่ทำท่าทางห่วงเป็นไทมาก เขายิ่งยิ้ม

ค่ำนั้นองอาจ พยุงเป็นไทมาที่ห้องอย่างทุลักทุเล
“นี่มันเตี้ยอุ้มค่อมชัดๆ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาส่ง”
“ไม่มาก็ไม่ได้เห็นหน้าคนผู้เสียสละที่โคตรยิ่งใหญ่ชัดๆน่ะสิ”
“เสียสละอะไร”
“รู้ตัวว่ารักยูกิตั้งแต่เมื่อไหร่”
เป็นไทตกใจ
“ห๊า...อะไร นี่พูดอะไรน่ะ”
“ก็สิ่งที่คุณไททำวันนี้น่ะ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเค้า ถ้าไม่รักจะเรียกว่าอะไร”
เป็นไทนิ่งไป องอาจยิ้มบางๆ
“มนุษย์น่ะมีสัญชาตญาณความเห็นแก่ตัว มีคนไม่กี่คนหรอกที่จะยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้คนอื่นปลอดภัย และส่วนใหญ่เรามักจะทำแบบนั้นให้คนที่เรารัก...เหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ”
“คุณแยกสัญชาตญาณออกจากสิ่งที่ผมทำสิคุณองอาจ พอมันไม่มีเวลาคิดผมก็ทำ อะไรโดยไม่ได้คิด แต่พอมีเวลาคิดดีๆ ผมก็กลัวกับการขู่ของไคคุงจับใจ”
“จากสิ่งที่คุณไททำไปวันนี้ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วครับ”
เป็นไทมองคิดถึงตอนที่นับดาวตกมาใส่ แม้เป็นโมเม้นต์สั้นๆ แต่เขาก็ประทับใจที่ได้ใกล้ชิดกับเธอ เขาย้อนคิดถึงช่วงเวลานั้น
นับดาวนอนเหม่อคิดถึงสถานการณ์เดียวกันอยู่ในห้อง แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ทำไมเขาต้องยอมเจ็บตัวเพื่อเราด้วย...ทำไมต้องทำแบบนี้นะ รู้มั้ยว่ามันยิ่งให้ความหวังกันไปใหญ่ เพราะสุดท้ายคุณก็ไม่ชอบฉันอยู่ดี...อย่าฝันนับดาว เขาไม่ได้สนใจเราหรอก”
นับดาวพยายามข่มตาให้หลับ เพื่อดับฝัน

เช้าวันใหม่...เป็นไท เลือกผลไม้ ที่แผงอย่างใส่ใจมีความสุข เป็นไทเดินเข้ามาซื้อสั่งคนขายซื้อ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ เมื่อเดินผ่านแผงขายผัก เป็นไทชะงัก มองดอกแคร์ที่วางบนแผงงามๆ มองอมยิ้ม
ขณะเดียวกันที่บ้าน...รจนากำลังร้องคาราโอเกะ เพลงเก่าอยู่ วอร์มเสียงยามเช้า
“ความรักเอย เจ้าลอยลมมาหรือไร มาดลจิต มาดลใจ เสน่หา...”
นับดาว เดินแบบเหม่อๆแบบคน อยู่ในห้วงรัก ลงมาจากชั้นบนบ้าน เดินผ่านเข้ามาที่ย่า แล้วหยิบไมค์อีกตัว ขึ้นมาร้องกับย่าด้วย อย่างอินเลิฟ อารมณ์สุนทรีย์
“รักนี้จริงจากใจหรือเปล่า หรือเย้าเราให้เฝ้าครวญหา หรือแกล้งแต่จะแลตา ยั่วอุราให้หลงลำพอง...”
รจนามองนับดาวอึ้ง เหวอไป
“นับดาว...ผีเข้าหรือเปล่าเนี่ย”
นับดาวยังร้องต่ออย่างอินเต็มที่ รจนารีบปิดคาราโอเกะ แล้วหยิบที่ฉีดน้ำรีดผ้า ขึ้นมาฉีดใส่ นับดาวสะดุ้ง ร้องห้าม
“โอ้ย ย่า มาเล่นสงกรานต์อะไรตอนนี้”
“ไม่ได้เล่นสงกรานต์ ฉันไล่ผี”
“ผีเผลอที่ไหนล่ะย่า หนูรู้ตัวดี หนูมีสติ หนูกำลังมีความรัก”
นับดาวชะงักกึก รู้ตัวว่าหลุดปากไปแล้ว รจนามองอึ้งไปอีก
“อะไรนะ...”
“ก็มีความรักให้ย่าไงจ๊ะ”
“อย่ามาปากหวานหน่อยเลยน่า ร้องได้อินขนาดนี้ มันต้องมีความผิดปกติที่หัวใจบ้างแล้วล่ะ”
รจนามองจับผิด นับดาวอึกอัก เสียงกริ่งหน้าบ้านดังเข้ามา นับดาวรีบถือโอกาสชิ่งออกไป
“เดี๋ยวค่อยคุยกันนะย่า หนูไปดูก่อนว่าใครมา”
นับดาวเปิดประตูรั้วบ้านออกมา มองหาคน แต่ไม่เห็นใครหน้าบ้านเลย เธอหันไปเห็นถุงผลไม้กับน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และ มีกรวยใบตองใส่ดอกแคพูนๆ ขึ้นมาสวยงามวางเสียบอยู่กับถุงน้ำเต้าหู้ด้วย ทั้งหมดแขวนอยู่ริมรั้วมุมหนึ่ง
“ฮึ...ของใคร”
นับดาวเข้าไปดู ใกล้ๆ อึ้งๆ งงๆ
“ผลไม้...น้ำเต้าหู้ แล้วนี่อะไร”
นับดาวหยิบกรวยดอกแคร์ขึ้นมาดู...
“ดอกแค...”
นับดาวคลี่ยิ้มออกมา มองชอบใจ เป็นไทที่แอบมองนับดาวอยู่ อมยิ้มเขินๆ นับดาวดูดอกแคในกรวยอยู่ ยิ้มๆ นึกๆ
“ใคร เอามาให้เรานะ ..หรือว่าจะเป็น...”
นับดาวนึกถึงเป็นไท เสียงรองเท้าไคคุงก้าวเข้ามา นับดาวได้ยิน นึกว่าเป็นไทเข้ามา ยิ้มกว้างรีบหันไปหา
“คุณเป็นไท!!”
ไคคุงมองปึ่งชักสีหน้า นับดาวเจื่อน ที่กลายเป็นไคคุง
“ไคคุง!”
“ครับ ...ผมเอง ผิดหวังมากหรือที่เป็นผม”
นับดาวอึกอัก
“เออ เปล่าๆ ค่ะ ช่วงนี้ซ้อมคอนเสิรต์เยอะไปหน่อยยูกิก็เลยเบลอๆ แหะๆ ยูกิขอตัวก่อนนะคะ”
นับดาวหันจะเข้าบ้าน ไคคุงยื่นมือไปจับประตูดึงไว้ ไม่ให้นับดาวเปิดเข้าไป นับดาวชะงัก
“วันนี้วันอะไร”
“คะ?”
“ผมถามว่า วันนี้เป็นวันอะไร”
“วันศุกร์ไงคะ”
“คุณจำไม่ได้จริงๆ หรือว่า วันนี้เป็นวันครบรอบที่เราเจอกันครั้งแรก”
นับดาวอึ้ง แล้วทำท่าจำได้ขึ้นมา
“จริงด้วย ยูกิ ทำแต่งานจนลืมทุกอย่างไปเลยค่ะ”
“งั้นเราคงต้องไปรื้อฟื้นความจำกันแล้วมั้งครับ”
ไคคุงฉวยแขนยูกิ ดึงเดินออกไป ยูกิฝืนตัวไว้
“เอ๊ะ คุณจะทำอะไร ฉันมีงานต้องไปทำนะ”
“ไม่ทำสักวันมันคงไม่ตายหรอก”
ไคคุงเข้ามาจับแขน
“ฉันไม่ไป...ปล่อยฉันนะ”
ไคคุงยังไม่สนใจดึงตัวยูกิออกไปอีก เป็นไทเดินเข้ามาจากมุมหนึ่ง ตะโกนลั่น
“ปล่อยยูกิซะ”
ไคคุงชะงักหันมอง นับดาวดีใจ
“คุณเป็นไท”
ไคคุงหัมมองไม่พอใจ
“นี่เป็นเรื่องของผมกับยูกิ ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
เป็นไทเดินเข้ามาหา
“ก็ใช่ แต่พอดีผมทนเห็นผู้หญิงโดนรังแกไม่ได้”
ยูกิจะวิ่งเข้าไปหาเป็นไท แต่ไคคุงดึงไว้
“คุณเป็นไท ช่วยด้วย”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ยูกิ”
เป็นไททนไม่ไหว พุ่งเข้าไป กระชากไคคุงออกมา ต่อยหน้าไปหมัด ไคคุงกระเด็นออกไป เขามองอย่างเดือด
“ไอ้เป็นไท!!”
ไคคุงพุ่งเข้ามาจะต่อยเป็นไท หลบได้หมัด แต่โดนอีกหมัดต่อยเข้าหน้า เป็นไทเซไปติดรั้ว ไคคุงย่ามใจ จะเข้ามากระทืบ เป็นไทถีบไคคุงกระเด็น แล้วตามไปต่อย จนไคคุงล้มไปเจ็บจนจุก เป็นไทจะเข้าไปซ้ำอีก นับดาวรีบเข้าไปห้าม
“พอเถอะคะ คุณเป็นไท”
ไคคุงรีบลุกขึ้นแล้วถอยวิ่งออกไป แล้วชี้หน้าเอาเรื่อง
“แก!! ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”
“แน่จริงก็มาเลย อย่าเอาแต่ลอบกัดก็แล้วกัน”
รจนาเปิดประตูรั้วตามออกมา
“ว้าย ตายแล้ว เกิดเรื่องอะไรกัน”
เป็นไทกับนับดาวหันมองไปมองรจนา

รจนากุลีกุจอ ให้เป็นไทมานั่งที่มุมหนึ่งในบ้าน
“เอ้ามานั่งก่อน ไปหาอะไรมาทำแผลให้คุณเขาหน่อยสิ”
“จ๊ะๆ”
นับดาวจะไป แต่เป็นไทยกมือห้ามไว้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ดูสิ ปากงี้เจ่อเชียว มือก็แดงเป็นจ้ำๆเสียขนาดนั้น”
“ต่อยหน้าคนนะครับ ไม่ได้ต่อยถุงแป้ง ก็เจ็บๆ คันๆ บ้างล่ะครับ”
“คุณนี่มันปากดีจริงๆ เออ ฉันมียาสมุนไพร แก้ฟกช้ำอยู่ขวด หลวงพ่อท่านให้มา ทาปุ๊บหายปั๊บเลยนะคุณ เดี๋ยวๆ ฉันเอามาให้นะ”
รจนารีบเดินขึ้นบ้านไป ค้นยามาให้
“ขอบคุณมากนะครับ...”
เป็นไทเลื่อนสายตา มาสบตากับนับดาวเข้าพอดี แล้วพูดต่อ
“ที่เป็นห่วงผม...”
นับดาวสบตาเขิน แต่ทำเป็นเก๊กพูดกับเป็นไท
“เก็บปากไว้ทำแผลดีกว่านะ”
นับดาวค้อน แล้วเดินหนีออกไปทางหนึ่ง เป็นไทมองตามยิ้มๆ

นับดาวเปิดขวดทิงเจอร์ชุบสำลี เอามาแตะที่ปาก เป็นไทเป็นแผลเล็กน้อย แต่ร้องเสียงดัง
“อ๊อยย แสบๆ ทำไมคุณไม่ใช่ไฮโดรเยนล่ะ ทิงเจอร์มันแสบรู้มั้ย”
“แหม ทีเวลามีเรื่องล่ะ ไม่เห็นกลัวเจ็บ”
เป็นไทนึกตาม
“นั่นสิ ตอนที่ถูกขู่ทำร้าย ผมยังไม่เคยรู้สึกกล้าอย่างนี้เลย”
“ฮึ ลอบทำร้าย! งั้นเรื่องดาวกระจายนั่นก็เรื่องจริงน่ะสิ”
เป็นไททำไม่รู้เรื่อง
“ผมพูดเล่นน่ะ เห็นคุณอินกับมันเหลือเกิน”
“แล้วเรื่อง น้ำเต้าหู้ กับ ดอกแคหน้าบ้านล่ะ ฝีมือคุณใช่มั้ย”
เป็นไทเขิน
“เออ ก็...”
“ถ้าเป็นลูกหมาก็ปฏิเสธ ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็รับมา”
“ก็ได้ๆ ฝีมือผมเอง...ผมซื้อมาให้คุณเอง”
นับดาวล้อๆ
“แล้วให้ดอกแคฉันทำไม ...คุณแคร์ฉันเหรอ”
“เปล่า...ผมว่าผมไปกินน้ำก่อนนะ คอแห้ง”
เป็นไทลุกจากเก้าอี้จะไป นับดาวเข้าไปขวางหน้า
“บอกมา เอามาให้ฉันทำไม...”
“ผมว่า ทำแกงส้มอร่อยน่ะ...”
เป็นไทขยับไปอีกทาง นับดาวขยับตามขวางอีก
“อย่ามาโกหก พูดมาเดี๋ยวนี้”
เป็นไทจ้องตากับนับดาว แล้วพูดขึ้นมาบ้าง
“คุณไม่รู้จริงๆหรือว่า เพราะอะไร”
นับดาวอึ้งไปเอง เป็นไทจับมือนับดาวข้างหนึ่งขึ้นมากุม
“หลายๆอย่างที่ผมทำ บางครั้งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง รู้มั้ย ผมลืมตัวเองไปได้ ก็เพราะคุณ คุณทำให้ผมคิดถึงคุณได้มากกว่าตัวของผมเอง”
นับดาวมองเป็นไทซึ้ง น้ำตาคลอ
“คุณเป็นไท”
“คุณเป็นคนดีที่สุดในชีวิตผม เลยนะ ยูกิ ผม อยากจะบอกว่า ผม...”
เป็นไทจะบอกรัก ซึ่งนับดาวก็เข้าใจ แต่เธอรู้สึกตัวเองไม่ดีพอสำหรับเขา รีบยกมือขึ้นมาแตะปากเป็นไทไม่ให้พูด
“อย่าพูดเลยคะ...หยุดมันไว้แค่นี้เถอะ”
เป็นไทอึ้ง ดึงมือนับดาวออก
“ทำไมล่ะ คุณอยากจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ แต่ทำไมเวลาผมจะพูดคุณกลับมาห้าม”
“เพราะฉัน ไม่ได้ดีพอสำหรับคุณไงล่ะ”
“ไม่จริง”
นับดาวยกมือขึ้นแตะแก้มเป็นไทเบาๆ แล้วพูดขึ้นจากใจ
“เชื่อฉัน....เก็บคำๆนี้ไว้ให้คนที่มีค่ากว่าฉันเถอะนะ”
นับดาวผลักเป็นไทเบาๆ แล้ววิ่งออกไปเลย เป็นไทมองตามงงๆ
“ยูกิ เดี๋ยวก่อน”
นับดาววิ่งออกมาจากบาน น้ำตานอง วราพรรณขี่มอร์เตอร์ไซค์เข้ามาพอดี
“เฮ้ย...แกวิ่งออกมาอย่างนี้ได้ไง”
นับดาวรีบโดดขึ้นซ้อนท้าย
“ไปเร็ว นุ้ย”
“ไปไหน”
“ไปเร็วๆเข้า ไป!!!”
วราพรรณจำต้องรีบออกรถไปอย่างเร็ว เป็นไทวิ่งตามออกมาจากบ้าน ไม่ทันเห็นว่านับดาวไปกับวราพรรณ เขามองตามหลังนับดาวไปด้วยความ อาลัยอาวรณ์ ไม่เข้าใจในตัวเธอ

นับดาวซ้อนท้ายรถมอร์เตอร์ไซค์ไป คิดถึงเป็นไท...น้ำตาไหล ร้องไห้ ซบกับไหล่เพื่อน

อ่านต่อตอนที่ 10


กำลังโหลดความคิดเห็น