ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5
วราพรรณสะพายกล้องแอบอยู่ข้างๆรถ ชะเง้อมองรอสังวรณ์ลงมา แพรวไพลินเอารถเข้ามาจอดเห็นท่าทางวรพรรณพิรุธ เธอเดินปรี่เข้าไปหา
“นี่เธอมาทำอะไรลับๆล่อๆน่ะ”
วราพรรณตกใจ หันไป แพรวไพลินโวยวาย
“จะขโมยรถใช่มั้ย”
วราพรรณสะดุ้ง
“เฮ้ย...ไม่ใช่นะ”
“แล้วมาทำอะไร ที่นี่มันเป็นที่ส่วนบุคคลนะ”
วราพรรณอึกอัก
“คือฉันมาหามุมถ่ายรูปสวยๆน่ะ ไม่รู้นี่หว่าว่าเป็นที่ส่วนบุคคล”
แพรวไพลินมองพินิจพิเคราะห์
“อ๋อ เธอน่ะคือทอมที่ควงยายยูกินี่นา”
วราพรรณหน้าตื่น
“ฉันไม่ใช่ทอม แล้วฉันก็ไม่เคยควงคนชื่อยูกิด้วย”
“อย่าเลย ฉันจำได้”
วราพรรณจำได้
“อ๋อ...ฉันจำได้แล้วเหมือนกัน คุณคือไฮโซไร้มารยาทที่เดินชนเพื่อนฉันคนนั้นนั่นเอง”
แพรวไพลินไม่พอใจ
“เธอกับยายยูกิน่ะสิไร้มารยาท”
“นี่ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่มีเพื่อนชื่อยูกิ”
“ก็ฉันเห็นอยู่ว่าเธอไปกับยูกิ”
“เพื่อนฉันชื่อนับดาว คนไทยแท้ๆเว้ย ไม่ใช่ยูกิบ้าบออะไรนั่น”
“โอ๊ย จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันไม่อยากเถียงกับเธอแล้ว ไร้สาระ”
แพรวไพลินเชิดใส่แล้วเดินไป วราพรรณไม่ชอบขี้หน้าแพรวไพลินเอาซะเลย ขณะที่แพรวไพลินไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่จากที่คุยกับวราพรรณ
“นับดาว...นับดาวได้ยังไง ก็เห็นๆอยู่ว่าคือยูกิ”
แพรวไพลินงงๆ แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ
สังวรณ์กับเป็นไท ยังเชือดเฉือนกันต่อหน้านับดาว
“ไปทานข้าวกับผมเถอะนะครับยูกิ คุยโน่นคุยนี่ สัมภาษณ์เรื่องโน้นนิดเรื่องนี้หน่อย”
เป็นไทไม่ยอม
“แต่คุณมีซ้อม เดี๋ยวทีมงานก็มากันแล้ว”
“มีอย่างที่ไหนให้ศิลปินมาก่อนทีมงาน นี่ทำงานแบบมืออาชีพกันเป็นรึเปล่าเนี่ย”
“แล้วคุณละครับ เป็นถึงเจ้าของหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แถมยังมีบริษัทออแกไนซ์ แค่สัมภาษณ์ศิลปิน ไม่เห็นต้องลงมาทำเองเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่มีใครไว้ใจได้ หรือหวังประโยชน์อะไรกันแน่”
สังวรณ์ชักฉุน
“อ้าว...ถ้าจะขุดเรื่องส่วนตัวมาคุยกันแบบนี้ ท่าทางจะยาวนะ”
นับดาวเบื่อหน่ายมากรีบห้าม
“พอเถอะค่ะ”
“ทุกอย่างจะจบด้วยดีเลยครับ ถ้าคุณยูกิให้เกียรติไปทานข้าวกับผมซักมื้อ”
นับดาวอึกอัก
“เอ่อ...”
เป็นไทไม่ยอมรีบแย้ง
“มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่คุณต้องทำเลยครับยูกิ ข่าวพีอาร์เรามีแจกอยู่แล้ว”
สังวรณ์หันไปอ้อนวอน
“ไปกินเถอะครับ จะได้มีแรงมาซ้อมเต้นต่อนะ”
เป็นไทพยายามห้าม
“อย่าไปเลย กินอิ่มๆมาเดี๋ยวจุกนะ”
สังวรณ์คว้าข้อมือข้างนึงของนับดาวจะลากให้ไป
“ไปเถอะ”
เป็นไทคว้าข้อมืออีกข้างของนับดาวไว้
“อย่าไปเลย”
“ไป”
“อย่าไป”
สังวรณ์กับเป็นไทลากนับดาวไปมา ไปมา จนเธอทนไม่ไหวสะบัดมือ
“โอ๊ย...พอทั้งคู่นั่นแหละ”
แพรวไพลินเดินเข้ามาในห้องพอดี
“สวัสดีค่ะ ทำอะไรกันอยู่คะเนี่ย ท่าทางสนุกเชียว”
ทุกคนหันไปมองหน้าแพรวไพลินเป็นตาเดียว บอกเป็นนัยๆว่ามันไม่ได้สนุก แพรวไพลินเก้อๆรีบเปลี่ยนเรื่อง
“พี่ไทขา มาทานข้าวด้วยกันนะคะ”
เป็นไทมองแพรวไพลินเบื่อๆ ส่วนนับดาวมองเป็นไท แอบน้อยใจลึกๆ
“นี่แพรวตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวให้พี่ไทเองเลยนะ” แพรวไพลินหันมองสังวรณ์ “แล้วนี่ใครคะเนี่ย”
สังวรณ์ยิ้มด้วยท่าทีโอ่ๆ
“ผมซีซังวอน เจ้าของ โอ้วเทรดดิ่ง ครับ”
“อ๋อ ฉันเคยได้ฟังคุณพ่อพูดถึงคุณอยู่เหมือนกันค่ะ เพิ่งมีโอกาสได้เจอตัวจริง”
“เช่นกันครับ คุณแพรวไพลิน”
“แล้วนี่มาทำอะไรคะเนี่ย”
“ผมมารับคุณยูกิไปทานข้าวน่ะครับ”
“ก็พาไปสิคะ ไปเลย มัวทำอะไรอยู่ จะได้ไม่เป็นก้างขวางคอกันและกัน”
“ดีเลยครับ” สังวรณ์หันไปหานับดาว “ไปกันเถอะครับคุณยูกิ”
นับดาวมองเป็นไทอย่างน้อยใจ แล้วเธอก็พยักหน้ารับคำเชิญของสังวรณ์ แล้วเดินไปกับเขา เป็นไทก็ได้แต่มองยูกิอย่างเสียดาย
สังวรณ์กับนับดาวเดินออกมาด้วยกัน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาวราพรรณ
“พิราบกระโดดลงกะทะแล้ว ทอดได้เลย”
วราพรรณยิ้มพอใจคุยโค้ดกับสังวรณ์
“น้ำมันร้อน ลงมาพร้อมสุก”
นับดาวได้ยินเสียงงุบงิบๆของสังวรณ์ ก็สงสัย
“อะไรคะ พิราบทอด”
“อ๋อ คือมันเป็นเมนูเด็ดของร้านที่เราจะไปทานกันน่ะครับ ผมเลยโทรสั่งไว้ล่วงหน้า พอเราไปถึงกันจะได้ได้เลย”
“ฉันไม่ทานสัตว์ปีกหรอกค่ะ”
“ทำไมละครับ”
“ฉันกลัวบินไปไม่ถึงฝัน”
“สิ่งที่ยูกิมี ยังไม่ถึงฝันอีกเหรอครับเนี่ย”
“สำหรับฉันตอนนี้ ต้องเรียกว่าเกินฝันค่ะ”
“นั่นไง แล้วยังต้องใช้ปีกทำอะไรอีกละครับ”
“ก็ใช้บินกลับมาไงคะ”
“คุณยูกินี่ตลกจังเลยนะครับ”
นับดาวแอบบ่นคนเดียว
“ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ขำซักหน่อย ซีเรียสนะเนี่ย”
นับดาวเดินมากับสังวรณ์ออกไปที่ลานจอดรถ วรพรรณที่ซุ่มอยู่ก็กดกล้องรัว เธอถ่ายปาปารัชชี่นับดาวกับ
สังวรณ์ ตามคำสั่งของเจ้านายอย่างเต็มที่ สังวรณ์พยายามทำมือโอบๆเพื่อให้ได้ภาพฉาว
นับดาวกับสังวรณ์ทานข้าวกันในร้านอาหาร วราพรรณแอบถ่ายรูปทั้งคู่ตลอดเวลา
“วันหลังถ้าจะสัมภาษณ์ โทรมาก็ได้นะคะ ไม่ต้องลำบากมาเอง”
“ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะโทรแล้วละครับ แต่ว่า ผมว่าผมคงเมมเบอร์คุณไปผิด โทรหาเท่าไหร่ ก็ไปติดใครก็ไม่รู้ ผมคงต้องขอเบอร์ใหม่อีกครั้ง”
“ค่ะ”
สังวรณ์ทำท่าตักอาหารให้ เพื่อให้วราพรรณถ่ายรูปออกมาได้เรื่องราว
ทีมแดนเซอร์เริ่มทยอยเข้ามาเตรียมซ้อมเต้นกันแล้วส่วนเป็นไทนั่งหน้าเซ็งๆอยู่ มีแพรวไพลินตามประกบ
“ทานข้าวกันค่ะพี่ไท”
“พี่ขี้เกียจน่ะ”
“ก็รู้ว่าขี้เกียจไงคะ เลยทำเอามาให้ถึงที่นี่ไงคะ”
“พี่ขี้เกียจกินน่ะ”
“ขี้เกียจกินเดี๋ยวแพรวป้อนให้ค่ะ”
แพรวไพลินตักไปป้อนถึงปาก เป็นไทไม่กิน
“พี่ขี้เกียจเคี้ยว”
“ขี้เกียจเคี้ยว แพรวมีโจ๊กค่ะ กำลังร้อนๆเลย”
เป็นไทมองหน้าแพรวเบื่อๆ
“มันร้อน”
“งั้นเดี๋ยวแพรวเป่า”
“นี่แพรวไม่เข้าใจคำว่าขี้เกียจใช่มั้ย”
“แล้วพี่ไทจะเอายังไงคะ จะให้แพรวเอาสายยางมากรอกอาหารเหลวให้เลยมั้ย”
“คือพี่ไม่กิน เพราะพี่ไม่หิว แปลว่าไม่ว่าจะมีอะไรน่ากินหรือไม่น่ากิน พี่ก็ไม่เอา เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจค่ะ แพรวก็เอาใจพี่ไทมากขนาดนี้แล้ว จะต้องให้แพรวทำยังไงคะ ถึงจะถูกใจพี่ไทซักที”
“ไม่ต้องทำอะไรเลยนั่นแหละดีที่สุด”
“แต่แพรวเป็นแฟน”
เป็นไทถอนหายใจ
“อยากทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้มันก้าวก่ายกันมากนักก็แล้วกัน”
เป็นไทลุกขึ้นไปคุยงานกับแดนเซอร์ แพรวไพลินมองอย่างไม่สบอารมณ์
ยามาดะนอนหลับอยู่บนเปลญวณ ยูกิแอบเดินออกมาจากห้อง พอเธอเห็นเขา เธอก็หันไปมองเรือสปีดโบ้ตที่จอดอยู่หวังจะหนี ยูกิมองหากุญแจที่อยู่แถวนั้นแล้วค่อยๆย่อง ทำเสียงให้เบาที่สุดเพื่อจะค้นหา
“กุญแจเรืออยู่ไหนนะ”
ยูกิค่อยๆหาตามซอกตามชั้นต่างๆ ก็ไม่เจอ เธอเจอกล่องเหล็กเก่าๆ คาดหวังว่าจะมีกุญแจอยู่ในนั้น ยูกิกำลังจะเปิดมัน โดยไม่รู้ตัวว่ายามาดะตื่นแล้ว
“ทำอะไรน่ะ”
ยูกิสะดุ้งโหยง ยามาดะเห็นกล่องเหล็กของเขาอยู่ในมือของเธอ
“ส่งนั่นมาให้ผมเดี๋ยวนี้นะ”
ยูกินิ่ง ใจก็อยากเปิดดูข้างใน อีกใจก็กลัว
“บอกให้ส่งมาไง”
ยามาดะวิ่งเข้าไปยื้อกล่องเหล็ก ยูกิตัดสินใจจะไม่คืน
“ไม่ให้”
ยูกิ แย่งมันมาแล้ววิ่งหนี
“เอามานะ”
“มันมีค่ามากสินะ ถ้าอยากได้คืนนัก เอากุญแจเรือมาแลกสิ”
ยามาดะวิ่งไล่ตามจะเอากล่องคืน
“คุณน่ะมันคนไม่มีหัวใจ คุณไม่เข้าใจอะไรหรอก เอามันคืนมาให้ผมเถอะ”
“เอากุญแจเรือมาสิ”
“อยากให้ผมโมโหนักใช่มั้ย”
ยามาดะวิ่งไล่ ยูกิวิ่งหนีถือกล่องเหล็กไปด้วย แต่เขาก็วิ่งมาตะครุบเธอไว้ได้ แต่ก็ทำล้มคว่ำไปทั้งคู่ ยามาดะตะลึงเพราะเขาไม่เคยอยู่ใกล้ยูกิขนาดนี้ ใกล้จนได้กลิ่นหอมจากตัวของเธอ เขาสูดกลิ่นนั้นอย่างละมุนละไม แต่แล้วนึกได้ รีบลุกขึ้นมา ยูกิยังงงๆกับการล้มกลิ้งอยู่
“อย่าเที่ยวเอาความรู้สึกของใครมาเป็นข้อต่อรองอีก”
ยามาดะกระชากกล่องเหล็กออกจากมือยูกิที่ยังนั่งอยู่แล้วเดินไป แรงกระชากทำให้ฝากล่องเปิด ยามาดะยังไม่รู้ตัวของต่างๆที่อยู่ข้างใน ปลิวร่วงออกมา ลมทะเลทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจายพริ้วไปกับสายลม สิ่งเหล่านั้นก็คือภาพแอบถ่ายของยูกิ ตั้งแต่มัธยม มาจนมหาลัย แล้วก็ภาพแอบถ่ายจากบ้านของเธอมากมาย รวมถึงกระดาษจดหมาย ผ้าเช็ดหน้า หรือของเล็กๆน้อยๆบางอย่างที่เธอเคยทิ้งไปแล้ว มันมารวมอยู่ในกล่องนี้มากมาย ยูกิเก็บรูปและของที่ใกล้ๆตัวขึ้นมาดู เธอตะลึงกับสิ่งที่เขาเก็บไว้ ยามาดะเพิ่งหันมาเห็นว่าของข้างในร่วงกราวเขารีบวิ่งตามไล่เก็บของอย่างร้อนรน พอเก็บเสร็จเขาก็ไม่กล้าสบตายูกิรีบวิ่งหนีไป ยูกิมอง ตอนนี้เธอชักอยากจะเข้าใจคนๆนี้ขึ้นมาแล้ว
สังวรณ์หยิบนิตยสารที่ลงการสัมภาษณ์ของนับดาวคราวที่แล้วออกมาให้ดู
“นี่เป็นคอลัมน์จากที่ผมสัมภาษณ์คุณครั้งที่แล้วครับ นี่ผมเขียนเองเลยนะครับ”
“เหรอคะ”
นับดาวรีบเปิดดูเห็นรูปตัวเองเบ้อเริ่มในเล่ม
“สวยจังเลย”
“แน่นอนสิ คุณยูกิสวยอยู่แล้วนี่ วันนี้วางแผงวันแรกด้วย คงขายดีน่าดู”
“ค่ะ”
นับดาวเปิดอ่านบทสัมภาษณ์ตัวเอง
“อุ๊ย...ตายแล้ว นี่ฉันให้สัมภาษณ์แบบนี้ออกไปเหรอเนี่ย ดูไม่ฮอตเลย”
สังวรณ์ยิ้มๆ แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณยูกิอ่านภาษาไทยออกด้วยเหรอครับ”
“เอ่อ...ก็เหมือนว่าฉันจะเรียนมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่เท่าที่ผมอ่านสัมภาษณ์คุณมา คุณบอกว่าพูดไทยได้ แต่เขียนกับอ่านมันยาก ยังทำไม่ได้”
“อ้าว เหรอคะ นั่นคงบทสัมภาษณ์นานแล้วมั้งคะ ฉันก็พออ่านออกนะคะ แหะแหะ”
“เดือนที่แล้วเองครับ คุณคงไม่อ่านได้ภายในเดือนเดียวใช่มั้ย”
นับดาวยิ้มแหยๆ
“แหะ แหะ ก็พอเป็นนิดหน่อยค่ะ”
นับดาวหัวเราะแก้เก้อ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง สังวรณ์เริ่มสงสัยบางอย่างในตัวนับดาว
นับดาวลงจากรถสังวรณ์ โบกมือลา
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
นับดาวเดินหันหลังจากรถสังวรณ์มา เธอหน้าเครียดทันที
“แย่แล้วจะสงสัยรึเปล่านะ”
นับดาวเดินออกไป วราพรรณเดินเข้ามาหาสังวรณ์ที่รถ
“เป็นไง ได้ภาพมั้ย”
“ได้เต็มเลยค่ะ”
“ดี พาดหัวแรงๆเลยนะ ยูกิแอบควงซังวอนเดทกลางกรุง อะไรก็ว่าไป”
วราพรรณชะงัก
“แบบนี้จะดีเหรอคะ”
“อะไรที่ฉันว่าดี มันก็ต้องดี”
“ค่ะ”
“เออนี่...ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากให้เธอไปสืบ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ฉันได้กลิ่นอะไรแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องยูกิน่ะ ไม่รู้ไอ้เป็นไทมันเล่นตุกติกอะไรรึเปล่า”
“ทำไมละคะ”
“เอาเป็นว่า เธอไปสืบมาว่า อยู่ที่นี่มันมีคนติวภาษาไทยให้ยูกิมั้ย เช็คให้ละเอียดว่ายูกิทำอะไรที่เมืองไทยบ้าง”
“ได้ค่ะ”
“เรื่องนี้เป็นความลับมาก อย่าบอกใครแม้แต่คนเดียว เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
สังวรณ์มองตามนับดาวอย่างสงสัยบางอย่าง
นับดาวเดินขึ้นมาในห้องซ้อมเต้น เห็นแพรวไพลินนั่งประกบเป็นไทอยู่ เธอไม่อยากมอง ทำทีทักทายคนอื่นไป...ตลอดการซ้อมเต้นของนับดาว แพรวไพลินนั่งจุ๋งจิ๋งอยู่กับเป็นไทตลอด นับดาวเต้นเลอะเทอะ ท่าสาวบางโพนั้นโก้จริงๆ แด๊นซ์เซอร์เข้าใจว่าเป็นสเต็ปใหม่เลยเต้นตาม นับดาวเศร้าๆมองเป็นไท
“สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ สาวบางโพนั้นโก้จริงๆ ห้า หก เจ็ด แปด ต่ะล่ะแล่ด แต๊ด แต๊ดแต่ด สาวฮอกไกโดนั้นโก้จริงๆ”
แด๊นเซอร์งง ก่อนเต้นตามพร้อมกัน
“สาวฮอกไกโดนั้นโก้จริงๆ ต่ะล่ะแล๊ดแต๊ดแต่ด”
ค่ำนั้น...นับดาวเดินลงมาที่ลานจอดรถคนเดียว เธอชะเง้อมองหารถเป็นไท
“รถไม่อยู่ กลับไปแล้วสินะ”
นับดาวเดินเหงาๆคนเดียวจะโบกแท็กซี่ แต่ทันใดนั้นรถเป็นไทก็มาจอดเทียบหน้า
“จะไปไหนครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันกลับแท็กซี่ได้”
“ผมถามว่าจะไปไหน ไม่ได้ถามว่าเป็นไรรึเปล่า”
“คุณแพรวไพลินกลับไปแล้วเหรอ”
“ผมถามก็ตอบสิ ไม่ใช่ให้มาถามผม”
“ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน”
“รถคันนี้ไม่เคยอยากส่งคุณกลับบ้านอยู่แล้ว”
นับดาวมองเป็นไทก่อนที่เธอจะตัดสินใจขึ้นรถของเขา
“ไปไหนดีครับ”
“มารับฉันแบบนี้ แฟนคุณไม่ว่าเอาเหรอ”
“ผมว่าเราอย่าพูดถึงคนอื่นเวลาเราอยู่กันสองคนดีมั้ย”
นับดาวถอนหายใจ เป็นไทถามอีก
“อยากไปไหนครับ”
“ไปที่มืดๆ เปลี่ยวๆ มีป่าละเมาะอยู่ใกล้ๆมั้ง ถามได้”
เป็นไทหันขวับไปมองหื่นๆ
“จะไปมั้ยล่ะ”
นับดาวสะดุ้ง
“ไม่ไป ไปหาอะไรกินแถวนี้ก็พอ”
“แหม นึกว่าอยากไปจริงๆ เปรี้ยวปากเลยนะเนี่ย”
เป็นไทยิ้มล้อๆ ทำเอานับดาวที่แอบน้อยใจเป็นไทเรื่องแพรวไพลินอยู่ก็ยิ้มออกมาได้
ถนนข้าวสารบรรยากาศคึกคักทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เป็นไทพานับดาวมาเดิน
“คิดยังไงพาฉันมาที่นี่เนี่ย”
“คนต่างชาติส่วนใหญ่เค้าก็มาที่นี่กันทั้งนั้นแหละ”
นับดาวบ่นคนเดียว
“ถ้าไม่เคยมาขายผัดไทอยู่พักนึงก็คงน่าตื่นเต้นอยู่หรอก”
“ยูกิชอบมั้ยละครับ”
“ชอบสิคะ แหมได้เห็นฝรั่งเดินไปเดินมา น่าตื่นเต้นจะตาย” พูดไปอย่างนั้น แต่หน้าตาเบื่อมาก
“ผมละไม่แปลกใจเลยว่าชาวต่างชาติชอบที่นี่ ดูสิครับมีคนทุกไลฟ์สไตล์เลย”
“หึ หึ”
เป็นไทกับนับดาวเดินมาเจอชาวต่างชาติญี่ปุ่นกำลังหลงทาง จะถามทางอื่น
“อาโน...”
คนเดินผ่านไปมาไม่ในใจ เป็นไทมอง สงสาร
“นั่นคนญี่ปุ่นนี่ ยูกิไปช่วยเค้าหน่อยสิครับ”
นับดาวหันควับมามาองหน้าเป็นไท
“ฉันเนี่ยนะ”
“ก็คุณคนญี่ปุ่น น่าจะคุยกับเค้ารู้เรื่อง”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าเป็นคนญี่ปุ่น”
“ท่าทางแบบนั้น หน้าตางงแบบนั้น แถมพูดอาโน แบบนี้อีก ญี่ปุ่นแน่ๆ”
“เอ่อ”
“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”
เป็นไทดันยูกิให้ไปช่วย นับดาวพยายามขืนตัว ไม่ไปตามแรงดันเป็นไท
ค่ำคืนนั้น...ยามาดะนั่งซึมอยู่ริมทะเล ยูกิเดินมาหาเขา พอเขาเห็นยูกิเดินมา เขาไม่กล้าสบตา จะลุกหนีไป
“เดี๋ยว”
ยามาดะหยุดตามเสียงเรียกแต่ไม่หันไปมอง
“ฉันเอานี่มาคืน”
ยูกิยื่นรูปรวมนักเรียนตอนม.ต้นที่มีเธอกับยามาดะอยู่ในนั้นด้วยกัน ยามาดะเห็นรูปรีบรับมา
“ยามาดะ เธอทำแบบนี้ทำไม”
ยามาดะสบตายูกิ ไม่ตอบอะไร เขาเดินออกไปกับความเงียบ กำรูปไว้ในมือแน่น
นับดาวยังอึกอัก เป็นไทยังดันให้เขาไปคุยกับคนญี่ปุ่น นับดาวหันไปเห็นร้านข้าวไข่เจียวข้างทาง
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปช่วยเอง แต่คุณน่ะ ช่วยไปซื้อข้าวให้หน่อยได้มั้ย”
เป็นไทมองไปที่ร้านข้าวไข่เจียว
“ได้”
เป็นไทเดินแยกออกไป นับดาวโล่งอก เธอทำเดินเข้าไปหาคนญี่ปุ่น ขณะที่เป็นไทสั่งข้าวไข่เจียวที่ร้านรถเข็น
“ขอข้าวไข่เจียวที่นึง เอาแบบอร่อยที่สุดเลยนะครับ”
เป็นไทยิ้มให้คนขาย แล้วเขาก็มองไปที่นับดาว ที่กำลังคุยกับคนญี่ปุ่น ดูเป็นกันเองมาก สนุกสนาน
นับดาวกำลังคุยกับคนญี่ปุ่น
“พอจะรู้ทางไปภูเขาทองมั้ย”
เมื่อถูกถามเป็นภาษาญี่ปุ่น นับดาวสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนฟังรู้เรื่อง เป็นมิตร แต่พูดมั่ว
นับดาวยิ้ม
“พูดอะไรของแก ใครจะฟังรู้เรื่อง มาเมืองไทย พูดไทยสิ”
คนญี่ปุ่นงง
“คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
นับดาวยิ้ม
“พูดได้ไม่ยอมหยุดเลยนะ จะไปไหนก็ไปสิ ไปโน่น ไปทางโน้นเลยโน่น”
นับดาวชี้ไปเรื่อยเปื่อย คนญี่ปุ่นมองตาม
“ทางโน้นเหรอ อาริงาโตะโกไซมัส”
คนญี่ปุ่นเดินไป
“ไปไหนก็ไป ไปซักที”
นับดาวถอนหายใจโล่งอก เป็นไทถือข้าวไข่เจียวเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้าง คุยกันยาวเชียว”
นับดาวเนียนๆว่าคุยรู้เรื่อง
“ก็คุยกันตามประสาคนชาติเดียวกัน บางทีเราก็เบื่อนะคะ ไปไหนก็มีแต่คนจำได้”
“ก็คุณเป็นซุปเปอร์สตาร์นี่น่า...เค้าคงชื่นชอบผลงานคุณสิครับ”
“ชอบมากเลย ชมแล้วชมอีก เราก็ไม่รู้จะบอกยังไง ว่าเพลงอัลบั้มนั้นแต่งตอนหลับนะ ถ้าแต่งตอนมีสติก็ไม่อยากจะบอกว่าจะดีขนาดไหน ไม่อยากให้เค้าคาดหวัง”
เป็นไทหัวเราะ ยื่นข้าวให้
“นี่ข้าวคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวรับมากินอย่างคนหิว ดูมูมมาม
“คุณนี่กินง่ายอยู่ง่ายนะครับ”
นับดาวยิ้มๆ เป็นไทมองนับดาวกินข้าวอย่างเอ็นดู
เป็นไทกับนับดาวเดินดูขอบบนถนนข้าวสาร หยิบมาลองบ้าง เอามาใส่ให้กันบ้าง ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น
เป็นไทมาจอดรถที่ดาดฟ้าแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ดูนอนบนฝากระโปรงหน้าพิงเอนพิงกระจก แหงนมองดูดาว
“ผมชอบมาที่นี่ ตอนที่คิดงานไม่ออก”
“มาทำอะไรคะ”
“นับดาว”
นับดาวตกใจ หันขวับตามชื่อที่เรียก
“นับดาว...”
“ใช่ ฟังดูโง่ๆใช่มั้ย คนอะไรจะมานั่งนับดาวบนฟ้า ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด”
นับดาวเข้าใจ
“อ๋อ...นับดาวแบบนั้นนี่เอง”
“แล้วยูกิเข้าใจว่ายังไงละครับ”
“คือ งงภาษาไทยนิดหน่อย นึกว่าเป็นชื่อใคร อะไรแบบนั้น”
“ชื่อคนเหรอ” เป็นไทหัวเราะ”ใครจะไปชื่อนับดาวกัน ดูเลื่อนลอย ไม่มีอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด งก็ไม่รู้”
นับดาวโกรธแต่เก็บอารมณ์ไว้
“นั่นสินะ ใครจะใช้ชื่อนั้น ดูโง่ๆเนอะ”
“มาก”
นับดาวสะดุ้ง
“ยังจะย้ำอีก ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า”
“รู้มั้ย ผมเคยนับดาวได้มากที่สุดในท้องฟ้าคือเท่าไหร่”
“สามพัน”
“เจ็ด”
“เจ็บพัน”
“เจ็ดดวง นับแค่ดาวลูกไก่ว่ามี 7 ดวงจริงรึเปล่าก็พอแล้ว”
“โธ่ ก็นึกว่าจะเยอะ”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าดาวบนฟ้ามีเยอะแค่ไหน แค่ดวงที่ผมสนใจไม่หายไปก็พอ”
นับดาวมองเป็นไท เธอเริ่มรู้สึกแปลกเมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้
นับดาวนอนดูหนังสือซุบซิบบันเทิงวางอยู่บนเตียง เป็นภาพปาปารัชชี่ตอนที่ยูกิกับเป็นไทถูกแอบถ่าย
“วันนี้คุณพูดชื่อฉันตั้ง 4 ครั้งแน่ะคุณไท...มันคงดีถ้านับดาวคนนี้เป็นดาวที่คุณสนใจบ้าง”
นับดาวมองภาพเป็นไทในหนังสือ เหม่อลอย
สายของวันรุ่งขึ้น...รจนานั่งดูทีวีอยู่ นับดาวเดินเอาดอกไม้ใส่ขวด ที่เก็บมาได้จากทะเลแทนแจกัน ถือมาให้รจนา
“ย่า เอาของมาฝาก”
รจนาทำเชิด
“ดูอะไรอยู่น่ะ”
รจนาทำไม่สนใจ แล้วรายการที่นับดาวสัมภาษณ์กับสังวรณ์ก็ออกอากาศพอดี นับดาวเห็น
“เฮ้ย...ได้ดูพอดีเลย” นับดาวชี้ทีวี “นี่ไงย่า หนู หนูได้ออกทีวีแล้วเห็นมั้ย”
รจนาดูทีวี เห็นสังวรณ์สัมภาษณ์ก็เรียกยูกิ...ยูกิ...
“ฝันหนูได้เป็นจริงแล้วไง ที่ย่าบอกว่าหนูทำไม่ได้น่ะ”
รจนาฝืนพูดออกมา เค้นเสียงออกจากลำคอเบาๆ
“นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่หลานฉัน”
รจนาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป นับดาวได้แต่มองตามย่าไป
“ย่า หมอเค้าห้ามพูดนะ”
รจนาไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ นับดาวถอนหายใจเห็นด้วยกับคำพูดของย่า นั่นไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ
อ่านต่อหน้า 2
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5(ต่อ)
ถนนข้าวสารบรรยากาศคึกคักทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เป็นไทพานับดาวมาเดิน
“คิดยังไงพาฉันมาที่นี่เนี่ย”
“คนต่างชาติส่วนใหญ่เค้าก็มาที่นี่กันทั้งนั้นแหละ”
นับดาวบ่นคนเดียว
“ถ้าไม่เคยมาขายผัดไทอยู่พักนึงก็คงน่าตื่นเต้นอยู่หรอก”
“ยูกิชอบมั้ยละครับ”
“ชอบสิคะ แหมได้เห็นฝรั่งเดินไปเดินมา น่าตื่นเต้นจะตาย” พูดไปอย่างนั้น แต่หน้าตาเบื่อมาก
“ผมละไม่แปลกใจเลยว่าชาวต่างชาติชอบที่นี่ ดูสิครับมีคนทุกไลฟ์สไตล์เลย”
“หึ หึ”
เป็นไทกับนับดาวเดินมาเจอชาวต่างชาติญี่ปุ่นกำลังหลงทาง จะถามทางอื่น
“อาโน...”
คนเดินผ่านไปมาไม่ในใจ เป็นไทมอง สงสาร
“นั่นคนญี่ปุ่นนี่ ยูกิไปช่วยเค้าหน่อยสิครับ”
นับดาวหันควับมามาองหน้าเป็นไท
“ฉันเนี่ยนะ”
“ก็คุณคนญี่ปุ่น น่าจะคุยกับเค้ารู้เรื่อง”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าเป็นคนญี่ปุ่น”
“ท่าทางแบบนั้น หน้าตางงแบบนั้น แถมพูดอาโน แบบนี้อีก ญี่ปุ่นแน่ๆ”
“เอ่อ”
“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”
เป็นไทดันยูกิให้ไปช่วย นับดาวพยายามขืนตัว ไม่ไปตามแรงดันเป็นไท
ค่ำคืนนั้น...ยามาดะนั่งซึมอยู่ริมทะเล ยูกิเดินมาหาเขา พอเขาเห็นยูกิเดินมา เขาไม่กล้าสบตา จะลุกหนีไป
“เดี๋ยว”
ยามาดะหยุดตามเสียงเรียกแต่ไม่หันไปมอง
“ฉันเอานี่มาคืน”
ยูกิยื่นรูปรวมนักเรียนตอนม.ต้นที่มีเธอกับยามาดะอยู่ในนั้นด้วยกัน ยามาดะเห็นรูปรีบรับมา
“ยามาดะ เธอทำแบบนี้ทำไม”
ยามาดะสบตายูกิ ไม่ตอบอะไร เขาเดินออกไปกับความเงียบ กำรูปไว้ในมือแน่น
นับดาวยังอึกอัก เป็นไทยังดันให้เขาไปคุยกับคนญี่ปุ่น นับดาวหันไปเห็นร้านข้าวไข่เจียวข้างทาง
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปช่วยเอง แต่คุณน่ะ ช่วยไปซื้อข้าวให้หน่อยได้มั้ย”
เป็นไทมองไปที่ร้านข้าวไข่เจียว
“ได้”
เป็นไทเดินแยกออกไป นับดาวโล่งอก เธอทำเดินเข้าไปหาคนญี่ปุ่น ขณะที่เป็นไทสั่งข้าวไข่เจียวที่ร้านรถเข็น
“ขอข้าวไข่เจียวที่นึง เอาแบบอร่อยที่สุดเลยนะครับ”
เป็นไทยิ้มให้คนขาย แล้วเขาก็มองไปที่นับดาว ที่กำลังคุยกับคนญี่ปุ่น ดูเป็นกันเองมาก สนุกสนาน
นับดาวกำลังคุยกับคนญี่ปุ่น
“พอจะรู้ทางไปภูเขาทองมั้ย”
เมื่อถูกถามเป็นภาษาญี่ปุ่น นับดาวสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนฟังรู้เรื่อง เป็นมิตร แต่พูดมั่ว
นับดาวยิ้ม
“พูดอะไรของแก ใครจะฟังรู้เรื่อง มาเมืองไทย พูดไทยสิ”
คนญี่ปุ่นงง
“คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
นับดาวยิ้ม
“พูดได้ไม่ยอมหยุดเลยนะ จะไปไหนก็ไปสิ ไปโน่น ไปทางโน้นเลยโน่น”
นับดาวชี้ไปเรื่อยเปื่อย คนญี่ปุ่นมองตาม
“ทางโน้นเหรอ อาริงาโตะโกไซมัส”
คนญี่ปุ่นเดินไป
“ไปไหนก็ไป ไปซักที”
นับดาวถอนหายใจโล่งอก เป็นไทถือข้าวไข่เจียวเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้าง คุยกันยาวเชียว”
นับดาวเนียนๆว่าคุยรู้เรื่อง
“ก็คุยกันตามประสาคนชาติเดียวกัน บางทีเราก็เบื่อนะคะ ไปไหนก็มีแต่คนจำได้”
“ก็คุณเป็นซุปเปอร์สตาร์นี่น่า...เค้าคงชื่นชอบผลงานคุณสิครับ”
“ชอบมากเลย ชมแล้วชมอีก เราก็ไม่รู้จะบอกยังไง ว่าเพลงอัลบั้มนั้นแต่งตอนหลับนะ ถ้าแต่งตอนมีสติก็ไม่อยากจะบอกว่าจะดีขนาดไหน ไม่อยากให้เค้าคาดหวัง”
เป็นไทหัวเราะ ยื่นข้าวให้
“นี่ข้าวคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวรับมากินอย่างคนหิว ดูมูมมาม
“คุณนี่กินง่ายอยู่ง่ายนะครับ”
นับดาวยิ้มๆ เป็นไทมองนับดาวกินข้าวอย่างเอ็นดู
เป็นไทกับนับดาวเดินดูขอบบนถนนข้าวสาร หยิบมาลองบ้าง เอามาใส่ให้กันบ้าง ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้น
เป็นไทมาจอดรถที่ดาดฟ้าแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ดูนอนบนฝากระโปรงหน้าพิงเอนพิงกระจก แหงนมองดูดาว
“ผมชอบมาที่นี่ ตอนที่คิดงานไม่ออก”
“มาทำอะไรคะ”
“นับดาว”
นับดาวตกใจ หันขวับตามชื่อที่เรียก
“นับดาว...”
“ใช่ ฟังดูโง่ๆใช่มั้ย คนอะไรจะมานั่งนับดาวบนฟ้า ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด”
นับดาวเข้าใจ
“อ๋อ...นับดาวแบบนั้นนี่เอง”
“แล้วยูกิเข้าใจว่ายังไงละครับ”
“คือ งงภาษาไทยนิดหน่อย นึกว่าเป็นชื่อใคร อะไรแบบนั้น”
“ชื่อคนเหรอ” เป็นไทหัวเราะ”ใครจะไปชื่อนับดาวกัน ดูเลื่อนลอย ไม่มีอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด งก็ไม่รู้”
นับดาวโกรธแต่เก็บอารมณ์ไว้
“นั่นสินะ ใครจะใช้ชื่อนั้น ดูโง่ๆเนอะ”
“มาก”
นับดาวสะดุ้ง
“ยังจะย้ำอีก ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า”
“รู้มั้ย ผมเคยนับดาวได้มากที่สุดในท้องฟ้าคือเท่าไหร่”
“สามพัน”
“เจ็ด”
“เจ็บพัน”
“เจ็ดดวง นับแค่ดาวลูกไก่ว่ามี 7 ดวงจริงรึเปล่าก็พอแล้ว”
“โธ่ ก็นึกว่าจะเยอะ”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าดาวบนฟ้ามีเยอะแค่ไหน แค่ดวงที่ผมสนใจไม่หายไปก็พอ”
นับดาวมองเป็นไท เธอเริ่มรู้สึกแปลกเมื่อได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้
นับดาวนอนดูหนังสือซุบซิบบันเทิงวางอยู่บนเตียง เป็นภาพปาปารัชชี่ตอนที่ยูกิกับเป็นไทถูกแอบถ่าย
“วันนี้คุณพูดชื่อฉันตั้ง 4 ครั้งแน่ะคุณไท...มันคงดีถ้านับดาวคนนี้เป็นดาวที่คุณสนใจบ้าง”
นับดาวมองภาพเป็นไทในหนังสือ เหม่อลอย
สายของวันรุ่งขึ้น...รจนานั่งดูทีวีอยู่ นับดาวเดินเอาดอกไม้ใส่ขวด ที่เก็บมาได้จากทะเลแทนแจกัน ถือมาให้รจนา
“ย่า เอาของมาฝาก”
รจนาทำเชิด
“ดูอะไรอยู่น่ะ”
รจนาทำไม่สนใจ แล้วรายการที่นับดาวสัมภาษณ์กับสังวรณ์ก็ออกอากาศพอดี นับดาวเห็น
“เฮ้ย...ได้ดูพอดีเลย” นับดาวชี้ทีวี “นี่ไงย่า หนู หนูได้ออกทีวีแล้วเห็นมั้ย”
รจนาดูทีวี เห็นสังวรณ์สัมภาษณ์ก็เรียกยูกิ...ยูกิ...
“ฝันหนูได้เป็นจริงแล้วไง ที่ย่าบอกว่าหนูทำไม่ได้น่ะ”
รจนาฝืนพูดออกมา เค้นเสียงออกจากลำคอเบาๆ
“นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่หลานฉัน”
รจนาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป นับดาวได้แต่มองตามย่าไป
“ย่า หมอเค้าห้ามพูดนะ”
รจนาไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ นับดาวถอนหายใจเห็นด้วยกับคำพูดของย่า นั่นไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ
สายๆของวันใหม่ นับดาวมาที่ห้องซ้อม ขณะที่เธอกำลังวอร์มร่างกาย เป็นไทกับองอาจเดินเข้ามา
“ไฮ...ยูกิ”เป็นไทยยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
“ซ้อมวันนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็สนุกดีค่ะ”
“คือวันนี้ผมจะมาแจ้งตารางงานกับยูกินะครับ” องอาจหยิบตารางงานมาดู
“คือเราตั้งใจว่าจะเริ่มทำการพีอาร์ ตามรายการต่างๆแล้ว”
“ออกทีวีเหรอคะ เอาสิ เอาสิ ฉันชอบ” นับดาวบอกอย่างตื่นเต้น
องอาจพยักหน้ารับ
“โดยจะมีรายการแรก จะเป็นรายการที่จะต้องไปโชว์ความสามาถพิเศษด้วยน่ะครับ”
“ความสามารถพิเศษ...ถ้าไม่มีละคะ ฉันเป็นคนไม่มีความสามารถพิเศษเลยค่ะ”
องอาจงง
“พูดเป็นเล่น ผมอ่านในหนังสือคุณทำเป็นตั้งหลายอย่าง ทั้งเล่นเปียโน เป่าฟรุ๊ท”
นับดาวกลัว
“ไม่เอานะ ของพวกนั้นฉันไม่ทำหรอก”
“ทำไมละครับ”
“เอ่อคือ...มันธรรมดาไปน่ะ เล่นดนตรี ใครก็เล่นได้ทั้งนั้น”
“แล้วคุณยูกิอยากทำอะไรละครับ”
“ชงชาเป็นไง ผมเคยอ่านสัมภาษณ์คุณ คุณเป็นแชมป์ชงชาระดับจังหวัดของเกาะฮอกไกโดเลย”
“แชมป์ชงชา”
นับดาวงง งง ไม่รู้คืออะไร
เย็นวันนั้น ดาวเดินหน้าเบ้มาที่ห้างสรรพสินค้า ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องการชงชา
“ชงชา ทำไมต้องมีพิธีด้วย ก็ชงๆกินๆก็จบ แล้วเราจะไปรู้ได้ไงล่ะว่าทำยังไง”
นับดาวเดินผ่านหน้าร้านชาชัก คนขายกำลังสาวชาอย่างเมามัน นับดาวเดินผ่านไปแล้วแต่ก็คิดได้ ชะงักแล้วหันควับกลับมา เหมือนคิดอะไรออก นับดาวยิ้มออกมา รีบตรงไปที่ร้านชาชัก ระหว่างนั้นเป็นไทโทรมา เธอจึงโทรศัพท์ไปด้วย ขอเจ้าของร้านฝึกการรินชาแบบชาชัก
“ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง เดี๋ยวฉันเตรียมอุปกรณ์ชงชาไปเองค่ะ ของแบบนี้มันต้องใช้อุปกรณ์ที่คุ้นมือหน่อย...ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมไปทันถ่ายรายการแน่ๆ...แค่นี้ก่อนนะคะ”
นับดาวเอามือหยิบโทรศัพท์ออกวางหันมา คราวนี้เธอสาวชาชักใหญ่ เธอหันไปถามเจ้าของร้านชาชัก
“แบบนี้ใช้ได้มั้ยคะ”
เจ้าของร้านพยักหน้า กับท่าทางชักชาของนับดาวที่เริ่มคล่องแล้ว
ค่ำคืนนั้น...นับดาวนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องยูกิ อยู่ๆวราพรรณก็เปิดประตูพรวดเข้ามา นับดาวสะดุ้ง
“เฮ้ย...แกมาได้ไงเนี่ย"
“ก็เซ็งๆไงเลยแวะมา”
“นี่แกเข้านอกออกในบ้านฉันได้ทุกเวลาขนาดนี้เลยเหรอ”
วราพรรณค้อน
“ทำเป็นโลกส่วนตัวไปได้”
“แล้วนี่มีอะไรล่ะ”
“เซ็งว่ะ เบื่องาน”
“แกเนี่ยนะเบื่องาน ก็เห็นชอบเป็นนักข่าวจะตายไม่ใช่เหรอ”
“ก็ชอบอยู่หรอก แต่ไม่ชอบเขียนข่าวโกหก เจ้านายฉันน่ะ...ชอบให้นั่งเทียนโน่นนั่นนี่ กลัวบาปว่ะ”
“ก็ย้ายไปทำที่อื่นสิ แกมีประสบการณ์หลายปี ที่อื่นเค้าก็น่าจะรับนะ”
วราพรรณถอนใจ
“แกไม่รู้อะไร เจ้านายท่าจะไว้ใจฉันมากเว้ย เค้าบอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ฉันด้วย ล่าสุดนะให้ฉันไปตามสืบ...” วราพรรณอึ้งไป นึกขึ้นมาได้ว่าสังวรณ์บอกให้เก็บเป็นความลับแว้บมา
“สืบอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก” วราพรรณหันไปเห็นข้าวของชงชาของนับดาว “นี่แกจะแข็นรถเข็นขายกาแฟเหรอ”
“เปล่า อุปกรณ์ชงชา”
“ชงชาอะไรของแกวะ”
“ช่างฉันเถอะน่า”
วราพรรณหยิบอุปกรณ์ต่างๆมาพินิจพิเคราะห์ดู
“แน่เลย อาชีพใหม่แกนี่คือคนขายกาแฟแน่เลย”
“ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยเนี่ย”
นับดาวพยายามไม่สนใจวราพรรณ
วันต่อมา วราพรรณมาติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ตรงด้านหน้า บริษัทเป็นไท เธอบอกจุดประสงค์ให้เจ้าหน้าที่รู้
“ฉันจะมาขอข้อมูลยูกิเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้น ไปทำสกู๊ปพิเศษ ไม่ทราบว่าต้องติดต่อที่ไหน”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ตอนนี้คงยังไม่สะดวกค่ะ ต้องรอแถลงข่าวก่อน”
“แล้วถ้าเป็นคิวงานทั้งหมด ของยูกิตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทยล่ะ”
“อันนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะมีแต่คุณเป็นไทเจ้าของบริษัท กับคุณองอาจโปรดิวเซอร์เท่านั้นที่รู้”
“งั้นขอคุยกับคุณองอาจหน่อยได้มั้ย”
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ไม่ทันตอบ ก็ได้ยินเสียงองอาจดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“เธอเป็นใครถึงจะขอดูคิวงานยูกิ”
วราพรรณหันไปเห็นองอาจเดินเข้ามา ทั้งสองจำกันไม่ได้ วราพรรณตอบมั่วๆ แก้ตัวไปเรื่อย
“เอ่อ ฉัน...ฉันเป็นแฟนคลับ จะเอาไปลงเว็บไซด์ยูกิ”
“ผมคงให้คุณไม่ได้” องอาจจ้องๆคุ้นหน้า “ว่าแต่เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ผมรู้สึกคุ้นๆหน้าคุณ”
วราพรรณกวนใส่
“ฉันมันคนหน้าโหล จริง ๆ แล้วฉันเป็นนักข่าว จะเอาไปทำสกู๊ปพิเศษ”
“สำนักพิมพ์ไหน แล้วมีบัตรนักข่าวหรือเปล่า”
วราพรรณบ่นกับตัวเอง
“เรื่องมากอย่างนี้สงสัยเป็นเกย์แหงๆ”
“ว่าอะไรนะ”
วราพรรณยิ้มหวาน
“ฉันเป็นนักข่าวอิสระไม่มีสังกัดค่า”
“ผมจำคุณได้แล้ว คุณมันยัยทอมร้านเช่าชุดสูทนั่นเอง”
วราพรรณจ้องหน้า...
“นี่นายเองเหรอ”
“วันก่อนด่าผม ผมยังไม่ได้คิดบัญชี เชิญคุณออกไปจากที่นี่ดีกว่า ก่อนที่ผมจะเรียกรปภ.มาจับตัวคุณออกไป”
“นี่ขู่เหรอ นายมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน”
“สิทธิ์อะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าทำได้”
องอาจหันไปเรียกรปภ. วราพรรณหันไปเห็นรปภ.ท่าทางขึงขังวิ่งตรงมาที่ตนก็ตนใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
วราพรรณยิงฟันใส่องอาจ องอาจยิงฟันกลับ วราพรรณเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
วราพรรณเดินมานั่งตรงขอบฟุตปาธ อย่างไม่พอใจ
“ป่านนี้แล้วยังไม่ได้ข้อมูลยูกิ ถ้าหัวหน้ารู้ ฉันตายแน่”
ทันใดนั้นก็มีรถตู้มาจอด ทีมงานชายวิ่งเข้ามาเปิดประตูรถ ล่ามหญิงเดินลงมา พร้อมกระเป๋าถือ และหอบหนังสือญี่ปุ่นหอบใหญ่
“สวัสดีครับ พี่ปุ๊ ล่ามญี่ปุ่นของคุณยูกิใช่มั้ยครับ”
“ยูก” วราพรรณได้ยินชื่อยูกิก็มีความหวังขึ้นมา
ทีมงานจะพาล่ามเข้าไป ในสตูดิโอ แต่ว่าล่ามทำหนังสือหอบใหญ่ หล่นพื้นกระจาย วราพรรณรีบวิ่งเข้าไปช่วยเก็บ หนังสือทำทีตีสนิททันที
“หล่นหมดเลย ช่วยเก็บนะพี่...”
วราพรรณทำเนียน หอบหนังสือ เดินตามล่ามญี่ปุ่น กับทีมงานเข้ามาในบริเวณสตูดิโอมุมหนึ่ง
“พี่ปุ๊รอตรงนี้ก่อนนะครับ...”
วราพรรณวางหนังสือลงให้
“พี่จะรับอะไร ชา กาแฟ โอวัลติน น้ำแดง น้ำปั่น โอเลี้ยง เก๊กฮวย จับเลี้ยง...ไม่มีนะ...”
“อ้าว!”
ทีมงาน กับล่ามร้องออกมาพร้อมกัน
“แล้วจะพูดทำไม”
วราพรรณยิ้ม
“ล้อเล่น ๆ แหม ก็ไม่อยากให้พี่เครียดกันน่ะ เห็นพี่ปุ๊เป็นล่ามให้คุณยูกิ แบบนี้ต้องงานหนักแน่เลย เพราะพี่เป็นคนเดียวที่คุยกับคุณยูกิรู้เรื่องที่สุดใช่มั้ยล่ะ”
ล่ามส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“อ้าว!”
“ไม่ได้พูดญี่ปุ่นซักคำเลยด้วย”
วราพรรณงง
“เฮ้ย อะไรกัน แล้วคุยกันรู้เรื่องได้ยังไงล่ะพี่...”
“โอ๊ยก็คุยภาษาไทยนี่แหละ รายนั้นเค้าพูดภาษไทยเก่งจะตาย ถ้าไม่บอกนึกว่าเป็นคนไทย นี่พี่ก็มาสวยๆ ตามที่บริษัทแม่เขาจ้างไว้แสตนบายเท่านั้นแหละ”
ทีมงานหญิงเดินเข้ามาบอกทีมงานชาย
“พี่ฟู่คะ ไปบรีฟสคริป์ให้คุณยูกิฟังด้วยนะคะ”
ทีมงานชายกับล่ามเดินไป วราพรรณทำท่าเดินตามไปด้วยเนียนๆ”
“ฉันไปด้วย”
แต่ทีมงานหญิงขยับเข้ามาขวางหน้าไว้
“หญิงเข้าไม่ได้นะคะ”
“ฉันมากับพี่ปุ๊...”
“เป็นผู้ติดตามก็เข้าไม่ได้ค่ะ เชิญรอข้างนอกนะคะ”
ทีมงานหญิงหันเดินไป วราพรรณเซ็ง
“โธ่ เอ๊ย ทำไงดีเนี้ย”
วราพรรณนึกๆ แล้วนึกได้ หันไปตะโกนบอกทีมงานหญิง
“นี่รู้จักโปรดิวเซอร์ชื่อองอาจหรือเปล่าล่ะ!! ฉันเป็นแฟนเขานะ!!”
ทีมงานหญิง หันมามองหน้าวราพรรณด้วยความอึ้งสงสัย
นับดาวแต่งหน้า แต่งตัวเรียบร้อย เป็นไทเดินเข้ามาคุยด้วย
“ตื่นเต้นมั้ยครับ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ กลัวพลาด”
“ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าพลาดก็เทคได้”
“นั่นสินะ แต่ยังไงฉันก็อยากโชว์ฝีมือให้เต็มที่ สมกับที่ฉันเป็นแชมป์ชงชาจากฮอกไกโด”
“ผมน่ะ ชอบพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เห็นของจริงซักที มันเป็นศิลปะที่งดงามมาก แล้วยิ่งเป็นยูกิทำด้วย”
“ก็ชมกันเกินไป ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกค่ะ”
“ผมขอเป็นหนึ่งคนที่ได้ลองชิมชาของคุณนะครับ”
นับดาวเขิน
“ถ้างั้นฉันจะทำสุดฝีมือเลยค่ะ”
นับดาวเขิน เดินออกไป เป็นไทมองตามยิ้มๆ
วราพรรณเดินเข้าไปในสตูโออัดรายการ เห็นองอาจยืนคุยกับทีมงานทางด้านหลัง ไม่เห็นหน้า ทีมงานอื่นเข้าไปบอกบอกองอาจ
“พี่องอาจฮะ ...ทุกอย่างพร้อมแล้วนะฮะ...”
วราพรรณทำหน้าดีใจจะเข้าไปหา
“คุณองอาจ!!”
แต่พอองอาจหันมา วราพรรณเห็นหน้าว่าเป็นคนที่เคยทะเลาะกันเลย เหวอ องอาจยังไม่เห็นวราพรรณ
“เออ งั้น ไปบอกให้ยูกิสแตนด์บายรอได้เลย”
วราพรรณ เซ็ง
“อี เอ๊ย ไอ้องอาจ ที่แท้แกก็เป็นอีตาโปรดิวเซอร์เกย์นี่เอง”
องอาจหันจะเดินออกมา วราพรรณรีบคว้าถุงข้าวกล่องทีมงานยกขึ้นบังหน้า พอองอาจเดินพ้นไป วราพรรณค่อยถอนใจโล่งอก...แล้วทำหน้ายี้ใส่
“แหวะ ถ้าไม่สืบเรื่องยูกิ ฉันไม่มีทางเสียปากบอกเป็นแฟนแกหรอก เกย์เฒ่า แอ๊บแมน”
องอาจที่กำลัง เดินไป จามเสียงดังลั่นขึ้นมา
“ฮัดชิ้วววว ฮึยย ใครนินทาวะ...”
องอาจหันกลับไปมองทาง วราพรรณ อย่างไม่ได้ตั้งใจ วราพรรณสะดุ้งปิดปากตัวเอง รีบหันหน้าหนี แล้วรีบหยิบถุงข้าวขึ้นมาทำท่าจะหิ้วไปแจกทีมงาน อย่างเนียนๆ ดเสียงหญิงเล็กแหลม
“ข้าว...ข้าวมาแล้วค้า ทุกคน”
กล่องข้าวกล่องหนึ่ง หล่นลง องอาจมองเห็น รีบเข้าไปหยิบแล้วตาม เข้าไปหาวราพรรณ
“นี่น้อง ข้าวหล่น”
วราพรรณหน้าตื่น รีบเดินหนีอย่างเร็วไม่ยอมหันกลับไปรับกล่องข้าว
องอาจรีบวิ่งตาม ยื่นกล่องข้าวให้แต่วราพรรณไม่รับ องอาจ เลยวิ่งขึ้นไปแซง ดักหน้า
“น้อง ข้าวๆ เฮ้ยย น้องไม่ได้ยินเหรอ”
วราพรรณที่ก้มหน้าก้มตา วิ่งไม่ทันมองว่า องอาจไปดักหน้าแล้ว ก็เลย ชนเข้ากับองอาจเข้าอย่างจัง องอาจล้มหงายหลังลงไปกับพื้น วราพรรณล้มตามลงไปคร่อมตัวไว้ ...
ทั้งสองมองหน้ากันตะลึง เหมือนมีเคมีบางอย่างที่ต้องกัน วราพรรณมองตาองอาจแล้วรู้สึกเขิน รีบเบือนหน้าหนี กอดองอาจหลับหูหลับตาร้องลั่น
“อ๊าย ไอ้โรคจิต วิตถาร ปล่อยฉันนะ ปล่อยๆๆ”
“อ๊อยย ยายบ้า!! เธอแหละกอดฉัน”
วราพรรณชะงัก มองดูตัวเอง กอดองอาจอยู่จริงๆด้วย องอาจขำๆแซวยิ้มๆ
“ยายทอมกลับใจ จะปล้ำข่มขืนฉันเหรอ”
วราพรรณทั้งเขิน ทั้งเสียหน้า รีบสะบัดลุกขึ้นมา โวยต่อ
“ทุเรศ!...เรื่องอะไรฉันจะไปลวนลามอีแอบโรคจิตอย่างนายให้เสียเวลา...”
องอาจลุกตามขึ้นมา
“นี่เธอ ...พูดอย่างนี้หมายความว่าไง เธอว่าใครเป็นเกย์ฮ้า”
“ก็นายน่ะสิ เป็นเกย์ความจำเสื่อมเหรอไง ถึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นน่ะ”
วราพรรณหันจะเดินออกไป องอาจคว้าแขนดึงไว้
“เดี๋ยว!! ยายทอมปากกรรไกร นึกจะด่าแล้วเดินหนีไปง่ายๆเหรอ”
“ทำไม นายจะทำอะไรฉัน”
“จับส่งตำรวจ”
“เฮ้ย แค่ฉันว่านายเป็นเกย์เนี่ยนะ”
“ฉันไม่ปัญญาอ่อนอย่างเธอหรอก...”
“แล้วมาจับทำไมล่ะ ปล่อยฉันนะ”
วราพรรณ พยายามจะดึงมือออก
“ไม่ปล่อย”
องอาจดึงมือไว้ไม่ปล่อย
“ตอนแรกเธอบอกเป็นแฟนคลับ ต่อมาเป็นนักข่าว ตอนนี้ก็เป็นเด็กส่งข้าวอีก ใครส่งเธอมา มีเป้าหมายอะไรไม่ทราบ”
“บอกให้โง่เหรอ”
“งั้นก็ไปโรงพัก”
“ไม่ไปโว้ย!!”วราพรรณตวาดลั่นแล้ว ต่อยองอาจเข้าหน้า
“อ๊อยยย”
องอาจผงะ ร้องเจ็บ วราพรรณรีบวิ่งหนีออกไปเลย
“เฮ้ย! ยายทอมใจทมิฬ จะหนีไปไหน”
องอาจวิ่งตามไป วราพรรณวิ่งเลี้ยวผ่านมุมตึกมาหยุดหันรีหันขวางจะไปไหนดี เห็นประตูห้องหนึ่งรีบเปิดเข้าไปแอบ องอาจวิ่งผ่านมุมตึกมาหยุดหันรีหันขวางมองไม่เห็นใคร
“เผลอแป๊บเดียว หายไปไหนแล้ว”
วราพรรณที่แอบอยู่ในห้องตัดต่อถอนหายใจ
“เกือบไปแล้ว”
วราพรรณหันมาเห็นเจ้าหน้าที่ห้องตัดต่อมองหน้างง ๆ วราพรรณยิ้มแหย ๆ
“ห้องน้ำไปทางไหนคะ”
วราพรรณโผล่หน้าออกประตูมาหันซ้ายหันขวาไม่เห็นองอาจ ค่อย ๆ หันหลังปิดประตู
ทำท่าจะเดินออกไป แต่องอาจก็ย้อนกลับมาเสียก่อน วราพรรณรีบผลุบกลับไปในห้องตัดต่อเหมือนเดิม ยิ้มแหย ๆ กับทุกคน
“คือฉันขออยู่ในห้องนี้แป๊บนึง คือว่า...โอ๊ย หน้ามืด เป็นลม”
วราพรรณแกล้งเป็นลมล้มลง เจ้าหน้าที่ห้องตัดต่อเห็นรีบเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
ด้านนอก องอาจเดินบ่นมาอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่าให้เจอนะ ได้เห็นดีกันแน่”
องอาจเดินผ่านห้องตัดต่อก็นึกเอะใจขึ้นมา หันไปมอง
อ่านต่อหน้า 3
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5(ต่อ)
ภายในห้องตัดต่อ เจ้าหน้าที่ประคองวราพรรณนอนลง
“นอนที่นี่ก่อนเดี่ยวผมไปตามคนมาช่วย”
เจ้าหน้าที่ห้องตัดจะเปิดประตูออกไป แต่องอาจผลักประตูเข้ามาพอดี เจ้าหน้าที่ถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับคุณองอาจ”
“เห็นใครแปลกๆ ผ่านมาทางนี้มั้ย”
เจ้าหน้าที่คิดไม่ถึงว่าหมายถึงวราพรรณ
“แปลกๆเหรอครับ ก็ไม่มีนี่ครับ”
องอาจมองไม่เห็นวราพรรณเพราะตัวเจ้าหน้าที่บังอยู่ วราพรรณที่นอนอยู่พูดกับตัวเอง
“ตายแน่แล้ว”
วราพรรณรีบกระเถิบตัวแอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่องอาจชะโงกหน้ามองพอดี แต่ไม่เห็นอะไร องอาจไม่ติดใจทำท่าจะเดินออกไป วราพรรณที่แอบดูอยู่เป่าปาก โล่งอก แต่ทันใดนั้นองอาจก็หันขวับกลับมาอีก วราพรรณสะดุ้งรีบแอบ
“คลิปประวัติยูกิที่ให้ตัดต่อเสร็จหรือยัง”
“เหลืออีกนิดหน่อยครับ”
องอาจพยักหน้ารับรู้
“งั้นก็รีบ ๆ หน่อย ตัดเสร็จ ช่วยอัพลงเว็บให้ผมด้วย วันแถลงข่าวผมจะเปิดตัวเว็บไซด์นี้อย่างเป็นทางการด้วย รับรองทุกคนจะต้องฮือฮา เพราะจะเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับยูกิที่ยังไม่มีใครรู้”
วราพรรณที่แอบอยู่หูผึ่ง
“เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ยังไม่มีใครรู้”
องอาจ เจ้าหน้าทีห้องตัดต่อออกไป วราพรรณรีบออกมาจากที่ซ่อน วิ่งที่หน้าคอมพิวเตอร์ คลิกที่แอดเดรสบาร์และอิสทอรี่ หาที่อยู่เว็บไซด์ยูกิ พอได้แล้วรีบออกไปทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตัดต่อกลับเข้ามา พร้อมแก้วน้ำร้อนชงยาหอมเข้ามา
“ยาหอมได้แล้วคุณ”
เจ้าหน้าที่มองหา แต่วราพรรณ ไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้ว
ในสตูดิโออัดรายการ...การอัดรายการเริ่มต้นขึ้น บรรยากาศการทำงานของทุกคนคึกคัก เป็นไทกับองอาจยืนดูการอัดรายการ พิธีกรพูดเปิดรายการ
“วันนี้รายการของเรา จะมีซุปเปอร์สตาร์ญี่ปุ่นมากความสามารถมาในรายการของเรา เธอกำลังจะมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงเทพ มีใครรู้บ้างว่าใคร”
แฟนคลับที่ถือป้ายไฟพูดพร้อมกัน
“ไอยูกิ”
พิธีกรยิ้ม
“ใช่แล้ว วันนี้ไอยูกิไม่ได้มาพูดคุยกับเราเท่านั้น เธอยังจะมาโชว์ความสามารถอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมประจำชาติของญี่ปุ่นเลย นั่นก็คือการชงชา ซึ่งเธอคือแชมป์ชงชาจากเกาะฮอกไกโดเลยทีเดียว ...เราอย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ไปพบกับคุณไอยูกิกันเลย”
เสียงปรบมือดังกึกก้อง ทีมงานเข็นรถชงชาออกมา ออกแนวรถเข็นบ้านๆ คนดูงง องอาจกับเป็นไทก็งง พิธีกรก็งง นับดาวฉีกยิ้ม
“สวัสดีค่ะ วันนี้ฉันก็จะมาชงชานะคะ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ไฮ้”
นับดาวพูดจบก็โชว์ลีลาการทำชาชักที่เรียนมาทันที เธอใส่เต็มที่ สีหน้าเมามัน ทุกคนก็ดูกันอย่างงงๆ
“เอ่อ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย จะขอเทคมั้ยครับคุณไท” องอาจรีบถาม
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ดูน่ารักดี”
“แต่มันจะไม่เสียภาพลักษณ์เหรอครับ”
“ไม่หรอก”
นับดาวชักชาอย่างเมามันต่อไป
ไคคุงกับแพรวไพลินนั่งคุยกันอยู่ในร้านอาหาร
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจที่คุณชวนผมมาลงทุน ตอนนี้มันกำลังเริ่มต้นได้สวย” ไคคุงบอกอย่างเอาใจ
“ฉันไม่ห่วงหรอกเรื่องนั้น ฉันห่วงเรื่องแฟนของคุณมากกว่า”
“ยูกิน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะบอกให้นะ ไอ้ธุรกิจนั่นฉันไม่ได้สนใจนักหรอก ฉันสนแต่ว่า ทำยังไงแฟนคุณถึงจะเลิกยุ่งกับแฟนฉันซักที”
“ก็พวกเขาทำงานด้วยกัน”
“อย่าทำมาเข้าใจนักเลย คุณไม่สังเกตรึไง ว่าตั้งแต่คุณมาเมืองไทย ยายยูกิเคยมาสนใจดูแลอะไรคุณมั้ย ทั้งที่คุณอุตส่าห์ลำบากข้ามน้ำข้ามทะเลมาหา”
“แต่ผมก็นั่งเครื่องบินมานะ ไม่ได้นอนใต้ท้องเรือสำเภา มันก็ไม่ได้ลำบากตรงไหน” ไคคุงพูดซื่อๆ
แพรวไพลินรำคาญ
“ซื่อบื้อรึไง ฉันไม่ได้หมายความอย่างงั้น ฉันแค่อยากให้คุณสังเกตดูให้ดีว่ายายยูกิน่ะเปลี่ยนไป ไม่ได้สนใจคุณเหมือนเดิมแล้วน่ะสิ นับดูสิตั้งแต่คุณมาเนี่ย ได้เจอกับยูกิกี่ครั้งกัน”
ไคคุงนิ่งคิด แพรวไพลินยุ
“หัดโงหัวขึ้นมาดูซะบ้าง หรือว่าอยากจะเสียแฟนที่ฮอตที่สุดไป แต่บอกให้ว่าฉันไม่ยอมหรอก”
ไคคุงเถียงไม่ออก นิ่งคิดกับคำพูดแพรวไพลิน
ในสตูดิโออัดรายการ นับดาวให้สัมภาษณ์อยู่บนเวที หลังจากที่โชว์การชงชาแล้ว
“เอ่อ การชงชาเมื่อกี้นี่มัน ชาชัก มันญี่ปุ่นตรงไหนครับคุณยูกิ”
“ก็ชงชา ไม่ใช่แบบนี้เหรอคะ แหะ แหะ”
“ผมว่ามันออกไปทางมาเลมากกว่านะ”
นับดาวนึกในใจว่าซวยแล้ว เพราะทำผิดวิธร แต่แถพูดกับพิธีกร
“นี่แหละค่ะ ชาชักจากเกาะลังกาวีแท้ๆ เป็นของขวัญให้ทุกคน”
“เอ๊ะ แต่ตอนแรกจะชงชาญี่ปุ่นแบบเกาะฮอกไกโด”
นับดาวยิ้ม
“นั่นแน่ๆ ไม่รู้อะไร ชาวญี่ปุ่นน่ะใครๆก็เห็นฉันชงมาเยอะแล้ว แต่ทุกคนคงไม่รู้ว่าฉันชงชาชักมาเลได้ด้วย” นับดาวแกล้งพูดสำเนียงทองแดง “นี่ลงใต้ไปเรียนมาเลยนิ เพราะรู้ว่าคนไทยชอบ ใช่มั้ย...”
แฟนคลับตะโกนตอบเป็นคอรัสกลับมา
“ใช่”
พิธีกรยังงงๆอยู่
“แหม เล่นมาเซอร์ไพรส์กลางรายการเลยนะครับ แต่ว่าคุณยูกิถือว่าเป็นคนที่น่ารักมาก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมวัยรุ่นบ้านเราถึงชอบคุณมาก”
เป็นไทกับองอาจที่ยืนดูอยู่
“คนอะไรมีอะไรมาเซอร์ไพร์สตลอด ช่างเป็นคนละเอียดอ่อนจริงๆ”
เป็นไทยิ้ม
“น่ารักมากด้วย”
องอาจกระแอม
“เกินไป เกินไป อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนักครับคุณไท เดี๋ยวแฟนคุณก็มาวีนแตกหรอก”
เป็นไทไม่สนคำพูดองอาจ มองนับดาวยิ้มอย่างชื่นชม
หลังจากอัดรายการเสร็จ นับดาวเดินเข้ามาห้องแต่งตัว เธอถอนหายใจโล่งอก
“จะเอาตัวรอดไปได้ซักกี่ครั้งเนี่ยนับดาว”
องอาจกับเป็นไทเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับเดินตบมือให้นับดาว
“เก่งมากเลยครับคุณยูกิ” องอาจชม
“คุณนี่มีอะไรที่ผมคาดไม่ถึงตลอดเวลาเลย”
“แหะ แหะ”
ทีมงานเอาชาชักที่นับดาวชงใส่แก้วมาให้นับดาว
“นี่ชาที่คุณยูกิชงครับ”
นับดาวรับมา เธอยิ้มๆบอกเป็นไท
“เห็นคุณบอกว่าคุณอยากกินชาฝีมือฉัน...งั้นแก้วนี้ก็...”
แต่ยังไม่ทันยื่นให้ แพรวไพลินกับไคคุงก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“สวัสดีค่ะทุกคน”
องอาจพึมพำ
“งานเข้าแล้วไง”
นับดาวชะงักทันที แพรวไพลินเกาะแขนเป็นไท
“พี่ไท แพรวไปช้อปปิ้งมา เจอเสื้อตัวนึงเหมาะกับพี่ไทมากเลยแพรวเลยซื้อมาให้พี่ไท ถ้าใส่แล้วต้องหล่อมากแน่ๆ”
เป็นไทมองนับดาว เกรงใจเธอ แต่นับดาวก็ทำไม่สนใจหันไปทางอื่น แล้วไคคุงก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต
“คอนนิจิวะ ยูกิจัง”
“คอน...วะ ค่ะ”
นับดาวรับดอกไม้มา เธอมองเป็นไทหมั่นไส้ เธอเลยประชดด้วยการยื่นชาให้ไคคุง
“ฉันเพิ่งชงชาออกรายการ ฉันเลยตั้งใจเอามาฝากคุณ”
นับดาวยื่นแก้วชาให้ไคคุง
“น่ารักมาก คุณน่ารักแบบนี้เสมอเลย”
ไคคุงกอดนับดาว เป็นไทมองหมั่นไส้ เลยประชดนับดาวบ้าง
“ไหน เสื้ออะไร เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใส่เลยดีกว่า”
“จริงเหรอคะพี่ไท...พี่ไทน่ารักจังเลย”
แพรวไพลินซบเป็นไท นับดาวมองอย่างหมั่นไส้
“เอาละทีนี้ เราจะไปอยู่ตรงไหนดีวะเนี่ย”
องอาจยืนเก้ๆกังๆ ในสถานการณ์ที่ทั้งสองคู่ต่างประชดกันไปมา
องอาจต้องเซ็งหนักกว่าเดิม เมื่อต้องมานั่งในร้านอาหาร ระหว่างทั้งสองคู่ ขณะที่นั่งทานอาหารด้วยกัน เป็นไทตักกับข้าวให้แพรวไพลินแต่ตาก็มองที่นับดาว ตั้งใจประชดเธอ
“แพรวลองชิมนี่ อร่อยมาก”
“วันนี้พี่ไทน่ารักจังเลย”
แพรวไพลินทานอย่างว่าง่าย ไม่รู้เรื่องอะไร นับดาวเห็นเป็นไททำ จึงทำตามบ้าง เธอตักกับข้าวให้ไคคุงบ้าง
“ไคคุงลองทานนี่ โดดเด่นที่รสชาติหวานๆ เหมือนความรักของเรา”
นับดาวมองเป็นไทแล้วประชด
“อาริงาโตะ”
เป็นไทเอาบ้าง
“ส่วนไหนของปลาที่อร่อยที่สุดคะแพรว”
“น่าจะเป็นแก้มนะคะ”
เป็นไทตักแก้มปลาให้แพรวไพลิน
“งั้นทานนี่เลยค่ะ พี่ตักด้วยใจ”
แพรวไพลินฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เป็นไทเอาใจ
“ขอบคุณมากค่ะ”
นับดาวเอาบ้าง
“ไคคุง ส่วนไหนของมะเขือที่อร่อยที่สุดคะ”
“เอ่อ ผมไม่ทานมะเขือ ลืมไปแล้วเหรอ”
นับดาวตักมะเขือให้
“เลือกๆซักส่วนกินไปเถอะน่า”
ไคคุงงงๆ ฝืนใจกิน องอาจที่ดูทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น บ่นคนเดียว
“นี่เรามานั่งอยู่ในโต๊ะนี้ทำไมวะเนี่ย...องอาจเอื้อมไปตักปลา แกล้งเล่นเป็นสองคน “ส่วนไหนของปลาที่อร่อยที่สุดนะ อ๋อก็ส่วนที่เขากินเหลือไง”
องอาจ ตักพริกหยวกมาไว้ในจาน
“อุ๊ย ผมไม่กินมะเขือ งั้นก็กินพริกหยวกไปละกันแกน่ะ”
องอาจบ่นอยู่คนเดียวท่ามกลางบรรยากาศในโต๊ะ ที่ประชดกันไปกันมา
ที่ลานจอดรถ...ทั้งหมดเตรียมแยกย้ายกลับกัน แพรวไพลินควงเป็นไทติดแจ นับดาวแอบมองแล้วหมั่นไส้ เป็นไทก็มองนับดาวที่ควงไคคุงด้วยความหมั่นไส้เช่นกัน
“เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวต้องไปส่งแพรวอีก”
เป็นไทมองหน้านับดาว
“ตามสบายเถอะค่ะ ฉันกับไคคุงก็อยากอยู่กันสองคนเหมือนกัน”
องอาจเสนอหน้ามา
“ส่วนผม น่าจะไปได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังอยู่ ไม่ไปไหน”
นับดาวกับเป็นไทมองตากันอย่างหมั่นไส้กัน
เป็นไทขับรถอย่างไม่มีสมาธิ เพราะนึกถึงภาพภาพนับดาวกอดกับไคคุง จับมือกัน ป้อนข้าวกัน
“วันนี้พี่ไทน่ารักจังเลย พี่ไทไม่เคยทำดีกับแพรวขนาดนี้มาก่อนเลย”
รถจอดเอี้ยดกลางทาง องอาจกับแพรวไพลินงง
“พี่ไทจอดรถทำไมคะ”
“แพรวลงไปได้แล้ว”
“ห๊า”
“อ้าว ก็แพรวก็เอารถมานี่ แพรวขับรถแพรวกลับเองจะดีกว่า”
“แต่รถแพรวจอดอยู่อีกที่เลยนะคะ”
“ก็นั่งแท็กซี่กลับไปเอาละกัน”
“พี่ไท”
“พี่มีธุระต้องไปทำต่อ”
แพรวไพลินเซ็งลงจากรถไป
“จำไว้เลยนะพี่ไท”
องอาจเห็นแพรวไพลินถูกไล่ลง เขาพยายามทำตัวกลมกลืนกับเบาะ
“คิดซะว่าผมไม่อยู่ตรงนี้ละกันนะครับเจ้านาย”
เป็นไทพยักหน้าให้ไป
“ไปส่งแพรวไป”
“ผมสัญญาจะไม่พูดอะไรซักคำ นั่งเงียบๆเหมือนผีสิงเบาะ”
“ลงไป”
องอาจลงรถไปอย่างหน้าเซ็งๆ”
นับดาวนั่งหน้าเบื่อๆ เบือนหน้าออกนอกกระจก นึกถึงแพรวไพลินกับเป็นไทหวานแหววกัน
“ยูกิ”
นับดาวไม่ได้ยิน นิ่ง
“ยูกิ ยูกิ”
เป็นไทเอามือสะกิด นับดาวหันมาหาไคคุง
“เป็นอะไรรึเปล่า อยู่ๆก็เงียบ”
“เปล่าค่ะ เดี๋ยวคุณจอดส่งฉันแค่ข้างหน้าก็พอ”
ไคคุงงง
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวฉันจะไปซื้อของต่อน่ะ”
“เดี๋ยวผมไปซื้อเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยากไปคนเดียวมากกว่า”
“แต่ว่าผมไปกับคุณได้”
นับดาวดุ
“ก็บอกว่าไม่ต้อง”
ไคคุงกลัวนับดาวโกรธ รีบจอดรถเข้าข้างทาง นับดาวลงจากรถ
“ขอบคุณนะ”
นับดาวเดินไป ไคคุงที่อยู่ในรถมองตามนับดาวที่เดินออกไป เขาคิดถึงคำพูดของแพรวไพลินที่ให้สังเกตว่ายูกิเปลี่ยนไป
“คุณเปลี่ยนไปจริงๆด้วย”
นับดาวเดินเหงาๆที่ริมถนน เธอถอนหายใจกับชีวิตของเธอ เป็นไทขับรถเพื่อจะไปบ้านยูกิ ก็เห็นเธอเดินเหม่อๆอยู่ข้างทาง เป็นไทไม่จอดลงไป ได้แต่ขับรถตามแอบมองเธอห่างๆ ให้เธอกลับถึงบ้านปลอดภัย ทั้งคู่ต่างคิดถึงกันแต่ก็เหมือนมีอะไรมากั้นไว้
นับดาวเดินเข้าบ้านไป เป็นไทจอดรถหน้าบ้านมองเธอ เขาถอนหายใจ
“ผมไม่อยากใกล้คุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ค่ำคืนนั้น นับดาวโทรคุยกับวราพรรณ เพราะเธอไม่รู้จะปรึกษาใคร
“แกยุ่งอยู่รึเปล่า”
วราพรรณนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทั้งออฟฟิศปิดไฟมืด มีแต่บริเวณเธอเท่านั้นที่ยังเปิดไฟอยู่ เธอกำลังเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับยูกิอยู่ และคุยโทรศัพท์กับนับดาวไปด้วย
“ยุ่งว่ะ”
“อืม แกเคยไปแอบชอบใครรึเปล่าวะ”
“นี่แกไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยนี่หว่า”
“ตกลงเคยแอบชอบใครรึเปล่า”
“ก็เคยเหมือนกันนะ”
“มันรู้สึกยังไง”
วราพรรณพยายามนึก
“ก็แบบอยากเจอเขาทุกวัน เวลาเห็นเขาอยู่กับใครก็ไม่พอใจ”
“เหรอๆ แล้วแกทำไง”
“ทำไงได้ล่ะ มันก็ต้องแล้วแต่เขาว่าเขาชอบเรามั้ย”
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเขาคิดยังไงกับเรา”
“ก็ถามสิ”
“ไม่เอา ไม่ถาม มีวิธีอื่นมั้ย”
“นี่แกไปแอบชอบใครอยู่เนี่ย”
“เร็ว บอกวิธีมา ฉันอยากรู้” นับดาวเร่ง
วราพรรณรำคาญ
“มันยาว ฉันยุ่งอยู่”
“แกยุ่งแต่ฉันไม่ยุ่งนี่”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยนัดเจอกันละกัน ฉันจะทำงาน”
วราพรรณกดวางโทรศัพท์ นับดาวหัวเสียที่เพื่อนตัดบท
“แกนะแก คนกำลังกลุ้มใจอยู่แท้ๆ”
นับดาวเซ็ง ขณะที่วราพรรณสนใจหน้าคอม เพราะเธอเจอข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับยูกิที่สำคัญ ในหน้าเว็บไซต์เป็นประวัติของยูกิอย่างละเอียด แล้วมีข้อสำคัญข้อหนึ่งเขียนว่า
“สิ่งที่ชอบที่สุดในร่างกาย : ปานรูปพระจันทร์เสี้ยวที่หน้าอกด้านซ้าย”
นับดาวพยายามดูรูปยูกิเก่าๆตั้งแต่ญี่ปุ่น บางชุดที่เธอใส่เกาะอก หรือเปิดไหล่ซ้าย ก็มีปานรูปพระจันทร์อยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่รูปตามสื่อที่เพิ่งมาเมืองไทย เธอเห็นไม่ถนัด
“ปานเหรอ...ฉันต้องรู้ให้ได้เลย...”
ยูกิเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ที่หน้าอกของเธอ มีปานรูปจันทร์เสี้ยว แล้วอยู่ๆยามาดะก็โผล่เข้ามาในห้อง พรวดพราด ยูกิตกใจ รีบหันหลัง เอามือบังช่วงไหล่ที่เปลือยไว้
“เข้ามาทำไม”
ยามาดะหันหลัง ไม่กล้ามอง
“เอ่อ...ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“มีอะไร”
“ผมจะบอกว่า...อะไรที่คุณรู้คุณเห็นเกี่ยวกับผม ก็ทำลืมๆไปซะ มันไม่เคยสำคัญมาแบบไหน ให้มันไม่สำคัญต่อไปแบบนั้นแหละ”
“แต่...”
“นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ทุกคนสบายใจที่สุด”
ยามาดะรีบออกไปจากห้อง ยูกิมองตามเขาออกไป
นับดาวนัดกับวราพรรณที่ห้างสรรพสินค้า เธอมารออย่างกระวนกระวายใจ ทันทีที่เพื่อนมาถึงเธอก็โวยวาย
“ทำไมมาช้าแบบนี้”
“ช้าอะไร นี่ก็เลทจากเวลานัดไปไม่กี่นาทีเอง”
“นั่นแหละ ช้าแล้ว”
วราพรรณมองหน้าเพื่อน
“มีอะไรของแก ทำไมต้องร้อนใจขนาดนั้นด้วย”
“ก็ที่แกบอกว่า จะบอกวิธีที่พิสูจน์ว่าคนที่เราชอบอยู่ คิดยังไงกับเราน่ะ”
“เรื่องแค่เนี้ย”
“ไม่แค่นี้นะ เรื่องใหญ่เลย บอกมาสิ”
“นี่แกไปแอบชอบใครเนี่ย”
“แกบอกฉันมาก่อนสิ ฉันจะได้สบายใจ”
“ก่อนอื่นนะ แกต้องคอยสังเกตว่าเวลาแกกับเขาเดินแยกกันแล้ว เขามองเงาสะท้อนของแกในกระจกรึเปล่า”
“เงาสะท้อนในกระจก”
“ใช่ เพราะถ้าเขาแอบมองแกผ่านทางนั้น ฟันธงได้ 80% เลย ว่าเขาแอบชอบแกแน่ ยิ่งถ้าเวลาต้องแยกกันนะ มันจะยิ่งหมายความว่าเขาไม่อยากแยกกับแกเลย”
นับดาวคิดตามวิธีของนุ้ย
นับดาวเดินเข้ามาในห้องซ้อมเต้น เห็นเป็นไทนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอก็มีพิรุธ ไม่ปกติ”
เป็นไททักทายเนือยๆ
“มาแล้วเหรอครับ”
นับดาวยิ้มๆ ท่าทางหลุกหลิก ไม่ปกติ แอบบ่น
‘ต้องสังเกตท่าทีอาลัยอาวรณ์จากเงาสะท้อน’
แล้วหันไปพูดกับคนอื่น
“ไปแล้วนะ”
คนอื่นๆในห้องต่างๆก็งงๆ ที่นับดาวเพิ่งมา แต่ทำท่าจะไปแล้ว แต่เป็นไทกลับอ่านหนังสือไม่สนใจ นับดาวจ้องเป็นไทจากกระจกในห้องซ้อมเต้น ไม่เห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาเลย
“ไปจริงๆนะ”
เป็นไทก้มอ่านหนังสือไม่สนใจ”
นับดาวจ้องเป็นไทในกระจก
“หันมา หันมา หันมา”
แต่เป็นไทก็นิ่ง ไม่สนใจ นับดาวเซ็ง เดินออกไปจากห้อง พอนับดาวเดินออกไปจากห้อง เป็นไทก็ชะเง้อมองห่วงๆ
นับดาวเดินออกมาหน้าห้อง กระวนกระวาย
“ไม่สนใจเลย ไม่สนซักนิดเลยเหรอ ไม่ได้ต้องลองใหม่ อย่าเพิ่งสิ้นหวังสินับดาว”
นับดาวสูดหายใจเข้าปอดรวบรวมความกล้า เปิดประตูห้องเข้าไปอีกที ใจตรงกับเป็นไทที่เปิดออกมาเพื่อตามมาดูนับดาว ทั้งคู่ต่างก็ตกใจ
“อ้าว ยูกิ”
“แหะ แหะ กลับมาแล้ว”
“อ๋อ ครับ”
เป็นไทยิ้มเก้ๆกังๆ แล้วเดินออกไป
“อ้าว ไปซะแล้ว”
นับดาวเก้อ แอบตะโกนไล่หลังเป็นไทเบาๆ
“จะไปอีกแล้วนะ”
แต่เป็นไทก็ไม่หันมามอง นับดาวเซ็ง ขณะที่เป็นไทมายืนถอนหายใจหน้าห้องซ้อมเต้น
“ใจแข็งไว้เป็นไท อย่าใจอ่อนด้วยแววตาของเขา เขามีเจ้าของแล้ว”
เป็นไทเองก็ไม่สบายใจที่คอยห้ามใจตัวเองเช่นกัน
นับดาวซ้อมเต้นกับแดนเซอร์อยู่ในห้อง แต่เธอไม่ค่อยมีสมาธินัก เพราะเธอเอาแต่มองเงาสะท้อนของเป็นไทจากกระจก ซึ่งเป็นไทก็ดูไม่สนใจเธอเลย นับดาวน้อยใจ แล้วเธอก็นึกถึงสิ่งที่คุยกับวราพรรณ...
“แล้วมันมีวิธีอื่นอีกมั้ย แบบฉันอยากได้หลายๆอัน จะได้พิสูจน์ให้ชัวร์ๆ”
“โลภนะแกเนี่ย”
“น่า นะ บอกหน่อย”
“ถ้าวิธีแรกไม่ได้ผล ก็ต้องลองแกล้งว่าแกบาดเจ็บ หรือป่วย หรืออะไรก็ได้ที่ดูอ่อนแอเหลือเกิน แล้วดูว่าเขากระตือรือร้นที่จะมาดูแลแกมั้ย”
“พูดให้เป็นนามธรรมกว่านี้อีกนิดซิ”
“ก็เคยดูละครมั้ย ที่แบบนางเอกขาเจ็บ พระเอกจะต้องรีบเข้ามาช่วย เอาขึ้นหลังหรือนางเอกโดนมีดบาด พระเอกจะต้องมาดูดแผลให้ อะไรแบบนี้ คือเขาจะต้องเป็นห่วงแกออกนอกหน้ามาก เหมือนว่าสิ่งที่แกเป็นมันเรื่องใหญ่มาก อะไรเงี้ย”
“อืมมมม เข้าใจละ”
นับดาวคิดตามวิธีของวราพรรณ
นับดาวซ้อมเต้น คิดถึงสิ่งที่วราพรรณพูดเธอก็ยิ้มแล้วหัวเราะหึ หึออกมา เธอมองเงาสะท้อนของเป็นไทในกระจก แล้วก็แกล้งล้มคว่ำ
“โอ๊ย...”
คนในวงล้มกลิ้ง เป็นไทเห็นแว้บแรกก็ตกใจ รีบลุกจะมาช่วย แต่เขาก็คิดได้ ชะงัก
“เป็นอะไรมากรึเปล่ายูกิ”
คนในวงช่วยพยุงนับดาวลุกขึ้นนั่ง เป็นไทไม่เข้ามาใกล้ ตัวเธออารมณ์เสีย พยายามจะต่อเนื่องแผน
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวทำเป็นลุกขึ้นมา แต่ก็ทำเซถลาไปชนโครมกับกระจก ล้มกลิ้ง ม้วนหน้าคนในวงก็ตกใจ เป็นไทก็มองงงๆ ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่เข้าไปช่วย คนในวงพยุงนับดาวขึ้นอีก
“แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร” เป็นไทถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เลือดไหลออกจมูกนับดา เธอโกรธที่เป็นไทดูไม่เป็นห่วงเธอเลย จึงลุกยืนขึ้นอีก คราวนี้ทำถลาล้มไปทางที่เป็นไทยืนอยู่ เป็นไทตกใจหลบ นับดาวล้มกลิ้งไปอีก เป็นไทยืนมองแต่ไม่จับตัว แดนเซอร์ก็เข้าไปพยุงช่วยเธอ
“ยูกิ คุณไม่ได้เมาใช่มั้ย”
“เปล่า”
นับดาวนั่งกับพื้นเงยหน้าขึ้นมา มองเป็นไทด้วยความโมโหที่เขาไม่คิดจะช่วยเธอเลย
“ไปโรงพยาบาลมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวพูดไปเลือดกลบปาก รู้สึกเซ็งที่ทุกอย่างไม่เป็นดังใจเธอเลย
อ่านต่อหน้า 4
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 5(ต่อ)
ทีมแดนเซอร์ทยอยออกจากห้องซ้อมไป เป็นไทนั่งชะเง้อมองหานับดาว ที่ยังไม่ออกมาจากห้องแต่งตัวซักที แต่พอเห็นเธอเดินออกมา เขาก็ทำเป็นจดข้อมูลงานต่างๆ ลงในแฟ้ม ไม่ได้สนใจเธอ นับดาวเดินออกมายังเจ็บปากอยู่มาก เห็นเป็นไทยังนั่งอยู่ และไม่สนใจเธอเหมือนเดิม
นับดาวทำเป็นเดินเสียงดังเป็นการบอกว่าเธอมาแล้ว แต่เขาก็ไม่เงยหน้าขึ้นมา เธอทำเดินผ่านหน้า เขาก็ไม่สน เธอมองเขาอย่างเคืองๆ แล้วก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เธอคุยกับวราพรรณก่อนหน้านี้
“แล้วมันมีวิธีอื่นอีกมั้ย”
“เฮ้ย 2 อันก็ชัวร์แล้วนะ ถ้าเขาไม่สนก็เลิกพิสูจน์อะไรได้แล้ว”
“ไม่เอาสิ สำรองเผื่อไว้อีกอันเถอะ เผื่อเหลือเผื่อขาด”
“เออ ก็ได้...ข้อสุดท้ายนะ แกต้องลองทำตัวมีปัญหา”
“ทำตัวมีปัญหา ติดยา อะไรแบบนี้น่ะเหรอ”
วราพรรณส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงว่าให้แกทำว่ามีเรื่องไม่สบายใจ ไปปรึกษาเขา แบบว่ามีเรื่องเครียดมาก ตัดสินใจไม่ได้ อยากให้ใครซักคนเข้าใจ”
“แล้วไงต่อวะ”
“ก็ถ้าเขาใส่ใจกับปัญหาของแก เป็นห่วงแก คอยถามไถ่แกนะ นั่นแหละ ฟันธงไปเลย”
นับดาวพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วไอ้ปัญหาที่แกว่านี่ ต้องเป็นเรื่องยังไงวะ”
“อืม...แกเคยมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบ้างล่ะ”
“ฉันเหรอ ก็...ซื้อหวยไม่เคยถูก ตกงานบ่อย ชอบมีเชื้อราขึ้นที่เท้า”
“พอเลยแก ฉันกลัวผู้ชายจะรังเกียจมากกว่าเป็นห่วงนะ”
นับดาวเหวอไป
“อ้าว”
“แกต้องปรึกษาเรื่องเพื่อน เรื่องงาน ไม่ก็เรื่องหัวใจเว้ย เอาให้มันดูดีเป็นคนมีแก่นสารหน่อย”
“อืม...อย่างนี้นี่เอง”
“แล้วตกลงใครวะ”
“เออ ฉันต้องรีบไปแล้วนะ ขอบใจมากเพื่อน”
นับดาวรีบวิ่งไป วราพรรณงงๆ
“อ้าว...ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ไปเลยนะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าใคร”
วราพรรณเซ็งๆ
นับดาวมองไปที่เป็นไท แล้วกระแอมเสียงดัง
“วันนี้คุณไทดูยุ่งจังเลยนะคะ”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“คือ...ฉันมีปัญหาหนักใจนิดหน่อยน่ะค่ะ อยากคุยกับใครซักคน”
“เหรอครับ ไม่โทรหาคุณไคคุงละครับ”
นับดาวเซ็ง
“เขาไม่เข้าใจฉันหรอกค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่อง...เอ่อ...เรื่อง...งานน่ะค่ะ”
“เอ่อ...ผมทำอะไรให้คุณลำบากใจรึเปล่าครับเนี่ย”
นับดาวคิดในใจ
‘ห่วงเราแล้ว’
“สิ่งที่ผมพูด หมายถึงว่าอยากให้เราทำงานด้วยกันอย่างสบายใจทั้งคู่ งานจะได้ออกมาดี”
นับดาวจ๋อย คิดในใจ
“อ้าว ก็นึกว่าห่วงเรา...ฉันก็อยากให้งานออกมาดีค่ะ”
“แล้วตกลงมีเรื่องอะไรครับ”
“เอ่อ...ฉันกลัวจะทำออกมาได้ไม่น่ะค่ะ เครียดมากเลย”
“นึกว่าเรื่องอะไร...อย่าไปกลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสิครับ”
นับดาวคิดในใจ
“นั่นแน่ ก็แอบห่วง”
“เดี๋ยวถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนละกันนะครับ”
“อ้าว”
“ทำไมละครับ”
นับดาวไม่อยากให้ไป
“จริงๆ ก็มีปัญหาอื่นอีกค่ะ”
“ปัญหาอะไรครับ”
นับดาวนิ่งคิด ว่าจะสร้างเรื่องอะไรดี
ค่ำนั้น...สังวรณ์เดินเข้ามาในงานเลี้ยงรุ่นเล็กๆ ที่จัดงานแบบกันเอง คนยังมากันไม่หนาตานัก เขาทำหน้าเบ้ๆ ดูถูกคนอื่นๆในงาน แล้วเดินไปที่เวทีคุยกับเพื่อนที่เป็นคนจัดงาน
“งานเล็กๆแค่นี้จะจัดทำไมวะ”
“อ้าว สังวรณ์ มาพอดีเลยนะ”
“ช่วยเรียกให้ถูก ฉันเปลี่ยนชื่อเป็นซังวอนแล้วเว้ย”
“เออ จะชื่ออะไรก็เถอะ แต่แกต้องขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวทีให้ด้วยนะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันถนัดอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในรุ่นเรา”
เพื่อนหมั่นไส้
“เออ แกเก่ง”
สังวรณ์ยิ้มภูมิใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว...ฉันขอดูสคริปต์งานหน่อย”
“สคริปต์อะไร ไม่มีหรอก งานมันเล็กๆ แกก็แค่ขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆ แล้วก็ส่งให้นักร้องที่จะมาร้อง แค่นั้นพอ”
“นักร้อง เอาใครมาวะ น้องน้ำชา หรือ เฟย์ฟางแก้ว”
เพื่อนงงๆ
“น้ำชาอะไรของแกวะ”
“น้ำชาที่ร้อง” สังวรณ์ร้องพร้อมเต้น “รักแท้รักที่อะไร ตับไตไส้พุง หรือรักกางเกงที่นุ่งก็ดูสวยดี แบบนี้ไง”
เพื่อนมองสมเพช
“น้องน้ำชาเขาเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ ดูแกทำเข้า”
สังวรณ์ชะงักกึก
“อย่ามาว่าน้องน้ำชานะเว้ย แล้วนี่แกเอาใครมาร้องเพลงในงานวะ”
“คุณรจนา”
สังวรณ์ แปลกใจ
“รจนาไหนวะ”
“ก็รจนา นักร้องนำวงสุนทรีย์ภรณ์ไง”
สังวรณ์ตาเหลือก
“ห๊า...วงสุนทรีย์ภรณ์เนี่ยนะ นี่มันงานเลี้ยงรุ่นอาม่าที่สนามม้านางเลิ้งรึเปล่าเนี่ย”
สังวรณ์เซ็งมาก
รจนาแต่งตัวด้วยชุดราตรีสวย แต่งหน้าเต็ม สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจก รจนามองตัวเอง แล้วนึกย้อนถึงคำพูดของหมอ ที่ว่าห้ามเธอใช้เสียง เธอมองแผ่นเสียงเก่าๆของวงสุนทรีย์ภรณ์ของเธอ
“ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันรัก”
เป็นไทค่อนข้างลำบากใจที่เขาต้องมาใกล้ชิดกับนับดาวอีก ทั้งที่เขาพยายามจะตีตัวออกห่าง คุยเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เขาลำบากใจยังไม่ออกจากรถ ส่วนนับดาวออกไปรอด้านนอกแล้ว
‘ห้ามใจไว้เป็นไท อย่าหวั่นไหวเด็ดขาด เขามีเจ้าของแล้ว เขาคงไม่มาสนใจคนอย่างเรา’
เป็นไทถอนหายใจรวบรวมความกล้าออกมาจากรถ...นับดาวหันมายิ้มให้ เป็นไทพยายามหลบตาไม่มอง
“ตกลงคุณมีปัญหาอะไรครับ”
“คือฉัน...”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เป็นไทดังขึ้น เขาขอตัวรับโทรศัพท์ นับดาวจะเล่า ก็เก้อไป
“เออว่าไง...จัดการได้เลยเรื่องนั้น...ถูก...เจ้าไหนมีปัญหา...ถ้างั้นก็เปลี่ยนเลย เพราะถ้ามีปัญหายิบย่อยแบบนี้คงมีเรื่อยๆแน่...ใช่...ตกลงตามนั้น...โอเค” เป็นไทกดวางสาย “โทษทีครับ ธุระเรื่องงาน เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”
“ฉันจะบอกคุณว่า...”
โทรศัพท์เป็นไทดังขึ้นอีก เขาขอตัวรับ นับดาวจะเล่าๆ ก็เก้อไปอีกครั้ง
“เออ มีอะไรอีก...รถบรรทุกของโดนจับวิ่งนอกเวลา...แล้วใครให้ขนของตอนนี้เล่า...โทรหาองอาจเลย เรื่องตำรวจผมไม่ถนัด เออ โอเค...แค่นี้นะ” เป็นไทวางสาย “ขอโทษจริงๆครับ เดี๋ยวปิดเสียงเลย คราวนี้ไม่ด่วนไม่รับเลย” เขากดปิดเสียง “ว่าต่อได้เลยครับ”
นับดาวถอนหายใจ หันหลังให้เขา
“สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ ฉันคงพูดตอนมองหน้าคุณไม่ได้ เพราะฉันอายกับสิ่งที่ฉันทำลงไป จริงๆฉันก็ไม่อยากบอกคุณหรอก แต่ฉันคิดว่าฉันคงชอบคุณเข้าแล้ว ฉันเลยไม่อยากโกหกคุณอีก จริงๆแล้ว ฉันไม่ใช่ยูกิ”
เสียงเป็นไทดังขึ้น
“อะไรนะ”
“ใช่...ที่คุณได้ยินน่ะถูกแล้ว”
“องอาจปิดเครื่อง ได้ไงเนี่ย ก็รู้ๆกันอยู่ว่าช่วงนี้เรายุ่งๆ...”
นับดาวงงๆ หันหลังกลับไปดู เห็นเขากำลังคุยโทรศัพท์ เธอเสียอารมณ์มาก
“แล้วนี่อยู่โรงพักไหน...เออ เดี๋ยวรีบไปจัดการให้...แล้วก็พยายามโทรหาองอาจด้วยล่ะ มันมีเส้นสาย จะได้ง่ายขึ้น ...เออ แล้วเจอกัน” เป็นไทวางสาย มองนับดาวหน้าแหยๆ “พอดีโทรศัพท์มันสั่น จักกะจี๋หน้าขาเลยต้องรับ เมื่อกี้ถึงตอน ฉันคงพูดตอนมองหน้าคุณไม่ได้แล้ว แล้วไงต่อครับ”
นับดาวเซ็งมาก
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ คุณไปช่วยลูกน้องที่โรงพักเถอะ”
เป็นไทอึ้ง
“รู้ด้วยเหรอ”
“รับโทรศัพท์ถี่ขนาดนี้ ไม่ได้ยินก็บ้าแล้ว”
นับดาวมองค้อน
สังวรณ์ยืนอยู่บนเวทีงานเลี้ยงรุ่น เขากล่าวเปิดงาน
“หลังจากที่เราจบมัธยมกันไป ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์กันพร้อมหน้าแบบนี้ ถึงมันจะเป็นงานเลี้ยงรุ่นง่อยๆที่ผมไม่ค่อยอยากจะมาเท่าไหร่ แต่ด้วยเห็นแก่เพื่อนๆทุกคนที่ไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองกันเท่าไหร่ ผมก็เลยจำต้องมาเพื่อให้ทุกคนได้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับ ซีซังวอน คนนี้ ถือเป็นโชคดีของทุกคนที่เราเคยเรียนมารุ่นเดียวกัน”
ผู้คนในงานมองงงๆ เหมือนรู้สึกถูกด่า
“เอาล่ะ...หลังจากคำกล่าวเปิดงานของผม เราก็จะมีเพลงมาให้ฟัง จากนักร้องแก่ๆ ที่ไม่ยอมคืนไมค์ คนจัดงานคงกลัวว่างานคืนนี้จะกร่อยไม่พอ เดี๋ยวขอเชิญคุณรจนาบนเวทีเลยครับ มาสัมภาษณ์กันหน่อย”
รจนาเดินขึ้นมาบนเวที มีความสุข ยิ้มให้ทุกคน ทุกคนปรบมือให้ แววตาเธอมีความสุขมากคิดถึงการร้องเพลงเหลือเกิน
“หายหน้าไปนานเลยนะครับ แก่กว่าที่คิดไว้อีก”
รจนายิ้ม
“ชมกันเกินไปค่ะ นี่ขนาดแต่งหน้าเต็มที่แล้วนะคะ ถ้ารองพื้นน้อยกว่านี้แก่กว่านี้อีกค่ะ”
คนหัวเราะกับสิ่งที่รจนาพูด สังวรถามต่อ
“หายไปจากจอทีวีเลยนะครับ”
“ไม่ค่อยรับงานออกสื่อค่ะ จะรับก็แต่งานอีเว้นท์ เพราะตั้งใจไปเรียนให้จบน่ะค่ะ พ่อแม่จะได้ภูมิใจ”
“รุ่นนี้พ่อแม่ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย เออ...แล้วผมอยากจะบอกให้ทุกคนที่ไม่ได้ทำงานวงการบันเทิงเข้าใจนะครับว่า ถ้าดาราบอกว่ารับแต่งานอีเว้นท์ หมายถึงว่าไม่มีงาน รีบๆเรียกฉันไปเล่นหนัง เล่นละครเถอะ เงินจะหมดแล้ว”
รจนายิ้มรับ เหมือนไม่เข้าใจว่าสังวรณ์ด่า คนหัวเราะกับการปะทะคารมของสังวรกับรจนา
รถเป็นไทมาจอดหน้าบ้าน นับดาวยังงอนๆที่เขาไม่สนใจเธอเลย
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ มีปัญหามาให้แก้ตลอดเวลาเลย”
“เอาเถอะค่ะ ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะ”
“เออ มันมีจดหมายจากแฟนคลับของคุณเขียนมาที่บริษัท อยู่ด้านหลัง เดี๋ยวผมหยิบให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันหยิบเอง”
เป็นไทกับนับดาวต่างใจตรงกันหันไปหยิบของที่เบาะหลัง ปากของเขาไปโดนแก้มของเธอพอดี ทั้งคู่ชะงักมองตากัน ต่างคนต่างอาย
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
นับดาวถอยออกมาไม่กล้าสบตาเขา เป็นไทยื่นไปหยิบปึกจดหมายจากด้านหลังรถมายื่นให้ นับดาวรับมาลงจากรถรีบวิ่งเข้าบ้านด้วยความอาย เป็นไทมองแล้วเผลอยิ้มออกมา
นับดาววิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูด้วยความอาย แล้วเธอก็เอามือจับแก้ม แล้วเต้นบ้าบอมีความสุขมาก นับดาวสังเกตเห็นบ้านเงียบๆ เธอมองไปตามมุมต่างๆของบ้าน ไม่เห็นใครจึงเรียกหารจนา
“ย่า...ย่า...อยู่ไหนน่ะ”
นับดาวตะโกนหาย่าไปตามมุมต่างๆของบ้าน เธอเดินหาเข้ามาในห้อง แต่รจนาก็ไม่อยู่ เธอสังเกตเห็นว่าหน้ากระจกมีเครื่องสำอางวางระเกะระกะ ลิปติกถูกเปิดไว้ นับดาวหยิบดู สงสัยหันไปเห็นชุดราตรีหลายชุดวางเกลื่อนบนเตียง
“ย่าคงไม่...”
เธอเดินกลับมาหน้ากระจก เห็นสมุดคิวงานของรจนาวางอยู่ มีจดว่าวันนี้ไปงานเลี้ยงรุ่น
“นั่นไง ชัดเลย”
นับดาวรีบร้อนออกไป
บนเวทีรจนากำลังร้อเพลง “ด่วนพิศวาส” อยู่อย่างไพเราะ แววตาของเธอมีความสุขกับการได้ร้องเพลงมาก สังวรณ์เดินเข้ามายืนมอง
“อือหือ เพลง...กลัวคนจะสนุกมั้งเนี่ย”
สังวรส่ายหน้าให้กับเพลงลูกกรุงของรจนา
นับดาวออกมาริมถนนโบกแท็กซี่ แล้วก็โทรศัพท์ไปด้วย แท็กซี่จอด เธอขึ้นไปนั่ง ยื่นแผนที่ให้แท็กซี่
“ไปตามนี้เลยพี่”
นับดาวยังจดจ่อกับโทรศัพท์ที่โทรออก
“หมอเหรอ...ฉันนับดาวนะคะ...คนที่ย่าผ่าตัดเส้นเสียงน่ะค่ะ คือฉันอยากจะรู้ว่าถ้าสมมติว่าย่าฉันใช้เสียงก่อนเวลาที่กำหนดมันจะอันตรายแค่ไหนคะ...”
นับดาวร้อนใจ ฟังคำตอบหมอในแท็กซี่
รจนาร้องเพลงจบ พูดกับแขกในงานอยู่บนเวที
“ต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะคะ ที่วันนี้อาจจะร้องไม่ค่อยเต็มเสียงนัก คือฉันเพิ่งผ่าตัดเส้นเสียงมา สาเหตุก็มาจากใช้เสียงมากจนเกินไป”
สังวรณ์ที่นั่งอยู่ด้านล่างวิจารณ์รจนา
“เอ้า...เข้าดราม่าอีก นอกจากไม่ชวนสนุกแล้ว ยังชวนกันเวทนาอีก มีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย”
สังวรเดินออกไปจากงาน...ขณะเดียวกันนั้นนับดาวเดินเข้ามาหน้างานเลี้ยงรุ่น เธอถามคนที่อยู่ด้านหน้า
“เอ่อคุณคะ ย่าฉัน...คุณรจนาน่ะค่ะ มาร้องเพลงที่งานนี้รึเปล่าคะ”
คนที่หน้างานชี้เข้าไปด้านใน
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาววิ่งสวนเข้าไปด้านใน ชนกับสังวรณ์ สังวรณ์หันไปจะด่า แต่นับดาวกล่าวขอโทษทั้งที่ไม่หันหน้ากลับมา รีบวิ่งเข้าไปด้านใน
“ขอโทษนะคะ”
สังวรณ์บ่น
“อะไรของมัน ไร้มารยาทสิ้นดี”
สังวรณ์เดินต่อไป...นับดาวเข้ามาในงาน เห็นรจนากำลังพูดอยู่บนเวที เธอจะเดินเข้าไปห้าม เสียงรจนาดังขึ้นก่อน...
“พวกคุณรู้มั้ยคะว่าคนผ่าตัดเส้นเสียงต้องทำอะไรบ้าง ก็ทำทุกอย่างเหมือนปกติแหละค่ะ เพียงแต่ห้ามใช้เสียง จริงๆฉันไม่ควรจะมาร้องเพลงวันนี้หรอกค่ะ แต่ฉันก็ลองมาทบทวนดูแล้ว ฉันจะตายวันนี้ วันพรุ่งก็ไม่รู้ ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่มันทำให้ฉันมีความสุข ไม่ได้ทำในสิ่งที่ฉันฝัน ฉันคงเป็นคนแก่ที่ตายไปอย่างไร้ค่าที่สุด”
นับดาวได้ยินสิ่งที่ย่าพูดก็ชะงัก จากที่จะไปห้าม เธอก็ยืนนิ่ง ฟังย่าพูด
“ในเมื่อสิ่งแรกที่ฉันตื่นมาแล้วคิดถึงคือการร้องเพลง แล้วสิ่งสุดท้ายก่อนจะหลับตานอนฉันก็คิดถึงการร้องเพลง ฉันจะต้องไปสนใจอะไรอีก นี่คือความฝันของฉัน”
คนในงานปรบมือให้กับคำพูดของรจนา นับดาวมองย่าตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ภูมิใจ
เวลาผ่านไป รจนาเดินออกมาจากงาน นับดาวยืนยิ้มรับ
“หนูมารับย่ากลับบ้านด้วยกัน”
รจนายิ้มให้หลานตัวเองบางๆ นับดาวจูงย่าของตนเดินออกไป ผู้คนต่างซุบซิบๆกัน
“หลานของคุณรจนาหน้าตาน่ารักมากเลยเนอะ”
“ใช่...สวยยังกับเป็นดาราเลย”
สังวรณ์เดินเข้ามาได้ยินพอดี หน้าหื่นทันที
“ใคร...ใครน่ารัก...ไหน”
“ก็หลานคุณรจนาที่พากันเดินออกไปทางโน้นไง”
สังวรณ์มองตามไป เขาเห็นนับดาวกำลังจูงรจนาออกไป แม้จะเห็นหน้านับดาวแค่แว้บเดียว แต่เขาก็ตกใจ เพราะมีส่วนคล้ายยูกิมาก
“คล้ายยูกิมาก”
สังวรณ์รีบวิ่งตามไป
สังวรณ์วิ่งตามนับดาวมาถึงริมถนน เห็นเธอกับรจนาพากันขึ้นแท็กซี่ออกไปพอดี สังวรณ์เจ็บใจที่ตามไม่ทัน
“หลานของอดีตนักร้องวงสุนทรีย์ภรณ์ เหรอ ชักเห็นอะไรสนุกๆแล้วสิ”
สังวรณ์มองตามอย่างสนใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน รจนากับนับดาวนั่งคุยกันอยู่ในห้อง
“หนูไม่ว่าสิ่งที่ย่าทำไปวันนี้หรอกนะ แต่หนูแค่อยากจะบอกว่าหนูเป็นห่วง ไม่อยากให้ย่าหักโหมในการใช้เสียงเกินไป”
“ย่าก็จะไม่ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่หรอกนะ ย่าแค่เป็นห่วง แต่เราก็โตแล้ว น่าจะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี”
“ก็ย่าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราควรจะทำตามฝัน หนูอยากเป็นดารา โอกาสมันมาถึงแล้วนะย่า”
“แต่สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่การเป็นดารา แต่มันคือการเป็นคนอื่น”
นับดาวสลดลง
“หนูรู้ แต่ขอโอกาสได้สัมผัส ได้ชื่นชม กับสิ่งที่หนูใฝ่ฝันมาตลอดบ้างได้มั้ย แม้ว่าความจริงมันจะเป็นไปไม่ได้ แค่ความฝันชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี”
เป็นไทกับองอาจนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน องอาจหลับกรนคร่อกๆ ส่วนเป็นไทเอามือก่ายหน้าผากนอนคิดเรื่องนับดาว เขานึกถึงภาพที่เขาบังเอิญหอมแก้มเธอในรถ เป็นไทกระวนกระวายใจ ถอนหายใจ หันไปมององอาจที่หลับไม่รู้เรื่อง เขาเอาเท้าถีบขาองอาจ
“องอาจ...องอาจ”
เป็นไทถีบแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงดังขึ้น จนองอาจตื่น
“หืม”
“หลับยัง”
องอาจงัวเงียมาก
“หลับแล้ว”
“คนหลับจะตอบได้ไง”
องอาจงัวเงียมาก
“โห เล่นถีบขนาดนี้ใครไม่ตื่น นึกว่าสึนามิซัด”
“คุณเคยแอบชอบใครรึเปล่า”
เป็นไทถามในสิ่งที่อยากรู้...
นับดาวยังคงนั่งคุยกับรจนาอยู่ในห้อง รจนาถามอย่างเป็นห่วง
“แล้วมันมีความสุขมั้ย ไอ้สิ่งที่เราทำอยู่น่ะ”
“มันก็สุขๆทุกข์น่ะ แต่มันดีมากเลยนะย่า มีคนมาชอบเรา มาชื่นชมเราเต็มไปหมดเลย”
“เขาชื่นชมยูกิต่างหาก ไม่ใช่นับดาว เขาตะโกนเรียกชื่อเราออกมาซักคำมั้ย”
นับดาวส่ายหน้า
“มองเข้าไปในตาของคนที่คิดว่าเขาชื่นชมเราสิ เห็นเราอยู่ในนั้นมั้ย”
นับดาวส่ายหน้าอีก
“มันมีแต่คนชื่อยูกิใช่มั้ย ลองฟังเพลงที่เขาร้องสิ เขาพูดกับเรามั้ย”
“พอแล้วย่า แค่นี้หนูก็เศร้าจะแย่แล้ว”
“งั้นก็ลองคิดดีๆ ว่าควรจะทำต่อไปมั้ย”
“แต่หนูไม่รู้ว่ายูกิตัวจริงเขาอยู่ไหน ถ้าไม่มียูกิ งานคอนเสิร์ตก็ล่ม แล้วมันก็จะเต็มไปด้วยคนผิดหวัง”
“เราคิดจะทำเพื่อคนอื่นจริงๆเหรอนับดาว”
นับดาวนิ่ง ไม่ตอบอะไรย่า ได้แต่ก้มหน้าเงียบ
องอาจงัวเงียมาก เมื่อถูกเป็นไท ปลุกขึ้นมากลางดึก
“คุยตอนเช้าได้มั้ย ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ชอบใครละ”
“ถ้าตอนเช้าก็คุยเรื่องลาออกเลยก็แล้วกัน”
องอาจงัวเงียมาก “ได้” นอนต่อ แล้วก็สะดุ้งขึ้นมา “ลาออก”
“หรือจะคุยเรื่องลาออกตอนนี้”
“โหยเจ้านาย ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดอีกแล้ว วันนี้ผมทำงานให้เจ้านายทั้งวันเลยนะ”
“ยังเหลือหน้าที่อีกอย่าง คือคุยกับผมตอนนี้ไง”
องอาจมองนาฬิกา บอกเวลาตีสอง
“นี่ผมทำงานออแกไนซ์หรือฝึกรด.กันแน่ ปลุกขึ้นมาไปขโมยธงตอนตีสอง สบายละ”
องอาจหน้าง่วงแต่ก็ต้องฝืนคุยกับเป็นไท
นับดาวนอนกลิ้งไปกลิ้งมา นอนไม่หลับ ในหัวเธอมีแต่ภาพเป็นไทที่ยิ้มให้ ภาพที่ล้มตอนเต้นแล้วเป็นไทมาประคอง ภาพเป็นไทเมินเฉยไม่สนใจตอนเธอมองผ่านกระจก ตอนเธอแกล้งล้มหน้าทิ่ม
“โอ๊ย...จะมัวคิดถึงเขาทำไมเนี่ย เขาจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ไม่ใช่ตัวเธออยู่ดีนับดาว เขาเห็นแต่ยูกิ ยูกิ ยูกิ ยูกิ”
นับดาวมองจดหมายแฟนคลับ ที่เขียนจ่าหน้าซองถึงยูกิเป็นตั้งๆที่หัวเตียง เธอแกะมันอ่านฉบับหนึ่งเป็นลายมือของคนที่หัดเขียนภาษาญี่ปุ่นมาถึงยูกิ ตอนท้ายมีเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า I Love Yuki นับดาวปิดมัน
“ฉันอ่านไม่ออก เพราะไม่ใช่ยูกิ”
นับดาวเอาหมอนปิดหน้าตัวเอง ไม่อยากยอมรับความจริง
“เธอไม่ใช่ยูกิ เธอไม่ใช่ยูกิ เธอไม่ใช่ยูกิ”
องอาจยังงัวเงียคุยกับเป็นไท
“คุณเคยแอบชอบใครมั้ย”
องอาจส่ายหน้า
“ไม่เคย”
เป็นไทจ้องอย่างไม่เชื่อ
“ทำไมไม่เคย ชีวิตนี้ไม่เคยแอบชอบใครซักครั้งเลยรึไง”
“ไม่ เพราะถ้าผมชอบใครผมก็บอกเลย ไม่เคยแอบซักครั้ง”
“บอกไปแล้วเคยสมหวังบ้างมั้ย”
“ถ้าเคยคงไม่มานอนกับผู้ชายอยู่อย่างนี้หรอกมั้งครับ”
“อ้าว แล้วบอกทำไม”
“แล้วจะเก็บไว้ทำไม ชีวิตคนไม่ใช่หนังเกาหลี แอบรักกันไป แอบรักกันมา กว่าจะรู้ก็เป็นโรคตายซะละ ไม่ว่าจะบอกช้าหรือเร็ว ถ้าเขาไม่ชอบ เราก็อกหักอยู่ดี แล้วเราจะยืดเวลาไปทำไม ชอบไม่ชอบว่ากันไป ไม่เอาเราจะได้ไปชอบคนอื่น”
“แล้วถ้าเขามีแฟนแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย เราชอบเขา แล้วเราจะฆ่าแฟนเขามั้ย ก็เปล่า มันไม่เกี่ยวกัน”
“แต่มันไม่ผิดศีลธรรมเหรอ”
“ผิดอะไร เราไม่แย่ง เราแค่เพิ่มทางเลือกให้เขา เขาจะตัดสินใจยังไงมันก็เรื่องก็เขา ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย หน้าที่ของเราแค่แสดงเจตจำนงเท่านั้นเอง”
เป็นไทลังเล
“จะดีเหรอ บอกไปเลยเนี่ยนะ”
“ผมให้เวลาไปคิดเป็นการบ้านละกัน พรุ่งนี้เช้าเอามาส่งด้วยนะ”
องอาจล้มตัวลงนอนต่อ ไม่สนใจอีก เป็นไทหันไปอีกทีเห็นองอาจหลับแล้ว
“ทิ้งกันเลยนะ”
เป็นไทคิด แล้วเขาก็ถอนหายใจรวบรวมความกล้า
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ดับเครื่องชน”
ขณะเดียวกันนั้น นับดาวที่ยังนอนไม่หลับเอาหมอนที่ปิดหน้าตัวเองออก ลุกขึ้นนั่ง ตัดสินใจเด็ดขาด
“พอแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณอีกแล้ว ยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้วนี่”
นับดาวถอนหายใจ อย่างเซ็งๆ
อ่านต่อตอนที่ 6