รักประกาศิต ตอนที่ 5
พวกคนงานโห่ไล่นริศราโดยมีบัวเกี๋ยงเป็นคนนำขบวน
“อะไรกันน่ะ ทำไมต้องมาไล่ฉันด้วย” นริศราตกใจ
ฝ้ายตะโกนออกมาจากในกลุ่ม “คุณนิดไม่จริงใจหลอกลวงเรา”
คนงานช่วยกันโห่กันอีก
“ทุกคนหยุดก่อน.....จะไล่ฉัน ก็ให้ฉันรู้เหตุผลหน่อย” นริศราร้องขอ
“นังบัวเกี๋ยงกับไอ้ผลบอกว่าคุณจะเปลี่ยนคนงานใหม่ทั้งหมด พวกคนงานก็เลยไม่พอใจค่ะ” แม่อุ้ยบอก
“บัวเกี๋ยง นายผล ใครบอกเธอว่าฉันจะทำแบบนี้” นริศราถาม
“ใครจะบอกไม่สำคัญ แต่เธอทำจริง พี่ผลเป็นพยานได้” บัวเกี๋ยงพูด
นริศราหันไปถามผล “เธอได้ยินฉันพูดจริงเหรอ”
“เอ่อ...จริงครับ” ผลตอบอย่างตะกุกตะกัก
นริศรางง “ไม่จริง...นี่พวกเธอกุเรื่องขนาดเลยเหรอ”
“ใครว่ากุเรื่อง เธอนั่นแหล่ะที่ตีสองหน้า เธอมันไม่จริงใจกับพวกเรา” บัวเกี๋ยงพูดกับคนงาน “พวกเราอย่าไปยอมนะต้องไล่มันไป ไม่อย่างนั้นพวกเรานั่นแหล่ะที่จะต้องไป”
คนงานพากันโห่ไล่นริศราโดยไม่ยอมฟังนริศรา นริศราพยายามจะพูดแต่ก็ไม่มีโอกาส ในที่สุดพรก็เข้ามาประกบแล้วพูดกับนริศรา
“คุณนิด กลับไปตั้งหลักก่อนเถอะค่ะ”
นริศราหนักใจ ลุงปั๋นกับแม่อุ้ยจะเดินเข้าไปปลอบแต่บัวเกี๋ยงถลึงตาใส่จนทั้งคู่ต้องชะงัก พรพานริศราฝ่ากลุ่มคนงานกลับไป บัวเกี๋ยงมองตามแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
สุพัฒนาฟังรายงานจากบัวเกี๋ยงแล้วก็หัวเราะด้วยความดีใจสุดๆ
“แกแน่ใจนะว่าคราวนี้คนงานจะไม่กลับไปเข้าข้างมันอีก” สุพัฒนาถาม
“ไม่มีทางค่ะ พอบัวเกี๋ยงกับพี่ผลช่วยกันยืนยันว่านังนิดมันจะเอาคนงานใหม่มาทำงานแทน พวกนั้นก็ไม่พอใจเลยค่ะ แล้วยิ่งพอบัวเกี๋ยงบอกว่าคุณเล็กจะขึ้นค่าแรงให้คนงานก็ยิ่งชอบสิคะ บัวเกี๋ยงละอยากให้คุณเล็กเห็นภาพที่คนงานพร้อมใจกันโห่ไล่มันจริงๆ หน้ามันงี้จ๋อยเลยค่ะ”
“อี๋...ฉันไม่อยากเห็นหน้าโง่ๆของมันหรอก” สุพัฒนาทำท่ารังเกียจ
“รับรองค่ะ คุณเล็กได้ดังหวังแน่ บัวเกี๋ยงว่าเผลอๆคืนนี้มันเก็บข้าวของไปแล้วมั้งคะ เอ่อ...แล้วตัวช่วยที่คุณเล็กบอกละคะ บัวเกี๋ยงจะได้จัดการให้เสร็จๆ ไป”
สุพัฒนาหยิบเงินขึ้นมาปึกหนึ่ง บัวเกี๋ยงเห็นแล้วถึงกับตาโต
“เอาไปแบ่งให้คนงานคนละห้าร้อย ที่เหลือแกกับนายผลก็ไปแบ่งกัน” สุพัฒนาสั่ง
“ขอบคุณค่ะคุณเล็กของบัวเกี๋ยง”
“แค่นี้ยังน้อยนะ ถ้าพรุ่งนี้นังนิดมันไสหัวไป ฉันจะสมนาคุณอีกเยอะเลย”
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงหัวเราะอย่างสะใจ
สุพัฒนาลุกขึ้นเดินไปที่เตียงแล้วหันมาบอก “คืนนี้แกนอนบนนี้แหล่ะ พรุ่งนี้เราจะไปดูความสำเร็จด้วยกัน”
บัวเกี๋ยงห่มผ้าให้เจ้านาย แล้วเอาที่นอนมาปูที่พื้น
“คุณเล็กคะ เดี๋ยวบัวเกี๋ยงไปอาบน้ำสักครู่นะคะ มันเหนียวตัว”
สุพัฒนาหงุดหงิด “เรื่องมากจริงๆนะ รีบไปรีบมากเผื่อฉันจะใช้อะไร”
บัวเกี๋ยงทำเป็นจ๋อยที่ถูกดุ สุพัฒนาหลับตาแล้วนอนต่อ พอเห็นเจ้านายหลับบัวเกี๋ยงก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินออกไปทันที
ภูชิชย์นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่กับวิทวัสในห้องลั่งเล่นที่บ้านของเขา หลังจากนั่งพิมพ์อะไรสักพักวิทวัสก็หันหน้าจอให้ภูชิชย์ดู
“นี่เป็นรายชื่อกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาสั่งซื้อกาแฟเราครับ แต่ผมว่า Volume น้อยไปหน่อย” วิทวัสบอก
“ไม่หรอก พี่ว่ากำลังดีนะ อย่าลืมสิว่าฐานลูกค้าเก่าเราหลายรายก็จะขยายสาขาในปีหน้าเยอะนะ ถ้านายขยันกว่านี้กาแฟมันจะโตไม่ทันใจนายนะ”
สองพี่น้องหัวเราะขึ้นมาด้วยกัน
“งั้นผมจะทำ Forcast ของปีหน้าเลยจะได้นัดประชุมกรรมการเร็วๆ” วิทวัสพูดแล้วก็ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
“ผมไปนอนนะครับ”
วิทวัสขอตัว ภูชิชย์พยักหน้ารับ แล้ววิทวัสก็เดินออกจากห้องไป ภูชิชย์นั่งหลับตาเพื่อพักสายตา ทันใดนั้นบัวเกี๋ยงก็เดินผ่านประตูเข้ามามองภูชิชย์แล้วยิ้มพร้อมกับดึงเสื้อตัวเองให้ตึงรัดรูป แล้วเดินเข้าไปหาภูชิชย์ทันที
บัวเกี๋ยงยืนมองภูชิชย์ด้วยความหลงใหล จู่ๆ ภูชิชย์ก็ลืมตาขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างสะดุ้ง
“มีอะไรหรือเปล่า” ภูชิชย์ตกใจถามออกมา
“เอ่อ...พ่อเลี้ยงจะขึ้นนอนหรือยังคะ” บัวเกี๋ยงถามกลบเกลื่อน
“ว่าจะขึ้นแล้วเหมือนกัน”
บัวเกี๋ยงทำเป็นอายแต่ส่งตาหวานให้ “บัวเกี๋ยงไปส่งที่ห้องนะคะ”
ภูชิชย์งง “ไปส่งทำไม”
“เอ่อ...เอ่อ..” บัวเกี๋ยงอึกอัก
ภูชิชย์ลุกเดินออกไปจากห้องทันที บัวเกี๋ยงมองตามอย่างหงุดหงิด
“อ่อยจนไม่รู้จะอ่อยไงแล้วนะ ทึ่ม...โง่...โอ๊ย..หงุดหงิด”
นริศรานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องพัก พรเดินมานั่งคุยด้วย
“คุณนิด พรสงสารคุณนิด แต่พรไม่รู้จะช่วยยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกพร ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้”
“พวกคนงานก็จริงๆเลย ทำไมต้องช่วยพี่บัวเกี๋ยงกับพี่ผลด้วย สองคนนั่นไม่เห็นจะดีเลย”
“โกรธพวกคนงานไปก็เท่านั้น ตอนนี้ที่ฉันคิดคือ ฉันต้องพิสูจน์ตัวเองโดยเร็ว ก่อนที่เรื่องจะบานปลายแล้วทำให้งานเสียไปหมด”
พรดีใจ “พรดีใจค่ะที่ได้ยินคุณนิดพูดแบบนี้”
“ทำไมเหรอ”
“แหม ก็พรกลัวคุณนิดจะหนีไปซะก่อนน่ะสิคะ”
“คนอย่างฉันถ้าไม่ผิดฉันไม่หนีแน่นอน”
“แล้วคุณนิดจะทำยังไงต่อล่ะคะ”
นริศรานิ่งคิดสีหน้าเครียด พรเห็นสีหน้านริศราก็ถอนใจเครียดเช่นกัน
แม่อุ้ยกับพรกำลังช่วยกันตักอาหารเช้าให้กับคนงานที่มายืนต่อแถวอยู่ สักพักนริศราก็เดินเข้ามา คนงานที่กำลังต่อแถวอยู่เห็นเข้าก็ถอยหนี
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันต่อแถวได้” นริศราบอกคนงาน
แต่คนงานกลับนิ่งเงียบไม่คุยด้วย นริศราหน้าเสียทันที แม่อุ้ยกับพรมองผู้จัดการสาวด้วยความสงสาร และรีบตักอาหารให้
“ไปนั่งกับลุงปั๋นแล้วกันนะคะ” แม่อุ้ยบอก
นริศรายิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะลุงปั๋นซึ่งมีคนงานนั่งอยู่ด้วยสามคน
“นั่งด้วยคนนะ” นริศราบอก
“ไปนั่งที่อื่น” ฝ้ายส่งเสียงไล่
“เฮ้ย...มากไปแล้ว” ลุงปั๋นตำหนิฝ้าย
“ลุงนั่นแหล่ะมากไป คนที่คิดจะไล่พวกเราลุงจะนั่งกับเขาเหรอ” หนานบอก
“ถ้าเขาไม่ไปพวกเราก็ไปแล้วกัน” เป็งพูด สิ้นเสียงเป็งคนงานทั้งสามก็ลุกออกไป นริศรามองตามอย่างหนักใจ
“เห็นใจพวกมันเถอะนะครับ ถูกเป่าหูเรื่องไล่ออกมันเรื่องใหญ่ของคนงานทุกคน” ลุงปั๋นบอก
“ไม่เป็นไรหรอกลุงปั๋น ฉันจะหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้กลับมาดีเหมือนเดิมให้ได้” นริศราพูดอย่างมั่นใจ
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่งไกลออกไป สุพัฒนามีสีหน้าไม่พอใจหันขวับมามองบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงหน้าเสียขึ้นมาทันที
สุพัฒนาดึงแขนบัวเกี๋ยงมาตามทางเดินในไร่ด้วยความโมโห เธอลากบัวเกี๋ยงมาถึงมุมหนึ่งแล้วก็ผลักบัวเกี๋ยงจนล้มลง
“ไหนแกคุยนักคุยหนาว่ามันจะไปตั้งแต่เมื่อคืนไง แล้วทำไมมันยังลอยหน้าลอยตาอยู่”
“บัวเกี๋ยงก็ไม่คิดว่ามันจะหน้าด้านนี่คะ คุณเล็กก็เห็น ขนาดคนงานไม่คุยด้วยมันก็ไม่สน”
“งั้นแกก็คิดสิ ว่าทำยังไงจะให้มันไปจากที่นี่” สุพัฒนาสั่ง
“โธ่...คุณเล็กขา บัวเกี๋ยงจะไปทำอะไรล่ะคะ”
“จะทำอะไรก็เรื่องของแก แต่ถ้ามันไม่ไปฉันเอาแกตายแน่นังบัวเกี๋ยง”
พูดจบสุพัฒนาก็เดินอารมณ์เสียไปทันที บัวเกี๋ยงมองตามด้วยความเจ็บใจ
“เก่ง ฉลาด เรียนมาสูงทำไมไม่คิดบ้างวะ สั่งๆๆ อยู่ได้”
คนงานหลายคนกำลังเก็บผลกาแฟอยู่ที่ไร่กาแฟ นริศราเดินตรวจตราไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเดินไปบริเวณใดคนงานก็จะเดินหนีเสมอ นริศราถึงกับเซ็งเลยตัดสินใจจะเดินออกจากไร่กาแฟแต่เมื่อมองไปที่ต้นกาแฟก็เห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง เมื่อเพ่งดูให้ดีนริศราก็เห็นว่าคือหนอนกาแฟสีแดงเกาะอยู่บนใบกาแฟ
“ลุงปั๋น นี่มันหนอนอะไรจ๊ะ” นริศราเรียกลุงปั๋น
ลุงปั๋นวิ่งเข้ามาดูใกล้ๆ แล้วก็ตกใจ “ตายละวา หนอนแดงลง”
“หนอนแดงนี่ลุงหมายถึง หนอนกาแฟสีแดง ที่ว่ามันจะเจาะกินเนื้อเยื่อในลำต้น ทำให้ยอดแห้งเหี่ยวตายใช่ไหม”
ลุงปั๋นพยักหน้ารับแล้วเดินดูต้นอื่นๆ นริศราเดินดูตามไปเรื่อยๆ
“ตรงนี้ก็มี เอ..ผมว่ามันจะต้องมีเยอะแน่ๆครับ” ลุงปั๋นบอก
"ถ้างั้นเราต้องตัดกิ่งแล้วเอาไปเผาไฟใช่ไหมคะ” นริศราถาม
“แหม..คุณนิดนี่ก็รู้เยอะนะครับ”
นริศรายิ้มแหยๆ “ก็อ่านจากข้อมูลเก่าของคุณนิพนธ์ค่ะ แต่บอกตรงๆว่าทำจริงไม่เป็น ลุงปั๋นช่วยฉันด้วยนะ คงต้องเกณฑ์คนงานมาช่วยทางนี้สักหน่อย”
ลุงปั๋นกับคนงานมีทีท่าอ้ำอึ้ง
“เอ่อ...แต่ผมกลัวว่าจะไม่มีใครช่วยน่ะสิครับ” ลุงปั๋นสารภาพ
นริศรายิ้มเจื่อนๆ “ไม่มีใครช่วยก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะไปเอาเครื่องมือมาทำเองค่ะ”
“งั้นผมจะลองขอร้องคนงานแล้วกันนะครับ” ลุงปั๋นพูด
นริศรารับทราบแล้วเดินออกไป ลุงปั๋นมองตามด้วยความสงสาร
บัวเกี๋ยงยืนแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง เธอยิ้มอย่างร้ายกาจพลางมองไปทางที่นริศราเดินไป
“โชคดีจริงๆที่มีหนอนแดง” บัวเกี๋ยงพูดกับตัวเอง
นริศราเปิดประตูโรงเก็บของแล้วเดินเข้ามาก็เห็นเครื่องมือเต็มไปหมด
“โอ้โห แล้วจะหาเจอไหมเนี่ย” นริศราเข้าไปหยิบของออกมาแล้วรื้อของ “กรรไกรตัดกิ่ง.. อยู่ไหนนะ”
อยู่ๆ ประตูโรงเก็บของก็ปิดลง นริศราตกใจ พอหันไปก็เห็นประตูปิดพร้อมกับได้ยินเสียงคนวิ่งไป
“ใครน่ะ” นริศราตกใจ เธอรีบไปที่ประตูแล้วพยายามผลักออก แต่ก็เปิดไม่ได้ “เปิดนะ ใครอยู่ข้างนอก”
นริศราพยายามหาทางออก แล้วเธอก็เห็นเงาคนผ่านแวบไปตรงรอยแตกของกำแพงไม้
“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยเปิดประตูให้หน่อย นริศราพูดพร้อมกับวิ่งไปส่องที่รอยแตก เมื่อมองผ่านรอยแตกออกไปนริศราก็เห็นแต่ต้นไม้
นริศราเดินกลับมาหาทางออกแต่ก็ไม่พบ เธอจึงเคาะตามประตูและผนังไปเรื่อยๆ
“ช่วยด้วย ใครช่วยเปิดประตูที” นริศราตะโกนออกไป
ประตูหน้าโรงเก็บของมีแม่กุญแจคล้องและล็อคไว้อย่างแน่นหนา นริศรายังคงร้อง ทุบ และผลักประตูต่อไป “ช่วยด้วยๆๆ มีคนอยู่ในนี้”
ลุงปั๋นพยายามยื้อยุดคนงานชายและหญิงจำนวนหนึ่งให้ไปกับเขา โดยที่คนงานอื่นๆ ยืนมองลุงปั๋นอย่างไม่พอใจ
“เฮ้ย...ไปเถอะ ไปช่วยคุณนิดหน่อยสิวะ” ลุงปั๋นบอก
“ไม่ไป ปล่อยฉันเถอะลุงปั๋น” หนานพูด
“ลุงอยากช่วยก็ช่วยคนเดียวเถอะ ฉันไม่เอาครอบครัวไปเสี่ยงช่วยหรอก” ฝ้ายปฏิเสธ
“ข้าขอร้องล่ะ พวกเอ็งไปช่วยกันหน่อย ข้ากับคุณนิดทำกันไม่ไหว”
“ช่วยไม่ไหวก็ไม่ต้องช่วยสิลุง” เป็งพูดขึ้น
“นั่นสิ ลุงเองก็ต้องระวังนะ ถ้าคุณเล็กรู้ลุงจะลำบาก” หนานเตือน
“พวกเอ็งมันใจร้าย คุณนิดเปิ้นยังบ่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย คอยดูถ้าหนอนระบาดกาแฟเน่าหมดทั้งไร่ พวกเอ็งก็ต้องโดนพ่อเลี้ยงด่า แล้วก็โดนไล่ออกเหมือนกัน”
คนงานได้ยินดังนั้นก็เริ่มซุบซิบกัน หลายคนเริ่มกลัวและลังเล
เสียงของนริศราที่ดังออกมาจากจากโรงเก็บของเริ่มแผ่ว “ช่วยด้วย”
แล้วเสียงของนริศราก็เงียบไป บัวเกี๋ยงออกมาจากที่ซ่อน เธอแนบหูกับผนัง แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย นริศราที่อยู่ในโรงเก็บของเซไปเซมา เหงื่อของเธอแตกพลั่กแล้วก็หมดแรงจนต้องไปนั่งพักที่มุมหนึ่ง
บัวเกี๋ยงพยายามส่องดูผ่านรอยแตกของผนัง เธอเห็นนริศรานั่งอยู่ก็ยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วเดินไป ประตูหน้าโรงเก็บของยังคงมีไม้ขัดอยู่ที่ล๊อคกุญแจ
ลุงปั๋นเดินกลับมารอตรงจุดที่นัดกับนริศรา พอเห็นว่านริศรายังไม่มาเขาก็เดินดูใบกาแฟไปเรื่อยๆ
“โอ๊ย....ทำไมมันเยอะอย่างนี้วะ” ลุงปั๋นบ่น
“บ่นอะไรจ๊ะลุงปั๋น” บัวเกี๋ยงเดินเข้ามาถาม
“หนอนแดงมันลงน่ะสิ”
“ตายแล้ว...นี่ถ้าเป็นคุณนิพนธ์เป็นผู้จัดการนะ คงไม่มีอะไรแบบนี้หรอก”
“คุณนิดเพิ่งมาใหม่ ต้องให้แกเรียนรู้หน่อยสิวะ” ลุงปั๋นบอก
“เรียนรู้เหรอ แล้วนี่คุณนิดของลุงไปไหนซะล่ะ” บัวเกี๋ยงแกล้งถาม
“คุณนิดบอกจะไปเอาเครื่องมือมาทำงานนี่”
“เหรอ ฉันนึกว่าไปอู้”
“เอ็งก็หาความไปเรื่อยนะนังบัวเกี๋ยง”
“พนันกับฉันไหมล่ะ ลุงคอยไปเถอะ ยังไงก็ไม่มาหรอก”
บัวเกี๋ยงพูดจบก็เดินลอยหน้าลอยตาไปทันที
สุพัฒนาฟังรายงานจากบัวเกี๋ยงแล้วก็ยิ้มสะใจ
“ดีมาก ไม่คิดว่าสมองโง่ๆของแกก็คิดได้นะ”
ได้ยินดังนั้นบัวเกี๋ยงก็แอบค้อนแต่แล้วก็ทำเป็นยิ้มหวาน
“ต้องบอกว่าโชคดีเป็นของพวกเรามากกว่าค่ะคุณเล็ก ที่ดันมีหนอนแดงลงพอดี”
“แกแน่ใจนะว่าจะไม่มีใครไปแถวนั้น”
“กว่าคนงานจะเอาเครื่องมือไปเก็บก็คงเย็นๆนั่นแหล่ะค่ะ ดีไม่ดีถึงตอนนั้นมันขาดใจตายไปแล้วมั้งคะ”
สุพัฒนายิ้ม “ถึงตายเชียวเหรอ”
“แหม ปิดอับขนาดนั้นไม่เป็นลมตายก็ร้อนตายละค่ะ”
“ดีให้มันตายไปได้ก็ดี” จู่ๆ สุพัฒนาก็นึกได้ “ตายแล้วบัวเกี๋ยง ถ้าเกิดนังนิดตาย เราจะมีความผิดไหม ไม่เอานะ แกติดคุกไปคนเดียวนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ มือชั้นบัวเกี๋ยงแล้วไม่มีใครจับตัวได้หรอกค่ะ” บัวเกี๋ยงยิ้ม
ภูชิชย์กับนิพนธ์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานของภูชิชย์ สักพักวิทวัสก็เดินเข้าไปหานิพนธ์
“คุณนิพนธ์ วันนี้คุณนิดต้องทำงานทีไหนบ้าง” วิทวัสถาม
ภูชิชย์ได้ยินก็หยุดมองทันที
“ตอนนี้คงดูคนงานเก็บเมล็ดกาแฟในไร่น่ะครับ” นิพนธ์ตอบ
“เอ...แต่ผมไปตามหาแล้วไม่เจอ” วิทวัสสงสัย
“คงอู้งานละสิ” ภูชิชย์แขวะ
“ไม่มีทางครับ คุณนิดไม่อู้แน่” วิทวัสตอบอย่างมั่นใจ
“แล้วที่ฟาร์มวัวล่ะครับ” นิพนธ์ถาม
“ก็ไม่มี”
“บ้านพักคนงานหญิงไง นอนยังไม่ตื่นหรือเปล่า” ภูชิชย์กระแหนะกระแหน
“จริงด้วย งั้นผมไปดูก่อนดีกว่า”
วิทวัสพูดแล้วก็เดินออกจากห้องไป ภูชิชย์มองตามตาเขม่น “ห่วงกันจริงนะ”
นิพนธ์นั่งเหม่อพลางครุ่นคิด ภูชิชย์มองเห็นเข้าก็หงุดหงิด
“นี่ก็อีกคน” ภูชิชย์เรียก “นิพนธ์ จะไปตามหายัยนั่นก็ได้นะ”
“ครับผมก็กำลังจะขอพ่อเลี้ยง เพราะคุณนิดไม่ใช่คนเหลวไหล ไม่น่าจะหายไปไหนได้ งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”
พูดจบนิพนธ์ก็ออกไปอีกคน ภูชิชย์ถึงกับเหวอ
“อ้าว....ไปกันซะงั้น”
วิทวัสมายืนรอที่หน้าบ้านพักคนงานหญิง โดยมีนิพนธ์เดินมาสมทบ
“เจอไหมครับ” นิพนธ์ถาม
“พรกำลังขึ้นไปดูครับ เห็นบอกว่าเมื่อเช้ามาทานอาหารที่โรงอาหารแล้วก็เข้าไร่ ไม่น่ากลับมาที่ห้อง” วิทวัสบอก
ทันใดนั้นพรก็เดินลงมา
“ไม่อยู่ค่ะคุณวัส อย่างที่พรบอกแหล่ะค่ะ คุณนิดคงอยู่ในไร่”
วิทวัสกับนิพนธ์มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่านริศราหายไปไหน
ภูชิชย์นั่งทำงานอย่างไม่มีสมาธิ
“ตกลงหาเจอไหมเนี่ย ไม่ใช่พากันหนีงานเที่ยวล่ะ”
ภูชิชย์พึมพำกับตัวเองแล้วจะทำงานต่อแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“คอยดูนะ ถ้าฉันจับได้ว่าเธออู้ละน่าดู”
ภูชิชย์หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหาวิทวัสทันที
“ว่าไงนายวัส ตกลงแฟนนายไปอู้งานที่ไหน” ภูชิชย์ตกใจ “หมายความว่าไงยังหาไม่เจอ....ได้ๆ....ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วบอกฉันด้วยแล้วกัน”
ภูชิชย์กดวางสาย แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปทันที
ภูชิชย์เดินออกมาที่หน้าห้องทำงานแล้วก็มาเจอกับสุพัฒนากับบัวเกี๋ยง
“พี่ภูจะไปไหนคะ” สุพัฒนาถาม
“พี่จะเข้าไร่” ภูชิชย์ตอบ
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงชะงักหันมามองตากันทันที
“เข้าทำไม อย่าไปเลยค่ะ คุณเล็กว่าจะมาชวนพี่ภูไปกินข้าวที่เชียงใหม่พอดี” สุพัฒนารีบบอก
“ไม่ได้หรอกคุณเล็ก พี่มีธุระด่วน”
ภูชิชย์จะเดินไปแต่สุพัฒนาดึงแขนไว้
“ธุระอะไร สำคัญกว่าคุณเล็กเหรอคะ”
“นริศราหายไป” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงถึงกับอึ้ง ภูชิชย์ยิ้มแล้วลูบหัวน้องสาว
“เอ่อ...หายไป มันอาจจะหนีกลับไปแล้วก็ได้นะคะ” สุพัฒนาพูดอย่างอ้ำอึ้ง
“ไม่มีทาง ยัยนั่นอยากทำงานที่จะตาย”
“งั้นมันก็คงไปอู้ที่ไหน ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งหามันเลย”
“ไม่ได้หรอกคุณเล็ก พี่เป็นหัวหน้าเขา ยังไงก็ต้องตามดู คุณเล็กรอพี่แป๊บนะครับ เสร็จธุระพี่จะรีบกลับมา”
ภูชิชย์พูดแล้วเดินไปทันที
“บัวเกี๋ยง ทำไงดี”
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงมองหน้ากันอย่างใจไม่ดี สุพัฒนาเริ่มหน้าเสียมือไม้สั่นเหมือนเด็กทำผิด
นริศรายังคงนั่งเหงื่อแตกตัวเปียกและหน้าซีดอยู่ในโรงเก็บของ เธอพยายามเอาไม้มางัดประตูจนอ่อนแรงก็ยังแงะไม่ออก
แล้วนริศราก็หายใจไม่ออก เธอพยายามพยุงตัวลุกขึ้นแต่ก็เซล้มจนต้องนั่งพิงกับกำแพงเอาไว้
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” นริศราส่งเสียงอย่างอ่อนแรง
เปลือกตาของนรศราค่อยๆ ปิดลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
อ่านต่อหน้าที่ 2
รักประกาศิต ตอนที่ 5 (ต่อ)
วิทวัสกับนิพนธ์เดินมาดูแถวบ่อล้างเมือกกาแฟแต่ก็ไม่เห็นนริศรา ทั้งคู่ถามคนงานก็ไม่มีใครเห็น วิทวัสกับนิพนธ์เดินมาถามคนงานที่ลานตากกาแฟก็ไม่มีใครเห็น ทันใดนั้นภูชิชย์ก็ขับรถมาจอด
“เจอไหม” ภูชิชย์ถามด้วยความร้อนใจ
วิทวัสกับนิพนธ์ส่ายหน้า
เวลาต่อมา คนงานสี่คนที่ไร่กาแฟก็ส่ายหน้าปฎิเสธหลังจากที่วิทวัสถามถึงนริศรา
“ไม่เห็นจริงๆครับ แต่ลุงปั๋นน่าจะรู้เพราะเห็นเดินกับลุงปั๋นครับ” เป็งบอก
วิทวัสฉุนจึงเริ่มใส่อารมณ์กับคนงาน “นี่มันอะไรกัน ทำงานกันยังไง ผู้จัดการทั้งคนทำไมทำกันเหมือนไม่ได้พูดคุยกัน ถามใครก็ไม่มีใครรู้สักคน”
คนงานยืนก้มหน้านิ่ง วิทวัสจ้องคนงานอย่างอารมณ์เสีย
“นั่นสิครับ ผมว่ามันแปลกๆ เหมือนกับคนงานไม่ได้คุยกับคุณนิด” นิพนธ์ว่า
ภูชิชย์ที่ฟังอยู่ก็สงสัยเหมือนกัน เขากำลังจะเดินไปแต่ลุงปั๋นเดินเข้ามาพอดี
“คุณนิดล่ะ” นิพนธ์ถาม
“ผมก็รออยู่นี่ล่ะครับ แกบอกจะไปเอาเครื่องมือที่โรงเก็บเครื่องมือตั้งนานแล้วยังไม่มาเลย” ลุงปั๋นตอบ
“แล้วไปดูที่โรงเก็บเครื่องมือหรือยัง” ภูชิชย์ถาม
“ยังครับ ผมกะว่าถ้าก่อนกินข้าวเที่ยง ถ้าคุณนิดยังไม่มาจะเดินไปตามซะหน่อย
“ไปที่โรงเก็บเครื่องมือกันเถอะ” ภูชิชย์ชวนแล้วหันไปสั่งคนงานคนอื่นๆ “ทุกคนแยกย้ายกันหาคุณนิดนะ”
บัวเกี๋ยงแนบหน้ามองตามรอยแยกเข้าไปในโรงเก็บของก็เห็นนริศรานอนหลับอยู่ บัวเกี๋ยงรีบดึงไม้ที่ขัดไว้ในช่องคล้องกุญแจออกทันที
“ถึงแกจะดวงดีไม่ตาย แต่ฉันก็มีวิธีเฉดหัวแกแล้วนังนิด”
บัวเกี๋ยงพูดแล้วยิ้มพอได้ยินเสียงรถเธอจึงรีบเดินไปหลบที่ด้านหลัง รถจิ๊บของภูชิชย์แล่นมาจอดที่ด้านหน้าโรงเก็บของ ทุกคนลงจากรถแล้วรีบไปเปิดประตูโรงเก็บของ
ทุกคนมีสีหน้าประหลาดใจกับภาพที่ได้เห็น
ทุกคนเห็นนริศรานอนหลับพิงกำแพงในสภาพเหงื่อแตกกาฬแต่อยู่ในอิริยาบถที่ชวนให้เข้าใจว่าเธอกำลังหลับสบายอยู่
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ภูชิชย์งง
ภูชิชย์ วิทวัส นิพนธ์ ลุงปั๋น และคนงานคนอื่นๆ มายืนมุงดู
“ตามหากันแทบตาย ที่แท้ก็มาแอบนอนหลับนี่เอง” ฝ้ายบอก
“ว่าไงลุงปั๋น นี่เหรอจะให้พวกฉันไปช่วย” หนานถาม
วิทวัสมองหน้าฝ้ายกับหนาน คนงานทั้งสองจึงหุบปากลง บัวเกี๋ยงทำทีเป็นมามุงด้วย
“ไหนๆ มีอะไรกันเหรอ เห็นไหมลุงปั๋น ฉันว่าแล้วว่าผู้จัดการของลุงต้องมาอู้”
ภูชิชย์ตรงเข้าไปปลุกนริศรา
“ตื่นได้แล้วแม่ตัวดี”
นริศราสลึมสลือตื่นขึ้นมา นิพนธ์กับวิทวัสลงไปนั่งข้างๆ
“คุณนิดทำไมมานอนที่นี่ครับ” นิพนธ์ถาม
“ก็คงจะอู้งานน่ะสิ” ภูชิชย์ตอบแทน
นริศราตอบด้วยเสียงอ่อนแรง “ฉันไม่ได้อู้ ฉันเข้ามาเอาเครื่องมือ แต่มีคนล็อคประตู ฉันออกไม่ได้”
“ประตูล๊อคเหรอครับ? เป็นไปได้ไง” นิพนธ์แปลกใจ
“แต่คนถือกุญแจก็คือเธอไม่ใช่เหรอ แล้วปกติประตูโรงเก็บเครื่องมือจะล็อคตอนเย็นเมื่อคนงานเอาเครื่องมือทั้งหมดมาเก็บ” ภูชิชย์บอก
“จริงๆค่ะฉันถูกล็อคจริงๆ” นริศรายืนยัน
“อุ๊ย....หรือผีบ้านผีเฮือนจะมาล็อคประตู” บัวเกี๋ยงทำเป็นตกใจ
วิทวัสดุ “บัวเกี๋ยง ไร้สาระน่า”
บัวเกี๋ยงทำเป็นจ๋อยที่ถูกดุแต่ก็แอบอมยิ้ม
“จะบอกให้นะนริศรา ตอนที่พวกเรามาทุกคนเห็นว่าประตูไม่ได้ล๊อค ถ้าเธอจะมาหลับก็แก้ตัวให้มันเนียนกว่านี้ดีกว่า” ภูชิชย์ว่า
“ในที่สุดพวกเราก็รู้ว่าคุณนิดหลอกพวกเรา” เป็งสรุป
“คุณนิดไม่น่าทำแบบนี้กับผมเลยนะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่ช่วยงานคุณแล้ว” ลุงปั๋นผิดหวัง
คนงานพากันซุบซิบแล้วส่ายหน้า จากนั้นคนงานก็ค่อยๆ ทยอยกันออกไป ภูชิชย์ก็เดินออกไป ลุงปั๋นเดินตาม บัวเกี๋ยงมองนริศราแล้วยิ้มเยาะก่อนจะเดินเชิดออกไป
นริศรามีสีหน้าหนักใจ วิทวัสกับนิพนธ์มองเธออย่างสงสัย
“ฉันไม่ได้โกหกจริงๆนะคะ” นริศราบอกชายทั้งสอง
นริศราลุกขึ้นจะเดินไปแต่แล้วก็เซล้มลง วิทวัสกับนิพนธ์รีบรับตัวนริศราไว้
“คุณนิด” วิทวัสตกใจ
แม่อุ้ย พร และพวกคนงานรวมตัวกันฟังบัวเกี๋ยงและลุงปั๋นอยู่ที่โรงครัว
“เห็นไหมทุกคน ในที่สุดเราก็เห็นธาตุแท้นังนิดมัน” บัวเกี๋ยงว่า
คนงานทุกคนพยักหน้ารับพร้อมกัน “ใช่”
“เพราะฉะนั้นที่ฉันกับพี่ผลพูดทุกคนก็รู้แล้วใช่ไหมว่าจริง” บัวเกี๋ยงพูดต่อ
คนงานทุกคนเห็นด้วย “จริง”
“แต่คุณนิดอาจจะเป็นลมจริงๆก็ได้นี่หว่า” แม่อุ้ยแย้ง
“ถามลุงปั๋นดูเอาเองสิ” บัวเกี๋ยงโยน
“คุณนิดบอกข้าว่าจะไปเอาเครื่องมือแล้วก็หายไปเลย ถ้าคนจะเป็นลม ทำไมต้องมาโกหกว่าประตูล็อค บอกว่าเป็นลมซะยังจะดีกว่า” ลุงปั๋นพูด
คนงานต่างเห็นด้วยกับลุงปั๋น แม่อุ้ยกับพรถึงกับหน้าเสีย
“แหม...แล้วไอ้โรงเก็บเครื่องมือมันน่านอนตายละ คิดกันบ้างหรือเปล่า” พรแย้ง
“โธ่..อีพร นังโง่” บัวเกี๋ยงด่า “ฉันถามจริงๆเถอะ มันจะมีที่ไหนที่ปลอดคนตอนกลางวันแล้วมิดชิดให้คนไปนอนได้ ขนาดส้วมยังมีคนเดินผ่านตลอดเวลาเลย ใช่ไหมพวกเรา”
คนงานต่างเห็นด้วยกับบัวเกี๋ยง
“เพราะฉะนั้นพวกเราต้องไล่นังนิดไป ผู้หญิงสองหน้าแบบนี้ขืนปล่อยไว้อีกหน่อยมันไล่พวกเราออกหมดแน่” บัวเกี๋ยงปลุกระดม
พวกคนงานต่างโห่ร้องเห็นด้วยพร้อมกัน บัวเกี๋ยงนำม๊อบด้วยการร้องตะโกน “ผู้จัดการออกไป”
สุพัฒนาที่รู้เรื่องจากภูชิชย์กำลังโวยวายอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านภูชิชย์
“ขนาดเห็นตำตาพี่ภูก็ยังไม่ไล่มันอีกเหรอคะ”
“คุณเล็ก ยังไงเราก็ต้องฟังทางนริศราด้วย” ภูชิชย์ปราม
“พี่ภูคะ ใครมันจะบ้ามายอมรับว่าแอบไปนอนในเวลางาน คุณเล็กว่าพี่ภูไล่มันเถอะค่ะ”
“แต่พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆนะ”
สุพัฒนาเริ่มกลัว “อะไรคะ มันจะมีอะไร”
“พี่ก็ไม่แน่ใจ แต่คนเพิ่งมาทำงานไม่ถึงเดือนจะแอบไปนอนหลับแล้วเหรอ”
“พี่ภูคะ คุณเล็กชักจะหมดความอดทนแล้วนะคะ จะอะไรนักหนา ไล่ๆมันไปเถอะค่ะ”
“เอางี้ เรื่องนี้พี่จะจัดการเอง วันนี้คุณเล็กอยากไปทานข้าวที่เชียงใหม่ใช่ไหม งั้นพี่ยอมทิ้งงานเพื่อนน้องสาวของพี่นะ”
“เปลี่ยนโปรแกรมเป็นไล่นังนิดออกแทนได้ไหมคะ”
สุพัฒนาถามเสียงเข้มด้วยความโกรธ ภูชิชย์ได้ยินถึงกับจ๋อย
นิพนธ์กับวิทวัสฃ่วยกันเอายาดมให้นริศราที่นั่งอยู่ดมและพัดให้เธอ พอเห็นสายตาภูชิชย์นริศราก็รู้สึกผิดจึงพยายามจะลุกขึ้น
“คุณนิดทำงานไหวเหรอครับ” นิพนธ์ถามด้วยความเป็นห่วง
นริศรายิ้มแล้วตอบ “ไหวค่ะ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะยิ่งคิดว่านิดอู้งาน”
“แต่ผมเชื่อใจคุณนิดครับว่าไม่อู้ คุณนิดพักต่อเถอะครับ” วิทวัสบอก
“ไม่ได้หรอกค่ะ แค่นี้นิดก็จะแย่แล้ว”
นิพนธ์งง “แย่อะไรเหรอครับ”
นริศรารีบพูดกลบเกลื่อน “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขอบคุณคุณวัสกับคุณนิพนธ์มากนะคะที่เป็นห่วง นิดไปทำงานต่อดีกว่า”
นริศราพูดจบก็จะเดินไปแต่เธอกลับรู้สึกแปลกๆ เมื่อมองไปรอบๆไม่เห็นคนงานเลยสักคน
“นี่คนงานหายไปไหนหมด” วิทวัสทักขึ้น
“นั่นสิ ยังไม่ใช่เวลาพักกลางวันนี่” นิพนธ์สงสัย
ทั้งสองหนุ่มหันมามองนริศรา นริศราถอนใจก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันรู้ค่ะว่าพวกเขารวมตัวกันอยู่ที่ไหน”
คนงานนั่งดื่มกินและร้องรำทำเพลงกันอยู่ในโรงอาหาร นริศรา วิทวัส และนิพนธ์เดินเข้ามาเห็นก็งงเป็นอย่างยิ่ง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” นิพนธ์ถาม
ทั้งสามเดินเข้าไปหากลุ่มคนงาน พอคนงานทุกคนเห็นนริศราก็โห่ไล่
“ออกไป พวกเราไม่ต้องการนริศรา” คนงานโวยวายเสียงดัง
“เดี๋ยวก่อนนะทุกคน ใจเย็นๆค่อยๆคุยกัน” วิทวัสเจรจา
“ไม่คุย ถ้าคุณนิดอยู่เราไม่คุย” ฝ้ายบอก
“ทำงานไม่เป็น ก็แกล้งเจ็บ แกล้งไม่สบาย งั้นพวกเราก็ไม่สบายกันมั่งจะเป็นไรไป” ผลพูด
“ฉันไม่ได้แกล้งไม่สบาย ฉันเป็นลมจริงๆ เอาล่ะฉันขอโทษที่ทำพลาด ให้โอกาสฉันหน่อยนะ” นริศราบอก
“ไม่ คุณออกไปเถอะ” ฝ้ายพูดเสียงดัง
“ใช่ เราเชื่อคุณเล็กตั้งแต่แรกซะก็ดี เราจะไม่ทำงานให้คุณอีกแล้ว” หนานเสียงแข็ง
“ลาออกไปเลยได้ยิ่งดี” เป็งตะโกนออกมา
คนงานทั้งหมดตะโกนแข่งกันเซ็งแซ่ “ใช่ ออกไปเลย” “ออกไป” Wพวกเราไม่ต้องการผู้จัดการอ่อนแอแล้วก็เอาเปรียบอย่างคุณ”
“คุณนิดเธอไม่ได้ตั้งใจ คนเราทำอะไรผิดพลาดกันได้ ตอนนี้ถ้าเราเอาแต่ประท้วงงานก็จะไม่เดิน ทุกอย่างจะเสียหายได้นะ” นิพนธ์พยายามเจรจา
“แล้วถ้าคุณนิดไล่พวกเราออกหมด งานมันก็เสียหายเหมือนกันนะคะ” ฝ้ายพูดเสียงดัง
“คุณนิดน่ะเหรอจะไล่ทุกคน นี่มันอะไรกัน” วิทวัสงง
นิพนธ์กับวิทวัสมองไปทางนริศรา
“ถ้าคุณวัสกับคุณนิพนธ์อยากรู้พวกเราจะบอกให้ครับ” เป็งพูดขึ้น
บัวเกี๋ยงแอบมองยิ้มๆแล้วเดินออกจากกลุ่มคนงานไป
ภูชิชย์ที่อยู่หน้าอาคารสำนักงานได้รู้เรื่องของกลุ่มคนงานก็ถึงกับเครียด
“อะไรนะ คนงานกำลังประท้วง”
“ค่ะ คนงานโกรธเรื่องที่นัง เอ๊ยคุณนิดอู้ แล้วแถมยังจะไล่คนงานออกอีก อู๊ย หลายเรื่องค่ะ” บัวเกี๋ยงใส่ไฟ
“เห็นไหมคะพี่ภู เราไล่มันออกเถอะค่ะ ก่อนที่มันจะทำไร่เราร้อนเป็นไฟ” สุพัฒนาเสริม
“พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง”
“จัดการ....จัดการยังไงคะ” สุพัฒนาสงสัย
“ยังไม่รู้ พี่ต้องคุยกับคนงานก่อน” ภูชิชย์บอก
“รอคุยอะไรอีกล่ะคะพี่ภู บัวเกี๋ยงบอกว่าขนาดพี่วัสกับนิพนธ์ยังเอาไม่อยู่ พี่ภูต้องไปไล่มันนะคะ ถ้านังนิดยังอยู่ไร่ไม่มีวันสงบหรอกค่ะ”
“คุณเล็ก เราเป็นผู้บริหาร ยังไงก็ต้องฟังปัญหาก่อน” ภูชิชย์พูดด้วยเสียงหนักแน่น
สุพัฒนาค้อน “ก็ได้ค่ะ งั้นคุณเล็กไปด้วย”
ภูชิชย์รีบเดินออกไป โดยมีสุพัฒนากับบัวเกี๋ยงเดินตามไปด้วย
คนงานยังคงประท้วงด้วยการโห่ไล่นริศราอยู่ที่โรงอาหาร นิพนธ์ วิทวัส และนริศรายืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก
“เอายังไงดีครับคุณวัส ผมว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่” นิพนธ์เครียด
ทันใดนั้น ภูชิชย์ สุพัฒนา และบัวเกี๋ยงก็เดินเข้ามา สุพัฒนาพยักหน้าให้กับบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงเห็นสัญญาณจึงรีบแยกไปรวมกับคนงานแล้วทำตัวเป็นต้นเสียงโห่ไล่นริศรา
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ภูชิชย์ถาม
“คนงานไม่ยอมรับคุณนิดครับ อยากให้คุณนิดลาออกไป” นิพนธ์บอก
สุพัฒนามองนริศราแบบเหยียดๆ “จะไปได้หรือยัง อีตัวน่ารังเกียจ”
นริศราเห็นดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
“ผมว่าเราไปคุยที่อื่นดีกว่า” วิทวัสแนะนำ
คนงานทั้งหมดยังคงประท้วงโห่ไล่นริศราต่อไป “ออกไป!ออกไป”
นริศรามีสีหน้าคิดหนัก ภูชิชย์ นิพนธ์ วิทวัสและสุพัฒนายืนอยู่กับนริศราในมุมที่ห่างจากบริเวณที่คนงานประท้วงพอสมควร
“ออกไป! ออกไป!” เสียงคนงานยังคงดังต่อเนื่อง
สุพัฒนามองนริศราแล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“ที่จริงจะมาคุยอะไรกันอีก เห็นๆอยู่ว่าคนงานไม่เอามันแล้วก็ให้ออกไปสิคะ” สุพัฒนาเร่ง
“เดี๋ยวสิคุณเล็ก คุณเล็กไม่คิดว่าการประท้วงครั้งนี้มันแปลกๆเหรอ” วิทวัสทัก
“แปลกยังไง” ภูชิชย์ถาม
“โดยรวมๆคนงานบอกว่าคุณนิดไม่จริงใจกับพวกเขา แล้วก็ยังมีเรื่องที่คุณนิดจะเอาพวกเขาออกอีก แสดงว่าต้องมีการปล่อยข่าว” วิทวัสอธิบาย
“ผมเห็นด้วยกับคุณวัสนะครับ” นิพนธ์พูดขึ้น “เพราะคนงานเพิ่งจะรู้สึกดีๆกับคุณนิด ทำไมจู่ๆก็กลับมาไม่ชอบเธออีก”
“แสดงว่ามีคนอยู่เบื้องหลังการประท้วง” ภูชิชย์เอ่ย
วิทวัสมองหน้าสุพัฒนา สุพัฒนาร้อนตัวโกรธขึ้นมาทันที
“พี่วัส!ไม่ต้องมองคุณเล็กแบบนั้นเลยนะ” สุพัฒนากระแทกเสียง “คุณเล็กไม่ชอบ!”
“ไม่ชอบที่พี่มอง หมายความว่ายังไง” วิทวัสถาม
“พี่วัสอย่ากวนประสาทคุณเล็กนะ” สุพัฒนาโมโห
“พี่ไม่ได้กวน แต่คุณเล็กร้อนตัวไม่ชอบแค่พี่มองเพราะอะไร หรือคุณเล็กรู้ว่าคนงานมีเบื้องหลังอะไรในการประท้วง”
“พี่วัส!!!! พูดให้ดีนะ คุณเล็กไม่รู้เรื่อง”
“เอาละอย่าเพิ่งทะเลาะกัน” ภูชิชย์ตัดบท “พี่ว่าเราต้องรีบจัดการปัญหานี้ก่อนดีกว่า เพราะถ้าปล่อยไว้หลายวัน ไร่เราจะต้องเกิดความเสียหายแน่นอน”
สุพัฒนาหันมาพูดกับนริศรา “เห็นหรือยังว่าเธอกำลังจะทำให้คนอื่นลำบาก”
“คุณเล็ก พี่ว่าอย่าเพิ่งสรุปอะไรตอนนี้เลยนะ” ภูชิชย์ว่า
สุพัฒนาอึ้ง “พี่ภู นี่พี่ภูก็จะช่วยมันเหรอคะ”
“พี่จะให้ความยุติธรรมกับทุกคนมากกว่า” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนาตวาด “ก็ไล่มันสิ ต้องให้คุณเล็กกรอกหูพี่ภูกี่ร้อยครั้ง”
“จะกี่ร้อยครั้งพี่ก็ต้องทำให้ทุกอย่างถูกต้อง” ภูชิชย์กล่าวหนักแน่น
นริศรามีสีหน้าครุ่นคิดและหนักใจ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลุกขึ้น “พอเถอะค่ะ เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องลำบากใจ นิดขอรับผิดชอบและจะเป็นคนยุติเรื่องนี้ด้วยตัวนิดเอง”
“รับผิดชอบเหรอ เธอจะทำอะไร” ภูชิชย์ถาม
นริศราไม่ตอบคำ เธอรีบลุกเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของนิพนธ์
“คุณนิด!คุณนิดครับ!” นิพนธ์พยายามเรียก
กลุ่มคนงานยืนประท้วงโห่ไล่นริศราอย่างต่อเนื่อง นริศรารีบเดินเข้ามาในโรงอาหาร คนงานเห็นก็ส่งเสียงโห่ไล่นริศราทันที นิพนธ์กับวิทวัสรีบวิ่งตามมาสมทบ
“คุณนิด....คิดจะทำอะไรครับ” นิพนธ์ถาม
“หวังว่าคุณคงไม่” วิทวัสกังวลว่านริศราจะตัดสินใจลาออก
“ขอนิดคุยกับคนงานนะคะ”
ภูชิชย์กับสุพัฒนาเดินตามมาสมทบ นริศราหันไปมองหน้าภูชิชย์กับสุพัฒนาแล้วเดินไปหาคนงาน
“เอาล่ะทุกคน ขอให้ฟังฉันก่อนได้ไหม” นริศราเริ่มต้นพูด
คนงานหยุดโห่ไล่
“เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าฉันไม่เคยคิดจะไล่ใครออก ตรงกันข้าม ฉันมีความสุขที่ได้ทำงานกับทุกคน แต่ในเมื่อการทำงานที่นี่ของฉันไม่เป็นที่พอใจของทุกคน ฉันก็จะขอลาออก!”
ภูชิชย์อึ้งไป นิพนธ์กับวิทวัสตกใจ ส่วนสุพัฒนาลอบยิ้มให้กับบัวเกี๋ยง
“คุณนิด แม่อุ้ยทำไงดี” พรตกใจ
“โธ่...คุณนิด” แม่อุ้ยรู้สึกสงสาร
คนงานที่เหลือต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ มีเพียงแม่อุ้ย พร และลุงปั๋นที่มีสีหน้าไม่ดี ส่วนบัวเกี๋ยงยิ้มอย่างสะใจ
“เฮ้อ...ไม่ได้มองคนสวยแล้ว” ผลบ่น
บัวเกี๋ยงได้ยินก็หันมาว่า “ลาออกตามมันไปสิ”
นริศราเดินกลับมาหาภูชิชย์กับสุพัฒนา
“ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดค่ะ”
คนงานเฮลั่นโรงอาหาร
สุพัฒนาเดินอย่างอารมณ์ดีเข้ามาในห้องนอน พอจะปิดประตูห้องบัวเกี๋ยงก็พุ่งเข้ามาเสียก่อน
“คุณเล็กขารอบัวเกี๋ยงด้วย”
“มีอะไร” สุพัฒนาถาม
“เอ่อ...เรื่องเงินที่ให้คนงานน่ะค่ะ”
สุพัฒนารีบดึงแขนบัวเกี๋ยงเข้ามากระซิบ “เบาๆสิ เดี๋ยวใครมาได้ยิน”
“ขอโทษค่ะ”
“ฉันบอกแกแล้วไงว่าฉันจะจ่ายเมื่อนังนิดมันออกไปจากที่นี่ ตอนนี้แกไปจับตาดูมันให้ดี มันพ้นรั้วไร่ฉันเมื่อไหร่ ฉันให้แกแน่ ไปสิ”
บัวเกี๋ยงเดินจ๋อยๆ ออกไป สุพัฒนาเดินไปมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“พี่ชายของฉัน ไร่ของฉัน”
นริศราหยิบกระเป๋าและกระเป๋าเป้ออกมาเปิดแล้วเริ่มลงมือเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า พรกับแม่อุ้ยเดินเข้ามาในห้องพักของพร ทั้งสองเข้าไปหานริศรา
“คุณนิด คุณนิดไม่ไปไม่ได้เหรอคะ” แม่อุ้ยขอ
พรร้องไห้ “ไหนคุณนิดบอกจะสู้ไง คุณนิดบอกพรว่าคนอย่างคุณนิดถ้าไม่ผิดจะไม่หนีไงคะ”
“นังพร อย่าไปว่าคุณนิดเลย แค่นี้เธอก็แย่แล้ว” แม่อุ้ยบอก
“ไม่เป็นไรหรอกแม่อุ้ย ฉันรู้ว่าพรพูดเพราะห่วงฉัน” นริศราเข้าใจ เธอจับมือพรแล้วพูดกับพร
“ฉันขอโทษนะพร ที่ทำไม่ได้อย่างที่พูด แต่บางครั้งคนเราก็ต้องยอมเปลี่ยนอุดมการณ์ เพื่อให้คนส่วนหนึ่งมีความสุขนะ”
“คุณนิด” พรสวมกอดนริศราแล้วร้องไห้โฮ
นริศราฝืนยิ้ม “ขอบคุณมากนะแม่อุ้ย พร ที่เป็นห่วงฉัน นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
พรกอดนริศราร้องไห้โฮ แม่อุ้ยมองทั้งสองกอดกันด้วยความเศร้า
“แต่ผมว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ดีสุด” เสียงของวิทวัสดังในห้องทำงานของภูชิชย์ ซึ่งมีภูชิชย์ นิพนธ์ และวิทวัสนั่งคุยกันอยู่
ภูชิชย์ถอนใจ “จะใช่หรือไม่มันไม่สำคัญหรอก ในเมื่อเจ้าตัวเขาอยากไปเราก็คงบังคับไม่ได้”
“พี่ภูครับ พี่ภูไม่คิดว่า คุณนิดโดนแกล้งเหรอครับ” วิทวัสถาม
“นายวัส พี่ว่าเราต้องคิดว่าจะหาใครมาทำงานดีกว่า”
พูดจบภูชิชย์ก็ขบกรามนิ่ง วิทวัสพลอยนั่งนิ่งไปด้วย นิพนธ์มองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นบัวเกี๋ยงกับผลเดินเหมือนหลบคนและทำท่าทางมีพิรุธ นิพนธ์คิดสงสัยขึ้นมาทันที
“ผมขอตัวไปทำธุระอะไรหน่อยนะครับพ่อเลี้ยง” นิพนธ์พูด
“เชิญ” ภูชิชย์บอก
นิพนธ์แอบสะกิดวิทวัสให้เดินออกไปด้วยกัน ทั้งสองเดินออกไป ภูชิชย์ถอนใจด้วยความเครียด
นิพนธ์เดินจ้ำออกมาหน้าอาคารสำนักงาน วิทวัสเดินตามมาด้วยความสงสัย
“มีอะไรเหรอคุณนิพนธ์” วิทวัสถาม
“ผมก็ไม่แน่ใจครับ แค่มีลางสังหรณ์” นิพนธ์บอก
“สังหรณ์อะไร”
นิพนธ์พาวิทวัสเดินไปด้านหลังอาคารแล้วชี้ให้ดูผลที่กำลังลากบัวเกี๋ยงเดินลัดเข้าไปในด้านที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน นิพนธ์กับวิทวัสพยักหน้าให้กันแล้วเดินตามไปห่างๆ
บัวเกี๋ยงสะบัดแขนให้หลุดจากมือของผล
“อะไรอีกล่ะ” บัวเกี๋ยงรำคาญ
“เงินล่ะ” ผลถาม
“โอ๊ย...คุณเล็กยังไม่ให้ เธอบอกจะจ่ายหลังจากที่นังนิดมันไปแล้ว”
“อะไรวะ ก็ประกาศออกโต้งๆขนาดนั้น หรือคุณเล็กจะเบี้ยว”
“ไม่หรอกน่า คุณเล็กเธอรับปากแล้ว”
“โธ่เว้ย...นึกว่าจะได้เงินเลย” ผลเซ็ง
“แหม...รอหน่อยสิ คนงานคนอื่นเขาก็รอเหมือนกัน”
นิพนธ์กับวิทวัสกำลังใช้มือถือถ่ายคลิปการสนทนาระหว่างบัวเกี๋ยงกับผลเอาไว้
ภูชิชย์นั่งดื่มกาแฟและกินเค้กกับเจ้าทิพย์ดาราที่ร้านกาแฟในตัวเมือง เจ้าทิพย์ดาราทราบเรื่องจากภูชิชย์ก็มีสีหน้าตกใจ
“ลาออก!”
ภูชิชย์พยักหน้ารับ
“นี่ภูจะให้คุณนิดลาออกไปง่ายๆแบบนี้เหรอคะ”
“แต่มันเป็นความสมัครใจของเขานะครับ”
“ภูเชื่อเหรอคะว่าคุณนิดจะอู้งาน”
“เขาสมัครงานมาเพื่อทำงานเลขาที่กรุงเทพฯ แต่ถูกส่งมาทำงานเอกสารที่นี่ก็ยอมรับ แล้วพอมาถึงก็ถูกเปลี่ยนเป็นผู้จัดการไร่ ก็ยังสู้งาน คนแบบนี้ไม่น่าจะอู้งานนะ” ภูชิชย์ตอบ
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “นี่แสดงว่าภูมองเธอในแง่ดีขึ้นมากเลยนะคะ”
“ผมก็คิดตามความน่าจะเป็นน่ะครับ”
“ภูคะ น้อยขอร้อง ภูอาจจะไม่รั้งถ้าเธอจะลาออก แต่ภูช่วยคืนความยุติธรรมให้เธอได้ไหมคะ น้อยสงสารผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างคุณนิด”
ภูชิชย์นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เจ้าทิพย์ดาราจับมือภูชิชย์แล้วมองคนรักด้วยสายตาอ้อนวอน
อ่านต่อหน้าที่ 3
รักประกาศิต ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภูชิชย์เดินกลับเข้ามานั่งโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“พี่ภูครับ พี่ภูไม่คิดว่า คุณนิดโดนแกล้งเหรอครับ” เสียงวิทวัสดังก้องในหัว
“ภูคะ น้อยขอร้อง ภูอาจจะไม่รั้งถ้าเธอจะลาออก แต่ภูช่วยคืนความยุติธรรมให้เธอได้ไหมคะ น้อยสงสารผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างคุณนิด” เสียงของเจ้าทิพย์ดาราดังต่อเนื่อง
ภูชิชย์ถอนใจด้วยความเครียด นิพนธ์เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“มีอะไร” ภูชิชย์ถาม
นริศราเดินลงมาที่ด้านหน้าบ้านพักคนงานหญิง เธอเห็นเจ้าทิพย์ดารายืนอยู่ เจ้าทิพย์ดาราเห็นนริศราก็รีบเดินเข้าไปหา
“น้อยรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ”
นริศรายิ้มรับอย่างเศร้าๆ
“แต่น้อยไม่เชื่อว่าคุณนิดจะเป็นอย่างนั้น”
“นิดเป็นยังไงตอนนี้ก็ไม่สำคัญแล้วค่ะ” นริศราพูด
“คุณนิดอย่าเพิ่งยอมแพ้สิคะ”
“นิดก็ไม่อยากจะแพ้นะคะเจ้า แต่ถ้านิดอยู่งานที่นี่ก็คงไม่เดิน คนงานก็จะไม่ได้ค่าแรง นิดว่านิดไปดีกว่าค่ะ”
เจ้าทิพย์ดาราจับมือนริศราอย่างแสดงความเห็นใจ
“แล้วคุณนิดจะไปเมื่อไหร่ค่ะ”
“คงจะเป็นไฟลท์เย็นนี้เลยค่ะ
“จะรีบไปไหนล่ะครับคุณนิด”
เสียงวิทวัสดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมา นริศรามองอย่างงงๆ ก่อนจะถามขึ้น
“คุณวัสจองไฟลท์ไม่ได้เหรอคะ”
วิทวัสยิ้ม “ยังไม่ได้จองครับ.......เพราะคุณนิดไม่ต้องออก”
นริศรางง “อะไรนะคะ”
“คุณนิดทำงานที่นี่ต่อไปได้ครับ” วิทวัสบอก
“อย่าล้อเล่นเลยค่ะ คุณวัสก็ได้ยินว่าพ่อเลี้ยงกับคุณเล็กเขาอยากให้นิดออก”
“ตอนนั้นเขายังไม่ทราบความจริงน่ะสิครับ”
“ความจริง?” นริศรากับเจ้าทิพย์ดาราทวนคำของวิทวัสขึ้นพร้อมๆ กัน
แล้วสองสาวก็มองหน้ากันด้วยความงง
ภูชิชย์ยืนอยู่กลางห้องรับแขก ส่วนนริศรานั่งอยู่กับนิพนธ์ วิทวัส เจ้าทิพย์ที่โซฟา สักพักสุพัฒนาก็เดินเข้ามาพร้อมกับบัวเกี๋ยงและผล พอเห็นทุกคนสุพัฒนาก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที
“เชิญคุณเล็กมาทำไมคะ” สุพัฒนาปรายตามองเจ้าทิพย์ดารากับนริศรา “พี่ภูน่าจะรู้ว่าคุณเล็กไม่ชอบอยู่ร่วมกับพวกนักธุรกิจตกอับ”
“คุณเล็กนั่งก่อนสิ” ภูชิชย์บอก
“ไม่จำเป็นค่ะ มีอะไรก็ว่ามา” สุพัฒนาพูดเสียงแข็ง
“นายวัสบอกพี่ว่าคุณเล็ก บัวเกี๋ยงกับนายผลอยู่เบื้องหลังการไล่นริศรา” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนา บัวเกี๋ยง และผลตกใจทันที สุพัฒนารีบโวยวายใส่
“พี่ภูพูดอะไร พี่วัสใส่ร้ายคุณเล็ก พี่ภูอย่าไปเชื่อพี่วัสนะคะ”
“คุณเล็ก พี่ไม่เคยใส่ร้ายคุณเล็ก แต่ที่พี่กล้าพูดเพราะพี่เห็นและได้ยินตอนที่บัวเกี๋ยงแบ่งเงินกับนายผล นิพนธ์ก็เห็นเหมือนกับพี่” วิทวัสบอก
สุพัฒนาหันขวับมาหาทั้งคู่ทันที บัวเกี๋ยงกับผลพยายามส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกัน
“ไม่จริงนะคะ แบ่งเงินอะไรบัวเกี๋ยงไม่รู้เรื่อง”
“ใช่ครับ ผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันครับพ่อเลี้ยง” ผลปฏิเสธ
“พี่วัส ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ามาพูดลอยๆแบบนี้นะ” สุพัฒนาโวยวาย
ภูชิชย์หยิบโทรศัพท์ของนิพนธ์ออกมา “โทรศัพท์ของนิพนธ์”
ภูชิชย์เปิดคลิปแล้วโชว์ให้สุพัฒนา บัวเกี๋ยง และผลดู ทั้งสามมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
“ผมได้ไปถามคนงานแล้ว ตอนนี้ทุกคนยอมสารภาพหมดแล้วว่าคุณเล็กบอกผ่านบัวเกี๋ยงกับนายผลว่าถ้าใครไม่ร่วมมือจะไล่ออก แต่ถ้าใครร่วมมือจะมีรางวัล” นิพนธ์รายงาน
สุพัฒนาตวาด “นิพนธ์ !!! ตกลงแกจะเป็นสุนัขรับใช้นังนิดใช่ไหม”
สุพัฒนาเดินเข้าไปทั้งตีทั้งทุบนิพนธ์ ภูชิชย์กับวิทวัสต้องเข้ามาดึงน้องสาวเอาไว้
“คุณเล็ก...พอเถอะ” ภูชิชย์ห้าม
“พี่ภูคะ พวกนี้มันแกล้งคุณเล็ก พี่ภูต้องไล่มันออกไปให้หมด ไอ้นิพนธ์กับพวกคนงานด้วย” สุพัฒนาหันขวับไปหาเจ้าทิพย์ดารา “แกก็อีกคน รวมหัวกับนังนิดมาใส่ร้ายฉันใช่ไหม”
สุพัฒนาพยายามดิ้นออกจากมือภูชิชย์เพื่อจะเข้าไปทำร้ายเจ้าทิพย์ดารา
ภูชิชย์พูดตัดบท “คุณเล็ก อย่าให้พี่ต้องผิดมากไปกว่านี้เลย”
สุพัฒนาอึ้ง “พี่ภู นี่พี่ภูกลายเป็นพวกมันด้วยเหรอ”
สุพัฒนาสะบัดแขนจากภูชิชย์ ภูชิชย์ส่ายหน้าแล้วหันไปประกาศกับนริศรา วิทวัส และนิพนธ์
“นริศราจะทำงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการต่อไป”
เจ้าทิพย์ดารา วิทวัสและนิพนธ์ยิ้มอย่างปลาบปลื้มให้กับนริศรา ส่วนสุพัฒนา บัวเกี๋ยง ผล ถึงกับหน้าเสียมองนริศราด้วยความเจ็บใจ สุพัฒนาร้องกรี๊ดแล้วก็หอบ ภูชิชย์จะเข้าไปหาแต่สุพัฒนาผลักออกแล้วให้บัวเกี๋ยงประคองตัวเธอขึ้นไป
“ไม่ต้องมายุ่งกับคุณเล็กอีก” สุพัฒนาตะโกนใส่พี่ชายตัวเอง
ภูชิชย์เดินมาส่งเจ้าทิพย์ดาราที่รถซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงาน
“โล่งอกไปทีนะคะที่คุณนิดพ้นมลทิน” เจ้าทิพย์ดาราถอนหายใจ
“ดูเจ้าจะดีใจมากกว่าเจ้าตัวเขาอีกนะครับ” ภูชิชย์บอก
“แน่นอนค่ะ น้อยชอบคุณนิดก็ต้องดีใจที่เธอจะอยู่ที่นี่เป็นธรรมดา กลัวแต่ว่าเธอจะไม่อยากอยู่แล้วน่ะสิคะ”
“ถ้าเขาลาออกเองคราวนี้ผมคงห้ามไม่ได้แล้วครับ”
“คนเก่งแล้วก็สู้งานอย่างคุณนิด คุณวัสเขาคงปล่อยให้ออกหรอกค่ะ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มแล้วขึ้นรถขับออกไป ภูชิชย์ยืนนิ่งแล้วคิดตาม
บัวเกี๋ยงถูกน้ำสาดใส่หน้าเต็มแรง สุพัฒนาถือแก้วที่เพิ่งสาดน้ำใส่บ่าวคนสนิทไป ก่อนจะด่าออกมาเป็นชุด
“เพราะแกคนเดียว...บัวเกี๋ยง นังโง่ แผนจะสำเร็จอยู่แล้วยังพลาดอีก อีบ้า...อีโง่”
สุพัฒนาเข้าไปทั้งทุบทั้งตีบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงได้แต่เบี่ยงตัวหลบแล้วทำเป็นร้องไห้
“คุณเล็กขาบัวเกี๋ยงผิดไปแล้ว ยกโทษให้บัวเกี๋ยงเถอะนะคะ”
สุพัฒนาตีบัวเกี๋ยงจนเหนื่อยหอบ แล้วเธอก็ผลักหัวบัวเกี๋ยงออกไป “แกจะไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก...ออกไป!”
สุพัฒนาโกรธมากคว้าหมอนอิงปาใส่บัวเกี๋ยง จนบัวเกี๋ยงต้องวิ่งหนีออกจากห้องนอนของสุพัฒนาไป
สุพัฒนากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“นังนริศรา ในเมื่อฉันขอให้แกไปดีๆแกไม่ได้ ต่อไปนี้อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน”
บัวเกี๋ยงวิ่งหนีออกมาจากห้องสุพัฒนาแล้วก็รีบปิดประตู
“คำก็โง่สองคำก็โง่” บัวเกี๋ยงแค้น “ก็มีแต่คนโง่อย่างนังบัวเกี๋ยงนี่ล่ะว๊า!!ที่คุยกับคนบ้ารู้เรื่อง! คอยดูนะฉันได้เป็นพี่สะใภ้แกเมื่อไหร่ แม่จะตบคืนให้หายแค้นเลย”
พูดจบบัวเกี๋ยงก็มองไปที่ห้องด้วยความเจ็บใจ
นริศรานั่งเหม่ออยู่คนเดียวที่มุมหนึ่งภายในไร่ สักพักวิทวัสก็เดินเข้ามานั่งคุยด้วย
“ผมนึกว่าพอทุกคนรู้ความจริงแล้วคุณนิดจะดีใจซะอีก แต่กลับมานั่งเศร้าซะงั้น”
นริศราถอนใจ “ดีใจที่ได้ต่ออายุการทำงานไปอีกวันน่ะเหรอคะ”
“ผมขอโทษนะครับที่พยายามรั้งคุณนิดไว้ที่นี่ เอาเป็นว่าผมขอแก้ตัวด้วยการย้ายคุณนิดไปทำงานออฟฟิศที่กรุงเทพฯตามที่คุณนิดขอแล้วกันนะครับ”
นริศราดีใจ “จริงเหรอคะคุณวัส”
“คุณนิดอยากกลับเมื่อไหร่ครับ”
“พรุ่ง....” นริศรากำลังตอบแต่เสียงภูชิชย์ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“นริศราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
นริศรากับวิทวัสหันไปตามเสียงก็เห็นภูชิชย์ยืนหน้าตึงอยู่ ทั้งสองต่างงงกับคำสั่งประกาศิตของภูชิชย์
“อะไรของคุณ” นริศรางง
“ได้ยินชัดแล้วนี่ แต่จะให้ย้ำก็ได้ เธอต้องทำงานที่นี่ห้ามไปไหนทั้งนั้น” ภูชิชย์ยื่นคำขาด
พูดจบภูชิชย์ก็จะเดินไปแต่นริศรารีบเข้ามาขวาง
“ก็ตอนแรกอยากให้ฉันไปจากที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“ทำตามคำสั่งฉันก็พอ”
ภูชิชย์พูดแล้วก็เดินไปขึ้นรถจิ๊ป นริศรามองตามด้วยความแค้น
“สุดจะทนแล้วนะ”
ด้วยความโมโหนริศรารีบวิ่งตามภูชิชย์ที่กำลังสตาร์ทรถออกไป วิทวัสตกใจจะเรียกแต่ก็ไม่ทัน นริศรากระโดดขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วจนเกือบตก ภูชิชย์ถึงกับต้องเบรกตัวโก่ง
“นี่เธอจะบ้าหรือไง” ภูชิชย์ว่า
“ใช่...ก็ถ้าฉันจะต้องคุยกับคนบ้า ฉันก็ต้องบ้า คุณต้องคุยกับฉันให้รู้เรื่อง”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
“ได้ งั้นฉันจะนั่งอยู่อย่างนี้”
ภูชิชย์กันนริศราประสานสายตาอย่างไม่ยอมกัน ภูชิชย์ตัดสินใจออกรถแบบกระชากจนนริศราต้องคว้าที่จับไว้แน่นๆ วิทวัสยืนมองทั้งสองอย่างงงๆ
“อะไรของพี่ภูเขานะ”
ภูชิชย์ขับรถด้วยความเร็วมาถึงหน้าคอกวัว เขาแกล้งเหวี่ยงรถไปมา นริศราเกาะแน่นแต่ไม่แสดงท่าทีว่ากลัว เธอกับเขายังคงจ้องหน้ากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน จู่ๆ ภูชิชย์ก็เบรกรถจนนริศราหัวทิ่ม นริศราร้องโอดครวญ
“เธออยากจะคุยอะไร” ภูชิชย์ถาม
“ทำไมไม่ยอมให้ฉันไป”
ภูชิชย์ยิ้มเหยียด “อย่าสำคัญตนผิด ฉันน่ะอยากให้เธอไปใจจะขาด แต่เธอต้องไปให้พ้นจากธุรกิจของครอบครัวฉัน ไม่ใช่จ้องกลับไปหาจังหวะจับนายวัสที่กรุงเทพฯ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ฉันจะขังเธอไว้ที่นี่”
“นี่พ่อเลี้ยง ฉันไม่รู้และไม่สนนะว่าคุณจะเอาความคิดนี้มาจากไหน แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้”
“ทำไมจะไม่มี กฎของบริษัทเราการจะย้ายแผนกต้องได้รับการยินยอมจากผู้บังคับบัญชาตรง ฉันเซ็นรับเธอแล้ว ถ้าไม่เซ็นโอนให้ เธอก็ไปไหนไม่ได้”
พูดจบภูชิชย์ก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไร่ไป นริศรามองตามด้วยความเจ็บใจ
แม่อุ้ยกับพรช่วยกันตักอาหารให้คนงานที่มายืนต่อแถวในโรงอาหาร นริศราเดินเข้ามาแล้วทำท่าทางรีๆรอๆ คนงานที่กำลังต่อแถวส่วนหนึ่งเดินแยกจากแถวเข้าไปหา
“คุณนิดครับ ไปนั่งที่โต๊ะเถอะครับ เดี๋ยวพวกผมตักอาหารไปให้” เป็งบอก
นริศรางง “เอ่อ...ไม่เป็นไรให้ฉันต่อแถวดีกว่า”
ทันใดนั้นลุงปั๋นก็เดินเข้ามาหา
“ให้คนงานเขาตักข้าวให้เถอะครับคุณนิด พวกเราอยากขอโทษคุณนิดด้วย”
“ขอโทษ?” นริศรางง
ลุงปั๋นยิ้มให้ นริศรามองไปที่พวกคนงานก็เห็นทุกคนกำลังยิ้มให้ นริศราจึงยิ้มออกมา คนงานหญิงเดินมาจูงนริศราให้ไปนั่งที่โต๊ะ คนงานทุกคนรวมทั้งแม่อุ้ยกับพรเดินตามไป
“พวกนี้เขาสำนึกผิดแล้วค่ะที่แกล้งคุณนิด” พรบอก
“เอ่อ...แล้วทุกคนไม่กลัวคุณเล็กโกรธเหรอจ๊ะ” นริศราอ้อมแอ้มถาม
“ไม่กลัวแล้วค่ะ เพราะมีป้ายอาญาสิทธิ์” แม่อุ้ยบอก
พูดจบแม่อุ้ยก็ชี้ไปที่เสา นริศราจึงเห็นประกาศแผ่นหนึ่งติดอยู่ เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วอ่านข้อความในประกาศแผ่นนั้น
“ประกาศ เนื่องด้วยคุณนริศราผู้จัดการไร่สุพัฒนา ไม่ได้ทำความผิดอะไร อีกทั้งยังตั้งใจทำงานพยายามเรียนรู้งานต่างๆอย่างขยันขันแข็ง และเป็นตัวอย่างอันดีแก่คนงานทุกคนในเรื่องการมีระเบียบวินัยในการทำงาน ทางไร่สุพัฒนาจึงขอยกเลิกการลาออกของคุณนริศรา และขอให้คนงานทุกคนให้ความร่วมมือในการทำงานกับคุณนริศราในทุกๆเรื่อง ลงชื่อ ภูชิชย์ บริรักษ์กิจเกษตร ผู้อำนวยการไร่สุพัฒนา”
อ่านจบนริศราก็แอบอมยิ้ม คนงานหญิงชื่อฝ้ายเดินเข้ามาไหว้
“คุณนิดอภัยให้พวกเรานะคะ พวกเราผิดไปแล้ว”
คนงานทุกคนยกมือไหว้และบอกขอโทษพร้อมกัน
นริศรายิ้ม “ฉันไม่โกรธทุกคนหรอก ขอบคุณมากๆนะที่ยอมรับฉัน ขอบคุณจริงๆ ต่อไปนี้เราตั้งใจทำงานด้วยกันนะ”
คนงานหญิงบางส่วนเข้ามากอดนริศรา คนงานทั้งหมดปรบมือดีใจร้องไชโย นริศรายิ้มปลื้มแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นิพนธ์กับวิทวัสที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ต่างก็ยิ้มกับภาพที่เห็น
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็น นิพนธ์เดินจะเข้าบ้านพักของเขา แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นสุพัฒนายืนรออยู่หน้าบ้าน นิพนธ์รู้สึกไม่ดีที่ทำให้สุพัฒนาโกรธก็อยากจะอธิบายแต่สุพัฒนาชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เธอมันไม่จริงใจ”
“คุณเล็กผม....”
สุพัฒนาพูดสวนขึ้น “ตอนนั้นฉันเศร้า เธอเคยมาบอกว่าพี่ภูเป็นพี่ชายที่รักฉันที่สุด ฉันหลงคิดว่าเธออยู่ข้างฉัน แต่เธอก็หักหลังฉัน”
“คุณเล็กครับ ผมไม่ได้หักหลังใคร”
“ฉันเกลียดแก ไอ้นิพนธ์”
สุพัฒนาผลักอกนิพนธ์แล้วเดินหนีไป นิพนธ์มองตามด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
วิทวัสที่กำลังคุยกับภูชิชย์ที่สนามหน้าบ้านของภูชิชย์อมยิ้มอย่างมีความสุข
“โอเคครับ ถ้าพี่ภูยืนยันที่จะให้คุณนิดทำงานที่นี่ ผมก็ไม่ขัด งั้นพรุ่งนี้ผมก็คงกลับกรุงเทพฯ ห่วงงานทางโน้นเหมือนกัน”
ภูชิชย์มองอย่างสงสัย “แล้วนายไม่ห่วงนริศราหรือไง”
“ห่วงสิครับ แต่อย่างที่ผมเคยบอกแหล่ะครับ ผมเชื่อว่คุณนิดจะต้องทำงานที่นี่ได้ และเท่าที่ผมเห็นผมก็เชื่อว่าเธอสามารผ่านทุกอุปสรรคไปได้ครับ”
“ดูนายจะมั่นใจในตัวเขาเกินจริงไปหรือเปล่า?” ภูชิชย์แปลกใจ
“อย่ามองคุณนิดในแง่ร้ายนักสิครับ ผมว่าถ้าพี่ภูมองด้านดีของเธอ พี่ภูจะได้เพื่อนร่วมงานที่ดีมากคนหนึ่งเลยนะครับ”
“นายจะให้ฉันมองในแง่ดี ทั้งๆที่ประวัติที่มาที่ไปของเขานายก็ไม่ให้ฉันรู้จักงั้นเหรอ”
“บางทีการที่คนเราไม่รู้จักเปลือกนอกของเขา มันอาจจะทำให้เราได้เห็นคุณสมบัติภายในได้ชัดเจนมากขึ้นก็ได้นะครับ” วิทวัสพูดกลบเกลื่อน
ภูชิชย์งง “นี่นายกับยัยนิดกำลังร่วมมือกันทำอะไร”
“เอาเป็นว่าพี่ภูมั่นใจได้ว่า ผมกับคุณนิดไม่ได้คิดจะทำอะไรที่ไม่ดีแน่นอนครับ”
วิทวัสพูดแล้วก็ยิ้มจากนั้นจึงเดินไป ภูชิชย์มองตามน้องชายแล้วคิดตาม
“ฮึ....มองด้านดี....เห็นเนื้อใน พูดซะหรูเลยนะนายวัส ฉันว่านายกำลังหลงยัยนั่นมากกว่า”
ความมืดยามค่ำคืนปกคลุมรอบบ้านนริศราที่กรุงเทพฯ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของลัคนาก็ดังทำลายความเงียบ ลัคนาที่นอนแล้วงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความโมโห
“โอ๊ย....โทรอะไรนักหน้านะ” ลัคนาหยิบโทรศัพท์แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหวาน “หวัดดีค่ะคุณณะ แหม นากำลังรอสายพอดีเลย วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างคะ”
ณรงค์นั่งคุยโทรศัพท์กับลัคนาที่บ้านพักที่สวีเดน
“ก็เหมือนทุกวันแหล่ะ แล้วลูกๆล่ะ”
“โทรมาตอนนี้แกก็หลับแล้วสิคะ” ลัคนาตอบ
“บอกลูกๆด้วยนะว่าผมไม่ได้ลืมเขา แต่กว่าจะติวเสร็จมันก็ค่ำแล้ว เวลาที่โน่นเลยดึกเกินไป”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ลูกๆเข้าใจดี”
“แล้วนาได้ข่าวยัยนิดบ้างไหม”
“เอ่อ....คือ...นาได้โทรคุยกันแล้วค่ะ” ลัคนาโกหก
“จริงเหรอ ยัยนิดว่ายังไง”
“นิดบอกว่าขออยู่กับแฟนสักพัก ถ้าเขาพร้อมจะติดต่อกลับค่ะ”
ณรงค์ถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ลัคนาพูดต่อทันที
“คุณณะคะ นิดเขาโตแล้ว เราคงต้องปล่อยให้เขาเลือกทางเดินของเขาเอง แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ นาบอกเขาไปแล้วถ้ามีปัญหาอะไรให้โทรหานาทันที”
“ขอบคุณมากนะนา คุณต้องไม่ทิ้งยัยนิดนะ”
“แน่นอนค่ะ นารักแกจะตาย”
ลัคนาวางสายแล้วเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ
“ห่วงอะไรกันนักกันหนา จะเอากลับบ้านมาผลาญเงินลูกฉันเหรอ ไม่มีทาง”
น้ำค้างยามเช้าเกาะยอดใบของต้นไม้ภายในไร่สุพัฒนา ผลยกกระเป๋าวิทวัสออกมาใส่รถที่จอดอยู่ที่หน้าบ้านภูชิชย์ ภูชิชย์และนิพนธ์มายืนส่งวิทวัสอยู่ด้วยกัน
“ผมไปนะครับพี่ภู คุณนิพนธ์” วิทวัสร่ำลา
ภูชิชย์พยักหน้ารับ วิทวัสกำลังจะขึ้นรถ ระหว่างนั้นนริศราขับรถกระบะแล่นเข้ามาจอด แล้วรีบลงมาหาวิทวัส
“ไปแต่เช้าเลยเหรอคะ”
“ครับ จะได้กลับไปเคลียร์งานที่กรุงเทพฯด้วย” วิทวัสตอบ
“งั้นนิดขออวยพรให้คุณวัสเดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ขอบคุณครับ แล้วถ้าคุณนิดมีปัญหาอะไรก็โทรเรียกผมได้ทันทีนะครับ ผมจะรีบมาดูแลให้”
วิทวัสกับนริศรายิ้มให้กัน ภูชิชย์มองทั้งคู่ด้วยสายตาเขม่นจากนั้นก็แกล้งเดินมาตบไหล่วิทวัส
“อยู่กรุงเทพฯก็หาผู้หญิงดีๆสักคนนะ พี่อยากเห็นน้องสะใภ้แล้ว”
วิทวัสยิ้มแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป นริศรามองตามพร้อมกับโบกมือส่งจนรถแล่นออกไปไกล พอหันกลับมาก็เห็นภูชิชย์กำลังเบ้ปากใส่
“อยู่ห่างๆจากน้องชายฉันแบบนี้แหล่ะดีแล้ว”
พูดจบภูชิชย์ก็เดินเข้าบ้านไป นริศรามองตามพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอาใจ
สุพัฒนากับบัวเกี๋ยงยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ที่หน้าต่างห้องนอน พอเห็นรถของวิทวัสลับตาไปสุพัฒนาก็ยิ้มร้าย
“คุณเล็กไม่ลงไปส่งคุณวัสหน่อยเหรอคะ” บัวเกี๋ยงถาม
“ไม่เอาหรอก ฉันยังโกรธพี่วัสไม่หายที่เห็นนังนิดมันดีกว่าฉัน”
“ตอนนี้ก็ไม่มีคนคอยให้ท้ายมันแล้ว บัวเกี๋ยงว่าเรารีบจัดการให้มันออกไปจากไร่ให้เร็วที่สุดเถอะค่ะ”
สุพัฒนาตวาด “แกไม่ต้องมาสอนฉันเลย”
บัวเกี๋ยงหน้าจ๋อย
“ แน่นอน ฉันต้องเอาคืนที่มันทำไว้กับฉันแน่ๆ”
สุพัฒนาพูดแล้วกัดปากด้วยความเจ็บใจ
ภูชิชย์ขับรถมาตามทางภายในไร่องุ่น แล้วเขาก็เห็นรถกระบะของนริศราจอดอยู่กับรถกระบะของคนงาน ภูชิชย์จอดรถห่างออกมา เขาเห็นนริศราและคนงานทำงานกันด้วยดี นริศราจะช่วยยกกระบะใส่องุ่นแต่คนงานไม่ยอมรีบเข้ามาช่วยกันยก
ภูชิชย์เดินลงจากรถมายืนดูการทำงานของนริศรากับคนงาน นริศราเห็นคนงานมาช่วยยกกระบะนี้ ก็เลยจะไปยกอีกกระบะแต่ก็ยกด้วยความยากลำบากเพราะกระบะหนัก
ภูชิชย์เดินเข้ามาช่วยนริศรา แต่นริศราไม่ยอมให้ภูชิชย์ช่วย ภูชิชย์ไม่สนใจดึงกระบะมาได้ก็ยกไปใส่รถทันที
“เมื่อกี้ฉันเห็นคนงานบอกแล้วนี่ว่าเธอไม่จำเป็นต้องช่วย” ภูชิชย์บอก
“ฉันไม่ชอบยืนเฉยๆ อะไรที่ทำได้ก็อยากจะทำ” นริศราตอบ
นริศราเดินไปหากระบะใบใหม่แล้วจะยกอีก ภูชิชย์เดินตามมายืนดู
“ไม่กลัวทำของฉันเสียหายเหรอ” ภูชิชย์ถาม
“โอเค...ได้ค่ะ ถ้าพ่อเลี้ยงกลัวมากก็ช่วยพวกคนงานยกแล้วกัน ฉันจะยืนดูนิ่งๆ แต่พ่อเลี้ยงต้องทำให้เสร็จภายในสิบนาที เพราะถ้าส่งไม่ทันจะโทษฉันไม่ได้...ตกลงตามนี้นะคะ”
นริศราพูดแล้วก็จ้องหน้ายิ้มกวนให้ภูชิชย์ ภูชิชย์มองหน้านริศราด้วยความโมโห คนงานรีบยกกันวุ่นวาย ภูชิชย์กัดฟันกรอดแล้วหันไปช่วยคนงานยก นริศราแอบอมยิ้มสะใจแล้วก็ยืนกอดอกดูภูชิชย์ทำงานด้วยท่าทางสบายๆ
นริศราเสียงดังขึ้น “เร็วหน่อยนะทุกคน จะได้เวลาที่ทางสหกรณ์จะมารับองุ่นแล้ว”
ภูชิชย์และคนงานช่วยกันยกกระบะองุ่นใส่รถบรรทุกเล็กที่ด้านข้างเขียนป้ายว่า 'สหกรณ์เกษตรจังหวัดลำพูน'
นริศราเซ็นเอกสารส่งให้คนของสหกรณ์ แล้วเดินไปดูท้ายรถก็เห็นภูชิชย์กำลังวางกระบะ
นริศราพูดกับคนของสหกรณ์ “เรียบร้อยค่ะ”
คนของสหกรณ์กับนริศรายกมือไหว้ลากัน แล้วคนของสหกรณ์ก็ขึ้นรถขับออกไป นริศราหันกลับไปเห็นภูชิชย์ปาดเหงื่อแล้วจะเดินแยกตัวไป นริศราจึงรีบพูดขึ้น
“เอ้าทุกคน....ขอบคุณพ่อเลี้ยงหน่อยนะที่อุตส่าห์มาช่วยพวกเราแบบ...ไม่เกี่ยงงอน”
คนงานทุกคนปรบมือให้ ภูชิชย์หันกลับมาแล้วจำใจยิ้มรับแล้วก็หันไปอีก
“อุ๊ย...พ่อเลี้ยงคะ ไหนๆก็มาช่วยแล้ว ต่อที่โรงอบลำไยอีกนิดได้ไหมคะ” นริศราพูดเสียงดัง
ภูชิชย์หันกลับมาทำหน้าเข้ม นริศรายิ้มและแอบยักคิ้วกวนใส่ ภูชิชย์กัดฟันอย่างเจ็บใจ
“ตกลงช่วยใช่ไหมคะ” นริศราถามกวนๆ
นริศรามานั่งเล่นดูคนงานยกลังลำไยที่อบแห้งแล้วมาจัดเรียง โดยที่ภูชิชย์ก็ช่วยยกด้วย นริศรานั่งยิ้มและเชิดใส่ภูชิชย์ พอคนงานยกลังออกมาจนครบทั้งหมด ภูชิชย์ก็เดินไปหานริศรา
ภูชิชย์กระซิบบอกนริศรา “ฉันจะไปทำงานของฉัน”
นริศราแกล้งพูดเสียงดัง “อ้าวเหรอคะ ฉันว่าจะขอแรงพ่อเลี้ยงบรรจุลำไยใส่ถุงพลาสติกพอดี คือกลัวทำไม่ทันน่ะค่ะ ฉันจะยกของหนักก็กลัวทำของพ่อเลี้ยงเสียหาย ไม่ทราบว่าพ่อเลี้ยงพอจะช่วยพวกเราได้ไหมคะ”
ภูชิชย์พยายามข่มอารมณ์แล้วกระซิบกลับ “นริศรา...เธอแกล้งฉัน”
นริศรากระซิบตอบ “อัลไซเมอร์หรือคะพ่อเลี้ยง เมื่อกี้ที่ไร่องุ่นพ่อเลี้ยงเสนอตัวก่อนนะคะ”
ภูชิชย์จ้องหน้านริศราอย่างไม่พอใจ นริศรายิ้มแล้วพูดกับคนงาน
“ตายแล้วไม่ทันแน่ๆเลย เดี๋ยวพวกเราช่วยๆกันนะ”
นริศราลงไปรวมกลุ่มกับคนงานเพื่อช่วยบรรจุลำไยแห้งใส่ถุงพลาสติก ภูชิชย์ยืนดูสักพักก็จะเดินไปแล้วเขาก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นคนงานแอบมองมา เขาก็เลยจำใจต้องลงไปช่วย
ภูชิชย์แอบมองเขม่นใส่นริศรา แต่นริศรารู้ว่าภูชิชย์มองอยู่ก็ทำเป็นลอยหน้าลอยตาทำงานอย่างไม่สนใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4
รักประกาศิต ตอนที่ 5 (ต่อ)
พอถึงช่วงพักกลางวัน นริศรานั่งกินข้าวกับคนงานและคุยกันอย่างสนุกสนาน สักพักแม่อุ้ยกับพรก็ไปนั่งร่วมวงด้วย ภูชิชย์นั่งทานข้าวอยู่คนเดียวอย่างหิวโซที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างออกมา ก่อนที่นิพนธ์เดินเข้ามาในโรงอาหาร
“อ้าว...พ่อเลี้ยงทำไมมานั่งทานคนเดียวล่ะครับ คนนิดไปไหน” นิพนธ์ทักขึ้น
“โน่นไง ตอนนี้เข้ากับคนงานเป็นปี่เป็นขลุ่ยรักกันลั่นเปรี้ยงแล้ว” ภูชิชย์ชี้ให้นิพนธ์ดู
นิพนธ์มองตามไปก็เห็นนริศรากำลังคุยอย่างออกรสชาติกับกลุ่มคนงาน
นิพนธ์หัวเราะ “ท่าทางคุยกันสนุกนะครับ เดี๋ยวผมขอไปจอยโต๊ะนั้นนะครับ”
“เฮ้ย..นิพนธ์ ไม่ต้องเลย นั่งนี่แหล่ะ”
ลุงปั๋นเดินเข้ามาหาภูชิชย์กับนิพนธ์ที่โต๊ะ แล้วเอ่ยถาม
“คุณนิดล่ะครับ”
ภูชิชย์ถอนใจ “เออ...พอตอนนี้ละมีแต่คนเรียกหาแต่นริศรานะ”
“ครับ เพราะว่าเครื่องสูบน้ำตัวใหญ่มันเสีย ผมซ่อมไม่ได้เลยว่าจะขอให้คุณนิดสั่งรถออก ผมจะเอาไปซ่อมในเมืองครับ ไม่งั้นเย็นนี้ไม่มีน้ำรดต้นไม้แน่”
บัวเกี๋ยงลอยหน้าลอยตาฟ้องสุพัฒนาที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านภูชิชย์
“แหม...บัวเกี๋ยงพอได้ยินก็กินข้าวไม่ลงเลยค่ะคุณเล็ก พวกคนงานมันบอกเลยนะคะว่าที่งานเสร็จเร็วเพราะนังนิดมันสั่งให้พ่อเลี้ยงทำ”
“บ้าเหรอ นังบัวเกี๋ยง แกเอาอะไรมาพูด” สุพัฒนาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ก็เอาความจริงนี่แหล่ะค่ะ ถามพวกคนงานชายได้เลย พ่อเลี้ยงทำตามสั่งนังนั่นทุกอย่างจริงๆแม้แต่บรรจุลำใยแห้งยังทำเลยค่ะ”
สุพัฒนาลุกพรวด “นังบัวเกี๋ยง ถ้าไม่เป็นอย่างที่แกพูดฉันเอาแกตายแน่”
ภูชิชย์ นิพนธ์ และลุงปั๋นกับคนงานชายจำนวนหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆดูเครื่องสูบน้ำตัวใหญ่ โดยมีนริศรายืนลุ้นอยู่ด้วย
“สงสัยจะเสียจริงๆนะครับ” นิพนธ์บอก
“มันคงจะเก่ามากแล้ว คงต้องเปลี่ยนใหม่” ภูชิชย์สรุป
“แต่ถ้าสั่งวันนี้กว่าจะได้เร็วสุดก็สองวันนะครับ” ลุงปั๋นบอก
ภูชิชย์ถอนใจด้วยความเซ็ง
“งั้นจะทำไงล่ะคะ” นริศราถาม
“มีทางเดียวต้องซ่อมตัวนี้ใช่ให้ได้ไปก่อนระหว่างรอตัวใหม่ครับ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปยืมที่ไรเทพมงคลมาใช้ก่อน” นิพนธ์พูด
“ทางนั้นคงไม่ให้” ภูชิชย์สวนขึ้นทันที
นริศราเดินมาหยุดยืนจ้องเครื่องสูบน้ำ “ลองวิธีนิดไหมคะ”
ทุกคนมองนริศราด้วยความสงสัยว่าเธอจะทำอย่างไร
“เธอจะทำอะไรได้ เอาเวลาไปติดต่อขอยืมเครื่องสูบน้ำดีกว่า” ภูชิชย์พูดหยันๆ
นริศราพูดกับเครื่องสูบน้ำ “ช่วยฉันสักครั้งนะ”
นริศราหลับตาอธิษฐานแล้วถีบเครื่องสูบน้ำอย่างแรงจนเครื่องล้ม แล้วเครื่องสูบน้ำก็ติดขึ้นมาทันที
“โอ้โห...คุณนิด...เยี่ยมไปเลยครับ” ลุงปั๋นตกใจระคนดีใจ
พวกคนงานยิ้มและร้องอย่างดีใจ ภูชิชย์มองตามอย่างอึ้งๆ แต่แอบอมยิ้ม
“ยัยนี่ท่าจะบ้า”
นริศราหันกลับมาภูชิชย์จึงรีบหุบยิ้มทันที พอนริศราเผลอภูชิชย์ก็แอบมองตลอด
สุพัฒนาจอดรถดูเหตุการณ์อยู่กับบัวเกี๋ยงที่มุมหนึ่งห่างออกไป
“เห็นแล้วหมั่นไส้นะคะคุณเล็ก” บัวเกี๋ยงพูดอย่างหมั่นไส้ “นังนิดมันออดอ้อนพ่อเลี้ยงน่าดู พ่อเลี้ยงก็มองตามมันตาไม่กระพริบเลย”
สุพัฒนามองภูชิชย์กับนริศราที่กำลังช่วยกันจัดวางเครื่องสูบน้ำกับท่อให้อยู่ในระดับใช้งานตาเขม็ง
นิพนธ์กลับมานั่งทำงานที่โต๊ะของเขา สักพักสุพัฒนาก็เดินหน้าตึงเข้ามา
“ฉันไม่ชอบให้พี่ภูไปอยู่ใกล้ๆนังนั่น เธอต้องกลับไปทำงานในไร่” สุพัฒนาออกคำสั่ง
“แล้วใครจะทำงานเอกสารล่ะครับ”
“เรื่องงานช่างมันเถอะ แต่เธอต้องไปอยู่ใกล้ๆนังนิดเอาไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็จีบมันเป็นแฟนซะเลย”
นิพนธ์ตกใจ “อะไรนะครับคุณเล็ก”
“เธอชอบมันไม่ใช่เหรอ จีบมันซะเลยสิ”
“เอ่อ...คุณเล็กครับ ผมไม่ได้ชอบคุณนิดแบบนั้น”
สุพัฒนาตัดบท “นี่อย่าเรื่องมากได้ไหม ฉันสั่งให้จีบก็จีบ คนอย่างเธอน่ะได้ผู้หญิงอย่างนริศราก็ดีถมไปแล้ว หรือชอบพวกคนงานหญิง...หา”
“คุณเล็กครับ ผู้ชายถ้าเขาจะจีบผู้หญิง เขาต้องชอบผู้หญิงคนนั้นนะครับ” นิพนธ์พยายามอธิบาย
“จะชอบหรือไม่ชอบไม่ต้องมาออกความคิด จำใส่หัวไว้สิว่าเธอกินเงินเดือนฉันอยู่”
นิพนธ์นิ่งเงียบเพราะพูดไม่ออก
“เธอเคยบอกว่าไม่ได้หักหลังฉันใช่ไหม พิสูจน์สิ”
สุพัฒนาพูดจบก็เดินออกไป นิพนธ์มองตามด้วยความหนักใจ
สุพัฒนาเดินออกมานอกห้องแล้วพูดกับตัวเอง
“ทีนี้ก็เหลือแค่กำจัดนังเจ้าน้อยจากพี่ภู แล้วก็ดันมอลลี่ให้พี่วัส”
มัลลิกานั่งติดขนตาปลอมอยู่ที่โต๊ะทำงานในบริษัทสุพัฒนาการเกษตรที่กรุงเทพฯ บนโต๊ะของเธอเต็มไปด้วยเครื่องสำอางกับนิตยสารแฟชั่น ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ ออฟฟิศคุณวิทวัส วันนี้คุณวิทวัสไม่เข้านะคะ มีอะไรสั่งไว้ แต่จะให้ดีโทรมาวันอื่นดีกว่า วันนี้ดิฉันยุ่งค่ะ”
สุพัฒนาที่ถือหูโทรศัพท์อยู่ว่าเพื่อนผ่านสายทันที
“ยุ่งอะไรนักหนา งานไม่มีทำไม่ใช่เหรอมอลลี่”
มัลลิกาสะดุ้ง “เอ่อ...คุณเล็กเหรอ ต๊าย แหมไม่บอกกันก่อนเลยนะ มีธุระอะไรจ๊ะ”
“พี่วัสถึงออฟฟิศกี่โมง”
มัลลิกาตกใจ “พี่วัสกลับมาแล้วเหรอ”
“ก็ไปตั้งแต่เช้าแล้วน่ะสิ นี่มอลลี่ไม่รู้อะไรเลยหรือไง”
“จะรู้ได้ยังไง ก็พี่วัสไม่เคยบอกอะไรเลย ไปก็ไม่บอกมอลลี่ กลับมาก็ไม่บอกอีก”
“มอลลี่ เธอนี่มันไร้ประสิทธิภาพจริงๆ แล้วแบบนี้จะเอาพี่วัสอยู่เหรอ” สุพัฒนาพูดจบก็ตัดสายทันที
มัลลิกาวางสายด้วยความหงุดหงิด
“พี่วัสรู้จักมอลลี่น้อยไป คนอย่างมอลลี่น่ะยิ่งหนีก็ยิ่งตาม”
เสียงสัญญาณเลิกเรียนดังทั่วโรงเรียนอนุบาล เด็กนักเรียนยอยกันกลับบ้าน ลูกหนูลูกสาวของวิทวัสเดินออกมาพร้อมเพื่อนๆ แล้วพยายามมองหารัชนิดา
ลูกหนูเดินไปเรื่อยๆ จนมานั่งพักที่โต๊ะม้าหินด้านหน้าโรงเรียน วิทวัสกับรัชนิดาย่องออกมาจากด้านหลัง วิทวัสเอามือปิดตาลูกหนูแล้วพยักหน้าให้รัชนิดาพูด
“หนูมารอใครคะ”
ลูกหนูยิ้ม “รอคุณแม่มารับค่ะ”
“รอคุณแม่คนเดียวเหรอคะ” รัชนิดาถามต่อ
“ค่ะ คุณพ่อไม่อยู่เลยมารับลูกหนูไม่ได้” ลูกหนูตอบ
“พูดแบบนี้คุณพ่อเสียใจแย่เลยนะครับ” วิทวัสบอก
ลูกหนูรีบแกะมือออกแล้วหันกลับไปทันที พอเห็นวิทวัสลูกหนูก็ร้องด้วยความดีใจ แล้วกระโดดกอดพ่อของเธอทันที
“คุณพ่อ....คุณพ่อกลับมาแล้ว”
วิทวัสกอดลูกหนูแล้วหันไปยิ้มให้รัชนิดาอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นลัคนาก็พานุ้ยกับนุ่นเดินไปขึ้นรถ นุ่นเห็นลูกหนูก็วิ่งเข้ามาทัก
“ลูกหนู นุ่นกลับบ้านก่อนนะ”
“อืม...ลูกหนูก็จะกลับเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่มารับด้วย” ลูกหนูพูดพร้อมกับยิ้มแก้มปริ
ลัคนาพานุ้ยเดินเข้ามาหาแล้วยิ้มให้วิทวัสกับรัชนิดา
“แหม...คุณวัสกลับมาแล้วเหรอคะ เห็นคุณดาว่าไปทำงานที่ต่างจังหวัดซะหลายวัน” ลัคนาพูด
“ครับ เพิ่งกลับมาวันนี้”
“ตาย...เป็นคุณพ่อที่น่ารักจังเลย ถึงกรุงเทพฯปุ๊บก็มารับลูกปั๊บ” ลัคนาชม
“ผมคิดถึงลูกหนูน่ะครับ อยากพาแกไปหาอะไรอร่อยๆทาน คุณลัคนากับลูกๆไปด้วยกันไหมครับ” วิทวัสชวน
“เชิญตามสบายค่ะ นาไปก่อนนะคะ” ลัคนาพูดกับนุ้ยและนุ่น “นุ้ย นุ่นไหว้คุณอาทั้งสองก่อนสิคะ”
นุ้ยกับนุ่นยกมือไหว้วิทวัสกับรัชนิดา ลูกหนูไหว้ลาลัคนาแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป
วิทวัส รัชนิดา และลูกหนูมานั่งรับประทานอาหารด้วยกันที้รานอาหารแห่งหนึ่ง
“เป็นไงอร่อยไหมครับ” วิทวัสถามลูกสาว
“อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ” ลูกหนูตอบ
“แหม...คุณแม่น้อยใจแล้วนะคะ ตอนคุณพ่อไม่อยู่ คุณแม่พาไปร้านไหนก็ไม่เห็นทานเยอะแบบนี้เลย” รัชนิดาแซวลูกตัวเอง
“ก็ไม่มีคุณพ่ออาหารก็ไม่อร่อยนี่คะ”
พ่อแม่ลูกหัวเราะกันอย่างมีความสุข ลูกหนูทานอาหารต่อไป
“แล้วเรื่องคุณนิดกับคุณเล็กเป็นยังไงบ้างคะ” รัชนิดาถามด้วยความเป็นห่วง
วิทวัสถอนใจ “ตอนที่ผมไปถึงสถานการณ์ก็แย่เอาเรื่อง คุณเล็กเธอหาทางแกล้งคุณนิดตลอดเวลา”
“น่าสงสารคุณนิดนะคะ เธอคงลำบากไม่น้อย”
“แต่ก็ดีนะ อย่างน้อยมันก็ทำให้พี่ภูตาสว่างขึ้นบ้าง จะได้เลิกเข้าข้างคุณเล็กสุ่มสี่สุ่มห้า” วิทวัสบอก
“แล้วคุณเล็กเธอจะเลิกรังควานคุณนิดเหรอคะ” รัชนิดาสงสัย
วิทวัสฟังแล้วก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที
พ่อกับแม่ของพิสุทธิ์นั่งรอลูกชายที่โต๊ะอาหาร พิสุทธิ์เดินเข้ามานั่ง คนรับใช้ตักข้าวให้ทั้งสามแล้วเดินออกไป
“ตกลงเรื่องงานพ่อกับแม่คุยกันแล้ว โป๊ะเริ่มงานได้ทันที” พ่อของพิสุทธิ์บอก
พิสุทธิ์ดีใจ “จริงเหรอครับ ขอบคุณมากครับคุณพ่อคุณแม่ ถ้านิดเขารู้ว่าผมไม่ได้รอเขาอยู่เฉยๆ แต่ทำงานไปด้วยเขาต้องพอใจแน่ๆ”
“แหม...หายใจเข้าออกเป็นแม่นั่นตลอดเวลาเลยนะ” แม่ของพิสุทธิ์ว่า
พิสุทธิ์ยิ้ม “แน่นอนครับ”
แม่ของพิสุทธิ์หมั่นไส้ลูกชาย “คุณบอกเถอะค่ะว่าจะให้ลูกไปทำงานที่ไหน”
พิสุทธิ์งง “ที่ไหน นี่ผมไม่ได้อยู่ที่เฮดออฟฟิศเหรอครับ”
“พ่อคิดว่าจะให้ไปฝึกงานกับโรงแรมของเราที่เพิ่งเปิดที่เชียงใหม่”
พิสุทธิ์แปลกใจ “อะไรนะครับ”
แม่ของพิสุทธิ์แอบยิ้ม “แม่เห็นด้วยกับคุณพ่อนะ ถ้าโป๊ะอยู่ฝึกงานที่กรุงเทพฯลูกก็จะไม่ได้อะไรเพราะทุกอย่างมันลงตัวอยู่แล้ว แต่ที่โน่นเพิ่งเปิดมันมีปัญหาให้แก้เยอะ ลูกจะได้เก่งไงจ๊ะ”
“แล้วผมต้องไปเมื่อไหร่ครับ”
“เร็วที่สุดเท่าที่โป๊ะจะทำได้ จีเอ็มที่โน่นเขารอรับโป๊ะอยู่แล้ว”
พิสุทธิ์นิ่งเงียบ พ่อกับแม่ของเขาลอบมองกันแล้วแอบยิ้มให้กัน
พิสุทธิ์เดินเข้าห้องนอนด้วยสีหน้านิ่งเฉย เขาเดินไปหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับนริศราขึ้นมาดูแล้วค่อยๆยิ้มกว้างอย่างดีใจ พิสุทธิ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกก็ได้ยินเสียงเทปบอกให้ฝากข้อความ
“นิด....เรามีข่าวดีจะบอก เราได้ไปทำงานที่เชียงใหม่ เราไม่รู้ว่านิดอยู่ที่ไหนในภาคเหนือ แต่เราจะได้ไปอยู่ใกล้นิดขึ้นอีกนิดแล้วนะ ถ้านิดเปิดเครื่องแล้วโทรหาเราด้วยนะ”
พิสุทธิ์กดวางสายแล้วมองรูปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
พ่อกับแม่ของพิสุทธิ์ยังคงนั่งดื่มกาแฟกับเค้กอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“คุณว่าเราทำรุนแรงกับลูกเกินไปไหมคะ” แม่ของพิสุทธิ์ถามสามี
“อ้าว...ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่ ไหนตอนแรกบอกว่าอยู่กรุงเทพฯก็กลัวลูกเจอกับผู้หญิงคนนั้น นี่ผมส่งไปเชียงใหม่ก็เกิดจะสงสารลูกหรือ”
“แหม ก็ไม่เห็นเหรอคะ พอเราบอกจะส่งไปเชียงใหม่ตาโป๊ะงี้ซึมเลย บอกตรงๆฉันกลัวลูกจะเฉาจนอาจจะฆ่าตัวตายได้นะคะ” แม่ของพิสุทธิ์นึกขึ้นได้ “จริงด้วย ถ้าลูกเราทำแบบนั้นเราอยู่ทางนี้จะห้ามไม่ทันนะคะ”
“นี่คุณ อย่ากลัวเกินไปหน่อยเลย ลูกเรามันเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่ไฮสคูลนะ คุณก็เห็นว่าตาโป๊ะมันเป็นเด็กฉลาดมีความคิด เสียแค่เรื่องผู้หญิงคนนี้เท่านั้น ผมว่าอีกไม่นานมันก็ลืม ถ้าคุณจะห่วงน่ะห่วงอย่างอื่นดีกว่า”
“ห่วงอะไรคะ”
“ก็ผู้หญิงเหนือน่ะทั้งสวยทั้งเรียบร้อย ผมกลัวว่าเรากำลังจะให้ตาโป๊ะหนีเสือไปปะฟาร์มจระเข้น่ะสิ ขนาดผมไปดูงานยังมีเขวเลย”
แม่ของพิสุทธิ์ชักโกรธ “นี่คุณกล้านอกใจฉันเหรอ”
แล้วแม่ก็ทั้งหยิกทั้งตีพ่อเสียยกใหญ่
“โอ๊ย...คุณ เรากลับมาพูดเรื่องลูกกันเถอะ”
“ไม่แล้ว ต้องคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อน”
นริศรากับลุงปั๋นยืนดูคนงานทยอยเอาเครื่องมือมาเก็บในโรงเก็บเครื่องมือ คนงานวางและโยนเครื่องมือแบบไม่รักษาของ
“ลุงปั๋น ช่วยบอกคนงานด้วยสิจ๊ะว่าให้เก็บของถนอมๆหน่อย มันจะได้อยู่กับเรานานๆ”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกครับ เวลาพังผมก็ให้พวกมันซ่อม” ลุงปั๋นบอก
ระหว่างนั้นเป็งก็เอาเครื่องสูบน้ำมาวางบนชั้นแต่ก็วางไม่ดี แล้วเขาก็ไปยืนคุยกับคนงานอีกคน นริศรามองไปเห็นเครื่องสูบน้ำกำลังจะหล่นลงมาก็รีบตะโกนบอก
“เป็งระวัง!”
นริศรารีบดึงตัวเป็งออกมาก่อนที่เครื่องสูบน้ำจะหล่นใส่อย่างหวุดหวิด
“ขอบคุณคุณนิดมากครับ” เป็งยกมือไหว้
นริศรามองลุงปั๋นตาขุ่น ลุงปั๋นหลบตาอย่างสำนึกผิด
“อย่าประมาทอีกนะ” นริศราเตือนลุงปั๋น
“ชั้นมันเริ่มไม่แข็งแรงแล้วครับ สงสัยต้องขนของที่วางชั้นบนลงให้หมด” ลุงปั๋นบอก
“ดีนะ แทนที่จะซ่อมชั้นก็จะให้เอาของมากอง ฉันว่ารื้อซ่อมใหม่ดีกว่าไหม” นริศราแนะนำ
“โห...ต้องของบละครับ คุณนิดขอพ่อเลี้ยงหน่อยนะครับ”
นริศรามองไปที่ชั้นแล้วเข้าไปจับดูความแข็งแรง ทันใดนั้นไม้แผ่นที่รองก็ร่วงลงมาทำให้นริศราร้องกรี๊ดทันที
นริศราอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาในชุดนอนพร้อมผ้าเช็ดตัวคลุมไหล่ คนงานหญิงหลายคนเดินสวนเข้าและออกห้องอาบน้ำตลอดเวลา ระหว่างนั้นแม่อุ้ยก็เดินกระย่องกระแย่งเข้ามาเพราะพื้นลื่น นริศราเข้าไปประคองแม่อุ้ยพร้อมกับพูด
“ระวังนะจ๊ะแม่อุ้ย”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะคุณนิด ไม่ต้องประคอง ฉันเดินที่นี่มายี่สิบปีแล้ว หลับตายังมองเห็นทางเลย” แม่อุ้ยบอก
นริศราขำ “แหม...แอบขี้คุยเหมือนกันนะแม่อุ้ยเนี่ย”
นริศราปล่อยแม่อุ้ยให้เดินไป นริศราเดินห่างมาได้สักพักไฟก็ดับ นริศราตกใจรีบหันกลับไปมองทางห้องน้ำทันที นริศรามองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนขันตกพื้น
“กรี๊ด” เสียงแม่อุ้ยดังลั่น
นริศราพึมพำอย่างตกใจ “แม่อุ้ย” แล้วเธอก็ตะโกนเรียก “แม่อุ้ย”
แล้วนริศราก็ได้ยินเสียงฝ้ายดังขึ้น
“แม่อุ้ย พวกเรามาช่วยแม่อุ้ยหน่อย”
นริศราตกใจพยายามคลำทางเพื่อจะเดินไป จู่ๆ ไฟก็กระพริบสองสามครั้งแล้วสว่างขึ้น นริศรารีบวิ่งไปดูก็เห็นแม่อุ้ยนั่งอยู่กับพื้น ที่ขาของแม่อุ้ยมีเลือดออกเพราะเดินตกท่อที่เป็นรางน้ำ
นริศรานั่งทำแผลให้แม่อุ้ยจนเสร็จ
“ช่วงนี้อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะจ๊ะ อ้อ...แล้วคืนนี้แม่อุ้ยคงต้องเจ็บเพราะระบมแผลหน่อยนะ” นริศราบอก
“งั้นพรจะทายาแล้วนวดให้นะแม่อุ้ย”
“ไม่ได้ แค่ทาก่อนอย่าเพิ่งนวดเดี๋ยวจะช้ำไปกันใหญ่” นริศรารีบห้าม
“ขอบคุณคุณนิดมากนะคะ” แม่อุ้ยพูด
“นี่แค่ไฟตกนะ ถ้าแม่อุ้ยต้องหลับตาเดินอย่างที่โม้ ฉันกลัวว่าหัวจะฟาดพื้นแน่ๆ” นริศรากล่าวอย่างเป็นห่วง
แม่อุ้ยยิ้มแหยๆ “แฮ่ะๆ ก็แค่เปรียบเทียบน่ะค่ะ สงสัยฉันจะปากพระร่วง พูดอะไรเกิดขึ้นทุกที”
“ไม่ใช่เพราะปากแม่อุ้ยหรอก แต่เพราะการที่พวกเราไม่ดูแลรักษาสภาพแวดล้อมมากกว่า นี่ดีนะไม่หกล้มหัวฟาดพื้น เอาเป็นว่าไฟตกไฟดับเมื่อไหร่แม่อุ้ยก็ยืนนิ่งๆนะ” นริศราเตือน
พรขำ “ไม่งั้นแม่อุ้ยเอาไฟฉายไปอาบน้ำด้วยนะ”
นริศราถอนใจ “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ”
“แล้วคุณนิดจะให้ทำยังไงคะ” พรถาม
“ไม่ต้องทำหรอก ฉันจะทำเอง”
ทุกคนมองนริศราอย่างงงๆ เพราะยังตามไม่ทันความคิดของนริศรา
นาฬิกาที่อยู่ในห้องนอนของวิทวัสบอกเวลาเที่ยงคืนสี่สิบนาที วิทวัสกำลังนอนหลับอยู่กับรัชนิดา จู่ๆโทรศัพท์มือถือของวิทวัสก็ดังขึ้น วิทวัสกับรัชนิดาตกใจตื่น วิทวัสหยิบโทรศัพท์มาดูพอเห็นเป็นเบอร์มัลลิกาเขาก็แปลกใจ
“ใครคะ” รัชนิดาถาม
“มอลลี่” วิทวัสตอบ
“เลขาคุณน่ะเหรอคะ ทำไมโทรมาป่านนี้” รัชนิดางง
วิทวัสถอนใจ “ช่างเถอะอย่าไปสนใจเลย”
วิทวัสกดตัดสายแล้วจะนอนต่อแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก วิทวัสหยิบขึ้นมาดูด้วยความโมโห เขาจะกดตัดสายแต่รัชนิดาห้ามไว้
“รับสายเถอะค่ะ เขาอาจมีธุระด่วน”
วิทวัสกดรับสาย “ว่ายังไง”
มัลลิกายืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ผับซึ่งมีเพื่อนๆ ของเธออยู่ด้วย
“แหม...พี่วัส กลับมาไม่บอกมอลลี่เลยนะคะ” มัลลิกาตัดพ้อ
“ผมถามว่ามีอะไร” วิทวัสเสียงเข้ม
“คิดถึงค่ะ พรุ่งไปทำงานหรือเปล่าคะ มอลลี่อยากเจอหน้า”
“ไป...แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวสิคะ มอลลี่มีธุระสำคัญ”
“อะไร”
“มอลลี่นั่งชิลๆกับเพื่อน เขาอยากเห็นหน้าพี่วัสกัน พี่วัสมาหาหน่อยนะคะ มอลลี่อยู่ที่...”
วิทวัสสวนขึ้นมาทันที “ผมไม่ชอบไปสถานที่แบบนั้น และนี่ก็เวลานอนของผม กรุณารักษามารยาทของลูกน้องที่ดีด้วย”
วิทวัสกดตัดสายทันที ก่อนจะจับมือของรัชนิดา
รัชนิดายิ้มให้ “เธอคงชอบคุณมากนะคะ”
“ผมไม่สนใจ ผมรักดาคนเดียว ดาต้องเชื่อใจผมนะ”
“เชื่อใจสิคะ เพราะสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดจนถึงวันนี้มันก็บอกดาอย่างที่คุณพูดอยู่แล้ว”
วิทวัสยิ้มอย่างปลาบปลื้ม เขาดึงรัชนิดาเข้ามากอดแน่นอย่างมีความสุข
“ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลยรู้ไหม”
มัลลิกาโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างไม่ยี่หร่ะ
“มอลลี่ ไอว่าพี่ชายคุณเล็ก เขาไม่ชอบยูแหงๆ ไม่งั้นเขามาแล้ว” เพื่อนคนหนึ่งพูด
“นั่นสิ เสียเวลาไปมองหาคนอื่นด้วย” เพื่อนมัลลิกาอีกคนสนับสนุน
“ชอบมอลลี่หรือไม่ชอบ ไม่ใช่ปัญหาหรอก มอลลี่ชอบซะอย่างยังไงก็ไม่รอด” มัลลิกาพูดอย่างมั่นใจ
“แล้วมอลลี่ไม่คิดว่าเขาจะมีแฟนแล้วเหรอ” เพื่อนอีกคนทักขึ้น
“มีก็บอกมาสิ แต่นี่ไม่บอก คุณเล็กไม่รู้....ก็ถือว่าไม่มี” มัลลิกาบอก
“ว๊าย....เปรี้ยวจริง เปรี้ยวจัง ตั้งใจเปรี้ยวนะเพื่อนเรา” เพื่อนอีกคนแซว
“แบบนี้ต้องถือว่าตัวแม่เลยนะเนี่ย สวย มั่น และ......จะเอา”
สาวๆ ทั้งกลุ่มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“พวกยูดูมอลลี่ไว้นะจ๊ะ หญิงสมัยใหม่แบบมอลลี่นี่แหล่ะที่จะสมหวังเรื่องความรัก” มัลลิกาพูดอย่างมั่นใจ แล้วสาวๆ ก็ยกแก้วขึ้นมาชนกัน
เช้าวันใหม่ ภูชิชย์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงานก่อนที่เขาจะวางแฟ้มคืนให้นริศรา
“เธอจะบ้าเหรอ ทั้งซ่อมแซมตกแต่งทุกที่พวกนี้มันใช้เงินเท่าไหร่ ทำมาไม่นานทุกอย่างก็พังเหมือนเดิม”
“เราก็ต้องช่วยกันรักษาสิคะ โรงเก็บเครื่องมือก็เป็นประโยชน์ในการทำงาน บ้านพักคนงานก็เพื่อความเป็นอยู่ของพวกเขา ฉันคิดว่าควรซ่อมค่ะ”
ภูชิชย์หัวเราะ “นี่แม่คุณ ทุกอย่างที่เธอเขียนน่ะมันไม่ได้พังตั้งแต่ฉันสร้างนะ แต่มันพังเพราะคนงานพวกนี้เขาไม่รักษาของ เขาคิดว่ามันไม่ใช่ของๆพวกเขา มันถึงได้ทรุดโทรมแบบนี้ ถ้าอันไหนใช้ไม่ได้แล้วต้องใช้เขาก็ซ่อมกันเองนั่นแหล่ะ ส่วนบ้านพักเขาก็ต้องทำความสะอาดดูแลกันเอง ถ้าเธออยากให้มันสะอาดมากเธอก็ไปทำความสะอาดให้พวกเขาเองแล้วกัน”
พูดจบภูชิชย์ก็ยิ้มกวนให้นริศรา
“ฉันคิดว่าฉันจะได้มานั่งคุยกับผู้อำนวยการซะอีก” นริศราแขวะ
“แล้วเธอคิดว่าคุยกับใคร”
“คนงาน” นริศราพูดเสียงสูงอย่างประชด “เพราะคุณตอบได้เหมือนคนงานมาก”
ภูชิชย์ดุทันที “นริศรา!”
“ฉันคิดแบบนี้จริงๆนี่ น่าลองให้คนงานมาเป็นผู้อำนวยการนะคะ”
ภูชิชย์โมโหลุกขึ้นเดินมาจ้องหน้านริศราในระยะประชิด นริศราจ้องหน้ากลับแต่เอามืออุดจมูก
“เป็นอะไร” ภูชิชย์ถาม
“ฉันกลัวคุณปากเหม็น” นริศราตอบกวนๆ
“หูย...เธอนี่มันจริงๆเลย”
นริศราหยักไหล่ว่าไม่แคร์
“เธอเอาเวลาไปนั่งคิดวิธีเพิ่มผลผลิตให้ฉันดีกว่าไหม ไปได้แล้ว” ภูชิชย์สั่ง
นริศราโมโหลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที ภูชิชย์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“ขยันจะทำแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
แล้วภูชิชย์ก็เอามือป้องปากเพื่อดมกลิ่นปากตัวเอง
ภูชิชย์ตะโกนไล่หลัง “ฉันทั้งหล่อและไม่มีกลิ่นปากนะยัยตัวแสบ”
พูดจบภูชิชย์ก็เอาลูกอมออกมาฉีกห่อแล้วโยนใส่ปาก แต่เผลอโยนห่อลูกอมเข้าไปในปาก ภูชิชย์ต้องรีบคายห่อออกแล้วโยนลูกอมเข้าไปใหม่ทันที
นริศรานั่งหน้าเซ็งอยู่ที่โรงอาหาร พรกับแม่อุ้ยนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันมองหน้ากันด้วยความสงสารนริศรา
“ช่างมันเถอะค่ะคุณนิด อย่าไปโกรธพ่อเลี้ยงเลย” แม่อุ้ยบอก
“ไม่ให้โกรธได้ยังไง คนงานทุกคนทำงานให้เขาๆน่าจะดูแลให้มากกว่านี้”
“ว่าไปที่นี่ก็ดีกว่าบ้านพวกเราตั้งเยอะนะครับ พวกเราต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงด้วยซ้ำ” ลุงปั๋นพูด
นริศราแปลกใจ “อะไรนะ ที่นี่น่ะเหรอดี”
“ใช่ค่ะ มีที่นอนสบายๆ มีน้ำอาบ ไม่ต้องไปหาบน้ำเอง ส้วมก็มี โอ๊ย พรว่าเป็นสวรรค์เลยล่ะคะ” พรตอบ
“นี่ขนาดคิดว่าเป็นสวรรค์นะ ยังไม่ค่อยช่วยกันดูแลเลย” นริศราพูดอย่างแปลกใจ
พรกับแม่อุ้ยมองหน้านริศราอย่างไม่เข้าใจความคิดของนริศรา
จู่ๆ นริศราก็นึกขึ้นได้ “เอาละ...ฉันนึกออกแล้ว”
“นึกอะไรออกครับคุณนิด” ลุงปั๋นถาม
นริศราลุกขึ้นยืนประกาศเสียงดัง
“เอาละทุกคน วันนี้เราจะหยุดงานกันหนึ่งวัน”
คนงานทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วก็ตะโกนเฮเสียงดังลั่น
“คุณนิดคะ นี่คุณนิดจะทำอะไร” แม่อุ้ยแปลกใจ
นริศรายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
จบตอนที่ 5
ติดตามอ่านรักประกาศิตตอนต่อไป พรุ่งนี้