คำชี้แจงทีมงาน ละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว จบ 21 ตอนทีวีนะจ๊ะ ไม่ใช่ 21 ตอนตามละครออนไลน์ หมายถึงว่า ตอนที่อัพให้อ่านอาจยาวไปถึง 23-24 ตอน โปรดรับทราบโดยทั่วกัน
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 21
ลูกโป่งและกระดาษสีรุ้ง นานาสีกระจายว่อนอย่างสวยงาม มีทั้งลอยขึ้นบ้างร่วงลงพื้นบ้างปะปนกันไป เสียงเปาะแปะของการดึงกล่องสายรุ้ง เสียงหัวเราะ เสียงคำอวยพร เสียงพูดต่างๆนาๆ ปนเปกัน และแม้จะฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ แต่รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงแห่งความสุขโดยแท้
มุมหนึ่งในบริเวณงานปีเตอร์ไล่ดึงกระดาษสายรุ้งใส่แนนนี่ รัดเกล้าไล่ดึงใส่ดารกา โป่งกับธานียืนอยู่บนบันไดอะลูมิเนียมคนละด้าน กอดถังใส่ลูกปาคนละถังคอยซัดลูกปาขึ้นฟ้า บางลูกซัดใส่สาวๆ ที่วิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน
ดารกาและแนนนี่วิ่งไปวนรอบภวัตบ้าง แข่ง แย่งกันทึ้งภวัตบ้าง แต่แนนนี่ยังไม่ทำอะไรจริงจังและรุนแรงกับดารกา เพราะบรรยากาศยังสนุกมากๆ
ชิกเก้นกับไทเกอร์ก็พลอยสนุกสนานไปกับเขาด้วย วิ่งไล่กันชุลมุน แขกรุ่นใหญ่คนอื่นๆ ที่เหลือยืนยิ้มบ้างหัวเราะบ้างดูความสนุกสนาน ทาฮิร่า บานเย็นบาบาร่า ผาด และพร ดูแลโต๊ะอาหารคอยปาดลูกปาสายรุ้งทิ้งบ้าง
จังหวะหนึ่งผาดกับพรโดนโป่งกับธานีแกล้งปาสายรุ้งใส่จนต้องวิ่งหนี เป็นภาพความสุข และความสนุกสนานที่อบอวนในมวลหมู่สมาชิกของสองบ้านทุกคนและทุกตัว
ไม่มีใครเห็นว่าอีกมุมหนึ่ง มีร่างใครบางคนแขกที่ไม่ได้รับเชิญแอบดูภาพแห่งความสุข สนุกสนานอยู่ในมุมสลัวนอกรั้วบ้าน
ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมาลีที่เร้นตัวอยู่ในมุมสลัวนอกรั้ว แอบดูอยู่ แสงจากเสาไฟจับต้องใบหน้ามาลี เผยให้เห็นรอยยิ้มด้วยความสุขและตื้นตันฉายชัดทั่วใบหน้า
สายตามาลีจ้องจับอยู่ที่ดารกาซึ่งเป็นจุดเด่นอยู่ในหมู่มวล ใบหน้าสวยหวาน ยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุขยามวิ่งหนีการถูกดึงสายรุ้งใส่ไปรอบๆ บางจังหวะก็ดึงสายรุ้งใส่คืนคนอื่นๆ บ้าง
มาลีเป็นสุขจนน้ำตาซึม
“สวยเหลือเกิน...ดารกาลูกแม่ สุขสันต์วันเกิดนะลูก”
ในขณะที่ดารกากำลังเล่นสนุกสนานอยู่นั้น รู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ พอหันไปทางที่มาลีอยู่ เห็นแว่บๆว่า มาลีหลบวูบเข้าที่กำบัง
ดารกาเริ่มหมดสนุก สังหรณ์ใจว่าร่างที่เห็นหากไม่ใช่มาลีก็คงเป็นสดับ ดารกาอารมณ์ขุ่น ไม่สนสายรุ้งและลูกปาที่ถูกดึงถูกโปรยใส่ หรือบางครั้งแนนนี่กับปีเตอร์วิ่งหนีเฉี่ยวไปบ้าง
“เอ้า เป็นไรไปจ๊ะน้องดา” รัดเกล้าถามดารกา
แนนนี่วิ่งหนีปีเตอร์มาอีกรอบ ชนดารกาอีก แต่ดารกาไม่ได้ใส่ใจแนนนี่ และจังหวะที่ถูกชน เป็นจังหวะที่มาลีโผล่หน้ามาแอบมองอีก เพราะนึกว่าดารกาคงไปแล้ว
แม้ในความสลัวรางดารกาก็รู้ว่าเป็นมาลีอย่างแน่นอน
มาลีตกใจรีบผลุบ วิ่งหนีไป เพราะกลัวลูกโกรธเอา ปากพร่ำรำพันไปตลอดทาง
“ลูกจ๋า แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้จะมาทำลายความสุข ของลูก แม่แค่อยากเห็นหน้าหนูในวันเกิดของหนู”
ดารกาโกรธจนจี๊ด นัยน์ตาเปล่งประกาย เผลอปล่อยพลังออกมาโดยไม่รู้ตัว ฟ้าที่เงียบสงบ กลายเป็นเสียงฟ้าร้องฟ้าลั่นโครมครืนสนั่นขึ้นมา
แนนนี่วิ่งมาเจอดารกาขวางอยู่อีก แนนนี่โกรธผลักดารกาสุดแรง จนร่างกระเด็นไป แต่ทว่าทั้งแนนและใครต่อใคร ยังไม่รู้สึกว่าผิดปกติ ตลอดเวลาที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ทั้งดารกาและแนนนี่ ต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอปล่อยพลังออกมา
“เอ๊ะพี่ดานี่ยังไง ขวางทางอยู่ได้” แนนนี่ผลักอีก
ในท่าทีนิ่งเฉยดารกาโกรธจัด ปล่อยพลังอีก ฟ้ายิ่งร้องคำรามเสียงดังสนั่น พร้อมๆ กับพายุเริ่มกระหน่ำ
แนนนี่โกรธที่ดารกาไม่หลีกแถมยังจ้องหน้า จึงกระทืบเท้า คราวนี้ฟ้ายิ่งกระหน่ำหนักขึ้น
ระหว่างนั้นทาฮิร่า บาบาร่าในร่างบานเย็น ผาด และพรกำลังช่วยกันจุดเทียนที่เค้ก 2 ก้อน พลันเทียนดับวูบ ทาฮิร่ากับบาบาร่าสบตากัน รู้ว่าไม่ใช่เหตุธรรมดาแน่นอน
“อสูรน้อยอายุครบ 21 ปี” บาบาร่ากับทาฮิร่าพูดขึ้นพร้อมกัน
แนนนี่กับดารกายังโกรธใส่กัน ดารกาทำไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนถูกสิง
จังหวะหนึ่งพลังของแนนนี่ กับดารกาปะทะกันเสียงดังเปรี้ยง กลายเป็นสายฟ้ารุนแรงฟาดเปรี้ยงลงกลางโต๊ะที่วางเค้ก โต๊ะหักกลาง เค้กสองก้อนหล่นแยกกันไปคนละทาง
ไม่นานนักก็เกิดฝนตกหนักลงมาแบบฉับพลันทันใดราวกับฟ้าถล่ม สายฟ้าฟาดติดต่อกัน
มวลหมู่สมาชิกสองบ้าน และอิงอรวิ่งหนีฝนไปทางตึก
แนนนี่กับดารกายังยืนจดจ้องกันอยู่กลางสายฝน ราวกับจะเอาเป็นเอาตายกัน ปีเตอร์วิ่งมาฉุดแนนนี่ไป ภวัตฉุดดารกา วิ่งเข้าบ้านไป ฟ้าฟาดอีกเปรี้ยง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เช้าวันต่อมา จักรวาลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขก ภวัตกับรัดเกล้ากำลังจะไปทำงาน
จักรวาลบ่นออกมา “ธรรมชาติวิปริตแปรปรวนขึ้นทุกวัน หน้าหนาวกลับร้อน หน้าร้อนกลับกลายเป็นหน้าฝน”
ภวัตเตรียมของจะไปทำงานพลางพูดพลาง
“เพราะมนุษย์ไม่เคารพสิทธิของธรรมชาติ ไม่อยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบพึ่งพากัน แต่อยู่แบบจะตัก
ตวงเอาทุกอย่างจากธรรมชาติ”
รัดเกล้าแหย่พี่ชายเล่น “หูย...หลวงพี่เทศน์ได้จับใจ”
ภวัตเคาะหัวน้องสาวเบาๆ “เราแหละระวัง อาชีพอยู่ในข่ายก่อโลกร้อน”
“อู๊ย... เชยหลุดโลกไปแล้วคุณหมอ งานของอิชั้นน่ะ Green interior design นะเจ้าคะ หนูเป็นมัณฑนากรสี
เขียวมาตั้ง” รัดเกล้าลอยหน้าน่ารัก “นาน...แล้วเจ้าค่ะ
ภวัตหันมาทำหน้าล้อ “อ๋อ...เหรอ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย”
ขณะที่จักรวาลมองลูกทั้งสองอย่างสุขใจ โป่งเดินเข้ามาพอดี
“อาหารเช้าพร้อมแล้วครับ”
จักรวาลลุกชวนลูกๆ “ไป”
บาบาร่ากำลังเสกดอกไม้ใส่แจกันอยู่ในห้อง เมียงๆ มองๆ แล้วไม่ชอบใจ “ไม่งาม ไม่หอม ไม่ชอบ” เสกใหม่ คราวนี้ได้อย่างใจ “ค่อยยังชั่ว”
ทาฮิร่าหายตัวมาพร้อมกับชิกเก้น โดยปากชิกเก้นคาบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอันจิ๋วมาด้วย ซึ่งแอบแฮ้ฟของธานีมาอีกที
ชิกเก้นวางโน้ตบุ๊ก ทาฮิร่าเอามือแตะร่ายคาถาคืนสภาพให้ กลายเป็นโน้ตบุ๊กขนาดปกติ ทาฮิร่าทำมือร่ายคาถาอีก ฝาโน้ตบุ๊กเปิด
บาบาร่ายืนมองว่าทาฮิร่ากับชิกเก้นจะทำอะไร ไทเกอร์มาด้อมๆ มองๆ ด้วย
“จัดการ ชิกเก้น” ทาฮิร่าสั่ง
ชิกเก้นสตาร์ทคอมพ์ รอสักครู่แล้วพิมพ์คีย์บอร์ด หาภาพต่างๆ ที่เซฟไว้ ไทเกอร์มองดูอย่างสนใจ
ระหว่างนั้น จู่ๆ บาบาร่าก็พูดแทรกขัดจังหวะขึ้น “ลูกแก้วมีทำไมไม่ใช้”
“ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์นะที่มีตกรุ่น แม่มดก็มี้” ไทเกอร์ได้ทีแขวะนายหญิงทันที
“ไอ้ไทเกอร์ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวแม่สาปให้ปากเป็นหินซะหรอก” หันมาถามทาฮิร่า “หายป่วยแล้วเหรอ”
“หายแล้ว”
พูดดีไม่เท่าไหร่บาบาร่าก็กัดแม่มดเพื่อนเลิฟเข้าให้ “เหี่ยวโทรมเนื้อหนังย่นไปเยอะนะ เอาไม่อยู่แล้วสิ สังขารน่ะ”
ทาฮิร่ายัวะ ไม่ชอบให้ใครมาว่าแก่ “ของฉันธรรมชาติให้มายังไงก็เป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้น ไม่ได้วิ่งโบท็อกซ์ทุกสามเดือนหกเดือนเหมือนใครบางคนนี่”
“นั่น แม่มดสองตนอยู่แผ่นดินเดียวกันได้ที่ไหน”
“รวมถึงแมวสองตัวด้วย” ไทเกอร์พูดพร้อมกับมองเขม่นชิกเก้น
ชิกเก้นกับไทเกอร์ประจันหน้าตั้งป้อมจะสู้กัน ขนค่อยๆ ฟูขู่กัน
“เมี้ยวว ม้าวว” ชิกเก้นดุแบบตลกๆ ใส่ก่อน
“แป๊วว ป๊าวว” ไทเกอร์ข่มขวัญ
เวลาเดียวกันธานีอยู่ในชุดทำงาน ออกมาจากห้องทำงานที่บ้าน จะไปบริษัท เจอดารกาออกมาจากห้องพอดี
“น้องดาเห็นโน้ตบุ๊กพี่บ้างมั้ย”
“ไม่ค่ะ หายไปเหรอคะ” ดารกาถามพลางเอาของจากพี่ชายมาช่วยถือ
“คงไม่หายหรอก พี่อาจลืมไว้ในรถหรือที่บริษัท”
ดารกาแหย่เล่น “ลืมของไม่เป็นไรนะคะ อย่าลืมสาวคนนั้นก็แล้วกัน เรื่องใหญ่แน่”
ธานีออกอาการเขินหน่อยๆ ใช้นิ้วเคาะหัวน้องเบาๆ “นี่แน่ะ ล้อพี่เหรอ”
ธานีกอดคอดารกาเดินคุยกันอารมณ์ดี ลงข้างล่างไป เห็นความอบอุ่นพี่น้อง
นายกับบ่าวทั้งสองคู่ต่างจ้องมอง โน้ตบุ๊กของธานี
“เจ้าชิกเก้น อย่ามาซ่าใส่แมวของฉันนะ” บาบาร่าเอ็ดชิกเก้นเสียงเขียว
“เจ้าไทกอ... อย่าทำตัวเป็นอันธพาลเจ้าถิ่นนะ” ทาฮิร่าเอามั่ง แต่เรียกผิดเป็นนิสัย
“เย้ยยย ไทเกอร์เปล่าเป็นไทกอ”
บาบาร่ายัวะแทน “ อ้าว ว่าแมวฉันเหรอ”
บาบาร่าลุกพรวด ทาฮิร่าลุกด้วย สองนางพรวดเข้าเผชิญหน้าจมูกแทบชนกัน
“สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา ใครพูดไว้น้อ” ชิกเก้นเตือนสองแม่มดผู้เรืองเดชแห่งเมืองเวทย์
ทาฮิร่าค่อยๆ อ่อนลง ถอยไปนั่ง บาบาร่าถอยไปนั่งด้วย
“ขอโทษ ฉันไม่ได้มาชวนทะเลาะ”
ชิกเก้นใช้ขาหน้าหันคอมพ์ให้บาบาร่า ขาชิกเก้นคอยกดแสดงภาพทีละภาพไปด้วย
เป็นเหตุเภทภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจาก อายุครบรอบ 21 ปีของอสูรน้อย
ภาพภูเขาไฟปะทุ ระเบิดรุนแรงมากยามค่ำคืน ลาวาไหลเต็มพื้น
ภาพก้อนน้ำแข็งยักษ์ขั้วโลก (glacier) ละลายถล่มลงทะเลตอนกลางวัน
ภาพแผ่นดินไหวตอนกลางวัน เห็นรอยแยกลึกน่ากลัวมาก และกำลังวิ่งไปตลอดแนว
คลื่นยักษ์ซัดถล่มเมืองตอนกลางคืน
กลางวัน แต่ฟ้ามืดครึ้ม เกิดพายุทรายเต็มท้องฟ้า และกลบเมืองทั้งเมืองกำลังจะมิด
พอดูจบทาฮิร่าก็เอ่ยขึ้นเสียงซีเรียส “เห็นแล้วใช่มั้ยว่าเกิดอาเพศไปทั่วโลกมนุษย์”
บาบาร่าเริ่มหนักใจ “เห็น”
“เป็นสัญญาณเตือนว่ายุคกาลีกำลังจะมาถึง” ทาฮิร่าว่า
“อสูรกำลังเตรียมทำลายล้างทุกเผ่าพันธุ์” บาบาร่าบอก
“ใช่ เราไม่มีเวลาทะเลาะไร้สาระกันอีกแล้ว” ทาฮิร่าพูดเตือนสติ
“ถูก” ชิกเก้นกับไทเกอร์พูดขึ้นพร้อมกัน
ทาฮิร่าหมั่นไส้ร่ายคาถาใส่ชิกเก้น บาบาร่าก็ว่าคาถาใส่ไทเกอร์ สองแม่มดเอ่ยขึ้น
“จะคุยงาน” ทาฮิร่าว่า
“ไม่ต้องการลูกคู่” บาบาร่าบอก
แมวขาเมาท์สองตัวหายไปได้ยินแต่เสียงร้อง “จ๊ากกก” พร้อมๆ กัน
นาฬิกาในบ้านบอกเวลาสิบโมงนิดๆ รัดเกล้ายังอยู่ในชุดทำงาน โหย่งตัวเดินผ่านนาฬิกา เหลือบมองนิดหนึ่งแบบเคยชิน บ่นกับตัวเอง
“สายป่านนี้คงไม่เจอ”
รัดเกล้าหมายถึงธานี ที่ตัวเองหลบหน้า หลังโดนจีบสายฟ้าแลบต่อหนปัทมน
รัดเกล้าออกมานอกตัวบ้าน โป่งวิ่งมาเปิดประตูให้ ประตูเปิดกว้าง ทว่ารถธานีพุ่งเข้ามาอุดทางออกไว้
“โอ๊ยโย่” โป่งตกใจ อุทานกับตัวเอง “ขับรถได้ใจเหมือนกันนิคุณธานี”
รัดเกล้ารีบหันหลังกลับจะหนีเข้าตึก ทั้งเขินทั้งฉุน หน้าตาเหยเก
“อึ๊ย มาทำไมเนี่ย อุตส่าห์ออกสายแล้วยังเจออีก”
รัดเกล้าตั้งท่าจะวิ่ง เสียงหวานเยิ้มของธานีดังลอยมา
“ที่รักจ๋า รถอยู่ทางนี้จ้ะ ไม่ใช่ทางนั้น”
ว่ารัดเกล้าเหวอแล้ว โป่งเหวอมากกว่า
“ฮะ ไปที่รักจ๋ากันตอนไหนเนี่ย ทำไม ’จารย์แนนนี่ไม่มีส่งซิกกันมั่ง”
รัดเกล้ายังไม่ยอมหันตามสั่ง ตะโกนเสียงเบาๆ “อีพี่ธานีบ้า บ้าๆๆๆๆๆ อายแทบเป็นลมแล้วเนี่ย”
มือของธานีดึงทุกสรรพสิ่งที่รัดเกล้าถืออยู่ไป รัดเกล้าดึงรั้งไว้ ธานีไม่ยอมปล่อย รัดเกล้ากับธานียื่นหน้ามาชิดใกล้ เกือบเหมือนจะหอมแก้ม
“อย่าดื้อสิจ๊ะที่รัก”
รัดเกล้าตกใจตาโต ตัวแข็งทื่อ ไม่ยอมหัน กลัวจมูกธานีโดนแก้ม แล้วนึกได้ เอนหน้าหนีไปอีกทาง
ธานีหัวเราะชอบใจ แตะแขนรัดเกล้า “ไป”
รัดเกล้าเดินตัวตรงแข็งทื่อตามไป โป่งอมยิ้มมองตาม รัดเกล้าไม่กล้ามองโป่ง
ไม่นานหลังจากนั้น ธานีอมยิ้มขำอยู่ขับรถ รัดเกล้านั่งตัวลีบชิดประตู ไม่กล้ามองธานี สักครู่ธานีจึงเอ่ยขึ้น
“เหลือเชื่อ ทอมมีความรักแล้วกลายเป็นผู้หญิงสงบเสงี่ยมไปเลยแฮะ”
รัดเกล้าฉุน เริ่มค่อยๆ คืนฟื้นสภาพสาวจอมเฮี้ยว แต่ยังข่มใจ ยังไม่ออกฤทธิ์
ธานีพูดต่อ “เมื่อก่อนเห็นเกือบจะโดดนั่งตักยังไม่รู้สึกอะไร ความรักดีอย่างนี้นี่เอง”
รัดเกล้าไม่ทนอีกแล้ว หันขวับมาหมายจะบีบคอธานี “จะสั่นประสาทกันไปถึงไหน อีพี่ธานีบ้า”
ธานีตกใจ เผลอจนรถส่าย รัดเกล้าเหวอ
“ฮึ้ยๆๆๆ ขับรถอยู่นะ ยังอยากแต่งงานอยู่นะ ยังไม่อยากตายคู่ตอนนี้”
“ใครจะแต่งด้วย”
“ไม่รู้ละ ต่อไปนี้จะขับรถรับส่งทุกวัน จะกินข้าวด้วยทุกวัน จะไม่มีสักวันที่เราอยู่ในสายตาก็ให้รู้ไป”
รัดเกล้าเงียบ เขินจัด ธานีมองอย่างเอ็นดู พูดเสียงจริงจังขึ้น “เราคบกันนะ”
รัดเกล้ายิ่งแทบอยากจะซุกหน้าหลบกับกระจก ทั้งเขิน ทั้งดีใจ กลั้นยิ้มแทบไม่ได้ ใจเต้นแรง
“นะ” ธานีทอดระยะไปอีกนิด เสียงนุ่มนวลขึ้น อยู่ในโหมดอารมณ์อ่อนหวาน ซะงั้น “พี่มีหน้าที่การงานพอจะเป็นหน้าเป็นตาเกล้าได้แล้ว รับผิดชอบครอบครัวไม่ให้เกล้าลำบากได้ แต่พี่อยากให้เกล้ามั่นใจว่าพี่คือคนที่เกล้าสามารถจะอยู่ด้วยได้ไปจนแก่เฒ่า...” นิ่งทอดระยะอีกนิด “ได้มั้ยเกล้า”
รัดเกล้าไม่ตอบ ยังคงเขิน นั่งเบียดประตู หันหน้าออกนอกรถ นิ้วหนึ่งขูดกระจกขึ้นลงถี่ๆ ระบายความเขินอาย
ด้านแนนนี่อยู่ที่บ้าน กำลังออกเดินตามหาทาฮิร่าอย่างอารมณ์ดี
“ยาย...ยาย.จ๋า... คุณยายจอมแก่น หายไข้ปุ๊บออกเที่ยวปั๊บเลย ไปเมืองเวทมนตร์หรือเปล่า”
ดารกาเดินเข้ามาเห็นแนนนี่ และเห็นว่าบ้านช่องเงียบเชียบ จึงรีบตามแนนนี่ไป อย่างประสงค์ร้าย
แนนนี่ไม่รู้ตัว ยังเดินกระโดดโลดเต้นลั้ลลาไปทางห้องพระ ดารการีบวิ่งตาม รู้ว่าตัวเองเข้าห้องพระไม่ได้ จรดฝีเท้าวิ่งเสียงเบามาก ไม่ให้แนนนี่ได้ยิน
แนนนี่กำลังจะเข้าสู่เขตแดนแห่งพุทธคุณ ดารกาทะลึ่งพรวดเข้ามากำลังจะกระชากตัวแนนนี่
จังหวะนั้นแสงที่เหรียญห้อยคอแนนสว่างวาบ แนนนี่รู้สึกเย็นในจุดที่เหรียญสัมผัสเนื้อกาย
ดารกาตั้งท่าจะคว้าคอแนนนี่ แนนนี่รู้ได้ว่ามีบางคนอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่ได้หันมาดูว่าเป็นใคร แนนนี่หมุนตัวเหวี่ยงแขนสุดแรงเกิด ร่างดารกากระเด็นอย่างแรง ด้วยพลังในตัวแนนนี่เพิ่มมากขึ้นเมื่อตอนอายุครบ 21 ปี!!
ดารกากระเด็นไปไกลมาก จนสุดทางที่อีกด้านหนึ่ง
แนนนี่หันมองมา และยังอยู่ในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัวเอง สีหน้าเข้มขรึมอย่างเอาเรื่อง
ร่างดารกาลอยไปกระแทกผนังสุดแรง จนผนังแตก...ร้าวไล่เป็นทางยาว
ครั้นพอแนนนี่เห็นว่าเป็นดารกา ก็เมินเฉย ไม่คิดแม้แต่จะช่วย แต่สีหน้ายังเอาเรื่องขณะเดินไปที่ดารกา
ดารกาโดนกระแทกจนสะเทือนไปทั้งร่าง แต่ไม่เจ็บมากเพราะพลังอสูรต้านรับไว้
ดารกานึกไม่ถึง ว่าพลังในตัวแนนนี่จะร้ายกาจขนาดนี้
“นังแนนนี่ แกมีพลังขนาดนี้ได้ยังไง แกเป็นใครหรือเป็นอะไรกัน” ดารกาพึมพำในใจ
พอแนนนี่มาถึง ยืนจังก้าไม่สนใจจะช่วย ดารกาแสร้งทำเป็นเจ็บสาหัส
“แนนนี่ทำไมทำพี่ขนาดนี้”
“ช่วยไม่ได้ พี่ดาอยากลอบมาข้างหลังแนนนี่โดยไม่ให้เสียง”
“ช่วยพี่ด้วย...”
“ไม่ช่วย แนนนี่ว่าพี่ดาไม่ใช่คนธรรมดา”
ถูกด่าอย่างรู้ทัน ดารกาแอบตาลุกวาวอย่างร้ายกาจ ออกมาแว่บหนึ่ง
“เป็นคนทั่วไปโดนแบบนี้คอหักตายไปแล้ว ไม่ตายอย่างน้อยก็สลบฟื้นมาก็นอนเป็นผัก”
ดารกาแสร้งเจ็บต่อ “พี่ไปทำอะไรให้แนนนี่ แนนนี่ถึงขนาดจะเอาชีวิตพี่”
“พี่ดาทำให้แนนนี่เกลียดไง แล้วก็ไม่ต้องมาแอ๊บ ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
แนนนี่เดินลอยหน้าเข้าห้องพระไป
ดารกาผุดลุกยืนทันใด โกรธจัดนัยน์ตาแดงฉาน
ดารกาแค้นจะแทบระเบิดออกมา แตทำได้เพียงคำรามเสียงอยู่ในลำคอ “นังแนนนี่”
คล้อยหลังดารกาเดินออกไป ทาฮิร่าเดินออกมาจากที่ซ่อนด้านหลัง เลยไม่เห็นว่าดารกาคั่งแค้นจนนัยน์ตาเป็นสีแดงฉาน และไม่ได้ยินสิ่งที่ดารกาพูด
สีหน้าทาฮิร่าขรึมลงอีกขณะมองตามดากา แล้วหายตัววับไปทันที
แนนนี่ยืนพิงประตูห้องพระ ด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแต่ไม่ถึงกับกลัว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีพลังมากมายเกินมนุษย์ จังหวะหนึ่งแนนนี่มองไปที่โต๊ะหมู่บูชา ค่อยๆ ยกสองมือขึ้นมอง
“นี่เรามีพลังมหาศาลขนาดนี้เลยเหรอ ความเป็นอสูรของเรามันเริ่มจะออกมาให้ใครๆรู้แล้วเหรอ ทำไงดีเนี่ย” แนนนี่นิ่งคิด “คิดไม่ออก ไปรอยายในตะเกียงแก้วดีกว่า”
แนนนี่หายตัวไป พร้อมกับที่ทาฮิร่าปรากฏตัวออกมา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พลังอสูรของหลานจะมากจนประมาณไม่ได้เมื่อหลานอายุครบ 22” น้ำเสียงหวั่นใจมาก แบบใจหาย ใจจะขาดอยู่รอนๆ “นี่ยายจะช่วยหลานยังไงดี เมืองเวทมนตร์จะล่มสลายเพราะหลานยายหรือนี่”
ดารกายืนอยู่หน้ากระจก เห็นเงาในกระจกเป็นอสูรสดับจ้องอยู่แล้ว
“ไม่ต้องกังวลไป พลังมันยังไม่อยู่ตัว และหากมันเป็นอสูรอีกตนหนึ่ง เมื่อมันอายุครบ 22 มันจะเป็นพวกเรา” สดับบอก
“แต่ลูกเกลียดมัน” ดารกาสบถ
“จำไว้ จะทำงานใหญ่ต้องเป็นพวกได้แม้แต่กับคนที่เราเกลียดหรือคนที่เกลียดเรา” สดับปลอบแกมเตือนสติ
“ลูกจะทำได้หรือ”
“ถึงวันนั้นเจ้าจะรู้เอง”
เงาอสูรสดับหายไป นัยน์ตาดารกาวาวโรจน์ด้วยแรงแค้น
“ฉันไม่มีวันเป็นพวกกับแก..นังแนนนี่ ถึงวันนั้นฉันจะฆ่าแก”
ในเวลาต่อมาแนนนี่นั่งอ่านตำราเรียนอยู่ในตะเกียงแก้ว ดูตั้งอกตั้งใจมาก
“ตั้งแต่เห็นกันมาก็ครั้งนี้แหละที่คุณเธอตั้งใจท่องหนังสือสอบ” ชิกเก้นแขวะเอา
“อย่ากวนสมาธิแนนนี่น่าชิกเก้น ครั้งนี้แนนนี่สอบเรียนจบนะ แนนนี่จะเอาเกียรตินิยม”
“มีได้กับเขาด้วยเหรอเกียรตินิยมน่ะ นี่แมวฝันไปหรือเปล่า” ชิกเก้นร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ
จังหวะนั้นทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นมา แนนนี่ทิ้งหนังสือโครม กระโดดถึงตัวยาย
“ยาย แนนนี่รอตั้งนาน”
“นั่น...น้าน...น่าน เธอแค่อ่านตำราฆ่าเวลารอยายนั่นเอง เวรก๊ำ...เวรกรรม” ชิกเก้นบ่นอุบ
“จะถามเรื่องพลังใช่มั้ย”
แนนนี่พยักหน้า มีแววหวั่นไหวกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันอยู่พอประมาณ
“มันเป็นไปตามการเติบโตของหลาน”
“ของอสูร” แนนนี่ตกตะลึง
“จะว่างั้นก็ได้ แต่มันจะไม่มาบ่อย จะยังไม่ติดตัวหลาน จนกว่า...”
“จนกว่าอะไรจ๊ะยาย”
ทาฮิร่ายังไม่ตอบ รู้ว่าเดี๋ยวแนนนี่ก็พูดอย่างอื่นตามนิสัยใจเร็ว
“แนนนี่กลัวแนนนี่ไปฆ่าคน วันนี้แนนนี่ก็เล่นงานยัยพี่ดาไป”
ทาฮิร่าคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ต้องการให้หลานสบายใจไว้ก่อน
“ยายว่าแนนนี่มีพลังแห่งความดีอยู่ ความดีจะช่วยแนนนี่ได้ ยายก็จะช่วย”
แนนนี่ได้ฟังก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น “ช่วยแนนนี่นะคะยาย แนนนี่ไม่อยากฆ่าใคร”
ทาฮิร่ายิ้มรับ
“ท่องหนังสือสอบได้สบายใจและ” แนนนี่กระโดดไปที่หนังสือเลย
ทาฮิร่าซ่อนสีหน้ากังวลใจ ไม่ให้หลานเห็น
หลังเที่ยงก่อนบ่ายวันต่อมา ปัทมนกำลังอ่าน นสพ.ธุรกิจ อยู่ในห้องรับแขก เสียงแนนนี่ก็เอ็ดตะโรดังลั่นเข้ามาก่อนตัวจะโผล่มา
“เย้ๆๆ ไช โย้โย้โย้โย้”
ปัทมนสะดุ้งหันไปมองสีหน้าขำๆ คุ้นชินกับนิสัยแก่นเซี้ยวของลูกสาวคนเล็ก
แนนนี่กระโดดโลดเต้นมาที่ปัทมน แล้วยังกระโดดอยู่อย่างนั้น ปีเตอร์เดินอมยิ้มขำๆ ตามมา ทั้งคู่อยู่ในชุดนักศึกษาทั้งสองคน
“สอบไล่เสร็จแค่เนี้ย โดดเป็นกุ้งเต้นเชียว นั่งสิจ๊ะปีเตอร์”
“ขอบคุณครับ”
“เพราะไม่ใช่แค่สอบเสร็จค่ะ แต่เท่ากับแนนนี่เรียนจบหางานทำ และจะมีรายได้มาช่วยครอบครัวแล้ว เย้” ไม่พูดเปล่าแนนนี่ทำท่าปอมปอมน่ารักๆ ทำปากเป็นเสียงเข้าจังหวะไปด้วย
“เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มต้นหมื่นห้าเนี่ยนะ หล่นไปในกองเงินของคุณแม่ปัทมน ก็หาไม่เจอแล้ว” ปีเตอร์บ่น
แนนนี่ไม่ใส่ใจ ยังเต้นยุกยิกต่อ ก่อนที่จะหยุด “ก็ช่างสิ แต่ก็เป็นเงิน ที่แนนนี่หาเองได้หละ ภูมิใจอะ รู้จักมั้ย-ภูมิใจ แล้วที่สำคัญ..” หน้าตาออกหน้าออกตา เย้ยอย่างผู้ชนะ “แนนนี่ได้ทำงานก่อนยัยพี่ดา แนนนี่ชนะ แนนนี่ชนะเลิศ.... ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า โฮะๆ”
ปัทมนยิ้มอย่างเอือมระอาแต่เจือความเอ็นดู
“ก็ยังคงคอยกัดพี่น้องดาอยู่ตามเคย” ปีเตอร์ว่า
“แน่น้อน จะตามจิกตามกัดทุกชาติ-ทุกชาติไปเลยด้วย”
“เรียบจบแล้ว กำลังจะมีงานทำ ก็เท่ากับเป็นผู้ใหญ่แล้วนะลูก เลิกร้ายกับพี่เขาได้แล้ว” ปัทมนแซวลูกสาว
แนนทำท่าล้อเล่นใส่แม่ “ยากอะค่ะ มันอยู่ในสายเลือด”
ระหว่างนั้นดารกาเดินเข้ามา เพิ่งกลับจากเรียน สีหน้าดูเหนื่อยๆ ดารกายกมือไหว้ปัทมน
แนนนี่เห็นถลาไปหา ยื่นหน้ายิ้มเย้ยทันที “คุณน้องแนนนี่สอบไล่เสร็จแล้วนะคะคุณพี่น้องดา จะหางานทำแล้ว ต่อไปนี้ข้าวทุกเม็ดที่คุณพี่น้องดารับประทาน จะมีเงินของคุณน้องแนนนี่อยู่ด้วย”
ปัทมนส่ายหน้าคิดในใจเห็นทีว่าต้องปรามบ้างแล้ว แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงแบบนุ่มนวลตามบุคลิก
“มากไปแล้วจ้ะแนนนี่ ถามแม่ก่อนมั้ยว่าแม่จะให้แนนนี่ลงเงินค่ากับข้าวด้วยหรือเปล่า”
แนนนี่หน้าแตก แต่ท่าทางก็ใช่จะยอม หน้ารั้นอย่างเอาแต่ใจ
ดารกาพูดเสียงนิ่มนวลเป็นคนแสนดีอย่างเคย “พี่ยินดีด้วยนะ”
“ไม่ต้องมายินดี พี่ดาไม่ได้ยินดีจริงๆหรอก อยากให้แนนนี่สอบตกจะตาย”
ดารกาไม่ต่อปากด้วย เดินต่อเพื่อจะขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยวลงมาทานของว่างกันนะจ๊ะน้องดา”
“วันนี้น้องดาขอตัวค่ะคุณแม่ พรุ่งนี้น้องดาต้องสอบยากมาก”
“จ้ะ” ปัทมนยิ้มพร้อมกับอวยพร “ขอให้สอบได้คะแนนดีนะลูก”
ดารกายกมือไหว้ “ขอบพระคุณค่ะ” แล้วเดินขึ้นห้องไป
แนนนี่พึมพำเบาๆ “ขอให้สอบตก”
ปัทมนเห็นอาการก็รู้ทัน ทั้งที่ไม่ได้ยิน “แนนนี่... คิดอะไรแม่รู้นะจ๊ะ”
แนนนี่ทำลอยหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่กับตัวเอง
พอเข้ามาในห้อง ดารกาวางกระแทกตำราเรียนลงบนโต๊ะอย่างแรง ด้วยความแค้นใจ
“นังแนนนี่ รอฉันสอบเสร็จก่อน ฉันจะจัดการแก”
ดารกาวางกระเป๋า มองผ่านไปที่กองหนังสือเรียนแบบไม่จงใจ แล้วชะงัก อึ้งไป
เมื่อเห็นตำราแพทย์เล่มบน มีกระดาษพับครึ่งสอดอยู่ ปลายกระดาษแลบออกมานิดหนึ่ง
ดวงตาของดารกาบ่งบอกถึงความสับสน รู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไร ความรู้สึกดี-ชั่ว ตีกันปั่นป่วนอยู่ภายในใจ สักครู่จึงดึงกระดาษนั้นออกมาช้าๆ
ดารกาเปิดกระดาษแผ่นนั้นคลี่ออกช้าๆ อ่านด้วยน้ำเสียงเบาและเศร้า
“Hippocratic Oath... คำปฏิญาณตนของแพทย์...” ดารกาสะเทือนใจหนัก หน้าเศร้าลงแต่ยังไม่มีน้ำตา “...เมื่อฉันเป็นแพทย์... นี่คือจริยธรรมแห่งวิชาชีพแพทย์... แต่ฉันเป็น...ฉันเป็น...” เสียงดารกาแหบหายลงไปในลำคอก่อนจะหลุดคำว่า “...อสูร...” ออกมา
กระดาษแผ่นนั้นหล่นจากมือดารกา ร่วงลงไปที่พื้นห้อง ดารการู้สึกรันทดหดหู่ในใจมาก น้ำตาเอ่อขึ้นมาช้าๆ
แนนนี่และปีเตอร์เดินออกจากตึกพร้อมกัน เดินคุยกันไป ในขณะที่แนนนี่จะไปส่งปีเตอร์
“แล้วปีเตอร์กะว่าจะทำงานอะไร”
ปีเตอร์พูดเสียงตกใจ เพราะเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดเลย “ทำงาน ??? อย่างปีเตอร์ต้องทำงานด้วยเหรอ เงินของบ้านปีเตอร์ใช้ไปเผาทำกงเต้กไปทุกวันก็ไม่มีวันหมดอยู่แล้ว”
“ปีเตอร์จะทำตัวไร้สาระไปตลอดชีวิตเหรอ ไม่อยากทำตัวเป็นประโยชน์กับสังคมมั่งเหรอ”
“แนนนี่จะให้ปีเตอร์ทำอะไร แนนนี่สั่งมาเลย ปีเตอร์ทำตามหมด”
“งั้นสั่งให้ไปตาย”
“ได้เลย จัดให้เดี๋ยวนี้”
แนนนี่ขำกับท่าทีจริงจังของปีเตอร์ ที่พร้อมจะทำทุกอย่างที่เธอสั่ง “บ้าจริงๆปีเตอร์ ปีเตอร์ตายแล้วแนนนี่จะมีใครดีเท่านี้เป็นเพื่อน”
ปีเตอร์เป็นปลื้มสุดๆ ลงนั่งคุกเข่าจับมือแนนนี่ ในท่าเดียวกับที่ชายหนุ่มขอหญิงคนรักแต่งงาน
“เฮ้ย ทำไร” แนนนี่ยังคงปล่อยให้ปีเตอร์จับมืออยู่
“ขอแต่งงาน”
“ไปขอกับคุณแม่ปัทมนโน่น” แนนนี่โบ้ย
ปีเตอร์รีบหยิบมือถือออกมา “ปีเตอร์จะโทรบอกปะป๊ากับหม่าม้าบินมาเดี๋ยวนี้เลย
แนนนี่ขำกิ๊ก ดึงมือถือไป “ปีเตอร์กับแนนนี่แต่งงานกัน มีหวังลูกออกมาเป็นซุปเป้อร์ไฮเปอร์ มีเราสองคนนี่ประเทศไทยก็หนักใจแย่แล้ว อย่าทำร้ายประเทศไทยไปกว่านี้เลย”
ปีเตอร์รู้อยู่เต็มอกตล๊อดๆ ว่าแนนนี่คิดจะชิ่งหนี
“แนนนี่จะพูดยังไง มันก็แปลว่าแนนนี่ปฏิเสธปีเตอร์อยู่ดีนั่นละ ทำไงปีเตอร์จะได้อยู่ใกล้แนนนี่ตลอดวัน
ตลอดคืนล่ะ”
พอก้าวถึงรถแนนนี่เปิดประตูให้ปีเตอร์ ทำท่าเชิญให้ปีเตอร์ขึ้น
“ไปทำงานกับแนนนี่สิ...“ ไม่ทันจะได้พูดต่อ
“ตกลง” ปีเตอร์ตอบทันที
ดารกายืนอยู่ที่หน้าต่าง มองภาพที่แนนนี่กับปีเตอร์หัวเราะกันอย่างมีความสุข ด้วยความสะเทือนใจ ที่ตัวเองต้องเก็บกดทุกอย่าง ไม่มีความสุขเหมือนคนอื่นเขา
เวลาต่อมา มาลีนั่งก้มหน้าก้มตาขอดเกล็ดปลาช่อนตัวงามอยู่กับพื้นแผงปลา สักครู่มีเท้าผู้หญิงก้าวมาหยุดตรงหน้ามาลี รองเท้าสวยสะอาด มาลีชะงักมือ มองรองเท้า แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองข้างบนจนไปหยุดที่ใบหน้า เป็นดารกากำลังยิ้มอ่อนโยนมาให้มาลี
มาลีทั้งตกใจ และดีใจ จนเผลอทำที่ขอดเกล็ดปลาหล่นจากมือ
“ลูก” นึกได้ “เอ้อ คุณหนู”
ดารกานั่งลง ไม่มีท่าทีรังเกียจ และดูจริงใจมาก เหมือนเป็นดารกาคนใหม่ และไม่หลุดภาพสาวแสนดีเลย
จริงๆ แล้วดารกามาเพื่อจะหลอกล่อถามประวัติชีวิตตัวเอง นอกจากนี้ ยังจะมาหาใครสักคนเป็นที่พึ่ง เนื่องจากเหงาและอ้างว้างเหลือแสนที่เห็นแนนนี่และใครคนอื่นต่างก็มีความสุขอย่างคนปกติทั่วไป
ในขณะที่ดารกาต้องเก็บกด ปิดบังสถานภาพอสูรของตัวเอง
“ว้าย อย่านั่งตรงนี้ค่ะ เดี๋ยวเลอะหมด” มาลีร้องอย่างตกใจที่เห็นดารกานั่งลงอย่างไม่ถือตัว
ดารกาบอกเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรค่ะ...แม่”
พอได้ยินคำว่าแม่จากปากลูกครั้งแรก...มาลีตกใจระคนดีใจ ทำนบน้ำตาแตก
“แม่...? ลูกเรียกแม่ว่าแม่”
“ค่ะ” ดารกาทอดน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่...”
มาลีร้องไห้โฮ ยกมือป้ายน้ำตา ยื่นมือจะจับมือดา แล้วชะงัก เพราะมือตัวเองเลอะมาก ดารกาเป็นฝ่ายจับมือมาลีมากุมไว้อย่างไม่รังเกียจ มาลีตื้นตัน ยิ่งร้องไห้หนัก แทบพูดอะไรไม่ออก
“ลูก... ลูก... ฮือๆ”
ดารกามองหน้ามาลี แล้วเช็ดน้ำตาให้มาลีแผ่วเบา
“หนูจะไม่บอก...” ชะงักนิดหนึ่ง “...พ่อ..นะคะว่าแม่เรียกหนูว่าลูก”
มาลีตกใจนึกถึงตอนที่สดับเคยขู่ว่าจะฆ่าทิ้ง “ไม่ ไม่นะ ลูกอย่าบอกมันนะ”
“แม่ยังขายของไม่หมดเหรอคะ” ดารกาถามขึ้นมา
มาลีดีใจ อยากจะเอาใจลูกสาว “แม่เลิกเดี๋ยวนี้ก็ได้จ้ะ ฝากเพื่อนขายได้” พลางหันไปตะโกนเรียก “นังใจ
“อะไร” ใจเพื่อนแม่ค้าตะโกนถาม
“ฝากขายปลาต่อทีนะ ฉันจะพาลุ..” มาลีเกือบจะหลุดคำว่า ลูก “...คุณหนูไปธุระ”
แม่ค้าใจขายไปพูดไป “เออ... ขายได้เท่าไหร่ฉันเอาหมด”
“เอาไปเลย ฉันยกให้ วันนี้ฉันมีความสุข” มาลียิ้มแป้น
ใจขำ “อีบ้า”
มาลีเอาปลาช่อนที่ทำค้างอยู่ใส่ถุง วักน้ำในถังล้างมือนิดหน่อย เช็ดมือกับชายเสื้อ แล้วออกเดินไปกับดารกา เดินพูดกันไป
“กิน..เอ๊ย...ทานข้าวกับแม่นะลูก เดี๋ยวแม่แกงส้มปลาช่อนให้ รับรองอร่อยเด็ด พ่อเขาชอบนักละ”
สองคนเดินเคียงกันไป บรรดาแม่ค้ามองมาอย่างชื่นชมความสวยหวานของดารกา
“ใครน่ะมาลี สวยประกวดนางงามได้เลยนะ” เพื่อนแม่ค้าถาม
มาลีไม่คิดจะตอบ มองดารกา ในอาการปลื้มสุดๆ ดารกายิ้มให้แม่ค้าคนนั้นอย่างเป็นมิตร
“พ่ออยู่บ้านมั้ยคะ”
“ไม่อยู่ ไปบ่อน คงกลับสว่างโน่นละ เรานอนคุยกันทั้งคืนยังได้”
มาลีบอกด้วยสีหน้าเคยชิน น้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
อ่านต่อหน้า 2 เรียบเรียงเสร็จ อัพต่อทันที
คำชี้แจงทีมงาน ละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว จบ 21 ตอนทีวีนะจ๊ะ ไม่ใช่ 21 ตอนตามละครออนไลน์ หมายถึงว่า ตอนที่อัพให้อ่านอาจยาวไปถึง 23-24 ตอน โปรดรับทราบโดยทั่วกัน
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 21 (ต่อ1)
ในเวลาเดียวกัน ผาดกับพรช่วยกันจัดวางจาน ช้อน และแก้วน้ำ เตรียมจะตั้งโต๊ะอาหารเย็น เว้นที่ของดารากา ไม่ได้จัด แนนนี่อยู่ในห้องรับแขก หารีโมททีวีไม่เจอ ดีดนิ้วเปิดทีวีแทน พรเห็นพอดี ตกใจจนช้อนหล่น แนนนี่แอบหันมามองขำๆ แบมือรีโมทเสกปรากฏในมือ
ผาดหันมาดุ “อะไรนังพร ใจลอยไปไหน”
พรยังผวา มองแนนนี่ “ก็...”
แนนนี่หันมา ทำหน้าซื่อบริสุทธิ์ รีโมทอยู่ในมือ พรเห็นแต่ผาดไม่เห็น
พรงึมงำ “ตาฝาดเหรอ ไม่นะ”
พรหันมามองอีก แนนนี่ก็ยังถือรีโมทดูทีวีไปพูดไป
“ไปตัดแว่นได้แล้วมั้งคะพี่พร”
พรมองรีโมทในมือแนนนี่ให้แน่ใจ ยิ้มกร่อยๆ ในอาการกลัวๆ
ผาดพูดเออออไปงั้นเอง ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร “น้าก็ว่างั้นแหละค่ะ”
พรไปหยิบช้อนคันใหม่
ระหว่างนั้นปัทเดินเข้ามาจะไปหาแนน เห็นที่นั่งประจำของดารกาไม่มีจาน
“น้องดาจะไม่ทานข้าวเย็นเหรอจ๊ะผาด”
“ค่ะ คุณดาบอกว่าจะไปติวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่ะ”
ปัทมนรับทราบ
แนนนี่พูดเบาๆ กับตัวเอง “โกหก ต้องไปหาพี่ภวัตแน่ๆ”
แนนนี่หายตัว ในขณะที่ปัทมนหันมาหา
“อ้าว ไปไหนซะแล้ว” ปัทมนบ่นน้ำเสียงเอ็นดู “ผลุบผลับเปิ๊บป๊าบซะจริงลูกคนนี้”
ปัทมนนั่งลงดูทีวี จะเปลี่ยนช่อง หารีโมทไม่เจอ หันไปถามผาดกับพร พร้อมกับมองหาเองด้วย
“เห็นรีโมททีวีไหมจ๊ะ”
พรขนลุกซู่ พูดกับผาดไม่ให้ปัทได้ยิน “นั่นไง ชั้นตาฝาดซะที่ไหน”
ผาดแอบหยิกพร จนพรเจ็บ หน้าเหยเก
“เดี๋ยวผาดกับพรหาให้ค่ะคุณผู้หญิง คุณแนนนี่อาจถือติดมือไป” ชะงักนึกได้ “เอ๊ะ เมื่อคืนเหมือนผาดจะเห็นอยู่ในห้องทำงานคุณธานี แต่อันเดียวกันหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ”
ธานีเข้ามาพอดี
“น้าผาดนินทาอะไรผม”
ผาดยิ้มแย้ม “เปล่าค่า” แล้วแยกกันไปหารีโมทกับพร
พรเดินมา พลางพูดเบาๆ กับตัวเอง
“ถ้าเจอในห้องทำงานคุณธานีละก็...ฮือๆ...คุณแนนนี่...กลายเป็นผีไปแล้วเหรอ”
ธานีเดินไปกดปุ่มที่ทีวีเปลี่ยนช่องให้แม่ ปัทมนช่วยถอดเสื้อนอกให้ลูกชาย
“เหนื่อยมั้ยลูก งานหนักหน่อยนะจ๊ะ”
“สู้ครับ จะรักษามาตรฐานที่คุณแม่ปูไว้ เดี๋ยวผมรบกวนปรึกษาคุณแม่เรื่องประมูลงานก่อสร้างโครงการของทางราชการหน่อยครับ”
“เอาสิจ๊ะ” ปัทมนตั้งใจนิ่งฟัง
เวลาต่อมา ภวัตกำลังเขียนบันทึกเกี่ยวกับคนไข้ แนนนี่หายตัวมาปรากฏตรงหน้า
ภวัตสะดุ้ง “จะมาอย่างคนธรรมดาบ้างได้มั้ย”
“ไม่ได้ค่ะ รถติด แนนนี่จะประสาทคิดถึงพี่ภวัตตายก่อน รถใต้ดินบนดินก็เร็วสู้แนนนี่ไม่ได้”
“สอบวันนี้วันสุดท้ายใช่มั้ย”
สีหน้าแนนนี่ลิงโลด ดีใจมากที่ภวัตใส่ใจ “ โอ๊ย รักพี่ภวัตที่สุดในโลก พี่ภวัตสนใจแนนนี่ทุกรายละเอียดเลย พี่ภวัตจะพาแนนนี่ไปเลี้ยงที่ไหนมั้ยคะ”
“ที่ห้องอาหารของโรงพยาบาลนี่ไง”
แนนนี่หุบยิ้ม หน้างอ “เซ็งเลย”
“พี่มีคนไข้อีก 4-5 ราย แนนนี่รอพี่เลิกงานได้มั้ยล่ะจ๊ะ พี่พาไปทานไอติม”
แนนนี่ดีใจกระโดดจนตัวลอย “ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวแนนนี่โทรบอกคุณแม่ก่อนนะคะ”
แนนนี่ทำท่าจะใช้เวทมนต์
“สัญญากับพี่ว่าไง”
แนนนี่ยิ้มแหยๆ ภวัตยื่นมือถือให้ “โทรในห้องนี้ละ คลื่นจะได้ไม่รบกวนคนไข้แผนกอื่น”
“ขอบคุณค่ะ” แนนนี่กดเบอร์
ทางด้านดารกากำลังช่วยมาลีล้างจาน หลังทานอาหารเสร็จแล้ว พร้อมกับคุยไปด้วย มาลีมีความสุขมาก
“แม่กับพ่อแต่งงานกันนานมั้ยคะกว่าจะมีหนู” ดารกาถามขึ้น
สีหน้ามาลีจากที่มีความสุขมาก สลดลงด้วยความสะเทือนใจ
“ไม่ได้แต่ง พ่อของหนูข่มขืนแม่จนแม่ท้องหนู แม่เลยต้องเลยตามเลยอยู่กับเขามา”
ดารกานิ่งอึ้ง แค่กำเนิดก็ไม่ดีซะแล้ว มาลีมองดารกา กลัวลูกโกรธ
“หนูอย่าโกรธแม่นะ ชีวิตคนจนมันก็เป็นอย่างนี้ ยิ่งเป็นผู้หญิง ผู้ชายมันก็คิดกับเราแค่เรื่องนั้นละ”
ดารกาตาลุกวาว คล้ายโกรธแทนมาลี แต่ก้มหน้า ซ่อนแววตา ในขณะที่มาลีคิดว่าลูกโกรธ
มาลีพูดอย่างจริงใจตรงๆ แบบหญิงชาวบ้าน “แม่ขอโทษที่เอาหนูไปทิ้ง แม่ยอมรับว่าแม่เลว แม่จะเอาหนูออกตั้งแต่รู้ว่าท้องด้วย” มาลีร้องไห้ รู้สึกผิดบาป ละอายใจ “ลูกอย่าโกรธอย่าเกลียดแม่นะ”
มาลีกอดดารกา ดารกานิ่งให้กอด แต่ไม่ได้กอดตอบ แค่จับแขนมาลีเป็นเชิงปลอบใจ
วินาทีนั้นดารกาสะเทือนใจนักกับกำเนิดของตัวเอง แต่ไม่ร้องไห้
“เพราะแม่เกลียดขยะแขยงพ่อของหนู อยู่กับมันมาชีวิตไม่มีอะไรดีเลยหนูอย่าเกลียดแม่นะ”
ดารกาพูดเสียงแผ่วๆ “หนูไม่เกลียดแม่ค่ะ”
จริงๆ ในใจเวลานั้นดารกาเกลียดสดับนัก ที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นอสูร และดารกาแน่ใจแล้วว่ามาลีไม่ได้เป็นอสูร
“แต่ลูกวาสนาดี ฟ้าดินถึงให้คุณนายปัทมนมาเจอแม่กำลังทำชั่ว เขาเลยรับหนูไปเลี้ยง ไม่งั้น...ถ้าลูกไม่ตายอยู่ข้างถนน ลูกก็คงโตขึ้นมาเป็นแบบแม่ แม่ขอโทษ...แม่เลวจริงๆ”
ดารกาค่อยๆ กอดมาลี อย่างสนิทใจขึ้น สักครู่มาลีถอยตัวออกมา พูดเสียงจริงจัง
“จากนี้ไปแม่จะไม่รบกวนหนูอีก ไม่ว่าเรื่องเงินทองหรืออะไร แม่ขอร้องหนูอย่างเดียว”
ดารกานิ่ง รอฟัง มาลีมองจ้องหน้าดารกา
“ขอให้หนูรักเคารพและกตัญญูคุณนายปัทมนให้มากๆ นะลูกนะ”
ดารกามองมาลีนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าคิดอะไร มาลีมองดารกา ด้วยความรักล้นหัวใจ
ดารกานิ่งไปอีกสักครู่ จึงรับปากออกมา
“ค่ะแม่ นอกจากพ่อกับแม่ หนูก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากคุณแม่ปัทมน บุญคุณท่านล้นชีวิตหนู หนูจะรักเคารพและกตัญญูท่านตลอดไปค่ะ”
ภวัตพาแนนนี่มาเลี้ยงไอติม และกำลังหยิบไอติมสีส้มขึ้นมาแท่งหนึ่งออกมาจากถังไอติม แนนนี่นั่งยองๆ รออยู่ ภวัตส่งไอติมให้แนนนี่ซึ่งออกอาการตื่นเต้นน่ารัก เพราะ ไม่เคยกินอะไรแบบนี้
และสำหรับแนนนี่แล้วอะไรก็ตามที่มีภวัตทำให้ ดีเลิศประเสริฐศรีทุกสิ่งอย่าง
“เอาอีกแท่งนึง สีเขียว”
ภวัตขำๆ “ควบสองเลยเหรอ”
“อยู่แล้ว”
ภวัตหยิบไอติมสีเขียวส่งให้แนนนี่ แล้วหยิบสีขาวให้ตัวเอง แนนนี่เลียไอติมแท่งซ้ายทีแท่งขวาทีไปเรื่อย
“พี่ภวัตก็ต้องควบสองเหมือนกันค่ะ”
“กลัวโดนว่าตะกละอยู่คนเดียว”
“ถูก” แนนนี่หันเลียกินต่อ
ภวัตหยิบอีกแท่งที่สีไม่เหมือนสามแท่งแรก แล้วจ่ายเงิน
“เอาไปเลยน้อง ไม่ต้องทอน”
“ขอบคุณครับ”
เด็กคนขายสะพายกระติกอติม มือสั่นกระดิ่ง ไปต่อ
“ไอติมแท่งหวานเย็นครับ...ไอติม...” เสียงร้องขายไอติมดัง ห่างออกไป
ภวัตกับแนนนี่เดินออกไปคนละทางกับเด็กขายไอติมคนนั้น
“ไม่โกรธใช่มั้ย จากไอติมในห้างมาเหลือไอติมข้างถนน”
“ไม่โกรธเลยสักตี๊สส...เดียวค่ะ”
ภวัตไม่กินไอติม มัวเพลินมองแนนนี่กินเพลิน แนนนี่หันมางับไอติมของภวัต
“ทานก็ไม่ทาน ละลายหมดแล้ว” งับไอติม “ง่ำๆๆๆ”
แนนนี่แก้มป่อง ไอติมเต็มปาก ทั้งของตัวเองทั้งของภวัต เย็นยะเยือกในปาก
“อูย เย็น ฟันหลุดหมดปากแล้วมั้งเนี่ย”
ภวัตหัวเราะก๊าก ขำแนนนี่ แนนนี่กินไอติมไปเรื่อย สลับแท่งไปมา ภวัตมองแนนนี่อย่างรักใคร่
ทั้งสองคนเดินกันไป แนนนี่อิงศีรษะกับไหล่ภวัต กินไอติมไปเรื่อยอย่างสุขล้น
ภวัตกับแนนนี่เดินมาด้วยกันจนถึงรั้วริมโรงพยาบาล แนนนี่ยังอิงไหล่คลอเคลียภวัตไม่ห่าง
ภวัตเสียงทุ้มนุ่นอินเลิฟนิดๆ “ทานที่ไหนก็ไม่สำคัญนะ...”
“ถ้าที่นั่นมีเราเพียงซ้องงงงงงง...คน” แนนนี่ต่อให้
แล้วแนนชะงักกึกเมื่อเห็นบุษบา สีหน้าแนนนี่หน่ายๆ “ไม่สองคนซะแล้ว... เหนื่อยอีกแล้วฉัน”
บุษบายืนกอดอกหน้าบึ้งเอาเรื่องจ้องอยู่ ก่อนจะเดินฉับๆ มาหาอย่างโกรธจัดที่เห็นแนนนี่อยู่กับภวัต
บุษบาหึงจนลืมตัว “ยัยแมวขโมย...”
“อ๊ะ อ๊ะ พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีหนอนนะคะ...” มองยั่วยียวน ทำเสียงเล็กเสียงน้อย “นะคะ..นะคะ..นะคะ” แนนนี่ตีไม้เสียบไอติมเล่น เหมือนฟันดาบเข้าจังหวะขณะพูด
บุษบาอ้อนฟ้อง “ภวัต”
แนนนี่แอบพูดเลียนเบาๆ “ภวัต...แหวะ”
บุษบาพูดต่อ “ภวัตทนดูยัยเด็กก้าวร้าวนี่ทำกับบุษได้ยังไงคะ”
“ไปคุยกันข้างในดีกว่านะครับ”
บุษบากับแนนนี่เกาะแขนภวัตคนละข้างแบบไม่มีใครยอมใคร ภวัตปลดมือออกทั้งสองคน
“ต่างคนต่างเดินครับ ไม่งั้นผมไม่คุยด้วย”
ทั้งแนนนี่ทั้งบุษบาจ๋อยสนิท จำใจยอมเดินไป
แนนนี่แอบทำหน้าประหลาดๆใส่บุษบา
ภวัตหันมอง แต่แนนนี่ทำเรียบร้อย ไม่รู้ไม่ชี้
ภวัตระอา บุษบาแค้นหนัก แต่ทำอะไรแนนนี่ไม่ได้เพราะอยู่ต่อหน้าภวัต
ดารกานั่งนิ่งที่เตียง นึกถึงที่มาลีเล่าให้ฟัง เสียงดารกาถามขึ้นมา
“พ่อพูดแปลกๆเรื่องการเกิดของหนู...พ่อเคยพูดกับแม่บ้างมั้ยคะ”
มาลีนิ่ง นึกถึงวันที่โดนสดับข่มขืน รู้สึกสยองเย็นวาบขึ้นมาทันที
“เคย” มาลีนิ่งไปสักครู่
ดารกาตื่นเต้น ตาวาววับอยากรู้ แต่สำรวมกิริยา
“แม่เล่าให้หนูฟังได้มั้ยคะ”
มาลีนิ่งอีก เหมือนลังเลนิดๆ แต่ในที่สุดตัดสินใจ เล่า
“สดับมันมาจากไหนไม่มีใครรู้...”
ภาพเหตุการณ์ ประกอบคำเล่าของมาลีค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละฉาก ทีละตอน
สดับในวัยหนุ่มเดินนิ่งๆ ทื่อๆ เฉียดมาลีในวัยสาว แบบจงใจเฉียดผู้หญิงทุกคนเพื่อดูว่าคนไหนเหมาะจะเป็นแม่ของทายาทอสูรได้
เสียงมาลีเล่าต่อ “ ..จู่ๆมันก็โผล่มา ไม่ยอมพูดจากับใคร”
ภาพสดับเฉียดมาลี แล้วมีแสงสีแดงเข้มเรืองวาบขึ้นตรงจุดที่เฉียดกัน เป็นสัญญาณว่าผู้หญิงคนนี้ใช่ สดับเดินผ่านไปแล้วหยุดกึก ส่วนมาลีหันไปต่อว่า
“เฮ้ย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
สดับหันมามองมาลีแบบเห็นธาตุอะไรบางอย่างในตัวมาลี ตาแข็งกร้าวเรืองแสงสีแดง มาลีเห็นแล้วรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว
มาลีกลัวมาก รีบเดินแกมวิ่งหนีไป แล้วไปซ่อนตัวแอบดู อยากรู้อยากเห็น
มาลีเห็นสดับเดินไปนอนลงที่ม้ายาวพังๆ ของชาวบ้านที่ต่อเอง สดับหลับตาลงทันที
มาลีเล่าต่อ “...มันมานอนอยู่แถวบ้านที่แม่อยู่อยู่สามวันสามคืนไม่เคยตื่นเลย”
ภาพสดับนอนหลับสนิทนิ่ง จนเวลาผ่านไป 3 วัน สดับลืมตาขึ้นทันใด แต่ยังไม่ลุกขึ้น มาลีแอบดูอยู่อีกที่หนึ่งตกใจวิ่งหนีกลับบ้านไป
เสียงของมาลีเรื่องราวต่อ “แล้วพอมันตื่นมันก็ฉุดแม่ไป”
ภาพเหตุการณ์ผุดขึ้นมาในหัวมัวลี
มาลีอุทาน “ฮะ” ขณะกำลังเก็บผ้าชิ้นสุดท้ายที่ตากไว้ หันมา ตกใจสุดๆ ตะกร้าในมือหล่น เมื่อเห็นสดับเดินทื่อเข้ากระชากมาลีจนตัวปลิวราวกับมาลีเป็นเศษผ้า มาลีกรีดร้องให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ครู่ต่อมามาลีถูกมัด นั่งอยู่ในที่คุมขัง
เสียงมาลีเล่าบรรยายดังขึ้นอีก
“มันไม่ได้ข่มขืนแม่ทันที มันบอกว่ารอเวลาให้ดาวชื่ออะไรแม่ฟังไม่รู้ เรื่อง หมุนผ่านกลางพระอาทิตย์ก่อน”
ภาพดวงอาทิตย์ที่ดูน่ากลัว ดวงโต มีจุดดำเล็กๆ ลอยผ่านในแนวระนาบ จนถึงกึ่งกลางดวงอาทิตย์ จู่ๆ มีแสงวาบขาวจ้าพุ่งออกมาโดยรอบ
มาลีโดนกระชากเสื้อผ้าขาด (ไม่ต้องโชว์โป๊) ลากตัวไปข่มขืน มาลีดิ้น ร้องห้าม-อ้อนวอน-ร้องขอความช่วยเหลือ และเราไม่แสดงภาพการข่มขืน ให้เห็นเพียงสดับเหวี่ยงมาลีหลุดเฟรม สดับหันหน้าหากล้องแล้วโน้มตัวลงหลุดเฟรมล่าง หน้าตายังคงไม่มีชีวิต (แบบข่มขืนตามหน้าที่) แล้วแฝดดำ
“อย่า...อย่า...อย่าทำอะไรฉันเลยนะ...” มาลีตะโกนกรีดร้องขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ขณะเล่ามาถึงตอนนี้ มาลีดวงตามองเหม่อ ไร้อารมณ์ความรู้สึก หมดแรงใจเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า มาลีมองไปทางดารกา สีหน้าดารกานิ่งขรึม ดวงตาบ่งบอกความสะเทือนใจในกำเนิดของตน
“มันบอกว่า...ทุกอย่าง “ท่าน” ลิขิตไว้แล้ว” มาลีนึกถึงคำพูดที่สดับพูดบอกซ้ำๆ
พอได้ฟังดารกาตาวาววับขึ้นมาเหมือนคิดอะไรได้พูดเบาๆกับตัวเอง “อสุรพรหม”
มาลีได้ยินแว่วๆ “อะไรนะ”
“เปล่าค่ะ” ดารกาปฏิเสธ
มาลีมองหน้าดารกาอย่างรักใคร่
“ชื่อดารกามันเป็นคนตั้งให้ลูกตั้งแต่วันที่มันได้แม่”
ดารกานิ่งฟัง
“แม่ก็หวังว่ามันคงจะรักลูกบ้าง แต่พออยู่ด้วยกันมันก็ลายออก ทำความเลวทุกสิ่งอย่าง ตบตีแม่ทุกวัน แม่จะหนีมัน แต่แปลก...” นิ่งคิดทบทวน “...พอคิดจะหนีทีไร แม่ก็ลืมไปทุกที”
ดารกาหน้านิ่ง แต่เข้าใจแล้วว่า ตัวเองไม่มีทางหลีกพ้นการเป็นอสูร
ดารกายังนั่งอยู่ที่เดิม หน้าตาเจ็บปวด
ดารกาเยาะหยันตัวเอง “กำเนิดชีวิตของฉันอัปมงคลสมจะเกิดมาเป็นอสูรจริงๆ”
ยิ่งพูด ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ดารกาคับแค้นใจในชะตากรรมยิ่งนัก แล้วผุดลุกพรวด
“แต่ฉันจะไม่อยู่เฉย จะไม่ยอมแพ้อสุรพรหมนั่น ฉันจะลบล้างความเป็นอสูรให้ได้ ไม่งั้นฉันจะสูญเสียพี่ภวัต สูญเสียความสุขทั้งหมดในชีวิต” น้ำเสียงหมายมั่น “มันต้องมีทางที่ฉันจะลบล้างความเป็นอสูรได้”
ห้องทำงานของภวัต กลายเป็นสมรภูมิรักอีกจนได้ เวลานี้แนนนี่กำลังเชิดใส่ บุษบา
“แนนนี่ไม่พูดค่ะ”
บุษบาจ้องหน้าแนนนี่อย่างเอาเรื่อง ภวัตอยู่ห่างออกไป หน้าตาบอกว่าสุดเบื่อเรื่องหึงหวงกัน
แนนนี่พูดต่อ “ งี่เง่าและน่าเบื่อที่สุด ป้าบุษบาไม่มีสิทธิละเมิดสิทธิส่วนตัวของแนนนี่ด้วยค่ะ”
บุษบาโกรธจี๊ด ปรี๊ดขึ้นมา “หยาบคาย อย่ามาเรียกฉันว่าป้านะ”
“ป้า...” แนนนี่เน้นๆ
ภวัตออกโรงปราม “แนนนี่...พูดดีๆ”
“ก็แนนนี่จะไม่พูดไงคะ คุณบุษบาเป็นคนสมองช้าปัญญาแคระ พูดไปเสียเวลาแนนนี่จู๋จี๋กับพี่ภวัตเปล่าๆ”
แนนนี่จงใจยั่วประสาทบุษบา ขยับตัวยื่นหน้าจะจูบแก้มภวัตยั่ว แต่ภวัตไม่ยอมให้ทำ มองห้ามด้วยสายตาดุเข้ม
“แนนนี่” ภวัตเสียงเข้มดุ
“อ๊าย นังแนนนี่” ได้ผล บุษบาถลาจะมาตบแนนนี่
แนนนี่รู้ทันหายตัววับไป บุษบาเจอแต่อากาศหน้าคะมำลงไปจูบพื้น ภวัตรับไม่ทัน เสียงแนนนี่หัวเราะชอบใจแว่วๆแล้วค่อยๆ จางหายไป
ภวัตประคองบุษบาขึ้นอย่างเห็นใจ บุษทั้งเจ็บทั้งอาย น้ำตาเอ่อ
“มันเป็นผีร้ายในร่างคน บุษเป็นมนุษย์ ไม่มีทางสู้มันเลย ภวัตยังเข้าข้างมันอีก”
“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่แนนนี่ยังเด็ก เราเป็นผู้ใหญ่กว่า ควรเมตตาเขานะ”
“แกล้งทำเป็นเด็กอ้อนภวัตน่ะสิ ใกล้ชิดไปใกล้ชิดมา ภวัตจะเผลอ...”
ภวัตรีบตัดบท “ผมไปส่งบ้านครับ”
“ต้องพาบุษไปทานข้าวด้วยบุษถึงจะหายโกรธ”
ภวัตไม่ตอบ แต่ดูออกว่ายอมไปด้วย ถือกระเป๋าให้ บุษบาท่าทียอมอ่อนลง หน้าตาสดชื่นทันใด
ทางด้านพรกำลังทำงานจุกจิก แนนนี่ย่องเข้ามาข้างหลัง แกล้งร้องขึ้น “ตุ๊กแก!”
พรตกใจสุดๆ “ว้าย พ่อแก้วแม่แก้วช่วย....” พรมองค้างตาเหลือกเมื่อเห็นเป็นแนนนี่
แนนนี่ล้อเล่นต่อ “ว้าย พ่อก้วแม่แก้วช่วยไม่ทันแล้ว ฮิฮิ”
“ฮือๆ คุณแนนนี่ พรกลัวแล้วค่ะ อย่าทำอะไรพรเลย”
“พี่พรอะ แค่เรื่องรีโมท พี่พรจะเหมาว่าแนนนี่เป็นผีเลยเหรอ” แนนนี่แสร้งทำเป็นงอน “พี่พรใจร้ายที่สุด”
พรชักลังเล “ก็...ก็พี่พรไปหาเจอในห้องคุณธานีอะค่ะ แล้วอันที่คุณ แนนนี่ถือ...ฮือๆ...มาจากไหน” พรทำท่าจะร้องไห้
“ก็มาจากห้องแนนนี่ไง้ ทีวียี่ห้อเดียวกันรีโมทเหมือนกันอยู่แล้ว”
“เหรอคะ” พรยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นรีโมทจากห้องแนนนี่จริง
แนนนี่ลากแขนพรไปที่โซฟาหน้าทีวี
“มาดูสิคะ แนนนี่ยังทิ้งไว้ที่โซฟา”
แนนนี่ใช้มือล้วงตามซอกโซฟา สักครู่หนึ่งก็เอามือขึ้นมา มีรีโมทติดมาด้วย แนนนี่เทียบกับรีโมทอีกอัน
“เห็นปะ เหมือนกันเรย”
พรค่อยมีท่าทีคลายใจ
“แนนนี่ไม่ใช่ผีนะ อย่ากล่าวหากันอีก น้อยใจ”
พรยิ้มอย่างรู้สึกผิด พยายามเอาใจคืน “ค่า...ไม่กล่าวหาแล้วค่า...”
แนนนี่เดินถือรีโมทขึ้นข้างบนไป
“สำเร็จ” พลันรีโมทหายไปจากมือแนน
หลายวันต่อมาปัทมนเดินโอบแนนนี่และดารกาออกมาจากตัวบ้าน ธานีหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กแบบไปค้างคืนสัก 1 สัปดาห์ มาใส่รถ
ดารกากอดเอวแม่หน้านิ่งๆ ส่วนแนนนี่หน้าบู้บี้ แบบติดแม่ ไม่อยากให้แม่ไปไหนนาน
ปัทมนพูดขึ้นอย่างเอ็นดูแนนนี่ “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนี้ เดี๋ยวหน้าย่นหมด แม่ไปฝึกวิปัสสนาขั้นสูง 7 วันเองจ้ะ”
“ตั้ง 7 วัน ไม่ใช่ 7 วันเอง” แนนนี่ว่า
“ยัยเด็กขี้อ้อนเอ๊ย” ธานีสัพยอก
“น่า... ถือว่าแม่ขอลางานหน้าที่คุณแม่ไปพักร้อนนะจ๊ะ”
พอถึงรถ ธานีเอากระเป๋าเก็บที่ท้ายรถ ปัทมนหันมาจูบลาแนนนี่แล้วจูบลาดารกา
“แม่ไปนะจ๊ะ แนนี่อย่ารังแกพี่ดานะลูก”
“จะรังแกทุกวันเลย แก้เหงาที่คุณแม่ไม่อยู่”
ดารกาแอบทำหน้าโกรธ แต่ไม่มีใครเห็น พลางคิดอยู่ในใจ “นึกว่าฉันจะยอมเหรอ”
ปัทมนขำในท่าทางแนนนี่ “น้องดาจ๋า คราวนี้แม่อนุญาตให้ตีแนนนี่ได้ครั้งละ 1 ทีนะจ๊ะ ถ้าแนนนี่รังแกน้องดา”
“น้องดาไม่ทำหรอกค่ะคุณแม่ น้องดารักน้อง”
แนนนี่แหวะใส่
“สะ-ตรอ-เบอ-รี่ไปมั้งคะพี่ดา”
ปัทมนตีเผียะเข้าที่แขนแนนนี่ “นี่แน่ะ แม่ตีก่อนเลย พูดแต่ละคำแรงเหลือเกิน ห้ามว่าพี่เขาอย่างนี้อีกนะจ๊ะ”
“จะว่า” แนนนี่เถียงล้อเล่น
“ดู๊...”
ปัทมนเงื้อมือ แนนนี่กระโดดหนี หัวเราะชอบอกชอบใจ ดารกามองภาพนั้นอย่างริษยาและชิงชัง
ทุกคน ธานีออกรถ ปัทมนนั่งคู่ หน้าตายิ้มแย้ม โบกมือให้แนนนี่และดารกา ที่โบกส่งอยู่หน้าตึก ภายในรถใบหน้าปัทมนที่มองลูกสาว จากที่ยิ้มแย้ม จะค่อยๆ นิ่งลง
ปัทมนพูดอยู่ในใจ “แม่ต้องดึงลูกทั้งสองคนให้พ้นเงื้อมมืออสูรให้ได้จ้ะลูก”
ภาพของแนนนี่และดารกาห่างออกไปๆ ปัทมนค่อยๆ เอามือลง
รถธานีเลี้ยวออกไปจนลับตาดารกาจะกลับเข้าตึก แนนนี่กระแทกดารกาจนกระเด็น เพื่อแย่งเข้าก่อน ดารกาหันขวับ หน้าตาเอาเรื่อง ผลักแนนนี่กลับอย่างไม่หวั่นเกรง แม้จะยังไม่ได้ใช้พลังอสูรเต็มที่ แต่แนนนี่ก็กระเด็น เซไป
แนนนี่พูดเย้ยออกมา “ในที่สุดก็เผยตัวจนได้ละสิ ยัยนางร้าย เสียดาย คุณแม่ไม่เห็น”
ดารกาหน้าตาเอาเรื่องมองจ้องแนนนี่ไม่กระพริบตา แล้วเข้าตึกไปโดยไม่พูดอะไร
แนนนี่มองตาม หน้าตานิ่งลง ไม่เหลืออารมณ์เด็กเอาแต่ใจ พึมพำกับตัวเอง
“ยัยพี่ดา...ฉันจะกัดไม่ปล่อย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าแกเป็นมนุษย์หรือเป็นตัวอะไร สายพันธุ์อะไร”
เวลาเดียวกันสองแม่มดหน้าตาไม่สเบย ดูออกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก
“เหลืออีกปีเดียวนะบาบาร่า ที่อสูรน้อยจะอายุครบ 22 ปี แล้วมีฤทธิ์สูงสุด พวกเราแม่มดจะต้านทานไม่ไหว เมืองเวทมนต์จะล่มสลายตามคำทำนาย” ทาฮิร่าปรารภ
“แต่คำทำนายก็บอกนี่ว่าหากฆ่าอสูรน้อยได้ จะทำทำให้อสูรสิ้นสูญเผ่าพันธุ์เหมือนกัน” บาบาร่าบอก
“แต่พวกเราก็ยังหาตำราวิธีฆ่าอสูรน้อยไม่เจอ” ทาฮิร่าเศร้า
สองแม่มดกลุ้มหนัก
ที่เมืองเวทย์เวลาเดียวกันนั้น ท่านผู้นำแม่มด แห่งเมืองเวทมนตร์ อยู่ที่บ้าน สายตาจดจ้องอยู่ที่ปฏิทินเมืองแม่มดเขม็ง
ตรงกลางปฏิทิน เป็นใบหน้าท่านผู้นำ ซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ใครเป็นผู้นำเมืองแม่มดก็จะมีใบหน้าคนนั้นในปฏิทิน ใบหน้าดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ ยิ้ม หัว สุข เศร้า ราวกับคนมีชีวิต
ผู้นำยืนหันหลัง ใช้นิ้วแตะที่จมูกตัวเองในภาพที่ศูนย์กลางของปฏิทิน
ศีรษะท่านผู้นำแม่มดในปฏิทิน ขานเวลา
“นี่คือเสียงจากวงจรแห่งกาลเวลา ขณะนี้เป็นวาระถอยหลังสู่วรรษะ (อ่านว่า วัด-สะ) ที่ยี่สิบสอง เหลืออีกเพียงหนึ่งรอบวรรษะ ทายาท อสูรจะทรงพลังสูงสุด...เหลืออีกเพียงหนึ่งรอบวรรษะ ทายาทอสูรจะทรงพลังสูงสุด”
ท่านผู้นำกดจมูกตรงใบหน้าในศูนย์กลางปฏิทิน เสียงหยุดหายไป สักครู่หนึ่งผู้นำแม่มดหันมาสีหน้าร้อนรนใจ
“เวลากระชั้นชิดมากเข้าทุกที”
ผู้นำแม่มดส่งสัญญาณเสียงเรียกประชุม
ที่เมืองเวทมนตร์ เวลานั้น มีเสียงสัญญาณเรียกประชุมดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง เสียงนั้นลอยลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงพ่อมดแม่มดตะโกนร้องเสียงเซ็งแซ่
“ท่านผู้นำเรียกประชุม ท่านผู้นำเรียกประชุม”
ทาฮิร่ากับบาบาบาร่า ได้รับเสียงสัญญาณเรียกประชุมด่วนจากนครเวทมนตร์
“ท่านผู้นำเรียกประชุม” ทาฮิร่าเอ่ยขึ้น
ทาฮิร่ากับบาบาร่าดีดมือเรียกไม้กวาด ทั้งคู่อยู่ในชุดแม่มด ขึ้นคร่อมไม้กวาด
อิงอรกำลังใช้สายยางรดน้ำต้นไม้ จู่ๆ เหมือนมีอะไรวืดผ่านหน้าไป อิงเงยมองตาม และมองสูงขึ้นๆ อ้าปากค้าง
“อีกแล้ว แลนดิ้ง-เท้กอ๊อฟ เท้กอ๊อฟ-แลนดิ้ง”
หัวฉีดสายยางรดต้นไม้ ตกใส่เท้าอิงอรอย่างแรง อิงอรเจ็บสุดๆ เขย่งเก็งกอยกุมเท้ากระโดดไปมา
“อู๊ย... หล่นจริง เจ็บจริง”
ที่นครเวทมนตร์ บรรดาพ่อมดแม่มด รวมทั้งบาบาร่า และทาฮิร่า ต่างยืนรวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมสภาโดยพร้อมเพียง รอประธาน ท่านผู้นำแม่มด ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ตืนตระหนก
อ่านต่อหน้า 3 มาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ อัพเมื่อนั้น
คำชี้แจงทีมงาน ละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว จบ 21 ตอนทีวีนะจ๊ะ ไม่ใช่ 21 ตอนตามละครออนไลน์ หมายถึงว่า ตอนที่อัพให้อ่านอาจยาวไปถึง 23-24 ตอน โปรดรับทราบโดยทั่วกัน
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 21 (ต่อ2)
การประชุมวิสามัญของนครเวทมนตร์ดำเนินมาได้สักครู่แล้ว ผู้นำแม่มดถือไม้เท้าประจำตำแหน่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางที่ประชุม ทาฮิร่ากับบาบาร่ายืนปะปนอยู่กับ พ่อมดแม่มดเมืองเวทย์
“พวกเราทุกคนต้องเร่งหาตำราพิฆาตอสูรให้ทันรอบวรรษ (วัด-สะ) นี้ ตำราเล่มนี้เท่านั้นที่จะล้างเผ่าพันธุ์อสูรสิ้นซาก ช่วยให้เผ่าพันธุ์ของเรา ดำรงคงอยู่ไปชั่วกัลปาวสานต์”
ทาฮิร่า บาบาร่าและพ่อมดแม่มดคนอื่นๆ ออกความเห็นกันไปมา
“มันจะหาทันได้ทันการณ์หรือเปล่า ใครที่ขโมยไปมันจะทำลายแทงไว้ให้เหรอว่ามันเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน” บาบาร่าเอ่ยขึ้นกับทาฮิร่า
ทาฮิร่ารู้สึกหมั่นไส้ “จะหาเจอหรือไม่เจอ ลงมือหาก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรซะเลย แทนที่จะมาจิกกัดลมฟ้าอยู่แบบนี้ เริ่มต้นช่วยเพื่อนพ้องเราหาได้แล้ว”
“ได้ทีจิกตีเลยเชียวนะ” บาบาร่าบ่นด้วยความเขม่น
เวลาเดียวกันในเมืองมนุษย์ อสูรในร่างสดับอยู่ในห้องพิธีกรรม และกำลังใช้สองมือปล่อยพลัง ดูดดึงอะไรบางอย่างจากผนังห้อง
ที่บริเวณผนังห้อง มีสิ่งหนึ่งรูปทรงคล้ายหนังสือ ค่อยๆ นูนขึ้นๆ จนหลุดออกมาจากผนัง มันคือตำราพิฆาตอสูร ซึ่งภายในมีคาถาบทสำคัญ อสูรพิลาป เล่มขนาดเท่ากับตำราเวทมนตร์ของแนนนี่
ตำราลอยมาใส่มือสดับ
“ตำราพิฆาตอสูร คิดว่าจะพิฆาตกันง่ายๆเหรอนังแม่มด อยากดูหนัง หน้าพวกแกว่าถ้าไม่มีตำราพวกแกจะมีปัญญาพิฆาตอสูรมั้ย” หันมาทางตำรา “มาดูกันอีกทีว่าข้าจะเอาชนะแกได้หรือยัง”
อสูรสดับเคยทำลายมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ
ตำราเวทย์ดิ้นพรวดจนหลุดจากมือสดับ ราวกับมีชีวิต สดับวาดมือพรวดกลางอากาศปล่อยเปลวไฟใส่ตำรา ตำราติดไฟลุกโชนทั้งเล่ม
การประชุมวิสามัญของเมืองเวทย์ยังดำเนินต่อไป
“อย่าลืมว่าความสมัครสมานสามัคคีของพวกเราจะช่วยให้บ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของเรา และเผ่าพันธุ์แม่มดของเราอยู่รอด ขอปิดประชุมเพียงเท่านี้”
ท่านผู้นำกล่าวปิดประชุม ทุกคนแยกย้ายสลายตัวด้วยท่าทีเป็นกังวล
ทาฮิร่าออกเดินไป บาบาร่าตามพูดน้ำเสียงเยาะหยัน
“เธอมัวแต่จิกกัดคนอื่น หลานตัวเองน่ะระวังให้ดีเถอะ จะทำงามไส้”
ทาฮิร่าชะงักกึก
“พูดดีๆ ไม่ต้องมีนัย หลานฉันจะทำอะไรงามไส้”
“โฮะ โฮะ โฮะ หูตามืดบอดเพราะรักหลานจนไม่ลืมหูลืมตาละสิ”
“จะบอกหรือไม่บอก ไม่บอกฉันจะไป รำคาญ”
“ฉันได้กลิ่นมนุษย์ชายหญิงที่บ้านเธอ” บาบาร่าเล่าเรื่องที่แวะไปหาที่บ้านทาฮิร่าวันก่อน
ทาฮิร่ารู้อยู่แล้วว่าแนนนี่พาภวัตมาเมืองเวทย์ จึงเยาะกลับ “แค่เนี้ย”
“กลิ่นพันพัวนัวเนียแนบแน่นกันเป็นเกลียวเป็นกลิ่นเดียวกัน”
คราวนี้ทาฮิร่าชักเริ่มร้อนรุ่ม บาบาร่าสะใจ
“ชายหญิงพันเกลียวกันขนาดนั้น มันบอกถึงอะไรน้า”
ทาฮิร่าหายตัวฟึ่บไปเลย
บาบาร่าหัวเราะชอบใจ “คราวนี้ฉันชนะ”
ส่วนภายในห้องพิธีกรรมบ้านสดับ อสูรร้ายยังคงทำลายตำราพิฆาตอสูร ซึ่งเวลานี้มีไฟลุกท่วม แต่ก็ไม่อาจทำให้ตำราไหม้ได้ แล้วจู่ๆ ไฟดับพึ่บ ตำรายังอยู่ดีสภาพเดิม อสูรสดับโกรธสุดๆ
“มันทำด้วยอะไร ลงเวทมนตร์อะไรไว้วะ ไม่ว่าจะเผา จะสับ จะทุบ..มันไม่เป็นอะไรสักเท่าแมวข่วน”
ตำรานิ่งสนิท เหมือนเหนื่อยแบบคนถูกทำทารุณ มือสดับเข้ามากระชากตำรา เหวี่ยงเข้าข้างฝาอย่างแรงที่เดิม
“เข้าไป”
ตำราจมหายเข้าไปในผนัง ผนังเรียบดังเดิมสดับหงุดหงิดเอามากๆ
“มีวิธีไหนจะทำลายมันได้นี่
ทาฮิร่ากลับจากเมืองเวทย์ ตรงเข้ามาในตะเกียงอยู่แล้ว อาการร้อนรุ่มจากที่บาบาร่าพูดเป็นนัยเรื่องแนนนี่กับภวัต
“แนนนี่”
“จ๋ายาย” แนนนี่ลุกขึ้นมาจากพื้นด้านหลังเตียง
“มานี่”
แนนนี่รู้จากท่าทางและน้ำเสียงว่าเป็นเรื่องไม่ดีแน่นอน
“แนนนี่เจอข้อหาอะไรอีกล่ะจ๊ะคราวนี้”
ส่วนทางด้านไทเกอร์หมอบรอบาบาร่า สักครู่บาบาร่าเดินเข้ามาในมือยังถือไม้กวาดคาอยู่ โดยไม่รู้ว่าอิงอรค่อยๆโผล่หน้าจากที่ซุ่มมามองแล้วตกใจกับชุดและไม้กวาด ไทเกอร์ถามขึ้นทันที
“เป็นไงมั่งคุณยายบาร์”
อิงอรได้ยินเสียงแว่วๆ ยังฟังไม่ค่อยชัดถนัดหูว่าเป็นภาษพูด แต่ก็ตาโตตกใจ
บาบาร่าเดินไปเรื่อย ไม้กวาดหายวับ อิงอรตกใจขึ้นมาอีก
บาบาร่าเดินๆ อยู่ ชุดก็เปลี่ยนเป็นชุดแม่บ้านบานเย็นต่อหน้าต่อตา อิงอรอึ้ง เหวอ ตกใจสุดๆ ช็อกคาที่ไปเลย
อิงอรร้องลั่น “อ๊าาาาาาา....อ๊ายยย” แล้วหมดสติ
บาบาร่าตกใจหันไปมอง
“ไอ๊หยา” ไทเกอร์ร้อง
บาบาร่าว่าคาถา “เมื่อฟื้นขึ้นมาคุณอิงจะลืมที่เห็นวันนี้”
บาบาร่ากับไทเกอร์เดินออกไปไป สักครู่จักรวาลก็วิ่งออกมาดู เพราะเสียงร้องของอิงอร
จักรวาลตกใจ “คุณอิง คุณอิง”
อิงอรงัวเงีย ค่อยๆ ลืมตาตื่นในอาการงงๆ
“อิงมานอนอยู่ที่นี่ได้ไงคะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ผมได้ยินเสียงร้อง วิ่งออกมาดูก็เจอคุณอิงนอนอยู่แล้วครับ เกิดอะไรหรือครับ คุณอิงร้องซะดังเลย”
อิงอรเริ่มออกอาการคิกคักตามปกติ มั่วสวาทต่อ เอนซบอ้อมแขนจักร
“กำลังจะเกิดเดี๋ยวนี้ค่ะ ขอนอนต่ออีกเดี๋ยวนะคะ”
แต่เป็นจังหวะพอดีที่จักรวาลจะประคองลุกขึ้น แต่เมื่ออิงอรซบ จึงเสียหลักรูดกองอยู่กับพื้นต่อ
“ว้าย”
ส่วนในตะเกียงแก้วแนนนี่ตาโตตื่นตกใจ
“คนใจร้ายใส่ร้ายแนนนี่อีกแล้ว”
ทาฮิร่ารู้สึกเริ่มโล่งใจนิดๆ
“แนนนี่สาบาน แนนนี่ไม่มีอะไรกับพี่ภวัตจริงๆ ค่ะยาย”
แนนนี่อยู่ในอารมณ์เกือบๆ จะร้องให้ ทากอดแนนนี่ปลอบ แนนนี่กอดยายแน่น
“ยายเชื่อแนนนี่จ้ะ”
“แนนนี่รักยาย รักคุณแม่ปัทมน แนนนี่ไม่มีวันทำเรื่องเสียหายร้ายแรง แบบนั้นให้ยายกับคุณแม่เสียชื่อเสียง”
ทาฮิร่าลูบผมแนนเบาๆ แนนนี่ผละพรวดออกจากอกทาฮิร่า กลายเป็นแนนนี่จอมวีนเหวี่ยงตามเดิม
“ถ้าแนนนี่รู้ว่าเป็นใครที่ใส่ร้ายแนนนี่ละก็...ฮึ่...เจ็บ !”
ทาฮิร่าส่ายหน้าอย่างระอา แต่เจือความเอ็นดู นึกสยองแทนบาบาร่า
จู่ๆ บาบาร่าก็จาม 3 ครั้งติดๆ
“อากาศเมืองมนุษย์นี่สกปรกจริงๆ ยาอายุวัฒนะของเมืองแม่มดยังเอาไม่อยู่”
บาบาร่าในร่างบานเดินมา เห็นดารกา ถือกล่องกำมะหยี่ใส่เครื่องประดับมาด้วย ส่งยิ้มสดใสมาให้
“คุณหนูน้องดา”
“น้องดาซื้อของมาฝากค่ะ”
บาบาร่าเปิดดู เป็นเข็มกลัดสวยงาม ชอบมากมาย “อุ๊ย สวยจัง ขอบคุณนะคะ”
บาบาร่าเป็นปลื้มกับของฝาด ทั้งสวยงาม ดูมีราคา เหมาะกับแม่บ้านบานเย็น
บาบาร่านึกได้ “คุณน้องดามาหาคุณหมอภวัตหรือคะ”
“ค่ะ พี่โป่งบอกยังไม่กลับ”
“จะรอมั้ยคะ ป้าจะอยู่คุยเป็นเพื่อน”
“ดีเหมือนกันค่ะ”
เวลาเดียวกันทาฮิร่าเดินเข้าครัวบ้านปัทมน มองสำรวจอะไรอยู่ตรงไหน
“ผาด พรยังไม่กลับ แนนนี่จะไปสมัครงาน ฉันต้องลงมือทำอาหารสุดอร่อยให้หลานฉันเอง”
“มีหลานตั้งสามรุ่นมาแล้ว ไม่เคยเห็นฝีมือจะพัฒนา” ชิกเก้นแขวะขึ้น
“แกกินแต่ข้าวคลุกปลาทู จะรู้อะไร” ทาฮิร่าเยาะ
ส่วนบาบาร่าคุยกันอยู่กับดารกาอย่างชื่นมื่น ทั้งสองคนคุยกันถูกคอ บาบาร่ายิ่งเอ็นดูดารกามาก แรกๆ เป็นการคุยกันปกติ จนต่อมาบาบาร่าหลุดปากพูดออกมาเองเรื่องเวทมนตร์ค่างๆ เพราะความขี้อวด
จึงเข้าทางที่ดาอยากรู้ที่ตั้ง ดาเลยหลอกล่อให้พูดต่อไป)
“เรื่องไสยศาสตร์เวทมนตร์นี่มีจริงนะคะ”
ดารกาแกล้งปั้นหน้าใสซื่อแบ๊วใส่ “น้องดาไม่เชื่อหรอกค่ะ เรื่องแบบนี้มีแต่ในนิทาน ไม่มีในชีวิตจริงหรอกค่ะ”
บาบาร่าชักจะเริ่มอวดของ “ถ้าเกิดมีจริงที่ไหนสักแห่ง ล่ะคะ”
ดารกาสะดุดใจซักต่อ “ที่ที่คนมีเวทมนตร์ เหาะเหินเดินอากาศได้น่ะหรือคะ”
“ค่ะ”
ดารกามองบาบาร่าอย่างสะใจ จึงพยายามที่จะยั่วมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าใสซื่อน่ารัก
บาบาร่ามองตอบดารกา หน้าตามั่นอกมั่นใจเกินร้อย ดารกาทำเป็นหัวเราะไม่เชื่อยั่วยุคนขี้อวดอย่างบาบาร่ามากขึ้นๆ
“น้องดาขอเป็นคนแรกที่เหาะได้ ใช้คาถาเสกอะไรต่ออะไรได้ แต่...เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ค่ะ”
บาบาร่าเริ่มถูกยั่วก็เริ่มของขึ้นอยากอวด “เป็นไปได้แน่ๆค่ะ”
“ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องพิสูจน์ได้สิคะ”
“พิสูจน์ได้แน่คะ”
ดารกาทำเป็นมองไปทั่วๆ “ไหนล่ะคะ อยู่ไกลแค่ไหนน้องดาก็จะไปพิสูจน์นะคะ”
“อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพียงใจเราคิดก็ไปถึงแล้ว”
ดารกาหัวเราะร่วนเหมื่อกำลังฟังเรื่องขำขัน “แบบ... ที่ที่มีแม่มดขี่ไม้กวาด มังกรบินได้พ่นไฟ... น่ะนะคะ” ใส่จริตยั่วมากขึ้นๆ “นิทานหลอกเด็กทั้งนั้นเลยค่ะ”
ได้ผลเกินคาดบาบาร่าของขึ้นจะเอาชนะให้ได้ “เป็นเรื่องจริงค่ะ”
“ แล้วอยู่ที่ไหนล่ะคะ ที่บ้านต่างจังหวัดของป้าบานเย็นเหรอคะ”
ในที่สุดบาบาร่าก็ตกหลุมพราง “ที่เมืองเวทมนตร์สิคะ” แล้วนึกได้ว่าหลุดไปแล้ว รีบอุด
ปากแน่นทันที “อุ๊บ”
จู่ๆ ทาฮิร่าก็ทำจานที่ถืออยู่หล่นแตก
“ว้าย”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม ซุ่มซ่ามมาตลอดสามพันปี”
“หยุดพูดไปเลย ...นี่เสมือนเป็นลางไม่ดี ต้องมีอันตรายอะไรแน่ๆ” ฉุกใจถึงแนนนี่ รู้สึกห่วงหลานสาว “แนนนี่”
แนนนี่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเลือกชุดที่จะไปทำงาน ทั้งที่จะออกไปสมัครงาน ดูเรียบร้อยสวยสมวัย ทาฮิร่าเดินเข้ามา
“ยาย...ช่วยแนนนี่เลือกชุดไปทำงานหน่อยค่ะ”
ทาฮิร่าอดขำไม่ได้ “ยังไม่ได้ไปสมัครงานเลย เลือกชุดไปทำงานแล้ว
“เดี๋ยวปีเตอร์มารับไปยื่นใบสมัครค่ะ”
ปีเตอร์เข้ามา แต่งตัวเรียบร้อย หล่อเนี้ยบเป็นพิเศษ แต่ไม่ได้ใส่สูทผูกไทด์
“มาแล้วจ้า...” เห็นชุดที่แนนนี่เลือก “ชุดสวยจัง”
“ชุดไปทำงาน” แนนนี่บอก
“ยังไม่ได้สมัครเลย” ปีเตอร์งง
“พูดเหมือนยายเปี๊ยบเลย เตรียมไว้ก่อนซี”
“ถ้าเขาไม่รับล่ะ”
“มันต้องมีที่ไหนรับสักแห่งแหละน่า คนอย่างแนนนี่ไม่มีเตะฝุ่นนานอยู่แล้ว ไป..ไปเลย พี่ธานีเป็นคนตรงเวลากว่านาฬิกา”
ทาฮิร่าห่วงว่าจะมีอันตรายกับแนนนี่ “ยายไปด้วย”
“ดีจัง ปีเตอร์มีสาวให้จับตัวไปขายสองคนเลย” ปีเตอร์เย้ายายหลาน
ทาฮิร่ากลับชอบใจคิดเอาเองว่าปีเตอร์ชมว่าสาว จึงทำท่าสาววัยใสขึ้นมา
“อุ๊ย พ่อเปอร์ตี้ พูดจาน่าเอ็นดู๊...”
แนนนี่กระซิบทาฮิร่า “ห้ามสะกดจิตเขารับแนนนี่เข้าทำงานนะคะ แนนนี่อยากได้ด้วยฝีมือตัวเอง”
ทาฮิร่ากระซิบตอบ “แนนนี่จะโชว์ฝีมือสะกดจิตเขาเอง”
“ยายอ้ะ” แนนนี่ขำ
ปีเตอร์ให้ทฮิร่าาเกาะแขนแบบสุภาพบุรุษ
“เชิญครับคุณยาย”
แนนนี่เล่นด้วย ถอนสายบัว ผายมือให้ยายกับปีเตอร์เดินไปก่อน
“เชิญค่า...”
ทางด้านดารกาแอบดีใจสุดๆ ดารกาพูดกับตัวเอง
“ไม่นึกว่าจะโชคดีขนาดนี้ คนรู้เรื่องเมืองเวทมนต์อยู่ใกล้เราแค่นี้เอง
ดารกาหันมาหา เห็นบาบาร่า ในร่างบานเย็นอาการวุ่นวายใจนิดหน่อยที่หลุดปากชื่อเมืองเวทมนต์ออกไป ดารการับประจบ อ่อยเหยื่อต่อ
“น้องดาไม่ได้ลบหลู่ความเชื่อส่วนตัวของใครนะคะ น้องดายังยืนยันไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ”
บาบาร่าของขึ้น ปรี๊ดขึ้นมาอีก ไม่ได้โกรธดารกา แต่อยากแสดงว่าตัวเองรู้จริง!
“ยังไงๆ คุณน้องดาก็ไม่เชื่อป้าใช่ไหมคะ”
“น้องดากำลังจะบอกว่า หากเป็นคนอื่นพูด น้องดาไม่เชื่อค่ะ แต่เป็นป้าบานเย็น น้องดาต้องรับฟัง”
แม่มดสามพันปีผู้บ้ายอ เป็นปลื้ม เดินยืด
“แล้วน้องดาเชื่อป้าบานเย็นได้แน่ใช่มั้ยคะ น้องดาไปบอกใครๆ ว่าเรื่องนี้มีจริง แล้วน้องดาจะไม่หน้าแตกใช่มั้ยคะ”
บาบาร่าพูดน้ำเสียงหนักแน่นมาก “ไม่มีวันแตกแน่นอนที่สุดค่ะ”
“แปลว่า....” ดารกาทอดระยะ กะว่าบาบาร่าต้องตกหลุมแน่
“ป้าจะพาคุณน้องดาไปดูค่ะ”
ดารกาเนื้อเต้น ดีใจสุดๆ โดยไม่ได้เสแสร้ง
บานเย็นเดินถือผ้าเช็ดหน้าสวยๆ จะผูกตาดารกา
“ต้องผูกตาก่อนนะคะ”
“ยังไงก็ได้ทั้งนั้นค่ะ น้องดาตื่นเต้นมาก อยากไปเร็วๆ” ดารกาเนื้อเต้น ยินดีอย่างไม่เสแสร้ง
บาบาร่าผูกตาดารกาเสร็จ ใบหน้าดารกาดีใจเอามากๆ
บาบาร่าดีดมือ เปลี่ยนเป็นชุดแม่มดบาบาร่า กำลังจะดีดมือเรียกไม้กวาด
เสียงภวัตพูดอย่างอารมณ์ดีเข้ามา “น้องดา เล่นอะไรอยู่หรือครับ”
ดารกาเปิดผ้าผูกตารวดเร็ว บาบาร่าตกใจดีดมือ ชุดเปลี่ยนเป็นชุดคุณแม่บ้านบานเย็น ทันเวลาฉิวเฉียดก่อนที่ดารกาจะได้เห็น
ภวัตสะดุดใจว่ามีอะไรวับๆ ที่บ้านบานเย็น ตอนเปลี่ยนจากชุดแม่มด แต่เร็วมากจนอาจดูเป็นแสงสะท้อน
“เอ๊ะ ป้าบานเย็น...”
บาบาร่ายืนแบ๊วอินคาแร็คเตอร์แม่บ้านบานเย็นหน้าตาใสซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์มาก
ขณะมองจ้องหน้า ภวัต เริ่มนึกถึงภาพเหตุการณ์วับๆ ตอนที่ภวัตเห็นบาบาร่า 2-3 ครั้งที่เมืองแม่มด
“พี่ภวัต”
เสียงเรียกของดารกา ปลุกภวัตจากภวังค์ ที่จ้องมองบานเย็น และคิดว่าน่าจะไม่ใช่แม่มดที่เคยเห็น
บาบาร่าบานเย็นยังตีหน้าซื่อตาใส ดารกาขยับถึงตัวภวัต ภวัตหลุดจากภวังค์ ยิ้มให้ดารกา
“น้องดามานานแล้วเหรอครับ”
“ไม่นานค่ะ”
ภวัตกับดารกาเดินออกไป บาบาร่าถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ความลับคุณแม่บ้านบานเย็นหวิดแตก”
ภวัตหันมองบานเย็นอีกครั้งอย่างคาใจ บาบาร่าสะดุ้ง รีบยิ้มให้ ภวัตยิ้มรับ เดินไปต่อ
บานโล่งอก แล้วมีอะไรที่เคยค้างคาใจผุดขึ้นมา
“แต่คุณหมอภวัตนี่...นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสักทีว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า นึกจากเมืองมนุษย์ไปเมืองแม่มด จากเมืองแม่มดมาเมืองมนุษย์ก็ยังนึกไม่ออก แปลกจริงๆ”
ไทเกอร์โผล่ฟึ่บมาแขวะทันที “ไม่แปลกหรอก ก็หัวขี้เลื่อยน่ะสิถึงนึกไม่ออก”
“อาหารมื้อเย็น ฉันจะทำเนื้อแมวย่างให้แกกิน ไอ้ไทเกอร์”
“พูดความจริงก็โกรธ จะพูดเท็จไทเกอร์ก็อายปาก”
บาบาร่าโกรธจนลมออกหู “ไอ้ไทเกอร์ !!!”
ไทเกอร์หายวับไป
เวลาต่อมาภวัตขยับกล่องขนมไปวางไว้อีกที่
“ฝากน้องดาจำให้พี่ด้วยนะครับ กล่องนี้ให้ที่บ้านน้องดา”
“เดี๋ยวน้องดาถือไปเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่จะเดินไปส่งน้องดาอยู่แล้ว”
ดารกาสุดจะปลื้มมองภวัตอย่างรักมากมาย
“ป้าบานเย็นครับ”
“ขา....” บาบาร่าบานเย็นเดินเข้ามา
“อยากเลี้ยงกุ้งเผาน้องดา” หันมาพูดกับดารกา “พี่จำไม่ผิดใช่มั้ยครับ น้องดาชอบทานกุ้งแม่น้ำเผา”
ดารกาใจละลายสุดๆ คิดในใจช่างแสนดี น่ารักน่าหลงเหลือเกินพี่ชายแสนดีคนนี้
“ค่ะ” ดารกามองภวัตไม่วางตา
ภวัตควักหยิบเงินส่งให้ “รบกวนนะครับ ขอปลากะพงด้วย ป้าบานเย็นอยากทานอะไรเป็นพิเศษซื้อมาเลยนะครับ”
“ค่ะ” บาบาร่าเดินออกไป
ภวัตหันกลับ ดารกายังมองตาหวานฉ่ำ ตกอยู่ในห้วงเหวแห่งรัก
“น้องดาครับ”ภวัตเห็นดารกานิ่งจึงเรียก
ดารกาสะดุ้ง “คะ”
“คิดอะไรเพลินเลย”
ดารกาเขิน
เวลาต่อมา มาลีอยู่ที่แผงปลาในตลาดสด กำลังช่วยลูกค้าเลือกปลา ชี้ชวนให้ซื้อ บาบาร่ในคราบบานเย็น กำลังเลือกกุ้ง ปู ปลา อยู่อีกแผง ยังห่างจากมาลีพอประมาณ เมื่อ เลือกของที่ต้องการให้แม่ค้าชั่ง ระหว่างรอแม่ค้า บานเย็นเดินมองซื้อผักซื้อ ไปทำน้ำจิ้ม
บาบาร่าบานเย็นเดินมาใกล้มาลีพอประมาณ หยุดกึกทันใด หน้าตาเข้มเครียดแบบเจอเรื่องคอขาดบาดตาย ใบหน้าตื่นตระหนก
“กลิ่นอสูร !!”
บาบาร่ในร่างแม่บ้านบานเย็นทำจมูกฟุดฟิด สูดกลิ่นทางโน้นทางนี้ แต่เพราะลมยังหวนไปมา กลิ่นยังอยู่ทิศทางที่ไม่แน่นอน บาบาร่าแอบทำมือร่ายคาถา
“ลมจงนิ่ง”
บาบาร่า ตะลึงรู้แล้วว่ากลิ่นมาจากทางไหน หันขวับไป แล้วเห็นมาลีกำลังขายปลาง่วน ทักทายพูดจาเล่นหัวอย่างสนิทสนมกับคนซื้อที่ผ่านไปมาบ้าง สัญญาณบ่งชี้บางอย่าง ทำให้บาบาร่ารีบรุดเข้าสำรวจมาลี
บาบาร่าตาลุกวาวแบบเจอศัตรูคู่แค้น จะไปที่มาลี แต่มีเสียงเรียกไว้
“ได้แล้วค่ะคุณ พันสามร้อยเจ็ดสิบค่ะ”
บาบาร่าเซ็ง หันกลับไปจ่ายเงิน รอตังค์ทอน โดยสายตายังคอยมองไปที่มาลี
“รู้จักแม่ค้าปลาคนนั้นมั้ย”
แม่ค้ามองตามบาบาร่าบานเย็นชี้ “อ๋อ...นังมาลี เมียไอ้ดับ มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“บ้านเขาอยู่ไหน”
แม่ค้าบอกที่อยู่มาลี บาบาร่ายิ้มพอใจ บาบาร่าจะเดินไปที่มาลีอีก โดยยังไม่ได้เอาเงินทอน แต่ต้องชะงักกึก เมื่อตรงหน้าบาบาร่าตอนนี้คืออสูรในร่างสดับยืนอยู่
บาบาร่าตกตะลึงตาค้าง แทบไม่มีเสียง “อะ...อสูร !!!”
สดับเดินไปอีก 2-3 ก้าวแล้วหยุดกึกทันใด สูดจมูกฟืดๆ แล่วหันขวับมาทางบาบาร่า อสูรสดับจ้องบาบาร่าตาดุ มองอย่างสำรวจ ใบหน้านิ่ง บาบาร่าจ้องสดับ หวาดระแวง แต่คุมอาการอยู่ ไม่ท้าทาย สดับจ้องตอบ
ทั้งสองคนจ้องมองกัน จังหวะนั้นอสูรสดับเห็นร่างของบาบาร่าที่ซ่อนอยู่ใต้รูปลักษณ์บานเย็น
บาบาร่าบานเย็นแล้วค่อยๆ กลายเป็นบาบาร่าเครื่องแต่งกายแม่มดเต็มยศ แล้วสักครู่กลายกลับมาเป็นบานเย็นตามเดิม
แม่ค้าร้องเรียกอยู่นานแล้ว “คุณคะ คุณคะ คุณลืมตังค์ทอนค่ะ”
บาบาร่าบานเย็นรีบหันกลับไปที่แม่ค้ารับเงินทอนแล้วเดินไป อสูรสดับยังมองตาม หน้าตาดุ อย่างครุ่นคิด
ที่มุมลับตาในตลาดแห่งนั้น บาบาร่ารีบร้อนเข้ามาแล้วหายตัวไป
ค่ำคืนนั้นภวัตเดินมาส่งดารกาที่หน้าตึกบ้านปัทมน ถือกล่องขนมมาด้วย ภวัตส่งกล่องขนมให้ดารกา
“พี่ส่งแค่นี้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ วันนี้น้องดาทานอิ่มแปร้เลย”
“อย่าลืมคิดเรื่องที่คุยกันด้วยนะ”
“ค่ะ”
ภวัตเดินออกไป ดารกามองตาม สีหน้าแวววตารักใคร่หนักหนา พรเดินเข้ามา
“ของทานหรือเปล่าคะ พี่พรเอาไปแช่ตู้เย็นให้มั้ยคะ”
เมื่อคนเดียว ประกายตาดารกาฉายแววร้ายกาจออกมา สีหน้าหมายมาดอะไรบางอย่าง ดารกาส่งกล่องขนมให้พร
“ขอบคุณค่ะของแนนนี่ พี่ภวัตซื้อมาฝาก”
พรรับกล่องไป
คืนเดียวกันบาบาร่าในชุดแม่มด เดินพล่านรออย่างจดจ่อ รอมานานแล้ว
“ไปไหนของเค้าเนี่ย”
ทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้น
“โอ๊ย...ยัยทาฮิร่า เที่ยวไกลเหลือเกินนะยะ ฉันร้อนใจจนอกจะระเบิดอยู่แล้ว”
“เรื่องอะไร”
“ฉันเจออสูร” บาบาร่าทำเสียงตื่นเต้นโครตๆ
“ฮะ เธอก็เจออสูรแล้วเหรอ” ทาฮิร่าแปลกใจ แต่ไม่ตกใจ เพราะเคยเจอแล้ว
บาบาร่าหุบยิ้มทันควัน “อ้าว เธอเคยเจอแล้วงั้นเหรอ”
ทาฮิร่าอึกอัก พูดเลี่ยง “ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันตกใจจนพูดผิดพูดถูก เธอเจอที่ไหน”
“ที่ตลาด”
ทาฮิร่าบ่นงึมงำ ไม่ให้บาบาร่าได้ยิน “ตัวเดียวกันแน่”
บาบาร่ามองทาฮิร่าเขม็ง อย่างจ้องจับผิด
“แน่ใจนะว่าเธอไม่เคยเจออสูร ไม่ใช่เจอแล้วปิดบังฉัน เพราะเท่ากับเธอปิดบังพี่น้องแม่มดพ่อมดของเรา เธอคือผู้ทรยศ! เธอจะถูกลงโทษขั้นสูงสุด” บาบาร่ายกกฎเมืองเวทย์มาขู่
“ไม่ ไม่ ฉันไม่เคยเจอ” ทาฮิร่าหันหน้าหนีมาแอบพูด “แค่เคยแอบไปที่สำนักของมันแค่นั้น”
บาบาร่าจ้องทาฮิร่าอย่างไม่เชื่อใจ แต่ทาฮิร่าควบคุมสีหน้ากิริยานิ่งไว้เต็มที่
“ฉันไม่เชื่อเธอเลยทาฮิร่า แต่ฉันยังจับโหกเธอไม่ได้แค่นั้นเอง ระวังไว้ก็แล้วกัน ฉันไม่วางมือจากเธอแน่”
ทาฮิร่าคุมสีหน้าเต็มที่ ไม่ได้กลัวบาบาร่า แต่รู้สึกผิด
ส่วนดารกากำลังนั่งฝันหวานอยู่บนเตียง ใบหน้าสุขล้ำ ดารกานึกถึงสิ่งที่พูดคุยกับภวัต เมื่อช่วงหัวค่ำ ที่ผ่านมา
“น้องดาเลือกหรือยังครับว่าจะเป็นเรซิเดนซ์ที่รงพยาบาลไหน”
“ยังเลยค่ะ”
“จริงๆ พี่อยากให้น้องดาพิจารณาโรงพยาบาลของพี่หมอไชยเหมือนกันแต่...” ทิ้งระยะค้างไว้อย่างเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย
“น้องดาเข้าใจค่ะ และไม่โกรธทางนั้นด้วย หากเขาไม่รับน้องดา”
“โรงพยาบาลของพี่หมอไชยเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ทันสมัยที่สุดในภาคพื้นเอเชีย พี่อยากให้น้องดามีประสบการณ์ที่นั่น หากน้องดาจะทบทวน พี่จะพูดกับพี่หมอไชยและบุษ”
“สองคนนั้นเขาคงเกลียดน้องดาไปจนวันตายละค่ะ”
ภวัตนิ่งอึ้ง รู้เรื่องดี
“แต่น้องดาอยากอยู่โรงพยาบาลเดียวกับพี่ภวัต น้องดาจะลองคิดดูนะคะหากน้องดาขอขมาเขาแล้วเขายอม น้องดาก็ยินดีจะขอขมาค่ะ”
“ต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
ดารกานิ่งไป
นึกมาถึงตอนนี้แล้วความสุขยังฉาบที่ใบหน้าดารกาเด่นชัด
“ความรักทำให้น้องดายอมทุกอย่างค่ะพี่ภวัต”
“ดารกา...”
จังหวะนั้นเสียงอสูรสดับเรียก ดารกามีสีหน้าขรึมลง
วันนี้ทั้งวัน แนนนี่สอดสร้อยกันอสูร เพราะวันนี้ไปสมัครงาน จึงแต่งตัวเรีบร้อย ไม่ใส่เครื่องประดับ
เวลานั้น แนนนี่กับปีเตอร์ทานเพิ่งอาหารเย็นเสร็จ ลุกจากโต๊ะ ผาดเข้าไปเก็บจานชาม แนนนี่ไหว้ขอบคุณแบบวัยรุ่น ย่อเข่าผลุบผลับ ปีเตอร์พลอยไหว้ไปด้วย
“ขอบคุณค่ะน้าผาด” / “ขอบคุณครับน้าผาด”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไหว้ทุกมื้อ น้าชักจะผมร่วงไปทุกวัน”
“งั้นให้น้าผาดไหว้คืนครับ” ปีเตอร์จอมเว่อร์ว่า
แนนนี่รีบลากปีเตอร์ออกไป “พูดงี้ เก็บปากไว้กินหนมเหอะ”
พรถือจานขนมไปวางให้ที่มุมนั่งเล่น แล้วไปช่วยผาดเก็บโต๊ะ
“คุณภวัตซื้อฝากคุณแนนนี่ค่ะ”
“เย้” แนนนี่รีบกินเลย “ทานสิปีเตอร์ อร่อยมากมาย”
“ขนมอะไร ไม่รู้จัก”
“ไม่ต้องรู้จักหรอก รู้ว่ากินได้ก็พอ”
แนนนี่กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชิ้นต่อชิ้น แทบไม่ไม่หยุดปาก
“กินทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆคุณหนูแนนนี่”
“แน่น้อน...โดยเฉพาะอะไรที่เป็นของพี่ภวัต อร่อยที่สุดในโลก”
ทันใดนั้น แนนนี่เริ่มรู้สึกผิดปกติ เหมือนถูกวางยา ร้อนไปทั้งตัวราวโดนไฟเผา กินเข้าไปเยอะแล้วด้วย
“พี่ภวัตเอาอะไรให้แนนนี่กิน”
ปีเตอร์อ้าปากจะกินขนมคำแรก
แนนนี่ร้องลั่น “อย่า!!!!!”
แนนนี่ฟาดหลังปีเตอร์ แรงด้วยพลังแม่มดที่ออกมาโดยยังบังคับไม่ได้ ปีเตอร์กระเด็น สำลัก ขนมกระเด็นออกจากปาก เพราะขนมชิ้นนั้นสัมผัสปาก ลิ้น คอไปแล้ว แต่ยังไม่ทันกลืน แต่พิษไม่ร้ายแรงต่อปีเตอร์ เพราะเป็นคนธรรมดา
แนนนี่โดนพิษหนักมาก สลบตกจากโซฟา ปีเตอร์เริ่มเบลอ แต่ยังมีสติ ช้อนรับร่างแนนไว้ให้ตกลงบนร่างของตัวเอง
ปีเตอร์ตกใจ “แนนนี่...”
แนนนี่และปีเตอร์สลบไปทั้งคู่ ปีเตอร์ยังกอดแนนนี่ไว้แน่น
ผาดพรวี๊ดว๊ายกันลั่น พรหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก
“ในขนมมีอะไร คุณแนนนี่กับคุณปีเตอร์จะตายมั้ย” ร้องไห้ด้วยความกลัว
“โทร.เรียกรถพยาบาลเร็วนังพร” ผาดตั้งสติแล้วรีบบอกพร
ธานีกับรัดเกล้าเข้ามา ตกใจสุดๆ กับภาพที่เห็น ธานีทิ้งของทั้งหมดวิ่งไปที่น้อง รัดเกล้าวิ่งตามไปช่วย
“แนนนี่!!!”
อ่านต่อหน้า 4 ณ บัดนาว
คำชี้แจงทีมงาน ละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว จบ 21 ตอนทีวีนะจ๊ะ ไม่ใช่ 21 ตอนตามละครออนไลน์ หมายถึงว่า ตอนที่อัพให้อ่านอาจยาวไปถึง 23-24 ตอน โปรดรับทราบโดยทั่วกัน
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 21 (ต่อ3)
ทาฮิร่ารับรู้เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับหลานสาว จู่ๆ ก็สะดุดล้มฟาดลงกับพื้นสนามหญ้า บาบาร่าตกใจเหมือนกันรีบช่วยพยุงเพื่อนเลิฟขึ้นมา
“เป็นอะไรน่ะ จู่ๆ ก็ล้ม ฉันไม่ได้ใช้คาถาผลักเธอนะ” บาบาร่าออกตัว
“ฉันหนาวๆร้อนๆยังไงไม่รู้” นึกขึ้นมาได้ “แนนนี่ แนนนี่เป็นอะไรหรือเปล่านี่ เมื่อกลางวันฉันทำจานแตก”
พูดเท่านั้นร่างทาฮิร่าก็หายวับไป
ทางด้านผาดและพรหน้าตาวิตกอย่างมาห จานขนมยังวางที่เดิมทาฮิร่าเดินเร็วเข้ามา ผาดและพรวิ่งไปหาทันที
“คุณยาย...คุณแนนนี่”
ทาฮิร่าเหมือนใจจะขาด
“แนนนี่อยู่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลของคุณหมอภวัตค่ะ” ผาดบอก
ทาฮิร่าจะไปแต่ก็ชะงัก เมื่อรู้สึกถึงพลังร้าย ทาฮิร่าหันมามองหา ทาฮิร่าเห็นจานขนมก็รู้ว่า พลังร้ายมาจากจานขนม ทาฮิร่าเดินไปที่จานขนม แล้วใช้สองมืออังเหนือจานขนม ทาฮิร่าสัมผัสได้ถึงพิษอันแสนร้ายกาจจนแทบช็อก!
“ว่านพิษ...ว่านดรรชนีอสูร ...แนนนี่” ทาฮิร่าเสียงสั่นเครือ แล้วหันไปถามผาดกับพรว่า
“ใครเอาขนมนี่มา”
“คุณหมอภวัตซื้อมาฝากคุณแนนนี่ค่ะ คุณปีเตอร์ก็โดนค่ะ” พรบอก
ทาฮิร่าหน้ายิ่งเครียดขึ้นกว่าเดิม รีบเดินออกไปพอลับสายตาผาดกับพร ทาฮิร่าก็หายตัวไปในบัดดล
ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำที่บ้านแนนนี่ แนนนี่ยังคงนอนอ่อนระโหยโรยแรงอยู่บนเตียง โดยมีภวัต ธานี และดารกาอยู่รายรอบ
ภวัตมองแนนนี่ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“อาการค่อนข้างหนักขนาดนี้น่าจะให้ Admit มากกว่า” ธานีบอก
“เออน่า! กลับมาแล้วก็แล้วกัน บ่นเป็นตาแก่ไปได้” รัดเกล้าว่า
“อ้าว ! ไหงพูดยังงี้ล่ะ แนนนี่เป็นน้องพี่นะ”
“แนนนี่ก็เป็นน้องเกล้าเหมือนกัน” รัดเกล้าตอบ
“ช่วยกรุณาออกไปทะเลาะกันข้างนอกได้ไหม” ภวัตโพล่งขึ้นน้ำเสียงเครียด
ธานีและรัดเกล้านิ่งเงียบ แต่ไม่วายแยกเขี้ยวยิงฟันขมุบขมิบปากใส่กัน
“พี่ภวัตจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนก็ได้นะคะ ... น้องดาจะเฝ้าแนนนี่ให้” ดารกาบอก
“ดีเหมือนกัน ตอนนี้คงยังไม่มีอะไร ... เดี๋ยวพี่มา”
ภวัตแตะหน้าผากแนนนี่อย่างอ่อนโยน ดารกาก้มหน้าลงเล็กน้อยทั้งสีหน้าและแววตาถมึงทึง เกล้ามองเห็นเข้าพอดี
ภวัตก้มลงกระซิบเบาๆกับแนนนี่
“เดี๋ยวพี่มาเขานะจ๊ะแนนนี่”
ภวัตเงยหน้าขึ้นมองดารกา
“พี่ฝากแนนนี่ด้วยนะน้องดา”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” ดารกาตอบน้ำเสียงอ่อนโยน
ภวัตเดินออกไป ดารกาหันไปพูดกับรัดเกล้าและธานี
“พี่ธานีกับพี่เกล้าจะทำธุระอะไรก็เชิญนะคะ”
“งั้นพี่จะไปทำธุระก่อนนะจ้ะ .... เดี๋ยวจะได้มาเปลี่ยนให้น้องดาพักบ้างไป ...พี่ธานี” รัดเกล้าพูดแล้วจับข้อมือธานีเดินออกไป
ธานีตั้งท่าจะปฏิเสธ
“พี่”
“ไปเถอะน่า” รัดเกล้าบอกพลางขยิบตา
รัดเกล้าจูงธานีออกไป ดารกามองตามทุกคนด้วยสีหน้าอ่อนโยนใสซื่อ แล้วหันกลับมา เมื่อประตูปิดเท่านั้นแหละ สีหน้าของดารกาก็ดูน่ากลัวขึ้นทันที ดารกาจ้องร่างไร้สติของแนนนี่
“นังแนนนี่ แกตายแน่”
ภวัตเดินเข้ามาในบริเวณสวน ภวัตมองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น
“คุณยายครับ ผมรู้ว่า คุณยายอยู่ที่นี่ ช่วยกรุณาออกมาหน่อยได้มั้ยครับ”
ทาฮีร่าปรากฏขึ้นพร้อมชิกเก้น
“ขออภัยนะคุณหมอที่ชิกเก้นมาโดยไม่ได้รับเชิญ ...ชิกเก้นมาทำหน้าที่ล่ามประจำตัวคุณยายทาฮีร่า ... นางไม่ค่อยมีเสียง เวลานี้ไปไหนเลยต้องห้อยไปด้วยกัน ...เวรก๊ำ ...เวรกรรม” ชิกเก้นบอก
“ไม่เป็นไร .. คุณยายครับ ... เรากำลังรอผลการตรวจสารพิษจากห้องLab อยู่ ... คิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงรู้” ภวัตว่า
“รับรองว่าหาไม่พบหรอก” ชิกเก้นบอก
“ฉันยังไม่ได้ทำท่าเลย ไอ้ชิกเก้น”
“ชิกเก้นพูดเองเพื่อประหยัดเวลา”
ทาฮิร่าทำมือไปมา แล้วชิกเก้นแปล
“มันชื่อว่านดัชนีอสูร”
“แล้วพอจะมีทางแก้มั้ยครับ” ภวัตถาม
ทาฮิร่าทำมือ ...
“ปัญหาทุกปัญหามีทางแก้ฉันใด.... อาการเจ็บไข้ได้ป่วยจากว่านดัชนีอสูรก็ย่อมฉันนั้น”
“ฉันไม่ได้พูดยาวขนาดนี้” ทาฮิร่าบอกชิกเก้น
“ชิกเก้นพูดเอง ....’ไรเองเพื่อขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
“แล้วจะแก้ยังไง”
ทาฮิร่าทำท่า แต่ชิกเก้นแปลก่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
ทาฮิร่าชะงัก
“นางจะปรุงยามารักษาเอง”
“ไอ้ชิกเก้น ฉันพูดไปแล้ว” ทาฮิร่าบอก
“ถ้าอย่างนี้ผมก็ค่อยเบาใจ”
ทาฮีร่าทำท่าทาง
“ยังเบาไม่ได้ เพราะอสูรมันยังมีไม้เด็ดอีกมากมายนัก”
ทาฮิร่าทำท่าพยักเพยิดให้เข้มแข็ง
ภายในบริเวณห้องรับแขก ธานีกับรัดเกล้าคุยกันอยู่
“ฮื้อ” ธานีร้องขึ้นอย่างไม่เชื่อในเรื่องที่รัดเกล้าเล่าให้ฟัง
“จริงๆ นะพี่ธานี เกล้าตาไม่ฝาดแน่ นัยน์ตาน้องดาน่ะประสงค์ร้ายกับแนนนี่จริงๆ” รัดเกล้ายืนยัน
ธานีถอนใจยาวอย่างสับสน
“เป็นไปไม่ได้”
“อ้อ หาว่าเกล้าใส่ร้ายละซี”
“พี่รู้ว่า เกล้าไม่มีวันจะใส่ร้ายทั้งน้องดาแล้วก็แนนนี่เด็ดขาด เพราะเกล้าก็คือว่าที่สะใภ้”
รัดเกล้าทุบธานี
“ นี่แน่ะ”
ธานีหัวเราะชอบอกชอบใจ
แนนนี่ยังคงนอนหลับหมดสติอยู่ในห้อง ดารกาทรุดตัวลงนั่ง แล้วจับคางแนนนี่พลิกตัวไปมาไม่ปราณีปราศรัย
“ดูไร้พิษสงเชียวนะ ตอนนี้”
“ดารกา ....ดารกา” เสียงอสูรดังเรียก
ดารกาชะงักเงยหน้าขึ้น
“มาพบพ่อ ... มาพบพ่อ .... มาพบพ่อ”
ดารกาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูและเปิดออกไปเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง ดารกาเดินไปที่หน้าต่าง ลมพัดมาวูบหนึ่งแล้วร่างดารกาเลือนหายไป
บรรยากาศภายนอก พายุฝนตกแรง
อสูรสดับนั่งอยู่หน้าแท่น รอดารกา
แนนนี่ยังหลับสนิทด้วยพิษไข้ ภวัตเปิดประตูห้องก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ภวัตแปลกใจที่ไม่เห็นดารกา
“น้องดาหายไปไหน”
แนนนี่ขยับตัว .... ครางเบาๆ ด้วยพิษไข้ ภวัตรีบเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ... จับมือแนนนี่ขึ้นมากุมไว้
“แนนนี่”
แนนนี่เพ้อจากพิษไข้
“แม่ .... แม่จ๋า ...ถ้าแม่ไม่รักแนนนี่แล้วแม่มี แนนนี่ทำไม”
สีหน้าภวัตแววตาเต็มไปด้วยความรักความสงสาร
“แนนนี่รักแม่ ... แนนนี่อยากเห็นแม่”
“แนนนี่ไม่เป็นไรนะ พี่ภวัตอยู่นี่แล้ว” ภวัตบอก
แนนนี่เริ่มกระสับกระส่าย ภวัตช้อนหลังแนนนี่ขึ้นมากอดไว้ราวกับจะให้ไออุ่น
อสูรลุกขึ้นยืนช้าๆ ... เดินมาหยุดตรงหน้าดารกา
“มองหน้าพ่อซิ”
ดารกาไม่กล้าเหลือบแลขึ้นมองหน้าอสูร
“บอกให้มองหน้าพ่อ”
ดารกาเงยหน้ามอง ... อสูรสีหน้าแววตาผิดหวัง
“เจ้ามีความรัก”
ดารกาก้มหน้าลงอีก
“ความรักคือจุดอ่อนของเจ้า เพราะฉะนั้น ... เจ้าต้องเลิกรัก”
“เราสามารถละเลิกรักได้ด้วยหรือจ้ะ”
“สำหรับเจ้า .... ไม่ได้ก็ต้องได้ ไม่เช่นนั้นพ่อจะต้องกำจัดผู้ชายที่เจ้ารัก”
“อย่านะ” ดารกาน้ำเสียงตกใจ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ต้องตัดใจจากมัน”
ดารกากัดฟันด้วยความขมขื่นใจสุดๆ
ในห้องแนนนี่ ภวัตยังคงกอดแนนนี่แนบอก
“พี่ภวัต .... แนนนี่รักพี่ภวัต” เสียงแนนนี่พึมพำ
“พี่ภวัตก็รักแนนนี่” ภวัตพูดขึ้นอย่างลืมตัว
ประตูเปิดเข้ามาอย่างช้า ๆโดยที่ภวัตไม่รู้ตัว ดารกาก้าวเข้ามา ยืนตัวแข็งเมื่อเห็นภาพที่ภวัตจูบหน้าผากแนนนี่
“ได้ยินหรือเปล่าว่าพี่ภวัตก็รักแนนนี่”
เสียงประตูกระแทกดังปัง ภวัตสะดุ้ง แล้วหันกลับไปมองห้องว่างเปล่าไม่มีใคร ประตูปิดสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภวัตค่อยๆ วางแนนนี่ลง แล้วเดินไปที่ประตู เปิดออกไปดู
ภวัตก้าวออกมา เช่นเดียวกับธานี
“เมื่อกี้เสียงอะไร”
“ไม่รู้ ! ฉันได้ยินเหมือนคนกระแทกประตูดังปัง”
ประตูห้องดารกาถูกเปิดออก ดารกาก้าวออกมา ในมือมีตำรา 2-3 เล่ม
“เสียงอะไรหรือคะ” ดารกาถามขึ้น
“น้องดาไปไหนมา” ภวัตถาม
“น้องดาเห็นแนนนี่ยังหลับสนิทก็เลยเข้ามาเอาหนังสือจะไปดูในห้องแนนนี่”
“แปลก .... เสียงออกดังสนั่น แต่ไม่ยักมีร่องรอยอะไร”
ภวัตเดินกลับไปในห้องแนนนี่ ดารกาและธานี เดินตามเข้าไป ทั้ง 3 คนเดินเข้ามาที่เตียงแนนนี่ ธานีแตะหน้าผากน้อง
“ตัวยังร้อนอยู่เลย”
“เดี๋ยวฉันจะให้กินยาลดไข้ ... คืนนี้คงต้องขอนอนโซฟาห้องรับแขก เพราะถ้าแนนนี่มีอาการเปลี่ยนแปลงยังไงจะได้ขึ้นมาดู” ภวัตบอก
“อุ๊ย ! เกรงใจพี่ภวัตค่ะ ... น้องดาคิดว่าตอนนี้คงไม่มีอะไรแล้ว น้องดาจะนอนเฝ้าไข้แนนนี่เอง ถ้าหากมีปัญหาอะไร น้องดาจะโทร.ตามพี่ภวัตทันทีค่ะ” ดารกาบอกอย่างมีแผน
“ปนอนเถอะภวัต ขอบใจที่มาช่วยดูแลแนนนี่” ธานีบอก
ภวัตเบือนหน้าไปมองแนนนี่อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ดารกาลอบมองด้วยแววตาริษยา
ทาฮิร่ากำลังปรุงยาอยู่ในตะเกียง โดยมีชิกเก้นหมอบดูและทำเสียงพากษ์อยู่
“หนอนกระสือ 10 ตัว”
“ไม่ต้องพากษ์ไอ้ชิกเก้น”
“ชิกเก้นแค่จะเตือนความจำว่า คุณยายใส่อะไรเข้าไปบ้าง”
“ฉันจำได้น่า .... เอาละ .... เสร็จแล้ว”
ทาฮิร่ารินยาจากหม้อใส่แก้วน้ำ ส่งให้ชิกเก้น
“เอ้า ! เอาไปให้แนนนี่”
“แล้วชิกเก้นจะเอาอะไรถือล่ะ คุณย้าย ! เวรก๊ำ ... เวรกรรม ใช้ให้แมวถือของ”
ทาฮิร่าว่าคาถา ชิกเก้นหายไป กลายเป็นธานี แต่ยังทำท่าแมว
“เมี้ยว ! ณ วันนี้ กลายเป็นคุณพี่ธานีหรือนี่ ขืนให้แปลงเป็นคนโน้นทีคนนี้ทีบ่อยๆ วันนึงชิกเก้นต้องลืมแน่ว่าตัวเองเป็นใคร”
“ไม่ต้องบ่น ไปได้แล้ว”
ธานีลอยขึ้นไป
ทาฮิร่าลงนอน
“ไปเสียที ค่อยสบายหูหน่อย”
ประตูห้องพระค่อยๆ เปิดออก ชิกเก้นในคราบของธานี เหลียวซ้ายแลขวา แล้วย่องออกมา ในมือถือยา
“เมี้ยว”
ธานีตัวจริงกำลังเดินขึ้นบันไดมา ชิกเก้นธานีค่อยๆ ย่องไปที่ห้องแนนนี่ ธานีตัวจริงเดินขึ้นมาพอดี ทั้งสองเผชิญหน้ากัน จ้องหน้ากันครู่หนึ่ง
“เวรก๊ำ ... เวรกรรม”
“นั่นถ้วยอะไร”
“ถ้วยยา จะเอาไปให้แนนนี่”
ธานีตัวจริงพยักหน้า
“ดี!”
ครั้นธานีตัวจริงเดินเลยไปก็ชะงักนึกขึ้นได้ ชิกเก้นท์กระโดดแผล็วไปอย่างรวดเร็ว ธานีตัวจริงหันกลับไปมอง
“หรือว่าเราตาฝาด ... หรือว่าเงาของเราแยกตัวออกไป ! คิดบ้าๆ”
ธานีเดินมาเข้าห้อง ชิกเก้นธานีกระโดดแผล็วออกมา
“เมี้ยว!”
ชิกเก้นธานี เดินเข้ามาในห้องแนนนี่ ดารกาหันมามอง ชิกเก้นธานีทำท่าจะเดินกลับ
“เวรก๊ำ .... เวรกรรม”
“พี่ธานี .... นั่นเอาอะไรมาคะ”
ชิกเก้นธานีจำต้องหันมา
“ เมี้ยว ... ยาแผนโบราณ เมี้ยว..ว”
“พี่ธานีไปเอามาจากไหน”
“อ๋อ ! เมี้ยว ! ใครดีล่ะ ..อ๋อ... คุณแม่ปัทมนสั่งไว้ก่อนจะไปปฏิบัติธรรมว่า ใครเป็นอะไรก็ให้กินยานี่”
“อุ๊ย! ไม่ได้หรอกค่ะ ... ขืนให้กินสุ่มสี่สุ่มห้า แนนนี่อาจจะเป็นอันตราย”
“ไอ้ที่เป็นอยู่เนี่ย มันก็อันตรายมากอยู่น่ะให้เสี่ยงรับประทานไปอีกซักถ้วยคงไม่แย่ ...ไม่’ไรไปกว่านี้หรอก”
“เอ๊ะ ! พี่ธานีพูดแปลกๆ”
“พี่ธานีก็ว่าตัวเองแปลกๆเหมือนกัน ... เวรก๊ำ ... เวรกรรม”
ดารกามองอย่างไม่ไว้ใจ
“ถึงยังไง น้องดาก็ไม่ยอมให้แนนนี่กินยาอะไรก็ไม่รู้หรอกค่ะ”
“เมี้ยว ! เอาไงดี”
ทันใดก็มีเสียงเรียกจากหน้าห้อง
“น้องดา ! น้องดาครับ” เสียงภวัตดังขึ้น
ดารกาชะงัก
“เสียงคุณภวิต เอ๊ย คุณภวัต” ชิกเก้นธานีว่า
“น้องดา” เสียงภวัตยังร้องเรียกดารกาจนต้องเดินไปประตู
ที่หน้าประตูดารกาเหลียวมองและเรียกหาภวัต บริเวณนั้นเงียบสนิท แต่ด้านล่างเหมือนมีเสียงคนเดิน ดารกาตัดสินใจเดินตามลงไป
ภายในห้องแนนนี่ ชิกเก้นธานีรีบช้อนคอแนนนี่ขึ้น
“แนนนี่ ! แนนนี่ ! กินยาเร้ว”
แนนนี่ยังดูไม่ได้สติ
“โธ่เอ๊ย! แนนนี่ กินเร็วๆเข้า เดี๋ยวพี่สาวเธอเข้ามา”
“พี่ภวัต” เสียงแนนนี่พึมพำด้วยอาการเพ้อ
“เอ้า ! นี่พี่ธานี เฮ้อ เร็วเข้า กินเข้าไป”
แนนนี่ส่ายหน้าไปมา
“ทำไมแม่ไม่รักแนนนี่ ทำไมแม่ถึงทิ้งแนนนี่ไป”
“โอ๊ย ! แล้วแมวจะรู้มั้ยเนี้ย”
ชิกเก้นธานีพยายามจะป้อนยาให้ได้ แต่แนนนี่ละเมอคร่ำครวญถึงแม่
“แม่ ... แม่จ๋า ....แนนนี่อยากเห็นแม่”
“เห็นแมวไปพลางๆ ก่อนเถอะ กินซะ .... เวรก๊ำ ... เวรกรรม”
บริเวณด้านล่าง ดารกาเหลียวมองไปโดยรอบ
“พี่ภวัต”
ดารกาชะงักทันที นัยน์ตาเป็นประกายว่าบขึ้นมาอย่างน่ากลัว แล้วรีบเดินขึ้นไป ดารกาจะรีบเดินตรงมาที่ห้องแนนนี่ ขณะที่ธานีตัวจริงเปิดประตูออกมาพอดี
“พี่ธานี”
“แนนนี่เป็นยังไงบ้าง”
ดารกาเริ่มแปลกใจ
“ยังไม่ฟื้นคะ เอ๊ะ เมื่อกี้พี่ธานีก็เข้าไปในห้องแนนนี่นี่คะ”
“เฮ้ย !พี่เพิ่งออกมาจากห้องนี้”
“แต่พี่ธานีเอายาไปให้แนนนี่กิน..น้องดายังห้ามไว้เพราะกลัวเป็นอันตราย”
“เฮ้ย !ยาอะไรที่ไหน”
ธานีชะงักนึกถึงเมื่อครู่ที่เจอชิกเก้นธานีถือถ้วยยา
“แย่แล้ว”
ธานีรีบเดินไปที่ห้องแนนนี่ ดารการีบเดินตามทันที ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงักคิดไม่ถึงว่า แนนนี่จะลุกขึ้นนั่ง หน้าตาสดใสกว่าเดิม โดยมีชิกเก้นนอนหมอบอยู่
“แนนนี่”
“แนนนี่หายแล้วหรือ” ธานีถาม
“ค่ะ ... แถมรู้สึกแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย” แนนนี่บอก
“เมี้ยว”
ดารกานิ่งคิดที่เห็นธานีเดินถือถ้วยยาเข้ามา ดารกาฝืนยิ้ม
“หายแล้วก็ดีแล้ว พี่ดาจะได้กลับไปท่องหนังสือที่ห้อง หรือว่าจะให้พี่ดาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”
“นั่นซีนะ แนนนี่เพิ่งจะฟื้น ให้น้องดาอยู่เป็นเพื่อนดีกว่า”
“โอ๊ย ..ไม่ต้องค่ะ แนนนี่หายแล้วจริงๆ ขืนให้พี่ดาอยู่เป็นเพื่อนมีหวังไข้กลับ”
“แนนนี่” ธานีเรียกชื่อเหมือนจะส่งเสียงเตือน
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ธานี น้องดาเข้าใจ พี่ไปละนะจ้ะ แนนนี่”
“เชิญค่ะ โชคดีที่แนนนี่ฟื้นขึ้นมาก่อน” แนนนี่บอก
ธานีถลึงตาใส่แนนนี่ แต่แนนนี่ทำไม่รู้ไม่ชี้
อ่านต่อตอนที่ 22 มาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ อัพเมื่อนั้น