อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 16
ไชยเดินมาถึงหน้าบ้านหลังนั้นแล้วค่อยๆ เปิดประตูบานนั้น มีเสียงดังออดแอดทำให้บรรยากาศยิ่งดูวังเวง และน่ากลัว ไชยค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้อง แล้วมองไปโดยรอบ จนสายตามาหยุดอยู่ที่โต๊ะเครื่องบูชาอสูร
“นี่มันบ้าบออะไรกัน”
ไชยหงุดหงิด รีบหันหลังกลับ แต่ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นอสูรสดับยืนอยู่ตรงหน้า ไชยไม่รู้ว่ามันคืออสูร
“แก!”
ไชยจดจ้องมองอสูรด้วยความระแวง และหวาดๆ
“แกเป็นใคร!”
“อย่ายุ่งกับดารกา” อสูรสดับบอกเสียงเหี้ยม
“แล้วแกมาเกี่ยวอะไรด้วย ...หรือว่าเป็นพ่อ” ไชยทึกทัก
“อย่ายุ่งกับดารกา” อสูรสดับไม่ยอมตอบ
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างพร่างพรายปรากฏขึ้น ร้อนแรงจนไชยต้องหลับตา เอามือป้องหน้าตัวเอง ด้วยความตกใจ สักพักหนึ่ง แสงสว่างนั้นเลือนหายไป ไชยลืมตาสีหน้าพิศวง กับสิ่งที่เจอและพบเห็นเมื่อครู่
บริเวณแห่งนั้นกลับกลายเป็นชุมชนท้ายซอยบ้านสดับตามเดิม ทุกคนในละแวกนั้นต่างดำเนินชีวิตไปตามปกติ
มีเสียงคนทะเลาะกันดังขึ้นมาจากมุมหนึ่ง
“มีเงินละเป็นไม่ได้ ต้องเอาไปเล่นหวย” เป็นเสียงสดับดังด่าขึ้น
“ก็ทีตัวเองเล่นล่ะ” มาลีเถียงกลับ
ไชยเบือนหน้าหันไปมอง เห็นสดับลากมาลีพลาง ทะเลาะกันพลาง ไชยมองสดับ...อ้าปากค้าง
จังหวะนั้นสดับตบมาลีจนหน้าหัน “นี่แน่ะเถียง”
“โอ๊ย!” มาลีร้องลั่นเอามือกุมแก้ม
“ฉันเล่นได้ แต่แกเล่นไม่ได้” สดับสบถ
“เออ! ตบมันเข้าไป เดี๋ยวมันตาย ใครจะหาเลี้ยงเอ็ง” เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตะโกนด่าสดับ
สดับชี้หน้ากราด “ชาวบ้านไม่เกี่ยวเว้ย !”
ว่าแล้วสดับก็ลากมาลี ซึ่งล้มลุกคลุกคลานผ่านหน้าไชยไป โดยไม่มีท่าทีจะรู้จักหรือจำเขาได้
ไชยมองตาม ในขณะที่ชาวบ้านพากันตะโกนด่าสดับดังโหวกเหวก
“ไอ้ดับ! ไอ้คนใจร้าย!”
“เฮ้ย ! เล่นกลเก่งยังกับ เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์แน่ะ !...” ไชยเหลียวมองหาดารกา “แล้วน้องดาหายไปไหน!”
ไชยยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงนั้น
ไชยเดินออกมาจากบริเวณชุมชนนั้น แล้วเดินมาขึ้นรถ ไชยยกมือลูบหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
“สวัสดีค่ะ...พี่ไชย” เสียงดารการับสายใสซื่อ
ไชยละล่ำละลักถาม “น้องดาอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่มหาวิทยาลัยค่ะ...กำลังจะเข้าเรียนเคมี” ดารกาบอก
“อยู่มหาวิทยาลัย น้องดากลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
น้ำเสียงดารกาดูแปลกใจ “... น้องดาไม่ได้ไปไหนค่ะ เมื่อเช้าพี่ธานีขับรถมาส่ง”
“เป็นไปไม่ได้” ไชยเถียงออกไป
“น้องดาต้องปิดมือถือแล้วค่ะ อาจารย์มาแล้ว”
“น้องดา ๆๆ!”
ไชยกดใหม่ แต่มีเพียงเสียงฝากข้อความ ไชยกุมขมับ
“เกิดอะไรขึ้น”
ไชยงงหนัก ฟุบหน้ากับพวงมาลัย
พอมาถึงโรงพยาบาล ไชยก็เดินตรงมาที่ห้องทำงาน เปิดเข้าไป แล้วปิดประตูเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ภาพเหล่านั้นหายไปไชยฟุบหน้ากับฝ่ามือ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา”
เวลาเดียวกันภวัตเดินเข้ามาในห้อง หลังจากไป Sound ward ซาวนด์วอร์ด ภวัตมองบนโต๊ะทำงานด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นแจกันปักดอกกุหลาบอย่างสวยงาม วางอยู่ตรงมุมโต๊ะ
“แนนนี่จัดให้พี่ภวัตเองค่ะ” เสียงแนนนี่ดังขึ้น
ภวัตนิ่วหน้าเล็กน้อย แล้วทรุดตัวลงนั่ง ทำราวกับไม่มีแนนนี่ในที่นั้น
แนนนี่ทำหน้าประจบประแจง เดินมายืนหน้าโต๊ะ
“พี่ภวัตชอบมั้ยคะ”
ภวัตไม่ตอบ แต่นั่งเปิดแฟ้มอ่าน แนนนี่ยังพยายามเอาใจต่อ
“เฉยเมยแบบนี้แสดงว่าอาจจะเบื่อกุหลาบ แนนนี่เปลี่ยนให้ใหม่ก็ได้”
แนนนี่ร่ายคาถา กุหลาบเปลี่ยนเป็นกล้วยไม้
“อุ๊ย! กล้วยไม้สวยจังเลย”
ภวัตยังทำท่าเหมือนอยู่คนเดียวในห้อง
“เอ...กล้วยไม้ก็ยังไม่โดน... แนนนี่รู้แล้ว พี่ภวัตชอบไม้ไทยๆ ...เช่นดอกโมก!”
แนนนี่ว่าคาถา มีกระถางต้นโมกปรากฏขึ้น ภวัตชักสะดุ้งนิดๆ
“ดอกพุดซ้อน” แนนนี่ว่าคาถา กระถางพุดซ้อนปรากฏขึ้น “ดอกแก้ว” แนนนี่ว่าคาถากระถางดอกแก้วปรากฏขึ้นมาทันตา
ภวัตสุดจะทน “แนนนี่!”
แนนดีใจ “พี่ภวัตพูดแล้ว แสดงว่าชอบ” ว่าแล้วแนนนี่ร่ายคาถา ต้นจำปีเอย กระดังงาเอยปรากฏขึ้นหลายๆ กระถาง
จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภวัตหันไปมอง แล้วเบือนกลับมาที่แนนนี่ อ้าปากจะบอกให้เอาดอกไม้ทั้งหลายออกไป
แนนนี่รีบชิงพูดก่อน “แนนนี่รู้ค่ะว่า พี่ภวัตไม่อยากให้ใครเห็นแนนนี่”
แนนนี่หายตัวแวบไป
ประตูเปิดออก บุษบาเดินเข้ามา
“โอ๊ะโอ...คุณหมอหนุ่มผู้รักษ์โลก ! …เอาต้นไม้มาตั้งไว้ในห้องเป็นกระถางเลย”
ภวัตไม่รู้จะพูดหรืออธิบายอะไร “ครับ!”
ระหว่างนั้นแนนนี่ค่อยๆ โผล่มาแอบมองทางหน้าต่าง ขณะบุษบาเดินดมกลิ่นดอกไม้อย่างชื่นอกชื่นใจ
ภวัตหันไปเห็นรีบทำหน้าดุ แล้วทำไม้ทำมือให้แนนนี่กลับไป
บุษบากำลังชื่นชมดอกไม้ หันมาเห็นท่าของภวัต ถามขึ้นทันที “คุณไล่อะไรหรือคะ
“อ๋อ !… เอ้อ…แมลงครับ ! แมลงมันวุ่นวายมาก” ภวัตแก้เก้อ
“เป็นคนธรรมดาค่ะ...ที่ไหนมีดอกไม้ ที่นั่นย่อมมีแมลง...เช่นเดียวกับที่ไหนมีภวัต...ที่นั่นย่อมมีบุษ”
“แหวะ” เสียงแนนนี่ดังแว่วมา
บุษบาชะงัก “เอ๊ะ ! เสียงใครคะ”
“เสียงผมครับ ผมกระแอม...แอะๆ อะแฮ้ม”
“ภวัต ถ้าไม่ว่าอะไร บุษอยากจะขอแบ่งต้นไม้ไปไว้ในห้องบุษบ้างได้มั้ยคะ”
“อ๋อ ! เอาไปให้หมดเลยครับ ! ผมยกให้”
แนนนี่เบิกตากว้างไม่พอใจ
“งั้นบุษโทร. เรียกให้คนมาขนไปนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
“บุษต้องไปจัดที่ในห้องสำหรับวางก่อน เดี๋ยวเชิญภวัตไปดูด้วยนะคะ! แหม ... ตื่นเต้นจัง!
“เชิญครับ” ภวัตยิ้มส่ง
บุษบาเดินออกไปอย่างร่าเริง
ภวัตหันกลับมา “แนนนี่!”
บุษบาเดินเลยไปไกลพอสมควร แล้วนึกได้เดินย้อนหลังกลับมาใหม่
“เห็นมั้ยว่า เธอทำให้พี่เดือดร้อนอีกแล้ว” ภวัตดุทันที
“แนนนี่ขอโทษค่ะ”
“เมื่อไหร่ถึงจะยอมเข้าใจเสียทีว่า...”
“แนนนี่เข้าใจแล้วค่ะ...แนนนี่จะเอาต้นไม้พวกนี้ไปให้หมด” แนนนี่เสียงอ่อย
“ดี...” ภวัตนึกได้ “...เดี๋ยว อย่าเพิ่ง”
ภวัตห้ามไม่ทัน เพราะแนนนี่และต้นไม้หายไปพร้อมกันหมด
บุษบาเปิดประตูเข้ามา ด้วยใบหน้ายิ้มละมัย
“ภวัต...” ใบหน้าบุษบาที่ยิ้มแย้มค่อยๆ หุบลง เมื่อเห็นว่าต้นไม้หายไปหมด
บุษบาพยายามหลับตาลง แล้วลืมขึ้นใหม่อีก 2-3 ครั้งให้แน่ใจ ในขณะที่ภวัตทำหน้าตาย
“หะ...หะ....หาย...หายไปไหนหมดคะ”
ภวัตลงนั่ง “คุณบุษเคยได้ยินประโยคนี้มั้ยครับ... อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็น”
บุษบาพยักหน้า
“ก็นี่ไงครับ...” ภวัตผายมือให้ดูโดยรอบ
“นี่น่ะหรือคะ”
ภวัต พยักหน้า “เป๊ะเลยครับ”
“บุษว่าบุษต้องไปทานยาก่อนดีกว่า”
บุษบาเดินออกไป
แนนนี่ปรากฏตัว มองไปทางประตู
“ความจริงก็น่าสงสารเธอเหมือนกันนะคะ”
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก”
ถูกภวัตดุแนนนี่ยืนก้มหน้านิ่ง เหมือนเสียใจในความผิดเต็มประดา
“แล้วนี่ไม่มีเรียนหรือ”
“มีค่ะ แต่แนนนี่รีบมาหาพี่ภวัตก่อน เพราะมีข่าวดีจะบอก...เกรดแนนนี่เพิ่งออก แนนนี่ได้เกรด 3 ค่ะ”
ภวัตดักคอทันที “ไม่ใช่ 2 เทอมรวมกันนะ”
“เทอมที่แล้วเทอมเดียวค่ะ...ยัยพี่ดารู้ผลก่อน รีบเอาไปให้คุณแม่ดู...แล้วมาถามผลสอบแนนนี่ต่อหน้าคุณแม่...เค้าอยากจะให้แนนนี่ขายขี้หน้า” แนนนี่ฟ้องทันที
“แนนนี่คิดบวกเป็นมั้ย”
“คิดลบ คิดคูณ คิดหารก็เป็นค่ะ” แนนนี่พูดเป็นเรื่องเล่น
ภวัตมองดุๆ แนนนี่จ๋อย
“ขอโทษค่ะ”
“พี่ดาของแนนนี่เป็นคนดี”
“ฮึ!”
“เย็นนี้เอาผลสอบไปให้คุณน้าปัทดู ท่านจะได้ดีใจ”
“ค่ะ!” แนนนี่เว้นจังหวะ ทำตาเจ้าเล่ห์ “พี่ภวัตหายโกรธ น.น. แล้วใช่มั้ยคะ”
ภวัตไม่มองหน้า ทรุดตัวลุกนั่ง พยายามจะไม่ยิ้มกับสรรพนามใหม่ของแนนนี่
แนนนี่เดินมาคุกเข่าข้างเก้าอี้ กอดแขนประจบ
“พี่ภวัตเลี้ยงฉลองเกรด 3 ให้ น.น. นะคะ” แนนนี่เรียกตัวเองว่าน.น.
“ไม่ ! ต้องได้เกรด 4 ถึงจะเลี้ยง”
“ว้า! แต่ก็ยังดีค่ะ”
“ไปเรียน”
“ค่ะ น.น. จะเชื่อพี่ภวัต...แล้วเย็นนี้พบกันนะคะ”
แนนนี่เงยหน้าขึ้นมอง ขณะที่ภวัตก้มหน้าลงมามองเช่นกัน ทั้ง 2 คนเหมือนจะชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแนนนี่ก็หายไป
ภวัตถอนหายใจยาว
มีการประชุมใหญ่ที่เมืองเวทมนตร์ เวลานี้บรรดาพ่อมดแม่มด รวมตัวอยู่ในห้องประชุมพร้อมหน้า แล้วส่งเสียงพูดคุยกันจ้อกแจ้กจอแจ
“ท่านผู้นำปรากฏ”
สิ้นเสียงตะโกน... กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้น แล้วร่างผู้นำปรากฏตรงกลาง
“สุรีย์สวัสดิ์” ทุกคนลุกขึ้นยืน
“สุรีย์สวัสดิ์” ทุกคนขานรับแล้วนั่งลง
“การค้นหาอสูรน้อยไปถึงไหนแล้ว” ผู้นำถามเสียงจริงจัง
บาบาร่าหันมาทางทาฮิร่า แล้วยิ้มเย้ย พร้อมกระซิบกระซาบ “ไม่รายงานท่านผู้นำหน่อยรึ”
ทาฮิร่ายิ้มอย่างรู้ทัน แล้วกระซิบตอบ “เธอสมควรจะเป็นคนรายงานมากกว่า”
“บาบาร่า ทาฮิร่า” เสียงผู้นำแม่มดตะโกนก้อง
“ท่านผู้นำ” สองแม่มดลายครามประสานเสียง
“นั่นซุบซิบอะไรกัน”
ทาฮิร่าชิงพูดขึ้นทันที
“บาบาร่าซึ่งเสียสละ ขึ้นไปสืบหาอสูรถึงเมืองมนุษย์เจ้าค่ะ”
“แล้วพบมั้ย” ผู้นำแม่มดถามเสียงเข้ม
บาบาร่าอึกอัก ทุกคนหันมามอง
“กราบเรียนท่านผู้นำไปซิจ้ะ...บาบาร่า” ทาฮิร่าขี่แพะไล่ต่อ
“เอ้อ ! ยังไม่พบเจ้าค่ะ... มันซ่อนตัวเก่งมาก” บาบาร่าเสียงอ่อย
“เพราะมันมีองค์รักษ์คอยคุ้มครองอยู่ องครักษ์จะต้องปกปิดที่อยู่อสูรจนกว่ามันจะอายุครบ 22 ปี ซึ่งถ้านับจากวันที่ 9 เดือน 9 และงาน 9 ฉลองที่ผ่านมา อสูรน้อยก็จะอายุครบในอีก 3 ปี”
“บาบาร่าคิดว่าน่าจะได้ตัวก่อนวันนั้นเจ้าค่ะ” บาบาร่าเอาคืนมั่ง
“บาบาร่าดูจะมั่นใจจัง” ทาฮิร่าเยาะอยู่ในที
“แล้วเจ้าล่ะ ทาฮิร่า”
บาบาร่ายิ้มเยาะบ้าง “ทาฮิร่าอาจจะพบก่อนก็ได้เจ้าค่ะ...แต่ต้องระวังเพราะนางใจอ่อน”
“ทาฮิร่า” ท่านผู้นำเสียงดังลั่น
“เจ้าขา...”
“เจ้าจะใจอ่อนไม่ได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
“ท่านผู้นำคงต้องย้ำมากๆ หน่อยเจ้าค่ะ จะได้ซึมซับ” บาบาร่าเยาะ
“นี่เจ้าทั้ง 2 เป็นอะไร เหตุใดถึงได้ กระทบกันไปกระทบกันมา”
“เราเป็นเพื่อนรักกันเจ้าค่ะ” ทาฮิร่าบอก
“รักกันมากด้วยเจ้าค่ะ” บาบาร่ายืนยัน
ทั้งสองคนจ้องมองหน้า ต่างยิ้มเย้ยให้กัน
หลังประชุมเสร็จทั้งสองนายบ่าวเดินคุยกันมา
“คุณยายจะทำยังไงต่อไป”
“กลุ้มใจไง ฉันต้องกลุ้มใจต่อไปจนกว่า...จนกว่า”
“จนกว่านครเวทมนตร์จะพินาศ” ชิกเก้นเติมให้
ทาฮิร่าหยุดเดินหันขวับมาทันที
“ไอ้ชิกเก้น”
“ชิกเก้นพูดจริง ’ไรจริง...หรือว่าคุณยายมีคำตอบที่ดีกว่านี้”
ทาฮิร่านิ่งอึ้ง แล้วเดินต่อ พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“แล้วแกจะส่งแนนนี่ให้ท่านผู้นำลงเรอะ”
“อาจจะต้องการตกลงกันก่อน เช่นให้แนนนี่อยู่ในความควบคุม”
“โฮ้ย! ใครเขาจะยอมตกลงกับแก๊ ไอ้ชิกเก้น”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม
อีกมุมหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล บาบาร่า กำลังหารืออยู่กับไทเกอร์
“เผลอแป๊บเดียว ยัยทาฮิร่าหายไปแล้ว”
“ทำไมคุณยายไม่บอกความจริงไป ไทเกอร์น่ะเบื่อเมืองมนุษย์ วุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น แถมฤดูกาลต่างๆ ก็บิดเบี้ยวไปหมด” ไทเกอร์บ่น
“ฉันต้องเป็นคนจับอสูรน้อยมาให้ได้...บอกแล้วไง ฉันไม่ได้หวังแค่ความดีความชอบเท่านั้น แค่ฉันหวังตำแหน่ง1 ในที่ปรึกษาท่านผู้นำซึ่งจะมีการแต่งตั้งใหม่ในอีก 2 ปี”
“อ้อ! อยากเป็นใหญ่เป็นโต” ไทเกอร์กัด
“แล้วใครล่ะที่ไม่อยาก” น้ำเสียงบาบาร่าเชิดเริด
เย็นวันนั้นปีเตอร์นั่งเปิดเพลงฟังอยู่ในรถภายในมหา’ลัย พร้อมกับขยับไปตามจังหวะสักพักหนึ่ง ปีเตอร์ถึงกับชะงัก เมื่อมองไปเห็นทาฮิร่าในชุดนักศึกษาเดินตรงมาช้าๆ ดวงตาจ้องเขม็งผ่านฟิล์มกรองแสงหน้ารถมาสบตาปีเตอร์
ปีเตอร์ขยับตัวเล็กๆ สีหน้าแววตาแปลกใจ
“เฮ้ย ! นั่นมันเด็กปี 10 เพื่อนแนนนี่”
ทาฮิร่าเดินมาที่ประตูตรงข้ามคนขับ ปีเตอร์รีบกดล็อค
ทาฮิร่าส่ายหน้า เปิดประตูก้าวขึ้นมา ท่ามกลางความตกใจของปีเตอร์
“เปิดได้ไงเนี่ย ปีเตอร์ล็อคแล้วล็อคอีก” ปีเตอร์งงงัน
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางฉันได้หรอก นายเปอร์ตี้”
ปีเตอร์เกาหัวแกรกๆ นึกคุ้นหู กับคำเรียกนี้ ใครว้า ! เคยเรียกปีเตอร์ว่าเปอร์ตี้
“ยังไม่ต้องคิด ฟังฉันอย่างเดียว เนื่องจากเธอเป็นคนจิตไม่อยู่กับร่องเลย อสูรมันถึงเข้าสิงได้ง่าย ! …ซึ่งถ้าเธอไม่ใช่เพื่อนสนิทของแนนนี่ ฉันจะไม่สนเลย” ทาฮิร่าว่าไปตามปาก
ปีเตอร์มองจ้องทาฮิร่าตลอดเวลา แต่ไม่ได้ใส่ใจฟัง แล้วจู่ๆ ก็เบิกตากว้างอย่างดีใจ เมื่อนึกได้
“เฒ่าทารก”
ทาฮิร่าสะดุ้งเฮือก มองซ้ายแลขวา
“ไม่ต้องมองหา ตัวเองนั่นแหละ เหมือนเฒ่าทารถเลย นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนของแนนนี่ ปีเตอร์ก็ไม่ยอมให้เอาเสื้อผ้าราคาถูกมาสัมผัสเบาะรถแพงเว่อร์ของปีเตอร์หรอก”
ทาฮิร่าเบิกตากว้าง ถูกเด็กด่าว่า
ปีเตอร์เปิดเก๊ะออก ทาฮิร่ามองตามแล้วสะดุ้ง เมื่อในเก๊ะมีใบละพันอัดแน่นเต็มไปหมด
“หยิบไปซิ ปีเตอร์ให้...จะเอาเท่าไหร่ก็ได้ไปฉีดโบท็อกซ์ไปทำหน้าให้เด้ง ... ซื้อผ้าดีๆ มาตัดชุดใหม่ แล้วอย่าลืมบอกแนนนี่ด้วยว่าเป็นอภินันทนาการจากปีเตอร์”
“นายเปอร์ตี้” ทาฮิร่าฉุนขาด
ปีเตอร์อ้าปากจะโวยวาย
ทาฮร่าชี้หน้าดุ “หยุด”
ปีเตอร์หยุดทันใด
ทาฮิร่าเอื้อมมือไปดึงผมปีเตอร์ออกมา 1 กระจุก
ปีเตอร์ร้องลั่น “โอ๊ย! ทำอะไรป้า”
ทาฮิร่าเอื้อมมือมากดที่บริเวณหัวปีเตอร์ แล้วว่าคาถา มีกลุ่มควันพุ่งออกมาเล็กน้อย แล้วหายไป
ทาฮิร่าเสร็จภารกิจก็เปิดประตูก้าวลงไป ปีเตอร์รีบเปิดประตูก้าวตาม
“เฮ้ย! จะไปไหนน่ะ”
ผู้คนในบริเวณนั้นหันมามองปีเตอร์เป็นตาเดียว ปีเตอร์มองรอบกาย แต่ไม่ปรากฏร่างทาฮิร่าแล้ว
“หายไปไหนไวเหมือนโกหก”
เวลาต่อมา แนนนี่อยู่ในห้องวางหนังสือในมือลง เรียกหาคุณยายแม่มด
“คุณยายขา ! คุณยาย!…แนนนี่อยากพบคุณยายค่ะ”
“วันนี้คิดถึงคุณยายมากเรอะไง...กลับถึงบ้านก็เรียกเลย” ชิกเก้นงง
“คุณยายขา”
ทาฮิร่าปรากฏขึ้น
“รู้แล้วว่าจะถามอะไร...ยายถอนมนต์สะกดของอสูรออกจากเปอร์ตี้” ทาฮิร่าคุยทันที
“โห! ทำอะไรมีสาระกับเขาเป็นด้วยเรอะนี่”
“เงียบเลย ! ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าหันมาดุชิกเก้น
“แน่ใจนะว่าคาถาถูก” ชิกเก้นไม่วางใจ
“ก็ต้องติดตามกันต่อไป” ทาฮิร่าหันมากอดแนนนี่ “เปอร์ตี้เป็นเพื่อนสนิทของแนนนี่ ...ยายเกรงว่านายนั่นจะเป็นอันตรายกับหลาน”
“ชิคเก้นน่ะเกรงว่าจะเป็นอันตรายกว่าเก่าน่ะซิ เวรก๊ำ ... เวรกรรม” ชิกเก้นออกความเห็น
“บอกให้เงียบ ไอ้ชิคเก้น”
“แนนนี่น่ะสงสารปีเตอร์ ไม่อยากให้มีอันตายเพราะแนนนี่”
“ไม่แล้วลูก ปีเตอร์เป็นปกติแล้ว”
ทาฮิร่าดูจะมั่นใจมาก
ปีเตอร์อาบน้ำเสร็จปิดประตูเดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับฮัมเพลงลั้นลา
“จง! ระวังหลัง จะทำอะไรให้คอยระวังหลัง” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ใครน่ะ” ปีเตอร์ถาม
เสียงนั้นเงียบหายไป
“สงสัยจะเป็นเสียงขี้หูกระทบกัน”
ปีเตอร์นึกว่าตัวเองหูแว่ว จึงเดินมาหน้ากระจก แล้วเริ่มทาเครื่องสำอางผู้ชาย
“ศัตรูปองร้าย” มีเสียงดังขึ้นมาอีก
ปีเตอร์ตกใจแล้วร้องลั่น “เฮ้ย !” กวาดมองไปโดยรอบด้วยอาการผวา และหวาดหวั่น
“อันตรายมันจะมาข้างหลัง” เสียงนั้นพูดเตือน
“ใคร !”
ทุกอย่างเงียบสนิท ปีเตอร์มองไปโดยรอบด้วยความอกสั่นขวัญหาย
“ยายไปละนะ...แนนนี่...ระวังตัวดีๆ น่ะ”
“จ้ะยาย”
ทาฮิร่าว่าคาถาหายตัว แต่ปรากฏว่าร่างยังอยู่ไม่หายไปไหนซะงั้น
ทาฮิร่ายกแขนขึ้นดู “แนนนี่ ยายยังอยู่หรือเปล่า”
แนนนี่พยักหน้าเกรงใจไม่กล้าพูดออกมา
“อยู่ทั้งตัวเลยเจ๊ เวรก๊ำ ...เวรกรรม”
ทาฮิร่าว่าคาถาใหม่ พลัน ร่างทาฮิร่าเหลือครึ่งตัวบน
“คราวนี้หายไปครึ่งตัว” ชิกเก้นระอา
“ลองใหม่ซิจ๊ะ” แนนนี่บอก
ทาฮิร่าพยักหน้าหนักแน่น แล้วลองใหม่ คราวนี้หายไปทั้งตัว
“เฮ้อ ! นึกว่าไม่รอดแล้ว” ชิกเก้นแซวตามประสา
ปีเตอร์ตกใจรีบวิ่งตรงมาที่ลานจอดรถ โดยที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย มองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะขับรถออกไป
แนนนี่ว่าคาถาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ สวยปิ๊ง
“ซักแห้งอีกแล้ว” ชิกเก้นแขวะเอา
“ก็แนนนี่ขี้เกียจอาบน้ำนี่”
“ไม่ดีหรอกแนนนี่ เราอยู่กับมนุษย์ ก็ต้องทำอะไรให้เหมือนมนุษย์บ้าง!” ชิกเก้นอบรม
“แนนนี่จะรีบไปหาพี่ภวัต...เรานัดกันไว้”
“ใครนัดใคร! …แนนนี่นัดหมอภวัต หรือหมอภวัตนัดแนนนี่” ชิกเก้นซักไซร้
“ก็ได้ ! แนนนี่นัดพี่ภวัต!”
แนนนี่เดินไปเข้าห้องน้ำ
“เวรก๊ำ...เวรกรรรม !”
แนนนี่เดินเข้ามาในห้องน้ำ แล้วต้องชะงัก เมื่อบนกระจกเป็นตัวหนังสือยึกยือซึ่งเป็นภาษาแม่มดเมืองเวทมนตร์
แนนนี่อ่านเสียงงึมงำ “คาถาอสูรพิลาป”
แนนนี่ไล่สายตาตามบรรทัดตัวอักษรเลยเรื่อยมาจนถึงในวงเล็บ
“ยังมีต่อ ! นี่มันคาถาปราบอสูรนี่ .... ใครมาเขียนไว้” แนนนี่ประหลาดใจมาก
ตัวอักษรเริ่มรางเลือน
แนนนี่รีบอ่านเพื่อจดจำ “อัม...อิเมกุม...อัจชี ...อัลวา...อัยยายุม...”
ในขณะที่แนนท่องคาถาถึงบรรทัดไหน ตัวหนังสือบรรทัดนั้นก็เลือนหายไป
อ่านต่อหน้า 2
แจ้งเพื่อทราบ...
ระหว่างนี้ "อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว" อาจจะอัพขึ้นเว็บไม่ตรงเวลา จึงแจ้งให้ทราบเวลาที่จะอัพขึ้นเว็บ ดังนี้ 9.30 น., 12.00 น., 18.00 น. และ 22.00 น. หรือตามเวลาอันสมควร หลังจากที่ทีมงานแก้ไขบทที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว
ทีมละครออนไลน์
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 16(ต่อ)
ประตูห้องน้ำเปิดออก แนนนี่กระโดดออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ชิกเก้น! ชิกเก้น ชิกเก้น” แนนนี่ร้องลั่น
“อะไรแนนนี่ นั่นยังไม่ได้อาบน้ำอีกเรอะ” ชิกเก้นสนใจเรื่องอาบน้ำ
“แนนนี่...โอ๊ย! ดีใจจัง ! แนนนี่เจอคาถาอสูรพิลาป”
“หา! ไหน! อยู่ที่ไหน ...คาถานั่นหายไปนานมาแล้วนะ” ชิกเก้นตาโต น้ำเสียงตื่นเต้น
“ไม่รู้! แนนนี่เจออยู่ที่กระจก...พอแนนนี่ท่องบรรทัดไหนได้ บรรทัดนั้นก็หายไป!...คาถานี้มันเป็นยังไงหรือชิกเก้น”
“ชิกเก้นก็ไม่แน่ใจ...เท่าที่รู้มันกึ่งร้ายกึ่งดี...แนนนี่ต้องลองถามแม่มดสาวสามพันปีของเราดู!” ชิกเก้นแนะนำ
แนนนี่ทำท่าจะไปจริงๆ
“เดี๋ยว! เดี๋ยว ! ไปอาบน้ำก๊อน ...แม่มดที่ดีเวลาตั้งใจจะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ !
“เฮ้อ!” แนนนี่เซ็ง
“แนนนี่จะกลับเนื้อกลับตัวไม่ใช่เรอะ”
แนนนี่เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำใหม่ แล้วมองไปที่กระจก เห็นทุกอย่างเป็นปกติ แนนนี่ยกมือลูบกระจก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แนนนี่เริ่มล้างหน้า
เวลาเดียวกัน ดารกา ปัทมน ธานี และเกล้า คุยกันอยู่อย่างรื่นเริง แนนนี่เดินเข้ามา แล้วชะงัก
ดารกาหันมาเห็นพอดี “กลับมานานแล้วเหรอ แนนนี่!”
แนนนี่หลับตาสูดลมหายใจยาวและลึก แล้วลืมตาขึ้น
“งั้นมั้ง”
ปัทมนซึ่งเฝ้าคอยมองลุ้นว่าแนนจะโอภาปราศรัยอย่างดีกับดารกาก็มีสีหน้าผิดหวัง เช่นเดียวกับธานี และรัดเกล้า
ดารกาพยายามใหม่ “เห็นคุณแม่บอกว่า แนนนี่ได้เกรด 3”
แนนนี่มองปัทมน แล้วฝืนใจยิ้มให้ดารกา
“ค่ะ! …. เอ้อ ... แนนนี่ขออนุญาตก่อนนะคะ”
“จะไปไหนล่ะนั่น” ธานีถาม
“ไปหาพี่ภวัตค่ะ .... แนนนี่นัดกับพี่ภวัตไว้!”
แนนนี่เข้ามาหอมแก้มแม่ แล้วสบตาดารกาเหมือนเยาะๆ แว่บหนึ่ง ในขณะที่ดารกาหันมายิ้มกับปัทมน
ครู่ต่อมาปัทมนเดินขึ้นมากับดารกา
“น้องดาล่ะลูก...หมู่นี้ไม่เห็นค่อยให้พี่ภวัตติวเลย!”
ดารกาก้มหน้านิ่ง “น้องดาพยายามทำความเข้าใจเองค่ะ”
ปัทมนหยุดเดินมอง ท่าทางของดารกาอย่างแปลกใจ
“น้องดามีเรื่องอะไรกับพี่เขาหรือเปล่า”
ดารการีบเงยหน้าขึ้น “เปล่าค่ะ...พี่ภวัตดีกับน้องดามากๆ น้องดาเองก็...เอ้อ...รักและก็เคารพพี่ภวัต...แต่...”
“แต่อะไร” ปัทมนรีบซักทันที
“ไม่มีอะไรค่ะ” ดารกาหน้าเศร้าไป
“แม่รู้จักน้องดาดี...แม่รู้ว่าน้องดามีอะไรบางอย่างในใจ” ปัทมนว่า
ดารกาเงยหน้ามองแม่อย่างซาบซึ้งใจ “คุณแม่ขา...”
ปัทมนดึงดารกาเข้ามากอดด้วยความรัก
สองแม่ลูกเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนอนปัทมน
“น้องดาอยากให้แนนนี่มีความสุข แล้วก็ไม่เกลียดน้องดา...คุณแม่เองก็จะได้สบายใจที่ลูกๆไม่ทะเลาะกัน...” ดารกาเอ่ยขึ้นเสียงเศร้า
“น้องดาก็เลยเสียสละ” ปัทมนดักคอ และพอเข้าใจเรื่องราว
ดารกาก้มหน้า อย่างน่าสงสาร
“น้องดาเป็นเด็กดีเหลือเกิน...แล้วแม่ก็ขอบใจน้องดาที่พยายามทำให้แม่กับน้องสบายใจ...แต่แม่เป็นคนยุติธรรมนะลูก...ถ้าพี่ภวัตเขารักลูก...แม่ก็จะสนับสนุนให้เป็นไปตามนั้น...แนนนี่จะมาเกเรไม่ได้”
“อย่าเลยค่ะ! คุณแม่ขา” ดารกาขอร้อง
“การเสียสละต้องมีขอบเขต แล้วแม่จะพูดเรื่องนี้กับแนนนี่เอง”
“น้องดาไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ”
ปัทมนดึงลูกดารกาเข้ามากอด สีหน้าดารกานิ่งสนิท
รัดเกล้แวะมาคุยหารือกับธานี
“เกล้าสงสารน้องดา” รัดเกล้าเอ่ยขึ้น
“น้องดาเขาเป็นคนดีมาตั้งแต่เกิดแล้ว”
“แนนนี่ก็เกเรมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน! เกล้าพูดจริงๆ นะคะ... เกล้าไม่เห็นด้วยที่ทุกคนคอยตามใจแนนนี่แล้วบีบให้น้องดาเสียสละ!”
“ไม่มีใครเขาทำอย่างนั้นซักหน่อย” ธานีท้วง
“พี่ธานีไม่รู้สึกตัวน่ะสิคะ...เกล้าเป็นคนนอก...เกล้ารู้”
“เธอจะมารู้ดีกว่าตัวพี่ได้ยังไง! จำเรื่องจดหมายนั้นได้มั้ยละ!...จดหมายถึงน้องดาที่เกล้าเก็บได้น่ะ” ธานีว่า
“บางที...น้องดาอาจจะช็อค”
“พูดจริงๆนะ...บางครั้งน้องดาก็เหมือนคนเก็บกด” ธานีพูดตามที่ตัวเองรู้สึก
“โอ๊ย! จะไม่เก็บกดได้ยังไงล่ะคะ”
มีเสียงแตรรถดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ใครมาอีกละ”
รัดเกล้าลุกขึ้น “กลับดีกว่า! อารมณ์ไม่ค่อยจะดีแล้ว”
รัดเกล้าเดินออกไป
“ว้า! ยังพูดไม่จบเลย” ธานีบ่นเซ็งๆ
รัดเกล้าเดินออกมา เจอกับปีเตอร์ที่หน้าตื่นๆ ขณะลงจากรถ ปีเตอร์หันมาเห็นรัดเกล้ารีบยกมือไหว้
“สวัสดีครับ พี่เกล้า!”
“สวัสดีจ้ะ! แนนนี่อยู่ที่บ้านพี่แน่ะ! เดี๋ยวจะไปตามให้”
“ไม่เป็นไรครับ! ผมไปด้วยดีกว่า”
สองคนเดินคุยกันไป
เวลาเดียวกันนั้น แนนนี่คุยอยู่กับภวัต เรื่องบุษบา
“ตอนนี่เจ๊บุษแกเป็นยังไงบ้างละค่ะ...แนนนี่ก็เป็นน้องแกเหมือนกัน” แนนนี่ว่า
“ยังจะมาพูด”
ภวัตพูดยังไม่ทันขาดคำปีเตอร์เดินตามเกล้าเข้ามา
“แนนนี่...ปีเตอร์มีเรื่องสำคัญมาบอก!”
ภวัตไม่พอใจสีหน้าเคร่งเสมองไปอีกทาง แต่ไม่พ้นสายตาสังเกตของเกล้า
“โอ๊ย! น่ารำคาญ” แนนนี่หงุดหงิด
“ใคร!” ปีเตอร์ไม่รู้ตัว
“ก็ปีเตอร์น่ะซิ! ไหว้ผู้ใหญ่หรือยัง”
ปีเตอร์นึกได้ไหว้ภวัต “หวัดดีครับพี่หมอภวัต! …” มองที่มือแนนนี่ว่างเปล่า “เอ๊ะ! มือแนนนี่ไม่ได้ใส่
แหวนทับทิมสยามของปีเตอร์เหรอ!”
“แนนนีไม่ชอบใส่แหวน! กลับไปคุยที่บ้านกันดีกว่า...” แนนนี่พูดพลางหันมามองภวัต กับรัดเกล้า “แนนนี่ไปก่อนนะค่ะ...แล้วจะมาใหม่”
“ไม่ต้องมาแล้ว!” ภวัตเสียงขุ่น ออกอาการหึงโดยไม่รู้ตัว
รัดเกล้ามองพี่ชายอย่างเพ่งพิศ
“แนนนี่จะมา!” แนนนี่หันไปพยักหน้ากับปีเตอร์ “ไป! ปีเตอร์!”
แนนดึงแขนปีเตอร์ออกไป
“พี่ภวัตโกรธใครหรือคะ” รัดเกล้าถาม
“ไม่ได้โกรธ แต่รำคาญ” ภวัตเดินหนีขึ้นข้างบนไป
“ถ้าพี่ภวัตชอบแนนนี่ แล้วมันจะไปกันรอดเร้อ!”
รัดเกล้าดูออกว่าพี่ชายหึง บ่นออกมาคนเดียว
ส่วนปีเตอร์เดินเข้ามาในสวนหลังบ้านกับแนนนี่พลาง ด้านบนเหนือขึ้นไปเป็นกิ่งไม้ใหญ่ ที่กำลังค่อยๆ แตกออกราวกับมีมือยักษ์หัก โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัว
“ปีเตอร์จะมาบอกแนนนี่เรื่องนี่แหละ”
ปีเตอร์คุยเรื่องที่ได้ยินเสียงประหลาดเมื่อเช้าก่อนไปมหา’ลัย
“ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย! อะไรข้างหลัง! ทำไมจะต้องระวังหลัง”
“ปีเตอร์ก็ไม่รู้! ตั้งแต่ยัยเพื่อนหน้าแก่ของแนนนี่ดึงผมปีเตอร์ไป ปีเตอร์ก็ได้ยินอะไรแปลกๆ!”
แนนนี่ชะงัก “ยาย!”
“ยายไหน!”
“เปล่า!”
ระหว่างที่ทั้ง 2 คุยกันอยู่นั้น มีเสียงเหมือนกิ่งไม้ใหญ่ถูกหัก
“กลับเข้าบ้านกันเถอะ...เดี๋ยวแนนนี่เลี้ยงข้าว”
สองคนขยับออกเดินจากตรงนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ด้านบนกิ่งไม้หักออกมาหมด! แนนนี่หันมาคุยกับปีเตอร์ กิ่งไม้นั้นลอยลงมา หมายหัวแนนนี่
แนนนี่ และปีเตอร์ กำลังก้าวผ่านตรงนั้น กิ่งไม้ใหญ่ตรงดิ่งลงมา
“ระวัง! แนนนี่!”
แนนนี่แหงนหน้าขึ้นมอง ปีเตอร์ดึงแนนนี่หลบไป ในขณะที่กิ่งไม้หล่นลงมาถึงพอดี
กิ่งไม้ใหญ่นั้นคลาดหัวแนนนี่ไปอย่างหวุดหวิด
แนนนี่กับปีเตอร์ หันไปมองด้วยสีหน้าตระหนก แล้วหันมามองหน้ากัน
“เหยียบเอาไว้นะปีเตอร์ ห้ามบอกใครเด็ดขาด! แนนนี่ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง!”
“แนนนี่! เหมือนที่ปีเตอร์พูดมั้ย...ที่บอกให้ระวังหลังน่ะ” ปีเตอร์ถามปนสงสัย
แนนนี่ตบไหล่ปีเตอร์จนเซ “บังเอิญน่ะ! แต่ยังไงก็ขอบใจปีเตอร์!”
“ทีนี้เห็นหรือยังว่า ปีเตอร์เหมาะที่จะเป็นบอดี้การ์ด ให้แนนนี่ที่สุด”
ปีเตอร์คุยโว สีหน้าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
แนนนี่จิ้มหน้าปีเตอร์หงายไป “เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ ปีเตอร์เอ๊ย”
แนนนี่เดินนำออกไป ปีเตอร์บ่นอย่างเซ็ง
“ขนาดเป็น บอดี้การ์ด ยังไม่เอาเลย”
แล้วรีบเดินตามไป
ตอนค่ำวันนั้น แนนนี่เดินไปมาอย่างใช้ความคิดอยู่ในห้อง ชิกเก้นมองตามจนตาลาย
“เอาอีกแล้ว! เดินไปเดินมาอีกแล้ว”
“เดี๋ยวมานะ ชิกเก้น”
“จะไปไหน”
ชิกเก้นไม่ได้คำตอบ เพราะร่างแนนนี่หายวับไปทันที
ภวัตเปิดประตูเดินเข้ามา แล้วชะงัก เมื่อเห็นแนนนี่ยืนยิ้มรออยู่ ภวัตโกรธเรื่องปีเตอร์ จึงทำเหมือนแนนนี่ไม่มีตัวตน เดินมาที่โต๊ะทำงาน แนนนี่หน้าจ๋อย แล้วพยายามง้ออีก
“พี่ภวัตเล่น เฟซบุค หรือเปล่าคะ”
ภวัตไม่ตอบเปิดคอมพิวเตอร์ ดูเว็บไซด์ทางการแพทย์ แนนนี่ชะโงกหน้ามามอง
“เมื่อ 2-3 วันก่อนแนนนี่ก็อ่านพบว่า มีการพบยาโรคเอดส์ซึ่งรักษาโรคมะเร็งได้ด้วย”
ภวัตยังคงไม่ได้มีทีท่าว่าจะเห็นหรือสนใจแนนนี่ แต่แนนนี่ยังไม่ย่อท้อ ยังเจื้อยแจ้วต่อ
“แนนนี่สงสัยจังว่า พวกแม่มดเนี่ยจะมีการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนมนุษย์หรือเปล่า...เอ๊ะ! แนนนี่เคยเห็นยายป่วยเหมือนกัน แต่พอกินยาอายุวัฒนะก็หาย”
ภวัตคลิกดูข่าวสารทางการแพทย์ไปเรื่อยๆ
“แล้วยาของแม่มดจะรักษาโรคของมนุษย์ได้หรือเปล่า...เอายังงี้มั้ยคะแนนนี่จะเอายาอายุวัฒนะของยาย มาให้พี่ภวัตรักษาคนไข้”
ภวัตปิดคอมพ์ฯ ลุกเดินไปที่หน้าต่าง แนนนี่ลุกตามไป
“แนนนี่ว่าน่าสนใจนะคะ...เพราะถ้าใช้ได้ พี่ภวัตจะเป็นหมอที่ดังที่สุดในโลกเลย แล้วก็รวยด้วย เพราะเราจะจดลิขสิทธิ์”
ภวัตไม่หืออือสักแอะ หันหลังกลับจะเดินมาที่เตียง แนนนี่ก้าวมาขวางไว้อย่างหมดความอดทน
“พี่ภวัต! แนนนี่ชักจะหมดความอดทนแล้วนะ” แนนนี่ฉุนขาด
ภวัตขยับ ชะงัก แต่ขยับจะเดินต่อ แนนนี่กางแขนขวางไว้
“ถ้าพี่ภวัตไม่ยอมพูด แนนนี่จะร้องตะโกนให้คนมาช่วย”
ภวัตไม่สน เดินเลี่ยงมานอนบนเตียง แนนนี่กรีดร้องขึ้นทันที
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
ภวัตผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ
ได้ผลจริง ประตูห้องจักรวาล และรัดเกล้าเปิดออก จักรวาลถือปากกา และหนังสืออยู่ในมือ ในขณะที่รัดเกล้าซึ่งกำลังแปรงฟันอยู่ อมแปรงออกมาด้วย
“เสียงอะไรคะ คุณพ่อ” รัดเกล้าถามผู้เป็นพ่อ
“ห้องเจ้าภวัต”
ไวเท่าความคิดสองพ่อลูก รีบวิ่งมาหน้าห้องภวัต แล้วทุบประตู
“ภวัต! แกเอาใครมาไว้ในห้อง” จักรวาลเรียกเสียงดัง
“พี่ภวัต! เปิดประตู” รัดเกล้าตะโกนเรียก
“ภวัต ! ภวัต!” / “พี่ภวัต พี่ภวัต” สองพ่อลูกประสานเสียงเรียกดังลั่น พร้อมกับทุบประตูตลอดเวลา
ภวัตหันมาดุเบาๆ อย่างหงุดหงิดสุดๆ “กลับไปเดี๋ยวนี้ แนนนี่!”
“ก็พี่ภวัตอยากไม่พูดกับแนนนี่นี่”
“บอกให้กลับไป” ภวัตกระซิบเสียงขุ่น
“งั้นเดี๋ยวแนนนี่มาใหม่” แนนนี่กวนใส่
“ไม่ต้องแล้ว ห้ามมาอีกเด็ดขาด ไปซิ”
ภวัตพูดพลางเดินไปที่ประตู ที่ทั้งจักรวาล และรัดเกล้า ทุบประตู ตะโกนเรียกไม่หยุด
แนนนี่หายตัวไป ภวัตหันมามองสำรวจความเรียบร้อยอีกที แล้วเปิดประตู จักรวาลและรัดเกล้า รีบพรวดพราดเข้ามาทันที ตรวจหาไปทั่วห้อง
“มองหาอะไรกันครับ!”
“ผู้หญิง” พ่อและน้องสาวประสานเสียง
“พ่อได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย” จักรวาลซัก
“เกล้าก็ได้ยิน”
“เสียงที.วี บ้านใกล้ๆ นี่มั้งครับ ผมก็ได้ยินเหมือนกัน” ภวัตตีหน้าซื่อ
“แต่มันชัดแล้วก็ใกล้ขนาดอยู่ในห้องแก” จักรวาลไม่เชื่อเสียทีเดียว
“คุณพ่อก็เห็นแล้วนี่ครับ” ภวัตยืนยัน
จักรวาลและรัดเกล้า กวาดสตายมองไปโดยรอบอีกครั้ง ในที่สุดจักรวาลเดินไปที่ประตู
“ไม่มีก็ดีแล้ว”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ครั้นพอสองคนเดินออกไป ภวัตปิดประตูหันกลับมา ก็เห็นแนนนี่ยืนยิ้มเผล่อยู่
ที่นอกห้องรัดเกล้ายังไม่วางใจค่อยๆ เอาหูแนบกับประตู จักรวาลหันมามอง เรียกเสียงเบาๆ
“ยัยเกล้า”
รัดเกล้าเอานิ้วแตะปากเป็นเชิงบอกไม่ให้พ่อส่งเสียง
แนนนี่ค่อยๆ ย่องมาเอาหูแนบประตูเช่นกัน ภวัตอ้าปากจะพูด แต่แนนนี่จุ๊ปากให้เงียบก่อน ภวัตเดินมานั่งบนเตียง ...สีหน้าแววตาดูอ่อนอกอ่อนใจ
จักรวาลดึงรัดเกล้าออกมา หลังจากไม่ได้ยินเสียงผิดปรกติใดๆ
“ไปนอนได้แล้ว” จักรวาลพูดเสียงเบา
“เกล้าอยากฟัง”
“ก็เห็นแล้วว่าไม่มีใคร ภวัตมันคงไม่หน้ามืดขนาดเอาผู้หญิงมาซ่อนไว้ในห้องหรอก ไปแปรงฟันต่อไป๊”
รัดเกล้าหน้างอ บ่นพึมพำเดินเข้าห้องไป จักรวาลแยกย้ายเข้าห้องเช่นกัน
“ไปกันหมดแล้วค่ะ” แนนนี่เอ่ยขึ้น
“ต้องการอะไร” ภวัตเสียงขุ่น หน้าตาเฉยเมย แนนนี่หน้าสลด
“เธอยังทำให้พี่เดือดร้อนไม่พออีกเรอะ”
“พี่ภวัตโกรธแนนนี่จริงๆ”
ภวัตยังหน้าบึ้ง แนนนี่เม้มปาก ทั้งน้อยใจและเสียใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ...แนนนี่จะไม่กวนอีกแล้ว”
แนนนี่พูดในขณะที่น้ำตาซึม แล้วหายวับไป ส่วนภวัตเอนตัวลงนอน แล้วหลับตาลงอย่างยากเย็น
แนนนี่กลับเข้ามาในห้อง เอนตัวลงนอนหันหลังให้ชิกเก้น
“เป็นอะไรฮึ! แนนนี่”
“เปล่า!”
“งั้นแปลว่าเป็น” ชิกเก้นดักคอ
“ชิกเก้นช่วยอยู่เงียบๆ ได้มั้ย...แนนนี่...แนนนี่ไม่อยากได้ยินเสียงอะไร”
“เมี้ยว!” ชิกเก้นร้อง ทรุดตัวลงหมอบนอน
แนนนี่นอนน้ำตาไหล พยายามกลั้นสะอื้น นึกถึงใบหน้าหมางเมิน เฉยและเย็นชาของภวัตเมื่อครู่
“เธอยังทำให้พี่เดือดร้อนไม่พออีกเรอะ”
ภาพภวัตเลือนหายไป แนนนี่กัดปากแน่น
เช้าวันต่อมา ทาฮิร่ากำลังสาละวนปรุงยาอายุวัฒนะ อยู่ภายในบ้าน
“วันนี้ได้ปลาปักเป้า...พิษของมันจะทำให้ซูซ่า” ทาฮิร่ายกแก้วขึ้นดื่ม
“เมื่อคืน! แนนนี่แอบนอนร้องไห้” เสียงชิกเก้นรายงานข่าวรับอรุณ
ทาฮิร่ารีบวางถ้วยลง “ทำไม”
“เธอไม่บอก” ชิกเก้นบอก
ทาฮิร่าร้อนใจยิ่งนัก ว่าคาถาแล้วหายไป
“แล้วยาอายุวัฒนะแก้วนี้ก็เป็นของชิกเก้น”
ชิกเก้นจัดการเลียกินอย่างรื่นรมย์
ผาดกับพรเริ่มเสิร์ฟอาหารเช้า เป็นข้าวต้มกลิ่นหอมฉุย
“เอ๊ะ! ทำไมแนนนี่ถึงยังไม่ลงมาอีก” ปัทมนแปลกใจ
“เดี๋ยวพรขึ้นไปดูให้ค่ะ”
“น้องดาไปเองดีกว่า” ดารกาอาสา
ธานีรีบห้าม “อย่าเลยน้องดา เดี๋ยวจะมีเรื่องกันอีก”
ดารกาหน้าสลดลงทันที
“น้องดาขอโทษค่ะ”
“ผาดไปดูซิ” ปัทมนหันมาบอกผาด
“ค่ะ” พรรับคำแล้วเดินออกไป
“เมื่อไหร่น้องดากับแนนนี่จะเป็นเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ บ้างคะ คุณแม่” น้ำเสียงดารกาเศร้าจนน่าสงสาร
“แต่เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นบ้างแล้วไม่ใช่หรือลูก” ปัทมนปลอบ
“ดีเพราะแนนนี่ พยายามหลบหน้าน้องดาต่างหากล่ะคะ”
ดารกาพูดด้วยสีหน้าน้อยใจ จนปัทมนและธานีต้องสบตากันด้วยความสงสาร
“ใครทำให้แนนนี่เสียใจ บอกยายมา! ยายจะสาปมันให้เป็น...เป็น...เป็นไส้เดือน” ทาฮิร่ามาถึงก็ถามขึ้นทันที
“เปล่าค่ะ”
“งั้นแนนนี่ร้องไห้ทำไม”
“ก็แนนนี่ไม่อยากหัวเราะแล้วนี่คะ” แนนนี่แถไปเรื่อย
“แหม! เราละก็” ทาฮิร่าค้อนหนึ่งวง
“ยายจ๋า...แนนนี่มาอยู่กับยายได้ยังไงจ๊ะ” จู่ๆ แนนนี่ก็ถามเรื่องชาติกำเนิดขึ้นมาอีก
“ก็นี่ไง้...อยู่ดีๆ ยายก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้หน้าบ้าน ยายจำได้ แม่นเลยว่าวันนั้นเป็นวันเก้าฉลอง! พอยายออกมาดูก็เห็นหนูนี่แหละ ถูกทิ้งอยู่ในตะกร้า” ทาฮิร่าเล่า
“งั้นพ่อแม่แนนนี่ ก็น่าจะอยู่ในเมืองเวทมนตร์ หรือไม่ก็เมืองใกล้เคียง...แนนนี่จะไปสืบดู” แนนนี่พูดเสียงมุ่งมั่น
“ดี!” ทาฮิร่าสะดุ้ง “เอ๊ย! ไม่ดี! หลานจะไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่แนนนี่ต้องไปจ้ะ ยายอย่าห้ามเลยนะจ๊ะ” แนนนี่ยืนกราน
“ถ้าแนนนี่ไป ยายก็จะไปด้วย เป็นไงเป็นกัน” ทาฮิร่าท่าทางขึงขัง
สองยายหลานไม่รู้ว่าผาดแอบฟังอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“คุณแนนนี่พูดกับใคร” ผาดตัดสินใจเคาะประตู “คุณแนนนี่ขา! คุณแนนนี่”
ประตูเปิดออก แนนนี่เดินออกมา
“อะไรจ๊ะน้าผาด”
ผาดไม่ตอบชะโงกเข้าไปมองสำรวจในห้องแล้วจึงถามขึ้น “คุณแนนนี่คุยอยู่กับใครคะ”
ทาฮิร่าเดินออกมา
“อุ๊ย! คุณยาย! สวัสดีค่ะ” พรรีบไหว้
“สินติ” ทาฮิร่ายกมือขึ้นรับ
ผาดงงเล็กๆ “คุณยายมาเงียบจังเลยนะคะ”
“ไปค่ะ...คุณยาย ลงไปทานข้าวกัน” แนนนี่พูดตัดบทขึ้น
จากนั้นแนนนี่กับทาฮิร่าก็เดินออกไป ผาดเดินตามและมองทาฮิร่าอย่างประหลาดใจสุดๆ
แนนนี่ และทาฮิร่าเดินเข้ามาติดตามด้วยพร ปัทมน ดารกาและธานี ไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณยาย” ปัทมนยิ้มแย้มทักทาย
ทาฮิร่ายกมือรับไหว้ “สันติ”
“คุณยายรับประทานอะไรมาหรือยังคะ” ดารกาเอ่ยขึ้นหน้าใสซื่อ
แนนนี่กัดปาก พยายามข่มอารมณ์เต็มที่ ธานีกุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้ให้
“เชิญนั่งครับ”
“ขอบใจจ้ะ”
ปัทมนหันไปสั่งพร “ไปเอาข้าวต้มกุ้ง”
“ไม่ต้องจ้ะ ฉันกินไม่เป็น ...คุณปัทมน...” ทาฮิร่าทำท่าจะพูดบางอย่าง แต่กลับหยุด ไม่ยอมพูดต่อ
“อะไรหรือคะ คุณยาย”
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
ทาฮิร่าเดินตามปัทมนเข้ามาในสวน ปัทมนตกใจหลังรู้เรื่องจากปากทาฮิร่า
“กลับเมืองเวทมนตร์หรือคะ”
“ใช่”
“ตายจริง! แล้วแนนนี่มิถูกจับ” ปัทมนตกใจหนัก
“แน่นอน ! ฉันถึงอยากให้คุณช่วยหว่านล้อมไม่ให้แนนนี่ไป”
“ได้ค่ะ...เย็นนี้ หนูจะพูดกับลูกเอง”
“มันขึ้นอยู่กับคุณนะ...ถ้าทำให้แนนนี่เปลี่ยนใจไม่ได้...ก็คงจะยุ่งเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ทาฮิร่ากังวล ในขณะที่ปัทมีสีหน้ายุ่งยากใจ
ภวัตมาถึงโรงพยาบาล ก็เดินตรงมาที่ห้อง แล้วเปิดประตู แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นไชยยืนอยู่ที่หน้าต่าง หันหน้าออกไปข้างนอก ภวัตปิดประตู แล้วทักทาย
“พี่ไชยมานานแล้วหรือครับ”
“ก็ไม่นานเท่าไหร่”
“เอ้อ...ผมยังคงยืนยันคำตอบเดิม”
ภวัตบอกเสียงจริงจัง ไชยค่อยๆ หันมาช้าๆ
ภวัตสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นไชยที่ทั้งดูแก่และร่วงโรยไปอย่างน่าประหลาด ผมข้างหน้าหงอกหน้าตาซูบซีด
“ผมทราบว่าพี่ไม่สบาย...แต่...เอ้อ...” ภวัตอึกอัก
“ไม่นึกว่าจะทรุดโทรมขนาดนี้ใช่ไหม”
ไชยพูดดักคอ ภวัตนิ่งไป
“ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง...เมื่อฟังจบแล้ว ช่วยบอกด้วยว่า มันเป็นความจริง หรือผมฝันไป”
“เชิญพี่นั่งเลยครับ”
ภวัตทรุดตัวลงนั่ง พร้อมๆ กับไชย
“เมื่อเช้าผมมีนัดกับน้องดา”
ภวัตมีสีหน้าแปลกใจ และสนใจเรื่องที่ไชยกำลังจะเล่า
เวลาเดียวกันนั้น ดารกา และธานี เดินมาจะขึ้นรถ ทันใดนั้น ดารกาหยุดชะงัก แล้วทำซวนเซเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือน้องดา” ธานีถามอย่างเป็นห่วง
“น้องดาปวดศรีษะค่ะ...อยู่ดีๆ ก็เกิดปวดขึ้นมา”
“ไปหาหมอมั้ย”
“ดีเหมือนกันค่ะ...ไปโรงพยาบาลพี่ภวัตก็ได้ พี่ธานีช่วยโทร. บอกพี่ภวัตก่อนดีไหมคะ”
ธานีพยักหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก ในขณะที่ดารกามองตามด้วยสีหน้านิ่งสนิท และเย็นชา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภวัตเหลือบมอง
“รับก่อนซิ” ไชยบอก
“ไม่เป็นไรครับ” ภวัตเกรงใจ
“รับเถอะ....เรื่องของผมค่อนข้างยาว” ไชยว่า
ภวัตดูชื่อแล้วกดรับ ถามธานีกลับ “มีอะไร”
“น้องดาไม่ค่อยสบาย ... ฉันจะพาไปหาแกที่โรงพยาบาล”
“ได้ ! พามาเลย” ภวัตปิดโทรศัพท์
“ใครเป็นอะไร” ไชยสงสัย
“น้องดาไม่ค่อยสบายครับ...ธานีกำลังพามาที่นี่”
ได้ยินชื่อดารกา ไชยตัวสั่นด้วยความกลัวขึ้นมาทันที
“น้องดาจะมา” ไชยทวนคำ
“ครับ”
“ผมไปละ!” ไชยลุกพรวดขึ้นทันที
ภวัตลุกตามด้วยความสงสัย “พี่ยังไม่ได้เข้าเรื่องเลย”
“ไม่เป็นไร .. พอดีนึกได้ว่านัดคนไข้ไว้”
ไชยเดินลนลานออกไปทันที ภวัตมองตามด้วยความคลางแคลงใจ
ไชยรีบเดินเข้ามาในห้องตัวเอง แล้วล็อคประตูทันที พึมพำอยู่คนเดียว
“มันรู้! มันรู้ทุกอย่าง...จะทำยังไงดี”
ไชยกระวนกระวาย สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ปัทมนอดใจทนรอถึงตอนเย็นไม่ไหว จึงขอคุยกับแนนนี่ หลังมื้อเช้า
“ลูกมีเวลาคุยกับแม่ตอนนี้แน่นะจ๊ะ” ถามแนนนี่น้ำเสียงซีเรียส
“ค่ะ...วันนี้แนนนี่มีเรียนบ่าย คุณแม่คุยได้เลย”
“แม่ได้ข่าวว่าแนนนี่จะไปสืบหาพ่อกับแม่ในเมืองเวทมนตร์” ปัทมนตรงเข้าประเด็น
“นึกแล้วว่ายายต้องบอกคุณแม่”
“แม่คงไม่ห้ามแนนนี่ เพราะรู้ว่าห้ามไม่ได้ แต่แค่อยากจะถามว่า แม่บกพร่องยังไง ลูกถึงจะทิ้งแม่ไป”
แนนนี่อึ้ง
“แนนนี่ไม่ได้ทิ้งค่ะ เพียงแค่อยากรู้ว่า แนนนี่มีพ่อมีแม่หรือเปล่า แล้วท่านทั้ง 2 เป็นใคร แนนนี่เคยคุยเรื่องพวกนี้กับคุณแม่แล้วนี่คะ” แนนนี่ยกเหตุผลมาอ้าง
“ใช่!…แต่ลูกไม่ได้บอกว่าลูกจะไป แม่เป็นห่วงหนูมาก...ไม่อยากให้ไปเลย”
“แนนนี่ทราบค่ะ”
“สำหรับแม่...ไม่ว่าแนนนี่จะเป็นอะไร แม่ก็รัก...แม่รับได้ทั้งนั้น ถ้าหากวันนึงลูกจะกลายเป็นอสูรร้ายหรืออะไรก็ตาม”
แนนนี่กอดปัทมนด้วยความซาบซึ้งใจ
ไม่นานหลังจากนั้น ภวัตตรวจดารกาเสร็จพลางเอ่ยขึ้น
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่”
“ไม่เครียดได้ไง เอาแต่คร่ำเคร่งกับตำรับตำรา” ธานีบ่นดุน้องสาวแสนดีกลายๆ
“น้องดาเลยทำให้ทั้งพี่ธานีกับพี่ภวัตต้องเสียเวลา” ดารกาตีหน้าใสซื่อ
“เรื่องเล็ก! ใช่ไหมพี่ภวัต” ธานีพยักเพยิดมาทางภวัต
ภวัตพยักหน้าให้ “พี่รู้ว่าถ้าน้องดาไม่ได้เจ็บป่วยจริงๆ ก็จะไม่มีวันปริปากกับใคร”
ดารกาแสนจะตื้นตัน “ขอบคุณค่ะ พี่ภวัต...เอ้อ...พี่ไชยอยู่หรือเปล่าคะ”
ภวัตและธานีรู้สึกแปลกใจ
“ถามทำไม!” ธานีถาม
“น้องดาอยากไปขอบคุณหน่อยค่ะ...เพราะพี่ไชยส่งของขวัญมาให้ เป็นรางวัลผลการสอบของน้องดา”
“หมอไชยไม่ค่อยสบาย แต่ลองแวะไปดูก็ได้ พี่จะพาไป” ภวัตว่า
“ขอบคุณค่ะ”
ภวัตเดินนำทั้งสองคนออกไป
ครู่ต่อมา ไชยเปิดประตูรับภวัต แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นดารกา
“สวัสดีค่ะ...เห็นพี่ภวัตบอกว่าพี่ไชยไม่สบายหรือคะ” ดารกาเอ่ยทักทายเสียงใส
ไชยพูดไม่ออก มองดารกาด้วยความหวาดหวั่น
“พี่ไชยเป็นอะไรหรือครับ” ธานีงง
“ผม ....เอ้อ” ไชยอึกอัก
“น้องดามาขอบคุณพี่ไชยที่กรุณาส่งของขวัญมาให้” ดารกาทำสีหน้ากังวลเป็นห่วงเป็นใย “แต่พี่ไชยท่าทางไม่สบายมากเลยค่ะ”
“ธานี! พาน้องดากลับก่อนเถอะ”
“ไป .... น้องดา”
“น้องดากลับก่อนนะคะ พี่ไชย” ดารกาไหว้ลาอย่างอ่อนช้อย
ไชยรับไหวแล้วหันไปมอง เห็นใบหน้าดารกาดูน่ากลัวราวกับใบหน้าปิศาจ ในขณะธานีกับภวัตอยู่ในมุมที่ไม่เห็น
ไชยร้องลั่น หมดสติไป พริบตานั้นดารกากลับมีสีหน้าเป็นปกติ มองธานีและภวัตที่ช่วยกันประคองไชยขึ้น สีหน้าเย็นชา
ดารกายืนอยู่หน้าห้องคนไข้ที่หมอและพยาบาลกำลังช่วยไชยอยู่ จังหวะที่ดารกาทอดสายตามองไปเบื้องหน้า แววตาดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก
สักพักหนึ่งประตูห้องคนไข้เปิดออก ธานีเดินออกมา
“น้องดา”
ดารกาหันกลับมา สีหน้าแววตากลับกลายเป็นห่วง และกังวลใจอย่างหนัก
“พี่ไชยเป็นยังไงบ้างคะ”
“หลับไปแล้ว”
ภวัตเดินตามออกมา ดารกาพูดขึ้น น้ำตาคลอ
“น้องดาไม่เข้าใจ...ทำไมพี่ไชยถึงต้องกลัวน้องดามากขนาดนั้น”
“คงไม่ใช่หรอก...หมอไชยจะกลัวน้องดาทำไม” ภวัตปลอบดารกา
ระหว่างนั้นบุษบา เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “พี่ไชยเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ยังไม่ทราบสาเหตุครับ” ภวัตบอก
“บุษไม่น่าแวะไปธุระก่อนเลย...ภวัตเข้าไปเป็นเพื่อนบุษหน่อยซิคะ”
บุษบาเกาะแขนภวัตเดินเข้าห้องไป
ธานีหันมาชวนน้องสาว “เรากลับกันเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ”
“ค่ะ”
ดารการับคำอย่างว่าง่าย จากนั้นสองคนก็เดินออกไป
เวลาต่อมา ภวัตเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน แล้วรินน้ำดื่ม ทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้น
“วันนี้มาได้อย่างราบรื่นดีนี่ครับ” ภวัตทักทายแปลกไป แต่ดูไม่แปลกใจ
“เธอไม่ตกใจแล้วเรอะ” ทาฮิร่าซะอีกที่ประหลาดใจ
“ผมเริ่มรู้สึกเคยชินแล้วละครับ”
ทาฮิร่าทรุดตัวลงนั่ง “ว้า! งั้นก็ไม่สนุกน่ะซี”
“บอกธุระของคุณยายมาเลยครับ ! แต่ถ้าเป็นเรื่องที่แนนนี่ไปฟ้องคุณยาย...”
“หือ...” ทาฮิร่างง
“อ้าว! คุณยายไม่ทราบเรื่องหรือครับ” ภวัตงงที่คราวนี้แนนนี่ไม่ฟ้องยาย
“หลานสาวฉันไม่ใช่พวกปากมากนี่ยะ”
ภวัตยกมือแตะปากตัวเองโดยอัตโนมัติ
“แนนนี่อยากรู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร” ทาฮิร่าพูดเข้าธุระ
“แล้วเป็นใครล่ะครับ” ภวัตสงสัย
“โฮ้ย! นี่ฟังเฉยๆ มั่งได้มั้ย ไม่มีใครรู้หรอกว่า พ่อแม่แนนนี่เป็นใคร ทีนี้แกก็เลยจะลงมือสืบเอง”
ภวัตชะงักจ้องหน้าคุณยายแม่มด
“เรื่องมันก็เลยยุ่งไงล่ะ”
ทาฮิร่าพยักหน้าหนักแน่น น้ำเสียงเป็นทุกข์อย่างหนัก
อ่านต่อหน้า 3
แจ้งเพื่อทราบ...
ระหว่างนี้ "อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว" อาจจะอัพขึ้นเว็บไม่ตรงเวลา จึงแจ้งให้ทราบเวลาที่จะอัพขึ้นเว็บ ดังนี้ 9.30 น., 12.00 น., 18.00 น. และ 22.00 น. หรือตามเวลาอันสมควร หลังจากที่ทีมงานแก้ไขบทที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว
ทีมละครออนไลน์
หมายเหตุ : ตัวหนังสือสีแดง ในหน้านี้ คือบทที่เพิ่มใหม่
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 16 (ต่อ)
ธานีไปส่งดารกาที่มหา’ลัย ก็กลับเข้าบริษัท และตรงเข้าไปภายในห้องทำงานผู้เป็นแม่ พอปัทมนรู้เรื่องที่โรงพยาบาลก็หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
“น้องดาน่ะเรอะ” ปัทมนยังขำอยู่
“อ้าว! คุณแม่อย่าหัวเราะสิครับ ผมเห็นกับตาเลย หมอไชยน่ะกลัวน้องดาจนเป็นลมนะครับ” ธานีย้ำสิ่งที่เห็นมากับตา
“จะเป็นไปได้ยังไง”
“นั่นซิครับ น้องดาเองก็ตกใจเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนี้น่าเป็นห่วงน้องดามากกว่า...แกคงจะเสียขวัญ”
“ร้องไห้เลยละครับ” ธานีว่า
“เอาไว้ค่อยถามภวัตก็แล้วกัน ... อ้อ! แล้วเย็นนี้ ธานีไปรับน้องดาเองดีกว่า” ปัทมนกำชับลูกชาย
“ครับ! ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” ธานีลุกขึ้น “เออ .. ถ้ากลัวแนนนี่ยังจะพอฟังได้”
ปัทมนถึงกับชะงัก สีหน้าครุ่นคิด ขณะที่ธานีเดินออกไป
ทางด้านไชยยังคงนอนหลับไปด้วยฤทธิ์ยา ระหว่างนั้นเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบแผ่วเบา ในขณะที่เปลือกตาไชยขยับไปมาเล็กน้อยเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัว ใครคนนั้นกำลังจ้องมาที่ไชยจากมุมหนึ่ง
ไชยค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วกวาดตามองไปโดยรอบ และมองเลยเรื่อยไปจนถึงประตูระเบียง เห็นร่างใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้ ไชยผุดลุกขึ้นนั่งทันที เหงื่อแตกพลั่ก
ร่างนั้นค่อยๆ หันกลับมาอย่างช้าๆ ไชยตกตะลึงอ้าปากจะร้อง
เป็นดารกานั่นเอง ซึ่งเวลานั้นค่อยๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากช้าๆ เป็นเชิงห้าม
“นะ...นะ...น้อง...น้องดา..พะ...พี่ ...พี่กลัวแล้ว” ไชยระล่ำระลัก
ดารกาเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ห้ามพูด...อย่าพูด”
“พี่...พี่จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น” ไชยรับปากในท่าทีหวาดหวั่น
ร่างดารกาค่อยๆ เลือนหายไป ต่อหน้าต่อตา ไชยยังมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างหนัก สักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ไชยถึงกับสะดุ้งโหยง
ภวัตเปิดประตูเดินเข้ามา สีหน้าแปลกใจมากๆ เมื่อมองเห็นสภาพที่ไชยลุกขึ้นมานั่ง
“ตื่นแล้วหรือครับ .... ความจริงยังไม่ทันหมดฤทธิ์ยาเลย”
“ผมจะกลับบ้าน” ไชยโพล่งขึ้นมา
“ผมว่าพี่อยู่ที่นี่สักพักจะดีกว่า..สะดวกทุกอย่าง”
ไชยลืมตัว เผลอหลุดปากจนได้
“สะดวกกับผีน่ะซิ นังนั่นมันตามมาเล่นงานผม”
“ใครหรือครับ” ภวัตอึ้ง ถามอย่างสงสัย ในใจคิดว่าเป็นฝีมือแนนนี่!
ไชยหลับตานิ่ง พร้อมกับที่ใบหน้าดารกายกนิ้วขึ้นแตะปากช้าๆ ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
ไชยค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร”
ไชยพยายามยันกายลุกขึ้นยืน ร่างซวนเซเล็กน้อย
ภวัตรีบเข้าไปช่วย “ระวังครับ”
“ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า...คุณช่วยสั่งให้ใครบอกสุเทพให้เตรียมเอารถออกด้วย”
“ได้ครับ”
ไชยเดินอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเข้าไปห้องน้ำ ภวัตรอดูจนเห็นว่าไชยปลอดภัย ก็เดินออกไป
ภวัตเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ นางพยาบาลเดินยิ้มเข้ามาหา
“มีคนไข้ฝากดอกไม้อวยพรย้อนหลังวันเกิดอาจารย์นะคะ...หนูให้แม่บ้านเอาไปไว้ในห้องแล้ว”
“ขอบใจ...เดี๋ยวช่วยไปดูอาจารย์หมอไชยหน่อย...แล้วก็โทร.บอกสุเทพให้เตรียมรถด้วย ท่านจะกลับบ้าน”
“ได้ค่ะ”
ภวัตเดินออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อกลับห้องพัก
ภวัตเดินเข้ามาในห้องพัก แล้วล็อคประตู
“คุณยายครับ คุณยาย”
ทุกอย่างยังเงียบสนิท
“คุณยาย”
เสียงทาฮิร่าฟังก็รู้ว่าหงุดหงิด ดังก่อนร่างเจ้าตัวจะปรากฏ
“ฉันไม่ใช่ Call girl นะยะ ที่จะเรียกเมื่อไหร่ก็ได้”
สิ้นเสียงบ่น ทาฮิร่าก็ปรากฏตัว แต่กะระยะพลาดชนโครมกับประตูระเบียง
“โอ๊ย”
ภวัตหันไปทางประตูหน้าห้อง และเดินมา “คุณยาย”
“อูย...ฉันอยู่นี่”
ภวัตค่อยๆ เปิดประตูระเบียงออกไป แล้วชะงัก
“อ้าว! ทำไมมานอนแอ้งแม้งอยู่นี่ละครับ”
ทาฮิร่ารีบแก้ตัวข้างๆ คูๆ “ฉันอยากจะรู้ว่าพื้นมันเย็นหรือเปล่า”
ภวัตรู้ทันส่ายหน้าแล้วช่วยพยุงทาฮิร่าขึ้น
“ทีหน้าทีหลัง คุณยายกะระยะดีๆ หน่อย”
ภวัตพาทาฮีร่าเข้ามาในห้องแล้วพยุงพาไปนั่ง ทาฮิร่าร้องโอดโอย
“อุย...โอย”
“ทำไมไม่เสกคาถาให้หายเจ็บล่ะครับ” ภวัตแนะ
ทาฮีร่าชะงัก เงยหน้ามองภวัตอาการฉุนๆ
“อ้าว! จริงๆ นะครับ ถ้าเป็นผม เสกให้หายเจ็บไปแล้ว ไม่เห็นจะต้องมาร้องโอดโอยเลย!”
“นายภวิต! จงจำใส่ใจไว้เลยว่า อันความเจ็บความไข้มันเกิดแต่กรรม ไม่มีใครสามารถลบล้างได้” ทาฮิร่าพูดเป็นเชิงสอนด้วยน้ำเสียงฉุนๆ
“อ้อ! ผมนึกว่า มีแต่มนุษย์ที่มีกรรม...แม่มดก็มีกรรมกับเขาเหมือนกัน”
“แล้วเธอเรียกฉันมาทำไม”
“แนนนี่ก่อเรื่องอีกแล้ว คราวนี้ค่อนข้างร้ายแรงด้วย”
น้ำเสียงภวัตฟังดูจริงจัง จนทาฮิร่าชะงัก มองจ้องหน้าภวัตเขม็ง
เวลาเดียวกันบุษบาเดินเข้ามาในห้องคนไข้ ในขณะที่ไชยแต่งตัว โดยมีบุรุษพยาบาลช่วยด้วย
“พี่ไชยจะกลับแล้วหรือคะ”
ไชยหันมาพยักหน้าให้น้องสาว “ใช่! พี่อยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ที่นี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาลพร้อม”
“วันนี้กลับบ้านเร็วๆ นะ ยัยบุษ”
ไชยเดินมาที่ประตู แล้วหันมาทางบุษบา
“ยัยบุษ พี่เปลี่ยนใจจากดารกาแล้วนะ ไม่ต้องมาพยายามโปรโมทอีกต่อไป”
ไชยเดินออกไป บุษบาแปลกใจ
บุษบารีบตามมาจนทันไชย
“เดี๋ยวค่ะ”
ไชยหยุดเดินหันกลับมามอง
บุษบาพูดถามเบาๆ “ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็หมายความตามนั้น”
ไชยบอกแค่นั้นแล้วเดินเลยไป บุษบามองตามแปลกใจมากยิ่งขึ้น
ทาฮ่ารู้เรื่องการเจ็บป่วยและอาการประหลาดๆ ของไชย จากปากภวัต และพอรู้ว่านายภวิตคิดว่าเป็นฝีมือหลานสาวสุดที่รักก็ฉุนๆ
“อ้อ นี่เธอหาว่าหลานสาวฉันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด”
“แล้วคุณยายคิดว่า จะมีคนอื่น สามารถทำได้ขนาดนี้ไหมครับ” ภวัตแย้ง
“จะมีหรือไม่มี ฉันไม่รู้ แต่ยืนยันได้ว่า แนนนี่คงไม่สร้างภาพขนาดนั้น...ไม่ใช่วิสัย” ทาฮิร่าพูดอย่างมั่นใจ
“ผมว่าใช่แน่นอนเลยครับ” ภวัตดูจะมั่นใจมากว่าเป็นฝีมือแนนนี่
ทาฮีร่าถอนหายใจด้วยความรำคาญ
“ลองคิดทบทวนให้ดีซิ แนนนี่จะร้ายก็ร้ายตรงๆ ไม่ซับซ้อนแบบที่เธอเล่า แล้วก็ไอ้คนที่เธอบอกน่ะ” ทาฮิร่าอธิบายพลางตั้งข้อสังเกตให้ฟัง
“เขาชื่อหมอไชยครับ”
“จะหมอไชย หมอไม่ไชยอะไรฉันไม่รู้ ....ฉันรู้แต่ว่าเขาไว้ใจไม่ได้ เรื่องทั้งหมดนี่เขาอาจจะแต่งขึ้น”
“คุณยายต้องไปเห็นสภาพ แล้วจะถอนคำพูด” ภวัตเว้นจังหวะไปอีกนิด “ที่จริง...การที่ได้รู้ว่าพ่อแม่แนนนี่เป็นใครก็มีประโยชน์นะครับ...เพราะจะทำให้เรารู้สาเหตุของพฤติกรรมแนนนี่ได้” ภวัตอธิบาย
“เป๊ะ” ทาฮิร่าบอกเสียงดัง
“อะไรเป๊ะครับ”
ไม่มีคำตอบจากคุณยายแม่มด พร้อมๆ กับที่ร่างทาฮิร่าหายวับไป
เย็นย่ำในวันเดียวกันนั้น แนนนี่และปีเตอร์เดินคุยกันเข้ามาในบริเวณที่จอดรถ
“แนนนี่อาจจะไม่อยู่สัก 2-3 วัน...ปีเตอร์ช่วยดูเรื่องเรียนแทนแนนนี่หน่อยได้ไหม” แนนนี่พูดท่าทีจริงจัง
“แนนนี่จะไปไหน ปีเตอร์ขอไปด้วย ปีเตอร์จะออกค่าเครื่องบินค่าที่พัก อาหาร แถมด้วย พ็อกเก็ต มันนี่ ไม่จำกัด” ปีเตอร์อวดรวยตามความเคยชิน
“โฮ้ย! แนนนี่ไม่ได้ไปเครื่องบิน” แนนนี่ชักรำคาญ
“อย่าบอกนะว่าแนนนี่จะไปรถทัวร์” ปีเตอร์สงสัย
“แนนนี่ขี่ไม้กวาดไป
ได้ฟังคำพูดแนนนี่ ปีเตอร์ก็ระเบิดหัวเราะอย่างขบขัน
ระหว่างนั้น จู่ๆ รถคันหนึ่ง แล่นตรงมาประมาณเบรกแตก หยุดไม่อยู่
แนนนี่และปีเตอร์ยังหัวเราะแหย่เย้ากันเล่นไป รถคันนั้นพุ่งเข้ามาหาแนนนี่ ผู้คนในบริเวณนั้นกรีดร้องด้วยความตกใจ...บ้างชี้ให้หลบ แนนนี่และปีเตอร์ได้ยิน หันกลับมาดู...ทั้งคู่เบิกตากว้าง รถพุ่งเข้าใส่
ไวเท่าความคิด แนนนี่ผลักปีเตอร์ไปให้พ้นอีกทาง ส่วนตัวเองกลิ้งไปอีกทาง รถยนต์คันนั้นแล่นไปชนรั้วข้างๆ เครื่องยนต์ดับหยุดสนิท
แนนนี่และปีเตอร์มองกันอย่างตระหนก
เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น หวาดเสียว ถูกปีเตอร์และแนนนี่ ถ่ายทอดให้ผาดและพรฟัง ทั้งสองคนเล่าอย่างออกรส
“นี่ถ้าหากแนนนี่ไม่หันหลังไปดู มีหวังแบนแต๊ดแต๋ทั้งคู่เลย” ปีเตอร์เล่า
ผาดและพรทำท่าหวาดเสียว
แนนนี่เรียกปีเตอร์ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ปีเตอร์”
ปีเตอร์หันมามอง
“ปีเตอร์จำที่เคยเตือนแนนนี่ได้ไหม”
ปีเตอร์นึกได้รีบทบทวน “ระวังหลัง”
แนนนี่พยักหน้า “นี่มัน 2 ครั้งแล้วนะ ลองพยายามคิดซิว่าใครเป็นคนบอกปีเตอร์”
“ปีเตอร์คิดไม่ออก” ปีเตอร์บอก
ระหว่างนั้นดารกาเดินลงมา พร้อมถุงผ้าในมือ
“วันนี้พี่ดาเลิกเร็วจัง” ปีเตอร์ทักทาย
“นานๆ ทีจ้ะ ขอบใจนะปีเตอร์ที่พาแนนนี่มาส่ง” ดารกายิ้มเยื้อน หน้าตาใสซื่อ
“แนนนี่มีปาก พูดเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาขอบใจแทน” ที่สุดแนนนี่ก็ยังทนไม่ได้อยู่ดี
ดารกาทำหน้าเหยๆ ขณะที่ปีเตอร์กระทุ้งแนนนี่
“แล้วนี่พี่ดาจะไปไหน”
“ไปหาคุณแม่บ้านบานเย็น...น้องดามีของไปฝากแก” แล้วดารกาก็เดินออกไป
แนนนี่มองตามแล้วเบ้ปากประชดออกมา “คุณหญิงสุดจะดี”
บาบาร่าในร่างแม่บ้านบานเย็นรับถุงมาจากดารกาพลางเปิดออกดู
“ผ้ากันเปื้อน”
“ค่ะ น้องดาเห็นป้าบานเย็นชอบใช้ผ้ากันเปื้อน เลยฝากเพื่อนซื้อ”
บานเย็นบาบาร่าเป็นปลื้มเอามาก “น้องดาช่างมีน้ำใจจริงๆ ป้ามาอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีใครนึกถึงเล้ย”
“เขาคงไม่ทันนึกกันมั้งคะ”
บาบาร่ามองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครจึงถามออกมา
“น้องดา...ป้ามีอะไรจะถามเรื่องคุณหนูแนนนี่หน่อย”
“แนนนี่เป็นเด็กดีน่ารักมากค่ะ” ดารกาพูดขึ้นทันที
“เชิญทางนี้” บานเย็นเดินนำดารกาไป
บานเย็นบาบาร่าจูงดารกาเดินเข้ามาในห้องตัวเอง พร้อมถุงใส่ผ้ากันเปื้อน
“นั่งซิคะ”
“ขอบคุณค่ะ ป้าจะถามอะไรเกี่ยวกับแนนนี่หรือคะ”
“คืองี้ค่ะ คุณอิงบ้านใกล้ๆ นี่แกเล่าให้ฟังว่า เคยเห็นคุณหนูแนนนี่ขี่ไม้กวาด! ป้าบานเย็นงี้ขำกลิ้ง” บาบาร่าทำทีเป็นหัวเราะขำ
“อุ๊ย...คุณอาอิงไปเอามาจากไหนกันคะ” ดารกาไม่เชื่อ
“เจ้าโป่งก็เล่าเหมือนกันนะคะ” บาบาร่าสำทับ
“ตายละ ไปกันใหญ่แล้ว” ดารกาว่า
“ถามจริงๆ น้องดาไม่เคยเห็นอะไรเลยหรือ”
“ป้าบานเย็นขา...แนนนี่เป็นน้องสาวคนเดียวของน้องดา ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ต่างคนต่างมา แต่น้องดาก็รักแนนนี่มาก”
“โถ ...แม่คุณ” บาบาร่าซาบซึ้งในความแสนดีของดารกา
“น้องดายังดีกว่าแนนนี่ เพราะแนนนี่ไม่รู้จักคุณพ่อคุณแม่เลย แต่ของน้องดาแม่เอามาทิ้งไว้”
ขณะฟังดารกาสีหน้าบาบาร่าคิดใคร่ครวญตาม
แม่มดสามพันปี กับอสูรน้อยตัวร้าย ที่ไม่รู้สถานภาพกันและกัน ทั้งคู่ต่างคนต่างหลอกกันอย่างมีชั้นเชิง
ดารกาพยายามจะให้บาบาร่าเข้าใจว่าแนนนี่เป็นอสูรเต็มร้อย ส่วนบาบาร่าเองจะหาข่าว และความเป็นไปของแนนนี่
ครู่ต่อมา รัดเกล้าเพิ่งกลับจากที่ทำงานเดินเข้ามา มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นบาบาร่าเดินออกมากับดารกาอย่างสนิทสนม
“อ้าว! น้องดา” รัดเกล้าร้องทัก ดารกายกมือไหว้
“วันนี้ น้องดาเห็นผ้ากันเปื้อนสวยๆ ก็เลยซื้อมาฝากป้าบานเย็นค่ะ ของพี่โป่งมีผ้าขาวม้า ส่วนพี่พรกับน้าผาดเป็นเสื้อ” ดารกาความความดีเป็นชุด
“โห! ซื้อมาฝากทั่วถึงเลย น้องดาไปไหนมาล่ะ” ดารกาแซวพลางถาม
“เพื่อนน้องดาเขาไปงาน โอท็อป ค่ะ น้องดาฝากซื้อมั่วๆ ปรากฏมีครบทุกอย่าง”
“ขอบใจแทนป้าบานเย็นกับโป่งนะจ๊ะ” รัดเกล้ายิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องดากลับละนะคะ ไปละค่ะ ป้าบานเย็น” ดารกาไหว้รัดเกล้าและบานเย็นบาบาร่า
“จ้ะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” บาบาร่ายิ้มปลื้ม
ดารกายิ้มอย่างน่ารักและอ่อนหวานให้ทั้งคู่ แล้วเดินออกไป
บาบาร่าเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ยิ้มไม่หุบเลยนะ คุณป้าบานเย็น” ไทเกอร์แซวขึ้น
“แน่นอน! นานๆ จะมีใครมาสนใจใยดีฉันซักทีนึงนี่!...ขนาดแกอยู่กับฉันมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยปี ยังเอาใจใส่ฉันไม่ได้ครึ่งของน้องดาเลย!” บาบาร่าด่ากระทบชิ่ง
“ใหม่ๆ ก็เงี้ย!” ไทเกอร์ว่า
“ฉันชักอยากมีหลานเป็นของตัวเองแบบทาฮิร่าบ้างแล้วซิ!...แต่ทาฮิร่ามันโง่ไปเอาอสูรมาเลี้ยง! ไม่รู้เกิดเป็นแม่มดได้ไง! ดูไม่ออกไหนอสูรไหนแม่มด! สู้ฉันก็ไม่ได้...มองปร๊าดเดียวรู้เลย!” บาบาร่าไม่รู้ว่าที่แท้ตัวเองนั่นแหละโง่!
“ฉลาดซ้า!...” ไทเกอร์เหมือนจะชม
“นังอสูรแนนนี่มันพยายามจะรังแกหลานน้องดาของฉัน! ฉันต้องคอยปกป้องสุดชีวิต”
บาบาร่าพูดด้วยสีหน้าหนักแน่นจริงจัง
กลับจากแวะเอาของไปให้บานเย็น ดารกาเดินกลับเข้ามา ในขณะที่แนนนี่และปีเตอร์นั่งคุยกันอยู่
“ยังไม่กลับอีกเหรอ ปีเตอร์! อยู่ทานข้าวเย็นกันเลยซิ” ดารกาเอ่ยขึ้น
“ทำไมต้องมากระทบกระแทกแดกดันกันด้วย” แนนนี่เริ่มหงุดหงิดอีก
ดารกาหน้าเหวอ “อะไรกันจ๊ะแนนนี่!...แค่พี่ดาชวนปีเตอร์ทานข้าวเย็นเท่านั้นเอง”
“ก็นั่นแหละ...ไป! ปีเตอร์! ออกไปนั่งรถเล่นกันดีกว่า” แนนนี่หันมาชวนปีเตอร์
“ไปซิ!...” ปีเตอร์กับแนนนี่ขยับตัวลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวแนนนี่ไปเอาตังค์ก่อน!”
“ไม่ต้อง!...ปีเตอร์เลี้ยงเอง! อยากได้อะไรเดี๋ยวจัดให้” ปีเตอร์น้ำเสียงระรื่น
“ปีเตอร์จะทำให้แนนนี่เสียเด็ก!” ดารกาพูดแทรกขึ้นมา
แนนนี่กำลังจะเดินไป หันขวับกลับมา ตาลุกวาว ขณะที่ปีเตอร์เหวอๆ
“คุณแม่ท่านสอนให้เรารู้จักกินรู้จักใช้ แต่ปีเตอร์กำลังทำให้แนนนี่ฟุ่มเฟือย” ดารกาทำทีเป็นห่วงแนนนี่จึงต่อว่าปีเตอร์
“แล้วมันเรื่องอะไรของพี่ดา! อิจฉาละซี้”
“พี่น่ะหรืออิจฉาแนนนี่” ดารกาแสนดีอธิบาย
“ไปเถอะ ปีเตอร์! ขี้เกียจฟังยัยแก่บ่น! รำคาญ!”
แนนนี่ดึงแขนปีเตอร์ลากออกไป ในขณะที่สีหน้าดารกาค่อยๆ กลับเป็นใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกตามเดิม
ครู่ต่อมาแนนนี่ก็เดินนำปีเตอร์เข้ามาภายในร้านก๋วยเตี๋ยว ปีเตอร์บ่นอุบ
“ร้อนตายชัก ไปกินเสต็กในโรงแรมดีกว่า ได้จ่ายเงินเป็นกอบเป็นกำ กินแบบนี้ไม่ถึงร้อยมั้ง”
“ถ้าอยากจ่ายเงินเป็นกอบเป็นกำเดี๋ยวจัดให้” แนนนี่ประชด
“จริงนะ...ต่ำกว่าแสนปีเตอร์ไม่ยอมนะ” ปีเตอร์ดี๊ด๊าถูกใจเป็นที่สุด
“เออ!” แนนนี่หันไปสั่งก๋วยเตี๋ยว “เส้นใหญ่ราดหน้าทะเล”
“มีเป๋าฮื้อมั้ย” ปีเตอร์เว่อร์ตล๊อด
“อย่าเว่อร์น่า ปีเตอร์” แนนนี่เอ็ดแล้วหันไปสั่งต่อ “เพิ่มเป็น 2 แล้วน้ำบ๊วย 2”
บริกรจดออร์เดอร์ แล้วเดินไป
“เมื่อกี้ปีเตอร์ว่า พี่ดาแปลกไปนะ ปกติเขาจะไม่ตำหนิแนนนี่ต่อหน้าใครแต่เมื่อกี้เขาตำหนิเราทั้ง 2 คนเลย” ปีเตอร์ไม่รู้ว่าตัวเองแหย่รังแตนเข้าแล้ว
“ธาตุแท้คงเริ่มจะออก” แนนนี่ว่า
“แต่จะว่าไป เขาก็พูดด้วยความหวังดี” ปีเตอร์บอก
“ดีตายละ” แนนนี่ประชด
ถึงตอนนี้ บริกรก็ยกราดหน้านำมาเสิร์ฟให้ แนนนี่เริ่มปรุงก๋วยเตี๋ยว เช่นเดียวกับปีเตอร์
ค่ำคืนนั้น ดารกานุ่งผ้าขนหนูกระโจมอก เข้ามาในห้องอาบน้ำ ดารการู้สึกเหมือนว่าตัวเอง ถูกจับตา และแอบมองอยู่ จากสายตาลึกลับคู่หนึ่ง
ดารกาหันไปมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นมีใคร จึงหันกลับไป แต่ดวงตาวาววับอย่างระแวดระวังตัว ไม่ใช่แววตาของอสูรร้าย แต่เป็นความร้ายกาจในตัวดารกานั่นเอง สีหน้าดารกายังบ่งบอกว่ารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
ระหว่างนั้น มีกลุ่มควันสีดำลอยเลื้อยผ่านหลังดารกาไป บรรยากาศในห้องน้ำดูวังเวงและน่ากลัว
เวลาเดียวกันภายในห้องพระของบ้าน ปัทมนกำลังถวายแจกันดอกบัวก่อนไหว้พระตามปกติ อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน
ปัทมนก้มลงกราบสามที แล้วเริ่มสวดมนตร์ คาถาชินบัญชร อธิษฐานจิตให้ลูกๆ ทุกคน และแผ่เมตตาให้บรรดาเจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทุกชีวิตทั้งดี ร้าย ในสามภพ โลก-สวรรค์-นรก
เสียงสวดมนตร์ของปัทมนฟังดูเยือกเย็น สุขุม และเปี่ยมสุขยิ่งนัก
“ดารกา” เสียงเรียกของอสูรสดับฟังดูแหบแห้งโหยหวนมากกว่าทุกครั้ง
ดารกาหันขวับ “ใครน่ะ”
สายตาดารกาจ้องเขม็งที่แผ่นกระจกกั้นภายในห้องน้ำ ซึ่งค่อยๆ ปรากฏใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวเต็มขั้นของอสูรสดับ แทนที่เงาใบหน้าของเธอ
ดารกาเห็น ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ข้าเอง..อสูรน้อยลูกรักของพ่อ เห่อๆๆๆ” อสูรร้ายหัวเราะเสียงเย็นเย็นและยานคาง
“ฉันไม่ใช่ลูกของแก ไอ้ปีศาจร้าย” ดารการ้องลั่นอย่างตกใจ
“ไม่มีใครหนีความจริงพ้นหรอก คนที่วิ่งหนีความจริงก็เหมือนกับวิ่งหนีเงาของตัวเอง เหนื่อยซะเปล่าๆ” อสูรสดับพยายามเกลี้ยกล่อมโน้มน้าว
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ! ฉันไม่อยากฟัง” ดารกายกสองมืออุดหู
อสูรร้ายได้ฟังก็โกรธแค้น “ยอมรับซะเถอะ ว่าเจ้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขเผ่าพันธุ์อสูรของข้า”
“ไม่!! ฉันไม่ใช่อสูร”
จังหวะนั้นเสียงสวดของปัทมน มาถึงช่วงแผ่เมตตาดังลอดขึ้นมาพอดี
เหตุการณ์ในห้องน้ำ ดารกา คว้าเอาขวดแชมพูที่อยู่ใกล้มือ เขวี้ยงใส่กระจกอย่างสุดแรงเกิด กระจกแตกละเอียดดังเพล้ง กระจายใส่ใบหน้าดารกา!!
“อ๊าย” ดารกากรีดร้องสุดเสียง
ราวกับว่าอสูรร้ายได้ถูกพลังแห่งพุทธคุณ คุณงามความดีที่ปัทมนแผ่เมตตาให้ อัดกระแทกจนร่างอสูรสดับจนกระเด็นออกไป
ปัทมนได้ยินเสียงเหมือนของตกแตกอย่างแรง ชะงัก แล้วหันไปสวดมนตร์ต่อ
ระหว่างดารกาโผล่พรวดพ้นขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำที่ตัวเองนอนแช่อยู่
อสูรสดับกระอัก สีหน้าเจ็บปวด ร้องครวญครางอยู่สักพัก อสูรร้ายกล่าวอาฆาตอย่างคั่งแค้นแล้วหายตัวไป ในขณะที่กลุ่มควันสีขาวนวลตา คลื่นแห่งความดียังลอยวนล้อมอาณาบริเวณบ้านปัทมนไว้ ก่อนจะค่อยๆจางหายไปในที่สุด
พลังแห่งพุทธคุณนั่นเองที่เป็นแรงต้าน ไม่ให้อสูรร้ายเข้าครอบงำดารกาได้ดั่งใจหมายเหมือนทุกคราครั้ง
ทางด้านดารกายังคงหายใจหอบถี่ๆ
“ชีวิตฉันกำลังจะสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และความรัก อีกไม่นานพี่ภวัตจะพาฉันหลุดพ้นจาก...” ดาร
กาชะงักงัน หยุดคำพูดไว้ทันที ดวงตาฉายแววทั้งเจ็บใจ และดูร้ายกาจ “ฉันไม่มีวันยอมให้พังเด็ดขาด”
ดารกาสบถอย่างเดือดดาล แล้วเอาฟองน้ำถูแขนตัวเองแรงขึ้นๆ และแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอยากจะลบล้างความเป็นอสูรออกจากตัว
“ฉันไม่มีวันยอมรับสายเลือดอสูร...ไม่มีวัน!” ดารกาขัดแรงขึ้นอีก “ไม่มีวัน”
ใบหน้าของดารกาเวลานี้ แววตาแข็งกร้าวดุร้ายขึ้นกว่าเดิม พลังอสูรร้ายในตัวตนของดารกายิ่งแก่กล้าขึ้นทุกทีๆ
ครู่ต่อมาปัทมนสวดคาถาชินบัญชรจบ ออกจากห้องพระ เดินมาเคาะห้องดารกา
“น้องดา...น้องดา...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
พักหนึ่งประตูเปิดออก ดารกาอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำ
“อะไรหรือคะ คุณแม่”
“เมื่อกี้แม่ได้ยินเหมือนเสียงอะไรตกแตก” ปัทมนถามอย่างร้อนใจ
“อ๋อ...กระจกน่ะค่ะ น้องดาซุ่มซ่ามนิดหน่อย” ดารกาเล่าเรื่องเท็จ
“งั้นเดี๋ยวแม่ให้พรมาช่วยเก็บกวาดนะลูก”
“ค่ะ”
ปัทมนจ้องมองอย่างสำรวจลูกสาวแสนดี “ดีนะที่หนูไม่โดนบาด พรุ่งนี้เช้า แม่จะเรียกช่างมาดูให้”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณแม่”
มีเสียงแตรรถดังขัดจังหวะขึ้นจากหน้าบ้าน
“ยัยแนนนี่คงจะกลับแล้ว แม่จะลงไปดูหน่อย”
“คุณแม่อย่าไปดุแนนนี่นะคะ” ดารกาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแนนนี่
“แม่ไม่ดุต่อหน้าปีเตอร์หรอกจ้ะ แต่ยังไงก็ต้องเตือนบ้าง ริอ่านออกไปกินข้าวกับเพื่อนผู้ชายตอนค่ำ”
น้ำเสียงปัทมนไม่พอใจ ส่ายหน้าแล้วเดินลงไป
ดารกามองตามสีหน้าเย็นชานิ่งสนิท แววตายังลึกล้ำเช่นเดิม
เช้าวันต่อมา ดารกานั่งอยู่ที่ชิงช้าในสวนหลังบ้านคนเดียว ในมือถือตำราเรียนวิชาแพทย์เล่มหนา แต่นั่งใจลอย
มองเหม่อ จนไม่รู้ตัวว่าเวลานั้นที่หลังมีมือใครคนหนึ่งจับบ่าตัวเองอยู่
ดารการู้สึกตัว สะดุ้งเฮือก หันขวับไปมอง
“น้องดา” ที่แท้เป็นภวัตนั่นเอง
“พี่ภวัต มาไม่ให้สุ้มให้เสียง น้องดาตกใจหมด”
ภวัตยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ขวัญอ่อนจริง มัวใจลอยคิดอะไรอยู่หรือว่า.... โดนแนนนี่เหวี่ยงใส่เอาอีก”
ดารการีบทำทีปฏิเสธแบบมีพิรุธ “ปละ... เปล่าค่ะ หรือต่อให้มี น้องดาเป็นพี่ก็ต้องเสียสละให้น้องเสมอค่ะ”
“น้องดาให้ท้ายแนนนี่เกินไป แนนนี่เป็นเด็กหัวแข็ง ผิดก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด ทำไมพี่จะไม่รู้” ภวัตว่า
“พี่ภวัตอย่าว่าแนนนี่เลยนะคะ แนนนี่เป็นเด็กที่เชื่อมั่นในตัวเอง” ดารกายิ้มอย่างเอ็นดูน้องสาว “แกเป็นเด็กพิเศษของครอบครัวเราค่ะ”
ภวัตอี้งไป นึกถึงหน้าแนนนี่ แล้วยิ้มๆออกมา ภวัตนึกถึงเหตุการณ์ระหว่างตัวเองกับแนนนี่ตอนที่ใช้เวทมนตร์
“ใช่ ! พิเศษจริงๆ เราคงไม่ได้พบใครแบบนี้อีกแล้ว” ภวัตพลั้งปากออกมา
“พิเศษขนาดนั้นเลยหรือคะ” ดารกาถามซักทันที
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...ก็แค่เป็นเด็กดื้อพิเศษกว่าใครในโลกไงล่ะ”
ภวัตรีบแก้ต่าง พร้อมกับเอามือโยกหัวขยี้ผมดารกาเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อน แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลนัก เพราะดารกาชักตงิดๆ ในคำพูดเมื่อครู่ของภวัต
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของภวัตดังขัดจังหวะขึ้น ภวัตกดรับสาย
“ครับ บุษ”
ได้ยินว่าใครโทร.มา แววตาดารกาวาววับโกรธขึ้นมา แต่ภวัตไม่เห็น!!
บุษบากำลังขับรถอยู่บนถนน แสร้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้สะอื้นฮักๆ
“ภวัตคะ...เที่ยงนี้คุณว่างไหมคะ..บุษทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ”
ภวัตคุยโทรศัพท์กับบุษบาอยู่ในสวนที่เดิม ภวัตรู้สึกตกใจกับน้ำเสียงของบุษบา
“ใจเย็นนะครับ บุษ ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข”
“บุษมีเรื่องร้อนใจมาก อยากจะปรึกษาคุณ”
“งั้นผมจะรีบไปหาบุษเดี๋ยวนี้” ภวัตบอก
ดารกาได้ยินทุกประโยค ไม่พอใจอย่างมาก แต่รีบซ่อนไว้ ปั้นหน้ายิ้มใสซื่อแสนดีให้ภวัต
ทางด้านบุษบาพอกดสาย ก็เลิกแสร้งร้องไห้ ฉีกยิ้มอย่างพอใจ ยักไหล่พรึ่ด “สำเร็จ”
ภวัตวางหูโทรศัพท์แล้วหันมาพูดกับดารกา
“เดี๋ยวพี่มานะครับ น้องดา”
ภวัตรีบปลีกตัว ลุกออกไปอย่างร้อนรน ดารกามองตามหลัง กำมือเกร็งอย่างไม่สบอารมณ์
“นังบุษบา! มารยาร้ายร้อยเล่มเกวียนนักนะฉันไม่มีวันปล่อยแกเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงหัวใจฉัน”
ดารกาไม่สบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปาก เหมือนมีแผนการร้ายในใจ
อ่านต่อหน้า 4 วันนี้ (17 ก.พ. 55) เวลา 18.00 น.
แจ้งเพื่อทราบ...
ระหว่างนี้ "อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว" อาจจะอัพขึ้นเว็บไม่ตรงเวลา จึงแจ้งให้ทราบเวลาที่จะอัพขึ้นเว็บ ดังนี้ 9.30 น., 12.00 น., 18.00 น. และ 22.00 น.
หรือตามเวลาอันสมควร หลังจากที่ทีมงานแก้ไขบทที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว
ทีมละครออนไลน์
หมายเหตุ : ตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี มากที่สุด!!!
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 16 (ต่อ)
แนนนี่เพิ่งเรียนเสร็จ ออกมาจากห้องเรียน เดินมาตามทาง แนนนี่เริ่มสังเกตเห็นว่าตามทางที่เดินอยู่ มีช่อดอกไม้เต็มไปหมด และที่พื้นโรยด้วยกลีบกุหลาบ แนนนี่รู้สึกประหลาดใจ
จังหวะนั้น บรรดาเพื่อน รุ่นพี่นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างมามุงดูกันใหญ่ ตื่นเต้นไปหมด
สักพักหนึ่ง ปีเตอร์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมตุ๊กตาหมีสีขาวตัวใหญ่เว่อร์ๆ ปีเตอร์หมายมาดว่าจะให้แนนนี่กอดตุ๊กตาหมีตัวนี้นอน แทนการกอดตัวเอง
ปีเตอร์คุกเข่ายื่นตุ๊กตาหมีให้แนนนี่
“ตุ๊กตาหมีแทนใจ เอาไว้กอดอุ่นๆ คืนนี้ครับ แนนนี่”
ออฟชั่นความหวานเว่อร์ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะตุ๊กตาหมีตัวนั้นใส่เสื้อยืดปักชื่อว่า “PETER”
นักศึกษาสาวกรี๊ดลั่น “อร๊ายยย.... น่ารั๊กอ่ะ”
“เนื่องในวโรกาสอะไรไม่ทราบ” แนนนี่ถามเสียงขุ่น
“ผมคิดถึงแนนนี่ทุกวินาที ไม่มีโอกาส”
สีหน้าแนนนี่ไม่ยินดีสักนิด แถมออกอาการเลี่ยนๆ กับความหวานเว่อร์ของปีเตอร์
“ให้ปีเตอร์ขับรถสปอร์ตคันใหม่ ไปส่งแนนนี่ที่บ้านนะ รถใหม่ของปีเตอร์ทุกคันต้องแนนนี่นั่งเป็นคนแรก ปีเตอร์ไม่ยอมให้ใครตัดหน้านั่งให้เบาะช้ำ เป็นอันขาด แม้แต่ป่าป๊าหม่าม้า” ปีเตอร์สาดลูกอ้อนใส่แนนนี่เต็มๆ
สุดจะทนไหวแล้ว แนนนี่ชี้จิ้มหน้าผาก “หยุด” ปีเตอร์หุบปากทันที “ไม่ต้องพูดมาก รู้แล้วว่าซุปเปอร์เว่อร์”
ปีเตอร์ส่งยิ้มหวานให้แนนนี่ ไม่ได้สำเหนียกสักนิดว่า...ไม่ได้ผล
จู่ๆ แนนนี่ก็รู้สึกร้อนรน เหมือนมีกระแสอะไรบางอย่างกวนใจ
“รู้สึกเขม่นตาตึ๊กๆๆ สงสัยมีใครรบกวนป่วนของสุดรักสุดหวงของแนนนี่อีกและ” แนนนี่หมายถึงภวัต หันมาทางปีเตอร์ “อ้ะ” ยัดตุ๊กตาหมีคืนใส่มือปีเตอร์
แนนนี่รีบไปที่รถของปีเตอร์ ในขณะที่ปีเตอร์ยังเหวออยู่
“เอ้า จะอึ้ง ทึ่ง เหวออีกนานมั้ยปีเตอร์ จะให้แนนนี่ขับไปเองใช่มั้ย”
“อะจร้า จ้ะๆๆๆ” ปีเตอร์รีบตามแนนนี่ไปทันที
เวลาเดียวกันภายในร้านอาหารญี่ปุ่นหรูหรา บนโต๊ะเบื้องหน้ามีอาหารญี่ปุ่น เช่น กุ้งทอดเทมปุระ ปลาดิบ ฯลฯ
ภวัตเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับบุษบาที่มานั่งรอก่อนแล้วอย่างใจเย็น ไม่ได้ร้อนรนอย่างที่ภวัตเป็นห่วงสักนิด
“บุษเรียกผมมา มีธุระอะไรหรือครับ”
“มาหาบุษ ต้องมีธุระด้วยหรือคะ”
ภวัตทำหน้ากระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้า คายไม่ออก
บุษบาลุกขึ้นมานั่งเบียดฝั่งเดียวกับภวัต
“บุษก็แค่....มีเรื่องร้อนใจ อยากปรึกษาคุณเรื่องแต่งงาน” บุษบาโพล่งออกมา ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ภวัตกระเถิบออก แต่บุษบาก็ยิ่งเบียดเข้าไปอีกจนแทบจะนั่งตักกันอยู่แล้ว
“บุษครับ...อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้ ตอนนี้เลยนะครับ ผมว่าเราทานอาหารกันก่อนเถอะ”
บุษบาไม่สนใจฟัง ยังคงเอามือโอบกอดภวัต ซบภวัต ด้วยท่าทีออดอ้อน ออเซาะ อย่างไม่เกรงสายตาประชาชี
“แต่บุษยังไม่หิวนี่....อยากกอดคุณไว้แบบนี้นานๆ”
บุษบาหอมแก้มภวัตฟอดใหญ่ โดยที่ทันตั้งตัวภวัตอายจนหน้าแดง
“เราแต่งงานกันเถอะนะคะ บุษรอคุณมาตั้งหลายปีแล้วอยากสวมชุดเจ้าสาวเต็มแก่ ลูกเพื่อนบุษบางคนน่ะอายุตั้ง 3-4 ขวบแล้ว” บุษบาเพ้อ
ภวัตแกะมือบุษบาออก และขยับตัวห่าง
“ผมเพิ่งเริ่มทำงาน ยังไม่พร้อมจะมีชีวิตครอบครัว”
“คำก็ไม่พร้อม สองคำก็ไม่พร้อม นี่คุณจะปล่อยให้บุษแห้งเหี่ยว เป็นเรือขึ้นคาน หินปูนเกาะกรัง อย่างนั้นเหรอคะ” บุษบาเพ้อต่อ
ทันใดนั้น ทั้งคู่ต้องสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นแนนนี่กำลังเดินตรงเข้ามา
ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นดารกาที่แปลงร่างเป็นแนนนี่ แต่ยังคงกิริยาท่าทางของดารกาครบถ้วย ทั้งไม่วีน แต่ร้ายลึกเชือดเฉือน
“คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ” ดารกาในร่างแนนนี่ถาม
“แนนนี่” ภวัต กับบุษบาอุทานออกมาพร้อมกัน
“นังมารคอหอย”
แนนนี่ดารกาถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามบุษบา เห็นบุษนั่งกอดก่ายนัวเนียภวัตอยู่ จึงพูดเชือดเฉือนนิ่มๆ “ท่าทางอากาศที่นี่จะหนาวนะคะ ถึงต้องนั่งกอดก่ายกันซะขนาดนั้น”
ภวัตแกะมือปลาหมึกของบุษบาออก
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน เพราะถึงยังไง ฉันก็ได้ชื่อว่า เป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณภวัต เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอ
อย่าเจ๋อ”
“เสียใจ! พี่ภวัตเป็นของฉันมาตั้งแต่เกิด! เธอนั่นแหละห้ามเจ๋อ ...Don’t !” ดารกาในร่างแนนนี่สวนกลับ
“แก! นังแนนนี่! ปากดีนักนะ”
“พอได้แล้ว...พอทั้งคู่นั่นแหละ โดยเฉพาะเธอ...แนนนี่”
บุษบายิ้มระรื่นที่เห็นภวัตโกรธจัด ยิ้มเหยียด ก่อนจะกรีดนิ้วใช้ตะเกียบคีบเทมปุระใส่ปาก ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวกร้วมๆ เย้ยที่ภวัตให้ท้าย
ดารกาในร่างแนนนี่โกรธจนตัวสั่น พึมพำ ร่ายคาถาใส่บุษบา “คาเว อินิมีคัม”
พลันบุษบาที่เคี้ยวเทมปุระ ก็รู้สึกพะอืดพะอมเหมือนมีอะไรอยู่ในปาก จนต้องคายออกมา บุษากรี๊ดที่เห็นกุ้งเทมปุระ กลายเป็นกุ้งเป็นๆ ตัวโตๆ กระโดดดิ้นไปมา
“อ๊าย... กุ้งเทมปุระ กลายเป็นกุ้งเต้นได้ยังไงเนี่ย แหวะๆๆๆ”
แนนนี่ดารกาลอยหน้า “ทานให้อร่อยนะคะ” ยิ้มเจ้าเล่ห์ยั่วประสาทบุษบา “คำต่อไปภูมิใจนำเสนอ...แถ่น แทน แท้น
...รถด่วนขบวนสุดท้าย”
ภาพเห็นการในงานเลี้ยงที่บ้านปัทมน ตอนที่บุษบากินขนมแล้วกลายเป็นหนอน จนต้องพ่นออกจากปากมา
เกลื่อนโต๊ะผุดขึ้นมาในขณะที่บุษบาเต้นเร่าๆ
“แก! แกปล่อยของใส่ฉันอีกแล้ว อี๋ๆๆๆ อ๊าย...น้องสาวคุณทำคุณไสยใส่บุษอีกแล้วค่ะ ภวัต บุษไม่ไหวแล้ว”
ดารกาในร่างแนนนี่ไม่ตอบ เดินเชิดหน้าออกจากร้านไป
“แนนนี่! เดี๋ยวก่อน แนนนี่”
ภวัตลุกตามแนนนี่ไป ปล่อยให้บุษบานั่งสติแตก พะอืดพะอมอยู่คนเดียว
ภวัตวิ่งตามแนนนี่ออกมาที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น ตะโกนเรียก “แนนนี่”
ภวัตกวาดสายตาเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นแนนนี่อยู่บริเวณนั้นแล้ว
ในมุมลับตาผู้คน ร่างแนนนี่เหยียดยิ้ม เยาะเย้ยอย่างสะใจ ร่างแนนนี่ที่เห็น ค่อยๆกลายเป็นดารกาแทน
“ยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึงสองตัว ฮึๆๆ สมน้ำหน้า”
ดารกาหายวับไปทันที
ทางด้านปีเตอร์ขับรถสปอร์ตป้ายแดง ซิ่งมาจอดที่หน้าบ้านปัทมนอย่างปลอดภัย
“ปีเตอร์ดิลิเวอรี่ ส่งคุณแนนนี่ถึงกลางหัวใจ”
“ขอบใจ แล้วหยุดพูดอะไรชวนอ้วกซะที เอาไว้พูดจีบหญิงสูงวัยไก่แก่แม่ปลาลิ้นหมาเหอะ” แนนนี่ดับฝันปีเตอร์กลางแสกหน้า
ปีเตอร์ชี้หน้าแนนนี่แบบอาย หน้าเขินๆ แค้นๆ แบบตลกๆ
แนนนี่ชอบใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า กระแทกกลางใจดำละสิ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แนนนี่เปิดประตู อุ้มหมีตัวใหญ่ ลากออกมาด้วยแบบขำๆ
“ กระผมกลับก่อนนะคร้าบ...หมีน้อยจะคอยเตือนใจว่า ปีเตอร์จะอยู่ในใจแนนนี่เสมอ จุ๊บุๆๆ”
“ไอ้ปีเต้อออออ จะพอมั้ย ไม่งั้นฉันจะฆ่าหมีแกเดี๋ยวนี้”
ปีเตอร์ทำนิ้วท่า ไอเลิฟยู แตะที่ปากตัวเอง แล้วโปรยส่งให้แนนนี่ ก่อนกระชากรถออกไป
จังหวะนั้นภวัตเข้าเดินเข้ามา สีหน้าเครียดอย่างจะเอาเรื่อง
“แนนนี่”
“พี่ภวัต”
แนนนี่ทั้งแปลกใจ และไม่เข้าใจว่าภวัตโกรธอะไร
พอได้ฟังสิ่งที่ภวัตเล่า แนนนี่ผุดลุกขึ้นโวยวายลั่น
“โอ๊ยย บอกว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำไง เลิกใส่ร้ายป้ายสีแนนนี่สักทีได้มั้ย”
“นี่จะไม่ยอมเลิกนิสัยแย่ๆ ใช่มั้ย ทำผิดแล้วไม่เคยยอมรับผิด”
“ก็แนนนี่ไม่ได้ทำ พี่ภวัตปรักปรำแนนนี่ พี่ภวัตใจร้าย”
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย ใช้คาถากลั่นแกล้งบุษจนสติแตก พี่เห็นกับตา”
“แนนนี่แมนพอ กล้าทำก็กล้ารับ แต่นี่บอกว่าไม่ได้ทำก็แปลว่าไม่ได้ทำ”
“เสกเทมปุระให้กลายเป็นกุ้งเต้น ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วใครจะทำได้”
แนนนี่กอดอก เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ขี้เกียจแก้ตัว ทำปากบ่นเบาๆ “อู้ย...ใครจะไปรู้”
“เธอใช้เวทมนต์ในทางที่ผิด...และถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป จะไม่มีใครรักเธอ”
“ใครไม่รักก็ช่าง พี่ภวัตรักคนเดียวพอ” แนนนี่พูดย้อนเสียงดัง
“ โดยเฉพาะพี่ พี่ไม่ชอบเด็กเกเร เอาเปรียบ ใช้เวทมนต์รังแกคนไม่มีทางสู้”
แนนนี่กำมือแน่นจะทุบอกภวัต “พี่ภวัตต้องชอบแนนนี่”
ภวัตจับมือแนนนี่ไว้ “ไม่ และถ้าเธอยังขืนทำนิสัยแบบนี้ พี่จะเกลียดด้วยซ้ำ”
“พี่ภวัตจะเกลียดใครก็ได้ แต่เกลียดแนนนี่ไม่ได้”
“ได้สิ! ในเมื่อนับวัน นิสัยของเธอก็ยิ่งร้ายกาจ เข้าขั้นอสูรมากขึ้นทุกที เธออยากเป็นอสูรนักนักใช่ไหม แนนนี่”
“พี่ภวัต” แนนนี่ตกใจผสมโกรธที่ถูกด่าว่าเป็นอสูร
ภวัตพูดไปด้วยอารมณ์โกรธ “ไม่ต้องมาพูดกับพี่อีก”
ภวัตรู้สึกเหลืออดกับแนนนี่ เดินออกไป อย่างไม่ใยดี แนนนี่น้อยใจ เริ่มใจเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
แนนนี่ตะโกนไล่หลังแบบพาลๆ
“พี่ภวัต ต้องรักแนนนี่ ถ้าพี่ภวัตเกลียดแนนนี่ แนนนี่จะสาปทุกคนรวมทั้งพี่ภวัตให้กลายเป็นกิ้งกือไส้เดือนให้หมด คอยดู”
ในมุมลับตาภายในบ้าน ดารกาแอบมองแนนนี่อยู่ แสยะยิ้ม อย่างสะใจ
ภวัตหงุดหงิดไม่หาย ออกมาสงบสติอารมณ์อยู่ที่บริเวณบ่อปลาคราฟ ในสวนหลังบ้าน ดารกาเดินเข้ามา ทำทีเป็นเห็นอกเห็นใจ
“ยิ่งนับวัน แนนนี่ก็ยิ่งก้าวร้าว”
“จะโทษแนนนี่เลยทีเดียวก็ไม่ได้หรอกค่ะ แกเป็นน้องคนสุดท้อง ซ้ำยังน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนเราทุกคนพากันตามใจ แต่จริงๆแล้ว แกเป็นเด็กจิตใจดีนะคะ น้องดาไม่เคยโกรธแนนนี่ลงสักที ไม่ว่าแนนนี่จะแผลงฤทธิ์ใส่แค่ไหน”
“ถ้าแนนนี่จิตใจอ่อนโยนได้สักครึ่งของน้องดาก็ยังดี” ภวัตบอกเสียงฉุนๆ
ดารกายิ้มใสซื่อให้ภวัต “เราต้องช่วยกันค่ะ...แนนนี่น่ะมีพื้นฐานจิตใจที่ดีอยู่แล้ว”
“พี่ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ปราบพยศแนนนี่ให้ได้”
พูดจบภวัตขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิดหนัก ดารกาลอบมองด้วยความระแวงและหึงหวง
คืนนั้นแนนนี่ นอนคุยกับตะเกียงแก้วอยู่บนเตียง
“ไม่มีใครเข้าใจแนนนี่เลย แม้แต่...พี่ภวัต”
“เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้อง อธิบายให้มากความ เมื่อถึงเวลา ความจริงก็จะปรากฏเอง เหมือนอย่างคำพังเพยเมืองแม่มดที่ว่า...ความจริงเป็นเพชร ความเท็จเป็นกรวด” ตะเกียงแก้วว่า
“แปลว่าอะไร ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน” แม่มดน้อยหัวรั้นงง
“เพชรน่ะ เป็นแร่ที่คงทน แข็งแกร่งที่สุด ต้องใช้เวลานาน กว่าจะเกิดขึ้นมาได้แต่ละเม็ด และมีค่าสูง กรวดไม่มีทางเทียบ” ตะเกียงแก้วอธิบาย
“กว่าความจริงจะปรากฏ แนนนี่คงชักแหง็กๆๆๆๆ ตายซะก่อน”
สีหน้าแนนนี่ เศร้าลง รำพึงรำพันกับตะเกียง จังหวะหนึ่งแนนนี่เอากำปั้นทุบมือตัวเอง อย่างเอาเรื่อง
“ชะอุ้ยยย...อารมณ์เปลี่ยนไว ยิ่งกว่าติดไฮสปีด !!!!
“แนนนี่ไม่เคยยอมใครมาตั้งแต่เกิด”
“โห ! เท้าความไปไกลโน่นเลย”
“มีพี่ภวัตคนเดียวที่แนนนี่พอจะหยวนๆ บ้าง”
“นี่ขนาดหยวนๆ นะ” ตะเกียงแก้วเยาะ
“เพราะพี่ภวัตเป็นของแนนนี่”
“เผด็จการชะมัด”
แนนนี่ตะโกนดังลั่น “ใครมาแย่งพี่ภวัตของแนนนี่ไป คอยดู๊”
แนนนี่เอากำปั้นทุบมือตัวเองอย่างหมายมาด
คืนเดียวกันนั้น ภวัตอยู่ในห้องนอนตะโกนเรียกทาฮิร่าอยู่ในห้อง
“คุณยาย คุณยาย อยู่แถวนี้หรือเปล่าครับ”
ทาฮิร่ากับชิกเก้นปรากฏตัวขึ้น ในชุดเชียร์ลีดเดอร์ ในมือมีพู่ปอมๆ อยู่ มาถึงทาฮิร่าก็บ่นอุบ
“แหม...กำลังเชียร์กีฬาสีที่เมืองเวทมนตร์อยู่มันส์ๆ ดันขัดจังหวะซะได้ เรียกหายาย มีอะไร ฮะ พ่อภวิต”
ภวัตบอกอย่างเซ็งๆ “ผมชื่อภวัตครับ”
“เออๆๆๆ นั่นแหละ บอกให้เปลี่ยนชื่อเป็นภวิตซะแต่แรกก็หมดเรื่อง”
“เชื่อชิกเก้นเถอะ...ต่อให้พ่อหนุ่มนี่เปลี่ยนชื่อเป็นภวิต คุณยายก็ต้องเรียกผิดอยู่ดี พนันกันมั้ยล่ะ” ชิกเก้นกัด
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ เจ้าชิกเก้น อย่า“เกรียน” ให้มันมากนัก”
ชิกเก้นอึ้ง “ไอ๊ ย่ะ เดาะพูดภาษาเด็กแนว กระชากวัยซะด้วย”
ภวัตทรุดลงนั่งบนโซฟา ปรึกษาทาฮีร่า
“ผมไม่รู้จะห้ามเธอยังไงครับ ขนาดผมกับคุณบุษยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แนนนี่ยังเล่นงานคุณบุษซะน่วม”
ทาฮิร่าเหล่มอง “แล้วเธอจะแต่งกับแม่บูดนั่นแน่เรอะ”
“เจ๊ เค้าชื่อบุษ ไม่ใช่บูด โฮ้ย อยากจะลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำตัวนางวันละหลายๆ รอบ” ชิกเก้นเซ็ง
“ผมจะแต่งหรือไม่แต่งกับใคร ผมยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมเห็นหลานสาวคุณยายเล่นงานคุณบุษ”
“ฟังภวิต พ่อภวิต....” ลากเสียง “ฉันน่ะ Confirm ได้เลยว่าแนนนี่ไม่ใช่อันธพาล หลานสาวฉันมีเหตุผล เธอก็รู้” ทาฮิร่าย้ำครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
“ผมไม่รู้ครับ” ภวัตพาล
“เอากับ He สิ” ชิกเก้นบ่นออกมา
ทาฮิร่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เท่าที่เห็นมา แนนนี่มีเหตุผลน้อย ..ย... ถึงน้อยมาก ...หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้” ภวัตเยาะ
“เค้าก็พูดจริง ‘ไรจริงเหมือนกันนะ คุณยาย”
“แกอย่ามาชักเรือใบให้เสีย” ทาฮิร่าหันมาดุชิกเก้น
“โฮ้ย เขาเรียก ชักใบให้เรือเสีย เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“เท่าที่ผมสังเกตดู...ส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนี้เพราะแนนนี่มีเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นเราต้องจำกัดการใช้เวทมนตร์ของแก”
“ลืมไปได้เลย คุณหมอ” ชิกเก้นบอก
“เห็นด้วยกับชิกเก้น” ทาฮิร่าเห็นตรงกับชิกเก้น
“คุณยายครับ ผมไม่อยากเห็นแนนนี่เป็นคนไม่ดี ไม่น่ารักถึงยังไงแนนนี่ยังต้องอยู่ในสังคม ถ้าแนนนี่ใช้อารมณ์ ใช้เวทมนตร์ทำร้ายคนที่แนนนี่ไม่พอใจ นอกจากจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย แนนนี่จะอยู่ในโลกนี้ลำบาก”
“อยู่ในโลกนี้ลำบาก ก็ไปอยู่โลกโน้น” ทาฮิร่าบอกเริดๆ เชิดๆ
“เห็นหรือยัง คุณหมอว่าแนนนี่ นิสัยไม่มีเหตุผลมากจากใคร” ชิกเก้นว่า
“เงียบเลย ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าหันมาทางภวัต “แล้วเธอมีวิธีเรอะ”
“ผมจะพยายามใช้ไม้อ่อนก่อน ถ้าไม่สำเร็จ ก็คงต้องใช้ไม้แข็ง ขออย่างเดียว คุณยายอย่าให้ท้าย”
ทาฮิร่าพยักหน้า เห็นความตั้งใจจริงของภวัตที่จะช่วยหลานสาว ก็รู้สึกดี ภวัตค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“ถ้าทำได้ มันก็ดี ฉันขออวยพรให้เธอทำสำเร็จ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก”
ชิกเก้นหันมาป้องปากเมาท์ “นางชักจะซีเรียสแล้ว”
แนนนี่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงในตะเกียงแก้ว
“แนนนี่.... แนนนี่....”
ตะเกียงสั่นไหว และในตะเกียงแก้ว ร่างแนนนี่ถูกเขย่าอย่างแรง จนกลิ้งตกเตียง
“อ๊าย”
แนนนี่ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“เสียงยายนี่นา”
แนนนี่ยิ้มแต้ รีบร่ายคาถาออกจากตะเกียงทันที
แนนนี่ปรากฏกายขึ้น ปรี่เข้าไปกอดทาฮีร่า อย่างตื่นเต้น
“ยายจ๋า แนนนี่คิดถึงยายที่สุดเลย”
“เบาๆหน่อย ยายหายใจไม่ออก”
“คิดถึงยายจัง” แนนนี่หอมฟอดใหญ่ “แก้มยายยังหอมเหมือนเดิม”
“หอมเหิมอะไร้....น้ำท่าไม่ยอมอาบ เหม็นสาบ” ชิกเก้นกัดอีกดอก
“เจ้าชิกเก้น !! รู้ไม่จริง อย่าพูด ฉันน่ะใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวที่มีสารสกัดจากไม้หอมในป่าหิมพานต์พันๆ ชนิด จะเหม็นสาบสางได้ยังไงกัน รูดซิปปากซะ ขืนพูดอีกคำ ฉันจะเอาเข็มมาเย็บปากแก”
ชิกเก้นรีบเอาเท้าหน้าปิดปากตัวเอง แบบหวาดๆ
“กึ๋ยยยยย...ถอยดีกว่า...ไม่อาววววว ดีกว่า…ชิกเก้นไปหัดซ้อมเต้น บี-บอย แก้เซ็งดีกว่า”
ชิกเก้นโชว์สเต็ปเต้นบีบอย ก่อนเดินออกไป
กลางดึกคืนนั้น แนนนี่กับทาฮิร่านั่งอยู่บนหลังคาบ้าน บนฟ้ามีดวงดาวกลาดเกลื่อนสวยงาม แนนนี่ทำหาวเอนลงนอนหนุนตักทาฮิร่า
จังหวะนั้นทาฮิร่าทำเสียงเข้ม “ลุกขึ้นมาพูดกันดีๆ”
แนนนี่ผุดลุกขึ้นนั่ง ทำหน้ากระเง้ากระงอด
“ยายจ๋า ขอแนนนี่นอนหนุนตักนุ่มๆของยายหน่อยเถอะนะ” แนนนี่ลงนอนบนตักยาย ทำตาแบ๊วขณะจ้องมองยาย “ยายมาหาแนนนี่ แสดงว่ายายคิดถึงแนนนี่ใช่ไหมจ๊ะ”
ทาฮิร่าทำเสียงเข้มอีก “เปล่า...ยายจะมาดุ”
“ทำไมยายต้องทำเสียงดุ หน้าดุ ด้วยล่ะจ๊ะ อ้อ รู้แล้ว อีตาพี่ภวัตต้องมาฟ้องอะไรยายแน่ๆ ผู้ชายอา
ไร้ขี้ฟ้อง ขี้ปรักปรำ ขี้กล่าวหา ขี้...เหม็น” แนนนี่ยกส้วมมาไว้ทั้งหลัง
ทาฮิร่ารีบห้าม “พอๆๆๆ ยายเชื่อว่าคนดีของยายไม่ได้ใช้เวทมนตร์รังแกแม่บุษบาพาฝันอะไรนั่น คงเป็นเรื่องเข้าใจ
ผิดกัน”
แนนนี่เอนตัวลงนอนบนตักทาฮีร่า นิ่งฟัง
“ถ้างั้น คุณยายจะมาดุแนนนี่เรื่องอะไรไม่ทราบคะ”
ทาฮิร่ามีสีหน้าจริงจัง และเข้มขึ้นไปอีก “แนนนี่”
“ขา.....” แนนนี่ทำหน้าอ้อนๆสุดฤทธิ์
“ต่อไปนี้แนนนี่ต้องเชื่อฟังนายภวิต ยายรู้ว่าเขาปรารถนาดีกับหลาน”
แนนนี่นัยน์ตาพราว วิบวับ ย้อนถามทันที “...แล้วก็รักแนนนี่ด้วยใช่มั้ยคะ” รีบต่อเองทันที “ดีละ แนนนี่จะให้ยายไปสู่ขอพี่ภวัต”
ทาฮิร่าดุ “ฟังพูดเข้า เราเป็นสาวเป็นนาง”
“อีกละเรื่องเดิมๆ” แนนนี่แอบเซ็ง
“แนนนี่...ความอ่อนน้อมเป็นเสน่ห์ที่จะทำให้เราเป็นที่รัก ไม่มีใครชอบคนแข็งกร้าว หยาบกระด้างหรอกนะลูก ความอ่อนน้อมดุจดังต้นข้าวที่เกิดในผืนนาที่อุดมสมบูรณ์ ข้าวออกเมล็ดเต็มรวง รวงข้าวจึงอ่อนน้อมลง ส่วนต้นข้าวที่เติบโตในผืนนาที่แห้งแล้ง รวงข้าวจึงมีไม่กี่เมล็ด เมื่อรวงข้าวไม่มีเมล็ดสมบูรณ์ จึงชูรวงตั้งตรงอยู่อย่างนั้น แนนนี่อยากเป็นรวงข้าวแบบไหนล่ะ หืมมมม”
แนนนี่หลับปุ๋ยอย่างมีความสุขไปนานแล้ว ทาฮิร่าส่ายหน้า
“หลับไปซะละ เลยใม่ต้องดุกันพอดี”
ทาฮีร่าเอามือลูบหัวแนนนี่เบาๆ อย่างทะนุถนอม มองหลานกำพร้าด้วยความสงสารจับหัวใจ
ทาฮิร่ารำพึง “แนนนี่เอ๊ย หลานของยายจะมีอนาคตหรือเปล่า อนาคตวันนั้น ยายอาจไม่เห็นอะไรอีกแล้ว หากแนนนี่เป็นอสูรจริงตามคำทำนาย เมืองเวทมนตร์ก็คงราพณาสูร ยายก็ต้องตาย แต่ถ้าหากอสูรวอดวาย ก็แสดงว่า หลานของยายต้อง....”
ทาฮิร่าชะงัก มองหน้าหลานสาวที่หลับปุ๋ย น้ำตารื้นขึ้น ค่อยๆ ไหลออกมา จนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“ยายควรจะทำยังไงดี....”
อ่านต่อตอนที่ 17 เวลา 22.30 น.