การต้อนรับปีใหม่เป็นเรื่องของความสุข คนแสดงความสุข หรือมีความสุขกันตั้งแต่สดชื่นรื่นเริง จนกระทั่งถึงสนุกสนานบันเทิง แม้กระทั่งชุลมุนวุ่นวายกันหลายระดับ
แต่จะสนุกสนานอย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่มีการทำให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย ก็ถือว่าดีทั้งนั้น เพราะทำให้จิตใจร่าเริงสดใส อันถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลอย่างหนึ่ง ก็เป็นมงคล เป็นการเริ่มต้นที่ดี
หากว่าเราเริ่มต้นดี ด้วยจิตใจที่เบิกบานผ่องใส ก็ถือว่าเริ่มดี เริ่มต้นดี เรียกว่าเป็นบุพนิมิตร จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป...
ทีนี้จะสนุกสนานกันอย่างไรก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือว่า เป็นเวลาที่ครบรอบอีกปีหนึ่ง เวลาผ่านไปถึงปีใหม่ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงคืบหน้าไป ครบเวลา 1 ปีนี่ก็ถือว่าเป็นเวลาที่มากเหมือนกัน
เวลาที่ผ่านไป 1 ปี สำหรับความรู้สึกของใครหลายคน จะเร็วช้าไม่เท่ากัน บางคนก็เร็วมาก บางคนก็เร็วน้อย บางคนก็ช้า ทั้งนี้ก็ขึ้นต่อปัจจัยต่างๆ
คนไหนมีความสุขมาก ก็มักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็ว คนที่มีทุกข์ มีความทรมานก็จะรู้สึกว่าเวลาช้า คนที่มีความหวาดภัยอันตรายที่มองเห็น อยู่ตรงหน้าก็จะถือว่าเวลารวดเร็ว ถ้ามีความหวังรออยู่ว่าสิ่งที่ต้องการจะมาถึง ก็จะรู้สึกว่าเวลาแห่งการรอคอยนั้นช้าเหลือเกิน คนไหนมีภาระ มีกิจต้องทำมากก็จะรู้สึกว่าเวลาเร็วเหลือเกินทำไม่ค่อยทัน คนไหนไม่ค่อยมีอะไรจะทำ เวลาก็จะผ่านไปช้า อย่างนี้เป็นต้น
แท้จริงนั้น วันเวลาเสมอกันทั้งหมด มีความยุติธรรม ธรรมชาตินั้นมีความเป็นธรรมเท่าเทียมกันแก่ทุกคน ก็อยู่ที่ว่าเมื่อเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป จะรู้สึกเร็วช้าอย่างไร เราก็จะต้องสู้กับความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่ผ่านไปนี้ที่บอกว่าถึงเวลาปีใหม่ก็ครบรอบปีหนึ่ง เรามองดูในแง่สนุกสนานบันเทิง ก็ดีแล้ว อันนั้นเรียกว่าตั้งจิตไว้ในทางที่ถูก
แต่พร้อมกันนั้นอีกด้านหนึ่งเราก็คงไม่ลืมว่า พร้อมกับที่คนทั้งหลายมามีความสนุกสนาน ก็มีคนที่เขากำลังมีความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ มีความลำบาก เรียกว่าทุกข์ยากต่างๆ ซึ่งก็ไม่ควรจะถูกทอดทิ้ง เราก็ควรจะได้เหลียวแลเขาด้วย และถ้าหากว่าเราได้ใช้เวลาในปีใหม่สำหรับได้มองดูมีเยื่อใย มีน้ำใจต่อคนทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งได้ไปทำอะไรเพื่อเขา ทำให้เขามีความสุขด้วย ก็จะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ตัวเราเองก็ ได้บุญไปด้วย อันนั้นก็เป็นการที่ว่าแผ่ขยายความสุขให้กว้างขวางออกไป
อันนี้ก็เป็นเรื่องของกาลเวลา มันมาถึงแล้ว เราก็ต้องพยายามทำให้เกิดผลเป็นประโยชน์ที่สุด เราได้ด้านหนึ่งคือ ตั้งใจไว้ดี ก็เป็นจิตใจดีงาม นอกจากจิตใจดีงาม แสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ก็อย่างที่ว่าแม้แต่สนุกสนานก็อยู่ในขอบเขตที่ไม่ก่อความเดือดร้อนเบียดเบียน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
แล้วส่วนสำคัญอีกด้านหนึ่งก็คือปัญญา ด้านปัญญาก็ทำด้วยความรู้ความเข้าใจ มีการคิดคำนึงถึงเรื่องปีใหม่ว่าเราจะทำอะไร ก็เรียกว่าไม่อยู่แค่จิตใจสนุกสนานแล้วก็จบไป
ทีนี้เรื่องของปีใหม่ที่แท้ ในที่สุดก็มาเป็นเรื่องของปัญญา เวลาผ่านไปๆ มันก็กลืนกินมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย อย่างชีวิตของเรานี่ก็ก้าวไปสู่วัยเพิ่มขึ้น จากวัยเด็กก็เป็นหนุ่มเป็นสาว จากหนุ่มสาวก็เป็นเฒ่าชรา วัยของเราก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ก้าวหน้าไปก็คือการที่เสื่อมลงไปนั่นเอง ก้าวหน้าในที่นี้มาพร้อมกับความเสื่อมด้วย เราก็ต้องเข้าใจ ยอมรับความเป็นจริง
เมื่อมันผ่านไปมันกลืนกินสัตว์ทั้งหลาย ไม่ผ่านไปเปล่า เมื่อมันไม่ผ่านไปเปล่า เราก็ต้องมีวิธีปฏิบัติต่อเวลา เพราะถ้าเราขืนปล่อยให้เวลากลืนกินเราฝ่ายเดียว เราก็แย่ เราก็เสื่อม ไม่มีความเจริญก้าวหน้า
ท่านจึงสอนเราให้ใช้เวลาไม่ผ่านไปเปล่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงมีพุทธภาษิตสอนเตือนใจเราไว้ ให้รู้จักใช้ประโยชน์จากเวลา เพื่อเตือนใจเราให้ใช้เวลาเริ่มต้นตั้งแต่วันปีใหม่เป็นต้นไปให้ถูกหลักธรรมะ
พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยก็ต้องให้ได้อะไรบ้าง อันนี้สำคัญมาก
คราวนี้บางคนชอบคาถา คาถาบาลีนี่ชอบ ว่าศักดิ์สิทธิ์ จะจำไว้ก็ได้
อะโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา
นี่เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ ถ้านำไปใช้นี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพราะเป็นประโยชน์ เห็นชัดๆว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อย ต้องให้ได้อะไรบ้าง
ทีนี้ที่ว่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง ก็คิดกันไปต่างๆ บางคนก็จะ คิดถึงได้เงิน บางคนก็คิดถึงได้งาน บางคนก็คิดไปถึงการศึกษาเล่าเรียน บางคนก็คิดถึงการช่วยเหลือทำประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่สังคม ประเทศชาติ บางคนก็คิดถึงเรื่องความสุขความทุกข์ว่า เราได้สุขได้ทุกข์แค่ไหนเพียงไร หรือได้กระทั่งว่าคุณธรรม การพัฒนาชีวิตของตนเอง หรือกระทั่งว่า ปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่มากับการศึกษาว่า เวลาผ่านไปวันนี้ เราได้ความ รู้ ได้ค้นคว้าอะไร ได้มีปัญญาเพิ่มขึ้น เข้าใจอะไรดีขึ้นบ้างมั้ย เป็นต้น
อันนี้ในที่สุดก็ไปจบที่ตัวเอง อย่างที่เคยพูดบ่อยๆว่า แม้แต่วินาทีสุดท้ายเวลานอนก่อนหลับ ถ้าหากสำรวจแล้วไม่ได้อะไรเลย ก็ขอให้ได้ก่อนหลับ ให้ได้ก่อนหลับคือทำจิตใจให้เบิกบานผ่องใส นี่คือได้ ไม่มีวันไหนที่จะสิ้นหวัง ที่จะได้ลาภอันประเสริฐ ทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบานนี่ก็คุ้มแล้วทั้งวัน แต่ว่าก็คิดด้วย ตั้งใจว่าวันต่อไปเราจะทำสิ่งที่ดีงามต่อไปอย่างไร ผ่านไปอย่างได้ประโยชน์จริงๆ
อันนี้ก็เป็นวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าทำได้ครบอย่างนี้ ก็จะมีความหมายว่า วันเวลาต่อไปในปีใหม่นี้ จะเป็นเวลาแห่งความเจริญก้าวหน้า เพราะถ้าได้วันหนึ่งแม้แต่เล็กน้อย กว่าจะครบปีนี่ก็ได้มากมายทีเดียว
นี่เป็นเรื่องของหลักคำสอนต่างๆที่มีมากมาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้เกี่ยวกับเรื่องการใช้เวลามากมาย...
แต่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรในเรื่องของการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ พูดรวมกันแล้วก็คืออยู่ในหลักของความไม่ประมาท เราจะต้องอยู่อย่างไม่ประมาท ก็หมายความว่ามีความกระตือรือร้นขวนขวาย ไม่นิ่งนอนใจ ไม่เผอเรอ ไม่ผัดเพี้ยน ทำการต่างๆด้วยสติ สติจะคอยเตือนว่ามีอะไรที่จะต้องทำ อะไรเป็นกิจหน้าที่ของตน ระลึกขึ้นมาแล้วก็ไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ นำมาทำมาปฏิบัติให้จบสิ้นไป แล้วก็มีอะไรที่จะพลาดพลั้งเสียหาย เราก็ไม่ยอมถลำพลาดไป สติก็จะมากันไม่ให้เสื่อม แล้วก็จะให้ฉวยโอกาสแห่งความดีงาม ความเจริญ และความสร้างสรรค์ นี่เป็นหน้าที่ของสติที่ทำให้เราไม่ประมาท
ทีนี้ถ้ามีความเป็นอยู่ที่ไม่ประมาทอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่าจะเจริญแน่นอน ไม่มีความเสื่อม...
(จากส่วนหนึ่งของธรรมกถา “ปีใหม่ต้อนรับหรือท้าทาย”
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๕)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 133 มกราคม 2555 โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม)