ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 5
อาจารย์พิทักษ์แวะมาที่ศาลเจ้าตั้งแต่เช้า และเวลานี้กำลังวางจดหมายราชการลงกลางวงสนทนา ซึ่งมี อาจารย์สมบัติ นักบวชตง และกู๋เหลียง ร่วมหารือกันอยู่
ฟ้ากระจ่างวางมือจากการทำความสะอาดแท่นบูชา รีบมามุงดู ถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“สำเร็จแล้วหรือครับ อาจารย์”
“ใช่..บริษัทหลอดไฟฟ้ายินดีจะเป็นสปอนเซอร์ให้เรา” อาจารย์พิทักษ์หันมามองฟ้ากระจ่างแล้วพูดขึ้นกลางวง
“แหล่มเลย!” ฟ้ากระจ่างยิ้มแต้
“เท่านั้นยังไม่พอนะ พวกเราจะดังกันใหญ่แล้ว” อาจารย์สมบัติพูดแบบขำๆ
“ดังยังไงครับ อาจารย์” นักบวชตงถาม
“เพื่อนผม...ที่สอนที่ม.สุโขทัย นอกจากจะช่วยเราเรื่องวิ่งขอสปอนเซอร์แล้ว เค้ายังจะเอาการปฏิบัติงานของมูลนิธิเราไปทำเป็นรายการสารคดีทางสถานีโทรทัศน์ฝึกหัดของนักศึกษา” อาจารย์พิทักษ์ตอบแทน
“จะมีเด็กนักศึกษาคณะนิเทศฯมาถ่ายทำรายการเวลาพวกเราไปทำกิจกรรมเปลี่ยนหลอดไฟลดโลกร้อนกันจริงๆ” อาจารย์สมบัติเสริม
“นิเทศฯหรือครับ” ฟ้ากระจ่างดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ และหน้าตาสดใสขณะถาม
กู๋เหลียงเหมือนจะสัมผัสถึงสัญญาณผิดปกติบางอย่างได้ หันมามองฟ้ากระจ่างอย่างจับสังเกต
“นิเทศฯ แล้วเป็นไง”
ฟ้ากระจ่างสีหน้าเจื่อน ออกอาการเก้อๆ “เอ่อ...คือ...เปล่าครับ ก็...มันก็..เป็นวิชาที่ดี...ไม่ใช่เหรอครับ”
กู๋เหลียงมองจับผิดอยู่อย่างนั้น ฟ้ากระจ่างเกาหัว หลบตาวูบ
บ้านนายเด่น เป็นบ้านของคนฐานะปานกลาง อยู่อย่างสบายพอควรตามอัตภาพ ไม่ใหญ่หรือตกแต่งอย่างหรูหรามากมาย
ตอนเช้าของวันต่อมา ดวงยิหวานั่งออนไลน์อยู่หน้าคอมพ์ที่บ้าน ขณะที่นายเด่นผู้เป็นพ่อแต่งตัวเรียบร้อยเดินลงมาจากชั้นบน เตรียมจะออกข้างนอก
ดวงยิหวาหันไปเห็นพ่อ แล้วรีบลุก “พ่อเอากาแฟหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่หรอกดวง พ่อรีบไป..มีประชุมที่บ้านนายหัว คงต้องกินกาแฟทั้งวันล่ะ วันนี้” เด่นบอก
“คุณดินเป็นไงมั่งไม่รู้” ดวงยิหวาถาม
“ค่อยยังชั่วขึ้นมาก ถ้าไม่จำเป็น...พ่อว่าดวงอย่าไปเจอเค้าอีกดีกว่า เค้าเป็นใคร เราเป็นใคร...พ่อคิดว่านายหัวคงตั้งใจจะดองคุณดิน กะคุณทราย...ลูกสาวนายบุรีให้แต่งงานกันแน่ๆ เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน พ่อว่า...ดวงน่าจะไปเรียนกรุงเทพฯซะให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ห่างๆ กันไปซะเป็นการถาวร เข้าใจไหม” เด่นสอนลูกสาวอย่างคนเข้าใจชีวิตและเจียมตน
“จ้ะ” ดวงยิหวายิ้มว่าง่าย
เด่นตบหัวลูกสาวเบาๆ เดินไปนั่ง ใส่รองเท้า ดวงยิหวาหันกลับไปนั่งหน้าจอต่อ
“เย้...” ดวงยิหวาร้องขึ้นอย่างดีใจ
“อะไร” เด่นหันมาถาม
ดวงยิหวาบอกพ่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พ่อ...พ่อจ๋า...ถ้าดวงขออนุญาตไปทำงานของมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัดในช่วงนี้...พ่อจะให้ดวงไปหรือเปล่า”
“งานของมหาวิทยาลัย..งานอะไร”
“ถ่ายทำรายการสารคดีจ้ะ พ่อ อาจารย์อีเมล์มาว่า..อาจารย์ชอบเรียงความที่ดวงเขียนตอนสอบมาก เลยอยากให้ดวงมาเป็นคนทำบทสารคดีของสถานีโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยจ้าสุดยอด...ดวงจะได้เป็นคนทำรายการสารคดี แบกกล้องไป ถ่ายชีวิตคน...ทั่วประเทศ เลย”
เห็นอาการลูกสาวที่ดีใจ เด่นพลอยหัวเราะไปด้วย
ในเวลาเดียวกัน เกียรติบดินทร์ที่เข้าเฝือกเกือบทั้งตัว หน้าช้ำยังบวมปูด ขณะที่แผลเริ่มตกสะเก็ด หลังเหตุการณ์ที่สนามบิน ผ่านมาได้สัก 10 กว่า วัน กินอาหารเช้าเป็นข้าวต้มอย่างลำบากยากเย็น โดยมีป้าบัวคอยเอาใจ
“ทานปลาด้วยสิคะ น้องดิน โปรตีนจะได้ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ” บัวบอกไม่ทันคิด
“พูดเพื่ออะไรเนี่ย” เกียรติบดินทร์วางช้อน อย่างอารมณ์เสีย แล้วฉวยไม้ค้ำยันมาดึงร่างตัวเองขึ้นยืน เดินหนีไป
“คุณดิน ป้าขอโทษนะคะ ป้าไม่ตั้งใจ”
ดินไม่สน เดินจะขึ้นบ้าน
ดารากานต์มาเจอ เห็นสภาพก็สงสารลูก รีบเข้ามาประคอง “ดิน..จะไปไหน..มา..แม่พาไป”
แต่เกียรติบดินทร์สะบัด “ไม่ต้องมายุ่ง!!”
เกียรติบดินทร์เสียหลัก ล้มลง
“ว้าย..” ดารากานต์ตกใจ รีบเข้าไปพยุง
“ผมบอกว่าไม่ต้องมายุ่งไง มีอะไรทำก็ไปทำกันสิครับ” เกียรติบดินทร์เหวี่ยงใส่แม่
บัญชาเดินมาเห็นพอดี ถึงกับอึ้งไป
พอดารากานต์เห็นบัญชารีบลุกมา ระบายอารมณ์ใส่อย่างเหลืออด
“นายหัว..คุณเห็นหรือยัง..ว่าลูกเป็นยังไง ลูกต้องเจ็บแบบนี้เพราะคุณ ชั้นไม่ยอมให้คุณเอาลูกไปทำงานอีกแล้ว ลูกยังเด็ก ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ คุณก็รู้อยู่แล้ว ว่าน้องดินใจร้อน ไม่เหมาะจะทำธุรกิจแบบนี้”
เกียรติบดินทร์พยายามจะลุก แต่ไม่สำเร็จ จนน้อมที่ตามเข้ามารีบเข้ามาพยุง
“แม่ไม่รู้อะไรก็อย่ามาโทษผมดีกว่า คนพวกนั้นต่างหาก ที่มันเลว” เกียรติบดินทร์โมโหไม่หาย
“หยุดเลยดิน แม่ไม่ยอมให้ลูกทำงานกับพ่ออีกแล้ว ลูกต้องกลับไปเรียน ไปให้ไกลๆ จากที่นี่เท่าไหร่ยิ่งดี” ดารากานต์ว่า
“ไม่เอา ผมอยากทำงาน ทำงานไปเรียนไปก็ได้ ใครๆ เค้าก็ทำกัน”
“แม่กับนายหัวตามใจดินมามากพอแล้ว พอกันที
“ลูกต้องไปเรียน...คราวนี้พ่อจะพาลูกไปอเมริกาเอง แล้วถ้าไม่เชื่อฟัง พ่อแม่จะตัดค่าใช้จ่ายของลูกทั้งหมด รถก็จะไม่ให้ใช้ ถ้าดินไม่ฟัง...ก็ลองดื้อดู แล้วดินจะรู้ ว่าเวลาพ่อแม่เอาจริง...มันแปลว่าอะไร”
บัญชาพูดเสียงเย็นใส่ เกียรติบดินทร์มองหน้าพ่อ กับแม่ เห็นว่าทั้งสองเอาจริง ก็อึ้งๆ ไป
วันต่อมาน้อมขับรถที่มีเกียรติบดินทร์นั่งข้างๆ ในสภาพที่ยังเข้าเฝือก ผ่านหน้าร้านวัสดุก่อสร้างใหญ่ที่มีขายพวกอิฐหิน ปูน ทราย นั้นไป เกียรติบดินทร์มองผ่านๆ แล้วเห็นรถตู้ของบ้านตัวเองจอดอยู่ ก็เอะอะขึ้นมา
“เฮ่ย นายน้อม นั่นรถตู้บริษัทนี่หว่า”
“อ๋อ ครับ ก็...นายบุรีคงมาซื้อของที่นี่ตามเคยครับ เถ้าแก่ร้านนี้กับทางบ้านเราเป็นขาประจำกันมานาน” น้อมบอก
เกียรติบดินทร์มองๆ ไป แล้วเบิกตากว้าง เห็นบุรีกำลังสอนทรายทอง ที่แต่งตัวทะมัดทะแมงใส่แว่นดำ ให้ดูวัสดุนู่นนี่นั่นอยู่ พร้อมกับมีเถ้าแก่ร้านขายของคอยชี้ชวนชม ให้ความรู้
“เฮ้ย..อะไรอ่ะ นายน้อมๆๆ จอดฝั่งนี้ แอบๆหน่อย อย่าให้อาบุรีเห็นล่ะ” เกียรติบดินทร์สั่ง
“ทำไมละครับ ไม่รีบไปกินปูแล้วเหรอครับ” น้อมชะลอรถลง จอดแอบข้างรถบรรทุกที่จอดเต็มแถว
นั้น
“อาบุรีคิดจะทำอะไร..จะปั้นลูกสาวตัวเองให้มาทำงานในบริษัทงั้นเหรอ” เกียรติบดินทร์แคลงใจ
“ก็...ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ” น้อมว่า
“เอายัยทรายมาฝากให้แม่เราเลี้ยง...แล้วยังแอบสอนงานให้มันด้วยเหรอ...” เกียรติบดินทร์แสยะยิ้ม พร้อมกับส่ายหัว “อาบุรีคงคิดว่าชั้นด้อยสมรรถภาพกว่ายัยทรายงั้นสิ หึๆ เดี๋ยวสวยๆ คอยดู!”
กลางดึกวันเดียวกัน นายน้อมขับรถพาเกียรติบดินทร์มาจอดที่ไซด์งานสร้างเขื่อนกั้นการกัดเซาะฝั่งทะเล ที่การก่อสร้างก้าวหน้าไปเยอะ
บริเวณหน้าตู้คอนเทนเน่อร์ที่พักโฟร์แมน และที่พักชั่วคราวของคนงานบางกลุ่ม มีพวกคนงานชาย นั่งกินข้าวและตั้งวงเหล้า เสียงดังวะโว้ย หัวเราะแบบหยาบดิบ
“คุณดินอยากเจอทำไม ไอ้พวกคนงานเหลือเดนพวกนี้คุณจะใช้อะไรได้ มันเป็นพวกหัวไม้ทั้งนั้น เป็นพวกต่างด้าวพูดไทยไม่ได้เลยก็มี บัตรประชาชน เอกสารอะไรก็ไม่มี ไม่ได้ความหรอกครับ ต้องไปที่ฝั่งที่นายเด่น น้องดวงคุม ทางฟากคะโน้น ถึงจะเป็นพวกแรงงานมีฝีมือ ไอ้พวกนี้มันแรงงานราคาถูก ไม่มีที่ไป ที่มาทำงานตรงนี้ ก็ดีกว่าไปตายในเรือตังเก”
เกียรติบดินทร์ลงจากรถ ก้าวกระเผลกๆ ไป
อู๊ด หัวหน้าคนงานหน้าเหี้ยม ที่นั่งปิ้งปลาอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองผ่านกองไฟ เห็นดินเดินกระเผลกๆ ใช้ไม้ค้ำยันเข้ามา มองอย่างงงงัน ยืนขึ้นรับ ยกมือไหว้ดิน
พวกคนงานต่างซุบซิบกัน ประมาณว่า “ลูกนายหัวๆๆมา” น้อมเดินตามมาห่างๆ อย่างห่วงๆ
“คุณหนู” อู๊ดทักทาย
“ใครเป็นคนคุมไอ้พวกนี้”
“ผมครับคุณหนู”
เกียรติบดินทร์มองรูปร่างหน้าตาประเมินความสามารถอู๊ด “คุณชื่ออะไร
“อู๊ดครับ”
“นายอู๊ด”
“ครับผม”
“ผมอยากได้มือดีๆ ซักคน...เข้าใจที่พูดไหม...ไม่ได้หมายถึง...ก่อสร้างเก่งนะ”
อู๊ดอยู่ในอาการงงๆ “คุณหนูจะใช้ให้ทำอะไรหรือครับ”
เกียรติบดินทร์อึ้งไปนิดหนึ่ง ฝืนใจพูด “ผมว่า..คุณน่าจะรู้ใช่ไหม ที่สภาพผมเป็นแบบนี้ เพราะ..ไปโดนอะไรมา”
อู๊ดมองสำรวจอย่างละเอียดทั่วตัว แล้วเงยมา สบตา เข้าใจกัน “รู้ครับ”
เกียรติบดินทร์สบตาตอบ แววตากร้าว ไม่พูดอะไรอีกเลย
เช้าวันนี้ที่หน้าศาลเจ้าปาเก๊งเต๊งคึกคักเป็นพิเศษ ดวงยิหวามาถึงก็เริ่มถ่ายเก็บทุกบรรยากาศ เธอเล็งภาพจากชายคาศาลเจ้า แล้วแพนลงมาที่รถที่เพื่อนๆ กำลังยกของลง แล้วจึงวิ่งไปดักถ่ายเพื่อนๆ ด้วยกล้องวิดีโอขนาดเล็กแต่โปรฯ
พวกเพื่อนๆนักศึกษา ช่วยกันขนกล่องใส่หลอดไฟ และอุปกรณ์ทั้งชุด ในการเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ ลงจากท้ายรถกระบะคันใหญ่ทะเบียนรถกทม. ชาวศาลเจ้าและกลุ่มอาจารย์ ยืนมองลุ้นอยู่อีกด้านหนึ่ง
ดวงยิหวาถ่ายได้แป๊บเดียว ก็ชะงัก ลดกล้องในมือลง ส่งเสียงเอะอะ “หยุดก่อน ทุกคน หยุดๆๆ”
ทุกคนหยุด หันมางงๆ
“พวกเราหยุดขนของได้ ดวงอยากได้ภาพพี่ๆ มูลนิธิเค้ายกของเองด้วย” ดวงยิหวาหันไปหาอาจารย์ เดินเข้าไปอย่างมุ่งมั่น และสีหน้าจริงจัง “อาจารย์คะ ระหว่างที่พี่ๆ มูลนิธิยังไม่มา หนูขอสัมภาษณ์” มองมาทางนักบวชตง และชาวศาลเจ้าคนอื่นๆ “ท่านอาจารย์..คุณลุง..ที่ศาลเจ้าก่อนได้ไหมคะ”
“อ่า นั่งรถมาตั้งนาน เพิ่งมาถึงก็จะทำงานกันเลยเหรอครับ อย่าเพิ่งสัมภาษณ์อย่าเพิ่งถ่ายทำอะไรกันเลย ท่านครูบาอาจารย์ทุกท่านครับ ขอเชิญพวกน้องๆหนูๆนี่ เข้าไปพักกินน้ำกินท่ากินขนมกันก่อนไหม เชิญๆ” กู๋เหลียงว่า
“จะรอพวกมูลนิธิ คงต้องค่ำๆนะ ดูเหมือนจะมีอุบัติเหตุที่แม่น้ำด้านโน้น สงสัยจะยาว” นักบวชตงเอ่ยขึ้น
ดวงยิหวาฟังแล้วตาโต “อุบัติเหตุที่แม่น้ำ คืออะไรคะ” น้ำเสียงและอากาศตื่นเต้น อยากไปถ่ายทำด้วย
ทันใดนั้นเอง ก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือของนักบวชตง
นักบวชตงดูที่หน้าจอ “อ้าว พวกนั้นโทมาแล้ว...” กดรับสาย “ฮาโหลๆ ว่าไป..อาเป้า อือ อือ งั้นหรือ โธ่เอ๊ย..กรรมเวรๆๆ”
ทุกคนรอฟัง อย่างสนใจใคร่รู้
ที่บริเวณแม่น้ำ พ่อแม่ชาวบ้านคู่หนึ่ง ฝ่ายแม่เป็นลมอยู่ โดยมีพ่อช่วยประคอง มีสมหมาย ช่วยปฐมพยาบาลอยู่
“คุณพี่ผู้ชายครับ ตั้งสติไว้ ทำใจดีๆ ครับ” สมหมายพูดปลอบใจ
“จะทำใจได้ไง ลูกผมจมน้ำตายแล้ว ลูก..ลูก..ทำไมๆๆ”
ที่บริเวณจุดเกิดเหตุ มีรถทีมกู้ชีพของมูลนิธิจอดอยู่ โดยมีตำรวจ และพวกไทยมุงจำนวนหนึ่งยืนลุ้นอยู่
เวลาเดียวกันปักเป้า ที่ชุดฟอร์มมูลนิธิเนื้อตัวเปียกโชก ยืนรอ โบกรับรถตู้ของมหา’ลัย ที่แล่นมาจอดริมแม่น้ำ
พอรถจอดนิ่งดวงยิหวารีบวิ่งนำลงมาพร้อมกล้องในมือ
นักบวชตงตามลงมา และปักเป้า วิ่งมารับ “ตงเซียนเซิง..ทางนี้ครับ ทางนี้”
“ยังไม่พบกี่คน” นักบวชตงถาม
“คนเดียวครับ นอกนั้นช่วยได้หมด” ปักเป้าบอก
ดวงยิหวารีบเดินมาดักหน้าไว้ กดกล้อง ถ่ายปักเป้า กับนักบวชตง ที่รีบวิ่งไปณ ตรงจุดเกิดเหตุ
เด็ก 3-4 คน อยู่ในสภาพมอมแมม เสื้อผ้าเปียกปอน ยืน และนั่ง ร้องไห้บ้าง ซึมช็อกอยู่บ้าง ตรงนั้น
ส่วนในน้ำ ฟ้ากระจ่างและหมีใหญ่ ผลัดกันดำผุดดำว่าย งมหาเด็กที่จม
นักบวชตงจุดธูป เริ่มทำพิธี ปักเป้าทำหน้าที่ผู้ช่วย ดวงยิหวาถ่ายบรรยากาศ และเข้าไปเจาะถ่ายกลุ่มนั้นกลุ่มนี้
ในขณะที่นักบวชตงนั่งลง แล้วตั้งสมาธิ เริ่มสวด ดวงยิหวาเข้ามาถ่ายภาพการทำพิธีของนักบวชตงตามตารางการทำงาน
ดวงยิหวาถ่ายพิธีไปสักพัก แล้วหันไปทางคนที่ดำน้ำอยู่ เห็นหมีใหญ่โผล่มาฮุบอากาศ ก่อนจะดำต่อ ดวงยิหวามองอย่างทึ่ง กระซิบถามปักเป้า
“พวกพี่ดำน้ำกันตัวเปล่า ไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำเลยเหรอคะ”
“ยังไม่มีหรอกครับ มันแพง…” ปักเป้าบอก
“แต่แบบนี้มันอันตรายมากเลยนะคะ”
พูดจบดวงยิหวาก็หันกล้องไปดักรอที่ในผิวน้ำ เป็นจังหวะที่ฟ้ากระจ่างโผล่มาพอดี
และในกล้องของดวงยิหวาก็เห็นเป็นภาพฟ้ากระจ่างชัดเจนเต็มตา
ดวงยิหวาชะงัก เอากล้องลง “เอ๊ะ”
ส่วนฟ้ากระจ่างไม่ได้สนใจคนบนฝั่ง หันไปตะโกนพูดกับหมีใหญ่ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง และแน่วแน่
“น้ำแรงแบบนี้ สงสัยจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว”
“เออ นั่นสิ เป็นชั่วโมงแล้ว ยังไม่เจอ” หมีใหญ่ว่า
ทั้งสองคนผุดขึ้นทำท่าฮุบเอาอากาศ แล้วดำหาต่อ
สักพัก ฟ้ากระจ่าง พร้อมหมีใหญ่โผล่พรวดมา แล้วขึ้นมานั่งหอบอยู่ริมฝั่ง
“สงสัยจะไปไกลแล้วล่ะ อาจ้าง” ตำรวจเข้ามาคุย ดวงยิหวาก็เข้ามาแอบถ่าย
“ผมว่าน่าจะไปลองดูที่แถวตอหม้อสะพานดีกว่า ไปไหม หมีใหญ่” ฟ้ากระจ่างบอก
“ตรงสะพานน้ำมันลึกมากนา..จ้าง หรือว่าจะรอ..ให้ลอยขึ้นมา..พรุ่งนี้” หมีใหญ่ว่า
แม่เด็กฟื้นมาได้ยินพอดี ร้องไห้ต่อ
“ไอ้แดง..ไอ้แดงไม่น่าเลย โฮๆๆๆ แม่บอกแล้ว ว่าอย่ามาเล่นน้ำ น้ำมันแรง ฮือๆๆ” แม่เด็กเข้ามาหาพวกฟ้ากระจ่าง จับแขนฟ้ากระจ่างเขย่าๆๆ “อย่าหยุดหาลูกชั้นนะ อย่าหยุด..ฮือๆๆ ไอ้แดงๆๆ ของแม่”
“ครับๆ พวกเราไม่หยุดหรอกครับ ถ้าไม่เจอน้อง พวกเราไม่มีทางเลิกหาครับน้า ไป..หมีใหญ่...” ฟ้ากระจ่างกับเพื่อนๆ จะพากันไปต่อ
ทันใดนั้น นักบวชตงลืมตาขึ้นมา ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ในขณะที่ลุกยืน เรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน อาจ้าง…”
ปักเป้าท่าทางตื่นเต้น “อยู่ไหนครับ ตงเซียนเซิง”
นักบวชตงเดินมุ่งไปริมน้ำ ทุกคนสนใจ เข้าไปรอฟังอย่างลุ้นระทึก
ฟ้ากระจ่าง และหมีใหญ่รีบลุกมาหา ตำรวจตามมา ดวงยิหวาตามติด ถ่ายเก็บทุกช็อตตลอดเวลา
นักบวชตงมองไปที่แม่น้ำ แล้วชี้ไปที่กอสวะใต้ต้นไม่ใหญ่ริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามที่ไกลจากฝั่งนี้ไม่น้อย
“อยู่ใต้กอสวะ ตรงใต้ต้นไทร”
ทุกคนอึ้ง แม่เด็กร้องโฮๆๆ
ทุกคนบนฝั่งต่างทยอยตามมาดูอย่างลุ้นๆ และเอาใจช่วย
ฟ้ากระจ่างคุกเข่าพนมมือตรงหน้า นักบวชตงเสกคาถา แล้วตบหลังตบไหล่ฟ้ากระจ่าง
บรรดาพ่อแม่เด็กมองด้วยความศรัทธาเต็มที่
ดวงยิหวายืนถ่ายอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วเอากล้องลง สีหน้าไม่เชื่อ ขยับมากระซิบเพื่อนนักศึกษาชาย
“อะไรกันเนี่ย พวกพี่ๆเค้าเชื่อจริงๆเหรอ ว่าจะพบศพได้ด้วยวิธีนี้”
“จุ๊ๆๆ มันก็เป็นแค่เรียกขวัญและกำลังใจเท่านั้นแหละ ไม่มีทางเจอหรอก” อาจารย์ชายเป็นคนตอบ
“โห..งั้นพี่คนนั้นก็แย่สิ ตาซินแสแกชี้ที่ไหน พี่แกก็ต้องลงดำทุกที พอดีตะคริวกินตาย” ดวงยิหวาแย้งอย่างไม่เชื่อ
ฟ้ากระจ่างค่อยๆ จุ่มตัว แล้วดำลงไปในสายน้ำ ทุกคนลุ้นๆ แม่เด็กสะอื้น
ดวงถ่าย แพนรับหน้าหมู่มวล ที่ลุ้นๆกัน แล้วหันไป จับตาดูที่ในน้ำ
สายน้ำไหลเชี่ยวๆๆจ้างดำผุด ดำว่าย 2-3รอบ สักพักจ้างโผล่ขึ้นมา พร้อมร่างเด็กวัยราว10ขวบในอ้อมกอด สีหน้าจริงจัง
ดวงลดกล้องลง ซีดๆ จะเป็นลม กลัว สยอง
พ่อแม่เด็กผวาเข้ามารอรับ ร้องไห้กันระงม
ดวงสูดลมหายใจ ควักยาดมมาซื้ด แล้วรวบรวมความเข้มแข็ง เอากล้องมาถ่ายวิดีโอต่อ
พ่อของเด็กมารับเด็กไป ฟ้ากระจ่างตามติดไปลูบผม ลูบหน้า จับมือจับเท้าเด็ก เศร้าเหมือนเป็นญาติตัวเอง ดวงยิหวาหามุมถ่ายได้ภาพที่ทั้งดูสวยและน่าสะเทือนใจ จังหวะนั้นตำรวจก็รีบเข้าไปดูแล
นักบวชตงพนมมือ สาธุ สวดงึมงำๆ เหมือนกำลังทำพิธีกรรมบางอย่าง ฟ้ากระจ่างเข้าไปร่วมพิธีนั้น ไหว้และสวดมนตร์ตามไป ทั้งที่อยู่ในอาการหนาวสั่น สมหมายเข้ามาดึงให้ถอยมานั่งอีกมุมหนึ่ง ปักเป้าตามเข้ามาเอาผ้าห่มมาคลุมให้ฟ้ากระจ่าง พลางตบหลังตบไหล่ให้กำลังใจ
ดวงยิหวาตามมาถ่ายต่อ ฟ้ากระจ่างเงยหน้าขึ้นมาเห็นงงๆ พอจังหวะที่ดวงยิหวาลดกล้องลง
ฟ้ากระจ่างมองอีก ทีแรกงงเพราะยังจำดวงยิหวาไม่ได้ แล้วพอนึกออก ถึงกับลุกพรวดขึ้นอย่างลืมตัว
“น้อง…”
ดวงยิหวาส่งยิ้มไปให้ พวกเพื่อนๆ ของฟ้ากระจ่างมองสองคนสลับกันไปมาอย่างงงๆ และต่างคาใจว่าทั้งคู่รู้จักกันยังไง
ตอนกลางคืนวันเดียวกันนั้น บริเวณหน้าร้านอาหารจีน มีผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย ครอบครัวมาดามพิณเพิ่งกินอาหารเสร็จ เดินคุยกันสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสออกมาจากร้าน และพากันเดินไปยังลานจอดรถ สามคน แม่พ่อลูก มาดามพิณเดินเคียงกันมากับนพชัย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับชิงชัยอย่างมีความสุข
ระหว่างนั้น มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ด้านหลังมีคนซ้อนท้าย ขับแล่นวนไปมาระหว่างแถวรถยนต์ที่อยู่แบบเงียบๆ ในลานจอดรถ
ครอบครัวมาดามพิณเดินมาถึงรถ นพชัยกดรีโมทกุญแจเปิดรถ ชิงชัยเปิดประตูด้านหลัง จะเข้าไปนั่ง
มาดามพิณเดินไปด้านที่นั่งข้างคนขับเปิดประตู ส่วนนพชัยเปิดประตูเตรียมจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ
ทันใดนั้น มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดชะลอลงตรงมุมหนึ่งไม่ไกลนัก อู๊ดที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ สวมกันน็อค พรางหน้าเล็งปืนในมือตรงมา แล้วยิงเปรี้ยง เข้าที่ศีรษะนพชัยด้านหลัง นพชัยล้มคว่ำลงข้างรถ
มาดามพิณกรี๊ดด้วยความตกใจ ชิงชัยกระโดดออกมา
คนขับรถมอเตอร์ไซค์ไม่มีป้ายทะเบียนพาอู๊ด วิ่งทะยานหายเข้าไปในความมืดของค่ำคืน
มาดามพิณได้สติก้าวลงจางรถ เข้ามาประคองสามี ร้องกรี๊ดๆๆ ชิงชัยยืนตัวแข็งทื่อ มองพ่อ ที่เห็นได้ชัดว่าตายแล้ว เนื้อตัวกระตุกๆ อยู่ในอาการช็อก!
กลางดึกคืนเดียวกันนั้นที่บ้านบัญชา ขณะที่น้อมเดินตรวจดูความเรียบร้อย ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากหน้าประตู
“หน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ มีธุระกะคุณดิน” เสียงยามหน้าประตูใหญ่ว่า
“คุณดินให้ผมมาหาจริงๆ ลุงต้องให้ผมเข้าไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น ลุงเองนั่นแหละ จะโดน!!” ชายที่บอกว่าตัวเองชื่ออู๊ดเอ่ยเสียงดัง
“ถุย! ไอ้ซี้ซั้ว ไม่ต้องมาขู่กูหรอก กูกลัวตายล่ะ”
น้อมรีบเดินเข้าไปที่บริเวณนนั้น “ใคร อะไร ลุงยาม”
น้อมโผล่ออกไป อู๊ดก็เสนอหน้ามาในแสงไฟเหนือประตู
“น้าๆ ผมเองน้า ที่น้าพาคุณดินไปเจอผมวันนั้นไง” อู๊ด
“เอ้อ ลุงยาม...ขอโทษทีนะ” น้อมเข้าไปลากอู๊ดเข้ามาในบ้าน “นายอู๊ด แกมาที่นี่ทำไม”
“ผมทำงานให้คุณดินสำเร็จแล้ว คุณดินบอกว่า...จะให้เงินผม”
“แกทำงานอะไรให้คุณดิน” น้อมฉุกคิดสีหน้าซีด
“คุณดินบอกว่า..ให้สั่งสอนผัวเจ๊พิณให้สาสมไง ผมสั่งสอนเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้ มันไปสำนึกเสียใจในนรกแล้วมั้ง” อู๊ดพูดเยาะๆ น้ำเสียงภูมิใจ
มีเสียงบัญชาดังแทรกขึ้นมา “อะไรนะ”
อู๊ด กับน้อม ตกใจหันไปตามเสียง เห็นบัญชายืนหน้าตาตื่น ช็อกคาที่อยู่
“นายหัว...” อู๊ดรีบเข้าไปประจบ นั่งลงไหว้ปลกๆ ยกมือท่วมหัว “นายหัวครับ ผมแก้แค้นไอ้คนที่มันรังแกลูกชายนายหัวแล้วครับ คนที่มันทำกับคุณดิน มันต้องโดนมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
บัญชาตกใจ หน้าซีดเผือด
อ่านต่อหน้า 2
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 5 (ต่อ)
กลางดึกวันเดียวกันในเวลาต่อมารถตู้แล่นมาจอดเทียบท่าเรือริมทะเล มีเรือจอดรออยู่ในแสงสลัวราง บุรีเป็นคนขับรถเองรีบวิ่งลงมาเปิด อู๊ดลงมาก่อนตามด้วยบัญชา
“นายหัว” อู๊ดเริ่มรู้ตัว1
บัญชา กับบุรี ยืนล้อมกรอบอู๊ดไว้
“นายหัวจะอุ้มฆ่าผมเหรอ” อู๊ดกลัวจนตัวสั่น พนมมือไหว้ “ผมทำเพื่อคุณดินนะครับ”
“ไม่ใช่” บัญชาเปิดกระเป๋าถือ หยิบซองน้ำตาลหนาและหนักออกมา ส่งให้ “ชั้นจะจ้างแก..ให้ไปอยู่ที่อื่น อย่ากลับมาเมืองไทยอีก”
“แกมันทำก่อสร้างได้หลายประเภท ชั้นก็เสียดายฝีมือแกนะ แต่ไอ้สิ่งที่แกทำลงไป..มันจะชักพาความหายนะมาสู่นายหัว จะให้ชั้นปิดปากแก..ชั้นก็ทำได้ แต่พวกเราไม่อยากทำบาป เพราะฉะนั้น..แกไปแล้วไปลับ..อย่ากลับมาเลยนะ” บุรีเดินเข้าไปโอบบ่า แล้วพาอุ๊ดเดินไปตรงที่เรือจอดรออยู่
บัญชา“ชั้นมีเพื่อน..รับเหมาทำถนนอยู่เกาะกง แกไปที่นั่น รับรอง ไม่มีวันจนอีกต่อไป ขออย่างเดียว ให้หายไปจากที่นี่ หายเหมือนไม่เคยมีตัวแกอยู่ในโลก ชั้นขอแค่นี้..จะได้ไหม”
“ได้ครับ” อู๊ดพนมมือบัญชา
บัญชา บุรี ส่งอู๊ดลงเรือ มองตามเรือที่ค่อยๆ แล่นออกไป
บัญชา บุรี สบตากัน ถอนหายใจเศร้าๆ
ในห้องนอนเกียรติบดินทร์
เช้าวันต่อมา พระอาทิตย์ดโผล่พ้นขึ้นเหนือเส้นขอบโค้งทะเล เกียรติบดินทร์ลืมตาตื่นขึ้น แล้วสะดุ้ง รีบลุกพรวดนั่งเมื่อเห็นบัญชายืนอยู่ข้างเตียง
“นายหัว นายหัวมาทำอะไร” เกียรติบดินทร์ประหลาดใจ
บัญชามองหน้าอย่างระอา พูดเสียงเย็น “นายนพชัยตายแล้ว เมื่อคืน”
เกียรติบดินทร์งงนิดๆ แล้วก็หัวเราะออกมา
“สมน้ำหน้ามัน ตายซะได้ก็ดี แล้วมันเป็นอะไรละครับ รถคว่ำ หรือว่า...”
“ถูกฆ่าตาย” บัญชาพูดสวนออกมา
“ว่าแล้ว..ไอ้คนชั่วๆแบบนี้ ก็ต้องมีศัตรูเยอะเป็นธรรมดา”
“นพชัยโดนไอ้อู๊ด..หัวหน้าคนงานของพ่อยิงตาย” บัญชาพูดเสียงเย็น
เกียรติบดินทร์ อึ้ง ชะงัก หน้าตื่น แล้วคราวนี้ลุกจากเตียง ท่าทางงงงันสุดๆ
“ยิง..ใครใช้ให้มันยิง ผมแค่บอกว่า..ให้ไปสั่งสอนมันนะ!”
“สั่งสอนให้สาสม แก้แค้นที่มันทำกะแก..ใช่ไหม ดิน ลูกสั่งไอ้อู๊ดแบบนั้นใช่ไหม”
บัญชาเสียงดุดัน จนเกียรติบดินทร์ซีดเดินวุ่นวาย ไม่ตอบ
“ดินไม่รู้เลย ว่าคนอย่างไอ้อู๊ดมันเป็นยังไง พวกคนงานโซนนั้น ไม่จำเป็น พ่อยังไม่ลงไปแตะ มันคือพวกที่ไม่มีเอกสาร ไม่มีระหัสเลข 13 ตัวบัตรประชาชนทั้งนั้น แล้วดินคิดอะไร ดินถึงไปใช้พวกมัน”
เกียรติบดินทร์หันมาพูดประชด “อ่อ ผมเข้าใจแล้ว นายหัวกลัวว่าจะโดนเชื่อมโยงว่าเป็นคนจ้างวานมันใช่ไหม ใช่สิ ผมมันใจร้อน ทำอะไรไม่รอบคอบ ผมไม่เพลย์เซฟตลอดๆ แบบนายหัวนี่ ลูกตัวเองโดนกระทืบเละต่อหน้าคนทั้งเมือง นายหัวยังไม่ทำอะไรเลยนี่นา”
บัญชาผงะ มองเกียรติบดินทร์อย่างเจ็บใจ ผิดหวัง เสียใจ
เกียรติบดินทร์เห็นพ่อเงียบ ได้ใจ
“เอางี้แล้วกัน ถ้าตำรวจเค้าสาวมาถึงตัวนายอู๊ดได้ ผมจะรับเอง ว่าผมคือคนบงการ ไม่ใช่นายหัว ดีไหมครับ”
บัญชาพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “หยุดพูดเถอะ ดิน..ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เอาเป็นว่า..ไอ้อู๊ดมันหายไปจากโลกแล้ว..ตลอดกาล..ก็แล้วกัน”
บัญชาหันตัว รีบเดินออกไปเงียบๆ สีหน้าเกียรติบดินทร์อึ้ง
บรรดานักศึกษา อาจารย์ และพวกฟ้ากระจ่าง ถือป้าย “เปลี่ยนหลอดไฟ จากหลอดไส้ เป็นหลอดตะเกียบ ประหยัดค่าไฟ ลดโลกร้อน” และเดินแจกหลอดไฟ และเอกสาร ไปตามแผงขายของในตลาดสด แผงที่อยู่ภายในหลังคาที่ต้องใช้ไฟกัน
ทุกคนเดินอย่างไม่มีใครเหน็ดเหนื่อย แม้แดดจะร้อนเปรี้ยงเพราะเป็นเวลาเที่ยงวัน
ดวงยิหวาทำหน้าที่ตากล้องถ่ายวิดีโอต่างๆ ท่าทางไฟแรง
ฟ้ากระจ่างอธิบายให้แม่ค้าแม่ขายฟัง โดยชูหลอดไฟ 2 แบบให้ดูประกอบการสาธิต ดวงยิหวาเข้ามาถ่าย
พวกเพื่อนๆชาวศาลเจ้า และนักศึกษาช่วยกันเปลี่ยนหลอดไฟให้แผงแม่ค้าต่างๆ ดวงยิหวาตามถ่ายอีก
ดวงยิหวามานั่งพัก หยุดดื่มน้ำอยู่มุมหนึ่งในตลาด จู่ๆ มีเสียงชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเสียงดังแชะ
ดวงยิหวาหันไป เห็นฟ้ากระจ่างกำลังใช้มือถือ ถ่ายรูปดวงยิหวา
แทนที่จะหลบ หรือต่อว่า ดวงยิหวากลับรีบโพสท่า ชูสองนิ้ว ทำหน้าน่ารักใส่ ฟ้ากระจ่างหัวเราะชอบใจ
ทีมงานจากศาลเจ้าและ นักศึกษา ช่วยกันเปลี่ยนหลอดไฟ และให้ความรู้กับชาวตลาดสดแห่งนั้นจากเที่ยงวัน จวบบ่ายคล้อย จนเวลานี้เย็นย่ำแล้ว
ดวงยิหวาเดินเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อ พลาง ดูของที่ขายตามแผงต่างๆ บริเวณริมถนนหน้าตลาด
มีแผงขายของหนังสือการ์ตูนเก่าๆวางเรียง มีป้ายเขียนว่า เล่มละ 5 บาท ดวงยิหวาชะงัก หยุดดู เลือกหยิบแต่การ์ตูนเรื่องโดราเอม่อนมาดู
ฟ้ากระจ่างเดินตามมา มองหา พอเห็นดวงยิหวาดูแผงการ์ตูนอยู่ก็เดินมาสมทบ
ดวงยิหวาถามโดยไม่ได้สังเกต พูดกับคนขาย “ซื้อ 4 เล่ม แถม 1 ได้ป่าว” ควักแบงก์ 20 ออกมา “เหลือตังค์อยู่แค่นี้เอง
“มี 20 ก็เอาแค่ 4 เล่มสิ” คนขายบอก
“อยากได้ 5 เล่มเนี้ย…” ดวงยิหวาว่า
“5 เล่ม ก็ 25” คนขายไม่ยอมลด
ฟ้ากระจ่างหยิบเหรียญ 5 มา ยื่นให้คนขาย “อ่ะ 25 ก็ 25 เอา 5 เล่มนั่นแหละ
ดวงยิหวาหันมามองหน้า
“ผมเลี้ยงโดราเอม่อนคุณเล่มนึง..โอเคมั้ย”
ดวงยิหวาหัวเราะ “โอเคค่ะ” รีบไหว้ “ขอบคุณ”
ดวงยิหวาหยิบหนังสือการ์ตูนมาทั้ง 5 เล่ม ส่งเงินอีก 20 ให้คนขาย
ทั้งสองยิ้มให้กัน แล้วเดินต่อไป
ทั้งสองคนเดินมาด้วยกันตรงทางเดินในตลาด ดวงยิหวาเปิดการ์ตูนดูไปพลาง
ฟ้ากระจ่างชะโงกหน้ามามองๆ “คุณชอบใคร”
“อะไรนะคะ” ดวงยิหวาเงยหน้าขึ้นมาถาม ในอาการงงๆ
“ก็..โนบิตะ ชิสุกะ ไจแอ้นท์ ซูเนโอะ ชอบใครที่สุด”
ดวงยิหวาหัวเราะ “ดวงไม่ชอบพวกมนุษย์ค่ะ ชอบโดราเอม่อน
“ทำไมโดราเอม่อนถึงไม่มีหู” ฟ้ากระจ่างเริ่มยิ่งคำถามเกี่ยวกับโดราเอม่อน
“เพราะถูกหนูแทะ โดเรม่อนเลยฝังใจ กลัวหนูมากๆ มาตลอด”
“โดราเอม่อนชอบกินอะไรที่สุด” ฟ้ากระจ่างถามอีก
“ขนมโดรายากิ”
“โดเรม่อนไม่สามารถเล่นอะไร ที่เด็กๆทุกคนเล่นได้”
คำถามนี้ดวงยิหวารีบตอบโชว์ภูมิ “เป่ายิ้งฉุบ เพราะมือโดราเอม่อนเป็นกลมๆ ไม่มีนิ้ว”
ทั้งสองหัวเราะชอบใจกัน
“จริงๆ ก็เล่นได้นะ แต่ต้องออกค้อนตลอดๆ” ทำมือกลมๆ ให้ดู
ทั้งสองหัวเราะให้กันอีก มองหน้ากัน อย่างเบิกบานใจ
“ตอนที่ผมเจอดวงวันนั้น ผมลืมถามชื่อ ไม่ได้ขอเบอร์อะไรเลยด้วย ไม่นึกเลย ว่าจะได้มาเจอกันอีก แปลกดีนะ ไม่น่าเชื่อ เป็นเรื่องที่บังเอิญที่สุดในโลก”
“จริงด้วยนะคะ แปลกแต่จริง”
“สงสัยจะเป็น..โชคชะตา..ฟ้าลิขิต”
“อาจารย์ลิขิตมากกว่าค่ะ เพราะอาจารย์ดวงเป็นเพื่อนของเพื่อนอาจารย์ของพี่”
ทั้งสองหัวเราะกันอีก
“แล้วพอดวงกลับไป เราจะได้เจอกันอีกไหม ดวงอยู่ซะใต้เลย ผมก็อยู่เหนือเกือบสุดแบบนี้” ฟ้ากระจ่างตัดพ้อ
“ก็เจอกันทางเน็ตก็ได้นี่คะ สมัยนี้ โลกแคบจะตาย” ดวงยิหวาแนะ
“ผมไม่ค่อยเล่นเน็ตเท่าไหร่ มีอะไรต้องทำเยอะแยะ”
“ดวงก็ไม่ค่อยเล่น..แต่ถ้าอยากเล่น ก็เล่นได้”
“ผมเขียนอะไรไม่ค่อยเก่ง ชอบพิมพ์อะไรผิดๆ”
“พิมพ์ว่า..สวัสดี สบายดี กินข้าวรึยัง คงไม่น่าจะพิมพ์ยากนะคะ” ดวงยิหวาแซว
“ผมพิมพ์ช้า ถ้าอยากพูดอะไรยาวๆ ก็คงพิมพ์ไม่ได้ เพราะความรู้ต่ำ”
คราวนี้ดวงยิหวามองหน้า “ที่พูดมาทั้งหมดนี่ แปลว่า..ไม่อยากจะคุยกับดวงเหรอ”
“อยากคุย แต่ไม่อยากคุยทางเน็ต เปลืองไฟ ทำให้โลกร้อน”
ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วก็ต่างอมยิ้ม ขำๆเบาๆ
ในวันต่อมา มาดามพิณและชิงชัย จัดพิธีศพนพชัยตามธรรมเนียมคริสต์ ขณะนั้นบาทหลวงและศิษย์เดินออกมาจากกลุ่มคนที่มุงหน้าสุสาน หลังทำพิธีเสร็จ
ชิงชัยประคองมาดามพิณมาลาบาทหลวง ซึ่งบาทหลวงพูดเป็นเชิงให้กำลังใจมาดามพิณ และตบหลังไหล่ชิงชัย บาทหลวงอำลาคนที่มาร่วมงาน
ชิงชัย ประคองมาดามพิณในชุดดำ พาไปจัดวางดอกไม้ ที่สุสาน
คนที่ยืนรออยู่ตรงนั้น มีปีเตอร์และเทเรซ่าด้วย ทุกคนต่างอยู่ในความทุกข์โศก
จังหวะนั้นบัญชามากับเกียรติบดินทร์ บุรี และทรายทองก็เดินเข้ามาในงาน
แขกที่มาร่วมงานบางคน หันมาเห็นพวกบัญชา ต่างสะกิดกัน ปีเตอร์ กับเทเรซ่าหันมา
ปีเตอร์อึ้งๆ โอบรั้งร่างเทเรซ่าเข้ามาแบบปกป้องอย่างไม่รู้ตัว
มาดามพิณกับชิงชัยเงยมาขึ้นมา เจอหน้าบัญชา กับบุรีพอดี เกียรติบดินทร์ยังใช้ไม้ค้ำยัน เดินตามมาช้าๆ
ทันใดนั้น มาดามพิณก็สะบัดตัวหลุดจากการประคองของลูก เดินพุ่งเข้ามา
“นายหัว นายหัวฆ่าผัวชั้น นายหัวจะต้องได้รับกรรม”
ทุกคนมองมาเป็นตาเดียว ชิงชัย ปีเตอร์รีบเดินมาสมทบ
“มาดามเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ไม่ใช่ผมแน่”
“ไม่ใช่มึงก็ไอ้ลูกชายมึงเนี่ยแหละ ไอ้พวกหมาลอบกัด” ชิงชัยสบถ
เกียรติบดินทร์ยกไม้คำอันหนึ่ง ชี้หน้า “ไอ้กระจอก มึงระวังตัวไว้เหอะ เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัวอีกคน”
บุรีรีบเข้าไปขวาง
“น้องดิน..ใจเย็นๆ..มาดามครับ..ผมไหว้ล่ะ ผมขอร้อง ว่ามาดามอย่าเพิ่งด่วนสรุปเรื่องคนฆ่านายนพชัย ผม..กับนายหัวเข้าใจดี ว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันทำให้ใครๆ เข้าใจผิดกันไป เพราะเหตุนี้ นายหัวถึงอยากมาร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวมาดาม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของครอบครัวเรา”
“ความบริสุทธิ์ใจของครอบครัวคุณงั้นเหรอ..ครอบครัวคุณมีความบริสุทธิ์ใจด้วยเหรอ ชั้นอยากจะหัวเราะให้โลกแตก” แต่มาดามพิณกลับร้องไห้ฮือๆๆๆ “ไปเถอะ พวกคุณไปให้พ้น ปล่อยให้ผัวชั้นตายอย่างสงบเถอะ”
“มาดามพิณ..ผมเสียใจ ผมเสียใจมากจริงๆ” บัญชาน้ำตาคลอ “เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ควรจะเกิดขึ้น ไม่ควรเลย ถ้า...” บัญชาหันไป มองหน้าปีเตอร์ แล้วกลับเงียบไป
“ถ้า..ถ้าอะไร นายหัว พูดออกมาสิ” มาดามพิณซักไซ้
บัญชาเมินหน้าจากหน้าปีเตอร์ “เอาเป็นว่า...ผมเสียใจที่สุด ที่คุณนพชัย...จากเราไป อย่างไม่สมควรเลย”
“ขอให้พระเจ้าลงโทษคนผิด ขอให้คนที่ทำให้นพชัยตาย ตกนรกหมกไหม้ ตายทั้งเป็น” มาดามพิณชี้นิ้วไปตรงหน้าบัญชา
บัญชาผงะ ทรายทองปิดปาก สยอง
ปีเตอร์เข้ามาประคองมาดามพิณอีกข้าง กึ่งๆ ห้ามทัพ “มาดามพิณ..พอเถอะครับ..อย่าให้มีบาปต่อกันอีกเลย...” ปีเตอร์ก้มหน้าให้บัญชาพูดเสียงสุภาพ “นายหัว..คุณกลับไปเถอะครับ..ผมขอร้อง..นึกว่าสงสารมาดาม ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ”
บัญชาจ้องหน้าปีเตอร์ “คุณปีเตอร์...พระเจ้าของพวกคุณ...คุ้มครองผมอยู่แล้ว คุณสวดเพื่อตัวของคุณเองเถอะ” บัญชาหันมามองบุรี “บุรี ดิน...ทราย...กลับ”
พูดจบบัญชา ก็เดินนำกลับออกไปแบบเชิดเต็มที่ มาดามพิณเป็นลม ปีเตอร์ กับเทเรซ่ารีบเข้าไปดูแล
ชิงชัยหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วหลบไป กระซิบพูดกับทางปลายสาย ด้วยหน้าตาโหดเหี้ยมดุดัน
รถตู้ของบัญชาขับแล่นมาตามความโค้งของถนน ผ่านทางที่เป็นป่า ต้นไม้ ภูเขาเขียวขจี ที่นั่งข้างคนขับมีบุรีนั่งกอดอกวางมาดขรึมนิ่งอยู่ คนที่นั่งหลังคนขับคือบัญชา ยังอยู่ในอาการเครียด กัดกรามแน่น พิงไหล่ชิดกระจกขวา
ส่วนคนที่นั่งข้างหลังบัญชา แต่เยื้องมา ติดกระจกซ้าย เกียรติบดินทร์นั่ง และยื่นขามาวางบนที่นั่งแบบพับได้ตรงหน้า ซึ่งเป็นซ้ายสุดของที่นั่งบัญชา ติดประตูรถ
ที่นั่งด้านหลังของ ทรายทองหน้าเศร้า ไม่สบายใจ ทั้งหมด ไม่มีใครพูดจากัน
รถตู้แล่นไปเรื่อยๆ เจอสี่แยก ก็เลี้ยวซ้าย คนในรถ ยังอยู่ในอารมณ์เดิมๆ
ในถนนเข้าเมือง รถตู้แล่นเข้าซอยบ้านบัญชา จนมาถึงบริเวณกำแพงรั้วหน้าบ้าน รถตู้จอดคนในรถหน้าตาไม่ยินดียินร้าย คนขับบีบแตรเสียงดัง สักพักหนึ่งก็เห็นภายในบ้านยามกำลังวิ่งมาที่ประตู
ทันใดนั้น ก็มีรถกระบะสีเข้มคันหนึ่งแล่นด้วยความเร็วสูงผิดปกติตามหลังมา แล้วจอดประกบด้านขวา ทุกคนในรถหันไปมอง ด้วยความตกใจ
“ทุกคน ระวัง!!” บุรีควักปืนหันไปทางลูกสาว “ทราย หมอบลูก”
แต่ไม่ทันเสียแล้ว ที่หลังกระบะ มีคนใส่ชุดดำ สวมหมวกคลุมหัว ใช้ปืนเอ็ม 16 จ่อยิง เข้าใส่ที่นั่งขวาหลังคนขับแบบเจาะจงเป็นชุดๆๆ
เกียรติบดินทร์จ้องมอง ตาถลนแทบทะลุออกมาจากเบ้า ยกมือกันหน้าตัวเอง ส่วนทรายทองหมอบ
บัญชาก้มลง แต่ไม่พ้น ลูกปืนเข้าบริเวณหลังและต้นคอราวห่าฝน กระจกรถแตกกระจาย เสียงปืนดังลั่น และดังสนั่นต่อเนื่องเหมือนจะไม่มีวันหยุด
สักพักหนึ่ง มือปืนรีบก้มหมอบ ขณะที่คนขับกระบะหักรถกลับทางเก่าอย่างคล่องแคล่ว แล้วขับตะบึงแล่นออกไปอย่าเร็วและแรง
ส่วนภายในรถเกียรติบดินทร์ค่อยๆ โงหัวขึ้นมาดู แล้วต้องช็อก เมื่อเห็นบัญชาฟุบคว่ำอยู่ เลือดนองเต็มตัว เวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองบุรีโผล่มาดู คนรถโผล่มาดู ต่างคนต่างผงะ
ทรายทองค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดูเป็นคนสุดท้าย แต่เมื่อเห็นสภาพของบัญชา ทรายทองกรีดร้องขึ้นมาสุดเสียง อย่างสยดสยอง
อ่านต่อหน้า 3
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภายในครัวศาลเจ้าตอนกลางวัน ขณะนั้นฟ้ากระจ่างกำลังใส่น้ำตาลลงในหม้อต้มถั่วแดงที่เดือดปุดๆ อยู่ ดวงยิหวาชะโงกดูอย่างสนใจทุกขั้นตอน
“ใส่น้ำตาลทีหลังหรือคะ” ดวงยิหวาถาม
“ใช่..รอจนถั่วนิ่มดีแล้วค่อยใส่” ฟ้ากระจ่างอธิบาย
“แล้วถั่วแดงไม่ต้องแช่ไม่ได้หรือคะ”
“ไม่แช่ก็ได้ แต่ก็ต้องต้มนาน เปลืองไฟ ทำให้โลกร้อน”
“อ่ะจ้า..” ดวงยิหวาว่า
ทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่า ในอีกมุมหนึ่ง อาหึ่ง กับสารภี แอบดูอยู่อย่างลุ้นๆ
“อาหมวยคนนี้ ท่าทางมันจะยังไงซะแล้ว รู้จักกันไม่กี่วัน ทำไมมันทำท่ายังกะสนิทกันมาซะ 10 ปี กะอาเสี้ยวท้อ ยังไม่เห็นกุ๊กกิ๊กกันอย่างนี้” อาหึ่งตั้งข้อสังเกต
“ผู้หญิงชาวกรุงเทพก็แบบเนี้ยแหละ ไวไฟที่สุด ไม่ได้ๆ ชั้นจะต้องขัดขวาง”
สารภีทำท่าจะพุ่งเข้าไป อาหึ่งคว้าแขนดึงรั้งไว้พลางว่า
“อย่านะ อีสาระแน ถ้าอาจ้างจะมีแฟนซักคน แกต้องสนับสนุน เพราะอาจ้างมันก็ 20 กว่าแล้ว ถ้าไม่มีใครเอาซะเลย คนจะหาว่ามันเป็นตุ๊ด”
“แต่ผู้หญิงจะทำมันเสียใจ เดี๋ยวเค้าก็กลับบ้านกลับเมือง แล้วก็ลืมมัน มันไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีอะไรเลย ใครจะมารักมันจริง”
“จริงไม่จริง แกก็อย่าเอือก” อาหึ่งลากคอสารภีออกไป
ครู่ต่อมาฟ้ากระจ่าง กับดวงยิหวา ถือถ้วยถั่วแดงร้อนๆ ใบเล็กๆ คนละถ้วย มาหาที่นั่งชิม
ดวงยิหวาค่อยๆ เป่า ชิมช้าๆ แล้วตาโต “โอ๊ย...”
“เป็นอะไร” ฟ้ากระจ่างลุ้น
“อร่อย” ดวงยิหวายิ้มๆ
ฟ้าจ่างหัวเราะร่า “ร้องซะตกใจ”
“ทำไมมันทำง่ายแบบนี้ ดวงนึกว่ามันจะยากซะอีก”
ฟ้ากระจ่างชักสีหน้าอนาถใจใส่ “คงทำอาหารอะไรไม่เป็นเอาเลยสิเนี่ย”
“ดวงต้มบะหมี่ๆ ยังไม่สุกเลย”
“เว่อร์และ.. เว่อร์ๆๆ”
“จริงจริ๊ง..แล้วทำไมพี่จ้างทำเป็นทุกอย่างล่ะ ทำอะไรก็เก่งไปหมด” ดวงยิหวาสงสัย เพราะเธอเห็นอย่างนั้นจริงๆ ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน
“โห..พูดแบบนี้ เขินนะ”
ดวงยิหวามองแล้วถามอย่างจริงใจ “พี่จ้างมีแฟนรึยังคะ”
ฟ้ากระจ่างชะงัก อึ้งๆ “ไม่บอก”
“โห..พูดแบบนี้มีแล้วแหงๆ พี่จ้างเป็นคนดี อยู่กะใครก็ทำดีกะเค้าไปหมด ใช่ไหมคะ แย่จัง”
จ้าง“ทำไมถึงแย่ล่ะครับ”
น้ำเสียงดวงยิหวาฟังดูจริงจัง “ก็..คนที่เค้าหลงรักพี่..เค้าก็ต้องอกหักกันหมดสิคะ ไม่ได้แล้วล่ะ อยู่กะพี่ ต้องเตือนตัวเอง..ให้ระวังใจไว้ให้ดี คนน่ารักแบบนี้..คงไม่มีเหลือมาถึงเราหรอก”
ฟ้ากระจ่างนิ่งไปนิด มองหน้าดวงยิหวา พูดเสียงซื่อๆ “ผู้หญิงที่เค้าเรียนสูงๆ ทำงานแบบฉลาดๆนี่..พูดเก่งเนาะ ฟังแล้วเราจะงงๆ ว่านี่เค้าจีบเรา หรือว่าเปล่า..จริงๆเค้าไม่ได้คิดอะไรเลย”
ดวงยิหวายิ้มๆ กินขนมไป ฟ้ากระจ่างนั่งข้างๆ คนถั่วในถ้วยเล่น คนไปคนมา
ทันใดนั้น เสียงเรียกเข้ามือถือดวงยิหวาดังขึ้น
ดวงยิหวาท่าทางเซ็งๆ วางถ้วย รีบรับสาย
“พ่อ..ค่ะ ดวงสบายดี ไม่มีอะไรค่ะ อ๋อ จะเสร็จแล้วค่ะ เหลือสัมภาษณ์อะไรนิดหน่อย..คะ?..จริงเหรอคะ..” สีหน้าตาตกใจ “ค่ะๆ ได้ค่ะ..ค่ะ..ค่ะ ค่ะ” ดวงยิหวาวางสาย สีหน้าขรึมไปเลย
ฟ้ากระจ่างมองอย่างกังวลไปด้วย “ที่บ้าน..มี..ปัญหาหรือครับ” แต่เกรงใจที่จะถาม
ดวงยิหวาท่าทางเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “ค่ะ..ที่บ้าน..มีเรื่อง..นิดหน่อย”
ฟ้ากระจ่างมอง หน้าจ๋อยลงไป รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองโดนปิดกั้นเป็นคนนอกทันที เกรงใจ และเจียมตัว
ในวันต่อมา เกียรติบดินทร์เดินเขย่งๆ มา กับบุรี ทรายทอง เข้ามาในโรงพยาบาล แล้วต้องชะงัก
เมื่อมองไปเห็นที่หน้าห้องคนไข้ ดารากานต์นั่งร้องไห้อยู่กับบัว
“คุณหนูๆ..ทำใจดีๆนะคะ..” บัวมองมาเห็นเกียรติบดินทร์ ชะงัก รีบหยุดพูด
เกียรติบดินทร์ร้อนใจ รีบเขย่งๆ แซงคนอื่นเข้าไป “แม่..นายหัว! หายหัวเป็นอะไรหรือเปล่า”
ดารากานต์หันมา พยายามยิ้ม เช็ดน้ำตา
“นายหัว..พ้นเขตอันตรายแล้ว..หมอเขาให้มาอยู่ห้องธรรมดาได้ ไม่ต้องอยู่ไอซียูแล้ว”
“แล้วแม่ทำไมต้องร้องไห้แบบนี้ด้วย...”
เกียรติบดินทร์รีบเดินเขยก เปิดประตูเข้าไป แล้วยืนอึ้ง ตะลึงคาที่
บนเตียงคนไข้ บัญชานอนลืมตานิ่ง สีหน้าดูขาวซีดเซียว
เกียรติบดินทร์อึ้ง มองอย่างงงๆ ลังเล หวั่นกลัว ค่อยๆ ก้าวเข้าไป
“นายหัว”
บัญชาค่อยๆ หันมามองหน้าลูกชาย แล้วน้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้น แล้วไหลออกมา
“นายหัวไม่เป็นอะไรแล้วนี่ครับ..นายหัวฟื้นแล้ว..แบบนี้อีกไม่กี่วัน นายหัวก็กลับบ้านได้แล้ว..ใช่ไหมครับ” เกียรติบดินทร์ระล่ำระลัก
บัญชายื่นมือออกมา “น้องดิน...น้องดิน”
เกียรติบดินทร์เข้าไปใกล้ๆ “นายหัว”
“น้องดิน...ฟังพ่อนะ” บัญชาเสียงซีเรียส
“พ่อ”
“น้องดิน..ต้องไปอเมริกาให้เร็วที่สุด รีบไปเรียนต่อ น้องดินต้องไปให้พ้นวังวนนี้ เรื่องนี้..ไม่เกี่ยวกะน้องดิน พ่อผิดเอง..พ่อผิดเอง”
ดารากานต์ บัว บุรี ทรายทองตามเข้ามา ยืนมองอยู่ข้างหลัง
ทรายทองกระซิบถามบุรี “พ่อ..นายหัวเป็นอะไรมากหรือคะ”
“นั่นสิ..นายหัว..ต้องเป็นอะไร..ที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ๆ” บุรีบอก
ดารากานต์พยายามกลั้นน้ำตา แต่กลั้นไม่อยู่ หันไป ปิดหน้า ปิดปาก ร้องไห้ บัวดึงไปกอด
ทางด้านดวงยิหวาสะพายกระเป๋า ไหว้ลาอาจารย์ เตรียมตัวขึ้นรถไฟกลับบ้านที่ใต้
“ขอโทษนะคะ อาจารย์ หนูต้องกลับไปช่วยพ่อทำงานด่วนจริงๆ ไม่งั้น หนูก็อยากอยู่ถ่ายงานให้เสร็จ”
“ไม่เป็นไรหรอก ดวงยิหวา หนูก็ทำบทไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวก็แค่ช่วยๆกันเก็บช่วงสัมภาษณ์รายตัวไปตามที่หนูกำหนดให้ครบ” อาจารย์บอก
“ช่าย ไม่มีอะไรยากแล้วล่ะ ไว้ตอนตัดต่อ ดวงก็มาดูอีกทีก็แล้วกัน” เพื่อนคนหนึ่งว่า
เสียงประกาศเตือนว่ารถไฟไปกรุงเทพฯ จะออกจากสถานีแล้ว
“เราไปก่อนนะ”
“แล้วเจอกันในเน็ตนะ” เพื่อนอีกคนว่ายิ้มๆ
“จ้า เจอกันในเน็ต” ดวงยิหวาว่า
ทุกคนหัวเราะให้กัน
ดวงยิหวาวิ่งขึ้นรถไฟ หันมองลาเพื่อนๆ แล้วต้องชะงัก เมื่อสังเกตเห็นฟ้ากระจ่างยืนอยู่หลังเพื่อนๆ และอาจารย์ มองมา
ดวงยิหวายิ้ม แล้วโบกมือให้ ฟ้ากระจ่างยิ้มรับ พลางโบกมือตอบ
ดวงยิหวายืนที่เดิม โบกมือให้ ขณะรถไฟแล่นออกไป
ฟ้ากระจ่างมองตามไม่วางตา จนรถไฟแล่นไกลออกไป
บนรถไฟ ขณะที่ดวงยิหวาเดินไปหาที่นั่ง สีหน้ายิ้มๆ แล้วกลับครุ่นคิด ชักรู้สึกยังไงๆ หับกลับไป แววตามีประกาย นึกถึงใบหน้าของฟ้ากระจ่าง
สักครู่หนึ่งรอยยิ้มนั้นจางลง ดวงยิหวาครุ่นคิด รู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกใหม่ๆ ในใจของตัวเอง
วันเดียวกันนายตำรวจเจ้าของคดีมาสอบปากคำบัญชาที่ห้องผู้ป่วย นั่งอยู่ข้างเตียง เวลานั้นกำลังปิดแฟ้ม
“ขอบคุณนายหัวมากครับ ที่ให้ข้อมูล สำหรับวันนี้ ผมคงพอก่อน แล้วถ้ามีอะไร หวังว่านายหัวคงให้ความร่วมมือ” นายตำรวจลุกขึ้น “ขอให้หายเร็วๆ นะครับ” พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไป
ที่หน้าห้อง เด่น บุรี เฝ้าอยู่ ตำรวจสวัสดีทั้งสอง ก่อนเดินจากไป
บุรีรีบเข้าไปหาบัญชา “นายหัว ตำรวจถามอะไรบ้างครับ”
บัญชาถอนหายใจ บอกสั้นๆ “ก็..เรื่องที่เค้าควรจะถาม”
“นายหัว..พักเถอะครับ..อย่าคิดมากนะครับ พวกเราจะช่วยกัน ทำให้งานทุกอย่างมันเรียบร้อยที่สุด ราบรื่นที่สุด” เด่นปลอบใจ
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูเบาๆ พร้อมกับที่นางพยาบาลเดินถือกระเช้าดอกไม้เยี่ยมไข้เข้ามา
“มีคนฝากมาค่ะ” นางพยาบาลบอก
“ขอบคุณครับ” เด่นรับไป
บุรีรีบมาหยิบการ์ดดู ดึงการ์ดมา อ่าน
“ขอให้หายเร็วๆนะคะ จาก..มาดามพิณ เพื่อนของคุณ” บุรีมีสีหน้าคั่งแค้นใจ “เอ๊ะ นังคนนี้ มันเจตนาเยาะเย้ยชัดๆ”
“มาดามพิณ ไอ้ปีเตอร์..ต่อไปนี้...ธุรกิจของเรา คงไม่มีคำว่าราบรื่น หรือเรียบร้อยอีกแล้ว” บัญชาเอ่ยขึ้นเสียงซีเรียส
“ผมกลัวแต่ว่า..น้องดินจะไปเอาคืนพวกมันอีก”
“บุรี อย่าพูดมาก!!” บัญชาเอ็ดน้องชาย
“รีบๆ ส่งน้องดินไปอเมริกาแหละ ดีที่สุด บริษัทเรา ผมดูแลเอง” บุรีบอก
“ดีครับ..รีบส่งคุณดินไปในที่ๆ ปลอดภัยที่สุด นายหัวมีอะไรจะให้ผมช่วยได้บ้าง ก็บอกมานะครับ อย่าเห็นผมเป็นคนอื่น” เด่นว่า
สีหน้าแววตาบัญชาเวลานี้ ดูเครียดจัด
เช้าวันต่อมา ภายในบ้านบัญชากำลังเตรียมสถานที่ เพราะวันนี้หมออนุญาตให้บัญชากลับมาพักรักษษตัวที่บ้าน มีกระเช้าดอกไม้ แจกันดอกไม้ ที่ส่งมาเยี่ยมไข้วางเต็มชั้น มองกว้างออกไปเห็นว่าห้องนั้น เป็นห้องใหม่ ตั้งเตียงแบบเตียงรพ. ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง
บัวเดินเข้ามาหยิบรีโมทมากดเปิดแอร์ มองสำรวจความเรียบร้อยรอบๆห้องอีกครั้ง
“ดอกไม้มากเกินไป กลิ่นฉุนรบกวนนายหัวเปล่าๆ” บัวยกกระเช้าบางอันออก
บัวเดินสวนกับนายน้อม ที่ขนหมอนใหม่ๆ ผ้าห่ม มาจัดวางบนเตียงคนป่วย หมุนปรับเตียง ตบหมอนวางซ้อน หน้าตาหมองเศร้า มองรอบห้อง ถอนใจ
จังหวะนั้นมีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด น้อมวิ่งออกไป
ที่หน้าตึกใหญ่ น้อมวิ่งมาถึงแล้วยืนอึ้ง เห็นรถแอมบูล้านซ์ของโรงพยาบาลกับรถตู้ แล่นตามกันมาจอด บุรีรีบลงมาคนแรกจากรถตู้ รีบดึงทรายทองลงมาติดๆ น้อมรีบเข้าไปเสนอหน้ารับที่ประตูแอมบูลานซ์
ดารากานต์ตามลงมา เกียรติบดินทร์ ซึ่งหายจนเกือบปกติ ลงมาเป็นคนสุดท้าย ใส่แว่นดำบังหน้า เลี่ยงออกไปยืนห่างๆ
บุรุษพยาบาลคนหนึ่งเปิดรถแอมบูล้านซ์ บุรุษอีกคนเข็นรถเข็น ที่มีบัญชานั่งเอียงๆ ร่างกายไม่สมดุลอยู่บนรถเข็นคันนั้น ลงมา
บุรีรีบเข้ามาช่วยยก “เอาอึ๊บๆๆ ระวังกันหน่อยๆ เดี๋ยวต้องช่วยกันยกรถขึ้นบันไดนะ ไหวกันใช่ไหม ทุกคน”
น้อมตะลึง เศร้า แล้วรีบพยายามเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม รีบเข้าไปรับ ยกมือไหว้
“นายหัว..นายหัวหน้าตาสดใสจังครับ..มาครับ” น้อมหันมาพูดกับบุรุษพยาบาล “ผมช่วยๆๆ”
น้อมและทุกคน ช่วยกันยกรถเข็นให้ลอยพ้นขั้นบันได พาขึ้นบันไดมา เกียรติบดินทร์มองตาม ถอดแว่น สีหน้าไม่พอใจ เดินตามไป
บัวมายืนรับที่หน้าบันได พอเห็นสภาพนายหัว ก็หันหน้าหนีแอบร้องไห้
บัญชามองบ้าน มองคนรอบๆ แล้วสีหน้าปวดร้าว กัดกรามแน่น
พวกผู้ชายทั้งหมดยกรถเข็นขึ้นมาบนบ้านสำเร็จ
“เฮ้อ หอบเลย..แบบนี้สงสัยต้องทำพื้นลาดขึ้นลงหน้าบ้านเราถาวรแล้วล่ะ” บุรีเอ่ยขึ้น
เกียรติบดินทร์หันมาจ้องหน้าเขม็ง “อาบุรีพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“ชั้นพูดอะไร…” บุรีย้อน
“ทางลาดถาวรบ้าบออะไร เดี๋ยวนายหัวก็หาย ทำกายภาพแค่ไม่กี่เดือน” เกียรติบดินทร์บอกฉุนๆ
“น้องดิน น้องดินก็รู้แล้วนี่นา..ว่า...” บุรีนึกได้ หันมามอง
เห็นบัญชาจ้องมา สีหน้าปวดร้าว
“ขอโทษนะทุกคน ชั้นเพลียเต็มที อยากจะนอนพัก ดารากานต์...มาพาชั้นไปหน่อย..คุณบุรุษพยาบาล ขอบคุณมากนะครับ ทุกคน ตามสบาย”
ดารากานต์รีบมาที่รถเข็น เข็นพาบัญชาไปที่ห้องนอนใหม่
บุรีรีบตามประกบ ชิงบทบาท “นายหัวครับ มาดูห้องนอนใหม่ของนายหัวดีกว่า รับรองครับ นายหัวต้องชอบ ห้องนอนชั้นล่าง..มองออกไปเห็นสวนหลังบ้าน..สะดวกทุกอย่าง”
ทุกคนมองตามไป แล้วหันมาสบตากัน เศร้า สลด บัวร้องไห้อยู่มุมหนึ่ง น้อมเช็ดน้ำตาอยู่อีกมุม
เกียรติบดินทร์มองหน้าทุกคน รับไม่ได้ “เป็นบ้าอะไรกันไปหมดแล้ว” เดินปังๆ ขึ้นบ้านไป
ทรายทองมองตามเกียรติบดินทร์ไป
เกียรติบดินทร์โถมกระแทกตัวลงบนเตียงนอน พยายามหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไร แต่แล้ว ก็ทนไม่ได้ ร้องไห้โฮออกมา ฟุบหน้ากับฝ่ามือ
จังหวะนั้นมีเสียงเปิดประตูเข้ามาเบาๆ เกียรติบดินทร์เงยหน้าขึ้นมา น้ำตาเต็มใบหน้า แล้วผงะ รีบเช็ด
ทรายทองยืนมอง ด้วยหน้าตาทั้ห่วงใย
“ออกไป!!” เกียรติบดินทร์ตะเพิด
“พี่ดิน” ทรายทองอึ้ง
“ไปให้พ้น ยัยเด็กบ้า ไป๊” เกียรติบดินทร์สูดน้ำมูก พยายามหลบหน้า ลุกเดินหนี
“ทรายรู้ พี่ดินเสียใจมาก พี่ดินคิดว่า..ที่นายหัวเป็นแบบนี้ เพราะพี่ดินเป็นต้นเหตุ ใช่ไหมคะ”
“หยุดพูดซะที แกพูดมากเกินไปซะแล้ว ยัยทราย ออกไป ก่อนที่ชั้นจะ…”
ทรายทองพูดสวนขึ้นมา “พี่ดินคะ..พี่ดินไม่ได้มีตัวคนเดียวนะคะ พี่ดินยังมีทรายอีกคน ถ้าพี่ดินอยากจะพูดอะไรกับใคร แต่ไม่มีคนจะฟัง ทรายขอเป็นคนนั้นค่ะ พี่ดินพูดทุกอย่างกะทรายได้”
“สิ่งเดียวที่ชั้นอยากพูดกะแก..ก็คือ..ไปไกลๆ เลยไป๊”
เกียรติบดินทร์หันไปคว้าของใกล้มือ หันมาเขวี้ยงกระจาย ทรายทองกระโดดหลบ แล้วเผ่น
“คนบ้า! พี่ดินโรคจิต”
ทรายทองวิ่งออกไป ปิดประตูปัง เกียรติบดินทร์ยิ่งแค้นเคืองใจหนัก
เวลานั้น ดารากานต์กำลังปรับเตียงให้บัญชา พลางถาม
“ศีรษะสูงเกินไปหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอก ดีแล้ว ขอน้ำผมหน่อย น้ำเปล่า..ไม่ต้องเย็น”
“รอเดี๋ยวนะคะ” ดารากานต์เดินออกไป
บุรีกดรีโมท เลือกช่องทีวีอยู่ หวังจะเอาใจ
“บุรี ขอพี่อยู่เงียบๆหน่อยเถอะ” บัญชาบอก
บุรีรีบกดปิดทีวี
“งั้นนายหัวพักเถอะนะครับ เรื่องงาน..ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อย่าให้น้องดินมายุ่งอีกเด็ดขาด เข้าใจไหม” บัญชากำชับ
“นายหัวครับ..ผมว่า..เรื่องน้องดิน..ผมคงทำอะไรไม่ได้ น้องดินไม่เคยเชื่อฟังผมเลย จะว่าไป..น้องดินไม่เคยฟังใครทั้งนั้น และผมว่า เค้าต้องคิดจะตอบโต้พวกมาดามพิณแน่ๆ นายหัวต้องยอมรับนะครับ ว่าที่นายหัวต้องมาเป็นแบบนี้ ก็เพราะลูกคนนี้” บุรีหารือแต่วกกลับมาโทษเกียรติบดินทร์
“ไม่..ไม่ใช่” บัญชาบอก
“ไม่ใช่อะไรครับ”
“เรื่องนี้..น้องดินไม่เกี่ยว ไม่ใช่ความผิดของน้องดิน ชั้นเอง..ที่ผิด..ชั้นเอง”
“นายหัว..นายหัวจะปกป้องลูกชายคนเดียวของนายหัวไปถึงไหน นายหัวจะผิดได้ไง น้องดินตังหาก ที่แส่..ตั้งแต่วันประมูลวันนั้น..มันถึงเป็นเรื่องขึ้นมา”
“แกไม่รู้อะไรก็เฉยเถอะ” บัญชาฉุนนิดๆ
“ผมไม่รู้อะไรครับ ไหน นายหัวลองบอกมาซิ ว่าผมไม่รู้อะไร” บุรีเริ่มฉุนๆ
จังหวะนั้น ดารากานต์กลับเข้ามา พร้อมถาดน้ำพอดี
บุรีมอง พูดอย่างเซ็งๆ “แล้วพรุ่งนี้ ผมจะมาเยี่ยมนายหัวแต่เช้า ไปนะครับ นายหญิง
“ขอบคุณนะคะ คุณบุรี” ดารากานต์พูดยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรครับ” บุรีออกไป ไม่วายหันมามองบัญชาอย่างข้องใจ
ดารากานต์เอาน้ำให้ บัญชารับมาดื่ม ดารากานต์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับปากให้ ถามน้ำเสียงห่วงๆ “ท่าทางคุณบุรีเหมือนมีอะไร งานมีปัญหาหรือคะ”
“เปล่า” บัญชาตอบสั้นๆ
“ถ้ายังไง..นายหัวก็ปล่อยให้คุณบุรีเค้าดูแลไปเถอะค่ะ ปล่อยวางเสียบ้าง..ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกค่ะ คุณบุรีช่วยนายหัวมาตั้งหลายปีแล้ว เค้าก็น่าจะรู้ดีกว่าใครๆ นะคะ”
“ก็น่าจะเป็นอย่านั้น” บัญชาเอนตัวนอนลง
ดารากานต์นั่งลง มองดูบัญชา แล้วช่วยบีบขาให้เบาๆ บัญชาเหลือบตามอง ดารากานต์นวดขาให้ไปเงียบๆ
“ดารากานต์..ไม่ต้องหรอก คุณก็พักเถอะ” บัญชาบอก
“ไม่เป็นไรคะ ฉันอยากทำ”
บัญชามองมือของดารากานต์ ที่บีบนวดอย่างตั้งใจ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีก
ปีเตอร์ยืนวางมาดหล่อ อยู่บนชายหาด บัญชาเดินมาเจอ ปีเตอร์หันมาเห็น แล้วหัวเราะเยาะหยัน
บัญชาแค้น ถลาเข้าไปจะชก ปีเตอร์เบี่ยงตัวหลบ บัญชาเสียหลักล้มลงกับพื้นทราย
บัญชาพลิกตัวมา พยายามจะลุก ปีเตอร์หัวเราะๆๆ บัญชาลุกแล้วล้ม ลุกไม่ขึ้น พยายามยันตัวลุก ขึ้นลุกไม่ได้ บัญชาตะเกียกตะกาย
ที่แท้ทั้งหมดคือความฝัน...ทำให้บัญชาดิ้นรนไปมาอยู่กลางดึกของคืนนั้น อาการกระวนกระวาย เหงื่อผุดทั่วหน้า แล้วในที่สุด ลืมตาตื่นในแสงไฟโคมสว่างนวล บัญชากระพริบตารวบรวมสติมองไปรอบๆ
ดารากานต์นอนหลับที่โซฟานอนข้างๆ บัญชาใช้แขนข้างหนึ่ง พยายามพยุงตัวขึ้นนั่ง ยังเจ็บแผลอยู่ บัญชาพยายาม จะขยับขา แต่ขาท่อนล่างนิ่งเฉย
บัญชาพยายามจับขาให้ขยับ พยายามอยู่หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
ดารากานต์ ยังหลับไม่รู้เรื่อง
บัญชาโมโห ทุบขาตัวเอง แล้วในที่สุด ก็ร้องไห้ออกมา เสียงดัง ดารากานต์ตกใจตื่น หันไปเห็น ตกใจ รีบลุก
“นายหัวๆ..เป็นอะไรคะ”
“ขา..ขาผม มันเดินไม่ได้ มันใช้การไม่ได้อีกแล้ว”
ดารากานต์เข้ามากอดบัญชาไว้ “นายหัว..จะเข้าห้องน้ำหรือคะ..เดี๋ยวนะ..รอเดี๋ยว..” ดารากานต์หันไป เห็นที่สำหรับฉี่ ไปหยิบมา “ใจเย็นๆ นะคะ”
บัญชาปัดโถฉี่จนกระเด็น “ไม่! ไม่เอา! ไม่ใช่!
“นายหัวอยากไปเองเหรอคะ...ถ้างั้น ชั้นจะพาไป” ดารากานต์รีบไปดึงรถเข็น
บัญชาตะโกนลั่น “ไม่ต้องๆ..ดารากานต์ อย่ามาทำดีกับผม คุณไม่รักผมแล้วมาทำดีกับผมทำไม”
ดารากานต์ผงะ ชะงักไป บัญชาทิ้งตัวนอนลง ระเบิดร้องไห้เสียงดังแบบเด็กๆ
ดารากานต์เข้าไปจับตัว “นายหัว ทำไมนายหัวพูดแบบนี้ล่ะคะ”
บัญชาสะอึกสะอื้นอยู่สักพัก
“ทำไมนายหัวพูดแบบนี้ เราเป็นผัวเมียกัน ร่วมทุกร่วมสุขกันมา...แล้วทำไมอยู่ๆ...นายหัวถึงมีความคิดแบบนี้” ดารากานต์ว่า
บัญชาค่อยๆ สงบลง ดารากานต์จับมือสามี มองหน้าเงียบๆ
บัญชามองเพดาน สีหน้าเหม่อลอย “จริงสินะ..เราเป็นผัวเมียกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน..แต่..ผมกลับไม่เคยสนใจเลย ว่าคุณมีความสุขหรือเปล่า”
“ฉันมีความสุขสิคะ ไม่มีสามีของใครจะดีอย่างสามีของชั้นอีกแล้ว เพื่อนๆ ของชั้นทุกคนพูดแบบนี้..ทุกคนอิจฉาชั้นกันทั้งนั้น”
บัญชา มีสีหน้าเหมือนตัดสินใจบางอย่าง
“ผมไม่ได้ดีอย่างที่เค้าคิดกันหรอก..เพราะ..ผมเอาแต่ทำงาน ไม่เคยถามคุณซักคำ ..ว่า..ที่จริง..คุณมีความทุกข์อย่างใหญ่หลวง..แอบซ่อนอยู่ในใจ
“นายหัว! นายหัวพูดเรื่องอะไร”
“เรื่อง..ลูกชาย...ลูกชายคนโตของคุณ”
“นายหัว” ดารากานต์ช็อก อึ้งไป
“ผมจะไม่ถาม...ว่าเขาเป็นลูกใคร ผมจะไม่สนใจ ว่าอดีตของคุณ...เกิดอะไรขึ้น แต่เด็กคนนั้น อยู่อย่างลำบากยากจนมานานแล้ว ขณะที่...พวกเราร่ำรวย สุขสบาย เด็กคนนั้น กลับโตมาในครัวหลังศาลเจ้า ช่วยทำอาหารในโรงเจ ถูกใช้งานสารพัด” บัญชาบอก
“นายหัว..นายหัวรู้” ดารากานต์น้ำตาร่วง
“จ้าง..หรือฟ้ากระจ่าง..เขาเป็นเด็กดีมากนะ” บัญชาพูดอย่างรู้จริง
ดารากานต์ร้องไห้ ช็อก
“ผมกลายเป็นคนพิการ ไร้สมรรถภาพไปแล้ว..ดารากานต์..มันเกือบสายเกินไป..ที่ผมจะได้ทำอะไรเพื่อความสุขของคุณบ้าง”
“นายหัวคะ...ชั้น...ชั้นไม่ได้..” ดารากานต์พูดโดยไม่ได้อยากจะเรียกร้องต้องการอะไร
“ถ้าผมตายไปผมคงหมดโอกาส ที่จะได้ทำสิ่งที่สมควร...ที่ผม...ผมตัดสินใจจะทำ..ต่อไป”
“นายหัว..จะทำอะไร…”
“น้องดิน..น้องดินยังเด็กเกินไป เขาไม่มีความสามารถพอ ที่จะรับผิดชอบอะไรได้...แต่จ้างต่างจากน้องดิน ผมดูแล้ว ผมเชื่อว่า...จ้างมีวุฒิภาวะพอ...ที่จะทำได้” บัญชาเอ่ยขึ้น
“นายหัว..จะให้จ้าง..ทำอะไร” ดารากานต์ถามอย่างร้อนใจ
“ผมจะ...ขอให้เขามาเป็นทายาท...ดูแลธุรกิจทั้งหมดของผม เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทของเราทั้งหมด..คุณจะว่าไง ดารากานต์ “
“นายหัว” ดารากานต์ตื้นตัน ดีใจสุดชีวิต โผเข้ากอดซบกับอกบัญชา ร้องไห้โฮ
สีหน้าบัญชาขณะกอดดารากานต์แอบผุดแววตาร้ายกาจออกมาแวบหนึ่ง แทบมองไม่เห็น น้ำตาไหลปวดร้าวในใจ
อ่านต่อตอนที่ 6