xs
xsm
sm
md
lg

ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 11

ฟ้าใสและจ๊ะจ๋ายืนอึ้ง ตะลึง เมื่อเฉลาเปิดเฟอร์ออก แล้วเห็นว่าสร้อยนั้นอยู่บนคอหมา
“น้องบาร์บาร่า ชอบไหมคะ ได้ใส่สร้อยราคาเป็นแสนๆ ไป ไปอวดพี่ๆ เขาดีกว่านะ”
เฉลากรายออกจากห้อง เล็กยังยืนคุมอยู่ ฟ้าใสพยายามคุมสติ หยิบกระเป๋าถือจะเดินออก แล้วเกิดอาการพะอืดพะอม วิ่งไปที่ห้องน้ำทันที
“พี่ฟ้า”
จ๊ะจ๋าวิ่งตามไป เล็กยิ้มหยัน ขณะที่ฟ้าใส เมื่อเข้าไปในห้องน้ำก็ อาเจียนลงในอ่างล้างหน้า จ๊ะจ๋าเข้ามาลูบหลังให้ ฟ้าใสร้องไห้โฮแล้วทรุดลงกับพื้น
“พี่ฟ้า ทำใจเถอะนะคะ”
“มันทำร้ายฉัน มันทำร้ายฉันทั้งผัว ทั้งเมีย”
ฟ้าใสร้องคร่ำครวญ จ๊ะจ๋ามองอย่างเวทนา

ที่เพิงแสงจันทร์ ทูนอินทร์ในชุดลำลองเสื้อหม้อห้อม กางเกงชาวเล กำลังนั่งยองๆ เหมือนกำลังเบ่งอึ แต่จริงๆแล้วคือการแต่งเพลง เบื้องหน้าคือเครื่องไฮเท็ค มีทั้งไอแพ็ด โน้ตบุ๊ก กีตาร์ ขลุ่ย กระดาษ และเครื่องดนตรีสองสามชิ้นวางเกลื่อนเพิง

ส้มป่อยนำอาหารกลางวันมาเสิร์ฟ เดินมาเบื้องหลัง
“เด้อ นางเดอ เด้อ นาง เดอ.... เด้อ เด้อ นางเด้อ” ทูนอินทร์พิมพ์ลงคอม “ลิงติง ลิงติง ลิงติง เซิ้งลำซิ่งให้ใจมันโล่ง เอแล้วยังไงต่อดีน้า”
“ต่อด้วย ลั้น ค่ะ นายขา”
ทูนอินทร์ที่กำลังเพลินๆ
“ส้มมาเงียบๆอีกแล้ว อะไรของแก”
“นายน่ะ ลั้น แปลว่าอาหารกลางวันค่ะ วันนี้ มีต้มยำปลากะพง กำลังร้อนๆเลยค่ะ”
“ยังไม่หิว คิดเพลงไม่ออก ยังไม่อยากกิน” ทูนอินทร์ทำงานต่อ “ลิงติง ลิงติง ลิงติง เซิ้งลำซิ่งให้ใจมันโล่ง เอ....แล้วยังไงต่อดีน้า”
“ก็ต้องต่อด้วย ลงต่ง ลงโต๋ ลงต่ง ซีคะ”
“อะไรของแกส้มป่อย”
“ส้มป่อยช่วยคิดเพลงให้คุณไงคะ” ส้มป่อยเต้นให้ดูไปด้วย “ลิงติง ลิงติ๊ง ลิงติ่ง ก็ต้องต่อด้วย ลงต่ง ลงโต๋ ลงต่ง ไงคะ”
“แกคิดอะไรของแก”
“เพลงที่นายแต่งมันเป็นเพลง ลำซิ่ง มันก็ต้องเป็นเสียงซึง เสียงแคนม่วนหลายนะคะ” ส้มป่อยร้องและเต้นไปด้วย
“ลิงติง ลิงติ๊ง ลิงติ่ง ลงต่ง ลงโต๋ ลงต่ง อีกอย่างเพลงนี้นายร้องถึงผู้หญิงที่นาย เลิฟ ใช่ไหมล่ะ”
“เอ๊ะ ช่างรู้ รู้ได้ไง”
“อ้าว! ก็นายร้องแต่แรกว่า เด้อ นางเดอ เด้อ เด้อ นางเดอ”
“จริงซี ใช่ ฉันแต่งให้สาวคนรักน่ะ”
“ฮิฮิ อย่างนี้สาวคนรักเขาก็ต้องร้องตอบว่า เด้อ อ้ายเด่อ เด้อ อ้ายเด่อเด้อ เด้อ อ้าย เดออออ”
“แกจะให้สาวร้องตอบฉันด้วยเหรอ”
“ก็ต้องอย่างนั้นซีคะ เพลงนี้ต้องร้องโต้ตอบกัน ถึงจะแซ่บหลาย พูดเรื่อง แซ่บ นายทาน ต้มยำก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยแต่งลำซิ่งต่อ สมองจะได้แล่นนะคะ”
ส้มป่อยจัดสำรับให้ ทูนอินทร์มองอาหารในถาด แล้วลองซด ต้มยำดู
“อืม แซ่บหลายจริงๆ”
“หนูไปนะคะ”
“อ้าว ไปไหนล่ะ ไม่ช่วยฉันแต่งเพลงต่อ”
“แหม นายขา ภาระหนูเยอะ วันวันเต็มไปด้วย อิเวร””
“หา...อะไร อิ...เวร”
“ก็งาน อิเวร ที่พี่อั้ม พี่ชม พี่แอน เขาชอบไปออก รับทรัพย์อื้อซ่าไงคะ”
“อีเวนต์ งานโชว์ตัว”
“นั่นละค่ะ”
ส้มป่อยฮัมเพลงท่อน ลิงติง ลิงติง และ ลงต่ง ลงต่งจากไป ทูนอินทร์หัวเราะขำ แล้วซดต้มยำต่อ
“อร่อยแฮะกินต้มยำ แล้วค่อยแต่งลำซิ่งต่อ”
ทูนอินทร์นิ่งไป เมื่อไอเดียเกิดขึ้น
“งั้นเพลงนี้ ก็น่าจะชื่อ...ต้มยำลำซิ่ง ฮ่วย!” ทูนอินทร์ตะโกนข้ามทุ่ง “นังส้มป่อยโว้ย ขอบใจมาก แกน่ารักมาก เลิฟยู คั่ก คั่ก โว้ย”
ทูนอินทร์กลับไปแต่งเพลงต่อ เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ

วันรุ่งขึ้น รุ้งระวีซ้อมเต้นอยู้ในห้องซ้อม จี่หอยช่วยกำกับท่า หางเครื่องประจำสองนางเต้นร่วมอยู่ด้วย มะปรางและอินทรกำลังช่วยกันถ่ายเบื้องหลัง
“พี่ทูนกลับไปบ้านเหรอคะ”มะปรางถาม
“ครับ เลยให้ผมถ่ายเบื้องหลังคุณรุ้งคนเดียว เออ วันนี้เสร็จงาน เราไปดูหนังกันไหมครับ”
“ดูค่ะดู กำลังอยากดูเรื่องนี้อยู่พอดีเลย”
“แม่นางเอ๊ย เขยฝรั่ง ใช่มะ อยากดูเหมือนกันครับ เขาว่าพระเอกหล่อเว่อร์”
“ไม่หล่อค่ะ ปรางอยากดูเชือดก่อนชิม เห็นเขาว่าโหดมาก หนังรักไม่ชอบดูค่ะ ไม่หนุก”
อินทรเจื่อนไปทันที

หลังจากซ้อม รุ้งระวีมาที่ห้องอาหารพร้อมจี่หอย มะปราง และอินทร แล้วต้องชะงักไปเพราะกลุ่มจุ๊บแจงอยู่กันพร้อมหน้า กำลังทานกลางวันกันอยู่ อาชาและขวัญข้าวกำลังเปิดหนังสือพิมพ์บันเทิงของโคราช ตั้งใจอ่านเสียงดัง
“....คนคู่ใจรุ้งระวี ศรีแอลเอ หนุ่มนอกวงการ ใกล้ชิดกับสาวรุ้งตลอดงานคอนเสิร์ต แล้วอย่างนี้คู่รักอย่างเสี่ยอิทธิ เจ้าของค่าย สาวรุ้งเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนแล้ว...ชักจะอื้อฉาวใหญ่แล้วนะนักร้องหน้าลูกครึ่งค่ายเรา” อาชาเบ้ปาก
“อันนี้อื้อฉาวกว่า สาวรุ้งกับสาวฟ้า ทำท่าจะเกาเหลากันบนเวทีพูดแขวะกันตลอด เอ เกาเหลากันจริง หรือแค่ละครโปรโมทของทั้งสองค่าย” ขวัญข้าวอ่านต่อ
รุ้งระวีพยายามสงบใจ แต่จี่หอยโวยใส่
“นี่! จะนินทาก็ให้มันมีมารยาทหน่อย คนถูกนินทา เขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้”
ทั้งกลุ่มหันมามองทางกลุ่มรุ้งระวี แล้วหัวเราะคิกคัก
“เปล่า ไม่ได้นินทา นี่เขาเรียกว่าอ่านให้ฟังซึ่งๆหน้า”
ขวัญข้าวโต้ อาชารีบเสริม
“หรือใช้อีกคำว่า ประจานให้ฟังก็ได้”
“สงสัยจะโรคจิต ชอบแย่งผัวชาวบ้าน” จวงใจแขวะ
“ยังไงคะพี่จวง” จุ๊บแจงแกล้งถาม
“อ้าว ก็นายทูนอินทร์มันเป็นผัวนังฟ้าต่ำไง เพราะยังไม่ได้เลิกรากันทะเบียนก็ยังจดอยู่ เจ๊สืบมาแล้ว”
“แม่ฝรั่งเขาคงคิดว่าไม่ใช่คนไทยมั้ง เขาไม่ถือ แย่งผัวเขามาหน้าด้านๆ” ขวัญข้าวพูดต่อทันที
“ก็ดูอย่างแจงซิ ยังโดนมันแย่งผัวเล้ย” จวงใจแกล้งพยักเพยิดกับจุ๊บแจง
จุ๊บแจงนึก
“แจงโดนแย่งผัว เอ๊ะ ผัวแจง คนไหน”
จวงใจ ขวัญข้าว อาชาพูดพร้อมกัน
“คุณอิทธิ!”
“เออ ใช่ เขาทิ้งแจงจนแจงเกือบลืมไปแล้วว่าเขาเป็นผัว” จุ๊บแจงมองรุ้งระวีอย่างรังเกียจ “แหม...ไม่อยากอยู่ร่วมค่ายกับมันเลยนะคะ รังเกียจ”
“ช่าย แค่อยู่ร่วมห้อง พี่ม้ายังรู้สึกคันๆ ช่วงล่าง”
“ตรงไหนจ๊ะ” ขวัญถาม
“เท้าไง”
“แล้วจะแก้คันยังไงน้องม้า” จวงใจถามบ้าง
“ต้องเอาเท้าไปถูปากคนบางคนไง เจ๊”
ทั้งหมดหัวเราะลั่นห้อง รุ้งระวีลุกขึ้นกระแทกเก้าอี้อย่างแรง ทั้งหมดเงียบเสียง รุ้งระวีเดินจากโต๊ะ ทั้งหมดเตรียมตัวรับการจู่โจม แต่แล้วเธอก็ยิ้มหวานให้ทั้งหมด แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ทั้งหมดถอนใจโล่งอก
“โถ นึกว่าจะแน่ ที่แท้วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ร้องไห้ ฮ่ะ ฮ่ะ” ขวัญข้าวหัวเราะร่า
“ฮือ... ฮือ รุ้งผิดตรงไหน รุ้งแค่แย่งผัวชาวบ้านเขา ฮือ” อาชาแกล้งร้องไห้
ทั้งหมดหัวเราะลั่น อินทร จี่หอย มะปราง มองหน้ากันสุดทน จุ๊บแจงเป็นคนเดียวที่มองไปที่หน้าห้องน้ำ เห็นรุ้งระวีที่ออกมาจากห้อง จึงสะกิดทุกคนให้มองมา
ทุกคนมองมาแล้วสะดุ้งเฮือก มือรุ้งระวีถือสายยางท่อใหญ่ที่ต่อมาจากห้องน้ำ
“ล้างปากปลาร้ากันหน่อยนะคะ”
รุ้งระวีฉีดน้ำพุ่งเข้าไปหา ทั้งกลุ่มกรีดร้อง อาชาพยายามจะลุกเข้าไปหารุ้งระวี อินทรเข้ามา แล้วชกโครมเต็มหน้าอาชา
มะปราง กับจี่หอย เข้ามารุมเอาชามลาบ ส้มป่อยตำ โปะลงบนหัวขวัญข้าว และจวงใจ จุ๊บแจงเข้ามาจะห้าม มะปรางลากเหวี่ยงล้มไปกับพื้น

แสงหล้านำซีดีเพลงของรุ้งระวี ไปให้ลุงที่ตั้งเพิงเฝ้าที่ดินอยู่ที่กองขยะ ในเพิงมีทั้งทีวีและเครื่องเสียง
“ช่วยเปิดให้ฟังหน่อยเถอะจ๊ะพี่”
ลุงใส่แผ่นลงเครื่อง
“เดี๋ยวนี้ไม่กินเหล้าอีกแล้วเหรอนังแสง”
“เลิกหมดแล้วพี่ ตอนนี้ทำงานรับจ้างทุกอย่าง เก็บเงินอย่างเดียว”
“จะเอาเงินไปทำอะไร”
แสงหล้ายิ้มอย่างมีความสุข
“ไปหาลูกน่ะพี่”
เพลงผู้บ่าวข้าวจี่ดังขึ้น แสงหล้ายิ้ม
“นักร้องหน้าแหม่มคนนี้เขากำลังดังเลยนะ เอ็งชอบละซี”
“ทั้งรักทั้งหวงเลยละพี่”
ฟังไปได้สักครู่ ก็ต้องคลายยิ้ม เมื่อมองไปเห็นร่างของคำรณกำลังยืนคุยกับคนขยะนายหนึ่ง คนขยะพยักหน้าแล้วชี้มาที่ตึกร้างที่แสงหล้าพักอยู่ แสงหล้าตะลึง คำรณแยกมา ตรงไปที่ตึกร้าง แสงรีบเอาผ้าคลุมมาปิดหน้า
“พี่ ปิดเพลงก่อน”
ลุงปิดเพลง แสงปิดหน้า คำรณเดินอ้อมไปยังตัวตึกร้าง ไม่ทันสังเกตแสงหล้า
“มีอะไรวะนังแสง”
“เปล่าจ๊ะ”
คำรณขึ้นตึกไป แสงหล้ารีบตาม ลุงหันไปเปิดเพลงต่อ

คำรณขึ้นบันไดมาชั้นสองของตึกร้าง เดินมาที่ห้องที่เต็มไปด้วยขยะ ทั้งขวดเหล้า กระดาษหนังสือพิมพ์ เห็นมุ้งเก่าๆของแสงหล้าพับอยู่ จึงลงนั่งแล้วรื้อข้าวของ เปิดกล่องออกดู เห็นรูปถ่ายของรุ้งระวีและแสงหล้าเก่าๆกลายเป็นสีแดงหมดแล้ว
“นี่ละ หลักฐานชั้นดีเลย ฮ่ะ ฮ่ะ”
แสงหล้าย่องขึ้นมาเงียบๆ แอบดูอยู่หน้าห้อง คำรณเก็บรูปทั้งหมดใส่ถุงย่าม มองไปเห็นถ้วยรางวัลของแหม่มจ๋า ที่ขึ้นสนิมทั้งอัน วางอยู่ที่มุมที่นอน
“ดีมากนังแสง ที่แกยังเก็บข้าวของของนังรุ้งไว้”
คำรณเก็บถ้วยรางวัลลงย่าม แสงหล้าตวาดดังมาจากเบื้องหลัง
“เอาของข้าคืนมานะ”
คำรณหันไป พบว่าแสงหล้าถือไม้ขนาดเหมาะมือ เตรียมฟาด
“แกจะเอาของพวกนี้ไปทำไม”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง จำที่ข้าเคยเตือนไว้ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับนังรุ้งมันอีก ถ้าไม่เชื่อข้าไม่รับประกันความปลอดภัยของมัน”
“ถ้าแกทำอะไรลูกข้า แกตาย”
“หนอย มาขู่ นังขี้เมาอย่างเอ็งจะทำอะไรข้าได้ ดูสารรูปตัวเองเสียก่อน ถอยไป”
“เอาของของข้าคืนมา”
แสงหล้าจะเข้าฟาด แต่คำรณเข้ากระชากไม้จากมือ จนร่างบางของแสงหล้าเซล้มไป ไม้กระเด็นไปที่พื้น คำรณทำถ้วยรางวัลหล่นกับพื้น
“ก็เท่านี้”
คำรณก้มลงเก็บถ้วยรางวัล จังหวะนั้นแสงหล้าหยิบไม้ขึ้นมา แล้วฟาดไปที่หัวของคำรณอย่างแรง
“โอ๊ย!”
คำรณเซไปนั่งทรุดกับพื้น แสงหล้าแย่งถุงจากคำรณไป คำรณพยายามจะแย่งกลับมา จึงถูกฟาดอีกครั้งจนล้มฟาดไป แสงหล้าวิ่งหนีไป
“อีแสง มึง”
คำคลำที่หลังหัว เลือดออกซิบๆ คำรณวิ่งออกมานอกห้อง แสงหล้าไปลับเสียแล้ว
“มึงตายแน่อีแสง”
คำรณหันกลับไปในห้อง เห็นถ้วยรางวัลขึ้นสนิมยังตกอยู่
“อย่างน้อยก็เหลือของนังรุ้งให้ข้าละวะ เท่านี้ก็พอแล้ว” คำรณหยิบขึ้นมา แล้วยิ้มกับตัวเอง

แสงหล้าวิ่งออกมาผ่านเพิงลุง ถือย่ามของคำรณมาด้วย
“นังแสง เอ็งจะไปไหน”
“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วพี่ ฉันลานะ”
แสงหล้าวิ่งเตลิดไป
“อะไรของมันวะ” ลุงถามงงๆ

(อ่านต่อหน้า 2 )







ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 11 (ต่อ)
อิทธิและรุ้งระวีเดินมาที่หน้าห้องประชุม แง้มประตูมองเข้าไปในห้องประชุม กลุ่มจุ๊บแจงอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ เพิ่งอาบน้ำล้างตัวกันทุกคน ส่งเสียงด่าทอกลุ่มรุ้งระวีกันแซ่ด
 

“จะให้ผมจัดการยังไงล่ะ” อิทธิหันมาถาม
“แล้วแต่คุณค่ะ”
อิทธิเข้าไปในห้อง รุ้งระวีตามเข้ามา ทุกคนหันมาแซ่ดกับอิทธิต่อ
“พวกเราไม่ยอมนะคะคุณอิท นังฝรั่งมันฉีดน้ำใส่เรา” จวงใจฟ้อง
“เห็นเราเป็นสัตว์ในสวนสัตว์รึยังไง มาฉีดน้ำใส่” จุ๊บแจงโวย
“เจ๊หอย เอาส้มตำมาโปะใส่ขวัญด้วยนะคะ”
“น้องชายนายทูนก็ชกผม ชกตรงไหนไม่ว่า มาชกจมูก บอกแล้วว่ามันแพง”
ทั้งสี่คนผลัดกันโวยวาย อิทธิโบกมือให้หยุด
“พอ พอ รุ้ง ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น”
“ก็ปากคนที่นี่มันเหม็นมากค่ะ เปรียบไปก็เหมือนส้วมโสโครก ต้องใช้กรดขจัดสิ่งอุดตัน จากนั้นต้องใช้น้ำอัดฉีด ล้างให้หมดคราบหมดคาวค่ะ” รุ้งระวีโต้
“ว้าย! มันว่าปากเราเป็นส้วม” ขวัญข้าวร้อง
“ใช่ค่ะ แต่ปากคนที่นี่ล้างเท่าไหร่ก็ไม่หมดกลิ่นนะคะ ตะกรันมันจับแข็ง ทางที่ดีไปให้หมอฟันกรอออกให้หมดปาก หรือไม่ก็เอาตะกร้อครอบปากไว้เลย”
“หาตะกร้อครอบปากหมาน่ะเหรอ” อาชาตกใจ
“ค่ะ หาซื้อไม่ยากค่ะ ตามร้านรักษาสัตว์มีขายทั่วไป”
รุ้งระวียิ้มหยัน สะบัดออกไป ทั้งหมดอ้าปากค้าง
“ได้ยินแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ก็รักษาสุขภาพปากกันบ้าง อย่าโสโครกให้มากนัก”
อิทธิออกตามไป ทั้งสี่กรีดออกมาลั่น
“มันว่าเราปากหมา เหมือนปากส้วม โถ อีฝรั่งคางคก” ขวัญข้าวด่า
“อีซกมก หน้าลูกครึ่ง” อาชาเสริม
“อีแหม่มทะลึ่งมาอยู่เมืองไทย” จวงใจด่าบ้าง
“อีไพร่ สองสัญชาติ” ขวัญข้าวด่าอีก
“ไม่แซ่บน่ะเจ๊ มันต้อง” อาชาหันมามองขวัญข้าว “อีดำตลาดขายเฉาก๊วย”
“เออดี ดี” ขวัญข้าวมองจวงใจ “อีหน้าย้วย ฉีดโบท็อกซ์”
“ชอบเลย” จวงใจมองอาชา “อีจนตรอก สองเพศ”
อาชามองจวงใจ
“นังทุเรศ มีผัวเด็ก”
“พอค่ะ พอค่ะ หันมาด่ากันเองอีกแล้วนะคะคุณพี่” จุ๊บแจงปราม
จวงใจ ขวัญข้าว อาชามองหน้ากันรู้สึกตัว แล้วร้องกรี๊ดออกมา
“เรามาด่ากันเองทำไม เราต้องรักกันไว้ซี” อาชาบอก
“เออ จริง” ขวัญข้าวเห็นด้วย
“เจ๊ทนไม่ไหวแล้ว งานนี้เราต้องเอาคืน” จุ๊บแจงบอกแค้นๆ
“ยังไงคะ” จุ๊บแจงถาม
“เรื่องไอ้ทูน ที่นังฟ้าต่ำกับนังรุ้งมันแย่งกันอยู่น่ะซี เรื่องนี้มันต้องออกสื่อจุ๊บแจงโทรหาตาลเฉาะให้พี่ที บอกว่าข่าวเด็ด”
“ทำไมให้จุ๊บแจงโทรละคะ”
“มือถือพี่ตังค์หมดแล้ว ยังไม่ได้เติม”
จุ๊บแจงมองค้อน

ช่วงเย็นร้านต้มแซ่บใกล้เปิด คนงานช่วยกันทำความสะอาด ขณะที่ทูนอินทร์ปรึกษาเรื่องเพลงกับเมธ โดยนำเนื้อร้องและทำนองมาให้ดู จากนั้นลองเล่นกับกีตาร์ให้ดู เมธร้องตาม

“ลิงติง ลิงติง ลิงติง เซิ้งลำซิ่งให้ใจมันโล่ง ลงต่ง ลงโต๋ ลงต่ง อ้ายอยากชวน น้องสาวมาซิ่ง เบิ่งโลกในทางรื่นรมย์ ผสมชีวิตให้มันเนี๊ยบหนิง ให้ม่วนคือฟังลำซิ่ง ให้แซ่บคือกินต้มยำ เออ เข้าท่าคิดยังไงถึงตั้งชื่อต้มยำลำซิ่ง”
“ยายส้มป่อยเป็นคนชี้ทางให้น่ะครับ เพลงนี้ผมจะให้รุ้งร้องร่วมกับผม เป็นซิงเกิ้ลเพลงที่สองที่จะปล่อยออกมา หลังจากเพลงสะพานรุ้ง”
“แน่ะ กะจะเป็นศิลปินคู่ขวัญเลยเหรอ”
“อย่าเพิ่งบอกใครนะครับ ผมยังเขินๆอยู่ เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ผมจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า ผมกับรุ้ง เราเป็นคู่รักกัน และรักกันมากที่สุดในโลกด้วย”
เมธมองทูนอินทร์ที่กำลังฝันเฟื่อง ก็เริ่มกลัวว่าฝันของทูนอินทร์จะไม่เป็นจริง
“นายแน่ใจนะว่ารุ้งจะออกจากค่ายนายอิทธิ โดยไม่มีปัญหาอะไร”
“แน่ใจครับ รุ้งบอกผมแล้ว เสร็จจากคอนเสิร์ทที่จะมาจัดที่บ้านเรา รุ้งจะฉีกสัญญาทิ้ง และจะเข้าสังกัดของเราทันที”
“งั้นเราก็คงต้องเร่ง เปิดตัวค่ายเพลงของเราแล้วน่ะซี”
“แน่นอนครับพี่ ว่าแต่เราจะพร้อมกันเมื่อไหร่ดี”
“ที่จริงมันก็พร้อมอยู่แล้วนะ แต่งานนี้มันต้องรอบคอบหน่อย สิ้นอาทิตย์นี้จะมีงานนัดพบ คนเพลงอินดี้ นายไปกับฉัน จะแนะนำให้รู้จักคนในวงการเพลงอินดี้ตัวจริง เสียงจริงหลายคน”
“ได้เลยครับพี่ ชอบมาก”
“เพลงนี้เก็บไว้ก่อน ถ้าจะเป็นความลับละก็ เอามาเล่นต่อหน้าคนอย่างนี้ไม่ได้แล้ว”
เมธมองไปที่บรรดาลูกน้องที่กำลังจัดร้าน
“กลัวอะไรเหรอครับ ลูกน้องเรา คนกันเองทั้งนั้น”
“คราวที่แล้วที่โดนขโมยน่ะ ก็คนกันเองทั้งนั้นนี่”
ทูนอินทร์เจื่อนไป เพราะพี่เมธหมายถึงก็คือฟ้าใส เขาจึงนำเนื้อเพลงและโน๊ตไปเก็บไว้ในตู้เก็บเอกสาร ล็อกกุญแจอย่างดีก่อนออกไป

วันต่อมา ที่ตลาดแถวบ้านรุ้งระวีที่พุทธมณฑล ทูนอินทร์และรุ้งระวีเดินซื้อของในตลาดด้วยกันอย่างมีความสุข จี่หอยเลือกซื้อผลไม้อยู่อีกมุมหนึ่ง
“ทายซีครับค่ายเพลงของเราชื่ออะไร” ทูนอินทร์หันมาถาม
“ชื่อคุณกับพี่เมธ เมธกับทูน รึเปล่า”
“ขืนชื่อนี้ขายไม่ออกแน่เลย”
“งั้นนึกไม่ออกหรอกค่ะ”
“อะไรที่อยู่บนฟ้าหลังจากฝนตกน่ะ”
“เมฆ”
“สวยกว่าเมฆ”
“ขี้เมฆ”
“ยี้”
รุ้งระวีหัวเราะ
“รุ้งค่ะ”
ทูนอินทร์ยิ้มรับ
รุ้งระวีนึกขึ้นได้ว่าชื่อตัวเอง
“จริงเหรอคะจะใช้ชื้อรุ้งจริงๆเหรอ รุ้งระวีเลยเหรอเปล่า”
“รุ้งกินน้ำครับ บริษัท รุ้งกินน้ำ จำกัด”
“น่า....ร้าก..อ่ะ”
“ใช่ น่าร้าก..... อ่ะ”
“ทำไมใช้ชื่อ รุ้ง ละคะ”
“ค่ายเพลงนี้ เปิดขึ้นได้เพราะคุณนี่ครับ”
ทูนอินทร์ตาเชื่อมใส่ รุ้งระวียิ้มเขิน

ที่ร้านอาหารอีสานหรู ฟ้าใสกำลังทานลาบส้มตำอยู่กับจ๊ะจ๋า ที่แต่งตัวเป็นคนใช้เช่นที่เคย ลูกค้าที่นั่งโต๊ะข้างๆซุบซิบกัน แล้วเปิดหนังสือบันเทิงให้กันดู มองมาทางฟ้าใสกันทั้งโต๊ะ ฟ้าวางช้อนส้อมอย่างแรง
“เอ๊ะ ชักไม่มีมารยาทใหญ่แล้ว”
“จ๋ากินมูมมามเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้ว่าแก พูดถึงนังชะนีโต๊ะนั้น มองมาทางฉันแล้วทำซุบซิบกัน”
“เขาคงอยากเข้ามาขอลายเซ็นน่ะค่ะ”
“ไม่ใช่หรอก เห็นดูหนังสือเล่มนั้นด้วย ยายจ๋า ไปสืบซิ หนังสืออะไร”
“ค่ะ”
จ๋าเดินไปทางโต๊ะสาวๆ
“ขอโทษนะคะ อ่านหนังสืออะไรกันอยู่หรือคะ”
“ซุบซิบบันเทิงค่ะ ยังไม่เห็นข่าวเหรอคะน้อง”
“ยังค่ะ งั้นขอยืมอ่านหน่อยได้ไหมคะ”
“ค่ะ”
จ๊ะจ๋ารับหนังสือมา เห็นพาดหัวข่าวแล้วตะลึงไป รีบเอาไปให้ฟ้าใส
“พี่ฟ้า เรื่องใหญ่แล้ว”
ฟ้าใสอ่านข้อความ แล้วโมโห
“ฝีมือใครเนี่ย บ้าเอ๊ย”

จี่หอย หน้าตื่นถือหนังสือซุบซิบดารามาหาทูนอินทร์ กับรุ้งระวี
“รุ้ง คุณทูน เรื่องใหญ่แล้ว โอย ลมชัก อยากตาย”
รุ้งระวีรับหนังสือมา ภาพของทูนอินทร์อยู่กับฟ้าใสในงานโคราช กับภาพของทูนอินทร์และรุ้งระวีคนละครึ่งเฟรม เขียนพาดหัวหรา
“เปิดโปงสองสาวลูกทุ่ง ลือหึ่งฟ้าใสมีสามีแล้ว และกำลังแย่งสามีกับรุ้งระวี สาวลูกครึ่งที่ดังไล่หลังมา ฝ่ายชายคิดจับปลาสองมือ
ทูนอินทร์หน้าเครียด รุ้งระวีหน้าเสีย
“ใครมันปล่อยข่าวแบบนี้ นี่มันสะกัดดาวรุ่งแท้ๆเลย” จี่หอยโมโห
มือถือรุ้งระวีดังขึ้นทันที
“ค่ะ จะเข้าไปเดี๋ยวนี้” รุ้งระวีเลิกสาย “คุณอิทเรียกเข้าบริษัทด่วนค่ะ”
ทูนอินทร์เครียดกว่าเดิม

ในห้องประชุม อิทธิโวยวายต่อหน้าทุกคนด้วยความโมโห
“มันต้องคนในแน่ๆ ที่ส่งข่าวบ้าๆนี่ให้นักข่าว สารภาพมา ใครเป็นตัวการ”
กลุ่มจุ๊บแจงทำเป็นมองหน้ากัน แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“คุณอิทไม่คิดบ้างละครับ ว่าเจ้าตัวที่เป็นข่าวนั่นแหละที่ให้ข่าวเสียเอง” อาชาพูดหน้าตาเฉย
รุ้งระวีหันหาอาชาทันที
“ฉันจะทำไปทำไม”
“อย่ามาร้อนตัว นังลูกครึ่ง ฉันหมายถึง นังฟ้าต่ำ ต่างหากที่มันให้ข่าว”
“ใช่ค่ะ คุณอิทอย่ามาโทษพวกเรา พวกเราไม่อยากแตะต้องชีอยู่แล้ว บอกตรงๆ รังเกียจ” ขวัญข้าวเบ้ปาก
“ยังไงก็มีอยู่คนที่พูดว่าสืบเรื่องอดีตของคุณทูนกับฟ้าใสมาแล้ว อย่างที่เจ๊จวงว่ายังไงคะ”รุ้งระวีถาม
จวงใจสะดุ้ง
“ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
จุ๊บแจงมีพิรุธ ตะกุกตะกักพูด
“ไม่รู้เหรอ แกน่าจะรู้ดีที่สุด เพราะหนังสือ ซุบซิบบันเทิงน่ะ แกสนิทกับยายตาลเฉาะ กับพี่ต้อยเจ้าของหนังสือ แกนั่นแหละให้ข่าว” จี่หอยชี้หน้า
“มีหลักฐานอะไรไหม” จวงใจหันมาตวาดแว๊ด
จี่หอยเถียงไม่ออก อิทธิพูดเสียงเข้ม
“เรื่องนี้สืบไม่ยากหรอก แล้วถ้าจับได้ว่าใคร คราวนี้ไม่ต้องมาบ่นว่าฉันใจร้าย โทษสถานหนักแน่ๆ” กลุ่มจุ๊บแจงเจื่อนกันไป

ทูนอินทร์นั่งรอรุ้งระวีอยู่ที่โถงล็อบบี้ คำรณนั่งอยู่มุมหนึ่งหยิบหนังสือมาอ่าน ที่หัวมีผ้าพันแผลปะอยู่ ทูนอินทร์มองคำรณตัดสินใจถาม
“นายคำ”
“ครับ”
“นายเคยเจอรุ้งมาก่อนรึเปล่า”
คำรณมองทูนอินทร์นิ่ง ประเมินท่าที
“ไม่เคยครับ ทำไมเหรอครับ”
“รุ้งบอกว่าคุ้นทั้งหน้าทั้งเสียงของนาย เหมือนเคยเห็นนายที่ไหนมาก่อน”
“คุณรุ้งเคยไปเล่นบ่อนเฮียปอ ปากน้ำไหมละครับ ถ้าเคยก็คงเจอผม”
“รุ้งไม่เคยมาเมืองไทยมาก่อน”
“ผมก็ไม่เคยไปเมืองนอก คงได้คำตอบแล้วนะครับ”
คำรณยิ้มหยัน
“ไม่เป็นไร เคยหรือไม่เคยฉันเช็คประวัตินายได้อยู่แล้ว ยิ่งคนที่ชอบมีเรื่องมีราวกับชาวบ้านแบบนาย สืบได้ไม่ยาก”
“รู้ได้ยังไง ผมไปมีเรื่องมีราวกับใคร”
“ก็แผลที่หลังหัวนายนั่นไง คงไม่ได้เกิดขึ้นเองหรอกนะ มันต้องมีใครแพ่นกบาลมาแน่ๆ”
คำรณมองทูนอินทร์เอาเรื่อง ทูนอินทร์ยิ้มกวนให้ เสียงดังมาจากด้านใน ทุกคนมองตามไป ทูนอินทร์เดินไปดู พบว่ากลุ่มจวงใจเดินออกมาจากห้องทำงาน อิทธิพอดี
“เอ้า! เจอเจ้าตัวพอดี ไงคะคุณทูน รู้สึกยังไงที่มีข่าวอื้อฉาวลงหน้าหนึ่ง” จวงใจถาม
“ผมไม่สนใจอยู่แล้ว”
“แหม แต่คนทั้งประเทศเขาสนนะคะ โดยเฉพาะเรื่องคาวๆ น่าขายหน้าแบบนี้” ขวัญข้าวออกความเห็น
“ตกลงจะเลือกใครไม่ทราบครับ ระหว่างเมียเก่าที่ยังไม่ได้หย่า กับชู้คนใหม่หน้าลูกครึ่ง” อาชาถาม
ทั้งกลุ่มหัวเราะ อิทธิ รุ้งระวีและจี่หอยออกมาจากห้องพอดี
“แต่ถ้าให้อาชาแนะนำ บอกสื่อไปเลยว่าเลือกทั้งสองคน”
“อุ๊ย! มันก็เสียกับตัวคุณทูนน่ะซีคะพี่ม้า”
“ยิ่งเสียยิ่งฉาวยิ่งดีซีน้องแจง เดี๋ยวนี้ ยิ่งฉาวงานอีเวนท์ยิ่งเข้า ไปออกงานแล้วเจอหน้ากัน ก็ต้องยังไงนะ”
“ปฏิเสธนักข่าวว่าไม่ขอถ่ายรูปร่วมไง ทั้งๆ ที่ยังไงนะ” ขวัญข้าวพูด
“นัดกันมาเองแท้ ๆ” จวงใจเสริม
ทั้งกลุ่มพูดเองเออเอง หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“อย่างนั้นใช่ไหมครับคุณทูน ออกงานเดือนละสองสามเจ้า รับทรัพย์อื้อเลย หารับทานง่ายเนอะ อย่างนี้ต้องปล่อยข่าวเน่าๆเสียๆ ออกมาบ่อยๆ”
“ตอนนี้ก็มีนะ ข่าวเน่าๆ เสียๆน่ะ”
“อุ๊ย! ยังมีอีกเหรอ บอกให้ฟังหน่อยซี”
“ไม่ต้องบอก ลงมือเลยดีกว่า”
ทูนอินทร์ชกโครมเข้าเต็มหน้า อาชาหวีดลั่น ล้มไปกับพื้น จวงใจ ขวัญข้าวเข้าดูอาการ “ไง เน่าพอไหม ชกอีนักร้องกะเทยค่ายดัง ถ้าไม่พอใจ จะกระทืบอีกก็ได้นะ”
ทูนอินทร์ยกเท้าจะกระทืบต่อ สาวๆกรี๊ดลั่น อาชากรี๊ดดังกว่าเพื่อน อิทธิตวาด
“พอ หยุดได้แล้ว นี่บริษัทผมนะ คุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายศิลปินผม”
“อย่าเรียกว่าศิลปินเลย คำมันสูงไปสำหรับนังนักร้องสองเพศตัวนี้ แล้วก็รวมทุกคนด้วย นักร้องค่ายคุณนี่มันแค่ร้องเพลงได้เท่านั้น ที่เหลือนอกจากนั้นมันคล้ายสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในกรง”
“นายทูน พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” จวงใจไม่พอใจ
“อ้อ อยากฟังให้ชัดๆ กรงที่เขาขังพวก ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ไง”
กลุ่มจวงใจอ้าปากค้าง ทูนอินทร์หันมาถามรุ้งระวี
“รุ้ง คุณหมดธุระที่สวนสัตว์นี่แล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ อาหารสัตว์ไม่ต้องให้แล้ว”
“งั้นก็ไปให้พ้นที่นี่เสียที ได้กลิ่นสาปก็จะอ้วกแล้ว”
ทูนอินทร์พารุ้งระวีออกไป รุ้งระวียิ้มสะใจ จี่หอยหัวเราะคิก
“อุ๊ย! ขอผ่านหน่อยนะคะ หมีควาย”
จี่หอยเอาเท้าเขี่ยสีข้างอาชา แล้วแยกไป
“ฉันหมีควาย แกก็หมีหมา”
อาชาลุกขึ้นทันที
“คุณอิทธิ ต้องช่วยอาชานะครับ อาชาเสียหายทั้งร่างกายจิตใจ”
อิทธิมองทั้งกลุ่มอย่างเบื่อหน่าย รีบตามรุ้งระวีออกไป กลุ่มจุ๊บแจงเข้ามาดูอาการอาชา
“ฮือ เมื่อวันก่อนโดนน้องมันชก วันนี้โดนพี่มันชกซ้ำ ฮือ”
“เจ็บมากไหมคะพี่ม้า”จุ๊บแจงถาม
“เจ็บซี หมูกฉันเบี้ยวไหม”
“ยังตรงอยู่แก” ขวัญข้าวรีบบอก
“ทำมาแล้วสองครั้ง ต้องเอากระดูกหูมาต่อทั้งสองครั้ง ถ้าต้องทำเป็นครั้งที่สาม หูฉันคงวิ่นเหมือนหูหมูแน่ๆเลย ฮือ”
อาชาคร่ำครวญ

อิทธิวิ่งตามมาทันที่ลานจอดรถ รุ้งระวีกำลังจะขึ้นรถของทูนอินทร์
“เดี๋ยวรุ้ง รุ้งจะไปไหน วันนี้ผมนัดคุณไปทานข้าวเย็นด้วยกันแล้วนะ”
“ฉันยังไม่ได้บอกนี่คะว่าฉันจะไปกับคุณ”
อิทธิมองทูนอินทร์ที่ยิ้มกริ่ม
“งั้นพรุ่งนี้เรามีนัดกัน”
“พรุ่งนี้ก็ไม่ว่างแล้วค่ะ”
“ไปไหน”
“ฉันจะไปงานกับคุณทูน”
“งานอะไร”
“งานคนเพลงอินดี้ครับ”
อิทธิไม่พอใจ
“ข่าวฉาวกันแบบนี้ ยังจะไปออกงานด้วยกันอีกเหรอ”
“เอาเป็นว่าผมยอมรับครับว่าผมกำลังจีบรุ้งระวี เพราะฉะนั้นผมไม่ต้องแคร์สื่อ เพราะมันเป็นเรื่องจริง”
ทูนอินทร์และรุ้งระวีขึ้นรถ แล่นออก อิทธิมองตามอย่างหัวเสีย
“ได้ งั้นก็ให้มันอื้อฉาวไปเต็มๆเลย”
อิทธิกดมือถือหาดำรงทันที

(อ่านต่อหน้า 3)







ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 11 (ต่อ) 
ที่คอนโดฟ้าใส ดำรงนั้นนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ฟ้าใสเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เสี่ยวางไว้โต๊ะเล็ก แล้วเดินนอนซบอก

“ฟ้าได้บทเรียนแล้วค่ะป๋า ฟ้าจะไม่ทำอะไรร้ายๆ อย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว ป๋ายกโทษให้ฟ้าแล้วนะคะ”
“ถ้ารู้ตัว ป๋าก็ยกโทษให้ทั้งหมด”
“ขอบคุณค่ะป๋า”
“งานนี้หนูคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าเรื่องยุ่งที่หนูก่อไว้บนเวที มันไม่จบลงง่ายๆ มันบานปลายกลายเป็นข่าวเกาเหลาระหว่างหนูกับรุ้งระวี”
“ทราบค่ะ แล้วจะให้ฟ้าทำยังไงดีคะ”
“ก็ต้องแกข่าว พรุ่งนี้ออกงานกับป๋า”
“งานอะไรคะ”
“งานคนเพลงอินดี้ งานนี้หนูจะได้เจอกับรุ้ง และต้องทำดีกับรุ้งต่อหน้าสื่อด้วย”
ฟ้าใสเจื่อนไปทันที หลบหน้าจากดำรงที่มองอยู่ ซ่อนสีหน้าร้ายกาจ เพราะจริงๆแล้วเจ็บใจ อยากเอาเรื่อง


งานเพลงคนอินดี้ จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงของร้านอาหารหรู เป็นงานแนวค็อคเทล บรรดานักร้องแนวอินดี้ทั้งหลาย และกลุ่มเพื่อชีวิต กำลังฟังเมธที่ดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่บนเวที ทูนอินทร์และรุ้งระวีฟังอยู่อย่างซาบซึ้ง เมธร้องจบเพลงทุกคนปรบมือ ต้อยเจ้าของงานซึ่งเป็นนักร้อง นักดนตรีรุ่นอาวุโส ขึ้นพูดคุยบนเวที
“ไง น้องเมธ คุยกันก่อน เห็นว่ากำลังจะเปิดค่ายเพลงของตัวเอง” ต้อยถาม
“ใช่ครับ มางานนี้ก็หวังว่าคงได้รับความอนุเคราะห์จากพี่ๆ เรื่องเพลงด้วยน่ะครับ”
“แล้วจะเปิดเมื่อไหร่”
“ไม่นานนี้ละครับ ผมมีเพลงเพราะๆมาให้ฟังด้วย เชิญน้องทูนอินทร์กับน้องรุ้งขึ้นมาเลยครับ กับเพลงสะพานรุ้ง”
ทูนอินทร์และรุ้งระวีมองหน้ากันงง เมธและต้อยลงมาจากเวที
“พี่เมธ ผมไม่ได้เตรียมตัวมา” ทูนอินทร์กังวล
“เอาน่า ขึ้นไปโชว์หน่อย นายกับรุ้งร้องได้อยู่แล้ว”
“ไหวไหมรุ้ง”
“ไหวค่ะ”
ทั้งสองขึ้นเวที แล้วดนตรีขึ้น ทั้งสองร้องสะพานรุ้งร่วมกัน เป็นที่ไพเราะถูกใจคนฟัง

หน้าประตู ดำรง ฟ้าใส และ อิทธิเดินเข้ามาด้วยกัน เมธมองไปเห็น
“พี่ดูนั่น มาได้ยังไงครับ”
ต้อย กับแดงซึ่งยืนคุยอยู่กับเมธหันไปมอง
“วันนี้วันคนอินดี้นะ ไม่ใช่ค่ายเสี่ยใหญ่” ต้อยบอก
“มาแล้วก็ต้องต้อนรับ ไป” แดงเดินนำไป
ทั้งสามเข้าไปสวัสดีอิทธิ ดำรง และฟ้าใส
“สวัสดีครับคุณดำรง คุณอิท และ ” เมธมองอย่างเย็นชา “ฟ้าใส”
ดำรงยิ้มเฮฮา
“โทษนะ ที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่อยากมาน่ะ เพราะคนอินดี้นี่แหละ ที่ผมอยากได้มาทำงานด้วย”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ เชิญในงานเลยครับ” แดงผายมือเชิญ

รุ้งระวีและทูนอินทร์ยังร้องเพลงบนเวที สายตารุ้งระวีมาเจอเข้ากับฟ้าใสพอดี ทูนอินทร์ก็เห็นดำรง ทั้งสองคนต่างมองอย่างไม่วางใจ
กลุ่มฟ้าใสก้าวเข้ามากลางโถง นักข่าวกรูไปถ่ายฟ้าใสกันทั้งหมด ดำรงกระซิบอิทธิ
“นั่นใช่ไหม เพลงที่นายทูนจะเอาไว้เปิดตัวค่ายอินดี้ของตัวเอง”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“คุณยอมปล่อยรุ้งไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ”
“ไม่มีวันหรอกครับ รุ้งเป็นของผมคนเดียว” อิทธิบอกเสียงเข้ม
รุ้งระวีและทูนอินทร์ร้องเพลงจบ คนปรบมือ ทั้งสองลงจากเวทีเข้ามาหาอิทธิและดำรง ทูนอินทร์ไม่ทำความเคารพดำรง แถมมองอย่างตาขวาง ฟ้าใสแยกไปมุมหนึ่งกับกลุ่มนักข่าว ขณะที่เมธ แดง ต้อยยังยืนอยู่ด้วย
“คุณพาฟ้าใสมาทำไม” ทูนอินทร์ถามอิทธิ
“พามาแก้ข่าว เรื่องที่คุณก่อคดีไว้ไง”
“งานนี้ทุกคนต้องให้สัมภาษณ์เหมือนกัน คือไม่มีความขัดแย้งอะไรทั้งนั้นเธอไม่ได้แย่งผู้ชายกับฟ้าใส สำหรับนาย นายก็ต้องบอกเหมือนกันว่า นายเป็นคนทำงานที่สนิทสนมกัน ไม่ได้คิดอย่างอื่น”
“กับฟ้าใส คุณก็ต้องปฏิเสธความสัมพันธ์ที่มีมาทั้งหมดด้วย”ดำรงรีบบอก
ทูนอินทร์ขำ
“นี่จะให้ผมทำตามที่คุณพวกคุณสั่งงั้นเหรอ พวกคุณเป็นอะไรกับผมไม่ทราบ”
“เรารักษาภาพให้ศิลปินของเรา” ดำรงย้อน
“งั้นเหรอ งั้นเอางี้ไหม ผมจะแฉให้นักข่าวรู้กันไปเลย ฟ้าใสเป็นเมียน้อยคุณ ส่วนรุ้งนายก็เคยจะปล้ำข่มขืนมาแล้ว”
“ลดเสียงลงหน่อย” อิทธิปราม
“อายเหรอ ไม่ต้องอาย สำหรับเสี่ยยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากแย่งฟ้าใสไปจากฉัน ยังร่วมมือกันขโมยเพลงของฉันไปอีก เพลงของรักของหวงน่ะ ถามหน่อยเถอะ เอาทำนองมาจากใคร”
“เรื่องนี้ผมไม่ทราบ”
ทูนอินทร์ของขึ้น
“อย่ามาโกหก ไอ้เสี่ยหน้าด้าน”
ทูนอินทร์คว้าแก้วเครื่องดื่มจากมือเมธ แล้วสาดเข้าเต็มหน้าดำรง บรรดานักข่าวหันมามอง
“เสี่ย หลบมาทางนี้ครับ”
อิทธิรีบพาดำรงออกจากห้อง เมธรีบปราม
“ทูน พอเถอะ นักข่าวหันมามองแล้ว”
“จะอายทำไมพี่ นี่งานอินดี้ ไม่ใช่งานไอ้ค่ายยักษ์ ที่ทั้งขโมย ทั้งปล้นชาวบ้านเขากิน”
นักข่าวกรูกันเข้ามาทันที
“เกิดอะไรขึ้นครับ เมื่อกี้มีการสาดเหล้าใส่หน้ากันเหรอครับ”
“มีปัญหาอะไรกันคะ”
แดงรีบออกหน้า
“ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร เมธพาเด็กนายออกไปก่อน”
“ไปทูน สงบสติอารมณ์ไว้”
เมธ แดง พาทูนอินทร์ออกจากห้องไป รุ้งระวีจะตามไป นักข่าวดักไว้
“เดี๋ยวค่ะน้องรุ้ง ขอสัมภาษณ์ก่อนนะคะ เมื่อกี้เกิดเหตุการณ์อะไรคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“เหมือนมีการสาดเครื่องดื่มใส่กันด้วย”
“ไม่มีค่ะ ไม่มี”
รุ้งระวีมองไปทางฟ้าใส ที่ยังให้สัมภาษณ์อยู่กับนักข่าวที่เหลือ
“ไม่มีอะไรจริงๆค่ะ โถ ถ้ามีเรื่องกันจริง ฟ้าจะมามาเจอหน้าน้องรุ้งงานนี้ทำไมคะ”
ฟ้าใสยิ้มส่งมาให้ รุ้งระวีเก้อไป

นอกห้องจัดเลี้ยง ทูนอินทร์นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ด้านนอกห้อง เมธพยายามเตือน
“ทูน เรากำลังจะเข้าสู่วงการธุรกิจแล้วนะ นายต้องระงับอารมณ์บ้าง”
“ทำไมครับพี่เมธ”
“วงการเพลงน่ะ มันถึงกันหมด แล้วไปท้าทายพวกมีอิทธิพลแบบนี้ เราไม่รู้เลยว่าจะถูกของแข็งอะไรบ้าง”
“ผมไม่สน”
“ต้องสนโว้ย แค่เสี่ยมันสั่งสายส่งไม่รับเพลงเราไปขาย เท่านี้ก็เจ๊งแล้ว”
ทูนอินทร์อึ้งไป
“โทษพี่ เมื่อกี้ผมคุมอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ มันไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมทำอะไรทั้งนั้น”
“เข้าใจ ถึงให้มาสงบสติอารมณ์นี่ไง” เมธถอนใจด้วยความหนักใจ

ในห้องจัดเลี้ยง อิทธิกลับมาหารุ้งระวีที่ยังให้สัมภาษณ์อยู่
“แล้วเรื่องที่แย่งผู้ชายคนเดียวกัน น้องรุ้งจะแก้ข่าวยังไงคะ”
“ขอไม่พูดถึงก็แล้วกันค่ะ”
อิทธิขัดขึ้น
“ผมบอกเองก็ได้ ไม่มีมูลความจริงเลย เรื่องที่เป็นข่าว คุณทูนอินทร์เป็นแค่คนร่วมงานที่บริษัทผมจ้างมา ก็เท่านั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้น ขอให้ฟ้าใสมาร่วมสัมภาษณ์ด้วยนะครับ”
นักข่าวกรูไปทางฟ้าใส รุ้งระวีหันมาบอกอืธิ
“ฉันไม่อยากให้สัมภาษณ์แล้ว ฉันอยากกลับ”
“ไม่ได้ คุณต้องให้สัมภาษณ์ แล้วก็เตรียมรับมือยายฟ้าใสให้ดีๆ”
ฟ้าใสเดินตรงมาหารุ้งระวีและ อิทธิ
“น้องรุ้ง สวัสดีค่ะ”
ฟ้าใสโอบกอดรุ้งระวีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันบอกนักข่าวยิ้มแย้มแจ่มใส
“วันนี้มาไม่ได้ตั้งใจจะให้สัมภาษณ์หรอกนะคะ แต่อยากถามก็ถามมาเลย”
“เกาเหลากันบนเวทีคอนเสิร์ต จริงไหมคะ” นักข่าวถาม
ฟ้าใสหัวเราะร่า รุ้งระวีฝืนยิ้ม
“ไม่มีจริงๆ” ฟ้าใสตอบ
“แต่เห็นมีเหมือนพูดกระแทกกระทั้น บังคับอีกฝ่ายให้เต้นเป็นหางเครื่องให้”
ฟ้าใสฟันมาถามรุ้งระวี
“ว่าไงน้องรุ้ง ตอนนั้นแน่ๆเลย ที่น้องจิกเอวพี่ไว้ ให้พี่ร้องตามน้อง”
รุ้งระวียิ้มกว้างเล่นตามบททันที
“อ๋อ ตอนนั้น มันเป็นบทบาทที่เราเตี๊ยมกันมาแล้วค่ะ เราตกลงกันว่า มีจิกกัดกันเล็กน้อย เพื่อความสนุกของคนดูไงคะ ใช่ไหมคะพี่ฟ้า”
ฟ้าส่งสายตาชมรุ้งระวีนิดๆ ที่แก้สถานการณ์ได้เก่ง
“ใช่ค่ะ แล้วคนดูก็สนุกตามเราไปด้วย เหมือน เรยาปะทะฟ้าใส ยังไงยังงั้น”
นักข่าวหัวเราะ อิทธิถอนใจที่รุ้งระวีเลี่ยงประเด็นไปได้
“รุ้งเขาเก่งค่ะ บทนางร้ายแบบนี้”
“แล้วเรื่องของคุณทูน ที่ว่าจีบคุณรุ้ง แต่ก็ยังไม่เลิกรักฟ้าใส ว่าไงคะ”
ฟ้าใสแกล้งตกใจ
“ตายแล้ว เรื่องตั้งแต่ปีมะโว้ ฟ้ายอมรับว่าสนิทกับพี่ทูน ก่อนที่ฟ้าจะเข้าวงการ เคยร้องเพลงอยู่ที่ร้านอาหารของเขาน่ะค่ะ แต่เราก็ไม่ได้สานสัมพันธ์ต่ออะไร สำหรับฟ้ามันจบไปแล้วค่ะ แต่เรื่องของน้องรุ้งนี่ซีคะ ท่าทางจะเพิ่งเริ่มต้น”
“ทางรุ้งก็ไม่มีอะไรค่ะ คุณทูนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีคนนึง” รุ้งระวีแก้ตัว
“แค่เพื่อนร่วมงานเหรอคะ เห็นว่านัดไปเที่ยวกันบ่อยๆ”
“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องเที่ยวค่ะ รุ้งไปตามหาแม่ที่โคราช คุณทูนที่ทำงานเป็นตากล้องมิวสิคอาสาพารุ้งไป ทีมงานก็ไปด้วยค่ะ ไม่ได้ไปกันสองคน”
“แสดงว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องจริงเลย”
“ค่ะ ไม่มี”
อิทธิพอใจ ทูนอินทร์เข้ามาพอดี
“ขอตัวก่อนนะครับ รุ้งต้องกลับก่อนแล้ว”
“เดี๋ยวค่ะ แล้วที่ร้องเพลงคู่กันเมื่อกี้ หมายความว่ารุ้งจะออกจากค่ายเพลงของคุณ อิทธิเหรอ”
“อ้อ เรื่องนี้ถามคุณ อิทธิเองดีกว่า เพราะน่าจะรู้ดีกว่าเพื่อน”
ทูนอินทร์พารุ้งระวีออกมาด้านนอก นักข่าวหันมาถามอิทธิ
“ตกลงว่ายังไงคะคุณ อิทธิ”
“รุ้งยังอยู่ในค่ายผมครับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
ฟ้าใสมองตามทูนอินทร์และรุ้งระวี ไปอย่างมาดร้าย


นอกร้าน เมธตามมาส่งทูนอินทร์และรุ้งระวี
“นายจะกลับเลยเหรอ”
“ครับ”
“งั้นเจอกันที่บ้าน”
“คงไม่ละครับ ผมกะว่าจะกลับไร่อินสรวงเลยครับ”
“อ้าว แล้วรุ้งล่ะ”
รุ้งระวียิ้มระรื่น
“รุ้งจะไปไร่อินสรวงด้วย จะไปอยู่ที่นั่นจนถึงวันคอนเสิร์ต”
เมธเข้าใจ
“ระวังหน่อย อย่าให้เป็นข่าวไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน”
“ตอนนี้รุ้งไม่สนแล้วค่ะ เจอกันนะคะพี่เมธ”
ทั้งสองแยกจากเมธไป เมธมองตามอย่างกังวลในอนาคตของทั้งคู่

ที่บ้านรุ้งระวี พุทธมนฑล มะปรางจัดชุดสำหรับโชว์กองใหญ่ อินทรช่วยทำด้วย
“ต้องทำให้เสร็จทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
“มะปรางครับ พรุ่งนี้ผมจะต้องกลับไร่อินสรวงแล้ว มะปรางไปกับผมไหม”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ปรางต้องเตรียมชุดไว้สำหรับคอนเสิร์ตคราวหน้า งานเยอะมาก”
“ผมเลยไม่มีโอกาสได้พาปรางเที่ยวเลย เราน่าจะไปไหนกันสองต่อสองบ้าง”
ปรางเงยหน้าขึ้นมองอินทร แล้วยิ้ม
“ไปสองต่อสองเหรอคะ”
“ครับ”
“งั้นไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ปรางอยากไปพอดี”
อินทรยิ้มดีใจ

ในห้าง อินทรและมะปราง เข็นรถเข็นใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับมากมาย อินทรเดินไปด้วยความเซ็ง
“เนี่ยเหรอครับ ที่เราจะมากันสองต่อสอง”
“ปรางต้องซื้อของเพิ่มนี่คะ”
“ผมก็นึกว่าเราจะมาเที่ยว แล้วต้องซื้ออีกเยอะไหมครับเนี่ย ผมเดินจนขาลากแล้ว”
“ยังขาดอีกสองสามอย่างค่ะ คุณรอนี่ก่อนนะ ฉันเข้าไปดูผ้าลูกไม้”
“ครับ”
มะปรางแยกไป อินทรลงนั่งพักอย่างเซ็งๆ

อีกมุมของห้างจ๊ะจ๋ากำลังเข็นรถเข็นขนเสื้อผ้าเหมือนกัน ดูโพยไปด้วย
“ผ้าปักเลื่อมสำหรับชุดโชว์ ผ้าชีฟองสามพับ”
จ๊ะจ๋าเพ่งอ่านโพย แล้ววางกระเป๋าเงินที่เป็นถุงห้อยไว้บนข้าวของบนรถเข็น ชายวัยรุ่นแต่งตัวละม้ายอินทร เดินตามมาไม่ห่าง มองไปที่กระเป๋า จังหวะที่จ๊ะจ๋าไม่ได้สนใจกระเป๋า เดินอย่างเร็วเข้ามาโฉบกระเป๋าไปทันที จ๊ะจ๋าหันมาเห็นพอดี
“เฮ้ย มึง”
วัยรุ่นวิ่งทันที
“กรี๊ด! ขโมย ขโมย”
จ๊ะจ๋าวิ่งตามสุดชีวิต ท่ามกลางผู้คนที่หันมาดู วัยรุ่นวิ่งมาทางอินทรที่มองอยู่ วัยรุ่นวิ่งผ่านหน้าไป อินทรตัดสินใจวิ่งตาม จ๊ะจ๋าวิ่งเลี้ยวมา ไม่เห็นขโมยแล้ว ไม่เห็นอินทรด้วย
“ไปไหนแล้ววะ”
รปภ.วิ่งเข้ามา
“มีอะไรครับ”
“ขโมยกระเป๋าค่ะ วิ่งมาทางนี้ไปไหนแล้วไม่รู้”
“ทางนั้นครับ มีคนวิ่งไปทางนั้น”
รปภ.วิ่งตามไปอีกคน จ๊ะจ๋าวิ่งตาม

อินทรวิ่งตามมาทัน กระโดดตะครุบตัววัยรุ่น ล้มไปกับพื้นทั้งคู่ กระเป๋าของจ๋ากระเด็นกับพื้น วัยรุ่นถีบอินทรกระเด็นไป แล้ววิ่งเตลิดออกนอกห้าง อินทรคว้ากระเป๋ามาได้ รปภ.วิ่งเข้ามา
“เฮ้ย หยุดนะโว้ย”
รปภ เอากระบองออกมาขู่
“ยกมือ”
อินทรยกมือ
“พี่ ผมเปล่านะ ขโมยน่ะ มันวิ่งออกนอกห้างไปแล้ว”
จ๊ะจ๋าวิ่งมา
“คนนี้ใช่รึเปล่าน้อง”
จ๊ะจ๋าไม่ทันมองหน้า คว้ากระเป๋า
“คนนี้แหละค่ะ แน่นอน แต่งตัวแบบนี้แหละ”
อินทรมองหน้าจ๊ะจ๋า ที่กำลังค้นของในกระเป๋า
“หันหน้าเข้ากำแพง”
รปภ ยันร่างอินทรเข้ากำแพง แล้วตรวจอาวุธในตัว
“พี่ รปภ ฟังผมก่อนครับ”
“ไปพูดให้ผู้จัดการฟังดีกว่า”
“โธ่!.จ๊ะจ๋า เธออธิบายที”
“แนะ รู้จักชื่อฉันอีกต่างหาก นี่แสดงว่าสืบประวัติฉันมาแล้วใช่ไหมอ้อ คงตามฉันมาจากบ้านละซี”
อินทรโมโห
“ฉันอินทร ไม่ใช่ขโมย”
“อินทรไหน ไม่รู้จัก ไม่ต้องมาทำเนียนเลย”
“อินทรเพื่อนมะปรางไง”
“หามะปราง”
อินทรหันหน้ามา
“คุณทร”
“ฉันเอง”
“แล้วคุณมาขโมยกระเป๋าฉันทำไม”
“บ้าแล้วเธอเนี่ย เจ้าขโมยมันหนีไปแล้ว ฉันช่วยเก็บกระเป๋าให้เธอนี่รอยเท้า ที่มันถีบฉัน ยังอยู่ที่กางเกงฉันอยู่เลย เห็นไหม”
“ตกลง รู้จักกันเหรอเนี่ย” รปภ.ถาม
“ค่ะ คนรู้จักกันค่ะ ขอโทษค่ะคุณทร ที่เข้าใจผิด”
จ๊ะจ๋ายิ้มเจื่อนเต็มที ยกมือไหว้
 
จบตอนที่ 11


โปรดติดตาม ตอนที่ 12 





กำลังโหลดความคิดเห็น