xs
xsm
sm
md
lg

หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 9

แผนการของฉวีวรรณกำลังเริ่มขึ้น ที่มุมรับประทานอาหารมื้อเย็นภายในแค้มป์ ฉวีวรรณและดาหวันกำลังช่วยกันตักอาหารแจกให้ทุกคน แทนกับข้าวที่ถูกกิมจิเททิ้ง

“อื้อหือ หอมน่ากินจริงๆ” ศิริยิ้มหน้าบาน
“ทานเยอะๆ เลยนะคะ” ดาหวันบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
ฉวีวรรณและดาหวันช่วยกันตักอาหารให้ ธานี ธนวัติและพาณิชย์
“คุณอากับพี่วัติทานเยอะๆ นะคะ”
“พี่พาณิชย์ด้วยนะคะ”
ธานี ธนวัติและพาณิชย์ มองอย่างไม่ไว้ใจ สงสัยดาหวัน ฉวีวรรณที่ดูมีพิรุธ เพราะจู่ๆ ก็มาพูดดีด้วย
“พี่ไม่หิว” ธนวัติบอก
“ไม่หิวได้ไงกัน พี่วัติยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะ” ฉวีวรรณคะยั้นคะยอ

จังหวะหนึ่ง โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต ธานี ธนวัติและพาณิชย์ หลิ่วตาให้กัน แบบรู้กันว่าจะเล่นบทอย่างไรต่อไป
“ทำไมไม่ทานล่ะคะ พี่พาณิชย์รังเกียจเหรอ หรือว่าไม่เชื่อมือหวัน”
ดาหวันแกล้งงอนพาณิชย์
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น หวันลงมือทำกับข้าวทั้งที คนรักกันจริงก็ต้องกินสิจ๊ะ”
พาณิชย์พูดพลางส่งตาหวาน ดาหวันจำใจยิ้มตอบอย่างอ่อนหวาน
“งั้นก็ทานสิคะ มาค่ะ หวันป้อน”
ดาหวันกับฉวีวรรณเอาอกเอาใจ คะยั้นคะยอให้กินเยอะๆ
“คุณอากับพี่วัติเหนื่อยเพราะหวีมามากแล้ว ทานเยอะๆ นะคะ”
สองศรีพี่น้องฉวีวรรณกับดาหวันยิ้มร้ายออกมา โดยคิดว่าทั้งสามหลงกล
ธานี ธนวัติและพาณิชย์ กินกันเอร็ดอร่อย กับศิริด้วยมีความสุขแฮปปี้ แจ๋และกิมจิยิ้มขำ บุญทิ้งส่ายหน้า
“บาปกร๊รม บาปกรรม”
กิมจิรีบปิดปากบุญทิ้ง กลัวแผนแตก อุ๊บอิ๊บหมั่นไส้ที่ฉวีวรรณและดาหวันเอาอกเอาใจพ่อกับพี่ชายของตัวเอง ทิ้งช้อนแล้วลุกพรวดขึ้น
“อ้าว หนูอุ๊บอิ๊บ ไม่ทานข้าวรึ” ธานีถาม
“อุ๊บอิ๊บทานไม่ลงค่ะ”
อุ๊บอิ๊บลุกเดินหนีออกไปเลย ฉวีวรรณกับดาหวันไม่สนอุ๊บอิ๊บ ตั้งหน้าตั้งตาเอาอกเอาใจธานี ธนวัติและพาณิชย์ต่อ

อุ๊บอิ๊บเดินหนีออกมา เพราะหมั่นไส้ฉวีวรรณกับดาหวัน บ่นอย่างหงุดหงิด
“เชอะ ให้ท่าผู้ชายไปทั่วทั้งพี่วัติ พี่พาณิชย์ พี่ดนัย ไปหาพี่ดนัยดีกว่า”
อุ๊บอิ๊บเดินออกไปตามเสียงหัวใจ

ดนัยและชลิตกำลังดูลาดเลา และประเมินสถานการณ์
“เสียงเงียบไปแล้ว ท่าทางทุกอย่างจะเป็นตามแผนที่นายวางไว้”
“รีบไปกันเถอะ”
ดนัยกับชลิตย่องออกมาจากคอกที่คุมขัง มาเจอลูกน้องของธานี
“เฮ้ย จะหนีไปไหน”
ลูกน้องของธานีคนนั้นชักปืนจะยิงดนัยและชลิต ทั้งสองตกใจ แต่แล้วยานอนหลับก็ออกฤทธิ์ ลูกน้องของธานีหน้ามืดแล้วหมดสติไป ดนัยและชลิตโล่งอก ดนัยหันไปมองห่อข้าวที่วางอยู่ใกล้ๆ ลูกน้องคนนั้น
“ยาออกฤทธิ์แล้ว”
ดนัยและชลิตรีบออกไป แต่พอทั้งสองออกมาพ้นจากตรงนั้น อุ๊บอิ๊บเพิ่งมาถึงพอดี
“พี่ดนัยขา อุ๊บอิ๊บมาแล้ว”
อุ๊บอิ๊บมองหาไม่เจอดนัยก็ตกใจ
“พี่ดนัยหายไปไหน พี่ดนัยขา”
อุ๊บอิ๊บตกใจ รีบออกตามหาดนัย แต่เดินไปคนละทางกับดนัยและชลิต

ที่แค้มป์กลาง ศิริ ธานี ธนวัติ พาณิชย์ สุภาพ อาหลู่ และลูกน้องทุกคนนอนหลับคาวงข้าว ฉวีวรรณห่มผ้าให้ศิริ รู้สึกห่วงพ่อ พอๆกับที่รู้สึกผิดที่ต้องทำอย่างนี้ ดาหวันกราบศิริ
“พ่อคะ หวีขอโทษที่ต้องทำแบบนี้”
“หวันไม่ยอมแต่งงานกับคนเลวเด็ดขาด หวันจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าพวกนั้นเป็นคนไม่ดี”
แจ๋และกิมจิมองพวกธานี ธนวัติ พาณิชย์ด้วยความหมั่นไส้ ขณะที่บุญทิ้งบุญทิ้งแผ่เมตตาให้
“สัพเพสัตตา อะเวราโหนตุ…”
ดนัยและชลิตมาถึง
“เป็นไง เรียบร้อยมั้ย”
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เรารีบไปกันเถอะ”
“เดี๋ยว ขอล้างแค้นสักหน่อย”
กิมจิพูดจบก็ขยับไปเตะธนวัติกับพาณิชย์เป็นการระบายอารมณ์
“นี่แหนะๆ ซ่านักนะ แกสองคน แหนะ ว่าแล้วยังหลับตาใส่อีก ไอ้พวกนี้ก็เหมือนกัน มือหนักนัก ต้องเจอแบบนี้”
กิมจิพูดแล้วหันเตะพวกลูกน้องธานี
“พอแล้วน่า เดี๋ยวมันก็ตื่นมาหรอก”
ชลิตบอก แต่ จู่ๆ สุภาพละเมอลุกขึ้นนั่ง
“หยุดนะ”
ทุกคนตกใจ สุภาพละเมอโวยวาย
“หยุดเดี๋ยวนี้ มาให้พี่กอดซะดีๆ”
สุภาพยิ้มหวาน ละเมอหันไปกอดจูบอาหลู่ที่นอนอยู่ข้างๆ พวกดนัยส่ายหน้ารับไม่ได้ แล้วรีบหนีไปด้วยกัน ทุกคนกำลังจะไปแล้ว กิมจินึกได้
“ไอ้ทิ้งละ”
บุญทิ้งยังแผ่เมตตาไม่เสร็จ
“สัพเพสัตตา สุขี อัตตานัง...”
“โธ่ ไอ้ทิ้ง ไปได้แล้ว” กิมจิฉุน
“ขออีกคำเดียวครับ….ปะริหะรันตุ”
กิมจิดึงบุญทิ้งออกเฟรมไปพร้อมกับทุกคน พวกศิริ ธานี ธนวัติ พาณิชย์และคนอื่นๆ ยังหลับไม่รู้เรื่อง

ป่าละแวกนั้นในค่ำคืนนี้ มีเสียงนกเค้าแมวร้องเป็นระยะ และหมาป่าเห่าหอนรับกันเป็นทอด ทั้งน่ากลัว โหยหวนและวังเวง
ดนัย ชลิต ฉวีวรรณ ดาหวัน แจ๋ กิมจิและบุญทิ้ง เดินฝ่าความมืดหนีเข้ามาในป่า ทุกคนเดินมาถึงจุดที่เป็นเนินไม่สูงมาก ดนัยและชลิตก้าวลงไปก่อนแล้วหันมาพร้อมกัน ยื่นมือให้ฉวีวรรณพร้อมกัน ดนัยมองชลิตแล้วรู้ตัวว่าไม่ใช่หน้าที่
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉันนี่นะ เป็นหน้าที่ของแฟน ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้”
ดนัยตัดใจ เดินหนีไป ฉวีวรรณเจ็บปวดใจ แต่ก็จับมือชลิตที่ช่วยประคองลงไป ดนัยแอบมองภาพนั้นอย่างหึงๆ ดาหวันที่ยืนอยู่หลังฉวีวรรณ เจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจที่เห็นชลิตดูแลฉวีวรรณ พอชลิตประคองฉวีวรรณลงเนินไปแล้ว ก็หันมายื่นมือให้ดาหวันต่อ แต่ดาหวันงอน ไม่ยอมจับมือชลิต ดาหวันประชดใส่
“พี่ดนัยขา ช่วยหวันด้วยค่ะ”
ดนัยกลับมายื่นมือมาให้ ดาหวันจับมือดนัยแต่มองหน้าชลิตแบบประชดประชัน ชลิตยิ่งหึงเมื่อเห็นดาหวันที่แกล้งทำหวานกับดนัย
“ของแบบนี้ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้”
ฉวีวรรณมองดนัยกับดาหวัน อึ้งและปวดใจ แล้วรีบฉุดชลิตเดินหนีไป
“รีบไปเถอะชลิต อย่าอยู่เป็นก้างขวางคอใครเลย”
ดนัยมองตามฉวีวรรณ ตาปรอย ดาหวันก็มองตามชลิต ปั่นป่วนใจเหมือนกัน ดนัยถอนหายใจ แล้วหันไปจูงดาหวันเดินตามไป
“ไป หวัน ...รีบๆ ออกจากป่านี้ซะ ทุกอย่างจะได้จบเสียที”

แต่เรื่องไม่ง่ายอย่างที่ดนัยบอกเสียแล้ว เพราะออกมาได้ไม่ไกลนัก ดนัย ชลิต ฉวีวรรณ ดาหวัน แจ๋ กิมจิและบุญทิ้ง ก็เดินเข้ามาเจอ ก๊วนธานี ธนวัติ พาณิชย์ กาซูและพวกลูกน้องที่มาดักรออยู่ก่อนแล้ว
“คิดว่าจะหนีไปง่ายๆ รึ” ธนวัติทักทายด้วยน้ำเสียงเหี้ยม
ดนัย ชลิต ฉวีวรรณ ดาหวัน แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งต่างตกใจ
“พวกแก!” ดนัยตกใจ
“ตกใจล่ะสิที่พวกฉันไม่หลับเพราะฤทธิ์ยาของพวกแก” พาณิชย์เย้ย
“งงละสิ ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราดื่มยาแก้พิษของกาซูกันไว้ก่อนแล้ว” ธานีบอก
“งั้นเมื่อกี้ พวกแกก็รู้ตัวน่ะสิ”
กิมจินึกได้เพราะเตะไปหลายที ในขณะที่แจ๋รีบเอาตัวรอด
“เห็นมั้ย ฉันห้ามแกแล้ว บอกแล้วคนล้มอย่าข้าม
กิมจิเขกหัวแจ๋ว่าด้วยความหมั่นไส้
“ถุย เอาตัวรอดเลยนะยายแจ๋” กิมจิว่าแจ๋
พวกลูกน้องมองหน้าแจ๋กับกิมจิแบบโหดๆ
“เค้าล้อเล่น!!”
กิมจิกับแจ๋พูดพร้อมกันแล้วรีบไปหลบหลังสองฮีโร่...ดนัยกับชลิต
“ช่วยไม่ได้ที่พวกแกรู้ความลับของฉัน พวกแกต้องตายทั้งหมดกาซู จัดการพวกมัน!
กาซูรับคำสั่งผุดยิ้มร้ายๆ ออกมา และเริ่มสั่นกระพรวน

จู่ๆ ก็มีอสุรกายผุดลุกขึ้นจากพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ดนัย ชลิต ฉวีวรรณ ดาหวัน แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งต่างพากันตกใจ และหวาดกลัว กิมจิเริ่มนึกออก
“เฮ้ย หน้าตาคุ้นๆ นะเหมือนเคยเจอที่ไหน”
แจ๋นึกออก
“นึกออกแล้ว ไอ้ปีศาจที่เราเคยเห็น”
“อย่างนี้เขาเรียกว่า อสุรกายครับ คุณแจ๋” บุญทิ้งบอก
“จะอะไรก็เถอะ มันเป็นสมุนของไอ้หมอผีนั่นแหละ” ชลิตชี้ไปที่กาซู
“จับตัวผู้หญิงมาแล้วฆ่าผู้ชายซะ”
กาซูสั่งอสุรกายเสียงเหี้ยม อสุรกายจะมาจับตัวฉวีวรรณและดาหวันทันที ดนัยกับชลิตไปขวาง ดนัยชกอสุรกาย อสุรกายไม่กระเทือน แถมยังซัดดนัยล้มลง เจ็บหนัก
“ดนัย!” ฉวีวรรณห่วงดนัย
ชลิตคว้าท่อนไม้ฟาด แต่ไม้หัก ชลิตตกใจมาก โดนอสุรกายบีบคอ
“พี่ชลิต!” ดาหวันห่วงชลิต
ดนัยไปสู้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แถมจังหวะนั้นโดนบีบคอไปแล้วด้วย
“ไม่มีประโยชน์ มันไม่ใช่คน” กิมจิเตือนทุกคน
อสูรกายเหวี่ยงดนัยกับชลิตล้มลง ฉวีวรรณประคองดนัย ดาหวันประคองชลิต ดนัยพาฉวีวรรณหนี ชลิตพาดาหวันหนีไปอีกทาง แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งก็แยกไป ธานี ธนวัติและพาณิชย์โกรธ ธานีสั่งเสียงดุ
“จับตัวพวกมันมา อย่าให้หนีไปได้”
ธานี ธนวัติ พาณิชย์ กาซู อสุรกายและพวกลูกน้องแยกย้ายกันตามจับตัวพวกดนัย

ทางด้านอุ๊บอิ๊บกำลังเดินหลงป่าอยู่ เห็นดนัยดึงฉวีวรรณวิ่งผ่านหน้าไป ก็ดีใจ จะตามไป
“พี่ดนัยขา รออุ๊บอิ๊บด้วย”
ธานีและกาซูผ่านมาเจอ
“อุ๊บอิ๊บ! มานี่”
“อ๊าย พ่อ ปล่อยอุ๊บอิ๊บ อุ๊บอิ๊บจะไปหาพี่ดนัย” อุ๊บอิ๊บโวยวายใส่พ่อ
ธานีโมโหรีบดึงอุ๊บอิ๊บ แล้วตามกาซูไป

ดนัยฉุดฉวีวรรณวิ่งหนีเข้าไปในป่า โดยมีธนวัติถือปืนวิ่งไล่ล่ามาติดๆ
“เฮ้ย หยุดนะ!”
ธนวัติยิงเปรี้ยงๆ โดนแต่ต้นไม้ ดนัยกับฉวีวรรณหลบกระสุนไปได้ตลอด ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งเตลิดมาจนถึงมุมหนึ่ง สมุนธนวัติก็กระโดดเข้ามาขวาง
“ว้าย!” ฉวีวรรณตกใจร้องลั่น
ดนัยรีบกระชากฉวีวรรณไปด้านหลัง สมุนคนนั้นมันชักมีดพกออกมาจะสวนแทง แต่ถูกดนัยเตะจนร่างกระเด็นไป แล้วตะลุมบอนกัน
“ดนัย!”
ดนัยหลบหลีกไม่ให้สมุนเอามีดแทง แล้วถีบมันกระเด็นไปได้
“หวี ไปเร็ว”
ดนัยฉุดแขนฉวีวรรณวิ่งออกไปอีก ธนวัติวิ่งเข้ามามองเห็นสมุนกำลังค่อยๆ ลุกขึ้น
“มันไปทางไหน”
สมุนคนนั้นชี้บอกทางอย่างตื่นๆ ไปทางที่ทั้งสองคนวิ่งหนี ธนวัติรีบถือปืนวิ่งตามไปติดๆ สมุนคนนั้นก็ตามไปด้วย

ทางด้านสามสหาย แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้ง ต่างวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในป่าอีกด้าน กิมจิร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นป่า
“ช่วยด้วยค้าบ ช่วยด้วย”
อสุรกายส่งเสียงคำรามดังลั่น แล้วแหวกต้นไม้เข้ามา ทั้งสามกรี๊ดลั่น
“อ๊าย แกอย่าเข้ามานะ”
แจ๋เอาไฟฉายส่องหน้าอสุรกายแยงตา อสุรกายผงะไป
“รีบหนีเร็ว”
บุญทิ้งบอกแล้วดึงเพื่อนทั้งสองหนี แต่ตัวเองเกิดไปสะดุดรากไม้ล้มเสียเอง
“บุญทิ้ง”
อสุรกายหันขวับ มาร้องแฮ่เข้าใส่บุญทิ้ง บุญทิ้งตะลึงตาค้าง ปากสั่นกึกๆ
แจ๋กับกิมจิ ยืนดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงปนสยองขวัญ แจ๋นั้นกรี๊ดลั่น
“อ๊ายยย ไอ้ทิ้งตายแน่
อสุรกายคำรามเสียงดังสนั่นป่า ค่อยก้าวเท้าเข้ามาหาบุญทิ้ง บุญทิ้งตัวสั่นหวาดกลัว แต่ยังอินในกระแสธรรมะ บุญทิ้งท่องธรรมะแต่กลายเป็นตะโกนใส่อสุรกาย
“อะโห!! อะสุระพานัง”
แจ๋เบิ่งตาเหลือกมองแบบงงๆ คิดในใจว่า มันพูดอะไรวะ สะกิดกิมจิให้รีบแปล
“มันเล่นศัทพ์เทคนิคอีกและ แปลดิ๊ กิมจิ”
“มันบอกว่า....ไอ้อสุรกาย”
บุญทิ้งตะโกนต่ออีกว่า “อสุรกาย” ตกใจจนตาเหลือก อยู่
“ยะขะมะ! ยะขะมะมานัง”
กิมจิขึ้นซับไตเติ้ลแปลต่ออีก
“อย่านะ อย่าเข้ามานะ”
บุญทิ้งยังว่าอสุรกายลั่นยาวเหยียด คราวนี้น้ำเสียงจริงจัง
“อันยองมาเน ซารางเฮโยงุงิงุงิ อิอิ คริคริ โลโก จุ๊บจุ๊บ”
กิมจิแปลภาษาไทยต่อ--สั้นๆ
“ฉันมีพระ!”
“เฮ้ย! พูดซะยาว แปลแค่เนี้ย บุญทิ้งพากย์ไทยมาเลย...ไม่แปลแล้วเว้ย”
แจ๋หันไปป้องปากตะโกนบอกบุญทิ้ง
บุญทิ้งรีบถอดสร้อยที่คอออกมา ชูใส่อสุรกายทันที เป็นสร้อยห้อยพระสามองค์เป็นพวงเลยทีเดียว
“หลวงปู่ช่วยด้วยคร๊าบบบ!”
จังหวะที่ก้าวเข้าหาบุญทิ้งนั้น เท้าของอสุรกายข้างหนึ่ง ดันไปติดเถาวัลย์ มันพยายามดึง แต่ดึงขาไม่ออก อสุรกาย ร้องคำรามลั่น อย่างขัดใจ พยายามจะดึงจะดิ้นให้หลุด แต่ก็ไม่หลุด ชะงักค้างเดินเหินไปไหนไม่ได้
บุญทิ้งหันไปมองอย่างดีใจ แล้วมองพระในมือตาโต ยกมือพนมไหว้ประหลกๆ
“มันขยับตัวไม่ได้ สาธุ หลวงปู่ศักด์สิทธิ์จริงๆ ครับ”
แจ๋กับกิมจิ กระโดดตบมือ ดีใจกัน แจ๋รีบเชียร์
“คล้องคอมันเลย”
“จัดเต็มไปเลย! บุญทิ้ง” กิมจิเชียร์ด้วย
บุญทิ้งลุกขึ้น เดินถือสร้อยพระเข้าไปตรงหน้า อสุรกายที่ร้องโวยวายอยู่
“นิมนต์ หลวงปู่สง หลวงปู่เทพ หลวงปู่อิน ปราบอสุรกาย ณ บัดเดี๋ยวนี้เถิด”
บุญทิ้งร่ายคาถาจบก็รีบสวมสร้อยพระใส่คออสุรกาย ดูเหมือนจะได้ผลเพราะอสุรกายร้องลั่น อย่างเจ็บปวด ที่แท้เป็นเพราะบุญทิ้งเหยียบเท้าอสุรกายอีกข้างเต็มๆ ตีน
บุญทิ้งมองปาฎิหาริย์ตรงหน้าอย่างปลื้ม นึกว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์สามหลวงปู่
“หึหึ เห็นฤทธ์หลวงปู่แฝดสามของผมหรือยัง เซโรงังไปเลยสิครับ”
บุญทิ้งขยับหันไปหา แจ๋กับกิมจิอย่างปลื้มดีใจ ยกเท้าออกเลยไม่ได้เหยียบเท้าอสุรกายแล้ว จังหวะนั้นเองอสุรกายก็ดึงเถาวัลย์ที่พันเท้าขาดผึง เป็นอิสระ
บุญทิ้งยกมือทั้งสองข้าง ชูสองนิ้ว ยิ้มลัลลา ดีใจ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าความตายกำลังจะมาเยือน บุญทิ้งพูดกับแจ๋และกิมจิหน้าบาน
“ปลื้มปริ่ม ปิติ มานี มานะ ชูใจ ครับ ผมจัดการอสุรกายได้แล้ว”
เป็นเวลาเดียวกับที่อสุรกาย ขยับตัวเข้ามาซ้อนอยู่ข้างหลังบุญทิ้ง ยกมือขึ้นมากำลังจะบีบคอบุญทิ้ง
กิมจิกับแจ๋ มองเห็น ตะลึงตาค้างส่วนบุญทิ้งยังไม่รู้ตัว
“พี่น้องครับ บรรลัยแล้ว”
“ครับผม อสุรกายใช่มั้ย” บุญทิ้งยิ้มอย่างขำๆ
กิมจิ,แจ๋ “แกนั่นแหละ” กิมจิกับแจ๋ประสานเสียง!!!
บุญทิ้งรีบหันไปมองสบตากับอสุรกายที่จ้องตาแดงก่ำ แล้วอึ้ง อสุรกายแยกเขี้ยว คำรามใส่บุญทิ้ง พร้อมๆ กับ บุญทิ้งร้อง “อ๊าก” ออกมาจ้องอสุรกายตาค้าง
บุญทิ้งจะหนี อสุรกายจับตัวบุญทิ้งหิ้วขึ้น ขาลอยต่องแต่ง แจ๋กับกิมจิ ร้องตกใจจะเป็นจะตาย
“ดูมัน!! มันไม่กลัวพระเลยอ่ะ เหลือแต่แกแล้วแจ๋ที่จะช่วยไอ้ทิ้งได้”
ว่าพลางกิมจิ รีบดันแจ๋จะให้เข้าไปหาอสุรกาย แจ๋ร้องลั่น
“ไอ้มั่ว อย่านะ ฉันจะไปช่วยไอ้ทิ้งได้ยังไง”
“หน้าตาแกเป็นอาวุธอยู่แล้ว แจ๋” กิมจิบิ้วท์
“ไอ้เลวว!! ปากสุนัข”
ขณะที่แจ๋เม้งแตกหันมาทุบกิมจิแทนนั้น อสุรกายก็เขย่าบุญทิ้ง จนหัวสั่นหัวคลอน แล้วโยนร่างบุญทิ้งตัวลอยเคว้งออกไปในอากาศ ร่างบุญทิ้งหล่นลงไปทับ กิมจิ แจ๋ ล้มระเนระนาด
อสุรกายกระชากสร้อยพระจากคอ ขาดกระเด็น แล้วเขวี้ยงพระสุดแรงลอยหายลับไปในอากาศ
บุญทิ้งมองตามร้องลั่น
“หลวงปู่”
บุญทิ้งเสียใจจะวิ่งไปตามพระ แต่กิมจิดึงคอเสื้อไว้ก่อน
“อยากตายหรือไง เห็นมั้ยญาติผู้ใหญ่แกมาโน่นแล้ว” กิมจิเตือนสติ
“อ๊าย... ไอ้เสือเผ่น!”
อสุรกายตรงเข้ามาจะกระทืบทั้งสามสหาย แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งกรี๊ดลั่น แล้วพากันวิ่งหนีต่อ อสุรกายวิ่งไล่ตามไป

ทางด้านกาซูถือกระพรวนวิ่งตามเข้ามาในป่า มีธานีที่ดึงแขน อุ๊บอิ๊บ ลากมาตามหลังมาด้วย
“ป๊า ปล่อยอุ๊บอิ๊บนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ทั้งสามเข้ามาเห็น อสุรกายยืนหันรีหันขวางอยู่มุมหนึ่ง อุ๊บอิ๊บตกใจตะลึง
“อ๊าย สัตว์ประหลาด”
“หาพวกมันให้เจอ! จับมันให้ได้”
กาซูสั่นกระพรวน อสุรกายได้ยินเสียงก็กระสับกระส่าย แล้วคำรามออกมาก่อนจะวิ่งไป กาซู รีบวิ่งตามไปก่อน ธานีจะตาม แต่อุ๊บอิ๊บขืนตัวไว้ หวาดกลัว
“อย่าไป!! ป๊า อุ๊บอิ๊บจำได้ ไอ้นั่นมันสัตว์ประหลาดฆ่าคน!”
“ป๊ารู้แล้ว มันฆ่าแต่ศัตรูของเรา ไม่ฆ่าเราหรอก”
“แน่ใจแล้วเหรอ ป๊า”
“คอนเฟิร์ม รีบไปเถอะ”
พูดจบธานีก็รีบดึงอุ๊บอิ๊บให้รีบวิ่งตามไปด้วย

อสุรกายวิ่งนำกาซู เข้ามาตรงแถวๆ ดงไม้ กวาดตามองหาพวกแจ๋
“ค้นให้ทั่ว เจอพวกมันที่ไหนก็ฆ่าเลย”
แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งที่ปีนหนีขึ้นมาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงก็พากันสะดุ้ง และเห็นธานีกับอุ๊บอิ๊บวิ่งตามเข้ามา
“ไหนล่ะ พวกมันไปไหนแล้ว”
อสุรกายคำรามเสียงกระเหี้ยนกระหือรือ แต่มองไม่เห็นเงาพวกแจ๋ กาซูสั่นกระพรวนอีก
“รีบหาเร็วเข้า”
อสุรกายคำราม อย่างกระสับกระส่าย แล้วทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นหา แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งที่แอบอยู่ข้างบนกระซิบกระซาบ
“ไอ้อสุรกายนี่มันต้องรับคำสั่งจากกระพรวนนั่นแน่ๆ เลย เราต้องไปแย่ง” กิมจิปิ๊งไอเดีย
“แล้วจะไปเอามายังไงล่ะ ลงไปตอนนี้ก็โดนฉีกเป็นชิ้นๆ แน่” บุญทิ้งกังวล
จังหวะนั้นเองแจ๋มองเห็นอสุรกายทำเสียงฟืดฟาด พยายามตามกลิ่นของพวกตัวเองอยู่ตามมุมต่างๆ ก็ตัดสินใจเด็ดผลไม้บนต้น แล้วเหวี่ยงออกไปไกลๆ ให้มีเสียง
กาซูได้ยินเสียงก็สั่นกระพรวนสั่งทันที
“เฮ้ย ทางนั้น”
อสุรกายหันขวับวิ่งออกไปตามเสียง ได้สี่ห้าก้าวก็ชะงัก กาซูจะเขย่ากระพรวนอีก แต่อุ๊บอิ๊บกระชากไปเสียก่อน อุ๊บอิ๊บดูกระพรวน แล้วชอบ
“น่ารักอ่ะ.. งั้นอิ๊บเลยนะ จะไว้ซ้อมเต้นงานแซยิดป๊า”
อุ๊บอิ๊บสั่นกระพรวนเป็นจังหวะ แล้วออกสเต็ปทั้งร้องทั้งเต้นตามเพลง “สวยเด้งดึ๋ง” อุ๊บอิ๊บร้องไป เต้นไป ส่ายเอวส่ายสะโพก วาดลวดลายเต็มที่ และยกกระพรวนสั่นไปด้วย
“ฉันสวยเริ่ด เชิด หรู ทั้งน่าเอ็นดูน่าผลักดัน ....” อุ๊บอิ๊บรองเพลงขึ้นมา
อสุรกายร้ายที่วิ่งๆ อยู่ ชะงักกึก เริ่มขยับเท้าเป็นจังหวะเต้นตามเพลง แล้วขยับสะโพกส่ายเต้น ดึ๋งๆ บ้าง
อุ๊บอิ๊บยังคงร้องเพลงอินแบบต่อเนื่อง เต้นไป สั่นกระพรวนไป เป็นจังหวะ อสุรกายโยกหัวกรอกตาตามจังหวะ แล้วหันขวับกลับหน้ามา เต้นตามอุ๊บอิ๊บ ใส่จริต และออกลีลาท่าเต้นเหมือนกันเด๊ะๆ
จังหวะหนึ่งอุ๊บอิ๊บ ออกท่าขยับสะโพก ในช่วงท่อนฮุกของเพลงเด้งดึ๋งๆ สุดแรง โดยมีอสุรกายเต้นท่า เด้งดึ๋งๆ เหมือนอุ๊บอิ๊บเป๊ะ
ธานีมองส่ายหน้า ทั้งระอาและกลุ้มใจ หันไปจะต่อว่ากับกาซู แต่ปรากฏว่า กาซูอยู่ในอาการเคลิ้มคล้อยยักคิ้ว ขยับ หน้า และคอตามจังหวะไปด้วย ธานีผงะเหวอ
“เฮ้ย นี่ก็พลอยติ๊งต๊องไปกับเขาด้วยเรอะ”
ในขณะนั้นแจ๋ซึ่งเล็งแลมองเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ พอเห็นอุ๊บอิ๊บขยับมาในตำแหน่งใต้ต้นไม้พอดี แจ๋ถือโอกาสที่ทุกคนเผลอ รีบกระโจนลงไปขี่คออุ๊บอิ๊บทันที
“ว้าย” อุ๊บอิ๊บร้องลั่นอย่างตกใจ
“เอามา”
แจ๋พยายามที่จะแย่งเอากระพรวนมา ธานีกับกาซูเห็นแจ๋ ก็ตกใจ จะเข้ามาช่วย กิมจิกับบุญทิ้งที่ดูอยู่รีบโดดตามลงมา บุญทิ้งล้มทับกาซู ส่วนกิมจิหล่นลงมาตรงหน้าธานี จนทำให้ธานีสะดุดล้ม ทั้งหมดต่อสู้กันชุลมุน

แจ๋กับอุ๊บอิ๊บกลิ้งไปตามพื้น แล้วอุ๊บอิ๊บคว้ากระพรวนได้ก่อน รีบสั่นทันที
“นังแจ๋จะมากไปแล้วนะ ช่วยด้วย มันอยู่นี่! ฆ่ามันเลย ฆ่ามัน”
อุ๊บอิ๊บสั่นกระพรวน อสุรกายที่เต้นๆอยู่สะดุ้งแล้ว เปลี่ยนโหมดเป็นดุร้ายพุ่งเข้ามาหาแจ๋ แจ๋กระชากกระพรวนไปได้ รีบสั่นและตะโกนสั่ง
“ฆ่าพวกมันต่างหาก ฆ่าพวกม้าน....”
อสุรกายชะงักกึก หันไปมองธานีกับกาซูที่กำลังเป็นต่อกิมจิกับบุญทิ้ง อสุรกายตรงเข้าไปกระชากร่างธานีแล้วต่อยเปรี้ยง
“โอ๊ย” ธานีร้องลั่น
อสุรกายตามเข้าไปขยุ้มคอธานี แจ๋มัวแต่ตะลึงมองไม่ทันสังเกตว่ากาซูพุ่งมากระชากกระพรวนไปแล้วกาซูรีบสั่นกระพรวน
“พวกมันอยู่นี่ จัดการเดี๋ยวนี้”
อสุรกายปล่อยมือจากธานีแล้วหันขวับมา ก่อนจะกระโจนเข้าใส่แจ๋
“อ๊ายๆ”
กิมจิกับบุญทิ้งมองหน้ากัน แล้วกระโจนเข้าใส่กาซู แย่งกระพรวนมาสั่นอีก
อสุรกายหยุดกึกหันมารอรับคำสั่ง อุ๊บอิ๊บเตะผ่าหมากบุญทิ้งแย่งกระพรวนไปสั่น อสุรกายหันขวับมาหาบุญทิ้ง
“เอามานะ”
แจ๋พุ่งเข้าไปแย่งกระพรวนและเปิดฉากตบตีกับอุ๊บอิ๊บอีกรอบ กระพรวนสั่นไปสั่นมา เพราะอยู่ในมือของทั้งคู่ อสุรกายหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก ในที่สุดทั้งสองคนก็แย่งกันกระพรวนขาดผึง
“โฮก”
อสุรกายร้องอย่างสติแตก คำรามลั่น ไม่มีใครหยุดยั้งได้อีก อาละวาดฟาดไปทั่วบริเวณ จนแตกกระเจิง ไม่เว้นว่าใครเป็นพวกใคร ทุกคนวิ่งกระจัดกระจาย
กิมจิเข้ามากระชากแจ๋ออกไปแล้วหนีไปพร้อมกับบุญทิ้ง อุ๊บอิ๊บกรี๊ดกร๊าดวิ่งตามกาซูกับธานีไป

กาซู ธานี และอุ๊บอิ๊บวิ่งกระเจิงมามีอสุรกายไล่ตามติดๆ
“กรี๊ด...ช่วยด้วย”
“เฮ้ย อย่ามาทางนี้ เฮ้ย”
ธานีหยิบก้อนหินแถวๆ นั้นขว้างใส่อสุรกาย ขว้างไปพร้อมหันไปสั่งกาซู
“แกเป็นพ่อมันไม่ใช่เหรอ ทำให้มันหยุดสิวะ ไอ้กาซู”
“กระพรวนมันพังไปแล้ว ข้าต้องกลับไปเอาใหม่ที่ดงผีฟ้า”
ก้อนหินที่ธานีขว้างไปกระทบร่างอสุรกายแต่ไม่สะเทือน จังหวะนั้นอสุรกายหันไปหยิบตอไม้ท่อนเบ้อเริ่ม ถอนรากขึ้นมาจากพื้นเลยทีเดียว อสุรกายคำรามก้อง แล้วขว้างตอไม้อันใหญ่มา ธานี กาซู และอุ๊บอิ๊บ ตะลึงร้องลั่น ขวัญผวา กาซูตะโกนขึ้น
“วิ่ง!!”
แต่ไม่ทัน เพราะตอไม้หล่นลงมากลางวง ธานีกับกาซู แตกหนีกระเจิงไปทางหนึ่ง อุ๊บอิ๊บกระโดดหลบ แล้วหกล้มเสียก่อน อสุรกายเข้ามาคว้าตัวได้
“อ๊าย ช่วยด้วย ป๊าช่วยอุ๊บอิ๊บด้วย”
“อุ๊บอิ๊บ” ธานีตกใจ
อสุรกายคว้าตัวอุ๊บอิ๊บมาจะกัดคอ อุ๊บอิ๊บกริ๊ดลั่น ธานีรีบตะโกนห้าม
“อย่าาากัด ทั้งตัวมันมีแต่ซิลิโคนนะเว้ย ขืนแกกินเข้าไป น้ำลายฟูมปากชักตายแน่ๆ”
ดูเหมือนว่าอสุรกายจะรู้เรื่อง! มันผงะ อึ้งไป ไม่กล้ากิน อุ๊บอิ๊บโกรธที่ถูกประจานกรี๊ดออกมา
“ป๊าพูดบ้าอะไรเนี่ย”
“เฮ้ย ได้ผลมันไม่กล้ากินแกแล้วเห็นมั้ย”
อสุรกายมองอุ๊บอิ๊บด้วยสายตามีท่าทีขยะแขยง แล้วคำรามอย่างโมโห พร้อมกับจับอุ๊บอิ๊บยกขึ้นมาเหนือหัวของมัน
“อ๊าย... ป๊า มันไม่กินแต่มันเหวี่ยงอ่ะ”
อสุรกายทุ่มอุ๊บอิ๊บออกไปอย่างแรง
“กรี๊ดด...”
อุ๊บอิ๊บตัวลอยละลิ่ว แล้วกลิ้งตกเนินเขาลงไป ร้องลั่น หายลับไปในความมืด
“อุ๊บอิ๊บ”
ธานีจะกระโจนไปดูด้วยความเป็นห่วง แต่อสุรกายปราดเข้ามาจะทำร้าย กาซูรีบคว้าแขนธานีดึงหนีไป
“เสี่ย!! หนีเร็ว”

ธานีเป็นห่วงลูก แต่ก็ห่วงชีวิตตัวเองมากกว่า จึงตัดใจหนีไปตั้งหลักก่อน

อ่านต่อหน้า 2





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 9

ชลิตกับดาหวันวิ่งประคองกันมาเรื่อยๆ ตามทาง แต่แล้วก็เจอกับพาณิชย์ที่โผล่พรวดออกมาจากมุมหนึ่ง พร้อมกับเอาปืนขู่เล็งมายังทั้งคู่

“คิดจะหนีรอดออกไปจากป่านี้ได้เหรอไอ้ชลิต คนปากโป้งอย่างพวกแกมันต้องเป็นผีเฝ้าที่นี่”
เสียงเหี้ยมของพาณิชย์ดังขึ้นมา ชลิตกับดาหวันชะงัก ดาหวันตัดสินใจก้าวมายืนขวางกระบอกปืน
“เอาสิ ฆ่าพวกฉันให้ตายที่นี่ แกก็ไม่มีวันรอดไปเหมือนกัน โดยเฉพาะพ่อฉันเอาแกตายแน่”
พาณิชย์แค่นยิ้มออกมา
“ใครจะใจร้ายทำน้องหวันได้ลงจ๊ะ เธอต้องไปกับพี่”
พาณิชย์กระชากแขนดาหวันเข้ามาหา แล้วเล็งปืนใส่พาณิชย์
“ส่วนแก นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วซะ”
พาณิชย์จะลั่นไก แต่ดาหวันกระแทกเท้าพาณิชย์อย่างแรงจน กระบอกปืนเบนออกไป
“โอ๊ย”
ชลิตได้โอกาสพุ่งเข้าเตะ ปล่อยหมัดต่อยพาณิชย์ทันที พาณิชย์สู้ตาย แต่ก็ถูกถีบจนปืนกระเด็นไป ดาหวันรีบปรี่ไปคว้าไว้
“ปล่อยพี่ชลิตเดี๋ยวนี้”
พาณิชย์ชะงักกึก แต่ยังไม่ยอมปล่อยตัวชลิต ดาหวันยิงมั่วๆ เข้าไป
“เปรี้ยง”
กระสุนโดนพื้นข้างๆ พาณิชย์ จนพาณิชย์ต้องกระโดดเหยง ชลิตรีบลุกมาหาดาหวันแล้วดึงปืนไปหันมาทางพาณิชย์
“ถ้ายังตามพวกฉันมา แกนั่นแหละที่จะต้องผีเฝ้าป่า”
ชลิตยิงขู่พาณิชย์อีก พาณิชย์ร้องลั่นแล้ววิ่งกระเจิงหายไป ชลิตรีบคว้าแขนดาหวันวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง
“ไปหวัน”

ทางด้านดนัยพาฉวีวรรณหนีเข้ามาในป่าลึกมากขึ้นเรื่อยๆ
“เดินไหวไหมหวี นั่งพักก่อนก็ได้นะ”
ดนัยประคองให้ฉวีวรรณนั่งลงที่โขดหินใกล้กับต้นไม้ ฉับพลันต้นไม้ก็ล้มครืนลงมา
“ว้าย” ฉวีวรรณร้องลั่น
ดนัยรีบดึงตัวฉวีวรรณกลิ้งหลบไปด้วยกัน ทั้งคู่มองเห็นว่าที่แท้ อสุรกายเป็นคนผลักต้นไม้ล้มแล้วกระโจนเข้ามา
“หนีเร็ว!”
ดนัยกอดฉวีวรรณไว้แน่นแล้วตะกายลุกขึ้น อสุรกายตรงเข้ามาฉุดเท้าฉวีวรรณไว้
“กรี๊ด”
“เฮ้ย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
ดนัยพุ่งเข้าไปฉุดกระชาก พยายามทุบแขนของอสุรกาย แต่อสุรกายใช้มืออีกข้างตบดนัยกระเด็นไปชนต้นไม้อีกด้าน นอนจุกแอ่ก แล้วหันมาจะเล่นงานฉวีวรรณต่อ
“ช่วยด้วย”
ดนัยตั้งหลักได้ รีบหยิบหินก้อนใหญ่มาฟาดใส่อสุรกายกลางหลัง มันหยุดชะงักปล่อยมือจากฉวีวรรณแล้วหันมาบีบคอดนัยแทน
“ดนัย”
ดนัยโดนอสุรกายบีบคอแน่น และทำท่าเหมือนจะหักคอ นาทีใกล้จะหมดลม ทันใดนั้นก็มีมีดพกเล่มหนึ่งพุ่งมาฟันที่หัวไหล่อสุรกาย มันร้องลั่น กุมแผลที่มีเลือดพุ่งออกมา จังหวะนั้นวินยาก็กระโดดเข้ามา
“วินยา”
วินยากระโจนเข้ามา ตั้งท่าสู้อย่างคล่องแคล่วและทะมัดแทมง
“แผลจากมีดลงอาคมของข้า มันไม่ได้รักษาง่ายๆ หรอกนะไอ้สมุนผีดิบ” วินยาเสียงกร้าว
อสุรกายคำรามด้วยความโมโหแล้วพุ่งเข้ามาเล่นงานวินยา แต่วินยาใช้ความคล่องตัวหลบหลีก แล้วหลอกถีบอสุรกายจนเซแท่ดๆ ออกไป จังหวะนั้นวินยาหยิบมีดสั้นออกมาควงแล้ว ปาออกไป
มีดลงอาคมหมุนคว้างเป็นวงๆ เข้าไปปักแขนอสุรกายเสียงดังฉึกจนเลือดพุ่งออกมาอีกแผล อสุรกายเจ็บปวด ร้องโหยหวน วิ่งหนีเตลิดเข้าป่าไป
ฉวีวรรณรีบพุ่งไปหาดนัยที่ล้มอยู่ เกือบพร้อมๆ กับวินยา
“เป็นยังไงบ้างดนัย”
ดนัยจับคอตัวเองแล้วไอ้แค่กๆ ออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน วินยารีบช่วยประคองให้ลุกขึ้น
“ไปกับฉัน”

วินยากับฉวีวรรณประคองดนัยคนละข้างแล้ว พากันเดินออกไปบริเวณนั้นทันที

อ่านต่อหน้า 2

หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 9

ธนวัติกับพาณิชย์ เดินเข้ามารายงานธานี ที่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะสนามหน้าเต็นท์
“กาซูมันจับไอ้อสุรกายได้แล้วฮะ เห็นว่ามันบาดเจ็บ ต้องพากลับไปรักษาตัวที่ดงผีฟ้า”
ธานีลุกขึ้นถามอย่างเป็นห่วงอุ๊บอิ๊บ
“แล้วยายอุ๊บอิ๊บล่ะ เจอมั้ยวัติ มีใครเจอน้องสาวแกบ้างไหม” น้ำเสียงธานีร้อนรน
ธนวัติอึ้ง แล้วส่ายหน้า
“ยังไม่เจอ เลยครับ ป๊า”
.”คุณอาไม่ต้องห่วงหรอก ยายเด็กดัดจริตนั่นมันไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ”
พาณิชย์พูดอย่างคะนองปาก แล้วหยุดกึก เมื่อเห็นธนวัติกับธานีมองมาเขม่ง พาณิชย์ยิ้มแหยๆ ทำมือล้อเล่นๆ
“ล้อเล่นๆ ... ผมไม่อยากให้เครียดกันน่ะครับ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงศิริโวยวายดังมาจากทางเต็นท์ของศิริ ทั้งสามหันมองแล้วรีบวิ่งไปดู
“ปล่อยฉัน ปล่อย” ศิริโวยวายขึ้นมาอีก
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ” ธานีงง

ภาพที่สามวายร้ายเห็นคือ สุภาพกับอาหลู่พยายามล็อกตัวศิริ ไม่ให้ออกไปจากแค้มป์ อย่างทุลักทุเล
“เฮ้ย ปล่อยสิวะ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง
“รู้เรื่องครับ แต่คราวนี้นายก็ต้องฟังลูกน้องบ้างนะครับ นี่มันดึกแล้ว ขืนออกไปตอนนี้ นายก็ได้เป็นอาหารเสืออาหารงูเท่านั้น” สุภาพวางมาดเข้ม
“จริง แถวนี้น่ะ ดงจงอางเสียด้วยนะนาย” อาหลู่ขู่นิดๆ
“ฉันไม่กลัว ไม่ต้องมาขู่”
ธนวัติ นำพาณิชย์กับธานีเข้ามา
“ลุงศิริ”
จังหวะนั้นศิริรีบสะบัดจากสมุนแล้วตรงไปหาธนวัติ ละล่ำละลักถาม
“วัติ ยายหวีกับยายหวันหายไปไหน ลูกลุงอยู่ที่ไหน”
ธนวัติทำหน้าอึดอัดใจ หันไปมองพาณิชย์กับธานี

ธนวัตินั่งตีหน้าเศร้าอยู่กับธานีและพาณิชย์ เล่าเรื่องเท็จ โกหกเป็นคุ้งเป็นแคว
“ไอ้ดนัยกับชลิตมันให้ลูกพี่มันที่เป็นป่าไม้มาถล่มแค้มป์เรา แล้ว...แล้วก็พาน้องๆ หนีไปอีกแล้วครับ”
“อะไรนะ” ศิริของขึ้นอีกครั้ง!
“พวกผมออกตาม แต่ก็โดนเล่นงานจนต้องกลับมาตั้งหลักนี่แหละครับ” พาณิชย์เสริมให้น่าเชื่อถือ
ศิริสีนิ่งคิด ขมวดคิ้ว
“แล้วทำไมฉันหลับเป็นตาย ไม่รู้เรื่องเลยล่ะ”
“นั่นสิครับ ผมกับอาหลู่ก็หลับ หลับกันยกแค้มป์เลยล่ะครับ”
“ไม่เห็นจะยาก ก็โดนยาสะ... “ พาณิชย์เกือบหลุดคำว่ายาสั่งออกมา
ธานีรีบปิดปากพาณิชย์ไว้ มองจิกไม่ให้พูด
“อย่าพูดเล่นเลยนะหลาน เดี๋ยวจะเสียรูปคดี” ธานีรีบหันไปพูดบิ้วท์กับศิริต่อ “ไอ้วายร้ายสองตัวนั่น มันวางยานอนหลับในอาหาร แล้วก็ถือโอกาสตอนทุกคนหลับ พาหนูหวีหนูหวันหนีไป”
อาหลู่สงสัย
“อ้าว ทำไมเสี่ยกับลูกไม่หลับล่ะ ...อาหลู่เห็นกินกันเกลี้ยงชามเลยนี่”
ธานีกับธนวัติ พาณิชย์อึ้ง ลอบมองหน้ากัน แล้วธานีหัวเราะกลบเกลื่อนเดินเข้ามาตบไหล่อาหลู่
“หึหึหึ แกนี่ช่างสังเกตนะ แต่ไม่ สอ ตอ นอ”
“อะไรอ่ะ” อาหลู่งงอักษรย่อ
“สาระแนต่อเนื่อง ...ฮ่าฮ่าฮ่า แกไม่รู้สิว่า กาซูยอดนายพรานของฉันมันพกยาถอนพิษติดตัว มันเลยช่วยพวกเราให้ฟื้นได้ทันเวลา”
ธนวัติกับพาณิชย์ยกมือไหว้ศิริสร้างภาพแสนดีต่อ
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ปลุกคุณลุงแต่แรก” ธนวัติไหว้
“พวกเราต้องรีบตามไอ้ดนัยกับชลิตกันน่ะฮะ”
ศิริโบกมือไม่ถือ
“ไม่เป็นไร ๆ แค่นี้ก็ขอบใจมากแล้วที่เป็นหูเป็นตาแทนลุง”
สุภาพกับอาหลู่แอบเบ้ปากหมั่นไส้ พ่อลูกและหลานพวกนี้กัน
“ว่าแต่เจอหวีกับหวันตรงไหน ลุงจะรีบไปตามเดี๋ยวนี้” ศิริลุกพรวดขึ้น แล้วเวียนหัวซวนเซจะล้ม
ธนวัติรีบวิ่งเข้ามาประคอง ทำเป็นห่วงเป็นใย
“คุณลุง” ธนวัติร้อง
“โอ้ย ทำไมมันยังไม่หายมึนอีกเนี่ย”
“ผมว่าคุณลุงนอนพักก่อนเถอะนะครับ เรื่องตามหาน้องหวีกับน้องหวันน่ะ เป็นหน้าที่ของผมกับพาณิชย์อยู่แล้ว” ธนวัติบอกเสียงเข้ม
พาณิชย์ตามทันที “เชื่อมือพวกเราเถอะนะครับ ..เราจะต้องหาน้องสองคนจนพบ”
ศิริเบาใจลง พยักหน้ารับ “ขอบใจทุกคนมาก”
“เดี๋ยวผมจะไปหยิบยาให้นะครับ คุณลุงจะได้หลับสบาย”
ธนวัติออกไป แล้วสบตากับธานีกับพาณิชย์อย่างมีเลศนัย
สีหน้าศิริยังไม่สู้ดีนัก และยังคงเป็นห่วงลูกสาวไม่หาย

ด้านชลิตกับดาหวันเดินเข้าป่าอย่างโสลเสลแล้วทรุดนั่งลง อย่างเหนื่อยล้า
“โอ๊ย พอเถอะพี่ชลิต หวันไปไม่ไหวแล้ว”
“พี่ก็เหมือนกัน”
ดาหวันมองไปรอยๆ เสียงร้องโครกครากดังลั่นขึ้นมาทันที ชลิตสะดุ้ง กระโจนหาที่หลบ
“เฮ้ย ฟ้าผ่า!”
ชลิตมุดลงไปซ่อนใต้โพรงต้นไม้อย่างหวาดกลัว ดาหวันมองงงๆ
“เป็นบ้าอะไร ฟ้าที่ไหนผ่า ไม่เห็นมี”
ชลิตงง ค่อยๆ โผล่หน้าออกมา
“อ้าว ก็เมื่อกี้ เสียงอะไร”
ดาหวันเอามือกุมท้อง แล้วบอกอายๆ
“เสียงท้องหวันเอง”
ชลิตอึ้งแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น ก่อนจะหัวเราะออกมา
“โธ่เอ๊ย ร้องดังขนาดนี้ คำรามแข่งกับเสือได้เลยนะอีหนู โอ๊ย”
ดาหวันรีบตบปากชลิตจนร้องลั่น
“จะเรียกหาญาติพี่ทำไม เจอคราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกหรือไง”
ชลิตนึกได้ รีบเอามือปิดปาก ดาหวันมองไปรอบๆ แล้วทำจมูกฟุดฟิด
“พี่ชลิต ได้กลิ่นอะไรไหม”
ดาหวันถามชลิตที่กำลังหันมาทำท่าสูดจมูก แล้วพยักหน้า
“อือ กลิ่นอะไรอ่ะ”
“หอมมากๆ”
ดาหวันก้มดม และตามกลิ่นไปจนมาถึงโคนต้นไม้ใกล้ๆ แล้วหยุดชะงัก เมื่อเห็นเห็ดสีขาวสดกลุ่มใหญ่ผุดขึ้นมาชูช่อน่ากิน ราวกับเป็นเห็ดสวรรค์รอการลิ้มรสอันโอชะจากตัวเอง
“กลิ่นเห็ดพวกนี้แน่ๆ”
ดาหวันก้มลงสูดกลิ่น แล้วตาลอยคว้างเหมือนตกอยู่ในภวังค์ โดยไม่รู้ว่ามันคือเห็ดเมาที่พอได้ดมกลิ่นก็เริ่มเมาทันที ดาหวันพูดแบบยานคาง อาการเหมือนเริ่มเมา
“โอ๊ย หวันหิว”
ดาหวันทรุดลงกับพื้นแ ล้วดึงเห็ดมากินทันที ชลิตตกใจ รีบเข้าไปห้าม
“เฮ้ยหวัน กินเข้าไปได้ยังไง เห็ดเมาหรือเปล่าไม่รู้”
ดาหวันเคี้ยวเห็ดเต็มปาก แล้วยื่นดอกนึงให้ชลิต
“แต่มันหอมจริงๆ นะพี่ชลิต อร่อยด้วย” ดาหวันพูดเสียงยานคาง
ชลิตสูดกลิ่นเห็ดเข้าไป แล้วเริ่มตาลอยบ้าง พูดเสียงยานคางขึ้นมาบ้าง
“จริงด้วย หอมเป็นบ้าเลย”
ชลิตก้มลงเด็ดเห็ดขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย กันอยู่สองคนอย่างไม่ได้สติ

ส่วนวินยาเดินนำดนัยกับฉวีวรรณเข้ามาในอาณาเขตของเผ่า ดนัยเหลียวหน้าหลังมองดู แปลกตา
“นี่หรือ หมู่บ้านชาวชาลัน”
วินยาพยักหน้ารับ แล้วชี้ไปทางหนึ่ง
“บ้านฉันอยู่ตรงนั้น คืนนี้พักอยู่กับฉันก็แล้วกัน”

วินยาเดินนำทั้งสองไปบ้านขนาดใหญ่กว่ากระท่อมรอบๆ บ่งบอกให้เห็นว่าเป็นที่พักของผู้นำ
มีหญิงชาวบ้าน 2 คนเดินเข้ามาต้อนรับ วินยาเรียกพลางบอก
“ซูนิ มีฟา หาหมอนกับผ้าห่ม แล้วก็เสื้อผ้าให้ด้วยนะ สองคนนี้จะมาพักกับฉัน”
“จ้า นายน้อย”
ทั้งสองย่อตัวลงนิดหนึ่งเหมือนทำความเคารพ แล้วเดินกลับเข้าไปตามวินยาสั่ง
ฉวีวรรณเห็นอาการของหญิงทั้งสอง ก็มองอย่างสงสัย “อย่าบอกนะว่า เธอเป็นหัวหน้าเผ่าที่นี่??”
“ใช่ นายน้อยเป็นนายของที่นี่” เสียงสางโปดังขึ้น โดยเน้นคำว่านายชัดเจน
ดนัยกับฉวีวรรณชะงัก สางโปเดินออกมา สีหน้าเรียบเฉย วินยารีบแนะนำ
“สางโป นี่ดนัยกับฉวีวรรณ เพื่อนที่ฉันเล่าให้ฟัง”
วินยาเองก็จงใจเน้นคำว่าเพื่อน บ่งบอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อไม่ให้สางโปคัดค้าน แล้วหันไปพูดกับดนัยและฉวีวรรณ
“นี่สางโป เป็นผู้อาวุโสของเผ่า แล้วก็เป็นที่ปรึกษาของฉันด้วย”
ดนัยกับฉวีวรรณยิ้มให้สางโป ทำท่าจะยกมือไหว้แล้วนึกได้ว่าไม่ใช่วิธีการทำความเคารพของชาวเผ่า เลยเปลี่ยนเป็นก้มหัวให้นิดๆ อย่างเขินๆ
“นายน้อยจะให้เขาพักที่นี่เหรอ”
“ใช่ กาซูกำลังตามล่าเขาสองคนอยู่”
วินยาเดินนำดนัยและฉวีวรรณขึ้นบนบ้าน สางโปถอยหลีกทางให้แล้วมองตาม

ครู่ต่อมาสางโปเดินไปที่โต๊ะบูชา แล้วเปิดฝาโถหยิบอะไรบางอย่างออกมา คล้ายๆ หมากพลู แล้วเอามาส่งให้ดนัยกับฉวีวรรณ
“กินซะ” สางโปบอกเสียงเรียบ
“อะไรเหรอครับ” ดนัยสงสัย
“หมากทิพย์ เจ้าสองคนเอาไปเคี้ยวคนละคำ มันจะช่วยพรางตัวพวกเจ้า ไม่ให้ญาณของไอ้กาซูหาพบ”
ดนัยรับหมากมาจากสางโปแล้วส่งให้ฉวีวรรณ ทั้งสองมองอย่างไม่กล้ากิน
“กินเข้าไปเถอะ รสชาติก็เหมือนยาลูกกลอนนั่นแหละ” วินยารู้ทันจึงรีบบอก
ดนัยตัดใจเอาใส่ปากแล้วเคี้ยว แล้วเบ้หน้าเพราะรสชาติขมปี๋
“เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนลงคอ เจ้าก็ทำสิ” สางโป หันมาดุฉวีวรรณที่รีๆ รอๆ
“เอ่อ ค่ะๆ”
ฉวีวรรณเอาใส่ปาก แล้วทำหน้าผะอืดผะอม
“มันทำด้วยอะไรเนี่ย ทำไมรสชาติเป็นอย่างนี้”
วินยาทำหน้าเหมือนไม่อยากพูดเลยหันไปมองสางโป สางโปพูดหน้าตาเฉย
“ใบพลู เปลือกไม้ แล้วก็หางจิ้งจก” สางโปบอกหน้าตาเฉย
ดนัยกับฉวีวรรณทำท่าจะขย้อนออกมา วินยารีบพูดดักคอ
“อย่าคายออกมานะ เดี๋ยวมันไม่ออกฤทธิ์ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนไปเลย”
ดนัยกับฉวีวรรณเบ้หน้า กลืนอย่างทรมาน สางโปฉุน เพราะจะช่วยแต่สองคนไม่ทำตามจึงเยาะขึ้น
“จะคายก็ได้ แต่ถ้าไอ้กาซูมันพาคนมาชิงตัวพวกเจ้า ข้าไม่รู้ด้วย”
ดนัยกับฉวีวรรณกลัว จำใจต้องเคี้ยวเอื้อง สีหน้าทรมานอยากอาเจียนเต็มที่...แต่ไม่กล้า

ครู่ต่อมาไม่นานหลังจากนั้น ดนัยกับฉวีวรรณแย่งกันตักน้ำในโอ่งดินเผา กลั้วคอ บ้วนปาก ด้วยความสะอิดสะเอียน วินยาเดินออกมาเห็นเข้า มองทั้งสองยิ้มๆ
“บ้วนปากยังไงมันก็ไม่ออกหรอก เดี๋ยวก็ชิน”
ดนัยกับฉวีวรรณเซ็ง หันมา
“แล้วทำไมเธอไม่เห็นต้องกินเลย หลอกอะไรฉันหรือเปล่าเนี่ย” ดนัยบ่น
“พวกฉันมีคาถาส่วนตัวอยู่แล้ว กาซูทำอะไรเราไม่ได้ แต่คนนอกเผ่าอย่างพวกเธอต้องปกป้องตัวเอง”
วินยากับฉวีวรรณจ๋อยๆ วินยายื่นผ้าห่มหมอนให้ดนัย
“อ้ะ เธอนอนข้างนอกได้ใช่ไหม ฉันจะให้ฉวีวรรณเข้าไปนอนข้างใน”
ดนัยพยักหน้าพลางบอก “ขอบใจนะ”
ดนัยเอื้อมมือมารับของ วินยาหันมาบอกฉวีวรรณ
“ตามฉันมาสิ จะพาไปดูห้อง”

ฉวีวรรณเดินตามวินยาเข้ามาในห้อง กวาดตามองเห็นสภาพห้องของวินยาเป็นห้องที่ตกแต่งไว้อย่างดี มีความเป็นพื้นเมืองผสมกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ บ่งบอกให้รู้ว่าวินยาเป็นคนค่อนข้างหัวสมัยใหม่ แต่ก็ยังยึดติดกับรากเหง้าของตัวเองอยู่
“นี่ๆๆ แถวนี้มียุงหรือเปล่า”
“อยู่ในนี้ไม่ต้องกลัวยุงหรอก”
ฉวีวรรณอึกอัก เป็นห่วงดนัย ตัดสินใจถาม
“ฉันหมายถึงถ้านอนข้างนอก ยุงจะกัดหรือเปล่า”
วินยาพาซื่อยังไม่เก็ท “เธออยากนอนข้างนอกเหรอ”
“ไม่ใช่”
ฉวีวรรณทำหน้ายุ่งที่วินยาไม่เก็ท เลยตัดสินใจสารภาพ
“ฉันหมายถึงนายดนัยน่ะ เขาจะโดนยุงกัดหรือเปล่า ฉันได้ยินว่าในป่าชอบมีไข้มาลาเรียระบาด”
วินยามองฉวีวรรณ ฉวีวรรณร้อนตัวขึ้นมา รีบออกตัว
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงนายนั่นหรอกนะ ฉันแค่ถามเป็นไข้ซะก็ดี จะได้หายซ่า” ฉวีวรรณแกล้งพูดกลบเกลื่อน
วินยางงหนักกว่าเดิม
“เธอนี่แปลกๆ นะ อยู่ๆ ก็แช่งให้คนอื่นไม่สบาย”
ฉวีวรรณหน้าม้าน รู้สึกตัวว่าพูดเกินไป รีบเอามือปิดปาก วินยาไม่สนใจ เดินไปค้นเปลือกไม้ หยิบใส่ถาดแล้วเดินออกไป

ในขณะนั้นดนัยนั่งเหม่ออยู่ด้านนอก วินยาถือถาดใส่เปลือกไม้กันยุงเข้ามาร้องเรียก
“ดนัย”
ดนัยสะดุ้งหันมา วินยายิ้มอย่างเป็นมิตร
“ฉันเอายากันยุงมาให้ ดึกๆ แล้วยุงจะชุมน่ะ”
“เอ่อ ขอบใจนะ”
วินยายิ้มให้บางๆ แล้วจุดไฟใส่เปลือกไม้ให้แล้วหันมาทัก
“ทำไมไม่นอนล่ะ ยังไม่ง่วงเหรอ”
“แปลกที่น่ะ เลยนอนไม่ค่อยหลับ”
“งั้นนั่งคุยเป็นเพื่อนฉันก่อนนะ ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
วินยานั่งลงข้างๆ ดนัยอย่างไม่ถือตัว ดูจากอาการแล้ววินยาไม่ได้อ่อย แต่ถูกชะตากับดนัย และแอบชอบอยู่ลึกๆ ภายในใจ

ทั้งคู่คุยกัน โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง ฉวีวรรณแง้มประตูห้องชะเง้อมองออกมา เห็นดนัยกับวินยานั่งคุยกันสนิทสนม แต่ไม่ได้ยินเสียง ฉวีวรรณลืมตัวแสดงอาการหึงออกมา
“ฮึ ถือโอกาสนะยัยวินยา ทำดีเอาหน้า”
ฉวีวรรณชะเง้อมองอย่างสอดรู้สอดเห็น แล้วจู่ๆ ก็เสียหลักถลามาข้างหน้าล้มโครม ดนัยกับวินยาหันขวับมาเห็นฉวีวรรณล้มลงกับพื้นก็ตกใจ ฉวีวรรณรีบลุกขึ้นแก้ตัว
“เอ่อ ไม่มีอะไร ฉัน..ฉันแค่ออกมารับลมน่ะ” ฉวีวรรณเห็นทั้งสองยังมองมาแบบงงๆ เลยตะกุกตะกัก “ก็...
คุย...คุยกันต่อไปสิ ฉันไปนอนล่ะ” แล้วรีบผลุบเข้าห้องไปทันที
“อะไรของเขา”
ดนัยงง ในขณะที่วินยามองตามฉวีวรรณแล้วอมยิ้มรู้ทัน

ชลิตกับดาหวันยังจ่อมจมอยู่ที่เดิมตรงดงเห็ดเมา สภาพของทั้งคู่ตอนนี้หน้าแดง ตาแดงก่ำา เมาเห็ดกันเต็มที่ แต่ยังควักเห็ดมากินไม่หยุด
ชลิตพยายามมีสติ แต่ยังเมาอยู่ “หยุด! หยุดได้แล้ว นี่มันเห็ดเมาชัดๆ”
ชลิตเข้าไปยื้อแย่งเห็ดที่ดาหวันหยิบกิน แต่ดาหวันไม่ยอมให้
“เมาก็เมาสิ หวันอยากเมา อยากมีความสุข ฮ่าๆๆๆ”
“เฮ้ย ยายหวัน”
ชลิตไปแย่งเห็ดจากมือดาหวันมา แต่พอมาใกล้จมูกได้กลิ่นก็น้ำลายสออีก
“เอาวะ เมาก็เมา ลองเมากันดูซั้กตั้ง ฮ่าๆๆๆ
“ใช่ เมาเลยๆๆๆ”
ดาหวันตบมือเชียร์ ชลิตหยิบเห็ดมาหย่อนใส่ปาก กินง่ำๆ อย่างอร่อยลืมโลก ชลิตเรอเอิ้กตาลอยคว้าง เมาหนักกว่าเดิม
“โอ๊ย ร้อน ทำไมร้อนอย่างนี้เนี่ย”
ชลิตมีอาการกระสับกระส่าย พลางถอดเสื้อตัวนอกออก ออกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี เหลือแต่เสื้อกล้าม
ดาหวันหัวเราะชอบใจ ส่งเสียงเชียร์
“ถอดเลยๆๆ หวันก็ร้อนเหมือนกัน”
ดาหวันปลดกระดุมเสื้อของตัวเองบ้าง ชลิตมัวแต่เมาอยู่เลยไม่มีสติจะห้าม พอถอดเสื้อตัวเองออกเสร็จก็นอนแผ่หลับไปเลย ดาหวันกระสับกระส่าย โยนเสื้อตัวเองทิ้ง เหลือแต่เสื้อสายเดี่ยวตัวใน
“พี่ชลิต หลับแล้วเหรอ อย่าเพิ่งสิ พี่ชลิตอ่ะ” ดาหวันตะโกนเรียกอย่างขัดใจ
ดาหวันเขย่าตัวชลิตเท่าไรก็ไม่ตื่น เลยหันมากินเห็ดต่อ
“กินคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นง้อเลย ดี จะกินให้หมดเลย ฮิๆๆๆ”
ดาหวันกินเห็ดแล้วหัวเราะคิกคัก เมาอยู่คนเดียว

อุ๊บอิ๊บเดินบุกป่าฝ่าดงมาอย่างเหนื่อยอ่อน สภาพทรุดโทรม เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน
“ฉันอยู่ตรงไหนของป่าแล้วเนี่ย”
อุ๊บอิ๊บหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาลองกดหาสัญญาณ แต่ไม่มีสัญญาณ
“โอ๊ย สัญญาณก็ไม่มี”
อุ๊บอิ๊บจะปาโทรศัพท์ทิ้งอย่างหงุดหงิด แต่ยั้งไว้เพราะเสียดายของ ได้แต่มองไปรอบๆ ร้องตะโกน
“ป๊า! พี่วัติ! พี่พาณิชย์ อยู่ไหนกันน่ะ มาช่วยอุ๊บอิ๊บด้วย ป๊า.....”
อุ๊บอิ๊บป้องปากตะโกนก้องไปทั้งป่า ดังกังวาน แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงัดไม่มี สรรพเสียงใดๆ ตอบกลับมา อุ๊บอิ๊บกระทืบเท้า อย่างอารมณ์เสีย
“บ้าจริง แถวนี้มันจะไม่มีคนสักคนเลยหรือไง ฮ้า”
อุ๊บอิ๊บซอยเท้าฉับๆ ออกไปอีกทางหนึ่ง

อุ๊บอิ๊บเดินฝ่าดงไม้ป่าเข้ามาตรงที่ชลิตกับดาหวันสลบอยู่ แล้วชะงักตาค้าง
“อุ้ย แม่เจ้า!!! นี่มันยายดาเน่ากับพี่ชลิตนี่”
ภาพที่อุ๊บอิ๊บเห็นตรงหน้า ชลิตกับดาหวัน นอนหลับสนิทสบายอารมณ์ กันอยู่คนละมุม เนื้อตัวของทั้งสองใส่แค่เสื้อตัวในตัวเดียวด้วยกันทั้งคู่ อุ๊บอิ๊บขยี้ตาตัวเอง ตบแก้ม แล้วเบิ่งตามองอีกที
“ภาพเป๊ะเหมือนเดิม ไม่ได้ฝันไปแน่ๆ”
อุ๊บอิ๊บก้าวฉับๆ ไปที่ดาหวัน เห็นว่าที่ปากดาหวันยังกัดเห็ดเมาคาปากอยู่ดอกหนึ่ง อุ๊บอิ๊บมองแล้วยี้ พร้อมกับแสยะปาก
“หลับทั้งอาหารคาปาก เสื่อมมาก!! ...ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงจริ๊ง ว่าพี่ดนัยมาชอบผู้หญิงปลวกๆ อย่างเธอได้ยังไง”
อุ๊บอิ๊บค้อนขวับแล้วตรงไปดูที่ชลิตนอน
“นี่ก็เหมือนกัน อยู่ดีไม่ว่าดี ดันมาหลงป่ากับยายดาเน่า...สมน้ำหน้า ฮิฮิ”
จู่ๆ ชลิตก็ละเมอ แล้วหันมาจะก่ายอุ๊บอิ๊บ
“ผมไม่มาว”
อุ๊บอิ๊บตกใจกริ๊ด แล้วทุบๆ ชลิต หงายกลับ หลับไปเหมือนเดิม อุ๊บอิ๊บหอบตกใจ มองชลิต
“อี๋ หลับแล้วยังรั่วอีก ความจริงผู้ชายหลุดๆ อย่างคุณพี่ก็เหมาะสมกับผู้หญิงกากๆ อย่างยายดาเน่าเหมือนกันนะ”
อุ๊บอิ๊บหันจะเดินไป แล้วชะงักสะดุดหูกับสิ่งที่ตัวเองพูดไป นึกแผนขึ้นมาได้แล้วดีดนิ้วอย่างดีใจ
“เก็ทแล้ว! งานนี้พี่ดนัยต้องเลิกกับนังดาเน่าแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

อุ๊บอิ๊บกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจ เห็นแต่หน้าดนัยลอยมาใกล้ๆ

อ่านต่อหน้า 3





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 9 (ต่อ)

ที่บ้านวินยาภายในหมู่บ้านชาลัน ฉวีวรรณอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จ สวมใส่ชุดพื้นเมืองเดินออกมาจากในห้อง แล้วมองเห็นชายในชุดชาวเขากวาดลานหน้าบ้านอยู่ก็ชะเง้อมอง ไม่รู้จะเรียกยังไงดี

“เอ้อ พี่คะ”
ชายชาวเขาหันกลับมา ที่แท้เป็นดนัยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เหมือนกัน ฉวีวรรณมองแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่
“นี่นายเองเหรอ ฉันนึกว่าเป็นคนที่นี่ซะอีก”
“ขอบใจที่ชมว่าฉันน่ารัก”
ฉวีวรรณเบ้ปาก วางฟอร์ม
“ไม่ได้ชมซะหน่อย คิดไปเอง”
“งั้นฉันชมเธอเองก็ได้ แต่งตัวอย่างนี้แล้วน่ารักดีนะ”
ดนัยมองทั่วทั้งตัว ฉวีวรรณเขินๆ ยิ่งพอเห็นสายตากรุ้มกริ่มของดนัยหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวๆ
“ฉันหิวข้าว ฉันจะไปตามหาวินยาล่ะ”
“ไม่ต้อง วินยาให้ฉันพาเธอไปทานข้าว”
จังหวะนั้นดนัยคว้าแขนฉวีวรรณทันที แล้วดึงไป ฉวีวรรณเขินๆ ขืนตัวไว้ไม่ยอมไปด้วย
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ปล่อย ฉันไปเองได้”
ฉวีวรรณจะดึงมือคืน แต่ดนัยไม่ยอมปล่อยมือ แถมดนัยยังมองสบตาฉวีวรรณอีก
“รู้..ว่าเธอเดินได้ ...แต่ฉันอยากให้ เรา เดินไปด้วยกัน”
ดนัยยิ้มหล่อละลายใจ ใส่ฉวีวรรณ ทำให้ฉวีวรรณ ยิ่งหัวใจพองโต เขินหนักกว่าเดิม
ดนัยจับมือฉวีวรรณ คราวนี้เธอไม่ขัดขืน ดึงพากันวิ่งออกไป ราวกับเป็นคู่รักกัน

อุ๊บอิ๊บจับศรีษะของดาหวันซึ่งมีเพียงเสื้อสายเดี่ยวตัวเดียว ให้แนบลงไปกับอกของชลิต ขณะที่ชลิตก็ถอดเสื้อเปลือยอก แต่ไม่ต้องให้โชว์แผงอกอะไรมากมาย เพราะมีศีรษะของดาหวันซบปิดอยู่
อุ๊บอิ๊บมองผลงานตัวเองอมยิ้มอย่างสะใจ
“แค่นี้ก็เรียบร้อย หึหึ ฉันอยากจะรู้นัก เวลาว่าที่พี่เขยกับคุณน้องแฟน ตื่นขึ้นมาป๊ะกันแฮ๋มแล้วจะเป็นยังไง ฮิฮิฮิ คงสนุกพิลึกละ”
อุ๊บอิ๊บหยิบเสื้อตัวนอกของชลิตกับ ดาหวัน เหวี่ยงๆ โยนๆ ไปให้ดูถูกถอดโยนกองสร้างบรรยากาศ
อุ๊บอิ๊บจัดการเอามือถือขึ้นมากดถ่ายรูปชลิตกับดาหวัน ไว้สำหรับแบล็กเมล หลายเหลี่ยมหลายมุม อย่างสนุกสนานและเมามัน

ทางด้านดนัยพาฉวีวรรณนั่งลงที่แคร่ใต้ต้นไม้ ที่ตั้งสำรับ(ที่มีใบตอง หรือใบไม้ใบใหญ่ๆวางรองอาหาร,อาหารบ้านๆ หมกหน่อไม้,เนื้อย่าง,มันเผือกปิ้งอะไรประมาณนี้ ) รอไว้แล้วในบรรยากาศร่มรื่น
“แล้ววินยาละ”
“เขาขอตัวไปทำงาน ให้เรากินกันไปเลย อ้อ วินยาบอกว่าเดี๋ยวมื้อเย็นจะเลี้ยงต้อนรับเราด้วยนะ เขาสั่ง
ให้คนไปหาอาหารแปลกๆ มาให้กิน”
ฉวีวรรณทำหน้าหวาดเสียว แล้วมองอาหารในถาด
“อาหารแปลกๆ อีกแล้วเหรอ แล้วนี่อะไรเนี่ย”
“ไม่รู้ กินๆ ไปเถอะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”
ดนัยพูดพลางหยิบ เนื้อย่าง ในสำรับมากิน โดยใช้มือเปิบกิน ฉวีวรรณมอง
“ถ้าเกิดเป็นเนื้องู กิ้งก่าขึ้นมาจะว่าไง”
“เขากินแล้วไม่ตาย ก็แปลว่าเรากินได้เหมือนกันแหละน่า”
ดนัยพูดอย่างไม่อินังขังขอบ แล้วกินอย่างอร่อย ฉวีวรรณหมั่นไส้
“แหม ปรับตัวได้เร็วเชียวนะ เมื่อคืนคงจะคุยกันถูกคอ”
ดนัยชะงัก เหลือบขึ้นมองฉวีวรรณอย่างแปลกใจ แล้วตอบซื่อๆ
“ก็คุยเกือบถึงเช้านั่นแหละ ฉันว่าวินยาเขาเป็นหัวหน้าเผ่าที่มีวิสัยทัศน์ดีนะ เธอคงไม่รู้ว่าเขาเข้าไปเรียน
ในเมืองด้วย ตอนนี้ก็เรียนปริญญาตรีทางไกลอยู่ เก่งมากเลย”
ดนัยพูดไปเรื่อยด้วยความชื่นชม ฉวีวรรณฟังแล้วยิ่งรู้สึกขวางหู กินไม่ลง
“อิ่มดีกว่า ไม่เห็นอร่อยเลย”
ฉวีวรรณล้างมือที่อ่างสำหรับล้างมือ แล้วทำเชิดเบือนหน้าหนีจากสำรับ
“อ้าว ซะงั้น ...หวี เธอเป็นอะไรของเธอน่ะ”
ดนัยมองตามไปงงๆ ไม่เข้าใจ แล้วค่อย หันมากินข้าวต่อ

ชลิตงัวเงียรู้สึกตัวขึ้นมา ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ลุกไม่สำเร็จเพราะดาหวันนอนซบอกอยู่ ชลิตงัวเงียมองดาหวันแล้วสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อ ในขณะที่ดาหวันเหลือแต่เสื้อสายเดี่ยว
“เย้ย”
ชลิตร้องลั่น หายง่วง รีบผละออกจากดาหวันทันที รีบเอาเสื้อมาปิดพันอกตัวเอง ดาหวันเลยงัวเงียตื่นขึ้นอีกคน
“โอ๊ย อะไรเล่า”
“เธอ ! เธอทำอะไรฉันยายหวัน”
“อาราย” ดาหวันตาปรือ
“ธ...เธอ เธอปล้ำฉัน”
ชลิตปากคอสั่น ละล่ำละลักพลางชี้มาทางดาหวันมือไม้สั่น ดาหวันงงๆ แล้วก้มมองตัวเอง ก่อนจะกรี๊ดออกมา
“ว้าย ! ทำไมเป็นงี้ล่ะ”
ดาหวันรีบเอามือกอดอกไว้ ร้องกรี๊ดออกมาอีก

ไกลออกมาจากแถว แต่ไม่ไกลมากนัก อุ๊บอิ๊บซุ่มที่พุ่มไม้ ถ่ายคลิปวิดิโอดาหวันกับชลิตอยู่ อย่างสะใจ มีความสุข
“ภาพนิ่งไปแล้ว คราวนี้เป็นคลิปล่ะจ้า ฮิฮิฮิ จัดไป อย่าให้เสีย”
อุ๊บอิ๊บถ่ายคลิปอย่างเมามัน แต่จะไม่ได้ยินเสียงเพราะอยู่ไกลจากทั้งคู่

ดาหวันตะกายไปคว้าเสื้อมาปิดหน้าอกไว้ ชลิตเองเอามือหนึ่งจับเสื้อปิดหน้าอก อีกมือชี้ต่อว่า ดาหวัน
ชลิตโวยวายใส่ทันทีด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ แล้วทั้งคู่ก็ต่างโทษกันไปมา
“เธอ! เธอพรากพรหมจรรย์ของฉัน”
“อ๊าย อีตาบ้าพูดมาได้ยังไง หวันต่างหากที่ถูกผู้ชายใจทรามอย่างพี่ข่มเหงรังแก”
“ฉันไม่ได้ทำ ถ้าทำฉันก็ต้องจำได้สิ”
“หวันก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน”
“ไม่ได้ทำแล้วทำไมเราถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้”
“เมื่อคืนหวันก็จำอะไรไม่ได้เลย พอกินเห็ดไปก็...”
ชลิตนึกไปก็โวยวายต่อ
“ใช่ๆ ต้องเป็นเห็ดเมื่อคืนนี่แน่ๆ พอฉันเมาเธอก็เคลมฉัน”
ดาหวันชักจะเหลือในอาการพารานอยด์ของชลิต
“อ๊าย ช่างกล้า ไอ้บ้าทุเรศ ต่อให้เหลือพี่เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกหวันก็ไม่มีวันสนผู้ชายอุบาทว์ๆ พี่หรอก
ไอ้ชั่วไอ้เลว ไอ้เล็บขบ”
ดาหวันเข้าไปทุบตีชลิต ไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย เจ็บนะ เจ็บๆๆ เบาๆ อย่าทำพี่”
ชลิตแค่หลบๆ ไม่โต้ตอบ จนกระทั่ง ดาหวันทำเสื้อที่ถือปิดอกไว้หลุด ดาหวันร้องตกใจ เลยผลักชลิตล้มลงไปกับพื้น
“อ๊าย...”
นาทีนั้นใบหน้าของดาหวันก็ก้มลงมา แล้วจูบลงที่แก้มติดมุมปากของชลิต เหมือนทั้งคู่กำลังจูบกัน
ทั้งสองตะลึงตาโต มองหน้ากันสยิวกิ้ว

อุ๊บอิ๊บที่ยังถ่ายคลิปอยู่ ตะลึงตาค้างไปด้วย เผลอกรี๊ดออกมา
“อ๊าย...” นึกขึ้นได้ก็รีบตะครุบปากตัวเองไม่ให้ร้องเสียงดัง มือถือร่วง มือไม้สั่น
“โอ้โน! อิจชี่อกจิแตก มี คิส..คิส.ด้วยอ่ะ”
อุ๊บอิ๊บยกนิ้วแตะปากตัวเอง เขินไปด้วย พออุ๊บอิ๊บรู้สึกตัว รีบควานหามือถือขึ้นมาถ่ายต่อ
“ไม่ได้ ๆ ต้องถ่ายต่อ เด็ดมวาก... สวดยอดเลย ดาเน่าเอ๊ย...คราวนี้แกเละเป็นโจ๊กแน่ ฉันจะเอาคลิปอันนี้ ไว้แฉแกกับพี่ชลิต ว่าแกสองคน ชิงสุกก่อนห่าม แอบมากกกันอยู่ในป่า”
อุ๊บอิ๊บหยิบมือถือมากดถ่ายคลิปต่อราวกับปาปารัซซี่

ครั้นพอดาหวันรู้สึกตัว รีบดึงตัวขึ้นมาลุกเดินหนี ชลิตรีบลุกตามขึ้นมาแล้วรีบหยิบเสื้อกล้ามใส่ แล้ววิ่งตามไป
“หวัน เดี๋ยวก่อน”
ชลิตเข้าไปดึงแขนดาหวัน แต่ดาหวันสะบัดไม่ยอมคุย
“เอ๊ะ พี่ชลิต ปล่อยนะ”
“เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน”
“หวันไม่มีอะไรต้องคุยกับพี่แล้ว ปล่อยนะ อย่านึกว่าจะมาปล้ำกันง่ายๆ”
ดาหวันดิ้นไปดิ้นมา ชลิตเลยดึงเข้ามากอดปะทะอก
“ไม่ว่าใครจะปล้ำใคร ยังไงตอนนี้เราก็เป็นคนคนเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
ดาหวันอึ้งไปเลย แล้วค่อยพูดขึ้น เขินๆ
“นี่มันเรื่องจริง เหรอ ที่เราสองคน ....”
ดาหวันไม่กล้าพูดต่อ ชลิตพยักหน้ารับ
“ใช่...พี่ต้องเสียความหนุ่มแน่นให้หวันไปแล้ว”
ดาหวันกัดปาก แล้วยื่นหน้าใส่ชลิต ทำขู่
“อีตาบ้า ถ้าขืนยังพูดเล่นอีกคำเดียว หวันจะฆ่าพี่หมกป่าตรงนี้แหละ”
ชลิตไม่กลัวแถมยังยิ้มๆ “โหดจริงๆ เลยเธอนี่”
“เออสิ หวันพูดจริงทำจริง แล้วห้ามปากสว่างไปบอกใครด้วยล่ะ”
“หึ กลัวไอ้ดนัยรู้ล่ะสิ” ชลิตว่า
“แล้วพี่ไม่กลัว พี่หวีรู้หรือไง” ดาหวันเอาคืน
ต่างคนต่างอึ้ง มองตากันยากอธิบาย กลัวก็กลัว แต่ก็แอบมีใจให้กันทั้งคู่ ดาหวันใจหายเหมือนกัน หลุบตาลง แล้วค่อยตัดสินใจพูดขึ้น
“เราสองคนก็ต่างไม่อยากสูญเสียคนที่ตัวเองรัก เพราะฉะนั้น นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว รูดปากให้สนิทซะ แล้วถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้คิดว่า เรื่องเมื่อคืน มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็แล้วกัน”
ทั้งสองมองสบตากัน ด้วยความรู้สึกใจหาย เจ็บแปลบในอก สีหน้าเศร้าทั้งสองคน
จังหวะนั้นดาหวันผลักชลิตออกไปแล้ววิ่งออกไปเลย ชลิตเซไปหน่อย แล้วตั้งตัวขึ้นมา มองตามดาหวัน อย่างเป็นห่วง
“หวัน..”
ชลิต วิ่งตามดาหวันออกไป

ชลิตวิ่งตามหาดาหวันไปทั่ว แต่มองไม่เห็นไม่รู้ว่าหายตัวไปไหนแล้ว ชลิตเหลียวซ้ายแลขวาอย่างเป็นห่วง แล้วตะโกนเรียกออกมา
“หวัน”
ชลิตเหลียววิ่งไปตามทาง จังหวะหนึ่งเขาวิ่งผ่านดาหวันที่กำลังยืนพิงต้นไม้ น้ำตาไหล ร้องไห้อยู่
ซึ่งดาหวันยืนแอบตรงมุมต้นไม้ ชลิตไม่เห็น ดาหวันมองตามชลิตที่วิ่งไป น้ำตาคลอเบ้าไหลเป็นสาย ด้วยความสับสน ปวดใจกับรักที่แก้ไม่ตก

ชลิตวิ่งมาตามหาดาหวันไม่เจอ ชลิตหันไปทุบโขดหินตรงหน้าอย่างอัดอั้นไม่รู้จะทำยังไง แล้วร้องตะโกนลั่น ระบายความรู้สึก ชลิตพิงโขดหินริมน้ำตก เหม่อเศร้าไปด้วยเช่นกัน พร้อมๆ กับนึกถึงเนื้อเพลงรักช้ำขึ้นมาอีก

วินยาเดินไปเปิดประตูให้ดนัยกับฉวีวรรณ แล้วหลีกทางให้
“เข้ามาสิ”
ดนัยกับฉวีวรรณเดินเข้ามา แล้วมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ เพราะห้องทำงานของวินยาเป็นห้องที่มีอุปกรณ์ทันสมัยพอสมควรอย่างเช่น โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ ตู้หนังสือ แต่ยังรักษากลิ่นไอมีความเป็นชาวเขาพื้นเมืองอยู่ด้วย ไม่ให้ทันสมัยมากเกินไป บ่งบอกว่าว่าวินยาเป็นคนฉลาด มีการศึกษา แต่ก็ยังยึดมั่นกับรากเหง้าดั้งเดิมของตัวเอง
ฉวีวรรณโอ้โห เธอมีอินเตอร์เน็ตด้วยเหรอ
-วินยาหันมายิ้มอย่างเข้าใจ
“เธอคิดว่าชาวเขาจะต้องอยู่หลังเขา ห่างไกลจากความเจริญทุกอย่างใช่ไหม”
ฉวีวรรณตกใจรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ๆ คือฉันไม่นึกว่าเธอต้องใช้”
“ก็บอกแล้วว่าวินยาเขาเรียนทางไกล” ดนัยว่า
“ใช่ สมัยนี้มันเป็นโลกข่าวสาร ฉันไม่อยากให้เผ่านี้ขาดการติดต่อกับภายนอกมากเกินไป เดี๋ยวจะตาม
สังคมเมืองไม่ทัน”
ดนัยมองวินยาอย่างชื่นชม
“แล้วมีอะไรจะให้ฉันช่วยเหรอ
วินยานึกธุระขึ้นมาได้
“อ๋อ พอดีฉันกำลังจะสอบวิชาสถิติ เมื่อคืนเธอบอกว่าเคยเรียนมา ก็เลยอยากให้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย”
ดนัยทำท่าทางอวดความรู้ “อ๋อ ได้เลย ฉันได้เอนะ”
ดนัยรีบคว้าเก้าอี้มานั่งข้างๆ วินยา ขณะที่วินยารีบเปิดตำราให้ดูอย่างกระตือรือร้น แล้วเริ่มคุยกันสองคนอย่างสนิทสนม ฉวีวรรณยืนเคว้ง รู้สึกตัวเองเป็นส่วนเกินขึ้นมาทันที แต่แล้วก็มีเสียงเคาะที่หน้าประตู ก่อนที่สางโปจะเปิดประตูเข้ามา
“มีอะไรเหรอสางโป”
“มีเด็กสามคนหลงป่ามาถึงหน้าหมู่บ้านเรา” สางโปมองไปทางดนัยกับฉวีวรรณ “แต่งเนื้อแต่งตัวคล้ายๆ
กับสองคนนี่ ไม่รู้ว่าใช่พวกเดียวกันหรือเปล่า”
ดนัยกับฉวีวรรณมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น
สามเกลอ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง ถูกคุมตัวเข้ามาเหมือนนักโทษ มาที่หน้าบ้านของวินยา มีชาวชาลันติดอาวุธสองคนประกบทั้งสามอยู่ในอาการหวาดผวา
“จะพาพวกเราไปไหนคะ อย่าฆ่าพวกเราเลยนะคะ ไหว้ล่ะๆ”
“อยากได้อะไร พวกเราจะยกให้หมดเลยครับ สร้อย แหวน นาฬิกา หรือจะเอากางเกงตัวนี้ผมก็ยกให้
อย่าทำอะไรเราเลยนะครับ”
จังหวะนั้นเอง ดนัยกับฉวีวรรณเดินเข้ามาพร้อมกับวินยาและสางโป
“แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง!” ฉวีวรรณร้องออกมา
แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง เพ่งมองดนัยและฉวีวรรณอย่างแปลกใจ งงๆ เล็กน้อย เพราะเวลานี้ดนัยกับฉวีวรรณใส่ชุดพื้นเมือง บุญทิ้งอดไม่ไหวหันมากระซิบแจ๋และกิมจิ
“ชาวเขาสองคนนี้หน้าคล้ายๆ คุณดนัยกับคุณฉวีวรรณเลยนะครับ”
กิมจิศอกใส่บุญทิ้ง จุก
“ไอ้มหาติ๊งต๊อง! ก็นั่นมันยายหวีกับดนัยน่ะสิวะ” กิมจิบอกบุญทิ้ง
สางโปหันไปถามดนัยกับฉวีวรรณ
“ตกลงเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่จะได้ฆ่าทิ้ง”
สามคนสะดุ้งอุท่าลั่นพร้อมๆกัน “หา!!!”
“ใช่ค่ะใช่ สามคนนี้เป็นเพื่อนพวกเราเอง” ฉวีวรรณรีบบอก
แจ๋กรีดร้องอย่างดีใจ “หวี ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอแกซะแล้ว โฮๆๆๆ”
แจ๋โผเข้าไปกอดฉวีวรรณอย่างตื่นเต้น ดนัยหันไปยิ้มกับวินยาอย่างโล่งใจ

แจ๋ลากฉวีวรรณเข้ามา กิมจิ บุญทิ้งเดินตาม
“โห นี่แกซี้กับหัวหน้าเผ่าชนกลุ่มน้อยตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” แจ๋ถาม
“ฉันไม่ได้ซี้ แค่รู้จักกันเฉยๆ” ฉวีวรรณพูดเชิดๆ
“แล้วไปรู้จักเค้าได้ยังไงอ่ะครับ” บุญทิ้งถาม
“นายดนัยเคยช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วเขาก็เลยปิ๊งกันตั้งแต่ตอนนั้น”
“หา!” สามคนร้องขึ้นพร้อมกัน
ฉวีวรรณยิ่งพูดก็ยิ่งลมขึ้น เม้าท์ต่ออย่างลืมตัว
“ก็ไม่เห็นเหรอ แทนที่นายนั่นจะมาดูแลพวกแก ดันไปขลุกอยู่ในห้องทำงาน ทำเป็นอ้างว่าจะติววิชาสถิติ
ให้ เฮอะ ไม่รู้ทันมารยาหญิงก็งี้แหละ คอยดูนะ ฉันจะฟ้องยายหวันให้เข็ด”
ฉวีวรรณเดินกระฟัดกระเฟียดเดินออกไป แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง พากันใบ้กินงงงวย หันมามองหน้ากัน
“ทำไมหวีเขาดูแปลกๆ อ่ะ”
กิมจิปรารภ บุญทิ้งเสริมขึ้นด้วยธรรมะแปร่งหู
“เจริญพร ชะนีสองตัวย่อมอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
กิมจิเบิ๊ดหัวกระโหลกบุญทิ้งไปที บุญทิ้งผงะ
“นี่แน่ะ มีเหรอ สุภาษิตแบบนี้ เขามีแต่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”
แจ๋ห้าม
“อย่าไปว่า มหาทิ้งเลย ที่ว่ามันก็มีส่วนใช่นะ ดูยายหวีชอบกลๆ ทำท่าเหมือนหึง ยายวินยาหัวหน้าเผ่านั่นเลยอ่ะ”
“อิม แจ๋ อิมพอสสิเบิ้ล เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หวีกับดนัยมันถูกกันที่ไหนฉันว่า ยายหวีหมั่นไส้ดนัย แล้วก็เลยพลอยเกลียดหน้ายายวินยานั่นไปด้วยมากกว่า” กูรูเลิฟนามกิมจิว่าอย่างทรงภูมิ
แจ๋นิ่ง ครุ่นคิดอย่างสงสัย แต่ก็อ่อนลง และคล้อยตามกิมจิในที่สุด
“อืมม์ ก็จริงของแกนะ ..ดนัยกับยายหวีเป็นได้แค่เส้นขนานที่ไม่มีวันเชื่อมกันได้เด็ดขาด”

ดาหวัน เดินเหม่อเศร้าๆ มาตามทาง จู่ๆ อุ๊บอิ๊บก็โผล่พรวดจากข้างทาง มาขวางหน้าดาหวัน พร้อมกับยิ้มเป็นการเยาะเย้ย
“กิ้วๆ หน้าไม่อาย! เนี่ยเหรอที่บอกว่ารักพี่ดนัยนักหนา แต่พอลับหลังก็ทำตัวสำส่อน”
“เดี๋ยวนะ นี่เธอมามาจากไหนเนี่ย” ดาหวันงง
“จากไหนก็ไม่สำคัญ แต่ฉันมาทันเห็นภาพเด็ดก็แล้วกัน”
อุ๊บอิ๊บยิ้มลอยหน้า ดาหวันเริ่มมีสีหน้าไม่ดี
“นี่เธอพูดเรื่องอะไร”
“แหม ไม่จำนนต่อหลักฐานคงไม่ยอมรับหรอกนะ” อุ๊บอิ๊บหยิบโทรศัพท์ออกมาอวด “นี่ไง ฉันจะเอาทั้งรู้
ทั้งคลิปในนี้ไปแฉให้พี่ดนัยรู้ว่า ผู้หญิงที่เขาอุตส่าห์พาหนีจากงานแต่งงาน สุดท้ายก็แอบมากิ๊กกับว่าที่พี่เขยตัวเอง น้ำเน่า”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ดาหวันเถียง พยายามอธิบาย
“แล้วมันยังไง ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้”
อุ๊บอิ๊บพูด พร้อมเปิดคลิปโชว์ เห็นเป็นคลิปดาหวันกับชลิตตอนที่ทุบๆ กัน แล้วดาหวันก้มลงไปจูบกับชลิต ซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งสั้นๆ มีแต่ภาพไม่ต้องมีเสียง ดาหวันน้ำตาคลอ ใจหายวาบ ส่ายหน้า
“เธอเลวมาก เธอทำแบบนี้ ทำไม”
“เธอสิที่เลวกว่า ถ้าไม่ทำตัวมั่วผู้ชาย ฉันจะถ่ายได้ยังไง”
ดาหวันโมโห ตบหน้าอุ๊บอิ๊บไปฉาด อุ๊บอิ๊บตบกลับคืนทันที ดาหวันเซไปประทะต้นไม้ อุ๊บอิ๊บหัวเราะเยาะ
“อย่ามาเหวี่ยงกับฉันดีกว่านะ” พลางชูมือถือขึ้นอีก “คิดดูสิ พี่สาวเธออกแตกไหม ถ้าเห็นน้องมากอดกับแฟนตัวเอง แล้วไหนจะพ่อเธออีก ถ้าเขามาเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักทำตัวแบบนี้ จะทำ ยังไงน้า โอ๊ยตาย สนุกแน่
ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไม่นะ อย่าทำแบบนี้นะ อย่าเอาพ่อฉันมายุ่ง” ดาหวันตกใจ
“งั้นก็สาบานว่าจะเลิกยุ่งกับพี่ดนัย แล้วฉันจะลบคลิปนี้ทิ้งให้”
“ว่าไงนะ?”
ดาหวันงง อุ๊บอิ๊บบุกเข้ามาอย่างเป็นต่อ สายตาจิกอย่างเหนือกว่า
“คืนพี่ดนัยมาให้ฉัน แล้วฉันจะลืมว่าคลิปนี้เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าเธอทำไม่ได้...คลิปนี้จะส่งถึงมือพี่สาวเธอ
พ่อเธอ แล้วก็เพื่อนๆ ทุกคนในมหาวิทยาลัย เธอกับครอบครัวเธอก็จะต้องเสื่อมเสีย”
“เธอนี่มันแย่ที่สุด”
“ใครกันแน่ที่แย่ ฉันไม่ได้เป็นคนมานอนกอดกับผู้ชายกลางป่านะยะ ตกลงจะยอมหรือไม่ยอม”
อุ๊บอิ๊บคาดคั้น ดาหวันมองอุ๊บอิ๊บอย่างเจ็บใจ แล้วแกล้งมองไปด้านหลังยกมือไหว้
“อ้าว อาธานี สวัสดีค่ะ”
อุ๊บอิ๊บเผลอหันไปมอง ดาหวันรีบแย่งมือถือมา แล้ววิ่งจู๊ด
“อ๊าย นังดาหวัน กลับมานี่นะ”
ดาหวันวิ่งแจ้นถือโทรศัพท์มา มีอุ๊บอิ๊บกรี๊ดตามหลัง
“เอามานี่นะ เอาม้า.....”
ดาหวันไม่สนใจ พยายามเปิดโทรศัพท์จะลบไฟล์ทิ้ง
“มันลบยังไงเนี่ย ไอ้โทรศัพท์บ้านี่ ว้าย”
ดาหวันมัวแต่มองโทรศัพท์ เลยสะดุดก้อนหินล้มกลิ้ง อุ๊บอิ๊บรีบกระโจนใส่ เปิดฉากตะลุมบอนแย่งโทรศัพท์พัลวัน
“มานี่เลย จับได้แล้ว”
“ว้าย ปล่อยฉันนะ”
“เอามาให้ฉัน”
ดาหวันกับอุ๊บอิ๊บกอดปล้ำกันกลิ้งไปเรื่อยๆ จนถึงหลุมที่มีเศษใบไม้บังเอาไว้ ทั้งสองหล่นไปวูบนึง กับดักตาข่ายก็ทำงาน ห่อรวบร่างทั้งสองสาวขึ้นไปบนยอดไม้
“กรี๊ด” สองสาวประสานเสียง
ดาหวันกับอุ๊บอิ๊บ ดิ้นขยุกขยิกอยู่ในตาข่ายบนต้นไม้
“อ๊าย นี่มันอะไรกันเนี่ย
“เพราะแกนั่นแหละ นังดาหวัน เพราะแกคนเดี๊ยว กรี๊ดๆ”
อุ๊บอิ๊บกับดาหวันพยายามจะจบตีกันอยู่ในตายข่าย
“โอ๊ย อย่านะ ช่วยด้วยๆ” ดาหวันตะโกนสุดเสียง

ในขณะที่ชลิตกำลังกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตาอยู่ที่ริมน้ำตก ปากก็ยังคร่ำครวญไม่หยุด
“ถึงจะล้างยังไง ก็คงลบคราบความผิดไปไม่หมด ... หวีจ๋า เค้าขอโทษ”
ชลิตเอาแต่เหม่อลอย กลุ้มใจ แต่แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของดาหวันกับอุ๊บอิ๊บดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของดาหวันดังลอดเข้ามา
“กรี๊ดๆ พี่ชลิต ช่วยหวันด้วย!”
“ดาหวัน” ชลิตตกใจ

ชลิตวิ่งมาตามเสียงโวยวายของดาหวัน จนมาถึงใต้ต้นไม้ แต่ยังหาดาหวันไม่เจอ
“หวัน ! อยู่ไหนน่ะ”
“อยู่นี่ บนนี้” เสียงดาหวันดังมาจากบนต้นไม้
ชลิตเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นดาหวันกับอุ๊บอิ๊บถูกแขวนอยู่ในถุงตาข่ายด้านบน ก็ตกใจ
“เฮ้ย ขึ้นไปได้ยังไงน่ะ แล้ว เธอมาได้ไงเนี่ย”
ประโยคหลังชลิตพูดพลางชี้มือไปที่อุ๊บอิ๊บ
“ยังไงก็ช่างเถอะ รีบช่วยพวกฉันเร็วเข้า” อุ๊บอิ๊บบอก
ชลิตเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกลนลานไปหมด
“แล้ว...ช่วยยังไงล่ะ”
“ก็ปีนขึ้นมาสิ หรือไม่ก็เอาอะไรตัดเชือกก็ได้ หวันทนอยู่ใกล้นางมารร้ายนี่ไม่ไหวแล้ว”
“ฉันก็ไม่อยากอยู่ใกล้เธอมันกันแหละ นังดาเน่า
ดาหวันกับอุ๊บอิ๊บยังหันไปตบตีกันอีก ทั้งที่ๆ เบียดกันจนแทบหายใจไม่ออก ชลิตว้าวุ่นมองหาทางช่วย แล้วตัดสินใจวิ่งไปที่ต้นไม้ จะปีนขึ้น
“รอเดี๋ยวนะ”
ชลิตปีนขึ้นไปได้นิดเดียว ลูกดอกจากหน้าไม้ก็พุ่งพรวดมาจากไหนไม่รู้
“เฮ้ย”
ชลิตตกใจไถลลื่นลงมา แต่ไม่ถึงพื้น เพราะลูกดอกพุ่งเข้าปักที่คอเสื้อติดกับต้นไม้พอดี ชลิตโดนห้อยต่อแต่งอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วมองไปข้างหน้าอย่างตกใจ
ดาหวันกับอุ๊บอิ๊บเห็นชลิตเงียบไป ก็ก้มลงไปมองอย่างตกใจ โดยทั้งคู่มองมาจากด้านบนยังไม่เห็นชลิต
“พี่ชลิต เป็นอะไรหรือเปล่า” ดาหวันถาม
ชลิตเหวอ พูดตอบเสียงสั่น
“ตอนนี้ไม่ แต่อนาคตไม่แน่”

ชลิตพูดพลางมองไปข้างหน้าอย่างกลัวๆ และหวั่นวิตก เขามองเห็นชายฉกรรจ์ชาวชาลันกลุ่มหนึ่ง แต่งชุดนักรบเดินถือหน้าไม้กับหอก ตรงมาหาด้วยสีหน้าดุดัน

อ่านต่อตอนที่ 10 พรุ่งนี้
 
***โปรดติดตามอ่าน "หอบรักมาห่มป่า" ด้วยเรื่องราวสมบูรณ์ที่สุด ละเอียดที่สุด และตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 เป๊ะทุกลมหายใจของตัวละคร ทาง "ละครออนไลน์"  




กำลังโหลดความคิดเห็น