หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 7
ในขณะที่ชลิตกำลังยกรังนกซึ่งมีไข่นก 3-4 ฟอง วางคืนลงบนคบไม้ ด้วยท่าทีและคำพูดแสนอ่อนโยน
“กลับมาอยู่ที่เดิมแล้วนะ ...แม่นกบินกลับมาจะได้หาเจอ”
ดาหวันยืนอยู่ข้างๆ ถัดออกไปไม่ไกลนัก มองชลิตยิ้มๆ ขำๆ แต่ก็รู้สึกประทับใจ ชลิตหันไปมอง
“ขำอะไร”
“คนอะไรพูดกับไข่นกรู้เรื่องด้วย” ดาหวันบอก
“เอ้า อยู่กับเสียงลมพัด นกร้อง ธรรมชาติสวยๆใสๆแบบนี้ แล้วหัวใจไม่อ่อนโยน ก็คงไม่ใช่มนุษย์ผู้มีใจสูงแล้วละ”
“แหม เอาเชียวนะ”
ชลิตบอกอย่างมุ่งมั่น
“พี่พูดจริงๆ จากใจเลยนะหวัน พี่อยากรักษาป่าผืนนี้ให้สมบูรณ์ให้เป็นบ้านที่สัตว์ป่าทั้งหลายอยู่กันอย่างมีความสุข...พี่จะต้องตามหาตัวไอ้นายทุนทำลายป่าคนนั้นให้ได้”
ดาหวันยิ้มแปร่งๆ
“พี่ชลิต อุดมการณ์สูงส่งดีนะ แต่ตอนนี้พี่ชลิตตามหาแหล่งน้ำก่อนได้ไหม”
“ทำไม หิวน้ำเหรอ”
ว่าพลางดาหวันยื่นหน้าเข้ามาทำท่าดมๆ ที่ตัวชลิต แล้วตีหน้ายี้ บีบจมูกเหม็นๆ ท่าทีน่ารักๆ
“อี๋...พี่ชลิต ระหว่างพี่ชลิตกับหมาเน่า หวันเลือกดมหมาเน่าดีกว่า”
“ยายหวัน!!”
“แหวะๆ เหม็นหมาเน่า ไปอาบน้ำซะ”
ดาหวันวิ่งหนีออกไป ชลิตวิ่งตามอย่างเคืองๆ
“หยุดนะ จะหนีไปไหน”
ดาหวันวิ่งหนีชลิตมาหยุดที่ริมลำธาร
“จ้างก็จับไม่ได้ แหวะๆ เหม็นๆ”
“เธอล่ะหอมตาย เหม็นกะปิเต็มทน”
ดาหวันได้ฟังก็หันไปต่อว่า
“อีตาบ้า เหม็นหมาเน่าสิ”
ชลิตมองข้ามไหล่ ดาหวันไปแล้วตาโตหน้าตื่นตกใจ
“หวัน!”
“อะไร พี่ชลิต แค่นี้ต้องขึ้นเสียงด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่นั่น ลอยมาแล้ว”
“หมาเน่าเหรอ”
“กระเป๋า!!!!”
ดาหวันมองตามชลิตไป เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง ลอยมาตามกระแสน้ำ
“จริงๆ ด้วยกระเป๋าของหวัน ไชโย!!!”
ชลิตวิ่งเข้าไป ดึงกระเป๋าที่ลอยน้ำมา ดาหวันลุยน้ำลงไปช่วย แล้วดาหวันหันไปเห็นกระเป๋าของชลิตลอยไปติดอยู่ที่ริมตลิ่งตรงมุมหนึ่ง
“นั่น!!กระเป๋าพี่ชลิต”
ดาหวันรีบวิ่งลุยน้ำเข้าไปยกกระเป๋าให้ชลิต
ดาหวันเดินมาที่โขดหินสวยๆ ริมลำธาร เปิดกระเป๋าตัวเองออกดู เห็นว่าเสื้อผ้าข้าวของยังอยู่ครบก็ดีใจ
“โอ้ย เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หวันมีเสื้อผ้าใส่แล้ว ถึงมันจะเป็นชุดป้าๆ ของพี่หวีก็เถอะ”
ชลิตเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองบ้าง ดีใจเหมือนกัน
“สุดยอด อาบน้ำดีกว่าเว้ย”
ชลิตหันไปทางหนึ่ง ทำท่าจะถอดเสื้อผ้า ดาหวันตาโต
“พี่ชลิต จะทำอะไร ฮ้า!!”
“ก็ แก้ผ้าอาบน้ำไง”
“หน้าไม่อาย! โรคจิตชอบโชว์ หรือไง ฮ้า…”
“เอ้า เธอก็ไปอาบของเธอสิหวัน” ชลิตยื่นหน้ามาหาดาหวัน “หรือว่าจริงๆ แล้วเธอแหละ โรคจิต ชอบถ้ำมองคนแก้ผ้าอาบน้ำ”
ดาหวันตีเพี๊ยะ เข้าให้จนชลิตไหล่ทรุด
“โอ้ย ..ฉันเจ็บนะ”
“ดี จะได้รู้สึกตัวซะบ้าง ทำอนาจารแล้วยังจะมาหน้าเป็นอีกเหรอ”
“ไม่รู้ละ ฉันจะอาบน้ำแล้ว ใครไม่อยากดูก็หันหลังไป”
ชลิตถอดเสื้อออก ดาหวันกรี๊ดแล้วหันหลังไป เอามือปิดตา ชลิตขำๆ แล้วจัดการถอดกางเกงไปกองบนโขดหิน แล้วชลิตก็กระโดดตูมลงน้ำไป ดำผุดดำว่าย
“ทุเรศจริงๆ คนบ้า...” ดาหวันพึมพำ
“อะ อะ อย่าแอบดูนะ เป็นตากุ้งยิงไม่รู้ด้วย”
ดาหวันกระทืบเท้าเร่าๆ ขัดใจ
“ฮึยยย กวนมาก ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“รีบๆ มาเอาคืนล่ะ ขี้เกียจแบกความพ่ายแพ้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แล้วชลิตก็ว่ายน้ำออกไปอีกทางหนึ่ง
ดาหวันแอบดูทางช่องรูนิ้ว เห็นชลิตดำผุดดำว่ายอยู่ เห็นแค่อกท่อนบนไม่ได้โป๊เปลือยอะไร
“ได้เลย จัดให้ ณ บัดนาว”
ดาหวันจัดเต็มทำเป็นหน้าตาตื่นมองไปอีกทาง ร้องตะโกนกรี๊ดลั่นสมบทบาท
“จระเข้!!! ช่วยด้วย จระเข้”
ได้ผล...ชลิตชะงักตกใจ
“เฮ้ย จระเข้เหรอ ไหนๆ”
ดาหวันชี้นิ้วไป กรี๊ดขึ้นมาอย่างสมบทบาท
“นั่น อ๊ายยย มันมาแล้ว พี่ชลิตเร็วเข้า หนีเร็ว”
ชลิตตกใจ รีบว่ายน้ำจ้ำเข้ามาที่ตลิ่ง แล้ววิ่งขึ้นน้ำมา ชลิตตะโกนสั่งดาหวันรีบเอากางเกงมาใส่
“อย่าหันมานะเว้ย”
ดาหวันแอบหัวเราะคิกคิก แล้วแกล้งพูด
“เสร็จยัง จะหันแล้วนะ”
ชลิตใส่กางเกงเสร็จ แล้วหยิบเสื้อกล้ามมาใส่ร้องห้ามเสียงหลง
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งๆ”
เห็นชลิตลนลาน ดาหวันหัวเราะชอบใจ หลุดออกมาก๊ากๆ เสียงดัง ชลิตใส่เสื้อกล้ามเสร็จพอดี เงยหน้ามอง เอะใจ
“ฮึ ขำอะไร”
ดาหวันกระโดดหันมาหาชลิต
“กุ๊กๆๆ ใครปล่อยไก่เป็นเล้าน้า จะจับไปให้จระเข้กินเสียหน่อย”
ชลิตเริ่มเก็ทมองไปที่ลำธารไม่มีอะไรสักหน่อย
“ดาหวัน เธอแกล้งฉันเหรอ”
“อุ้ยตาย หวันไม่ได้ตั้งใจ หวันตาฝาด”
ดาหวันทำหน้าเป็นใส่ชลิต แล้วจะวิ่งหนี ชลิตรีบเข้าไปคว้าตัวดาหวันอุ้นขึ้นมา ดาหวันกรี๊ดใส่
“พี่ชลิต อย่านะ”
“หึหึ ...มะ จะช่วยล้างตาให้!!”
ว่าแล้วชลิตก็โยนดาหวันตูมลงไปในน้ำ แล้วตัวเองกระโดดตามลงไป ดาหวันกรี๊ดลั่น ตีน้ำใส่ชลิต
ชลิตหลบตีน้ำกลับ ทั้งคู่แกล้งกันไปมา จังหวะหนึ่งดาหวันผลักชลิต ชลิตไม่ยอมดึงดาหวันเข้าไปในอ้อมกอดทั้งคู่สบตากันระยะใกล้
ต่างคนต่างหวั่นไหว เพราะมีเคมีต่อกัน ตรงกัน ดาหวันนิ่งงันได้แต่มองชลิต จังหวะนั้นชลิตก้มลงมาจมูกแตะจมูกเกือบจะจูบปาก แต่มีเสียงลิงร้องขึ้นมาเจี๊ยก ขัดจังหวะ
ชลิตกับดาหวันชะงัก ผละออกจากกัน เก้อๆ เขินๆ กันนิดหนึ่ง ดาหวันรีบหันหน้าหนีไปดูก่อน ดาหวันเห็น เจ้าจ๋อตัวหนึ่งกำลังโยนเสื้อผ้าจากกระเป๋าชลิตลงไปในน้ำ เกือบจะหมดกระเป๋าแล้ว
“ว้าย ลิง!”
“เฮ้ย นั่นมันเสื้อฉันนะ” ชลิตรีบวิ่งขึ้นไป “หยุด ลิงจ๋อ! หยุดเดี๋ยวนี้เอาเสื้อฉันคืนมา”
ชลิตรีบวิ่งขึ้นมาบนฝั่ง ลิงถือเสื้อตัวหนึ่งวิ่งหนีไป ชลิตวิ่งตามดาหวันรีบวิ่งตามขึ้นมาด้วย
“เอาคืนมา เจ้าจ๋อ”
ระหว่างนั้นดาหวันไม่ทันระวังก็เลยหกล้มลงไปร้องโอดโอย ชลิตชะงักหันกลับไปมอง
“หวัน”
“อ๊อย เจ็บ ขาหักหรือเปล่าเนี่ย”
ดาหวันร้องอย่างเจ็บปวด ชลิตรีบวิ่งมาดูที่ข้อเท้าดาหวันจับดู มีสีหน้าโล่งใจ
“ไม่ต้องกลัวไปนะ หวัน แค่ข้อเท้าเคล็ดน่ะ”
เวลาเดียวกันนั้นวินยาประคองดนัยซึ่งยังคงหมดสติมาที่ตรงมุมหนึ่งของป่าบริเวณนั้น ฉวีวรรณตามหลังมาด้วยอาการไม่พอใจ จึงวิ่งเข้าไปดักหน้า
“หยุดซะที เธอจะพาเขาไปไหน”
วินยาส่ายหน้าคิดในใจ ไม่น่าถามอะไรแบบนี้ได้เล้ย
“เขาเจ็บอย่างนี้ คิดว่าฉันจะพาเขาไปวิ่งเปรี้ยวหรือไง”
วินยาขยับจะไปอีก แต่ฉวีวรรณก็ขยับขวางอีก
“เราต้องรีบพาดนัยไปหาหมอ พาพวกเราออกไปจากป่าเถอะ!”
“ไม่จำเป็น ฉันจะดูแลเขาเอง” วินยามองเห็นถ้ำอยู่ข้างหน้า “ไปพักที่นั่นเถอะ”
วินยาพูดจบก็จะเดินต่อ ฉวีวรรณมองวินยาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็รีบตามไป
“เดี๋ยว รอฉันด้วย”
พอเข้ามายังภายในถ้ำวินยาประคองดนัยให้ลงนอน เห็นดนัยหน้าซีด ปากซีด เลือดเต็มตัว ฉวีวรรณตามเข้ามามองเห็น รีบเข้าไปนั่งข้างๆ แทรกวินยาออกไปเลย
“ดนัย! ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะดนัย”
ฉวีวรรณเขย่าดนัย น้ำตาคลอด้วยความเป็นห่วง
วินยามองแล้วส่ายหน้า “เขย่าแบบนั้น เดี๋ยวก็ตายกันพอดี” วินยาดึงฉวีวรรณออกเบาๆ “ไป ออกไปก่อน”
ฉวีววรรณงงๆ แต่ก็ถอยออกไป
“เอ๊ะ นี่เธอ จะมากไปแล้วนะ”
“เงียบเถอะน่า ฉันต้องการสมาธิ”
วินยาหันแกะผ้าที่พันแผลอยู่ออก มองดูที่แผลสีหน้าหน้าเครียดๆ แล้วหันหยิบเทียนไขกับไม้ขีดออกจากย่าม จุดเทียนไขจนติดไฟ เสร็จแล้ววินยาหยิบมีดออกมาลนไฟจนแดง แล้วทำท่าจะแทงที่แผล ฉวีวรรณตกใจ
“หยุดนะ! เธอจะทำอะไรน่ะ จะฆ่าเขาหรือไง”
“ถอยไป!” วินยาดุ
“ไม่! เธออย่าทำอะไรเขานะ ไม่งั้นฉันจะ...ฉันจะ...”
ฉวีวรรณหันรีหันขวาง แล้วหยิบท่อนไม้มากระชับมือ เงื้อขึ้นเหมือนจะสู้วินยาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันจะฆ่าเธอ” ฉวีวรรณโพล่งออกมา
วินยามองฉวีวรรณเอือมๆ แล้วควงมีดในมือ
“ฉันต้องกรีดแผลเพื่อเอาเลือดหนองออก หรือเธอจะให้ฉันปล่อยให้แผลติดเชื้อแบบนี้ แล้วค่อยตัดแขน
เขาทิ้งทีหลัง จะเอาไหม”
ฉวีวรรณอึ้งๆ หน้าแตก ใบ้กิน วินยาหันกลับไปกรีดแผลที่โดนยิงของดนัยต่อ ฉวีวรรณขยับเข้ามามองอย่างหวาดเสียว วินยาสั่งขึ้นเสียงดุ
“อย่ามัวมองอยู่ ออกไปหาฟืนมาก่อไฟสิ เราต้องต้มน้ำล้างแผลอีก”
ฉวีวรรณพยักหน้ารับอย่างมึนๆ แล้วเดินออกไป
ธานีฟาดปืนกับต้นไม้อย่างหงุดหงิด เมื่อรู้เรื่องที่ปางไม้
“นี่แสดงว่าพวกมันรู้เห็นเรื่องไม้เถื่อนของพวกเราหมดแล้วเหรอ”
“ดาหวันกับไอ้ชลิต มันยังไม่รู้ว่าพวกเราอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้ไอ้ดนัยกับฉวีวรรณมันรู้หมดแล้ว ป๊า” ธน
วัติบอก
พาณิชย์ดูเป็นกังวลมาก
“อย่างนี้ถ้ามันได้เจอลุงศิริ เราโดนแฉไม่เหลือแน่”
“งั้นไม่ต้องให้มันเจอ! ในเมื่อสร้างปัญหากันนัก ก็ฝังมันในป่าทั้งสี่คนนี่แหละ”
กาซูออกความเห็น ทุกคนมองกาซู ทำนองเครียดๆ เห็นด้วยกับกาซู
เสียงคนที่ทุกคนพูดถึงลอยแทรกเข้ามา “ธานี มาทำอะไรกันแถวนี้”
ทั้งหมดพากันสะดุ้ง หันไปด้านหลัง เห็นศิริ สุภาพอาหลู่เดินเข้ามา พอทั้งสามเห็นกาซูกับเลาซาก็ชะงักไป
“อ้าว แล้วนี่ใคร”
ธนวัติ พาณิชย์อึ้งๆ ธานีรีบแต่งเรื่องกลบเกลื่อน
“อ๋อ นี่...กาซูกับเลาซา พรานที่ผมติดต่อมาจากฝั่งโน้นครับพี่ศิริ”
“ใช่ๆ ครับ ก็พรานที่สุภาพหามัน ไม่เห็นจะได้เรื่อง เราก็เลยต้องเรียกคนมาเสริม จะได้เจอน้องๆ เร็วๆ”
พาณิชย์รีบผสมโรง
ขณะพูดพาณิชย์พลางเหล่ๆ มองสุภาพ กับอาหลู่ ที่ถึงกับสะดุ้งเหวอ ทั้งคู่มองหน้ากันคิดตรงกันว่าพูดอย่างนี้เลยเหรอ แล้วสุภาพหันไปต่อปากด้วย
“แต่ผมว่า การเอาใครเข้ามา มันน่าจะเช็คประวัติกันซะให้ดีก่อนนะครับ” สุภาพเดินไปมองๆ สำรวจหน้าเลาซากับกาซู “เกิดได้โจรมาแทนพรานมันจะซวย”
กาซูไม่พอใจมองหน้า จ้องตา สุภาพเกิดอาการ ปากเบี้ยว แล้วชักแหงกๆ ลงไปกองกับพื้น อาหลู่รีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง
“พี่สุภาพ ๆ เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย โดนของหรือเปล่า”
อาหลู่หน้าเสีย ศิริเอ็ดขึ้นมา
“อย่ามาพูดเพ้อเจ้อน่า อาหลู่” หันไปทางสุภาพ “เฮ้ย อยู่ๆเป็นอย่างนี้ได้ยังไง”
ธานี ธนวัติ และพาณิชย์มองหน้ากาซู รู้กัน กาซูกระหยิ่มอยู่ในที
“สงสัยอากาศร้อนนะครับ พี่สุภาพเลยเป็นโรคลมชัก”
“หยุดพูดซะ...แล้วนอนพักสักหน่อยก็หายดีเอง”
ศิริมองงงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “อาหลู่ แกพาสุภาพไปที่เต็นท์ฉันก่อนไป”
อาหลู่รับคำแล้วรีบประคองสุภาพขึ้น พาเดินออกไป ศิริหันมาพูดกับพวกธานี
“ฉันจะไปหายาให้สุภาพ แล้วจะให้คนงานจัดที่พักให้พรานใหม่สองคนนี้ด้วย”
ศิริมองกาซูกับเลาซาอย่างเป็นมิตร แล้วเดินตามอาหลู่กับสุภาพไป
ทั้งหมดกระหยิ่มได้ใจ ธนวัติผุดยิ้มร้ายๆ มองตามศิริไป
“หึหึ ...ไอ้แก่ศิริ มันคงไม่รู้ว่า ความหายนะได้มาเยี่ยมมันแล้ว”
ทางด้านดาหวันกำลังนั่งบนโขดหิน ชลิตถือเสื้อที่ฉีกเป็นชิ้นๆ ทำผ้าพันแผลจะพันข้อเท้าให้ดาหวัน
“มะ พี่พันข้อเท้าให้”
ชลิตจะจับ แต่ดาหวันเบี่ยงเท้าหลบมือชลิต
“อย่า”
“ทำไม เป็นตาปลาหรือไงถึงแตะไม่ได้” ชลิตแซว
ที่แท้เป็นเพราะดาหวันเกรงใจนั่นเอง
“เปล่า....แต่แบบเท้ามันต่ำ พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”
“หึ...ไว้เธอใช้หัวเดินแทนเท้าได้เมื่อไร ค่อยมาบอกให้ฉันถือเรื่องสูงต่ำแบบนั้น...มะ อย่าเรื่องมาก”
ชลิตคว้าเท้าดาหวันจับไว้ แล้วลงมือพันผ้าให้ ชลิตพันผ้าแบบแก้เคล็ดขัดยอก ดาหวันแอบมองชลิต ประทับใจ ปลื้มที่ชลิตคอยดูแลอย่างดี ชลิตพันเท้าให้ดาหวันอย่างใส่ใจ และอาทร
พอพันผ้าเสร็จผูกปมแน่นหนาแล้ว เงยหน้าขึ้นไปถามดาหวัน
“เป็นไง แน่นไปไหม”
ดาหวันมัวแต่มองชลิตอยู่ไม่ทันหลบตา ทั้งคู่ก็สบสายตากันเข้าอย่างจัง ดาหวันตะลึงพูดไม่ออก ชลิตยิ้มๆ กลบเกลื่อน
“หน้าพี่มีเลขขึ้นหรือไง จ้องซะ”
ดาหวันพูดออกมาอย่างเขินๆ
“ใครบอก หวันแค่เห็นพี่ชลิตพันผ้าคล่องก็เลยแปลกใจ”
“เรื่องอะไร” ชลิตสงสัย
“ก็... พี่คงเคยพันข้อเท้าให้ผู้หญิงหลายคนแล้วสินะ ถึงได้คล่องแบบนี้”
“จะมาหลอกถามว่าฉันมีแฟนกี่คนงั้นสิ ตอบเลยว่าพี่สาวเธอเป็นแฟนคนแรกในชีวิตฉันเลย”
“จริงอ่ะ พี่หวีเป็นแฟนคนแรกของพี่เนี่ยนะ”
“หวีเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันกล้าจีบ ส่วนใหญ่ที่เหลือผู้หญิงมาจีบฉันเอง”
ดาหวันฟังประโยคหลังรีบยกมือผลักชลิตเบาๆ
“ขี้โม้แล้ว”
“จริงๆ!” ชลิตจับมือดาหวันไว้ จ้องหน้ายิ้มๆ “แล้วเธอก็..เป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะ ที่ฉันพันข้อเท้าให้...ยายเด็กแก่แดด”
ชลิตยิ้มให้ดาหวันอย่างโลกเบิกบาน...หล่อขาดบาดจิต ดาหวันมองอึ้งๆ ใจจะละลาย ส่อแววว่าจะแพ้ทางชลิตอีกแล้ว ด้านชลิตมองหน้าดาหวันงงๆ
“ทำไมหน้าแดงอย่างนั้น เป็นอะไรไปอีก”
“ปะ เปล่า หวัน คือ หวันแค่รู้สึกวิงเวียน ปวดท้อง ลิ้นขม เป็นไข้หัวลม”
“พอๆๆ เอาซักโรคซิดาหวัน แบบอาการชัดๆ น่ะ”
ดาหวันจ้องชลิตอีกที กลั้นใจตอบไปพรวดเดียว คิดในใจว่าฉวีวรรณจะเป็นยันต์กันไม่ให้ชอบชลิตได้
“หวัน คิดถึงพี่หวี หวันอยากให้พี่หวีมาอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้ที่สุดในโลกเลย”
ชลิตมองดาหวันงงๆ ที่เป็นโรคคิดถึงพี่สาวไปอีก
เวลาเดียวกัน วินยาหยิบผ้าดิบจากย่ามออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ เพื่อเป็นผ้าสำหรับพันแผล และ เช็ดแผล ขณะที่ฉวีวรรณเอาฟืนไปรุมสุมกองไฟ ที่กำลังต้มน้ำจากกระติกโลหะของวินยา
“น้ำเดือดแล้ว ต้องทำยังไงต่อละ”
“ส่งมาให้ฉัน” วินยาบอก
ฉวีวรรณเอื้อมมือหยิบกระติก แต่ร้อนจี๋จนเกือบหลุดมือ วินยารับไว้ทัน แล้วดุ
“ระวังหน่อยสิ!”
ฉวีวรรณหน้าจ๋อย วินยาไม่สนใจ หยิบน้ำมาเทราดเศษผ้าดิบที่เตรียมไว้ เพื่อจะเอาไปเช็ดแผลให้ดนัยทั้งที่วินยาเป็นคนเอาจริงเอาจัง เวลาทำงานเลยจะเคร่งเครียด และรำคาญฉวีวรรณที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรซ่อนเงื่อน แต่ฉวีวรรณมักจะคิดไปเองเสมอว่าวินยาไม่ชอบตน เพราะวินยาชอบดนัย
วินยาเช็ดแผลไปเจียนเสร็จแล้ว ก็หยิบขวดยาสมุนไพรออกมา จะโรยไปที่แผลของดนัย ฉวีวรรณมองตาลุก
“เดี๋ยว นี่เธอ...”
วินยาพูดสวนขึ้นอย่างรู้ทัน
“ไม่ต้องกลัวเขาตายนักหรอกน่า นี่เป็นยาสมุนไพรของเผ่าฉัน มีสรรพคุณในการสมานแผลได้ผลดีมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลุกวิ่งได้แล้ว”
พูดจบวินยาก็หันไปโรยยาใส่แผลให้ดนัยอย่างเบามือ เสร็จแล้วก็หยิบผ้ามาพันแผล ฉวีวรรณเป็นห่วงใจจะขาด พยายามจะมีส่วนร่วมคอยหยิบจับ แต่วินยาหันมาบอก
“เธอออกไปรอข้างนอกเถอะ อย่ามาเกะกะฉัน”
ฉวีวรรณอึ้ง และเริ่มหมั่นไส้วินยาขึ้นมาทันที สะบัดหน้าเดินออกไปเลย
พอเดินกระฟัดกระเฟียดออกมา แล้วฉวีวรรณก็มองค้อนเข้าไปในถ้ำ
“ฮึ ทำเป็นไล่เรา ที่แท้ก็อยากอยู่กับผู้ชายสองต่อสองใช่มั้ยล่ะ ยายบ้า ไม่ยุ่งก็ได้เว้ย!”
ฉวีวรรณทิ้งตัวนั่งลงที่โขดหินอย่างเซ็งๆ แล้วพึมพำอย่างกังวล
“แต่ถ้าดนัยเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันเอาเธอตายแน่”
ฉวีวรรณพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า เห็นดวงดาวส่องแสงริบๆ ผ่านใบไม้ที่ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า
“เจ้าป่าเจ้าเขาขา ช่วยดนัยด้วยนะคะ อย่าให้เขาเป็นอะไรนะคะ”
ฉวีวรรณพนมมือไหว้กราดทั่วทิศ น้ำตาคลอหน่วย
ดาหวันเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว คราวนี้เป็นกระโปรงแนวๆ เก๋ๆ และกำลังรื้อค้นกระเป๋าเสื้อผ้าพี่สาวเพื่อหาเครื่องสำอางจากกระเป๋าเดินทาง
“อยู่ไหนเนี่ย ลิปสติกสักแท่ง ยายพี่หวีก็ไม่มีติดกระเป๋าไว้เลยเหรอ”
ดาหวันค้นไปที่ช่องเล็กในกระเป๋า เจอกระเป๋าเครื่องสำอางเล็กๆ เปิดออกดู
“อุ้ย! แป้ง! ลิปสติก! น้ำตาจะไหล ดีใจยิ่งกว่าถูกหวยอีกนะเนี่ย”
ดาหวันหยิบกระจกเล็กๆ ขึ้นดู พร้อมทาลิปสติก สีบางๆ ใสๆ อย่างมีความสุข เสียงชลิตดังเข้ามาทำลายบรรยากาศ...สวย
“จะสวยไปไหน”
ดาหวันสะดุ้ง แล้วทำฟอร์มแก้ตัว
“เชอะ หวันสวยอยู่แล้วละ แค่ปากมันแห้งเลยต้องทาลิป”
แต่พอหันไปเห็นชลิตแล้วดาหวันก็ตกตะลึงตาค้าง “ฮึ พี่ชลิต!”
เพราะที่ดาหวันกำลังเห็นคือ ชลิตที่ยืนวางมาดอย่างหล่อเท่ อยู่ในชุดสูทขาว รองเท้าลุยๆ คู่เดิม ซึ่งเป็นสูทที่ติดกระเป๋ามาจากบ้านทองอิน
ชลิตใส่แต่เสื้อสูทกับกางเกงขาว ข้างในเป็นเสื้อกล้ามขาว ไม่มีเนคไท และถึงจะดูหลุดๆ ไม่เต็มคราบ แต่ก็เป็นสูทที่เข้ากับหุ่นกะทัดรัดและทำให้ชลิตยามนี้ดูหล่อจริงๆ
“ชุดเดินป่าของฉัน เป็นไง”
ชลิตถามความเห็น ดาหวันอมยิ้ม ขำนิดๆ แต่ชอบใจเป็นที่สุด
“ใครเข้าฝันเนี่ย ไปเอามาจากไหน”
ชลิตเดินเข้ามานั่งพิงก้อนหินมุมหนึ่งใกล้ๆ ดาหวัน
“เฮ้อ...ก็เจ้าลิงมันดันโยนเสื้อผ้าฉันทิ้งหมด เหลือแต่ชุดสูทนี่ชุดเดียวน่ะสิ”
ดาหวันเอาแต่มอง ชลิต ยิ้มๆ ในใจนึกไปถึงเรื่องในอดีต
ชลิตถูกดาหวันมอง
“แน่ะ ยังไม่เลิกขำอีกเหรอ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวจับหักคอจิ้มน้ำพริกเสียนี่”
ดาหวันน้ำตารื้อขึ้นมา จะร้องไห้ ชลิตอึ้ง ตกใจไปเหมือนกัน
“หวัน พี่แค่ล้อเล่นเองนะ ร้องไห้ทำไม พี่พูดอะไรผิดเหรอ”
“เปล่า พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด หวันแค่นึกถึงเรื่องบางเรื่อง แล้วมัน..อยากร้องไห”
“เรื่องอะไรกันล่ะ ไหนบอกมาซิ” ชลิตอยากรู้
ดาหวันเหม่อออกไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต
“หวันเคยฝันว่า หวันจะเต้นรำกับพี่ดนัยในชุดสีขาว”
6 เดือนก่อนหน้านี้ ดาหวันเกาะแขนดนัยเดินเล่นมาตามทาง เห็นร้านเวดดิ้งดาหวันตื่นเต้นชี้ให้ดนัย
ดู แล้วรีบดึงดนัยเข้ามาที่หน้าร้านบริเวณจัดดิสเพลย์
ดาหวัน เห็นหุ่นโชว์ผู้ชายใส่สูทสีขาวทั้งชุด ยืนคู่กับหุ่นโชว์หญิงในชุดเจ้าสาว ดาหวันมองยิ้มปลื้ม เกาะกระจกมองไม่วางตา แล้วจับแขนยามเขย่า นึกว่าเป็นดนัย
แต่ยามไม่หือไม่อือ ดาหวันเลยหันมา แล้วร้องตกใจ เพราะคนที่ยืนข้างๆ กลายเป็นยามไม่ใช่ดนัย เพราะดนัยกำลังยืนดู รถมอเตอร์ไซค์ ที่โชว์รูมข้างๆ ร้านชุดแต่งงาน ลูบคลำเบาะรถ ออกอาการชอบปนปลื้ม
ดาหวันมองดู ส่ายหน้าไม่ได้ดั่งใจ
อีกวันหนึ่งดาหวันยืนรอดนัยอยู่หน้าโรงเรียนสอนเต้นรำอย่างกระสับกระส่าย แต่ดนัยไม่มาเสียที
มือถือดาหวันมีข้อความเข้า หยิบขึ้นมากดอ่าน มีข้อความในมือถือว่า “ขอโทษด้วยนะ พี่ติดงานที่คณะ มาเรียนเต้นรำไม่ทันแล้วล่ะ” ดาหวันอ่านข้อความอย่างเซ็งๆ
“พูดง่ายๆ ก็คือ ในวันแต่งงานของหวัน หวันอยากให้เจ้าบ่าวของหวัน ใส่สูทชุดขาว เต้นรำด้วยกัน มันคงเป็นอะไรที่หวันมีความสุขมากที่สุด แต่ฝันนั้นคงไม่มีวันเป็นจริง เพราะ พี่ดนัยกับหวันไม่เคยชอบอะไรเหมือนกันเลย หนำซ้ำหวันชวนพี่ดนัยไปเรียนเต้นรำกี่ครั้งๆ พี่ดนัยก็บ่ายเบี่ยงไม่เคยว่างไปเลยสักครั้ง”
ดาหวันพาตัวเองคืยสู่ความจริงตรงหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมาบอกกับชลิตหน้ามุ่ย เซ็งๆ
“จนป่านนี้ หวันก็ยังเต้นรำไม่เป็นเลยพี่ชลิต”
ชลิตฟังแล้วอินไปด้วยออกอาการเม้งดนัย
“ไอ้ดนัยนี่แย่จริงๆ มัวแต่ทำกิจกรรมคณะ ไม่แบ่งเวลาให้แฟนบ้าง”
“อย่าไปว่าพี่ดนัยเลย มันก็แค่ความฝันเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
จังหวะนั้นชลิตจ้องมองหน้าดาหวันอย่างจริงจัง
“แต่พี่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กนะ ในงานแต่งงานของพี่...พี่ก็อยากจะเต้นรำกับเจ้าสาวในชุดสีขาวเหมือนกัน”
ดาหวันฟังแล้วทึ่งถูกใจที่สุด
“พี่ชลิต...”
“พี่จะสอนให้หวันเต้นรำเอง เอาไว้เต้นกับเจ้าบ่าวของเธอในวันแต่งงาน..ดีมั้ย”
“พี่พูดจริงๆ นะ” ดาหวันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“จริงสิ...จะหลอกทำไม” ชลิตพยักหน้ารับ
“แต่หวันขาเจ็บ จะเต้นได้ยังไง”
ชลิตยิ้มรับมีไอเดียในหัว ลุกขึ้นเดินเข้ามา ยื่นมือไปหาดาหวัน
“เหอะน่า ส่งมือมา”
ดาหวันเงยหน้ามองชลิตด้วยความอยากรู้
ชลิตพาดาหวันออกมาที่อีกมุมแถวนั้น เห็นวิวทิวทัศน์งดงาม มีดอกไม้ ดอกหญ้าสวยเต็มลานป่าแห่งนั้นไปหมด ดาหวันวางมือบนมือชลิต อีกข้างวางบนไหล่ ทั้งสองมองสบตากันแล้วยิ้มให้แก่กัน
เท้าของดาหวันข้างที่พันผ้า ก้าวขึ้นไปวางเหยียบบนเท้าชลิต และอีกข้างก็ไปวางบนเท้าชลิตอีกข้างเช่นกัน ดาหวันเงยมองหน้าชลิต ยิ้มตาเป็นประกาย
ชลิตเริ่มขยับเต้นรำ โดยมีดาหวันยืนอยู่บนเท้าของตัวเอง ดาหวันเต้นรำอยู่บนเท้าของชลิตในบรรยากาศธรรมชาติสวยงาม ทั้งสองยิ้มให้กัน และตาสบตาอย่างมีความสุข
เวลาต่อมาดาหวันนั่งรอชลิตอยู่ เหลียวไปเหลียวมา แล้วชลิตก็โผล่มาพร้อมใบบอนอันใหญ่ๆ ซึ่งมีก้านให้ถือได้ยื่นเป็นร่มบังแดดให้ดาหวัน
ดาหวันเงยหน้ามอง เห็นชลิตถือใบบอนบังแดดให้ ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
ไม่นานหลังจากนั้นชลิตก็แบกดาหวันขี่หลัง มือหนึ่งของชลิตถือรองเท้าให้ ส่วนดาหวันก็ถือใบบอนใหญ่อันเดิม เป็นร่มบังแดดให้ชลิต พากันเดินออกไปตามทาง ดาหวันแอบมองชลิต ด้วยความประทับใจ ชลิตเองก็แอบปลื้มใจ ที่ดาหวันใส่ใจคอยบังแดดให้ตลอดเวลา
บริเวณที่ตั้งแคมป์ของศิริคืนนี้ มีคนงานประจำอยู่ตามจุดต่างๆ พร้อมกัน เช่นคืนอื่นๆ
ใกล้ๆ กับบริเวณหลังแคมป์ คนงานคนหนึ่งเดินยามอยู่อย่างแข็งขัน ลัดเลาะไปตรวจดูตามแนวป่า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นที่ใต้ต้นไม้ด้านหลัง คนงานหันไปมองพร้อมกับเล็งปืน ก่อนจะทำหน้าตกใจ พร้อมๆ กับร่างของคนงานถูกฟาดด้วยของบางอย่างสุดแรง
“ยายแจ๋!!! ตื่นเสียทีสิ ตื่นๆๆๆ”
อุ๊บอิ๊บยืนตะโกนเรียกแจ๋ บิดไปบิดมาเพราะปวดฉี่ อยู่หน้าเต็นท์ของแจ๋
แจ๋เปิดประตูเต้นท์ออกมาวีนแตก มีผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่ง
“โอ๊ย ! เปรตที่ไหนมาร้องขอส่วนบุญ หนวกหู”
“ฉันปวดฉี่” อุ๊บอิ๊บยืนบิดๆ
“ยายบ้า ปวดก็ไปเข้าห้องน้ำสิ เอ๊อ มาแหกปากบอกฉันทำไม”
แจ๋หันจะกลับเข้าเต็นท์ อุ๊บอิ๊บรีบดึงแจ๋ออกมา
“ฉันไม่กล้าไปคนเดียวนี่ เธอไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“เรื่องอะไร เธอไม่ใช่เพื่อนฉันซะหน่อยย”
อุ๊บอิ๊บตัดสินใจยื่นข้อเสนอบางอย่าง
“ฉันจ้างเธอห้าร้อย อ่ะ เอาไปเลยเงินสดๆ”
แจ๋ลืมตาโพลง หันขวับมามองอุ๊บอิ๊บก็เห็นอีกฝ่ายยื่นเงินให้จริงๆ
“ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่เงินนะยะ”
อุ๊บอิ๊บไม่ตอบอะไร แต่ควักแบงค์พันให้อีกใบยื่นมา
“นี่ฉันเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์หรอกนะ”
แจ๋พูดหน้าตาเฉย คว้าเงินแล้วเดินนำออกไปทันที อุ๊บอิ๊บยิ้มพอใจ รีบตามไปติดๆ
แจ๋ยืนกอดอกรออยู่หลังพุ่มไม้ เร่งอุ๊บอิ๊บให้ทำธุระไวๆ
“เกินห้านาทีแล้ว ฉันไม่รอแล้วนะยะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ เสร็จแล้วๆ”
อุ๊บอิ๊บโผล่ออกมาหลังต้นไม้แล้วค้อนแจ๋ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงแหวกพุ่มไม้ใกล้ๆ
“เสียงอะไรน่ะ” อุ๊บอิ๊บถามออกมา
“ชู่ว์”
แจ๋รีบส่งสัญญาณให้เงียบแล้วเงี่ยหูฟัง เสียงแหวกพุ่มไม้ดังขึ้นอีก
อุ๊บอิ๊บตกใจจะดึงแจ๋ไป แต่แจ๋คว้าท่อนไม้ใกล้มือ ย่องไปที่พุ่มไม้ทันที อุ๊บอิ๊บเลยต้องตาม
แจ๋ย่างสามขุมไปตรงพุ่มไม้ แล้วเอาท่อนไม้แหวกเตรียมฟาด ก่อนจะผงะ เมื่อเห็นอสุรกายเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยว ตรงหน้าของมันมีศพของคนงานที่ถูกกัดกินจนสภาพศพเละเทะอยู่
“กรี๊ด....”! แจ๋กับอุ๊บอิ๊บประสานเสียง
อสุรกายลุกพรวดขึ้น ย่างสามขุมเข้ามาหาทั้งสองสาวทันที
“กรี๊ด อย่าเข้ามานะ”
แจ๋ขว้างท่อนไม้ใส่แล้วรีบวิ่งหนี โดยมีอุ๊บอิ๊บวิ่งตามติด อสุรกายคำรามแล้วตามไป
ฝ่ายกิมจิเดินตามหาบุญทิ้งอยู่ พอไม่เห็นวี่แวว กิมจิก็ตะโกนเรียก
“บุญทิ้งๆ แกไปเดินจงกรมแถวไหนวะ”
แจ๋กับอุ๊บอิ๊บ กรี๊ดแล้ววิ่งตรงเข้ามา แจ๋ชนกับกิมจิเข้าโครมใหญ่จนล้มลงไป
“อะไรยายแจ๋ อยู่ๆ มากลิ้งทับฉันทำไม ตัวหนักอย่างกับช้าง”
“กิมจิ ช่วยด้วย”
อุ๊บอิ๊บกรี๊ดๆ แล้วชี้ไปทางที่อสูรกายตามมา
“มันมาแล้ว”
กิมจิลุกขึ้นหันไปถามอุ๊บอิ๊บ นึกว่าที่พูดเมื่อครู่หมายถึงเจอกับบุญทิ้งแล้ว
“ อุ๊บอิ๊บ เจอบุญทิ้งแล้วเหรอ”
ขาดคำก็มีเสียงคำรามดังขึ้น กิมจิหันไปมอง เห็นอสุรกายปรากฏตัวตรงหน้า คำรามลั่น แจ๋กับอุ๊บอิ๊บกรี๊ดกันลั่น วิ่งหลบกันไปมา แล้วท้ายที่สุดทั้งสองก็มากอดกันกลม ลืมเกลียดกันไปเลย
กิมจิส่ายหน้า ที่สาวๆ กลัวไม่เข้าเรื่อง
“โอ้ย จะกรี๊ดกันเป็นจิ้งหรีดไปทำไม กลัวอะไรนัก ฮ้า กับแค่ไอ้ทิ้งเนี่ย”
กิมจิหันไปที่ อสุรกาย แล้วเขกหัวอสูรกายโป้กเพราะคิดว่าเป็นบุญทิ้ง
“นี่แน่ะ ซ่านักเหรอแก !! ไปหลอกสาวๆ เขาทำไม!!”
อสุรกายชะงักอึ้งงง แจ๋กับอุ๊บอิ๊บตาโต อ้าปากค้าง
“กิมจิ มันไม่ใช่”
กิมจิโบกมือให้สองสาว
“ไม่ต้องแจ๋ ไม่ต้องแก้ตัวแทนมัน มาแกล้งคนอื่นอย่างนี้นิสัยไม่ดี ต้องสั่งสอน”
กิมจิต่อยหน้าอสุรกายเปรี้ยง แจ๋กับอุ๊บอิ๊บจะร้องไห้
“กิมจิ แกตายแน่” อุ๊บอิ๊บพึมพำออกมา
กิมจิยังเล่นงานอสุรกายต่ออย่างเมามัน
“เอ้าๆ ถามแล้วไม่ตอบ เดี๋ยวนี้หยิ่งเหรอ ไอ้ทิ้ง”
กิมจิ ต่อยตุ้ยท้องอสุรกาย สองหมัดซ้อน อย่างเมามัน
บุญทิ้งใส่ชุดขาว เดินประสานมืออย่างสำรวมเข้ามายืนข้างๆ กิมจิ
“คุณกิมจิ ทำอะไรอยู่หรือครับ”
กิมจิชะงักมือ เงยหน้ามองบุญทิ้งแล้วอึ้ง
“บุญทิ้ง”
“เจริญพร ...ผมเองครับ”
กิมจิเงยมองหน้าอสุรกาย แล้วก็บุญทิ้งสลับกันไปมา แล้วถามขึ้น
กิมจิชี้ที่บุญทิ้ง “บุญทิ้ง” แล้วหันไปทางอสุรกาย “แล้วนี่ใครวะ”
“ปิศาจไง ไอ้โง่!!” แจ๋กับอุ๊บอิ๊บตอบพร้อมกัน
“ปิศาจเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า ขำว่ะ”
กิมจิหัวเราะร่า หันไปขำกับอสุรกาย พร้อมกับบุญทิ้ง แล้วต่อยท้องอสูรกายแบบหยอกล้อกันอย่างน่ารักๆ สองสามที ถึงค่อยเงยหน้ามองอสุรกายแล้วนึกขึ้นมาได้
“ปิศาจ!!!”
อสุรกายคำรามใส่ กิมจิตกใจร้องจ๊าก กระเด้งถอยหลังออกไป ล้มลงตรงมุมใกล้ๆ อสุรกายตรงเข้ามายกมือจะชกหน้ากิมจิ แต่กิมจิหยิบแผ่นไม้ที่พื้นขึ้นมาบังตัว อสุรกายชกจนแผ่นไม้ทะลุ มือโผล่ไปอยู่ตรงหน้ากิมจิพอดี กิมจิร้องหวาดกลัว อสุรกายเหวี่ยงไม้ทิ้งแล้ว ตรงเข้ามาจะเอานิ้วแหลมคมกระซวกกิมจิ
ไวเท่าความคิดแจ๋รีบคลี่ผ้าคลุมไหล่ตัวเอง โยนไปปิดหน้าอสุรกาย กิมจิได้โอกาสรีบเผ่นลุกวิ่งหนี ไปกับพวกแจ๋ อุ๊บอิ๊บ ส่วนบุญทิ้งยังคงยืนกุมมือ แผ่เมตตาอยู่ข้างๆ ที่กิมจิล้มอยู่
“สัตเพ สัตตา อเวรา โหนตุ....”
กิมจิรีบวิ่งกลับมาดึงตัวบุญทิ้งออกไป
“สวดส่งวิญญาณตัวเองเหรอวะ ไป! ไม่ต้องสวดแล้ว!”
อสุรกายดึงผ้าปิดหน้าออกคำรามลั่นแล้วกระโจนเข้ามา ทั้งสี่คนร้องลั่นรีบวิ่งหนีเตลิดกันไป
อ่านต่อหน้า 2
หอบรักมาห่มป่าตอนที่ 7 (ต่อ)
แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง และอุ๊บอิ๊บ วิ่งร้องกรี๊ดดังลั่นตรงไปที่เต็นท์กลาง ซึ่งศิริ สุภาพ อาหลู่กำลังประชุมเตรียมงานกันอยู่ ธานี พาณิชย์ ธนวัติ เลาซา และกาซู วิ่งเข้ามาจากอีกทางเพราะตกใจตามเสียงร้อง
“มีอะไรกัน?” ศิริถาม
“ปิศาจครับ ปิศาจกินคน! มันไล่ตามเรามา” กิมจิตอบ
“ทางโน้นครับ ผมเห็นกับตา” บุญทิ้งสำทับ
กิมจิกับบุญทิ้งช่วยกันชี้ไป ทุกคนหันไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร
“ปิศาจอะไรของพวกเธอ นอนละเมอกันหรือเปล่า” ธานีเอ็ด
“ไม่ได้ละเมอนะป๊า อุ๊บอิ๊บก็เห็นกับตา มันตัวใหญ่ๆ หน้าตาเหมือนผี ตาแดง แล้ว... แล้วมันกินคนด้วย
เลือดเต็มตัวเลย”
กาซูกับเลาซามองหน้ากัน รู้ทันทีว่าต้องเป็นอสุรกายของตน
แจ๋ยืนยันกับศิริ “จริงๆนะคะ แจ๋เห็นมันกินคนกับตา สยดสยองมากเลยค่ะ”
ศิริ ธานี ธนวัติ พาณิชย์ สุภาพทำหน้ากังวล อาหลู่รีบอาสา
“อาหลู่ไปดูให้เอง มันกล้ามาเหยียบถิ่นเจ้าป่าอย่างเรา เดี๋ยวจะจับมาย่างกินให้เข็ด”
“น้องๆ เห็นมันที่ไหน รีบนำไปเลยครับ”
แจ๋ อุ๊บอิ๊บ รีบพาทุกคนออกไปดู ยกเว้นกาซูกับเลาซา ธานี ธนวัติ พาณิชย์เห็นทั้งสองยืนนิ่งก็พอเดาได้ รีบเดินแยกมา
“ไอ้ตัวประหลาดนั่นของพวกแกใช่ไหม
กาซู เลาซา ทำหน้านิ่ง เครียด ไม่ตอบคำถามธนวัติ
แจ๋กับอุ๊บอิ๊บพาทั้งหมดกลับมาที่เดิม ตรงบริเวณพุ่มไม้ที่เห็นซากศพคนงาน
“นี่แหละค่ะ พวกหนูเจอมันที่นี่” แจ๋แหวกพุ่มไม้อย่างภูมิใจนำเสนอความสยองแต่ต้องร้อง “อ้าว...”
แจ๋กับอุ๊บอิ๊บอึ้งไป เมื่อตรงนั้นไม่ร่องรอยของอสุรกาย แถมศพก็หายไปอีกด้วย
“น้องๆเมายาธาตุหรือเปล่าเนี่ย ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่” สุภาพบอกอย่างเซ็ง
“มีสิ เมื่อกี้ยังมีศพอยู่ตรงนี้เลย แต่ตอนนี้มันหายไปไหนก็ไม่รู้” อุ๊บอิ๊บช่วยยืนยัน
ธนวัติรีบดุอุ๊บอิ๊บกลบเกลื่อน
“เลิกนิสัยเรียกร้องความสนใจได้แล้วยายอุ๊บอิ๊บ พวกเธอไม่ได้เห็นอะไรหรอก แค่นึกสนุกอยากแกล้ง
ผู้ใหญ่เท่านั้นแหละ พวกเด็กเลี้ยงแกะ!”
“นี่ นายว่าฉันโกหกเหรอ” แจ๋โวยวาย
“อย่างนี้มันต้องซักป้าบ”
กิมจิทำท่าถกแขนเสื้อ ธนวัติตั้งท่าจะเอาเรื่องทันที ศิริเลยตัดบท
“เอาล่ะๆ พอได้แล้ว จะมาทะเลาะอะไรกันตอนนี้ ไม่มีก็ไม่มี กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
อุ๊บอิ๊บฟ้องเอากับธานี
“แต่อุ๊บอิ๊บเห็นจริงๆ นะ ป๊า เมื่อกี้”
พาณิชย์ตัดบทกลัวไม่จบดี
“นี่มันดึกแล้วนะ ยายอุ๊บอิ๊บ พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องเข้าป่าตามหาน้องหวีน้องหวันกันแต่เช้า อย่าหาเรื่องกวนใจป๊าอีกเลย”
ธานีเอ่ยขึ้นกับศิริปิดจ๊อบอสุรกาย
“เด็กๆ มันจินตนาการสูงกันน่ะครับ พี่ศิริ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ก๊วนธานี ธนวัติ พาณิชย์เดินนำทุกคนออกไป พวกของศิริตามไป ทิ้งให้แจ๋กับพวกยืนงง แปลกใจ
“เป็นไปได้ยังไง ...มันหายไปไหนกันเนี่ย!”
พอออกมาที่บริเวณเปลี่ยวๆ ชายป่า ธนวัติ หันมาถาม กาซูกับเลาซาที่ เดินตามหลังมา
“ไอ้สัตว์ประหลาดของแกมันอยู่ไหน”
“ตอนนี้ข้าส่งสัญญาณให้มันกลับไปดงผีฟ้าแล้ว” กาซูตอบ
“แต่ฉันกลัวไอ้เด็กพวกนั้นมันจะหูไวตาไวอีก ถ้านายศิริรู้ว่าแกเลี้ยงสัตว์ประหลาดแบบนี้ มันต้องไม่ไว้ใจแน่”
“งั้นเราก็ต้องกำจัดพวกมัน เลาซา เรียกมันออกมาล่าเด็กสามคนนั้นคืนนี้เลย”
เลาซาทำท่าจะสั่นกระพรวน ธนวัติรีบยกมือห้าม
“ไม่ต้อง! ถ้าแกมีวิชาแน่จริงก็ไปตามหาสี่คนนั้นให้เจอเถอะส่วนพวกยายแจ๋ พรุ่งนี้ฉันจะจัดการพวกมันเอง”
ธนวัติพูดอย่างมีแผนการอยู่แล้วภายในใจ
ทางด้านฉวีวรรณเวลานั้นนอนซบอยู่ที่โขดหิน พอได้ยินเสียงร้องครางของดนัย ก็ลืมตาขึ้นมอง แล้วเดินมาดูดนัยอย่างตกใจ
“ดนัย”
ดนัยนอนหลับตา กระสับกระส่าย ไหล่ที่ถูกยิงมีผ้าพันแผลไว้
“หนาว...หนาว” ดนัยละเมอออกมาด้วยพิษไข้
ฉวีวรรณเอามือจับหน้าผากดนัย แล้วชักมือออกแทบไม่ทัน
“ตัวร้อนจี๋เลย นายเป็นไข้นี่ แล้วยายนั่นไปไหน ทำไมไม่เรียกฉัน”
ดนัยนอนกระสับกระส่าย อย่างทุรนทุราย ร้องครางเบาๆ
“เดี๋ยวนะดนัย เดี๋ยวฉันต้มน้ำอุ่นเช็ดตัวให้นะ”
ฉวีวรรณหันไปดูที่กองไฟที่มอดแล้ว พยายามมองหาอุปกรณ์จุดไฟ
ที่แท้คืนนั้นวินยากลับมาที่หมู่บ้านชาวเขาเผ่าชาลัน และในขณะนั้นกำลังเก็บขวดยาลูกกลอนสมุนไพรใส่ย่าม เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินออกมา โดยมีสางโปเดินตามอย่างกังวล
สางโป คนนี้ คือผู้อาวุโสประจำเผ่า วัย 55 ปี ดูใจดี น่าเลื่อมใส วินยาเคารพนับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่คอยให้คำแนะนำวินยาอยู่เสมอ
“แน่ใจเหรอนายน้อยว่าจะย้อนกลับไปช่วยคนแปลกหน้าอีก”
“ฉันจะเอายาไปให้เขาเพิ่มจะได้หายเร็วขึ้น”
“แต่ถ้าเกิดพวกมันเป็นคนไม่ดีละ”
“เขาช่วยฉันไว้นะสางโป ฉันปล่อยให้เขาตายไม่ได้”
สางโปเข้าใจ แต่ก็ยังอดเตือนไม่ได้
“ข้าแค่กลัวว่านายน้อยจะช่วยคนผิด ยิ่งตอนนี้คนเมืองกลุ่มหนึ่งไปร่วมมือกับไอ้สองพ่อลูกกาซูกับเลาซา
นั่น”
“ไม่ใช่หรอก สองคนนี้ไม่ใช่พวกของกาซูแน่ เพราะตอนที่ฉันไปเจอ พวกเขากำลังถูกพวกนายทุนของกาซู
กับเลาซาไล่ทำร้ายมา”
ส่วนชลิตที่แบกดาหวันมาอยู่ในอาการเหนื่อยอ่อน ตัดสินใจปล่อยดาหวันลงนั่งพักที่ขอนไม้ตรงหนึ่ง
“ขาเป็นไงบ้าง”
ดาหวันดูๆ แล้วลองขยับขาตัวเองไปมา
“ดีขึ้นแล้วล่ะ หวันไม่รู้สึกเจ็บเลย”
ดาหวันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าชลิตเห็นเหงื่อชลิตพราวเต็มหน้าผาก
“โห เหงื่อออกเต็มเลย พี่คงเหนื่อยแย่”
ดาหวันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ซับเช็ดเหงื่อที่หน้าหน้าผากให้ชลิตอย่างนุ่มนวล ชลิตมองหน้าดาหวันหัวใจกระตุก อย่างซาบซึ้ง ขณะเดียวกันดาหวันพอรู้สึกว่าถูกจ้องมอง ก็หยุดชะงักเพราะเขิน
“หยุดทำไม” ชลิตถามยิ้มๆ
“หน้าแค่นี้ จะให้เช็ดกี่ชั่วโมง”
“ตลอดชีวิต”
ดาหวันฟังแล้วใจเต้นโครมคราม จ้องชลิตทำตาโต หวามใจครามครัน
“ฮึ”
ชลิตยิ้มๆแก้เกี้ยว
“ล้อเล่นน่ะ...หวันทำให้พี่คิดถึงหวีมากเลยนะ พี่อยากให้หวีมาคอยดูแลเอาใจใส่พี่แบบนี้บ้างจัง...หวัน ..หวันคิดว่าหวี เขาจะคิดถึงพี่บ้างไหม”
ดาหวันฉุนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ที่แท้หึงจึงทำเสียงสะบัดใส่
“ไม่รู้ หวันไม่ใช่พี่หวี คงตอบอะไรๆ แล้วทำอะไรๆ แทนใครไม่ได้”
ดาหวันลุกขึ้นยืนแล้วขว้างผ้าเช็ดหน้าใส่ชลิต
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
“เช็ดเองก็แล้วกัน ไม่ว่างแล้ว!!”
ดาหวันสะบัดเดินไปทางหนึ่ง
“เดี๋ยว นั่นเธอจะไปไหน”
“ก็หาที่พักน่ะสิ พี่อยากนอนกลางป่าก็ตามใจ”
ดาหวันก้าวออกไป อีกสองสามก้าว แล้วชลิตเรียกขึ้นพลางชี้ไปอีกทางหนึ่ง
“หวัน! ตรงโน้นมีบ้านคน”
ดาหวันหันมองตามที่ชลิตชี้ไป เห็นแสงไฟวับๆ แลบออกมาจากกระท่อมขนาดกลางๆ ตั้งอยู่ห่างออกไป ไม่ไกลนัก ชลิตรีบฉุดดาหวันเดินออกไป
“ไป เรารอดตายแล้ว”
กระท่อมกลางป่าหลังนั้นมีขนาดกลาง ไม่ใหญ่มากและไม่เล็กเกินไป ภายในกระท่อมมี 2 ห้องนอน
ชลิตกับดาหวันพากันเดินมาถึงหน้ากระท่อมด้วยความตื่นเต้น
“สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ” ชลิตเรียก
“พวกเราหลงป่า ช่วยด้วยค่า!” ดาหวันเสริม
และแล้วก็มีร่างของสองคน ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นผัวเมียกัน ค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมามอง แล้วพากันเดินออกมาหาชลิตกับดาหวันอย่างแปลกใจ
“เอ็งสองคนหลงป่ามาจริงๆ เหรอ” ฝ่ายชายถามออกมาก่อน
“จริงครับ/จริงค่ะ” ชลิตกับดาหวันบอกพร้อมกัน
“โถ ไปยังไงมายังไงกัน มาๆ ขึ้นมาบนบ้านก่อน” ฝ่ายยายเมียแสดงความห่วงใย
ชลิตกับดาหวันยิ้มให้กันอย่างโล่งอก แล้วรีบปีนขึ้นบันไดไป
สองผัวเมียเปิดประตูห้องพักแคบๆ ให้ทั้งสองดูฝ่ายเมียมองชลิตกับดาหวัน
“ข้ามีห้องว่างอยู่ห้องเดียวนี่แหละ เอ็งสองคนนอนด้วยกันละกัน ท่าทางจะเป็นผัวเมียกันนี่”
ดาหวันตกใจ อ้าปากจะปฏิเสธ ชลิตรีบเอามือปิดปาก
“ครับๆๆ ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
“แต่เราไม่ใช่....”
ชลิตรีบพูดแทน “พวกผมนอนได้ครับ ไม่ต้องห่วง” ชลิตรีบโอบไหล่รั้งตัวดาหวันเข้ามา “จริงมั้ยจ๊ะเมียจ๋า”
ตาผัวมองชลิตกับดาหวันยิ้มๆ เข้าใจว่าทั้งสองจู๋จี๋กันก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ งั้นข้าก็ไม่กวนล่ะ แต่จะทำอะไรก็ระวังหน่อยนะเว้ย กระท่อมข้ามันเป็นไม้ เดี๋ยวจะล้มครืนไปทั้ง
หลัง ฮ่าๆๆๆ”
ผัวพูดอย่างมีเลศนัย แล้วเดินออกไป ชลิตยิ้มกลบเกลื่อน ถูกดาหวันถองใส่ทันที
“โอ๊ย!”
“พี่ชลิตไปบอกลุงแกแบบนั้นได้ยังไง น่าเกลียด”
“ก็ถ้าพี่ไม่บอก ลุงกับป้าแกก็ต้องเดือดร้อนแยกกันมานอนกับพวกเรา หวันไม่เกรงใจเขาหรือไง”
ดาหวันอึ้งไปอย่างเห็นด้วย แต่ยังพยายามจะค้าน
“ไม่ต้องกลัวพี่จะเสียชื่อหรอกน่า แค่อ้างว่าเป็นผัว เอ๊ย สามีหวันคืนเดียวพี่ไม่ถือหรอก”
ชลิตแซวเล่นแต่ถูกดาหวันวี๊ดใส่
“บ้า! หวันต่างหากที่ต้องเสียชื่อ ถ้ามีสามีปากเสียอย่างพี่”
ดาหวันสะบัดหน้าค้อนขวับ แล้วเดินไปปูที่นอน ชลิตมองตามพร้อมกับอมยิ้ม
ดนัยนอนกระสับกระส่ายอย่างทรมาน แต่ฉวีวรรณก็ยังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่กองไฟ พยายามทุบหินจนมือถลอก แต่ก็ไม่เกิดไฟขึ้นมาได้
“อดทนนะดนัย ฉันยังจุดไฟต้มน้ำไม่ได้”
ฉวีวรรณเบะปากจะร้องไห้ แล้วพยายามทุบหินต่อไป ดนัยครางฮือๆ หนาวสั่นอีก
“หนาว ...หนาว” ดนัยครางอย่างน่าสงสาร
ฉวีวรรณน้ำตาจะไหล เพราะสงสาร ตัดสินใจลุกเข้าไปหาดนัย
“ฉันจะช่วยนายยังไงดี”
ฉวีวรรณตัดสินใจช้อนตัวดนัยขึ้นมากอดไว้กับอก
“นายเคยบอกกว่ากอดของฉันอุ่นกว่าผ้าห่ม หายหนาวขึ้นบ้างไหม นายต้องรีบหายนะดนัย”
ฉวีวรรณกอดดนัยไว้ให้อบอุ่น มองด้วยสายตาอย่างเป็นห่วง
วินาทีนั้นสียงของวินยาก็ดังขึ้นมา
“ทำอะไรน่ะ”
ฉวีวรรณหันขวับไปมอง เห็นวินยายืนมองอยู่ที่ปากถ้ำ ฉวีวรรณอึ้งๆ ทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ค่อยวางดนัยลงที่เดิม วินยารีบตรงเข้ามา แตะตัวดนัย แล้วร้องเสียงเครียด
“ตัวร้อนเป็นไฟเลย” หันมาต่อว่าฉวีวรรณ “นี่เธอปล่อยให้เขาเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ดูแลประสาอะไร
ฉวีวรรณทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงดนัย น้ำตาคลอเบ้า สุดจะกลั้นเลยวีนแตกออกมา
“ฉันควรจะถามมากกว่านะ ว่าเธอหายหัวไปไหนมา ไหนว่าเก่งนักหนา มียาดี ก็รักษาเขาให้หายสิ รักษาเลย”
ระเบิดอารมณ์เสร็จ ฉวีวรรณก็วิ่งหนีออกจากถ้ำไปเลย
วินยามองตามอย่างสงสัยภายในใจ ว่าฉวีวรรณกับดนัยเป็นอะไรกันแน่?
ฉวีวรรณหลบออกมานั่งหน้าถ้ำ สะอื้นไห้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ ทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงดนัย จังหวะนั้นฉวีวรรณยกมือขึ้นดู เพิ่งเห็นว่ามือตัวเองถลอกจากการพยายามเอาหินทุบกันเพื่อให้เกิดประกายไฟ ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ และเจ็บใจตัวเอง
“ใช่สิ ฉันมันไม่ดี ฉันมันไม่ได้เรื่อง” ยกมือขึ้นดูเห็นมือถลอก “ความพยายามอยู่ที่ไหน มันก็อยู่แค่นั้น ไม่มีความหมายอะไรหรอก”
วินยาตามออกมาเห็นเข้าพอดี ชะงักนิ่งคิดนิดหนึ่งว่าจะเข้ามาดีมั้ย แล้วตัดสินใจเดินเข้ามาหา
“เอามือมา ฉันใส่ยาให้”
วินยาพูดพลางล้วงตลับยาในย่ามออกมา แล้วดึงมือฉวีวรรณมาทายาให้
“ไม่ต้อง ไปพยาบาลอีตาดนัยเถอะ”
“เขาหลับไปแล้ว”
วินยาดึงมือฉวีวรรณมาใส่ยาให้อย่างไม่สนใจ แล้วเริ่มวิจารณ์ผิวฉวีวรรณ
“ผิวเธอนี่บางสมกับเป็นลูกคุณหนูแท้ๆ เลยนะ มิน่า ทำอะไรก็เก้งก้างไปหมด คงไม่เคยทำงานหนักล่ะสิ”
“ไม่จริง เธอไม่ให้ฉันช่วยต่างหาก อยากพยาบาลเขาคนเดียวก็บอกมาเถอะ”
วินยาได้ฟังก็รู้สึกผิดหู จ้องหน้าฉวีวรรณทันที
“เธอพูดเหมือนกับหึงฉันอย่างนั้นแหละ ไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้เขาหรือไง”
ฉวีวรรณสะดุ้ง รีบโวยวายกลบเกลื่อนเพราะกลัววินยาจับได้
“จะบ้าเหรอ ฉันจะหึงเขาทำไม นายนั่น..เป็นแฟนน้องสาวฉัน”
วินยายังมองฉวีวรรณอย่างไม่เชื่อ ฉวีวรรณยืนยันอีก
“จริงเหรอ แต่ท่าทางที่เธอแสดงออก มันเหมือนเธอเป็นแฟนกันเลยนะ”
ฉวีวรรณหน้าแดงจัด ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง รีบลุกขึ้น
“เธอคิดมากไปน่ะสิ ฉันเกลียดดนัยจะตาย รู้ไว้ด้วย!!”
ฉวีวรรณพูดจบก็เดินหนีไปฉุนๆ วินยามองตามงงๆ
“พูดแค่นี้ ทำไมต้องโกรธด้วย”
ทางด้านชลิตเวลานั้นเขากลับเข้ามาในห้องในกระท่อมอีกครั้งหลังจากออกไปอาบน้ำ รู้สึกสดชื่น ใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงสีขาวเตรียมเข้านอน
“ได้อาบน้ำกลางป่านี่มันสดชื่นจริงๆ เล้ย ไม่อาบเหรอหวัน...เฮ้ย”
ชลิตร้องอย่างตกใจ เมื่อหันไปมองเห็นดาหวันเอาผ้าห่มมาห่อตัวเองแน่น นอนอยู่บนพื้น
“ทำอะไรของเขาเนี่ย”
“ก็นอนน่ะสิ”
“แล้วทำไมนอนอย่างนี้ ชาติก่อนเป็นปอเปี๊ยะเหรอ”
ชลิตล้อ เลยโดนดาหวันเอ็ดเสียงเขียว
“ก็จะนอนอย่างนี้แหละ ป้องกันคนฉวยโอกาส”
ดาหวันพูดพลางปรายตามองชลิตอย่างหมั่นไส้ แล้วตะแคงหันหลังให้ ชลิตแกล้งพูดลอยๆ ออกมา
“ผ้าห่มแค่นั้น ดึงแป๊บเดียวก็หลุด หึๆๆ”
“ก็ลองสิ หวันจะกรี๊ดให้บ้านแตกเลย ลุงกับป้าต้องเข้ามาช่วยแน่ๆ”
ดาหวันขู่ แล้วก็รีบขดตัวงอเป็นกุ้งด้วยความระแวง ชลิตมองยิ้มๆ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ
ทั้งคู่ในขณะนั้นสองผัวเมียยืนมองมาที่ห้องของพวกเขา ครั้นพอไฟตะเกียงในห้องดับลง ทั้งสองก็หันมาสบตากันอย่างมีเลศนัย
เมฆลอยเคลื่อนตัวมาบดบังพระจันทร์จนมืดมิดไปทั้งผืนป่า ข่มให้บรรยากาศในป่าค่ำคืนนี้สยดสยองและน่ากลัวยิ่งขึ้น
ชลิตค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นอย่างช้าๆ แล้วมองไปรอบๆ ตัวอย่างมึนงง เพราะกลายเป็นว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ที่พื้นกลางป่าไม่ใช่ในกระท่อม ชลิตรีบหันไปมองหาดาหวัน ก็เห็นดาหวันนอนอยู่ใกล้ๆ มีเศษใบไม้ห่มอยู่เต็มตัว
“เฮ้ย ! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ชลิตตัดสินใจเขย่าตัวดาหวัน “หวัน! ตื่นเร็ว”
“อะไร ยังง่วงอยู่เลย” ดาหวันงึมงำๆ
“ไม่ได้ ตื่นก่อนหวัน ทำไมเรามาอยู่ที่นี่” ชลิตเขย่าอีกครั้ง
คราวนี้ดาหวันค่อยๆ งัวเงียลุกขึ้นอย่างรำคาญ แต่พอมองไปรอบๆ ตัวก็ตาสว่างทันที
“เฮ้ย! เรามานอนตรงนี้ได้ยังไง พี่ชลิต เล่นอะไรเนี่ย แอบอุ้มหวันออกมาตอนหลับใช่ไหม”
“ดูถูกไปแล้ว ถ้าฉันจะแกล้งไม่แอบอุ้มมานอนแถวนี้หร๊อก”
ดาหวันยกมือจะตีชลิต
“นี่แล้วจะทำอะไร พูดให้มันดีๆ นะ”
“ใครจะไปคิดสัปดนกับเด็กแก่แดดอย่างเธอ เสื่อมสมรรถภาพเปล่าๆ”
“พี่ชลิต” ดาหวันทุบเอาๆ เสียงดังอักๆ
“โอ้ย จ้าๆ ล้อเล่นๆ ฉันตื่นมาก็เจอเราสองคนนอนกลิ้งอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
ดาหวันชะงักมือ
“แต่เรานอนอยู่ในกระท่อมของลุงกับป้านี่”
“แล้วลุงกับป้าหายไปไหน”
ชลิตรีบลุกขึ้นมองหา ฉับพลันก็เห็นชาวบ้านป่าสองผัวเมียคู่เดิม เดินช้าๆ มาจากอีกด้าน ใบหน้าดูถมึงทึงราวกับผีดิบ ชลิตไม่ทันสังเกตุรีบวิ่งเข้าไปหา
“ลุงครับ เฮ่อ... ผมตกใจแทบแย่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมพวกผมมาอยู่ที่นี่”
“พวกเราทำอะไรให้คุณลุงกับคุณป้าไม่พอใจหรือเปล่าคะ” ดาหวันถาม
“ไม่หรอก พวกข้าดีใจที่เจอเอ็งสองคน” ตาลุงผู้เป็นผัวบอก
“เนื้อพวกเอ็งต้องอร่อยแน่” ยายเมียตาม
สองผัวกับเมียมองดาหวันกับชลิตแล้วแสยะยิ้มหน้ากลัวออกมา ฉับพลันร่างของทั้งคู่ก็ค่อยๆ กลายเป็นเสือ ไปต่อหน้าต่อตา ชลิตกับดาหวันช็อก
“น....นี่มันอะไรกัน”
“ส...เสือ ! ป...เป็นไปได้ยังไง”
เสือสองผัวเมียคำรามลั่น แล้วมองชลิตกับดาหวันอย่างหิวโหย พร้อมจะกระโจนเข้าใส่
“อย่าถามอยู่เลย ไปเถอะ”
ชลิตคว้าแขนดาหวันออกวิ่ง เสือสองตัวคำรามลั่นแล้วรีบกระโจนตามไปทันที
ชลิตกับดาหวันวิ่งหนีเสืออย่างไม่คิดชีวิต จังหวะหนึ่งเสือตัวใหญ่ๆ ลอยอยู่ในอากาศ ร้องคำรามดักหน้า ชลิตกับดาหวันที่วิ่งไป อารมณ์หลอนๆ คล้ายกับผีหลอก
“กรี๊ดดดดด ช่วยด้วย”
ชลิตรีบดึงดาหวันไปอีกทาง แล้วโชคร้ายมาเจอผัวเสือสมิงยืนแสยะยิ้มอยู่ ดาหวันตกใจ
ผัวกางมือพุ่งเข้ามาจะบีบคอชลิต ชลิตเบี่ยงหลบแล้วหยิบท่อนไม้ขึ้นมาฟาดลุง
ล้มลงไป ชลิตดึงดาหวันรีบวิ่งหนีตายออกไปอีก
ชลิตกับดาหวันวิ่งหนีหน้าตั้งเข้ามาในป่าอีกมุม โดยมีเสือวิ่งไล่กวดชลิตกับดาหวันไป ชลิตกับดาหวันวิ่งมาถึงตรงมุมหนึ่งแล้วไม่รู้จะไปไหนต่อดี ขณะกำลังหันรีหันขวาง เสือก็กระโจนเข้ามาข้ามหัว ดาหวันกรี๊ดอีก
ชลิตตัดสินใจดึงดาหวันหลบ แล้วกลิ้งตัวกันม้วนลงเนินดินไปอีกทางหนึ่ง ความเหนื่อยล้าผสมแรงกระแทกทั้งคู่สลบไปพร้อมกัน
ในถ้ำเช้าวันใหม่ ฉวีวรรณเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ดนัยที่ยังไม่รู้สึกตัวอย่างนุ่มนวล
“เมื่อไรเขาจะฟื้นซักที”
“อีกไม่นานหรอก ตอนนี้ไม่มีไข้แล้วนี่ แผลก็ดีขึ้นมากแล้วพักฟื้นอีกสักหน่อยก็จะหายเป็นปกติ”
“สาธุ ให้มันจริงอย่างที่โม้เถอะ”
วินยาส่ายหน้าไม่อยากใส่ใจ
“ป้อนยาให้เขาตามเวลาล่ะ ฉันจะไปเอามาให้อีก” วินยากำชับ
“ที่ไหน” ฉวีวรรณถาม
“ที่บ้านฉัน” วินยาบอกสั้นๆ
ฉวีวรรณมองหน้าวินยา เพิ่งนึกได้ว่ารู้เรื่องของอีกฝ่ายน้อยมาก รีบถามรัวเร็ว
“บ้านเธออยู่ที่ไหน แล้วทำไมเธอต้องช่วยพวกฉันด้วย เธอเป็นใครกันแน่”
วินยามองฉวีวรรณนิ่งๆ แล้วคลี่ยิ้มออกมานิดๆ
“ฉันชื่อวินยา เรารู้จักกันแค่นั้นก็พอแล้ว”
วินยาพูดจบก็ดีดตัวออกจากถ้ำ หายตัวไป ฉวีวรรณมองตามอย่างไม่เข้าใจ
ที่บริเวณหน้าแคมป์ยามนี้ เห็นรถจอดเรียงราย มีการแพ็คข้าวของขึ้นรถ สุภาพกำลังดูแลความเรียบร้อย คนงานคนหนึ่งของศิริเดินแบกของมาขึ้นรถแล้วแวะรายงาน
“พี่สุภาพ ไอ้ชาติมันหายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ไม่รู้มันไปไหน”
คนงานรายงานโดยไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นเหยื่ออสุรกายไปแล้ว สุภาพฟังโมโห
“หนีกลับฟาร์มน่ะสิ ไอ้นี่มันชอบอู้งาน เดี๋ยวเถอะ กลับไปเมื่อไรข้าจะตัดเงินเดือนให้เข็ด”
สุภาพส่ายหน้าแล้วเข้ามารายงานศิริกับธานี อุ๊บอิ๊บ และที่เหลือทั้งหมด
“รถพร้อมแล้วครับนาย”
“ถ้างั้นป๊าไปกับลุงศิรินะ เอายายอุ๊บอิ๊บไปด้วย”
“ไม่เอาอ่ะ วันนี้อุ๊บอิ๊บต้องทำสปาผิวกับมาร์กหน้าค่ะ อุ๊บอิ๊บคงออกไปไม่ได้จริงๆ” อุ๊บอิ๊บออกตัว
“ดีมากเลยลูก เดี๋ยวป๊าจะแถมตังค์ให้ด้วยที่ไม่ออกไปเกะกะ” ธานีแซวอย่างเอ็นดูลูกสาว
“ป๊าอ่ะ”
อุ๊บอิ๊บบ่นเสร็จธนวัติพูดต่อ
“งั้นที่เหลือ ผมกับพาณิชย์จะแยกกันไปกับเลาซาแล้วก็กาซูนะครับ”
ศิริพยักหน้าเข้าใจ แล้วทำท่าจะเดินไป สุภาพนับจำนวนคนแล้วชะงัก
“เอ เดี๋ยวครับ แล้วเด็กๆ อีกสามคนเพื่อนของคุณหวีล่ะครับ”
ทุกคนชะงัก เพิ่งนึกได้ว่าสามคนนั้นไม่อยู่ ธนวัติยิ้ม
“อ๋อ ผมให้คนงานพาแจ๋กับเพื่อน เอาน้ำมันไปเติมรถที่เราเจอกลางป่า แล้วก็ให้กลับไปส่งที่ฟาร์มครับ
เพราะรถของยายแจ๋ไม่ใช่โฟร์วีล ขับเข้าป่าลึกกว่านี้จะลำบาก เลยให้ไปรอฟังข่าวข้างนอกดีกว่า”
ที่บริเวณชายป่า แจ๋นั่งหน้างออยู่ที่เบาะหลังกับบุญทิ้งและกิมจิ สมุนธานีนั่งอยู่ตอนหน้าเป็นคนขับและนั่งข้างคนขับอีกหนึ่ง
“ฮึ ให้เราไปรอฟังข่าว นึกว่าไม่รู้เหรอว่ามันกะจะจัดการดนัยกับชลิตง่ายๆ โดยไม่มีเราคอยขวางน่ะสิ”
กิมจิรีบสะกิดแจ๋ แล้วทำเสียงจุ๊ปาก
“เอะอะไป เดี๋ยวเราก็โดนจัดการไปด้วยหรอก”
“ก็ฉันเป็นห่วงเพื่อนนี่”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ คุณแจ๋”
แจ๋ครุ่นคิด แล้วยิ้มออกมาอย่างมีแผน
ระหว่างที่สมุนของธานีขับรถไปตามถนนของชายป่าจนถึงบริเวณที่เป็นเนินเขา แจ๋เหลือบมองสมุนทั้งสองที่นั่งอยู่ตอนหน้า แล้วรีบเอากระเป๋าสะพายของตัวเองซ่อนไว้ใต้เบาะ ก่อนจะแกล้งโวยวายขึ้น
“ว้าย!!! หยุดค่ะ หยุดก่อน กระเป๋าหนูหล่น ยู้ด....”
สมุนของธานีเบรกเอี๊ยด หันมามองแจ๋อย่างงงๆ แจ๋ยิ้มประจบ
“กระเป๋าหนูหล่นลงไปข้างทางค่ะพี่ หนูขอลงไปเก็บก่อนนะคะ”
แจ๋รีบทำท่าจะเปิดประตู กิมจิกับบุญทิ้งตาม สมุนรีบห้าม
“พวกคุณไม่ต้องลง เดี๋ยวผมเก็บให้” สมุนรีบอาสา
แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งชะงัก สมุนมองมาอย่างจับผิด
“คุณธนวัติสั่งห้ามพวกคุณลงจากรถจนกว่าจะกลับถึงฟาร์ม” สมุนคนแรกบอก
สมุนคนหนึ่ง ลงจากรถวิ่งไปที่เนินเขามองหากระเป๋าให้แจ๋ ขณะที่แจ๋ทำเป็นนั่งไม่รู้ไม่ชี้
สมุนคนนั้นไปก้มๆ เงยๆ อยู่ที่กอหญ้าข้างทาง ซักพักก็ตะโกนออกมา
“กระเป๋าสีอะไรอ่ะคุณ ไม่เห็นมีเลย”
“มี กระเป๋าสีดำ” แจ๋พูดขอร้องสมุนคนที่สอง “พี่ไปช่วยเพื่อนหาหน่อยสิ จะได้รีบๆ กลับฟาร์ม”
สมุนธานีมองแจ๋อย่างลังเล แล้วรีบเปิดประตูลงจากรถวิ่งไปช่วยเพื่อนทันที แจ๋หันมายิ้มกับกิมจิและบุญทิ้ง
สมุนทั้งสองช่วยกันมองหากระเป๋าให้แจ๋ แต่ไม่เห็นแม้เงา
“กระเป๋าอะไรของเขาวะ ไม่เห็นมีซักใบ” สมุนคนหนึ่งบ่น
ขาดคำก็ได้ยินเสียงรถยนต์ติดเครื่อง ทั้งสองตกใจรีบวิ่งกลับมาที่ถนน
“เฮ้ย” สมุนทั้งสองคนตกใจร้องพร้อมกัน
แจ๋นั่งอยู่ที่เบาะคนขับข้างๆ บุญทิ้ง มีกิมจิยืนโบกกระเป๋าหยอยๆ อยู่ด้านหลัง
“บ๊ายบาย หาให้เจอนะจ๊ะพี่ จุ๊บๆๆ”
แจ๋เร่งเครื่องยนต์พุ่งย้อนกลับไปยังทางเข้าป่าอีกครั้ง สมุนทั้งสองที่ยืนอยู่กลางถนน รีบกระโดดหนีจนกลิ้งตกลงข้างทางไป
“สมน้ำหน้า ฮ่าๆๆๆๆ”
แจ๋ กิมจิ หัวเราะร่าอย่างสะใจ แล้วเหยียบคันเร่งอย่างคะนอง บุญทิ้งมองข้างทางอย่างหวาดเสียว
“คุณแจ๋ ระวังนะครับ แถวนี้มีแต่เหว”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ซุปเปอร์แจ๋คนนี้ผ่านมาหมดแล้วทั้งโค้งร้อยศพ พันศพ”
แจ๋คุยโม้ เหยียบคันเร่งรถตะบึงไปข้างหน้า จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงขึ้นที่ยางรถ รถเสียการควบคุม
“เฮ้ยๆๆๆๆ”
“อะไร เกิดอะไรขึ้น” กิมจิถาม
“ยางแตก” แจ๋หน้าเสีย
รถของแจ๋เสียหลักเซลงจากถนน แล้วไถลลงไปยังเหวข้างทางทันที แจ๋ กับกิมจิ กรี๊ดลั่นรถ ในขณะที่รถพุ่งลงไป บุญทิ้งพนมมือเรียกพ่อแก้วแม่แก้วปากคอสั่น
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งค่อยๆ ปีนออกมาจากรถที่จอดตายอยู่กลางป่า แจ๋มองสภาพยางรถแล้วจะร้องไห้
“โธ่น้องชมพูของแม่” แจ๋เปลี่ยนชื่อตามสีรถ “กลับไปฉันโดนป๋าด่ายับแน่ๆ”
“คุณแจ๋หาทางออกจากป่านี้ให้ได้ก่อนเถอะครับ แล้วค่อยกลุ้ม”
บุญทิ้งมองไปรอบๆ อย่างกลัวๆ แจ๋หน้าเสีย หันมองรอบตัวบ้าง
“นั่นสิ เราจะไปยังไงต่อดี ถ้าขับรถไปก็ยังพอมีทาง แต่ถ้าต้องเดินเท้าเนี่ย จะทำยังไง อุปกรณ์เดินป่า
อะไรก็ไม่มี” แจ๋โวยใส่กิมจิ
“โอ๊ย นายสองคนนี่เชยว่ะ เดี๋ยวนี้มันหมดสมัยแล้วเว้ย ไอ้เรื่องแบกเป้ ถือแผนที่เข้าป่าน่ะ โลกมันพัฒนา
ไปถึงไหนๆ แล้ว มีมือถืออันเดียวก็ดูได้ละ นี่ๆ สมาร์ทโฟน รู้จักไหม จะดูแผนที่ หรือเข็มทิศก็มีทั้งนั้นเว้ย”
กิมจิควักมือถือขึ้นมา เปิดโชว์โปรแกรม เลื่อนไปเลื่อนมาอวดแจ๋กับกิมจิ บุญทิ้งโล่งอก
“เจริญพร งั้นคุณกิมจิรีบนำไปเลยครับ”
“จัดไปๆๆ” แจ๋รีบบอก
กิมจิรีบเปิดเข็มทิศ แล้วเดินนำไป แจ๋กับบุญทิ้งรีบสะพายเป้ตามมาอย่างมีความหวัง
อ่านต่อหน้า 3
หอบรักมาห่มป่าตอนที่ 7 (ต่อ)
ในจังหวะที่ฉวีวรรณนั่งเขี่ยกองไฟอยู่นั้น แต่แล้วจู่ๆ ดนัยก็ค่อยๆ ขยับตัวตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ลืมตา
“น้ำ...ขอน้ำกินหน่อย”
ดนัยไอแค่กๆ แล้วออกอาการกระสับกระส่ายไปมา ฉวีวรรณรีบเข้าไปดูทันทีอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ดนัย”
“ขอน้ำ...น้ำ” เสียงดนัยแห้งผาก
“น้ำเหรอ เดี๋ยวนะ”
ฉวีวรรณหันไปหยิบกระบอกน้ำ จะส่งให้ แต่ปรากฏว่าไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย
“น้ำ...” เสียงดนัยร้องขอน้ำขึ้นมาอีก
“เดี๋ยวนะดนัย เดี๋ยวฉันออกไปหาน้ำให้นะ”
ฉวีวรรณคว้ากระบอกแล้วรีบร้อนวิ่งออกจากถ้ำไป
ทางด้านกิมจิเดินดูเข็มทิศในมือถือมาเรื่อยๆ โดยมีแจ๋กับบุญทิ้งหิ้วเป้ตามหลัง เดินกันมาจนแจ๋เริ่มเหนื่อย
“กิมจิ แกมาถูกทางหรือเปล่าเนี่ย เดินจนขาลากแล้วนะฉันยังไม่เห็นถนนซักเส้น”
“ก็ไปทางเนี้ยแหละ เข็มทิศมันบอก”
“เจริญพร...ผมว่าเรายิ่งเดินยิ่งเข้าป่าลึกกว่าเดิมนะครับ”
“แกดูเป็นหรือเปล่า เอามานี่ ฉันดูเอง”
แจ๋เอื้อมมือไปแย่งมือถือกิมจิ แต่กิมจิไม่ให้
“ไม่ได้ มือถือฉันแพง เดี๋ยวแกกดพัง”
“เอ๊ บอกให้เอามา!”
กิมจิกับแจ๋ยื้อแย่งกันไปกันมา มือถือหลุดมือจากกิมจิกระเด็นหวือข้ามหัวทั้งสามไป
มือถือกิมจิลอยคว้างไปบนอากาศ แล้วไปตกอยู่ในมือ ผัวเสือสมิง ที่ยืนอยู่คู่กับเมีย
“นี่ของใคร”
ทั้งสามคนหันไปมอง แล้วกิมจิวิ่งเข้าไปหา
“ลุง ขอบคุณนะครับที่ช่วยเก็บมือถือให้ผม”
กิมจิยื่นมือไปเอามือถือ
“ไม่เป็นไรหรอกหลานชาย” เสือสมิงในร่างลุงใจดีบอก
แจ๋กับบุญทิ้งวิ่งตามเข้ามา
“อุ้ย โชคดีจริงๆ เลยอ่ะ เจอคนในท้องที่อย่างนี้ ลุงกับป้าขา หนูจะออกจากป่านี้ได้ยังไงคะ”
สองผัวเมียหันมองหน้ากันยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแวบหนึ่ง แล้วเมียหันไปตอบแจ๋
“ตามมาสินังหนู พวกข้าจะพาไปเอง”
“อุ้ย ป้าใจดีจัง ขอบคุณมากๆนะคะ” แจ๋ซาบซึ้งรีบไหว้ขอบคุณ
บุญทิ้งไชโยแบบสำรวมๆ พูดช้าๆ
“ไชโย ไชโย เราไม่ต้องตายในป่าแล้ว”
ยายเมียดึงมือแจ๋ ให้รีบไป
“เร็วๆ ข้าหิวแล้ว”
“ฮึ ป้าว่าอะไรนะ” แจ๋ขืนตัวไว้
“ไปเถอะน่า” เมียรีบฉุดอีก
เสียงคุ้นหูของชลิตดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ทุกคนชะงัก แล้วหันไปตามเสียง เห็น ชลิตกับดาหวันวิ่งเข้ามาหน้าตื่น
แจ๋ดีใจ ชลิต ดาหวัน !!!
ชลิตชี้หน้าผัวเมีย ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้
“พี่แจ๋ หนีเร็ว”
“อะไรกัน หวัน มาถึงก็รีบบอกให้หนี ป้ากับลุงเขาจะพาเราออกจากป่านะ” กิมจิอธิบาย
“มันจะพาพี่ออกจากร่างมากกว่านะสิ มันไม่ใช่คน!”
“อะไรนะ!!” แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง พูดพร้อมกัน
สองผัวเมียส่งเสียงหัวเราะน่ากลัว
“รู้แล้วก็ดี ข้าจะกินให้หมดนี่แหละ”
ชลิตรีบหยิบก้อนหินปาไปใส่ศีรษะผัว
แจ๋หยิบสเปรย์พริกไทยจากเป้ออกมาฉีดใส่หน้ายายเมีย จนแสบตารีบปล่อยมือ ส่วนผัวก็กุมหัวอย่างเจ็บ
พอสบโอกาสชลิตร้องตะโกนลั่น
“ไป หนีเร็ว”
แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง รีบวิ่งออกมาหาชลิต ดาหวัน
สองผัวเมียกลายร่างเป็นเสือต่อหน้า ทุกคนมองเห็น แล้วกรี๊ดออกมา รีบวิ่งเผ่นแน่บกันออกไป ด้วยความหวาดกลัว เสือสองตัวคำรามลั่น แล้วกระโจนตามไป
ชลิตกับดาหวัน วิ่งนำมา มีแจ๋ กิมจิ บุญทิ้งวิ่งตามหลัง โดยมีเสือไล่ตามมาติดๆ ทั้งหมดร้องโวยวาย ชลิตกับดาหวันจูงกันวิ่งไม่ยอมปล่อยมือ แล้วตัดสินใจวิ่งเลี้ยวแยกฉีกตัวไปทางหนึ่ง ส่วนพวกแจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง เลี้ยวไปอีกทาง จังหวะหนึ่งเสือกระโจนตาม ชลิตกับดาหวันไปส่งเสียงคำรามก้องไปทั้งป่า แล้วไล่ล่าอย่างไม่ลดละ
ชลิต กับดาหวัน วิ่งหนีไปเรื่อยๆ ก่อนจะเบรกเอี๊ยด ตรงที่สุดปลายหน้าผา
“หน้าผา!”
ชลิตกางมือกันดาหวันเอาไว้ ดาหวันชะงักกึก แล้วมองลงไปด้านหลังอย่างหวาดเสียว เสือสองตัวที่วิ่งไล่ตามมา กระโจนออกมา แล้วหยุดมองทั้งสองอย่างใจเย็น
ชลิตกับดาหวันถอยกรูด มองดูเสือที่ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาคำรามลั่น ทั้งสองถอยหลังไปจนสุดหน้าผา แล้ว ดินกร่อนลงไปข้างล่าง ดาหวันกลัวน้ำตาคลอใจหาย
“อ...เอาไงดี โดดก็ตายไม่โดดก็ตาย”
“เลือกแบบศพจะดีกว่าไหมหวัน”
“ไอ้พี่ชลิตบ้า นึกว่าจะช่วยย
“ฉันไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนี่ แต่ฉันก็โอ เค นะ ถ้าฉันจะตายเพราะเป็นเบาะให้เธอทับ ศพเธอจะได้ไม่กระจัดกระจายมาก”
“อี๋ จะตายอยู่แล้ว ยังจะพูดเล่นอีก”
“ฉันพูดจริง! โดด เหอะ”
จับมือดาหวันหมับเตรียมจะโดด
แต่แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดซ้อน ทั้งหมดตกใจ รีบก้มลงหมอบอย่างกลัวๆ ชลิต ดาหวัน ที่หมอบกับพื้นๆ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอย่างอยากรู้ และก็มองเห็นเสือสองตัวนอนนิ่งเลือดโทรมกาย ตายสนิท
“มันตายแล้ว”
ร่างของเสือค่อยๆ สลายหายไป กลายเป็นฝุ่นธุลีปลิวออกไปในอากาศ ดาหวันกับชลิตมองภาพตรงเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง
“ใครมาช่วยพวกเรา?” ชลิตอึ้ง และดาหวันงงๆ
จังหวะนั้นพาณิชย์ก็ถือปืนล่าสัตว์เดินเข้ามาให้เห็นกับกาซู พร้อมสมุนอีกหลายคน เสียงพาณิชย์หัวเราะดังลั่นก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“เป็นไง ซาบซึ้งในพระคุณฉันมากไหม”
“ไอ้พาณิชย์” ชลิตตกใจ
“หึๆๆ กระสุนอาคมได้ผลเกินคาด เยี่ยมมากกาซู!”
“นอกจากใช้ยิงภูตผีปีศาจแล้ว ยิงคนก็ตายเหมือนกัน” กาซูเยาะแล้วขู่อยู่ในที
พาณิชย์กับกาซูหัวเราะชอบใจพร้อมกัน แล้วพาณิชย์ยกปืนเล็งมาที่ ชลิต
“ถึงเวลาส่งวิญญาณแกแล้ว ไอ้ชลิต”
ดาหวันยังไม่รู้ว่าพวกพาณิชย์ค้าไม้เถื่อนเลยเข้าใจเพียงว่า พาณิชย์แค่ทำเกินกว่าเหตุ
“อย่าทำบ้าๆ นะ พี่ชลิตไม่ใช่โจรขโมยที่ไหน ความผิดของเขามันไม่ได้ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกัน”
“มันต้องตายเพราะความสาระแนของมันต่างหาก”
พาณิชย์ขึ้นไกจะยิง ดาหวันกรี๊ดลั่น
แสงแฟลชจากกล้องมือถือ แวบๆ เข้ามา พร้อมเสียงแจ๋
“เอาซี้ ใครยิงชลิต คนนั้นติดคุกแน่”
พาณิชย์ชะงัก แจ๋ถือกล้องถ่ายรูป ถ่ายเข้ามา พร้อมๆ กับ กิมจิใช้มือถือถ่ายรูป บุญทิ้งใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายทุกคน
“ถ่ายเก็บไว้ให้หมดนะ กิมจิ บุญทิ้ง ส่งทั้งภาพทั้งเสียงไปให้ตำรวจ แล้วก็นักข่าวทั้งประเทศไปเลย”
พาณิชย์ยกมือป้องหน้า หลบแสงแฟลช
“เฮ้ย พวกแกเล่นบ้าอะไร พอได้แล้ว”
ดาหวันรีบวิ่งไปกอดแจ๋ ชลิตตามไปด้วย
“พี่แจ๋”
“ขอบใจมากนะแจ๋”
“ไม่เป็นไร ฉันช่วยไม่ให้มันยิงนายได้ แต่ฉันคงช่วยนายหนีไม่ได้อีกแล้ว”
“ฉันรู้ แล้วฉันก็จะไม่หนีแล้ว เป็นไงก็เป็นกัน!”
ชลิตมองสบตาอย่างท้าทายกับพาณิชย์ ซึ่งพาณิชย์สั่งลูกน้องให้เข้าไปจับตัวชลิตทันที
พาณิชย์จับมัน...เอาตัวมันไปให้ลุงศิริจัดการ
สมุนกรูเข้าไปจับตัวชลิตทันที แล้วดึงตัวออกไป แจ๋กับพวกกิมจิ บุญทิ้ง ดาหวันรีบวิ่งตามไป ร้องเป็นห่วง กาซูกระซิบกับพาณิชย์ เครียด
“แน่ใจแล้วเหรอ มันรู้เรื่องไม้เถื่อนนะ”
“หึ..จะปล่อยเข้าป่าให้ตามตัวยากอีกทำไม เอามันไว้ใกล้ๆตัวนี่แหละ แล้วเราค่อยหาทางปิดปากมัน”
สีหน้าแววตาพาณิชย์เวลานี้เหี้ยมเอาเรื่อง
ด้านดนัยที่นอนกระสับกระส่ายอยู่เพราะหิวน้ำค่อยๆ ลืมตารู้สึกตัวขึ้นเต็มที่ มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ และพบว่าตัวเองอยู่ในถ้ำ เลยขยับตัวลุกขึ้น
ดนัยกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเพราะคอแห้ง จึงพยายามจะลุกไปหาน้ำกิน แต่ขาอ่อนแรงจนทรุดลง แต่ทันใดนั้นก็มีมือมาประคองไว้
ดนัยชะงักแล้วเหลือบมอง ถึงเห็นว่าเป็นวินยา
“อย่าเพิ่งลุกสิ นายยังไม่แข็งแรงนะ...จะเอาอะไรเหรอ” วินยาถาม
“น้ำ ขอน้ำหน่อย”
ดนัยเสียงแห้งผาก วินยารีบหยิบกระติกในย่าม แล้วรินน้ำส่งให้ดนัย ดนัยดื่มอย่างหิวโหย
ฉวีวรรณวิ่งปาดเหงื่อไปจนถึงลำธาร แล้วลุยลงไปตักน้ำตรงกลางลำธาร เห็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากหน้ากลัว แต่ฉวีวรรณก็กัดฟันเหนี่ยวโขดหินลุยไป เพื่อจะตักน้ำที่ใสที่สุดมาให้ดนัย
ดนัยดื่มน้ำจนหมด เหลือบมองแผลตัวเอง วินยามองดนัยอย่างพิจารณา
“สีหน้านายดีขึ้นมาก ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”
ดนัยส่ายหน้า วินยาเลยยิ้มออก
“งั้นก็แสดงว่าแผลเริ่มสนิทแล้ว”
“คุณ..เออ ...คุณ”
“ไม่ต้องมาคุณๆผมๆ หรอก ตามสบายเถอะ ฉันชื่อวินยา”
วินยายิ้มให้ดนัยอย่างเป็นมิตร แล้วก็แอบมีความประทับใจลึกๆ แต่ยังไม่แสดงออกนัก
ดนัยยิ้มบางๆ ผ่อนคลายมากขึ้น “วินยา ..เธอเป็นคนช่วยฉันไว้เหรอ”
วินยาพยักหน้า แล้วหยิบห่อข้าวในย่ามออกมา
“นาย รีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวต้องกินยาอีกมื้อนึง”
ฉวีวรรณประคองกระติกน้ำอย่างระมัดระวัง วิ่งมาถึงหน้าถ้ำ แล้วตะโกนเข้าไป
“ดนัย ฉันได้น้ำมา...”
ฉวีวรรณชะงัก เสียงขาดหายไปในลำคอ เมื่อโผล่หน้าเข้ามามองไปเห็นวินยากำลังป้อนข้าวดนัยอยู่พอดี ท่าทางมีความสุขเหมือนโลกนี้มีเพียงเราสองคน ซักพักวินยาก็ยกน้ำกับยาสมุนไพรให้ดนัยดื่ม
ฉวีวรรณนิ่งอึ้ง มองดูน้ำที่ตัวเองอุตส่าห์ไปหามา แล้วค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเศร้าใจ ก่อนจะทรุดนั่งลงที่หน้าถ้ำ กระติกน้ำหลุดมืออย่างหมดเรี่ยวแรง
ดนัยกินน้ำเสร็จ วินยาก็ทำท่าจะป้อนข้าวให้อีก แต่ดนัยส่ายหน้าแล้วมองหา
“แล้วหวีล่ะ หวีไปไหน”
“หวี?” วินยางง
“ฉวีวรรณ เพื่อนฉัน”
“อ๋อ ผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้สิ เมื่อเช้าฉันให้เขาเฝ้าเธอไว้ แต่พอกลับมาก็ไม่เห็นแล้ว”
ดนัยชะงัก แล้วมองหน้าวินยา นึกถึงภาพตอนเช้าตรู่ที่ตัวเองเพ้อออกมา
“ดนัย...” ฉวีวรรณเรียก
“ขอน้ำ...น้ำ” ดนัยละเมอบอก
“น้ำเหรอ เดี๋ยวนะ”
ดนัยนึกได้ มองหน้าวินยา
“แสดงว่าคนที่เฝ้าฉันเมื่อเช้า เป็นหวีเหรอ แล้วเขาหายไปไหน”
ดนัยเริ่มเป็นห่วงรีบลุกขึ้น วินยาผวาจะจับไว้
“นายจะไปไหน”
“ฉันจะไปตามหาหวี”
ดนัยแกะมือวินยาออกแล้วเดินโซเซไป วินยารีบตาม
ดนัยพาตัวเองเดินออกมาหน้าถ้ำ โดยมีวินยาตามารั้งไว้เพราะกลัวอาการจะกำเริบ
“นายนอนพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวฉันตามหาเขาเอง
“ไม่เป็นไร ...หวี!”
ดนัยตะโกนเรียก พลางมองหาแล้วชะงักเมื่อเห็นกระติกน้ำของวินยาตกอยู่หน้าถ้ำ วินยารีบหยิบขึ้นมา
“กระติกน้ำของฉันนี่”
“น้ำ!!” ดนัยคิดถึงฉวีวรรณขึ้นมา “เขาต้องไปตักน้ำให้ฉัน”
“แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้” วินยาออกความเห็น
“ต้องเกิดอะไรขึ้นกับหวีแน่ๆ”
ดนัยใจไม่ดี รีบเดินออกไปทันที
ในขณะนั้นฉวีวรรณเดินเรื่อยเปื่อยออกมา เพราะความน้อยใจดนัย น้ำตาพาลจะไหลแต่ก็รีบเช็ดออก
“เขามีคนดูแลแล้ว เราไม่จำเป็นต้องห่วงเขาแล้วละฉวีวรรณ”
ฉวีวรรณเดินปาดน้ำตาต่อไปเรื่อยๆ หวังจะหาทางออกจากป่าไปคนเดียว
ดนัยวิ่งเข้ามากลางป่า มองหาฉวีวรรณอย่างร้อนใจ
“หวี ! เธออยู่ที่ไหน ตอบฉันด้วย หวี!”
ดนัยป้องปากตะโกนแล้ววิ่งต่อไป โดยมีวินยาวิ่งตาม
“ใจเย็นๆ ดนัย เขาอาจจะไปเดินเล่นแถวนี้ก็ได้ เรากลับไปที่ถ้ำเถอะ”
วินยาคว้าแขนดนัยไว้ แต่ดนัยสะบัดอย่างแรง แล้วพูดเสียงดัง
“แต่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาล่ะ ฉันจะตามหาเขาให้เจอ”
“แต่ร่างกายนายยังต้องการการพักผ่อนนะ” วินยาเตือนดนัย
“ช่างมัน แต่ฉันไม่ยอมให้หวีเป็นอะไรไปแน่”
ดนัยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
ฉวีวรรณเดินเข้ามาในป่าอีกมุม แล้วมองเห็นรถวิ่งผ่านมาพอดี ก็ดีใจ รีบวิ่งออกไป
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”
ฉวีวรรณวิ่งไปขวางทางรถ แล้วชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นรถของธนวัติ
ฉวีวรรณ “ธนวัติ!” ฉวีวรรณตกใจ
“น้องหวี!”
ธนวัติรีบกระโดดลงมาจากรถ รีบลงมาอย่างดีใจ
“ในที่สุดพี่ก็เจอน้องหวีจนได้”
ฉวีวรรณถอยหนีอย่างตกใจ แต่สมุนของธนวัติกรูกันไปตีวงล้อมไว้
“อย่าเข้ามานะ”
“แหม อย่าดุสิจ๊ะ พวกพี่มาดีนะ”
“ไอ้ชั่ว แกทำลายชีวิตฉันไม่พอ แกยังทำลายชาติด้วยการตัดไม้ทำลายป่าอีกเหรอ แกไม่ต้องมาพูดอะไร
ให้เสียเวลา ไปลงนรกซะเถอะ ไอ้เศษมนุษย์”
ธนวัติโมโห ยกมือขึ้นจะตบ ฉวีวรรณยื่นหน้าใส่อย่างไม่กลัวเกรง
“เอาซี้ ตบฉันเลย ฆ่าฉันให้ตายเลยก็ได้ แต่ฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แกเด็ดขาด”
ธนวัติลดมือลง แล้วดึงตัวฉวีวรรณเข้ามาปะทะอกจ้องเอาเรื่อง
“สวยๆ อย่างนี้ ให้ตายง่ายๆ ก็เสียดายแย่” ธนวัติแกล้งยั่วแกมขู่
“นี่แกจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”
ธนวัติดึงไว้ไม่ยอมปล่อย “ไม่ต้องกลัว พี่แค่จะรักษาโรคปากไม่ดีให้น้องหวี”
ธนวัติก้มลงมาหมายจะซุกไซ้ ปล้ำจูบ แต่ฉวีวรรณกรี๊ดลั่น ทุบตีเป็นพัลวัน
“ไอ้สารเลว ปล่อย” ฉวีวรรณกรี๊ด
ฉับพลันก็มีลูกดอกพุ่งออกมาจากราวปา ยิงเข้ามาปักบนพื้นข้างหน้าธนวัติ ธนวัติชะงักกึก เลาซากับธนวัติหันไปมอง เห็นวินยากับดนัยโผล่มา
“ไอ้ดนัย!”
“ปล่อยฉวีวรรณเดี๋ยวนี้นะ!” ดนัยพูดเสียงกร้าว
เลาซามองวินยาอย่างตกใจ
“นังวินยา แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันก็มาขัดขวางไม่ให้คนเลวมันทำชั่วน่ะสิ ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น !
“อย่าเก่งแต่ปากก็แล้วกัน วินยา ข้าไม่ออมมือให้อีกแล้ว”
เลาซาพูดพร้อมกับหยิบหน้าไม้ออกมายิงใส่วินยาทันที วินยารีบกลิ้งหลบ แต่ก็ถูกเลาซาไล่ยิงจนต้องดีดตัวหนีหายไป
ดนัยวิ่งเข้าไปหาฉวีวรรณ แต่โดนสมุนของธนวัติกรูเข้ามาเล่นงานทันที
“หวี!!”
“จัดการมัน” ธนวัติสั่งลูกน้อง
ดนัยต่อสู้กับทั้งสามแบบลืมเจ็บไปเลย จังหวะหนึ่งดนัยเจอล็อกตัวจับซ้อม
ฉวีวรรณพยายามจะเข้าไปช่วย
“ดนัย อย่าทำเขานะ ปล่อยฉัน”
“ปล่อยให้มันโดนกระทืบตายไปเถอะ เรามาเคลียร์เรื่องที่ค้างไว้กันดีกว่า”
“ปล่อยนะ ดนัยๆ ช่วยฉันด้วย”
ธนวัติฉุดฉวีวรรณไปทางป่า ฉวีวรรณร้องกรี๊ดอย่างตกใจ ดนัยเหลือบเห็นพยายามจะตามไป
“หวี !”
ดนัยจะตามไป แต่ก็สู้ติดพันอยู่กับพวกสมุนลูกน้องธนวัติ
ทางด้านวินยากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ หลบลูกดอกที่เลาซายิงมา แล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ก่อนจะยิงธนูกลับไป เลาซาเอาหน้าไม้ปัดธนูทิ้งไป แล้วกระโจนเข้ามาจะเอาหน้าไม้ฟาด วินยาก้มตัวหลบ แล้วถีบเลาซาออกไป
“ไม่เลวนี่ ไอ้แก่สางโปมันสอนเจ้ามาดีสินะ” เลาซาเยาะ
“คนเผ่าชาลัน มีเลือดนักสู้อยู่ในตัวทุกคน”
วินยาพูดไปก็เตะต่อยกับเลาซาไป ชิงไหวชิงพริบกัน จังหวะหนึ่งเลาซายิ้มเยาะ
“งั้นเหรอ แล้วทำไมพ่อของเจ้าถึงได้ปวกเปียกจนตายได้ง่ายๆ ละ”
วินยาโกรธจัด กระโดดตัวลอยถีบยอดอกเลาซากระเด็นไป แล้วตรงเข้าไปซ้ำ
“เพราะพ่อไว้ใจคนทรยศมากเกินไปน่ะสิ พ่อไม่เคยคิดว่าไอ้กาซูพ่อของเจ้าจะเป็นหมาลอบกัด คิดจะยึด
ครองเผ่าของเรา”
เลาซายังตั้งหลักไม่ติด โดนวินยากระหน่ำด้วยความโกรธ
“พ่อเจ้าฆ่าพ่อข้าเพราะความโลภ ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้แล้ว”
วินยาชักคันธนูออกมาเตรียมยิงใส่ เลาซารีบพลิกตัวเอาขาเตะวินยาจนเซไป
“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก พวกข้ารอดมาได้เป็นสิบปี ก็แปลว่าพวกเจ้าไม่มีน้ำยา”
เลาซาตั้งหลักได้ ยิงหน้าไม้ใส่วินยาอีก วินยากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ก่อนจะพุ่งตัวกลับมาเตะเลาซาจนกระเด็นไปไกล
เวลาเดียวกันนั้นฉวีวรรณโดนธนวัติลากไปในป่า แต่ยังพยายามต่อสู้เตะถีบธนวัติเต็มที่
“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน กรี๊ด....”
ดนัยได้ยินเสียงกรี๊ดของฉวีวรรณแล้ว เป็นห่วงและแค้นธนวัติมาก จึงเกิดแรงฮึดเล่นงานสมุนทั้ง 3 คนอย่างไม่คิดชีวิต
“หวี!”
“ช่วยด้วย...”
เสียงร้องของฉวีวรรณยิ่งทำให้ ดนัยบ้าเลือด เตะถีบสมุนทั้งสามคนไม่นับ จนทั้งสามล้มพับ กองระเนระนาด
เวลาเดียวกันนั้น ศิริ ธานี อาหลู่ สุภาพ และลูกสมุนธานี 4 คน เดินลุยป่ามาทางหนึ่ง ศิริได้ยินเสียงฉวีวรรณกรี๊ดแว่วมา
“เสียงคนกรี๊ดนี่”
ทุกคนชะงัก เงี่ยหูฟัง
“ไม่มีอะไรหรอก คงเป็นเสียงชะนีล่ะมั้งพี่ศิริ” ธานีพูดแบบขำๆ
“ชะนีมันต้องร้องว่าผัวๆ แต่นี่มันเสียงคนชัดๆ นะนาย”
อาหลู่แย้งธานี ศิริจุ๊ปากให้ทุกคนเงียบฟัง
“เงียบๆ ลองฟังให้ชัดๆอีกทีสิ”
ทั้งหมดทำท่าตั้งใจฟังกัน แล้วก็มีเสียงใครบางคนผายลมขึ้นมากลิ่นอย่างแรง จนวงแตกกระเจิง
“ชัดเลย มาทั้งเสียงทั้งกลิ่นเต็มๆ ใครตดวะ”
“อาหลู่ เปล่านะ” อาหลู่ปิดตาตัวเอง แต่ชี้ไปที่ธานี แบบที่พยานชี้ตัวฆาตกรตามโรงพัก
“เออ ฉันเองนี่แหละ มัวแต่ลุ้นซะ กล้ามเนื้อหูรูดปรับตัวไม่ทัน... พี่ศิริครับ คือผมว่าเรากลับแค้มป์กันเลยดีกว่า”
คราวนี้เสียงฉวีวรรณดังลั่นป่าชัดๆ
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วยย กรี๊ด”
“ชัดแล้ว ยายหวีแน่ๆ หวีลูกพ่อ”
ศิริตกใจรีบวิ่งนำออกไปเลยทันที ทุกคนรีบวิ่งตาม
ฉวีวรรณโดนธนวัติปลุกปล้ำอยู่ในพงหญ้าอย่างหมดทางสู้
“หึหึ ร้องเลย ร้องเข้าไป ยังไงเธอก็ต้องเป็นเมียฉัน”
“แกฆ่าฉันซะดีกว่า ออกไป๊”
“วิธีรักษาความลับที่ดีที่สุด ก็คือเอาเธอมาเป็นพวกเดียวกับฉัน มันจำเป็นจริงๆ ฉวีวรรณ ที่เธอต้องเรียกฉันว่าผัว”
ธนวัติย่ามใจจะฉีกเสื้อผ้า ดนัยโผล่มาเอาไม้ฟาดกลางหลัง
“โอ๊ย!”
“ไอ้ชั่ว แกตาย!”
ดนัยตรงเข้าชก เตะต่อยธนวัติระรัว ธนวัติตั้งตัวไม่ติดฟุบสู้ไม่ได้ ศิริ กับ ธานี สุภาพ อาหลู่ วิ่งเข้ามา พร้อมสมุนทั้งหมด
“ยายหวี” ศิริตกใจระคนดีใจที่เห็นลูกสาวคนโต
ทุกคนชะงักหันไปมอง ธนวัติรีบร้องเสียงหลง
“พ่อ ลุงศิริ ! ช่วยผมด้วยครับ มันจะฆ่าผม!”
“พ่อ” ฉวีวรรณเรียกพ่อดีใจระคนตกใจ
“เฮ้ย จับมัน! จับไอ้ดนัยไว้เร็ว”
ธานีหันไปสั่งสมุนทั้งหมดรีบกรูกันวิ่งเข้าไป แล้วเอาปืนเล็งล้อมดนัยไว้กลางวง ฉวีวรรณมองตามหน้าเสีย อย่างเป็นห่วงสุดหัวใจ
“ดนัย!!”
ส่วนทางด้านเลาซาโดนวินยากระหน่ำเตะจนหน้าไม้หลุดมือ วินยากระโจนตามไปยืนคร่อมร่างเลาซาสีหน้าตระหนก
“ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันยังไม่ฆ่าแก แค่จะฝากแผลเป็นเล็กๆ ไปถึงพ่อแกเท่านั้น”
วินยายิ้มเยาะ ชักมีดพกออกมา เตรียมจะแทงเข้าที่ไหล่เหล่าซา แต่เลาซาหยิบก้อนหินปาใส่หน้า จนวินยาเสียจังหวะ แล้วรีบดีดตัวหนีไป
“ไอ้เลาซา”
วินยารีบดีดตัวตามไป แต่เลาซาเคลื่อนตัวหายไปอย่างรวดเร็ว วินยายืนนิ่งอย่างเสียดาย แล้วนึกถึงดนัยกับฉวีวรรณขึ้นมาได้
“ดนัย”
วินยารีบย้อนกลับไปทางเดิมอย่างเป็นห่วงดนัย
ดนัยถูกอาหลู่และสมุนของธานีคุมตัวขึ้นรถที่ขับเข้ามาเทียบ ในสภาพที่ถูกมัดมือแน่น ธานีประคองธนวัติที่หน้าบวมปูดตามขึ้นไปพลางมองดนัยอย่างเกลียดชัง ฉวีวรรณพยายามจะวิ่งตามดนัยไป
“ดนัย ปล่อยเขาได้แล้ว อย่าทำแบบนั้น”
ศิริรีบดึงตัวลูกสาวไว้ ให้ฉวีวรรณเดินตามมาพร้อมกับศิริและสุภาพที่คอยประคอง
“หวี พอเถอะ” ศิริปราม
“แต่พ่อคะ ดนัยไม่ผิดนะคะ หวี”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ลูกจะมาแก้ต่างแทนใคร พ่อจะจัดการไต่สวนสองคนนั้นด้วยตัวของพ่อเอง”
“พ่อหมายความว่าไงค่ะ สองคนนั้น?” ฉวีวรรณงง
“คนงานที่แค้มป์โทรมาแจ้งครับว่า คุณพาณิชย์จับตัวนายชลิตได้แล้ว ตอนนี้รออยู่ที่แค้มป์กับคุณหวันครับ” สุภาพรีบตอบแทน
“ยายหวัน ชลิต โดนจับได้เหมือนกันหรือนี่” ฉวีวรรณเป็นกังวล
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตอนนี้พ่ออยากให้หวีกลับไปพักผ่อน แล้วก็ขอให้ลูกรู้ไว้เสมอว่า พ่อรัก และก็เป็นห่วงหวีมากที่สุด”
ศิริโอบฉวีวรรณแน่นด้วยน้ำตาคลอเบ้าอย่างตื้นตันที่ได้ตัวลูกสาวกลับสู่อ้อมอก ฉวีวรรณกอดตอบพ่อ แต่สายตายังมองไปทางดนัยด้วยความเป็นห่วง
บนยอดไม้สูงไม่ไกลนัก...วินยายืนอยู่บนนั้น กำลังมองภาพตรงหน้าเห็นทุกคนพาดนัยและฉวีวรรณขึ้นรถไป อย่างเป็นห่วงดนัย
อ่านต่อตอนที่ 8