หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 3
วันเดียวกันนั้น เสียงรถตู้ของศิริแล่นปราดกลับเข้ามาจอดหน้าบ้าน ภายหลังจากออกไปตามดนัย ฉวีวรรณ ดาหวัน และชลิต ได้สักพักใหญ่ๆ
แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง และอุ๊บอิ๊บ รีบวิ่งออกมาดู ซึ่งในเวลานั้นกิมจิกับบุญทิ้งได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหญิงมาเป็นชุดปกติแล้ว แต่ทว่าใบหน้าของสองหน่วยเหนือยังมีรอยช้ำบวมให้เห็นอยู่บ้าง
จังหวะนั้นศิริเดินหน้ามุ่ยลงมาจากรถพร้อมกับธานีและธนวัติ ที่ต้องเอาถุงเย็นคอยประคบหน้าผากตัวเองลงมา
“เป็นไงคะคุณลุง เจอมั้ยคะ” แจ๋ถาม
“ไม่เจอ!” ศิริตอบเสียงห้วน
แจ๋ฟังแล้วลอบถอนใจอย่างโล่งอก เผลอพึมพำออกมา
“ค่อยยังชั่ว”
“ว่าไงนะ” ธานีได้ยินพอดี
แจ๋สะดุ้ง รีบกลบเกลื่อนร่องรอย
“เอ่อ แจ๋ว่า มันชั่วจริงๆ เลยค่ะ นายดนัยกับนายชลิตมันชั้วชั่ว เนอะพวกเราเนอะ”
แจ๋หันไปพยักเพยิดกับกิมจิและบุญทิ้งแบบหาพวก
ศิริมองอย่างจับผิด แล้วหันไปสั่งสุภาพที่กำลังประคองพาณิชย์ในสภาพมอมแมมดูไม่จืดออกมา
“พาเข้าไปในบ้านเลยสุภาพ แล้วให้ใครช่วยทำแผลให้คุณพาณิชย์ด้วย”
สุภาพรับคำแล้วประคองพาณิชย์ที่ร้องโอดโอยเข้าไปข้างใน
“โอ้โฮ เป็นอะไรมากมั้ย”
กิมจิมองตามถามเหมือนเป็นห่วงแต่จริงๆ เยาะเย้ยเต็มๆ ธนวัติฉุนจัด โผเข้าไปต่อยหน้ากิมจิกระเด็นไปอีก ทุกคนแตกตื่น
“เพื่อนแกเกือบฆ่าพาณิชย์แล้ว แกยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ”
ธนวัติพูดพร้อมกับจะพุ่งเข้าไปต่อยกิมจิอีก แจ๋ถลาเข้ามาขวางหน้า กิมจิรีบหลบหลังแจ๋ทันที
“อะอะอะ! ถ้าพี่ใช้กำลัง เราก็ต้องคุยกันด้วยหมัดแล้ว มาซี้ แน่จริงเข้ามาเลย”
แจ๋ไม่พูดเปล่า เต้นฟุตเวิร์คกางหมัดทำท่าจะต่อย กิมจิหลบเกาะหลังแจ๋อยู่ตลอดๆ
“แจ๋ กันเราให้มิด อย่าให้โดนนะ...” กิมจิบอก
ธนวัติกำมือแน่น อย่างโกรธ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป อุ๊บอิ๊บแถเข้ามาเอาเรื่องแทน
“ถอยไปพี่วัติ ปล่อยให้เป็นหน้าที่มือตบเซเลบอย่างอุ๊บอิ๊บเอง...คันมือ..อยากตบพวกหนอนบ่อนไส้มานานแล้ว”
อุ๊บอิ๊บเข้าไปจะตบแจ๋ แต่แจ๋รู้ทันรีบก้มหลบเลยตบโดนกิมจิแทนเต็มๆ กิมจิหงายเงิบร้องเสียงหลง บุญทิ้งรีบรับตัวไว้
“สาธุ!..คนจะซวยย่อมหลีกหนีความซวยไปไม่พ้น” บุญทิ้งพูดพลางส่ายหน้า
ศิริ กับ ธานี รีบเข้ามากันห้าม แจ๋กับอุ๊บอิ๊บที่ยื้อจะฟ้อนเล็บ...ตบกันอยู่
“อุ๊บอิ๊บ พอได้แล้ว โดนตบซิลิโคนเบี้ยว ป๊าไม่ให้ตังค์ไปเหลาใหม่แล้วนะ” ธานีเอ็ด
“ป๊าก็! มันเป็นคนช่วยพี่ดนัยฉุดยายพี่น้องหน้านกเงือก...”
ธานีรีบตะปบปิดปากอุ๊บอิ๊บไม่ให้พูด แล้วแก้ตัวกับศิริ หัวเราะกลบเกลื่อน
“นกเงือกนี่รักครอบครัวนะครับ อุ๊บอื๊บมันหมายความว่าหนูหวีหนูหวันรักกันดีน่ะ ฮ่าๆๆ ผมพาลูกๆ ไปจูนเครื่องก่อนนะครับ”
ธานีรีบดึงกึ่งลากอุ๊บอิ๊บเข้าไปข้างในบ้าน ธนวัติชี้หน้าพวกแจ๋เป็นการขู่
“คอยดูนะ ถ้าฉันจับพวกมันได้เมื่อไร ฉันจะเอาให้ตายทั้งคู่เลย!”
ธนวัติหันเดินตามธานีไป แจ๋กับพวกแอบทำหน้าลิงหลอกยิ้มเยาะกัน แต่พอหันมาอีกทีเจอศิริจ้องเขม็ง
“ดูท่าทางจะมีความสุขกันดีนะ ที่ยายหวียายหวันหนีไปได้”
แจ๋กับทุกคนสะดุ้ง หน้าเจื่อน ถูกศิริพูดแทงใจดำ...อย่างแรง
“พวกเธอทั้งหมด ตามฉันมา เดี๋ยวนี้”
เสียงเย็น เครียดและเคร่งของศิริ ทำเอาแจ๋ กับทุกคนตัวแข็งทื่อ คิดในใจเหมือนๆ กันว่า “งานเข้าล่ะกู”
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ ในศาลาพักผ่อนบริเวณสวน จังหวะที่ศิริทุบโต๊ะลงมาดังปัง ทั้งหมด สุภาพ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งรวมทั้งอุ๊บอิ๊บสะดุ้งเฮือก
“พวกเธอรู้เห็นเป็นใจกับนายดนัยนายชลิตใช่มั้ย”
กิมจิกับแจ๋ส่ายหน้าอย่างเป็นงาน
“เปล่าๆ ครับ / เปล่าๆ ค่ะ”
แต่บุญทิ้งดันพยักหน้ารับ
“ครับ!”
“เฮ้ย!” กิมจิ แจ๋ สะดุ้ง ร้องขึ้นพร้อมกันอีก
สุภาพที่ยืนอยู่ข้างๆ ศิริ ชี้ไปที่บุญทิ้ง รีบพูดผสมโรงเอาเรื่องตามนิสัย...สอพลอโปรโมชั่น
“นั่นไง! มันสารภาพแล้วนาย จะให้ผมจับเผานั่งยางหรือจับส่งตำรวจดีครับ”
แจ๋รีบถลาลงมาพนมมือไหว้ศิริเพราะรู้นิสัยพ่อของเพื่อนเลิฟอย่างดี
“พวกเราเปล่าโกหกนะคะ บุญทิ้งมันตกใจเสียงคุณลุงน่ะค่ะ”
กิมจิทรุดมาพนมมือไหว้ด้วย
“จริงครับจริง บุญทิ้งแกบอกไปสิว่าแกตกใจ”
“ขอโทษนะครับ ถึงเวลาทำวัตรเย็นแล้ว ผมถือศีลแปดโกหกไม่ได้” บุญทิ้งน้ำเสียงดูมุ่งมั่น
“ดี! งั้นก็ตอบฉันมาให้ชัดๆไปเลย นายเป็นพวกใครกันแน่”
คำถามจากปากศิริ ทั้งกิมจิกับแจ๋ฟังแล้วหน้าเสียทำท่าจะร้องไห้ออกมาขณะที่บุญทิ้งทำท่าพนมมือ “ผมขอตอบตามความจริงตามหลัก ยุบ..หนอ พอง..หนอ...”
ที่ด้านหลังศิริ อุ๊บอิ๊บเดินเข้ามาเพื่อแสดงความเห็น แต่แล้วกลับโดนน้ำจากที่รดน้ำสนามหญ้าแบบอัตโนมัติเปิดขึ้นพร้อมกันสี่ทิศ
“อ๊ายยย”
อุ๊บอิ๊บกรี๊ด เสื้อผ้าเปียกปอน แต่สะบัดผมไปมาอย่างเซ็กซี่ สีหน้าบุญทิ้งเวลานั้นมองอย่างตื่นตะลึง ปากคอสั่น พูดตะกุกตะกัก จนหอบขึ้น
“พะ..พอง..ไม่..ยุบ หนอ ..แหล่ม..หนอ”
“อะไรนะ” ศิริและสุภาพที่รอฟังคำตอบงงตามๆกัน
“เออ อ่า เอิ๊กก” บุญทิ้งหอบขึ้นมา “หะ หาย หายใจไม่ออก..ช่วยด้วย..”
แจ๋มองอยู่ตกใจมาก
“บุญทิ้งหอบกิน!!..โอ้ย ตายแล้วๆ” หันไปสั่งกิมจิ “หายาพ่นให้มันเร็ว”
กิมจิรีบวิ่งเข้าไปค้นตัวบุญทิ้งที่ชักกระตุก..เอายาพ่นใส่ปากให้บุญทิ้ง
“อย่ามาเล่นปาหี่เลย ไอ้น้อง” สุภาพทำหน้าไม่เชื่อว่าป่วยจริง
“เรื่องจริงนะพี่ เวลาตกใจตื่นเต้นมากๆ บุญทิ้งมันจะเป็นอย่างนี้ทุกทีแหละ” แจ๋รีบหันไปพูดกับศิริยกมือไหว้ “คุณลุงเชื่อแจ๋เถอะนะคะ พวกเราเป็นเพื่อนหวีกับหวันพวกเราไม่มีทางร่วมมือกับคนไม่ดี ทำร้ายเพื่อนของเราหรอกค่ะ”
ศิริอึ้งไป แต่ก็ยังไม่หายคลายแคลงใจ
“จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็แล้วไป ..ฮึ..ยังไง คืนนี้ คนงานของฉันก็ยังลาดตระเวนอยู่ในป่า ฉันต้อง
ตามหาลูกสาวฉันให้เจอ ส่วนไอ้กุ๊ยสองคนนั่น มันจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสมที่มาลองดีกับฉัน !”
เจอที่ศิริขู่เอาจริง แจ๋ถึงกับหน้าซีด กลืนน้ำลาย เริ่มรู้สึกเป็นห่วงดนัยกับชลิตครามครัน
ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว ฉวีวรรณยังนอนซบอยู่กับคอนโซลรถ แต่เริ่มขยับตัวพลางครางออกมาเบาๆ อย่างเจ็บปวด ตั้งสติอึดใจหนึ่งก็เหลือบมองไปที่ดนัยที่ฟุบหน้าแน่นิ่งอยู่ข้างๆ
“ตายหรือเปล่าอ่ะ” ฉวีวรรณจะเอามือไปอังจมูก แต่เปลี่ยนใจซะงั้น “ตายซะได้ก็ดี”
ฉวีวรรณค่อยๆ ถอยห่างแล้วดันประตูรถออกช้าๆ เตรียมหนี แต่พอแง้มประตู ดนัยก็คว้ามือหมับ ดนัยพูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้า
“จะไปไหน”
ฉวีวรรณสะดุ้งเฮือก ดนัยเงยหน้าขึ้นมา
“ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก ดนัยยังมีอารมณ์ขี้เล่นแกล้งแหย่ “โดยเฉพาะถ้า ฉันยังไม่ได้ส่งเธอ
เข้าหอกับชลิต”
ฉวีวรรณรีบสะบัดมืออก แล้วกระโจนลงจากรถไปทันที ดนัยคว้าไม่ทัน แต่รีบเปิดประตูลงตามไป
ฉวีวรรณวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ในป่าตรงเชิงเขา ดนัยวิ่งอ้อมรถตามมาติดๆ
“ฉวีวรรณ ! หยุดนะ กลับมาก่อน”
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน!”
ฉวีวรรณวิ่งจ้ำอ้าว ดนัยวิ่งตามมาติดๆ ลัดเลาะไปในมุมป่า
พอฉวีวรรณวิ่งมาซักพัก เห็นดนัยเงียบไป หันไปกวาดตามองชัดๆ ก็พบว่าดนัยหายไปแล้วจริงๆ เลยหยุดพักเหนื่อยใต้ต้นไม้ แต่แล้วจู่ๆ ดนัยก็โผล่พรวดจากทางไหนไม่รู้ เข้ามาจับล็อกฉวีวรรณไว้ทันที
“ว้าย ปล่อยนะ โอ๊ย!”
ดนัยกอดฉวีวรรณจากด้านหลัง มือหนึ่งล็อกแขนข้างหนึ่งไว้ อีกมือโอบเอวฉวีวรรณไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ฉวีวรรณดิ้นสุดแรงเกิด
“ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย!”
“นี่ เลิกสร้างปัญหาซักทีได้ไหม ฉันกำลังจะช่วยเธอนะ”
“นายนั่นแหละที่สร้างปัญหา! แล้วจะมาช่วยอะไรฉัน..ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” ดนัยเริ่มรำคาญเอามือที่โอบเลื่อนขึ้นมาปิดปาก พยายามอธิบายให้ฉวีวรรณสงบลง
“หยุดโวยวาย แล้วฟังฉันก่อนได้ไหม เธอไม่ได้อยากหมั้นกับไอ้ธนวัติไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะพาเธอไปหาชลิตไง”
แต่ฉวีวรรณไม่สน กัดมือดนัยทันที ดนัยร้องอย่างเจ็บ ปล่อยฉวีวรรณ สะบัดมือเร่าๆ
“โอ้ย ยายป้าหวี กัดเป็นหมาบ้าเลยนะ”
“สมน้ำหน้า อยากงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่องเอง” ฉวีวรรณชี้ที่ปากตัวเอง “ดูปากฉันให้ชัดๆ นะ ฉัน
ไม่ได้บอกให้นายสองคนมาช่วย พวกนายก่อเรื่องยุ่งไปกันใหญ่แล้ว เข้าใจไหม! ปล่อยฉันกลับไปเดี๋ยวนี้”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ เธอต้องไปหาชลิตก่อน”
“ไม่ไป!”
“ไป!”
“ไม่!” ฉวีวรรณเริ่มพูดเสียงดังขึ้น
“ต้องไป!” ดนัยดังตาม
ฉวีวรรณแฝดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“ก็บอกว่าไม่ไป! หูแตกหรือไง ฉันจะกลับบ้าน ฉันจะ...”
ในขณะที่ฉวีวรรณแว้ดๆ อยู่นั่นเอง ดนัยก็เหลือบเห็นแสงไฟหน้ารถยนต์ส่องมาจากถนนที่อยู่สูงขึ้นไป พร้อมเสียงรถดังใกล้เข้ามาๆ ซึ่งเวลานั้นทั้งสองคนนี้อยู่ที่บริเวณตีนเนินเพราะรถไถลลงมา
ไวเท่าความคิดดนัยรีบดึงตัวฉวีวรรณเข้ามาแล้วจูบปิดปากไว้ทันที ฉวีวรรณตกใจ ช็อก ทำอะไรไม่ถูก แต่ซักพักก็พยายามดิ้น แต่โดนปิดปากแน่นด้วยริมฝีปากของดนัย
ดนัยจูบฉวีวรรณแนบแน่นอย่างโรแมนติก มือของฉวีวรรณที่กำจะทุบดนัย ค่อยๆคลาย แล้วปล่อยลู่ลงอย่างอ่อนแรง
วินาทีนั้นทั้งสองจ้องตากัน อยู่ในภวังค์นิ่งงัน ,ท่ามกลางแสงไฟรถที่ส่องมา
ส่วนที่ถนนบนเนินเขารถกระบะลูกน้องศิริแล่นลาดตระเวนไปตามถนน มีคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังกระบะถือไฟดวงใหญ่ส่องตรงที่ ดนัยกับฉวีวรรณอยู่ แต่ไม่เห็นอะไร เพราะมีต้นไม้บังเอาไว้จนมิดร่าง จึงส่องไล่เลยไปตรงอื่น แล้วสักครู่รถก็แล่นผ่านออกไป
แสงไฟจากรถ ดับผ่านวูบออกไป ดนัยค่อยๆ ผละออกมา ฉวีวรรณนิ่ง เพราะช็อกอยู่ เอามือจับปากตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
ดนัยมองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด แต่ไม่รู้จะทำยังไง เลยหันข้างเอียงแก้มให้
“อ่ะ ตบฉันสิ ในหนังไทยเวลาผู้หญิงโดนขโมยจูบก็ต้องตบไม่ใช่เหรอ”
ดนัยเอียงแก้มให้ ทั้งทั้งที่ใจจริง อยากขอโทษ แต่มีฟอร์มเลยใช้วิธีทื่อๆ แบบนี้เป็นการไถ่โทษแทน ฉวีวรรณหายใจแรง มองดนัยอย่างข่มความโกรธ ฉวีวรรณไม่ตบแต่ชกเปรี้ยงเข้าให้
“ไอ้บ้า! ไอ้คนทุเรศ!”
ฉวีวรรณด่าออกไปแบบเสียขวัญ แล้ววิ่งร้องไห้หนีไปทันที ดนัยเอามือกุมคาง...อย่างเจ็บ
“โอย...”
แล้วหันมองตามไปอย่างอึ้งๆ ปนรู้สึกผิด
ยิ่งดึกทั้งสองคนไม่รู้ว่าเวลานั้นหลงเข้าไปในป่าลึก ต้นไม้หนาแน่นมากกว่าเดิม ฉวีวรรณวิ่งร้องไห้มา โดยมีดนัยตามมาติดๆ
“ยายป้าหวี เดี๋ยวก่อน!”
ฉวีวรรณไม่สนใจใดๆ วิ่งเตลิดเปิดเปิง
ดนัยเห็นฉวีวรรณวิ่งเตลิดไปเรื่อยๆ ก็กลัวจะหลง รีบห้าม
“หยุดก่อน หวีๆ”
“ไปให้พ้นนะ ไอ้บ้ากาม”
ฉวีวรรณหันมามองแล้วดึงกิ่งไม้ที่ขวางหน้า ขว้างใส่ดนัย
“เธอจะวิ่งไปไหน เดี๋ยวก็หลงกันหรอก”
ฉวีวรรณพูดพลางดึงกิ่งไม้ขว้างใส่ดนัยไปเรื่อยๆ เป็นหย่อมๆ
“ฉันยอมหลงป่าตายอยู่ในนี้ ดีกว่าต้องอยู่กับนาย”
ฉวีวรรณมัวแต่ขวางปากิ่งไม้ไม่ทันมองทาง เลยสะดุดล้มลง
“ว้าย!”
ดนัยวิ่งตามมาทันแล้วหยุดนิ่ง แต่ฉวีวรรณรีบคว้าก้อนหินข้างตัวจะทุ่มใส่
“อย่าเข้ามานะ!”
ดนัยมองไปด้านหลังฉวีวรรณอย่างตกใจตื่น รีบยกมือห้ามร้องออกมา
“อย่า...อย่าขยับ”
“นายนั่นแหละ อย่าขยับ! ไม่งั้นฉันเอาตายแน่” ฉวีวรรณยังออกฤทธิ์ต่อไป
ดนัยพยายามเรียกเพื่อให้ฉวีวรรณใจเย็น
“ฉวีวรรณ...”
“อะไร?” ฉวีวรรณตวาดแว้ด
“ถ้าเธอขยับ ฉันไม่ใช่คนที่ตายหรอกนะ แต่จะเป็นเธอ”
ฉวีวรรณงง แต่เมื่อเห็นสายตาดนัยที่จับจ้องมองเลยไปทางด้านหลัง จึงค่อยๆ หันมองตาม แล้วก็เห็นงูเห่าตัวหนึ่งกำลังแผ่แม่เบี้ยชูคอรับอยู่
ฉวีวรรณอ้าปากจะกรี๊ด แต่ดนัยรีบทำสัญญาณให้เงียบ
ไวเท่าความคิด ฉวีวรรณรีบเอามืออุดปากไว้อย่างว่าง่าย แต่ตัวสั่นเทาขณะที่งูเลื้อยใกล้เข้ามา
งูเห่าตัวนั้นเลื้อยเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวฉวีวรรณ และทำท่าเหมือนจะเข้ามาฉกที่ตัว ฉวีวรรณกับดนัยได้แต่ลุ้น จนซักพักงูก็เบนหัวเลื้อยหนีไป ดนัยได้สติ รีบตรงเข้าไปฉุดฉวีวรรณให้ลุกขึ้น ฉวีวรรณสะบัดโดยอัตโนมัติ
“เอ๊ะ ปล่อยนะ!”
ดนัยชักเริ่มโมโห
“เอ้า ปล่อยก็ได้ อยากจะวิ่งตามไปให้มันกัดก็เชิญเลย มืดๆ อย่างนี้มันไม่ได้มีแค่งูหรอกนะ
ทั้งเสือ สิงโตมันก็ออกล่าเหยื่อตอนกลางคืนเหมือนกัน เธออยากจะไปเป็นบุฟเฟ่ต์ให้มันก็ตามใจ”
ได้ผล ฉวีวรรณชะงักกึก เริ่มกลัวตายขึ้นมาทันที ไม่กล้าเดินต่อ
ทางด้านคู่ชลิตกับดาหวัน เวลานั้นดาหวันนั่งกระแทกกระเทือน อยู่ข้างๆ ชลิตที่ขับรถไปพลางชะเง้อมองไปด้านหน้า
“เมื่อไหร่จะถึงบ้านพี่ทองอินเสียที หวันเหนื่อย หวันหิว หวันเพลียไปหมดแล้ว” ดาหวันโวยวาย
“ใครบอกให้ฉันเลี้ยวเข้าทางลัดอะไรนั่นล่ะ ดูซิ หลงจนหาทางออกไม่เจอเลย”
“เอ๊ะ อย่ามามั่วโทษหวันนะ”
“ฉันคิดถึงหวีจังเลย ...ถ้าหวีมาด้วยคงช่วยดูทิศดูทาง ทำตัวมีประโยชน์กว่าเด็กกะโปโลขี้บ่นแถวนี้…”
“ตาแก่ตาถั่ว จับผิดตัวมาเองนะ”
“ปากเหรอเนี่ย”
ชลิตโมโห เอามือไปบีบปากดาหวัน
“โอ๊ย เจ็บนะ!”
ดาหวันจะทุบ ชลิตปัดป้อง แต่ก็พยายามขับรถไปตลอดทาง
ด้านดนัยกำลังเดินนำหน้าฉวีวรรณย้อนกลับออกมา ฉวีวรรณเดินตามหลังห่างๆ พอเห็นไม้ผลบนต้น ก็หยุดเด็ดชิม แล้วเก็บห่อใส่ชายผ้าคลุมตัว
ดนัยเดินดุ่มๆ ไปเรื่อยพอหันมาอีกทีก็เห็นฉวีวรรณคล้อยหลังอยู่ห่างมากๆ ทำท่าจะย้อนมาตาม
“นี่ คุณนายครับ จะชมธรรมชาติอีกนานไหม”
“ฉันบอกแล้วไงว่า ห้ามเข้าใกล้เกินห้าเมตร!!!”
ฉวีวรรณถอยกรูด ดนัยหยุดชะงักอย่างเซ็งๆ ฉวีวรรณโบกมือไล่
“นายเดินไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไปเอง”
ดนัยถอนหายใจด้วยความรำคาญ แล้วหันหลังเดินนำไป ฉวีวรรณเก็บผลไม้ 2-3 อย่างแล้วตามไปอย่างระวัง
ขณะเดียวกันนั้นชลิตขับรถลุยป่าเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นทางออก
“ถึงไหนแล้ววะเนี่ย”
ชลิตพยายามเงยหน้ามองดูดาวเพื่อดูทิศทาง แต่ดาหวันรำคาญเลยแย่งพวงมาลัย
“มานี่เลย หวันขับให้เอง ไม่ได้เรื่อง!”
“เฮ้ย อย่านะ!”
“ก็บอกว่าจะขับให้”
ชลิตกับดาหวันแย่งพวงมาลัยกันไปมา รถเริ่มส่ายๆ ทำท่าจะไถลไปชนต้นไม้ ทั้งสองมองร้องอย่างตกใจ... แต่แล้วเครื่องก็ดับลงดื้อๆ ก่อนจะถึงต้นไม้ อึ้งไปทั้งคู่ ชลิตมองดาหวันอย่างฉุนๆ
“เป็นไงล่ะ ยายตัวแสบ ซนจนได้เรื่อง!”
ในขณะนั้นดนัยเดินเข้ามาทรุดนั่งลงที่โขดหินอย่างเซ็งๆ
“คืนนี้คงต้องพักที่นี่แล้วล่ะ”
ฉวีวรรณทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งลงที่โขดหินตรงข้าม แต่ห่างออกไป แล้วล้วงเอาผลไม้ออกมาหยิบกิน
“อะไรน่ะ”
“ข้าวเย็นน่ะสิ หิวจะตายอยู่แล้ว” ฉวีวรรณส่งยื่นให้แบบเสียไม่ได้ “นายจะกินไหมล่ะ”
ดนัยมองผลไม้แล้วส่ายหน้าดิก ฉวีวรรณนึกได้ ยิ้มยั่ว
“อ้อ ฉันลืมไป นายกลัวผลไม้”
“ไม่ได้กลัวเว้ย” ดนัยรีบแก้ตัวพัลวัน
“งั้นใครน้า....ที่ฉี่รดกางเกงตอนอนุบาลหนึ่ง เพราะครูบังคับให้กินส้ม ฮ่าๆๆๆ” ฉวีวรรณหัวเราะชอบใจ
“นี่ เธอยังจำได้อีกเหรอ”
ในอาการอึ้งของดนัย หว่างกลางเสียงหัวเราะชอบใจของวรรณฉวี ทั้งคู่หวนย้อนไปสู่เหตุการณ์อดีต เมื่อครั้งยังเรียนอนุบาล1 โรงเรียนเดียวกัน ห้องเรียนเดียวกัน
วันนั้นครูจูงดนัยที่ร้องไห้ฮือๆ ในสภาพกางเกงเปียกแฉะที่บริเวณเป้า โดยมีเพื่อนๆ เดินตามล้อเป็นพรวน ในขณะที่ฉวีวรรณกับแจ๋ถือสมุดการบ้านเดินตามครูประจำชั้นเข้ามาพอดี
“ตายแล้วดนัย ทำไมเป็นอย่างนี้”
“ผมไม่ชอบกินส้มๆ ฮือๆๆ” เด็กชายดนัยบอก
ครูรีบเข้ามาพาดนัยออกไป เพื่อนวิ่งตามล้อเลียน
“ดนัยฉี่ราดๆๆ” เพื่อนล้อไม่เลิก
เด็กหญิงฉวีวรรณกับเด็กหญิงแจ๋มองตาม หัวเราะเยาะ
พอนึกถึงตอนนี้ฉวีวรรณก็หัวเราะงอหายชอบอกชอบใจขึ้นมา
“คนประหลาดอะไร้ กลัวผลไม้ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น” ฉวีวรรณมองมาอย่างเยาะเย้ย
“ไม่จริง อย่ามาพูด!” ดนัยยังแถต่อ ไม่ยอมรับ
“นี่..ฉันไม่ได้รู้จักนายแค่วันนี้นะ เราเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล สันดานนายเป็น
ยังไง ทำไมฉันจะไม่รู้” ฉวีวรรณได้ที
“ถ้าเธอว่ารู้จักฉันดี แล้วทำไมยังเข้าใจฉันผิด ทำไมถึงชอบมองฉันแต่แง่ร้าย”
ฉวีวรรณถึงกับอึ้ง ใบ้กิน ดนัยรุกเร้าถามต่อ
“ตอบฉันมาสิ หวี ฉันไปทำอะไรให้เธอ เธอถึงได้จงเกลียดจงชังฉันนัก!”
ฉวีวรรณได้ฟัง ก็นึกทวนหวนย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต ความหลังฝังใจ
ภายในห้องเรียนชั้นประถม 1 ในขณะที่ฉวีวรรณกำลังลบกระดานดำอยู่ เด็กชาย 2 ก็วิ่งเข้ามาพร้อม กระดาษจดหมายที่อย่างดีเข้ามา คนหนึ่งยื่นจดหมายให้ฉวีวรรณพร้อมเอ่ยออกมา
“ฉวีวรรณ! ดนัยเขาฝากมาให้เธอแน่ะ”
ฉวีวรรณรับไปงงๆ พอเด็ก 2 คนนั้นก็วิ่งกลับออกไป ฉวีวรรณคลี่ออกมาอ่าน เป็นลายมือเท่าหม้อแกง
“ฉันรักเธอนะ ฉวีวรรณ พรุ่งนี้ฉันจะสอบแล้ว เอาดอกกุหลาบแดงมาให้กำลังใจฉันด้วยนะ...ดนัย”
ใบหน้าฉวีวรรณเวลานี้เอาแต่ยิ้มเขิน แจ๋วิ่งเข้ามาหา
“หวี!! ทำอะไรอยู่น่ะ หน้าแดงเชียว”
ฉวีวรรณรับขยำจดหมายทิ้งถังขยะ แล้วพูดกับแจ๋ แล้ววิ่งออกไปอย่างลัลลามาก
“แจ๋ ทำเวรแทนเราทีนะ เดี๋ยวมา”
เวลาต่อมาบริเวณแปลงผักกาด หลังโรงเรียน ดนัยกำลังถอนผักกาดจากแปลง พร้อมๆ เด็กหญิงหมู่หนึ่ง
ฉวีวรรณเดินเข้ามาหยุดข้างๆ ดนัย ซ่อนดอกกุหลาบแดงไว้ด้านหลัง อมยิ้มเขินๆ
“ดนัย...” เด็กหญิงฉวีวรรณยื่นกุหลาบไปตรงหน้าเด็กชายดนัยในอาการเขินๆ
ดนัยลุกขึ้นมองแปลกใจ
“อะไรน่ะ”
ฉวีวรรณเขินเอาแต่ยืนบิด
“ก็..เอ่ออ..ให้กำลังใจนายไง”
ดนัยรับกุหลาบไปถือ มองอึ้งๆ งงๆ
“ให้กำลังใจ?” ดนัยคิดๆ แล้วพูดขึ้นแบบไม่ได้คิดอะไร “หวี! เธอรักฉันเหรอ”
เสียงดนัยดัง จนทำให้เด็กหญิงทั้งแปลงได้ยิน เงยหน้ามามองฉวีวรรณเป็นตาเดียว
“ป้าหวีรักดนัย!” ด.ญ.ทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน
ฉวีวรรณตะลึง ตาโตตกใจ
“เปล่านะ ดนัยแหละรักฉัน ดนัยส่งจดหมายรักมาให้ฉันด้วย” ฉวีวรรณบอกทุกคน
“มั่วแล้ว ยายป้าหวี เกิดมาฉันยังไม่เคยเขียนจดหมายรักหาใครเลย”
ฉวีวรรณหน้าแตกละเอียด พูดจบดนัยรีบถือดอกกุหลาบออกไปเลย กลัวคนจะรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังเขิน
พวกเด็กหญิงหัวเราะเยาะ วิ่งกรูเข้ามาล้อมฉวีวรรณ เอาผักกาดปาใส่ฉวีวรรณ
“ยายป้าหวีขี้ตู่ๆๆ ยายป้าหวีรักดนัยๆๆ” เสียงร้องล้อดังต่อไปเรื่อยๆ
จังหวะนั้นเองเด็กชาย 2 ที่เอาจดหมายรักไปให้ฉวีวรรณ ก็ชะโงกหน้ามามองจากมุมตึก หัวเราะชอบใจ
“สมน้ำหน้ายายป้าหวี”
ฉวีวรรณทั้งอาย ทั้งโกรธ หน้าแตกสุดๆ ในชีวิต ร้องไห้น้ำตาไหลออกมา
“ฉันไม่ได้รักดนัย ฉันเกลียดดนัย!!”
ฉวีวรรณตะโกนก้อง
ยิ่งพอนึกมาถึงตรงนี้ ฉวีวรรณหน้าตายังอินจัด ของขึ้น แค้นหนักเข้าไปอีก จนต้องหักกิ่งไม้ท่อนใหญ่ในมือหักโป๊ะ เป็นการระบายอารมณ์โกรธเว่อร์ๆ ขำๆ
“ตายซะเถอะ
ดนัยเห็นอาการโมโหของฉวีวรรณ ก็สะดุ้งตกใจ
“โห หักสองท่อนเลยเหรอ ไม่ใช่ธรรมดานะนี่”
ฉวีวรรณปาเศษไม้ที่อยู่ในมือใส่ดนัย ที่เวลานั้นเอาแต่หลบหลีกอย่างงงๆ
“ไอ้ผู้ชายสับปลับกะล่อนหลอกลวง ฉันไม่มีทางให้อภัย ฉันจะฆ่านาย!”
ฉวีวรรณพุ่งเข้ามาจะทั้งทุบทั้งตีดนัย,ดนัยปัดป้อง แล้วดึงมือห้ามไว้
“อ๊อย โอ้ย หยุดบ้าได้แล้วน่า”
ดนัยรีบรวบแขนฉวีวรรณดึงไว้
“ฉันถามดีๆก็ไม่ตอบ แล้วทำไมเธอต้องโมโหขนาดนี้ด้วย”
“ฉันเกลียดนายไง ไอ้ดนัย เกลียดร้อยปีอย่ามาดีร้อยชาติ”
“อ่ะ เอาเข้าไป เป็นบ้าอะไรอีก” ดนัยจ้องใกล้ๆ แกล้งยั่ว “หรือว่าโดนจูบจนเสียสติ”
ตอนนี้ฉวีวรรณกลับไม่ขำด้วย สะบัดออกจากดนัย แล้วตบหน้าดนัยทันที
“จูบของฉัน มันต้องมาจากคนที่ฉันรัก ไม่ใช่ การประกบปากกับผู้ชายใจร้ายที่เห็นความรู้สึกของคนอื่นเป็นของเล่นอย่างนาย”
ดนัยอึ้งไปเลย
“เพราะฉะนั้นอย่าได้พูดถึงมันอีก...แล้วขอให้นายจำใส่หัวใจไว้เลยนะ ฉันเกลียดนายที่สุดในโลก!”
ฉวีวรรณพูดจบก็หันหน้าหนีวิ่งออกไป ดนัยมองตามอึ้งกิมกี่ รู้สึกผิดไปเลย
ในขณะที่ดาหวันลงจากรถไปดู ชลิตที่ก้มๆ เงยๆ ซ่อมรถอยู่
“เสร็จหรือยัง ทำไมนานนักล่ะ หรือว่าซ่อมไม่เป็น” เห็นชลิตเอาแต่ก้มไม่ตอบ “หึ นึกแล้ว เกย์
ที่ไหนจะซ่อมรถได้”
ชลิตโผล่หน้าพรวดขึ้นมา ในสภาพหน้าตามอมแมม แต่มองดาหวันฉุนๆ
“เก่งนักใช่ไหม”
ชลิตเดินอ้อมไปหลังรถ หยิบถังน้ำมันแกลลอนมายัดใส่มือดาหวัน
“เก่งนักก็ไปตักน้ำมา
“เรื่องอะไรมาใช้หวัน?”
“น้ำในหม้อน้ำมันแห้ง เธอไปตักมาเติมสิ จะได้ไปกันต่อ”
“จำเป็นมากมั้ยอ่ะ ทำไมหวันต้องทำด้วยเหรอ” ดาหวันกวนใส่
“ถ้าเธอไม่อยากไปหาพี่ดนัยสุดที่รักของเธอเร็วๆ ก็ไม่ต้องทำ”
ชลิตฉุนดึงถังคืนจะเหวี่ยงทิ้ง ดาหวันรีบดึงไว้ แล้วถือแกลลอนวิ่งไปทันที ชลิตส่ายหน้าแล้วตามไป
ดาหวันวิ่งออกไป โดยมีชลิตตามติดไปดึงแขนไว้
“นี่ ! ช้าๆ ก็ได้ เธอรู้เหรอว่าจะไปเอาน้ำที่ไหน”
“ไม่รู้ แต่หวันอยากไปหาน้ำมาเติมเร็วๆ จะได้ไม่ต้องทนอยู่กับพี่ ว้าย!”
ดาหวันพูดไม่ทันจบฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง ดาหวันตกใจผวาเข้ากอดชลิตแน่น ชลิตเงยหน้าขึ้นมอง เห็นฟ้าแลบแปลบๆ แล้วมองสำรวจเครื่องประดับของดาหวันที่ติดอยู่ตามศีษะ และเสื้อผ้า จึงรีบดึงออก
“ถอดออกๆ”
“ว้าย จะทำอะไร ไอ้บ้า! จะปล้ำหวันเหรอ!”
ชลิตไม่สนใจ ดึงที่ติดผม แกะเข็มขัดพัลวัน ดาหวันดิ้นไปทุบตีชลิต พร้อมกับเอาแต่ร้องกรี๊ดๆ
“อ๊อย...ปล่อยนะปล่อย!”
“ถอดไอ้พวกนี้ออกให้หมด เดี๋ยวก็โดนฟ้าผ่าหรอก”
ชลิตพูดแล้วโยนโลหะออกไปไกลๆ จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าตาม ดังเปรี้ยงต่อหน้าต่อตาดาหวัน
ดาหวันร้องกรี๊ด เพิ่งรู้วาชลิตพยายามช่วยเธอ รีบถอดออกมือไม้สั่น ทันใดนั้นฝนก็พรั่งพรูลงมาทันทีแบบไม่ลืมหูลืมตา จังหวะนั้นชลิตกวาดสายตามองหาร่มไม้
“มานี่เร็ว”
ชลิตดึงดาหวันวิ่งออกไปจากลานกว้าง พาดาหวันวิ่งมาหลบฝนใต้ชะง่อนหิน
“โอ๊ย เวรกรรมอะไรของหวันนะ พี่เกือบจะพาหวันไปตายแล้วเห็นไหม”
“ฉันน่ะสิเกือบจะตายเพราะชุดพะรุงพะรังของเธอ ถอดออกซะมั่งสิ” ชลิตโวยกลับ
ดาหวันก้มลงดูเสื้อผ้าตัวเองเปียกชุ่ม แต่จะถอดก็ยังไม่กล้า
“หันไปก่อนสิ”
“อยากจะดูตายละ”
ชลิตพูดพร้อมเบ้ปากแล้วหันหลังให้ ดาหวันมองอย่างระแวงๆ แล้วค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมตัวบางออก
“โอ๊ย!”
ชลิตกำลังปลดเสื้อแจ็คเก็ตออก รีบหันไปดูอย่างเป็นห่วง เห็นดาหวันถอดเสื้อคลุมออกมา เหลือแต่เกาะอกตัวใน ผมสยาย แสงจากพระจันทร์ที่สาดส่องลงมาสะท้อนให้เห็นรูปร่างสวยของสาวเจ้า ชลิตชะงักมอง กลืนน้ำลายเอื๊อกเสียงดังมาก
ดาหวันที่กำลังบ่งเลือดที่นิ้วตัวเอง หันมาทันที
“เอ๊ะ บอกให้หันไปก่อน!”
ชลิตรีบหันหลังกลับ พยายามข่มความตื่นเต้น แก้ตัวปากคอสั่น
“ก็ ฉันเห็นเธอร้อง เลยนึกว่า...ต้องการความช่วยเหลือ”
“หวันแค่ถูกเข็มกลัดตำ ไม่ต้องมาฉวยโอกาสเลย”
ชลิตหลับตา พยายามท่องนะโมพุทโธข่มใจ
“ใจเย็นๆ ชลิต ท่องไว้ ฉวีวรรณๆๆๆๆ”
ชลิตพึมพำกับตัวเอง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ สายฝนขาดเม็ดไปแล้ว ชลิตนั่งกอดอกตัวกลมอยู่มุมหนึ่งของชะง่อนหิน เหลือบไปมองเห็นดาหวันนั่งอยู่ห่างออกไป ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“หนาวมากเหรอ”
ดาหวันกอดตัวเอง ปากสั่น ชลิตมองอย่างเห็นใจ แต่ตัวเองก็หนาวเหมือนกัน
“งั้นก็มานั่งใกล้ๆ ฉันสิ เดี๋ยวให้ยืมเสื้อ”
ดาหวันฟังแล้วชะงัก ลังเลใจ จังหวะนั้นชลิตปลดเสื้อคลุมของตัวเองออกมาแขนหนึ่ง
“มาเถอะน่า” ชลิตทำท่าล้อเลียน “ก็ถ้าฉันเป็นเกย์หลอกจีบหวีบังหน้าอย่างที่เธอว่าจะกลัว
ทำไม”
ดาหวันยังลังเลอีก แต่ตัวเองก็หนาวจนทนไม่ไหว เลยขยับลุกมานั่งใกล้ๆ ชลิตรีบเอาเสื้ออีกข้างโอบรอบตัวดาหวัน แล้วนั่งเบียดกันไว้ ไออุ่นจากดาหวันทำให้ชลิตเขินๆ ไม่กล้ามอง ทำเป็นมองไปรอบๆ เหมือนไม่สนใจ แล้วพูด
“ฉันไม่ได้อยากจะฉวยโอกาสเธอหรอก แต่เวลาหนาวๆ เขาบอกว่าไออุ่นจากร่างกายคนเรานี่แหละดีที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก”
ชลิตไม่ได้ยินดาหวันตอบ แต่ก็พูดไปเรื่อยแก้เขิน
“ถ้าง่วงก็นอนไปเลย เดี๋ยวเช้าแล้วฉันจะปลุก”
ขาดคำของชลิต ศีษะของดาหวันก็ตกลงซบไหล่ชลิต โดยที่เจ้าตัวหลับไปก่อนแล้ว ชลิตชะงักมอง แล้วอมยิ้มออกมา
“โธ่เอ๊ย ยายขี้เซา”
ชลิตแอบมองดาหวันยามหลับอย่างไม่เคยมองมาก่อน พร้อมกับที่เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาภายในใจ
ส่วนที่อีกมุมในชายป่าแห่งนั้น ฉวีวรรณนอนซุกตัวอยู่มุมหนึ่งห่อตัวในอาการหนาวๆ ดนัยที่นั่งพิงไฟอยู่ถัดออกไป เหลียวมอง
ดนัยตัดใจส่ายหน้ามาเขี่ยไฟต่อ ฉวีวรรณครางขึ้นมาด้วยความหนาวอีก ดนัยได้ยินหันไปมองเป็นห่วง ดนัยเดินเข้ามาใกล้ๆ ถอดเสื้อตัวนอกออก ตัวเองเหลือแต่เสื้อกล้าม แล้วค่อยๆ คุกเข่าลงห่มเสื้อให้ฉวีวรรณอ่อนโยน
วินาทีนั้นดนัยเพ่งมองฉวีวรรณยามหลับอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน..เห็นน้ำตายังเปียกๆ อยู่ที่หางตา ดนัยยกมือไปแตะหมายจะเช็ดให้ แต่แล้วก็ชะงัก ไม่กล้าแตะ ในที่สุดก็ตัดใจลุกเดินออกไปนอนอีกมุมถัดออกมา
เมื่อล้มตัวลงนอนแล้ว ดนัยก็ยังแอบลอบมองฉวีวรรณอยู่อย่างนั้น พร้อมกับเริ่มรู้สึกแปลกๆ ภายใจใจตัวเองขึ้นมา
อ่านต่อหน้า 2
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ธนวัติช่วยประคองพาณิชย์ที่อาการดีขึ้นแล้ว ธานีกับศิริเดินตามออกมา ทั้ง 4 คน ยืนคุยอยู่ที่หน้าบ้านของศิริ
“จะออกไปไหวเหรอพาณิชย์” ศิริถาม
“ไหวครับลุงศิริ ไอ้บ้านั่นมันทำผมเจ็บ ผมจะไปเอาเลือดมันมาล้างเท้า”
พาณิชย์พูดขึ้นมาอย่างแค้นใจโดยไม่ทันคิด ศิริทำหน้าเสียวไส้ เพราะตัวเองไม่ได้อยากให้ใช้ความรุนแรง
“พาณิชย์มันไม่มีเจตนาทำอะไรรุนแรงหรอกครับ พวกเรา ตั้งใจจะพาน้องหวีน้องหวันกลับมาอย่างปล่อยภัยน่ะฮะ” ธนวัติรู้ตัวรีบแก้ต่างให้พาณิชย์
“ลุงขอบใจทั้งสองคนมากเลยนะ...ถ้าพร้อมกันแล้วก็เดินทางได้”
ศิริรู้สึกโล่งใจ
รถของศิริ กับ ธนวัติแล่นเข้ามาจอดที่ในมุมหนึ่งของป่า ทั้งหมดลงจากรถมาหากัน
ธานีพูดกับศิริ “เราจะตามหนูหวีหนูหวันกันยังไง” ธานีมองหา “แล้วไหนคนนำทางละครับ”
“เออ นั่นสิ” ศิริมองหาสุภาพ “สุภาพ นายพรานของแกว่าไง”
“เดี๋ยวก็มาแล้วครับ” สุภาพบอกแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ
ขาดคำทั้งหมดก็ได้ยินเสียงโห่ร้องแบบทาร์ซานดังก้องมาจากในป่า
เจ้าของเสียงร้องฟังดูหลุดๆ รั่วๆ คนนี้ เขาคือ อาหลู่ พรานป่าชาวเขา คล่องแคล่วว่องไว ไม่อยู่นิ่ง ชำนาญการแกะรอยแต่โก๊ะพาหลงตลอด อาหลู่จะมีของคู่กายเป็นไม้เป่าลูกดอกสะพายติดหลังพร้อมย่ามสะพายติดตัวตลอด
“ใครมาส่งเสียงเอะอะวะ”
ศิริ กับสุภาพพาคนอื่นๆ วิ่งนำออกมาที่มุมหนึ่ง
ในจังหวะนั้นอาหลู่ก็โหนเถาวัลย์พุ่งมาตรงหน้า แล้วชนศิริล้มไปทันที และทำให้แผ่นกระดานติดล้อแบบที่ชาวเขาใช้เล่นกัน ที่อาหลู่สะพายหิ้วมาด้วย หล่นกระเด็นออกไป
“โอ๊ย!” ศิริมองอาหลู่อย่างตกใจ ร้องบอกลูกน้อง “เฮ้ย ลิงป่า จับมันไว้”
บรรดาสมุนวิ่งมาแถวๆ อาหลู่ แล้วยกปืนขึ้นยิงเปรี้ยงๆ ขึ้นไปบนฟ้าเป็นการขู่ อาหลู่โดดหลบกระสุน ด้วยท่าทีตลกๆ ออกแนวขำๆ พูดออกมาด้วยสำเนียงชาวเขา
“อย่ายิง อย่ายิง เราเป็นคนไม่ใช่ลิง
อาหลู่เหยียบเท้าไปบนแผ่นกระดานติดล้อ แล้วแผ่นกระดานไถลออกไปเอง อาหลู่ตกใจร้องจ๊าก โวยวายร้องให้คนช่วยหน้าตาตื่น
“ช่วยด้วย....”
แผ่นกระดานแล่นอย่างรวดเร็วเข้าไปชนต้นไม้ ศีรษะอาหลู่โขกกับกิ่งไม้ดังปัก อาหลู่หงายหลังตึง ล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้น สุภาพรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความตกใจ
“อาหลู่ โธ่ ตายซะแล้ว ...ค่ายาดองที่แกติดไว้ ฉันยกให้แล้วกัน”
แต่แล้วอาหลู่ก็ลุกขึ้นมาดีใจ “จริงๆ นะ”
สุภาพตบเข้าที่ศีรษะอาหลู่ “นี่แน่ะ ไอ้งก ยกหนี้ละฟื้นเลยนะ”
อาหลู่หัวเราะชอบใจในผลงานของตัวเอง ศิริกับทุกคนเข้ามาหา
“อะไรน่ะสุภาพ ไอ้รั่วๆ นี่มันใคร” ศิริถามงงๆ
“นี่แหละครับนาย อาหลู่ พรานนำทางของพวกเรา”
ฟังสุภาพแนะนำตัวพรานนำทาง ศิริ ธานี ธนวัติ พาณิชย์มองสภาพอาหลู่ที่แต่งชุดชาวเขาอย่างไม่วางใจ
“ไอ้นี่เนี่ยนะ”พาณิชย์มองอย่างดูถูก
“อาหลู่มันเป็นพรานมือดีของที่นี่ มีอาชีพนำทางคนเข้าไปหาของป่า” สุภาพอวยต่อ
อาหลู่พูดตัดบทด้วยสำเนียงชาวเขา
“อย่ามัวแนะนำเลย รีบไปกันเถอะ
พูดจบอาหลู่ทำท่าจะเดินไป ธนวัติยกมือขึ้นขวาง
“เดี๋ยว! แกรู้เหรอว่า หวีอยู่ไหน”
อาหลู่ออกอาการเหมือนรู้ “หวี!” เดินออกไปทำจมูกฟุดฟิดในอากาศดมกลิ่น แล้วหันไปบอกทุกคน “ตามมา!”
อาหลู่วิ่งเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนอึ้งตาโต
“เฮ้ย มันเจ๋งขนาดนี้เลยเหรอ” ธานีร้องออกมา
“รีบตามไปเถอะ”
ศิรินำทุกคนวิ่งตามอาหลู่ไป
อาหลู่วิ่งดมกลิ่นไปทางนั้นทางนี้ที แล้วชี้นำ พวกศิริ ธานี วิ่งตามหลังกันเป็นพรวน ทั้งตื่นเต้นและลุ้นสุดๆ
เวลาเดียวกันนั้นดนัยฉุดแขนฉวีวรรณให้ออกเดินลุยป่ามา ฉวีวรรณกระหย่องกระแหย่ง มาหยุดที่พุ่มไม้ตรงหนึ่ง
“โอ๊ย ไม่ต้องมาจับมือฉัน ปล่อยนะ อ๊อย ฉันเจ็บนะ ไอ้บ้าดนัย” ฉวีวรรณพูดพร้อมกับขืนตัวไว้
ดนัยดึงกระตุก เพื่อประชด “รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันใจร้าย จะมาขอความเมตตาอะไร”
“เออ ไอ้คนใจดำ ฉันขอเจ้าป่าเจ้าเขาก็ได้” จู่ๆ ฉวีวรรณก็ร้องตะโกนขึ้นมา “ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากเห็นหน้าไอ้ดนัยป่าเถื่อน...”
ในป่ารก อาหลู่หันขวับมาทางหนึ่งแล้วชี้ไปพุ่มไม้สั่นไหวอยู่ เหมือนกับว่าฉวีวรรณดนัยอยู่ตรงนั้น อาหลู่ชี้ไป อย่างมั่นใจ
“ทางปู้น!”
บรรดาคนทั้งหมดที่ตามมาหน้าตื่น ศิริรีบแซงหน้าทุกคน วิ่งเข้าไปที่พุ่มไม้ก่อนเพื่อน
“ยายหวี!” น้ำเสียงศิริตื่นเต้น
ขณะที่กลางป่า ฉวีวรรณป้องปากตะโกนไปรอบๆ ดนัยหน้าตื่น รีบเอามืออุดปากแล้วอุ้มแบกร่างฉวีวรรณขึ้นบ่า
“ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย...”
“ฮึย เรื่องมากนักน่ะ” จังหวะที่ดนัยอุ้มขึ้น ฉวีวรรณก็ร้องกรี๊ด “เธอต้องไปกับฉัน เรานัดชลิตไว้ไงเล่า”
“ไม่! ช่วยด้วย!” ฉวีวรรรณพูดอู้อี้ๆ
ดนัยหอบร่างฉวีวรรณเดินดุ่มๆ ไป
ทางด้านศิริวิ่งเข้ามาแหวกพุ่มไม้ออกอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ตกใจ เมื่อเห็นอีก้อนางหนึ่งนั่งแป้นแล้นยิ้มฟันดำอยู่
“หวี....เฮ้ยยย!!!” ศิริตกใจ
“ฮิฮิ”
อีก้อหัวเราะ แล้วชูสองนิ้ว โบกทักทายทุกคน
ทุกคนตามเข้ามา ตกใจ พร้อมกับเซ็งไปด้วย
“หนูหวี เออ ทำไม ..หน้าตาแปรสภาพตามภูมิอากาศหรือไงเนี่ย” ธานีเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่แล้วฮะคุณอาไอ้พรานติงต๊องมันมั่วแน่ๆ” พาณิชย์บอกอย่างฉุนๆ
อาหลู่รีบถลาเข้ามาเถียงคอเป็นเอ็น
“เราเปล่าน้า เราไม่ได้มั่ว
“แล้วแกพามาหาป้าแกทำไม ไอ้อาหลู่” สุภาพถามทั้งที่ยังงงๆ อยู่
แทนคำตอบอาหลู่รี่เข้าไปที่ตะกร้าสะพายหลังของชาวเขา ที่ตั้งอยู่ข้างๆ อีก้อนางนั้น แล้วหยิบหวีเสนียดออกมา
“นี่ไง หวี อันละสิบบาทนะ จะเอากี่อันล่ะ”
“งั้นสามอันยี่สิบ ได้ไหมล่ะ” สุภาพพลอยผสมโรง
ศิริตะโกนขึ้นมาอย่างสุดทน
“โว้ย... ไอ้พวกปัญญาอ่อน ฉันจะฆ่าพวกแก”
ศิริไล่เตะ อาหลู่ กับสุภาพ ที่วิ่งหนีหลบกระเจิงกันออกไป
พวกของธานี พาณิยช์ ธนวัติ ส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
“โธ่เว้ย ไม่ได้ความเลยสักคน”
เช้าวันรุ่งขึ้น ชลิตนอนหลับตาพิงโขดหินอยู่ ซักพักก็สะดุ้งตื่นเมื่อมีน้ำหยดใส่หน้า
“เฮ้ย ทำอะไรของเธอเนี่ย!”
ดาหวันหัวเราะร่าเริง พลางยิ้มแป้นเหมือนเด็กๆ
“ก็อยากนอนขี้เซา ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นนี่นา”
ชลิตนึกขึ้นมาได้ตัวเองว่านอนอยู่กลางป่า ก็ขยับตัวลุกขึ้น เอ่ยถามดาหวัน
“เช้าแล้วเหรอ”
“ใช่ แล้วหวันก็ได้น้ำมาเติมรถแล้วด้วย ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่ดนัยจะรอ”
พูดเท่านั้น ดาหวันก็คว้ามือชลิตออกวิ่งอย่างกระปรี้กระเปร่า
“เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ”
ดนัยแบกฉวีวรรณกลับมาถึงรถ แล้วจับโยนใส่รถไว้ ก่อนจะล็อกประตูไม่ให้ฉวีวรรณเปิดออกมาได้ เป็นที่ล็อกสำหรับกันเด็กเปิดประตูเอง
ฉวีวรรณโมโหจึงทั้งทุบทั้งถีบกระจกโวยวายลั่น ดนัยไม่สนใจเดินอ้อมไปเปิดกล่องนมที่ท้ายกระบะ แล้วหยิบนมถุงโกยมาเต็มมือ แล้วหอบนมถุงมาเปิดประตูขึ้นไปนั่งอีกฝั่ง
ดนัยโยนถุงนมให้ฉวีวรรณ
“เอ้า กินซะ จะได้มีแรงอาละวาดต่อ”
ดนัยทำหูทวนลม เอามือกัดก้นถุงนม แล้วดื่มนมอั้กๆ
ฉวีวรรณตวาด “ฉันไม่กินๆ ฉันจะกลับบ้าน!”
พร้อมกันนั้นฉวีวรรณจะตะกายออกจากรถฝั่งดนัย แต่ดนัยคว้าไว้ ทั้งสองกอดปล้ำกัน
“ปล่อยฉันนะ!”
จังหวะนั้นฉวีวรรณเอี้ยวตัวไปคว้าถุงนมที่เบาะตัวเอง ทุบใส่หน้าดนัย ถุงนมแตกกระจาย หกเลอะเทอะ
“โอ๊ย ยายบ้า นี่มันของกินนะ ไม่ใช่ของเล่น” ดนัยโมโห
“นายก็ปล่อยฉันไปสิ ปล่อย! ช่วยด้วย!”
ฉวีวรรณดีดดิ้นไปมา ดนัยรำคาญ จับแขนไว้แล้วเอี้ยวตัวไปด้านหลัง เห็นขดเชือก รีบคว้ามาแล้วจับมัดมือฉวีวรรณทันที ให้สายเชือกยาวประมาณ3-4 เมตร ดนัยรวบเชือกไว้ดึงกระตุกฉวีวรรณได้
“โอ๊ย จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”
“พูดดีๆ ไม่เชื่อ ก็ต้องมัดกันแบบนี้แหละ”
“โอ๊ย ไม่เอา ปล่อย!”
ฉวีวรรณเตะถีบพัลวัน แต่ดนัยไม่สนใจ จับมัดมือฉวีวรรณไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างก็รีบมัดมือตัวเอง ดนัยลากตัวฉวีวรรณที่ในเวลานี้อยู่ในสภาพมอมแมมกันทั้งคู่เดินออกมาจากรถ
“ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ใช่วัวใช่ควายนะ ทำไมต้องผูกกันแบบนี้ด้วย” ฉวีวรรณยังโวยได้อีก
“ก็เธอดื้อกับฉันก่อน” ดนัยทำท่าขู่ “แล้วถ้าเธอยังพูดมากอีกนะ ฉันจะมัดปากเธอด้วย”
เห็นท่าทีจริงจังของดนัย ฉวีวรรณรีบเอามือข้างที่ไม่โดนมัดปิดปากตัวเองไว้ ดนัยหันหลังกลับกึ่งลากกึ่งจูงฉวีวรรณต่อไป
ฉวีวรรณเดินตามดนัยมาอย่างเงียบกริบ พอเห็นดนัยเอาแต่เดินดุ่มๆ ไปเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จา ฉวีวรรณเลยกระตุกเชือก ดนัยรู้สึกเหมือนว่าเชือกโดนกระตุก แต่ก็ไม่สนใจยังคงเดินต่อ ฉวีวรรณกระตุกอีก
“อะไร!”
ดนัยทนไม่ไหว หันมาอย่างเอาเรื่อง ฉวีวรรณทำหน้าแหยๆ แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้น
“ฉันขอถามคำนึง...นายจะพาฉันไปไหน
“ไปอาบน้ำ!” ดนัยบอก
“หา!” ฉวีวรรณอ้าปากหวอ
แต่ดนัยไม่สนใจ ออกเดินต่อ ลากฉวีวรรณออกไป
ดนัยเลือกเอาลำธารริมน้ำตก ที่มีโขดหินอยู่ตรงกลางเป็นที่ชำระล้างร่างกาย ฉวีวรรณแข็งขืนตัวสุดกำลังขณะที่ดนัยยืนอยู่บนโขดหินตรงกลาง พร้อมกับดึงเชือกลากให้ฉวีวรรณตามมา
“ไม่ ! ฉันไม่อาบๆๆ”
ฉวีวรรณเกาะก้อนหิน และอะไรแถวนั้นที่พอยึดไว้ได้โดยไม่ไป
“อยากจะไปพบแฟนเธอในสภาพมอมเป็นลูกแมวแบบนี้หรือไง ลงไป” ดนัยสั่ง
“ไม่ลง! ฉันไม่อาบ!
ดนัยรำคาญสุดขีด เดินขึ้นไปแกะมือฉวีวรรณออกจากที่ยึดอยู่ แล้วจับโยนตูมลงไปในแอ่งน้ำตก
“กรี๊ด! ไอ้เลว บอกแล้วว่าไม่อาบ ฉันยอมเป็นขี้กลากซะดีกว่าอาบน้ำกับนาย!”
“เฮอะ ทำเป็นพูดออกตัวไปหรือเปล่าป้า จริงๆ แล้วก็อยากเห็นหนุ่มหล่ออย่างฉันถอดเสื้อผ้าโชว์กล้ามอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
ฉวีวรรณวิดสาดน้ำใส่
“อี๋ หน้ายังกับปลาบู่ชนเขื่อน ใครจะไปอยากดูนายแก้ผ้า”
“หึหึ คนอย่างฉันชอบลองของเสียด้วยสิ”
ว่าแล้วดนัยก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อตัวเอง ค่อยดึงรั้งออกจากตัว ฉวีวรรณตาโต
“นั่น..นั่น นายจะทำอะไรของนาย”
“แน่ใจนะ ว่าจะไม่ดู!”
ดนัยแกล้งยั่วโยนเสื้อตัวเองลงกับพื้นโขดหิน เหลือเพียงเสื้อกล้าม ฉวีรรณกรี๊ดหนักกว่าเดิม
“ไอ้ดนัย ไอ้บ้าลามก!”
คราวนี้ดนัยปลดเข็มขัด ยิ่งทำท่ายั่วๆ เพื่อแกล้งสาวขาเหวี่ยง
“ถอดแล้วละ”
นาทีนั้นกางเกงดนัยก็หล่นผัวะลงไปกองอยู่กับพื้นหิน แต่โชคดีที่ดนัยยังมีบ๊อกเซอร์กันไว้อยู่ ฉวีวรรณรีบหันหลังเอามือปิดหน้ากรี๊ดลั่น แล้วจะวิ่งลุยน้ำหนี
ดนัยชอบใจ ดึงเชือกไว้ สาวเข้ามา
“จะหนีทำไม ไหนอวดเก่งนักก็ดูสิ หันมาดูให้เต็มตา” ดนัยหัวเราะชอบใจ
“อ๊าย... กรรมเวรอะไรของฉัน ทำไมฉันต้องมาเจอไอ้บ้าหื่นกามอย่างนายด้วย ไอ้ถ่อยใจเสื่อม ไอ้โรคจิต”
“แหม เธอด่าอย่างนี้ยิ่งยั่วยุอารมณ์ ฉันเปลี่ยนใจมาอาบน้ำกับเธอดีกว่า เราจะได้ช่วยกันถูหลัง แล้วก็..ทำอะไรก็ไม่รู้ แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ...”
ดนัยยั่วแบบจัดเต็ม ฉวีวรรณร้องกรี๊ด
“อย่านะ ไอ้บ้า ฆ่าฉันซะดีกว่า
ดนัยทำท่าจะโดด
“ฉันจะโดดแล้วนะ”
ฉวีวรรณปิดหน้าปิดตา พร้อมทั้งหลับหูหลับตาตั้งท่ากรี๊ด
“อย่า.....”
เสียงน้ำแตกกระจายดังตูม ฉวีวรรณปิดหน้าปิดตา คิดว่าดนัยเข้ามากอดปล้ำ
ฉวีวรรณวางมาดอย่างนางเอกมากๆ ร้องโวยวายน่าสงสาร
“ไอ้คนชั่ว นายข่มเหงฉันได้แต่ตัวเท่านั้น แต่นายจะไม่มีทาง ได้หัวใจของฉันไปหรอก”
แล้วฉวีวรรณค่อยรู้สึกว่าเชือกที่แขนกระตุกๆ มีเสียงของดนัยดังขึ้นมา
“ฮ่าฮ่าฮา พูดมาได้!” ดนัยเลียนเสียงฉวีวรรณ “นายจะได้แต่ตัวไม่ได้หัวใจฉัน”
ฉวีวรรณชะงักแล้วหันไปเห็นดนัยเปลือยอก ลอยคอชะโงกหน้าผ่านช่องโขดหินมายิ้มๆ ให้ ฉวีวรรณมองสบตากับดนัย เห็นใบหน้าเนียนใสนั้น ยิ่งมีหยดน้ำเกาะยิ่งดูหล่อเหลาอย่างนึกไม่ถึงจึงอ้าปากค้าง
“น้ำเน่าได้ใจจริงๆ ยายป้าหวี ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฉวีวรรณแค้นจัดที่หน้าแตก ตีน้ำจนกระจายระบายแค้น
“ไอ้เลว! นายหลอกฉันอีกแล้วนะ”
“ป้าหวีก็หัดมีสติบ้างสิ ใครจะกล้าไปอาบน้ำกับผู้หญิงบ้าอย่างป้าล่ะ!”
ดนัยพูดจบก็โผไปว่ายน้ำเล่น ส่วนฉวีวรรณได้แต่ตีน้ำไปมา อย่างอารมณ์เสีย ที่เสียฟอร์ม
“ไอ้ดนัย...ฉันเกลียดๆๆๆ แก ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ดนัยดำผุดดำว่ายน้ำเล่น อย่างสบายใจ ผิวปากร้องเพลง อารมณ์ดี ที่หลังโขดหิน
ขณะที่ฉวีวรรณ เอาน้ำลูบไล้เนื้อตัว หลิ่วตามอง เบ้ปากทำหน้ารังเกียจ แล้วจังหวะนั้นฉวีวรรณก็มองไปเห็น เสื้อ กับกางเกง และบ๊อกเซอร์ของดนัยที่กองอยู่ที่โขดหิน ฉวีรรณตาลุกคิดอะไรออก
ไวเท่าความคิดฉวีวรรณค่อยๆ ลอยคอไปที่โขดหินหวังจะขโมย แต่พอเอื้อมมือใกล้ถึง ดนัยก็โผล่พรวดเข้ามาตรงหน้า จับมือฉวีววรรณไว้ทันที
“มายุ่งอะไรกับเสื้อผ้าฉัน”
“ว้าย”
ฉวีวรรณจะดึงมือคืน แต่ดนัยจับไว้ไม่ปล่อย ฉวีววรณถลาเข้าไปตามแรงดึงเชือก ใบหน้าห่างจากดนัยแค่คืบ มีแค่หินกั้น
วินาทีนั้นทั้งสองมองสบตากันโดยไม่ตั้งใจ ต่างมองกันและกัน อึ้งปนปิ๊ง เหมือนมีแรงดูดดึงดูดให้เข้าหา
ดนัยโน้มหน้าเข้ามา ใกล้จะจูบปากกับฉวีวรรณ จมูกชนจมูก ปากเกือบแตะปาก.
แต่แล้วดนัยชะงัก ดึงตัวออกมาเหมือนนึกได้ ฉวีวรรณอึ้ง มองตาโต ขณะที่ดนัยอึกอัก
“ขอโทษ นะ...ฉันไม่น่าทำแบบนี้ ฉันเป็นแค่คนพาเธอไปหาคนรัก แต่ไม่ใช่คนรักของเธอ”
ดนัยพูดพร้อมกับหันกลับออกไป ฉวีวรรณอึ้งๆ สีหน้าเจื่อนๆ ค่อยๆ หันกลับไปทางตัวเองอย่างงงๆ
ฉวีวรรณเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับดนัยเหมือนกัน
ห้วงเวลาเดียวกันนั้น ดนัยว่ายน้ำจ้ำเอาๆ แบบพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก แล้วผลุดลงไปในน้ำ กระโดดขึ้นมาร้องตะโกนระบายอารมณ์
ฉวีวรรณ ลุยน้ำไปตรงมุมสวยๆ ครุ่นคิดงุนงงอยู่กับตัวเอง แล้วเหลือบมองตามสายเชือก ไปทางฝั่งดนัย รู้สึกแปลกๆ ในใจขึ้นมาอีกครั้ง
ด้านดนัยลุยน้ำมาตามสายเชือก เข้ามาแอบมองดู ฉวีวรรณผ่านช่องหิน แต่มองลอดเข้าไปแล้วไม่เห็นใคร ดนัยถอนใจ แล้วเอนกายพิงโขดหินฝั่งตัวเอง
ขณะที่อีกข้าง ฉวีวรรณเองก็ยืนพิงโขดหินอยู่เหมือนกัน ฉวีวรรณเหลือบตามองช่องหิน
ไม่เห็นดนัย เบือนหน้ากลับมาเหม่อมองออกไป คิดไม่ตก รู้สึกกับดนัยอย่างไรกันแน่
อาหลู่ ทำท่าก้มๆ เงยๆ อยู่ที่พื้นดิน พยายามหาร่องรอย ธนวัติเดินเข้ามาดู
“ว่าไง ได้ร่องรอยอะไรบ้างไหม” ธานีถามเสียงเคร่ง
“นี่ไงๆ เต็มเลย”
อาหลู่ออกอาการตื่นเต้น ทุกคนตื่นเต้นตามรีบเดินมาดู
“รอยอะไรวะอาหลู่” สุภาพถาม
“รอยเท้าช้าง มันไปทางปู้นนน” อาหลู่ชี้ไปตามทาง
“ลูกชั้นมันนั่งรถไปโว้ย ไม่ได้ขี่ช้างไป”
“เอ้า แล้วก็ไม่บอก งั้นก็ต้องหาใหม่”
อาหลู่พูดแค่นั้นก็วิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ทีดูต่อ ศิริหันมามองสุภาพ เกาหัวแกรกๆ
“พรานของแกนี่ ต้องส่งเข้าศูนย์แล้วหรือเปล่าสุภาพ มันดูต๊องๆ พิกล”
สุภาพยิ้มเจื่อนๆ มองอาหลู่อย่างเอาใจช่วย
“ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะยิ่งเสียเวลานะครับ” ธานีออกความเห็น
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะ ธานี”
ศิริถามกลับเป็นเชิงปรึกษา ธนวัติฟังอยู่ตอบแทรกแทน
“คุณลุงครับ ผมว่าเราน่าจะแกะรอยจากญาติ หรือคนที่ใกล้ชิดพวกมันก่อนนะครับ บางทีมัน
อาจจะรู้เห็นเป็นใจด้วยก็ได้”
ศิรินึกถึงทองอินขึ้นมาทันที
สมมติฐานของธนวัติถูกเป๊ะ เพราะเวลาเดียวกันนั้นทองอินกำลังเอามือกุมหัวเดินไปมาแล้วหยุดตรงหน้าชลิตกับดาหวัน ซึ่งเวลานี้ทั้งคู่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ชลิตใส่เสื้อ เชิ้ตยีนส์เข้ารูปนิดๆ พับแขน ปลดกระดุม เห็นเสื้อกล้ามข้างใน ส่วนดาหวันใส่เสื้อผ้าแนวๆ ของฉวีวรรณ
“ไอ้บ้าเอ๊ย ! พวกแกทำอะไรทำไมไม่คิดกันก่อนวะ”
“ก็คิดแล้วเนี่ยแหละพี่ ผมถึงต้องทำ”
ทองอินถอนหายใจเฮือกๆ เพราะรู้จักศิริดี
“แกรู้จักคุณศิริน้อยไปแล้ว ชลิต แกไปลักพาตัวลูกสาวมา เขาเอาตายแน่”
“ผมไม่ได้ลักพาตัว หวันเต็มใจมา” หันไปทางดาหวัน “จริงไหมหวัน”
“ค่ะ หวันเต็มใจจะมาแต่งงานกับพี่ดนัย ถึงพ่อไม่ยอมหวันก็จะแต่ง”
ทองอินได้ฟังก็เอามือกุมหัวอีกรอบ ไม่รู้จะทำยังไงดี
ทันใดนั้นเอง เสียงแตรรถก็ประสานดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนสะดุ้ง รีบพุ่งไปที่บานหน้าต่าง แล้วแหวกม่านออกไปมอง สามคนหน้าตาตื่นไม่แพ้กัน
ขบวนรถของธนวัติและศิริแล่นฝุ่นตลบเข้ามาตามถนน แล้วจอดพรืดที่หน้าบ้านทองอิน ก่อนจะกรู กันลงมาเป็นกองทัพ ทองอินรีบวิ่งออกมาหน้าตาตื่น แล้วยกมือไหว้กราดไปที่ศิริและธานี
“มีธุระอะไรกันเหรอครับคุณศิริ คุณธานี”
“มีแน่ ธุระด่วนด้วย! ไปเรียกตัวลูกสาวฉันออกมา”
ทองอินสะดุ้งโหยง นึกแล้วว่าศิริต้องมาเรื่องนี้
“ลูกสาวคุณศิริ จะมาอยู่บ้านผมได้ยังไงล่ะครับ” ศิริยังโยกโย้
“ก็เพราะไอ้เศษสวะสองคนนี่มันฉุดหวีกับหวันมาน่ะสิ”
ธนวัติโยนรูปดนัยกับชลิตลงไปที่พื้นตรงหน้าทองอิน ทองอินหยิบขึ้นมาดู
เหตุการณ์ภายในบ้าน ชลิตแอบคอยเงี่ยหูฟัง ได้ยินก็โมโห ทำท่าฮึดฮัดจะออกไป
“มันเรียกฉันว่าเศษสวะ ฉันลูกมีพ่อมีแม่นะเว้ย!”
ว่าแล้วชลิตตั้งท่าจะตะโกน ดาหวันรีบเอามืออุดปากให้เงียบ แล้วแอบดูต่อ
ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ ศิริกับธานีมองหน้าทองอินอย่างจับผิด
“อย่ามาดื้อแพ่งเข้าข้างไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นเลยคุณเดี๋ยวจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยเปล่าๆ”
ทองอินเจอขู่ก็ทำขึงขังบอกความจริงครึ่งเดียว
“แล้วคุณจะให้ผมพูดอะไรอีกล่ะ ก็เห็นอยู่แล้วนี่ ไม่มีใครอยู่ที่นี่ ดนัยกลับไปแล้วจริงๆ
“นึกว่าพวกเราโง่เหรอ?” พาณิชย์สั่งงานกับลูกน้อง “เฮ้ย ดูรอบๆนี่ซิ! มันอยู่แถวนี้หรือเปล่า!”
ธานีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องแยกกันสำรวจดูรอบๆ
จังหวะนั้นเองดาหวันดึงชลิตหลบวูบ พร้อมกับกระซิบถาม
“พี่ซ่อนรถไว้ดีหรือเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เอากิ่งไม้บังซะมิดขนาดนั้น ถ้าไม่มองดีๆ ก็ไม่เห็น”
ชลิตบอกดาหวันค่อยคลายกังวลไปหนึ่งเปลาะ
พอพวกลูกน้องเดินสำรวจซักพักก็วิ่งกลับมารายงานธานีกับศิริ
“ไม่เจอครับ” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“ผมบอกแล้วไง ดนัยไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่มีทางพาฉวีวรรณไปไหนหรอก”
สุภาพฟังทองอินบอกพลางหรี่ตามองจับพิรุธได้
“นั่นไง ป่าไม้รู้ได้ยังไง ว่าใครไปกับใคร...พวกเรายังไม่ได้บอกสักคำเลยนะ ว่านายดนัยเป็น
คนจับตัวคุณหวีไป”
ทองอินชะงักครู่หนึ่ง รู้ตัวว่าพลาด เผลอหลุดปาก รีบพูดแก้
“โธ่ พี่สุภาพ ผมก็ได้ยินชาวบ้านเขาพูดกันน่ะสิ ข่าวดังจะตายว่าลูกสาวคุณศิริน่ะ...”
ศิริโกรธเพราะทนฟังไม่ได้
“หยุด พอๆๆ ฉันไม่อยากฟังขี้ปากชาวบ้าน” แล้วหันมาพูดกับทุกคน “เสียเวลาจริงๆ ไป กลับกันได้แล้ว”
ศิริหันหลังจะพาทุกคนกลับ แต่ธนวัติกลับเดินสวนมาตรงหน้าทองอิน
“เพื่อความโปร่งใสบริสุทธิ์ใจ คุณจะยอมให้เราค้นบ้านไหมล่ะครับ”
ธนวัติมองหน้าทองอินอย่างท้าทาย ทองอินกลืนน้ำลายเอื๊อก
แล้วเวลาต่อมาธนวัติกับพาณิชย์นำลูกน้องของตนเดินเข้าไปในบ้าน มีทองอินตามไป
“ค้นให้ทั่ว ทุกซอกทุกมุม อะไรที่ต้องรื้อก็รื้อ อะไรที่ต้องทุบก็ทุบ”
“เฮ้ยๆๆ จะมากไปมั้ย”
ทองอินโวยวาย แต่ถูกธนวัติจ้องหน้าแบบข่มขู่
“แล้วผมจะชดใช้ให้”
ลูกน้องของธานีกรูกันเข้าไป แยกค้นตามห้องต่างๆ ทันที ธนวัติกับพาณิชย์แยกขึ้นไปชั้นบน ทองอินรีบตาม แล้วแกล้งส่งเสียงให้ชลิตกับดาหวันรู้ตัว
“อะไรนะ จะค้นห้องนอนผมเหรอ”
ชลิตกับดาหวันอยู่ในอาการกระวนกระวายอย่างหนัก ในห้องนอนของทองอิน
“พวกมันกำลังจะเข้ามาในห้องนี้แล้ว ทำไงดี” ชลิตปรึกษาดาหวัน
ดาหวันก้มลงดูใต้เตียง พยายามจะคลานเข้าไป แต่แคบเกินไป
“หรือว่าหวันจะออกไปรับหน้าก่อน ไม่งั้นพี่โดนเล่นงานแน่”
ชลิตคว้าแขนดาหวันดึงรั้งเอาไว้
“ไม่ได้นะ ถ้าเธอโดนเอาตัวกลับไปแล้วพี่จะทำไง ไอ้ดนัยด่าตายเลย”
“แล้วจะเอาไงเล่า”
ดาหวันร้อนใจชลิตครุ่นคิดอย่างลังเล เสียงทองอินดังลอดเข้ามาแว่วๆ พยายามพูดดังๆ ให้ชลิตกับดาหวันเตรียมหนี
“ห้องนอนผมมันรกมากเลยนะ จะดีเหรอคุณ!”
ดาหวันได้ยินก็รีบเร่งชลิต
“เขาจะมากันแล้วนะพี่ชลิต”
ชลิตมองออกไปที่หน้าต่างอย่างกระวนกระวาย จะปีนลงไปก็กลัวขาหัก แต่สายตาเหลือบไปเห็นคนงานประจำบ้านทองอินสองคนเดินออกมาทางหลังบ้าน ชลิตรีบเอาอะไรขว้างลงไป คนงานทั้งคู่รีบเงยหน้าขึ้นมอง เห็นชลิตกับดาหวันโบกไม้โบกมือ แล้วส่งสัญญาณให้เงียบ
ทองอินปราดมาขวางหน้าธนวัติกับพาณิชย์ไว้ เพราะรู้ว่าชลิตกับดาหวันอยู่ในนั้น แต่ธนวัติกลับสั่งให้ทองอินเปิดประตู
“เปิดประตู!”
ทองอินอึกอัก คิดจะหาข้ออ้าง แต่ธนวัติไม่สนใจ แทรกตัวเข้าไปแล้วดึงประตูเปิดออกทันที
ทองอินใจหายวาบ แต่พอมองเข้าไปกลับไม่ปรากฏร่างของชลิตและดาหวัน
“ก็ไม่เห็นมีใคร ทำเป็นลวดลายไปได้” พาณิชย์หันไปพูดกับธนวัติ “ไปเหอะ”
“เดี๋ยวก่อน”
ธนวัติกวาดสายตาสำรวจรอบๆ ห้อง แล้วไปหยุดที่ตู้เสื้อผ้าตรงมุมห้องที่ปิดอยู่
ชลิตกับดาหวันเบียดกันอยู่ในตู้เสื้อผ้าอย่างลุ้นๆ ดาหวันกลัวจนเผลอร้องออกมา ชลิตรีบดึงให้มาซบอกไม่ให้เสียงลอดออกไป
ธนวัติเดินเข้าไปที่ตู้เสื้อผ้า ชลิตกอดดาหวันแน่น ลุ้นสุดขีด ธนวัติเอื้อมมือจะเปิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายของสุภาพ
“เฮ้ย ใครน่ะ หยุดนะโว้ย!”
ธนวัติ ศิริ ทองอินรีบวิ่งไปชะโงกดูที่หน้าต่าง เห็นร่างของคนสองคนแต่งชุดธรรมดาเหมือนผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป แต่ใส่หมวกบังหน้ากำลังจูงกันเพื่อวิ่งหนี
“เฮ้ย ท่าทางคุ้นๆ” พาณิชย์ร้องบอก
“ไหนคุณบอกว่ามันไม่ได้มาที่นี่ไง!”
ธนวัติกับพาณิชย์คิดว่าอย่างไรเสีย ทั้งสองคนนั้นก็ต้องเป็นชลิตกับดาหวันแน่ จึงรีบผลุนผลันออกจากห้องไปอย่างร้อนรน ทองอินพลอยตกใจไปด้วย เพราะคิดว่าชลิตกับดาหวันโดดลงหน้าต่างไป
จังหวะนั้นเองคนดูแลบ้านของทองอินวิ่งหนีจนกระเจิง ตามแผนที่ชลิตกระซิบบอก
สุภาพกับอาหลู่วิ่งไล่ไปติดๆ แต่ลูกน้องธานีก็ขับรถมาดักหน้าแล้วกระโจนเข้าไปคว้าตัวไว้ ตะลุมบอนกัน ศิริ ธานี ธนวัติ พาณิชย์ รวมทั้งทองอินวิ่งตามเข้ามา เห็นลูกน้องลากคนดูแลบ้านทองอินมานั่ง โดยที่หมวกยังบังหน้าอยู่
ธนวัติมองทองอินอย่างโกรธๆ
“พวกคุณสมรู้ร่วมคิดกันจริงๆ”
“เอาตัวมันไปโรงพัก” ธานีสั่งลูกน้อง
“เดี๋ยวก่อน” ศิริถามคนงานทั้งสอง “ลูกสาวฉันอยู่ไหน!”
จังหวะนั้นเองศิริก็ตรงไปกระชากหมวกคนทั้งสองออกทันที แต่แล้วก็ผงะ
“นี่มันไม่ใช่ไอ้หนุ่มสองคนนั่นนี่ครับ” สุภาพบอก
คนงานของทองอินทั้งสองมองทั้งหมดอย่างเหรอหรา ทองอินถอนใจรู้สึกโล่งอก
“ไอ้สองคนนี้มันเป็นคนดูแลบ้านผม พวกคุณจะจับมันด้วยข้อหาอะไรล่ะครับ”
ศิริ ธานี ธนวัติ และพาณิชย์ชะงัก อึ้งไป
ชลิตกับดาหวันโผล่ออกมาจากตู้ในห้องนอนทองอิน ดาหวันถอนหายใจโล่งอก
“เกือบตายแล้วไหมละ”
ดาหวันเอ่ยขึ้น ชลิตรีบวิ่งไปที่หน้าต่างชะโงกดู เห็นกลุ่มของศิริที่ยังอยู่ทางด้านหลังบ้านก็รู้สึกกังวล
“รีบไปเถอะ หวัน เดี๋ยวพ่อเธอกลับมาค้นใหม่จะซวย”
“แล้วพี่ดนัยกับพี่หวีล่ะ”
“ไว้ค่อยนัดกันอีกที”
ชลิตดึงแขนดาหวันวิ่งออกจากห้องไป แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ หันกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดออก
“อะไรน่ะ พี่ชลิต”
“อย่าพึ่งถาม ช่วยพี่เก็บของก่อน”
ชลิตรวบเสื้อผ้าในราวมาหลายๆ ตัว หนึ่งในนั้นมีชุดสูทขาวอยู่ด้วย ดาหวันเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งซึ่งเล็กกว่าใบเดิมของตัวเองกันน้ำและลอยน้ำได้ มาให้ชลิตยัดใส่แล้วทั้งคู่ก็รีบวิ่งออกไป
ที่บริเวณหลังบ้าน ทองอินเข้าไปประคองคนงานของตนให้ลุกขึ้น แล้วถามอย่างมีฟอร์ม
“ตกลงว่าสองคนนี้ไม่ใช่คนที่ตามหา เพราะฉะนั้นพวกคุณคงไม่มีธุระที่นี่แล้วนะครับ เชิญ!
ธนวัติมองทองอินอย่างไม่ไว้ใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ขู่
“อย่าให้ผมรู้ทีหลังแล้วกันว่าคุณร่วมมือกัน ผมไม่เอาไว้แน่!”
ศิริตบไหล่ธนวัติเป็นเชิงปราม แล้วนำทุกคนขึ้นรถขับออกไป ทองอินลอบถอนหายใจอย่างกังวล
จังหวะนั้นเอง ทองอินก็หันมองกลับไปทางตัวบ้านอย่างเป็นห่วงชลิตกับดาหวัน
อ่านต่อวันพรุ่งนี้