เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 7
ศรีไพรกำลังพรวนดิน แปลงผักพืชสวนครัวที่มีอยู่หนาแน่นรอบบริเวณบ้าน ชาวบ้านเดินผ่านมา ศรีไพรหันไปทักทาย
“น้า ไปไหนแต่เช้า เอาตำลึงนี่ไปแกงเลียงกินซี ฉันเก็บไว้เยอะเลย เราแบ่งปันกัน”
ชาวบ้านรีบเลี่ยงหลบ ศรีไพรมองตาม สลดลง เมื่อเห็นท่าทีอย่างนั้น
ทวน เมิน เดินนำหน้าทอกและหมอก กำลังจะไปนาแต่หาเหตุผ่านหน้าบ้านพรเพื่อแอบมองศรีแพร ต่างชะเง้อชะแง้ ส่งเสียงร้องเพลง
“ฮะแอ้ม...” ศรีไพรหน้าตึง
“อ้าว มู่ทู่ อยู่หรือ นึกว่าไม่อยู่” ทวนยิ้ม
“อยู่ก็น่าจะส่งกลิ่นเตือนก่อนส่งเสียงนะ” เมินแกล้งกวน
“มาทำอะไรเช้าๆ ยังงี้”
“ตามประสาชายผู้ขยันขันแข็ง ปีนี้ต้องได้ตำแหน่งคนขยันประจำตำบลแน่”
ศรีไพรเสียงดังขึ้น
“ถามว่ามาทำอะไรแถวนี้”
“เอ้อ...ก็กำลังจะไปนา ก็เลยเดิน...เดินผ่าน...”
เมินพูดไม่ออก ทอกช่วย...
“บังเอิญเดินผ่านมาทางนี้ ก็เลย...”
พูดไม่ทันจบ ศรีไพรขัดขึ้นก่อน
“ทางลัดจากป่าช้า วิ่งตรงไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามีไม่เดิน ทำไมต้องอ้อมโลกมาเป็นกิโล อ้อ...รู้แล้ว นี่คงคิดว่าเช้าๆ พี่สาวฉันคงออกมาเก็บผักในสวนนี่ใช่มั้ย เมื่อก่อนใช่...”
“แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ” หมอกสงสัย
“เดี๋ยวนี้ถูกสั่งเก็บ ถ้าไม่ใช่เวลาเอาข้าวไปส่งที่นา ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด”
“โธ่ ศรีแพรของพี่ ใช้ชีวิตยังกับทาส” เมินสงสาร
ทวนพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ ถูกกลั่นแกล้งรังแก โหดร้ายทารุณหรือเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตายังงี้จิตใจดีได้ยังไง จิตใจคนมันก็เหมือนหน้าตา แปลกๆ”
ศรีไพรโมโห
“นายทวน เดี๋ยวเถอะ ไป ไปนาได้แล้วเดี๋ยวจะตามไป ทีหลังไม่ต้องเดินอ้อม โลกมาผ่านหน้าบ้านฉันนะ ไม่ยังงั้นฉันจะ...”
“ไปโว้ย ไอ้ทวนเร็วๆ เดี๋ยวไม่ได้ไป”
ทวน เมิน ทอกและหมอกรีบวิ่งหนี ศรีไพรก้มลงหยิบท่อนไม้ขว้างตามไปอย่างโมโห
หลิมคลานออกมาจากป่าละเมาะริมคันนา เพื่อสอดแนม ขณะที่พวกศรีไพรถอนต้นกล้า เพื่อนำไปดำลงแปลงนา
“อย่ามัวเอาแต่เล่นกันโว้ย เดี๋ยวแดดมันจะผ่ากบาล เราต้องเร่งดำให้เสร็จภายในสามวัน ไม่ยังงั้นต้นกล้าท่านจะแก่” พรบอกทุกคน
ศรีไพรหันไปดูกลุ่มทวน
“เร่งมือหน่อย ให้มันทะมัดทะแมงยังงี้ นี่ นายทวน ไปอยู่เสียที่ไหนมาถึงได้ดำนาเหมือนดำน้ำยังงั้น มา...มานี่...จะสอนให้ มือ...เวลาถอนต้น กล้าน่ะล้วงลงไปจนชิดโคนต้น แล้วออกแรงถอนเบาๆ อย่าแรง นายออกแรงยังงั้นต้นกล้าท่านก็ขาดน่ะซี”
“ท่าน...” ทวนงง
“ใช่ ปู่ย่าตายายเรา เรียกข้าวว่าท่าน ไม่ได้กินข้าวแล้วตาย แล้วทำไมจะไม่เรียกข้าวว่าข้าวท่านล่ะ เป็นการยกย่องพระแม่โพสพด้วยความเคารพ”
ทวนมองหน้าศรีไพรอย่างครุ่นคิด
“แน๊ สอนแล้วยังมองหน้าอีก มา...เอามือมานี่ จับ...ยังงี้...”
ศรีไพรจับมือของทวนสอนให้ดำนา เมิน ทอก หมอกมองมายังทั้งสอง ใบหน้าของศรีไพรกับทวนใกล้กันมาก...
“เอ๊ะ ทำไมถอนไม่ชึ้น ต้นกล้าท่านติดอะไรนี่” ศรีไพรบ่น
“มา ผมช่วย”
“หนึ่ง...สอง...สาม..อึ๊บ...”
ศรีไพรและทวนหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงกับผืนนา โคลนแตกกระจาย เปรอะไปตามใบหน้าของทั้งสอง เมิน ทอก หมอก หัวเราะกันอย่างขบขัน พรรีบวิ่งเข้ามากันท่าทวนและศรีไพร
“เฮ้ย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ไอ้ทวน ปล่อยมือลูกสาวของข้า เอ็งนึกว่าข้าไม่รู้ใช่มั้ยว่าเอ็งคิดอะไรกับไอ้ศรีไพรมัน กล้าต้นแค่นี้ถอนไม่ขึ้น มา...ข้าจะถอนให้ดู”
พรก้มลงถอนกล้าเต็มแรง หงายผึ่งลงกับผืนนา โคลนกระจาย
บุญช่วยโกรธแค้น ที่ทวนและเมินช่วยศรีไพรทำนาจนงานรุดหน้าไปมาก
“ไม่มีชาวบ้านเข้าพวกกับมัน มันยังมีปัญญาทำนาตั้งร้อยไร่เชียวหรือวะ”
หลิมพยักหน้ารับ
“พวกไอ้ทวนกับไอ้เมิน ช่วยไอ้ศรีไพรตัวเป็นเกลียว เงินทองก็ไม่ได้ สงสัยว่ามันจะมีแรงบันดาลใจครับ ท่านเศรษฐี”
“แรงบันดาลใจนี่มันแปลว่าอะไรวะ” ชิงชัยสงสัย
ชาริณีฟังแล้วหงุดหงิด
“ก็สาเหตุที่ทำให้พวกนั้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยังไงล่ะ จะจีบลูกสาวตาพรนี่เองชวนมาอยู่ด้วยถึงไม่มา”
“ถ้าเสน่ห์บทนี้มันด้าน ก็ยังมีเวทมนต์อีกบท”
สไบชำเลืองสายตาเยาะหยัน ชาริณีกระชากเสียงห้วน
“อะไร”
“เงิน” สไบเชิดหน้าตอบ
ทวนเดินนำหน้าเมิน ทอกและหมอก ต่างเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เพราะเพิ่งกลับจากการถอนต้นกล้าในท้องนา
ทันใด เงินปึกใหญ่ในมือของชาริณี ที่แต่งตัวสั้น โป๊ โบกเบาๆตรงหน้า ทั้งสี่ชะงัก มองไปที่เงินนัยน์ตาเบิกโพรง
“ถ้าตกลงรับปากกับฉันว่า จะไปเป็นพวกของพ่อฉัน เงินปึกนี้...เอาไปเลย”
“เงิน...” ทอกร้องเสียงดัง
หมอกทำเป็นตะลึง
“ไม่เคยเห็นเงินเป็นปึกๆ ยังงี้เลยพี่ ช่วยเขกหัวฉันหน่อยพี่เมิน ตัวอะไรก็ไม่รู้ มันแล่นจากข้างล่างขึ้นมาจับอยู่ข้างบนนี่”
“สงสัยจะเป็นความอยาก...อยากได้ ไอ้ที่เรียกว่าความโลภน่ะ” ทอกหันไปบอก
ชาริณียิ้ม
“เงินนี่ใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่เชื่อจะลองดมกลิ่นดูก็ได้นะ”
หมอกทำเป็นดม
“หอม พี่จ๋า...มันหอมหวนชวนให้อยากเป็นเจ้าของซะจริงๆ”
“ตัดสินใจได้หรือยัง ว่าจะรับเงินนี่ไปถลุงให้สนุก หรือว่า...จะกลับไปมือเปล่า” ชาริณีถาม
ทอกหันไปบอกทวน
“พี่...พี่ทวน ฉันสั่นไปหมดเลย มันสั่นตั้งแต่ข้างในไปถึงข้างนอกจ้ะ”
“แต่ของฉัน สั่นตั้งแต่ข้างล่าง ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว” หมอกบอกบ้าง
ชาริณีมองหน้าทวน กับเมิน
“ว่ายังไง นายทวน นายเมิน ถ้ายอมทิ้งไอ้ศรีไพรไปเป็นพวกของพ่อฉันละก็ มีให้ใช้อีกเยอะ”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนครับ เรามีกันตั้งสี่คน...” ทวนแย้ง
“จะรวมมหาเฉื่อยกับหลวงตา กับเด็กอีกทั้งวัดก็ได้นะ ฉันมีเงินซื้อได้ทุกคน”
เมินสดุ้ง
“ผมไม่ใช่หมูนะ”
“หมูหรือหมาในบ้านนา ซื้อได้ทั้งนั้น นี่ฉันกำลังต่อรองซื้อแบบเหมารวม”
ทวนหยั่งเชิง...
“คุณจะซื้อพวกเราไหวหรือ ถึงเศรษฐีบุญช่วยพ่อคุณจะมีเงินเยอะแยะ แต่...ผมนึกไม่ออกว่าจะขายตัวแบบเป็นเพ็กเก็จยังไง จะขายเดี่ยว ขายทั้งฝูง ขายแบบผ่อนดาวน์มีส่วนลดส่วนต่าง หรือว่าขายด้วยแถมด้วย”
เมินเห็นด้วย
“ใช่ครับ เรื่องธุรกิจซื้อขายนี่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เอายังงี้มั้ยครับ ให้พี่ชายคุณมาเจรจาซื้อขายเอง...”
“ที่ไหน...”
“ป่าช้า”ทวนยิ้มอ่อนโยน สุภาพแต่กวนๆ
ค่ำคืนนั้น ชิงชัย หลิมและเลิศ ต่างเดินเข้ามาในป่าช้าด้วยท่าทีหวั่นๆ เพราะเป็นคืนเดือนมืด และมีเสียงสุนัขหอนดังคลอมาเป็นระยะ
“ไม่เข้าใจทำไมมันต้องนัดที่ป่าช้าด้วยวะ กะอีแค่รับเงินไป แล้วมาเป็นพวกเราแค่นั้น” ชิงชัยบ่น
“นั่นน่ะซีครับคุณชิงชัย ทำไมต้องเจรจากันในป่าช้า ที่อื่นไม่มีหรือยังไง ซ้ำยังนัดตอนตีหนึ่ง” เลิศใจไม่ดี
“มะ...หมา...หมาหอนอีกแล้วครับ” หลิมผวา
“หมาตัวไหนหอนวะ ยิงมันเลย” ชิงชัยตวาด
หลิมยืนขาแข็ง พูดตะกุกตะกัก
“มันมีแต่เสียง ตัวไม่ปรากฏ ผมไม่รู้จะยิงมันยังไง คะ..คะขา..ขาผมครับคุณชิงชัย”
“ขาเอ็งเป็นยังไงวะ”
“มะ...มะ...มัน...มันไม่รู้ว่ามีอะไรมาดึงไว้คะ...ครับ”
“เถาวัลย์ ไอ้มุขนี้เห็นมาเยอะ ทำเหมือนผีในหลุมจับขา แต่ที่แท้ก็เป็นเถาวัลย์”
ทันใด ใบไม้แห้งแยกออก โครงกระดูกมือยื่นออกมาจากพื้นดิน จับขาของหลิมไว้แน่น หลิมร้องเสียงดัง
“ช่วยด้วย ผี...ผีจับขา”
“ผีที่ไหนกันวะ ดูให้ดีๆ ไอ้หลิม”
“ผะ...ผี ผีจริงๆ ด้วยครับคุณชิงชัย ดูนั่น”
เลิศร้อง ชิงชัยก้มลงมอง เห็นโครงกระดูกมือยังจับขาของหลิมแน่น ทุกคนสดุ้ง ส่งเสียงร้องลั่นป่าช้า
“เฮ้ย ผี...ผีหลอก”
หลิมสะบัดหลุด ต่างวิ่งหนีผี ขณะเดียวกัน ผืนดินกระจายเพราะแรงผลักในหลุม ฝาโลงกระเด็นออกมาก่อน
ทอกลุกขึ้นนั่ง มือยังจับโครงกระดูกมืออยู่
“ฮึ ให้มันรู้ซะบ้างว่าผีมีจริง ไอ้ที่บอกว่าผีไม่มีในโลกน่ะ มันต้องเจอยังงี้”
ทอกหัวเราะอย่างขบขัน
ชิงชัย หลิม เลิศวิ่งหนีผีมาทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ ต่างเหน็ดเหนื่อย หวาดกลัว
“เฮ้ย ก็ไหนเขาว่าผีไม่มีในโลกไงล่ะ” ชิงชัยโวย
“สงสัยเราไปรบกวน ถิ่นที่อยู่ของผีหรือเปล่าครับคุณชิงชัย ผีมันก็เลยออกมาหลอก” เลิศออกความเห็น
หลิมส่ายหัว
“โอย ไม่เอาแล้ว กลับกันเถอะครับ ค่อยเจรจาซื้อตัวไอ้พวกนั้นกลางวัน”
“ทางออกอยู่ทางไหนวะ” ชิงชัยเริ่มงง
ทันใดเสียงหมอกที่ปลอมเป็นผี ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ท า ง นี้”
“ทางนี้น่ะทางไหนโว้ย ตอบมาเร็วๆ อย่าให้คุณชิงชัยเจ้านายของข้ามีน้ำมะโห”
“ก็ ท า ง นี้ ไ ง”
“ทางไหน ไม่ตอบยิงนะโว้ย”
“ก็ ท า งนี้ ไ ง”
“ทางนี้น่ะทางไหน เสียงมันมาจากไหนวะ ก็เอ็งกับข้ากำลังหาทางออกจากป่าช้า แล้วไอ้ที่ส่งเสียงเย็นๆ น่ะใครวะ”
“กู เ อ ง . . .”
หมอกในคราบปลอมตัวเป็นผี พุ่งศีรษะห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ แสยะยิ้ม ลิ้นห้อยยาวออกมาจากปาก ชิงชัย หลิมและเลิศส่งเสียงร้อง แยกย้ายกันวิ่งหนีผี
หมอกรีบโหนตัวลงมาจากต้นไม้ กวักมือเรียกพวกของชิงชัย
“อ ย่ า อ ย่ า ไ ป ท า ง นั้ น เ ฮ้ ย. . . อ ย่ า ไ ป . . .”
ชิงชัย หลิมและเลิศ วิ่งหนีผีมาคนละทางมาบรรจบกัน หน้ากองฟืนเผาศพที่กำลังคุโชน
“เฮ้ย เจอทางออกหรือยังวะ ทำไมป่าช้าวัดบ้านนา มันถึงได้กว้างใหญ่จนวิ่งไม่พ้นยังงี้วะ” ชิงชัยพูดไป หอบไป
หลิมมองไปทั่วๆ
“ยังหาทางออกไม่เจอเลยพี่ ตอนดีๆ ผีไม่หลอกฉันก็ไม่ได้สังเกตซะทีว่าทางออกมันอยู่ทางไหน”
“เอายังไงดีล่ะพี่ แง๊...ฉันกลัวผี...” เลิศเริ่มงอแง
“เราต้องตั้งสติโว้ย ผีมันจะดีกว่าคนได้ยังไงวะ ไป ไปที่กองไฟนั่น เผื่อจะหาทางออกเจอ”
“นั่น...นั่นมัน..มัน...”
เลิศร้องโวยวาย ชิงชัยงง
“อะไรวะไอ้เลิศ”
“ดู ดูนั่น...ผี..ผี..ผีกำลังเผาผี…”
ทั้งสามมองไปยังกองไฟ ร่างสีดำๆ ของเมินค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มฟันขาว ทำเสียงยืดๆ ยานๆ
“เ อ อ ว่ ะ ข้ า กำ ลั ง เ ผ า ผี”
ชิงชัย หลิม เลิศถอยหลังกรูด อุทานขึ้นพร้อมๆกัน
“เผาผี...”
ทั้งสามวิ่งหนีผีออกจากป่าช้าไป เมินก้าวออกมาจากหลังกองไฟ ส่งเสียงหัวเราะแหบๆ เลียนแบบผี
ชิงชัยวิ่งนำหน้าหลิม และเลิศมาถึงท้ายป่าช้าที่มีคูน้ำกั้นอยู่
“ถึงแล้วโว้ย ทางออกหลังป่าช้า” ชิงชัยร้องบอกอย่างดีใจ
“ข้ามไปยังไงล่ะคุณชิงชัย นี่มันคูน้ำนะ” หลิมแย้ง
“เอ็งจะอยู่รอผีผลอก หรือว่าจะว่ายน้ำข้ามคู” เลิศหันมาถาม
“ข้าไม่อยู่โว้ย ข้าไปละ”
ชิงชัยกระโดดลงคูน้ำ หลิม เลิศรีบกระโดดลงไป ทันใดทวนโผล่พรวดขึ้นมา มีกอสวะคลุมศีรษะ
“โ ฮ ก ก ก ก ก “
ชิงชัยร้องลั่น...
“เฮ้ย ผีน้ำ”
“วิ่ง...เอ๊ย...ว่าย..ว่ายน้ำหนีผีเหอะ เร็วๆ โว้ย โอย..กูละเชื่อเลย หลอกทั้งบนบกในน้ำ โว้ย ผีหลอก”
ทั้งสามรีบว่ายน้ำข้ามคูวิ่งหนีไป ทวนดึงกอสวะออกจากศีรษะ มองตามไปแล้วทำเสียงผีหลอกล้อเลียน
“โ ฮ ก ก ก ก ก”
ผีที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ มองมายังทวน เมิน ทอกและหมอกในชุดผีปลอมที่มารวมตัวกัน หลังจากหลอกชิงชัย และพวกได้สำเร็จ ต่างขมุกขมอมเพราะสภาพปลอมตัวเป็นผี
“นี่เป็นบทเรียน สอนแค่ให้หลาบจำ ว่าโลกนี้มีผีหรือไม่มี ก็ไม่ควรลบหลู่” ทวนบอก
เมินพยักหน้า...
“ใช่ ป่านนี้ไอ้ชิงชัยมันคงกลับไปนอนจับไข้หัวโกร๋น ว่าแต่แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้คิดผิด เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ”
“จะให้พี่ทวนเขาเปลี่ยนใจยังไง” ทอกสงสัย
“ก็ให้ไอ้ทวนมันรับเงินเศรษฐีบุญช่วย ย้ายสังกัดไปเป็นสมุนของคนรวย ส่วนฉันจะซื่อสัตย์มั่นคงต่อศรีแพร ยอมเป็นทาสรับใช้ยายมู่ทู่ ยายมู่ทู่เผลอเมื่อไหร่ ฉันจะพาศรีแพร...นะ...หนี” เมินบอกแผนการ
“เป็นลูกผู้ชายตัวจริงเลยพี่ หวงนักพาหนีซะเลย” หมอกสนับสนุน
“ไง ถ้าแกจะเปลี่ยนใจ เราไม่ว่ากัน ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล”
เมินหันมาถาม ทวนโวยกลับ
“ฉันไม่ไปโว้ย ฉันจะอยู่กันท่าแกยังงี้แหละ ถ้าแกพาศรีแพรหนี ฉันจะพายายมู่ทู่ตามไปล่าหัวแก”
“หนอยแน่ะ แทนที่จะไปคนเดียว ทำไมต้องพายายมู่ทู่ไปด้วย แกชักจะเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ของยายมู่ทู่แล้วใช่มั้ย”
ทันใดเสียงผีดังมาจากบนต้นไม้อย่างรำคาญ
“เ ฮ้ อ . . . กู ล ะ เ บื่ อ...”
ทวน เมิน ทอก และ หมอก ต่างเหลียวเลิ่กลั่ก
“พี่เมิน เสียงใครน่ะ” ทอกถาม
“เฮ้ย ไม่ใช่เสียงฉัน เสียงแก...”
เมินหันไปชี้หน้าทวน
“เปล่า ไม่ใช่”
“ไม่ใช่เสียงพี่เมิน ไม่ใช่เสียงพี่ทวน ไม่ใช่เสียงไอ้ทอก หรือว่าเสียงฉัน เฮ้ย ไม่ใช่ แล้วยังงั้นเสียงใครวะ”
หมอกโวยวาย เสียงผีดังขึ้นอีก...
“กู เ อ ง...”
“ว๊าก ผีหลอก...”
ทั้งสี่ร้องออกมาพร้อมกัน แล้ววิ่งออกจากป่าช้า ผีซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นคนจากหน่วยข่าวกรองพิเศษ โดดลงมาจากต้นไม้ ในสภาพเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง เพราะในเวลากลางวันนั้น ปลอมตัวเป็นคนจรจัดเข้ามาหลบอาศัยในป่าช้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ทวน เมิน ทอก และหมอก นอนก่ายกันหลับอยู่ข้างๆ โอ่งน้ำมนต์ของหลวงตา มหาเฉื่อยสาดน้ำลงบนทั้งสี่ ต่างสดุ้งตื่น
“รดมันให้หมดโอ่งเลย มันจะได้ตื่น เมื่อคืนนี้มันวิ่งแข่งกันร้องเอะอะ หาว่าผีหลอก แล้วมาล้มตัวลงนอนหน้ากุฏิอาตมานี่แหละ ท่านมหาเฉื่อย” หลวงตาบอก
“โอ ผีหลอกอีกแล้วหรือขอรับหลวงพ่อ คราวที่แล้วมหาเฉื่อยก็โดนไปเต็มๆ แต่หลวงพ่อไม่เชื่อ”
หลวงตาส่ายหน้า
“ผีเผอที่ไหนกันวะ ข้าบวชอยู่วัดบ้านนานี่ตั้งแต่เป็นเณร ไม่มีผีตัวไหนกล้าหลอก”
ทวนที่ลุกขึ้นมคนแรก รีบโอดครวญ
“โธ่ หลวงตาขอรับ ก็หลวงตามีอาคมแก่กล้า ผีตัวไหนมันจะกล้าหลอกหลวงตาล่ะครับ”
เมินคลานเข้ามากอดขาหลวงตา หลับตาปี๋
“ขอของดีไว้คุ้มตัวด้วยนะครับ หลวงตา”
“เฮ้ย ปล่อย ข้าจั๊กกะจี้โว้ย”
“ผมขอของดี” เมินบอก
“ผมด้วย”
“ผมด้วยครับหลวงตา”
“ผมอีกคน ไม่มีของดีหัวโกร๋นแน่”
อีกสามคนแย่งกันขอ หลวงตามองอย่างรำคาญ
“เอ็งมีของดีอยู่ในตัวเองแล้วไม่รู้จักใช้ สติไงล่ะ มีสติซะอย่างผีหลอกไม่สำเร็จหรอก คนเรานี่มันเป็นยังไง้ สติมีไม่ใช้...แต่ไปใช้สตางค์”
หลวงตาบอกอย่างเคร่งขรึม
บุญช่วยโกรธ ที่ชิงชัยเอาตัวเมินและทวนเข้าพวกไม่ได้ ประกาศเสียงดัง...
“เพิ่มเงินให้มันอีกเท่าตัว ให้มันรู้ไปว่าเงินซื้อพวกไอ้ทวนไอ้เมินไม่ได้ ห้าหมื่นไม่พอเอาไปแสนนึง ถ้าแสนไม่พอ...เอาไปให้มันเป็นล้าน”
“พ่อ ไม่ลงทุนสูงไปหน่อยหรือ” ชิงชัยแย้ง
“ถ้าซื้อพวกของไอ้ศรีไพรได้ เงินแค่นั้นไม่แพง” ชาริณีบอกทันที
สไบมองค้อน
“แล้วไอ้ที่คุยว่าจะดึงไอ้พวกนั้นมาฟรีๆ ก็เหลวแล้วน่ะซี หรือว่าดีแต่คุย”
“นังสไบ...”
ชาริณีจะเอาเรื่อง บุญช่วยขัดขึ้น...
“ข้าก็อยากรู้ว่า...ไอ้มนุษย์หน้าไหนวะที่เงินซื้อไม่ได้ ข้ามีแผนใหม่ เชือดไก่ให้ลิงดู และไก่ตัวนี้ทันทีที่เชือดสำเร็จ อย่าว่าแต่ชาวบ้านนาเลย ไอ้ศรีไพรกับพ่อของมันก็จะกลายเป็นลิงร้อง...เจี๊ยก...เจี๊ยก”
ชาริณีหันมาสบสายตาชิงชัยอย่างงงงัน กับแผนของบุญช่วย
“พ่อ ไก่ตัวนี้เป็น...ใคร”
พร ศรีไพรและแสนนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าหลวงตา บนศาลาวัดบ้านนา ทั้งสามคนต่างมีท่าทีเคร่งเครียด หลวงตามองอย่างเมตตา
“ค่อยคิดค่อยทำค่อยแก้ปัญหาไป ใช้ปัญญาเยอะๆ อย่าไปใช้กำลัง เขาจะหาว่าบ้านนาเรายังเป็นป่าดงดิบ ไอ้ทวนกับไอ้เมินไปช่วยก็ดี มันจะได้ทำประโยชน์ให้แผ่นดินที่มันอยู่ มันเป็นเด็กกำพร้าที่ข้าเลี้ยงมา มีอะไรก็ตักเตือนสั่งสอนมัน ขอให้คิดว่ามันเป็นลูกหลาน...”
“เอ้อ...กระผม...”
พรมีท่าทีกระอักกระอ่วน เพราะรังเกียจทวนและเมิน ศรีไพรฉวยโอกาสรับคำ
“จ้ะ หลวงตา จะช่วยอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์ของหลวงตา จะเมตตาเลี้ยงดูประหนึ่งบุตรในอุทรเลยจ้ะ”
พรเหล่ลูกสาว
“มากไปมั้ย ฮึ่ม ไอ้ศรีไพร”
“พ่อจ๋า หลวงตาท่านเคยสอนว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ไอ้แด่นอีด่างเรายังเลี้ยงด้วยน้ำข้าว นับประสาอะไรกับคนเราจะเลี้ยงไม่ได้”
ศรีไพรชำเลืองมองไปยังทวน เมิน ทอกและหมอก ที่นั่งกันอยู่ไกล ทวนเมินเบือนหน้าอย่างเบื่อๆ
“ฮึ ยายมู่ทู่”
ขณะเดียวกัน บุญช่วย ชิงชัย หลิม เลิศเดินขึ้นศาลา หลวงตาหันไปเห็น เริ่มมีอาการหูตึง
“หา ใครจะกินหมูวะ จะกินหมูก็ต้องระวังนะโยม ไปเจอหมูหินเข้าโยมจะฟันโยก”
มหาเฉื่อยหันไปบอก
“วันนี้ท่านเศรษฐีมาถึงวัด คงมีเรื่องสำคัญกับหลวงตา”
ศรีไพรสะกิดพร
“เรากลับกันเถอะพ่อ”
หลวงตาพูดแทรกขึ้นมา...
“ใช่ ต้องจับให้หมด ไอ้พวกยาบ้ายาไอซ์ยาอะไรต่อมิอะไรนี่น่ะ มันทำลายชุมชน มันทำเอาคนดีๆ กลายเป็นผีตายซาก จับเถอะ”
“อ้า หลวงพ่อขอรับ...”
บุญช่วยจะพูด มหาเฉื่อยพูดตัดหน้า...
“ขออนุโมทนาบุญ”
ชิงชัยรีบบอก...
“ยัง ยังไม่มีการทำบุญ ศรัทธาเกิดเมื่อไหร่ถึงจะทำ มหาเฉื่อย อยู่เฉยๆ เอ็งด้วยไอ้ศรีไพร วันนี้พ่อข้ามาเพื่อเสนอแนวคิดใหม่ๆ ให้หลวงตา”
“แนวคิดอะไร” พรถาม
บุญช่วยยิ้มกริ่ม
“ปรับปรุง...เปลี่ยนแปลง...พัฒนาป่าช้าให้เป็นเขตเศรษฐกิจ”
ชิงชัยช่วยเสริม
“ขุดผีไปทิ้ง ขืนให้อยู่ในป่าช้าก็ทำเป็นอยู่อย่างเดียว...หลอก”
ทวนแย้ง
“เอ๊ะ ขุดผีออกจากป่าช้า แล้วผีจะไปอยู่ที่ไหน”
“เผาทิ้ง” ชิงชัยพูดหน้าตาเฉย
“เผาผีทิ้งน่ะนะ” ศรีไพรงง
บุญช่วยพยักหน้ารับ
“ใช่ ผีตายแล้วจะรู้สึกรู้สาอะไร คนที่ยังอยู่นี่ซี ยังต้องร้อนต้องหนาวต้องหิว มีศูนย์การค้าบ้านนาเจริญคนก็ทำมาหากินร่ำรวย แล้วจะไปสนใจอะไรกับผี จริงมั้ย ท่านมหาเฉื่อย”
มหาเฉื่อยอึกอัก พูดไม่ออกกับแนวคิดของบุญช่วย เมินช่วยแย้ง
“ไม่ได้นะครับ เปลี่ยนป่าช้าให้เป็นศูนย์การค้า ก็ต้องขอความเห็นจากชาวบ้าน”
บุญช่วยรีบบอก...
“ถ้ายังงั้น...เราต้องทำ...ประชา...พิจารณ์”
ทุกคนฟังแล้วอึ้งไป
อ่านต่อหน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ขณะที่ศรีแพรกับสดกำลังช่วยกันเจียนใบตอง เพื่อเตรียมเอาไว้ทำข้าวต้มมัด พรเดินนำหน้าศรีไพรและแสนเข้ามาอย่างหงุดหงิด
“พ่อ พ่อเป็นอะไรน่ะ ก็ไหนพ่อบอกว่าพ่อจะไปคุยกับหลวงตาให้สบายใจไง” ศรีแพรแปลกใจ
“ฮึ เปลี่ยนป่าช้าให้เป็นเขตเศรษฐกิจ มันคิดออกมาได้ยังไง ไอ้พวกนี้มันหาประโยชน์แม้แต่สมบัติของศาสนา”
พรโวยวาย ศรีไพรแย้ง
“พ่อ หลวงตาท่านก็ไม่ได้รับคำ ท่านหูตึง ท่านฟังไม่รู้เรื่องหรอก”
“แต่ไอ้ที่มันจะเรียกชาวบ้านให้มาลงความเห็น ไอ้ที่เรียกว่าทำประชาพิจารณ์น่ะ มันก็บังคับชาวบ้านให้เห็นด้วยกับมัน ชาวบ้านเป็นหนี้เศรษฐีบุญช่วยใครจะกล้าไม่เห็นด้วย มันทำเหมือนเชือดไก่ให้ลิงดู”
สดงง
“ใครเป็นไก่ ใครเป็นลิง”
ศรีไพรหันไปเล่า
“พวกเศรษฐีบุญช่วย จงใจบีบหลวงตาให้ชาวบ้านเห็นว่า มันมีอำนาจล้นในบ้านนานี่”
“อุบาทว์ชาติชั่วจริงๆ ไม่มีใครเห็นด้วยกับมันหรอก ไม่มีป่าช้า คนบ้านนาตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน” สดพลอยโมโหไปด้วย
“ข้าไม่เชื่อใจคนบ้านนา เหมือนอย่างคนบ้านนาไม่เชื่อใจข้าอีกต่อไปแล้ว”
พรผลุนผลันขึ้นเรือนไปด้วยความโกรธ ศรีแพรถอนใจ
“ที่พ่อพูดก็ถูกนะ ชาวบ้านเป็นพวกของเศรษฐีบุญช่วย มันจะจับหันซ้ายหันขวาก็ได้ เรามีกันแค่ไม่กี่คนเราจะต้านพวกมันยังไง”
“ฉันก็ยังไม่คิดไม่ออก” ศรีไพรส่ายหน้า
“คิดให้ออกเร็วๆ ไม่ยังงั้นละก็...ตายแล้วแม่กลัวไม่มีที่อยู่ แม่จะขึ้นไปดูพ่อเอ็ง”
สดขึ้นเรือนไป ศรีแพรหันมาถามน้อง
“ศรีไพร ทำยังไงดีล่ะ”
ศรีไพรได้แต่เงียบ พูดอะไรไม่ออก
ป่าช้าในยามกลางวัน มีสภาพวังเวงเงียบเหงา ศรีไพรเดินลึกเข้าไป กวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณป่าช้า
“ป่าช้า ที่อยู่ของคนตายแล้วที่เรียกว่าผี กำลังจะกลายเป็นศูนย์การค้า มันฟังดูดีตรงไหนนะ”
ศรีไพรบ่น ทวนที่อยู่แถวนั้นเดินเข้ามาหา
“ก็ตรงที่คนมีที่ทำมาหากิน มาซื้อมาขาย มีเงิน มีวัตถุ มีตึก มีสิ่งก่อสร้าง ไอ้ที่เรียกว่าความเจริญไง”
ศรีไพรแปลกใจ
“นายมาทำอะไรในป่าช้านี่”
“ผมควรจะถามคุณมากกว่า คุณมาทำอะไรในป่าช้ากลางวันแสกๆ ไม่กลัวผีหลอกเหรอ”
“ผีที่ไหนหลอกคนกลางวันแสกๆ เรื่องผีนี่ก็เหมือนกัน ไม่มีใครเคยได้ยินว่าวัดบ้านนาผีดุ แต่พักนี้ไม่รู้เป็นไง ตั้งแต่มีเปรตมาอาศัยอยู่ท้ายป่าช้านี่ ผีขยันออกมาหลอกคนจริงๆ”
“คุณพูดยังงี้ ผมครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงไม่รู้”
“นั่นแหละ เขาเรียกว่าคันคะเยอ ไม่ก็...ร้อนตัว ฉันไม่เชื่อเรื่องผีหลอกหรอก ฉันจะพิสูจน์ให้ได้ว่า...ป่าช้าบ้านนา ไม่มี...ผี”
ศรีไพรบอกอย่างมุ่งมั่น
เสียงหมาหอนรับกันเป็นทอดๆ ในป่าช้าเวลาตีหนึ่ง ขณะที่แสนเดินเกาะหลังศรีไพรแน่น ขาสั่นพั่บๆ เพราะความกลัวผี
“พี่ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอก ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ใครไปว่าอะไรพี่ศรีไพรล่ะ ขนาดพวกไอ้ชิงชัยมันมากันตั้งสามคน มันยังวิ่งป่าช้าราบ กลับไปนอนเป็นไข้หัวโกร๋น”
“อย่าดึงเอวกางเกงได้มั้ยวะ เดี๋ยวหลุด ผีไม่มีหรอก ถ้าผีมีป่านนี้อยู่กันเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้ว ผีมันจะมาตอนเลือกตั้ง” ศรีไพรโวย
“โอย มันวังเวงยังไงก็ไม่รู้ พี่...พี่ศรีไพร”
“อะไรอีกล่ะ”
“ฉัน...ฉัน..ฉันปวด…”
“เฮ้ย อย่านะ ถึงจะเป็นป่าช้าก็ไม่ได้ ถือว่าทำลายสิ่งแวดล้อม”
ต้นไม้ไหว ใบไม้ร่วงกราวลงมา แสนกระโดดเข้ากอดศรีไพร
“พี่ ลมอะไรน่ะ ลมไม่พัดสักแอะ แต่ทำไมกิ่งไม้มันถึงได้ไหวอยู่ข้างบน”
“ข้างบนหรือ เอ็งเงยหน้าขึ้นไปดูซิ อะไร”
“ไม่เอา ฉันไม่กล้า พี่ดูเองเหอะ แล้วบอกฉันด้วยพี่เห็นอะไร”
“พี่ก็ไม่กล้าว่ะ เอายังงี้มั้ย เราช่วยกันเขย่าต้นไม้ ไอ้ที่อยู่ข้างบน...เอ้อ...เผื่อมีน่ะ มันจะได้ตกลงมา”
“เอางั้นเหรอ”
“เออ เอางี้แหละ...”
ศรีไพรย่องนำหน้าแสนไปยังโค้นต้นไม้ ทั้งสองช่วยกันโยกเขย่าอย่างแรง ผีตกตุ๊บลงมาตรงหน้าศรีไพร ทั้งสองกระโดดกอดกันแน่น
“ว๊ากกก ผี...”
“ยัน..ยัน..ยัน..”
“ยันอะไรวะ ไอ้แสน”
“ยันต์กันผี”
ศรีไพรมือสั่น รีบล้วงยันต์กันผี หลับหูหลับตายื่นออกไป มือของผียื่นออกมารับยันต์ในมือ ศรีไพรรีบเงยหน้าขึ้น แล้วตะลึง เมื่อรู้ว่าผีที่แท้จริงเป็นคนขอทานเร่ร่อน
เมินและทวนคลาน เข้ามาคนละทาง เพื่อมาดักรอศรีแพรที่หน้าต่างเรือนไทย ต่างรีบหลบวูบเมื่อได้ยินเสียงของพรที่ถือตะเกียง เดินนำหน้าศรีแพรและสด ออกมายังชานเรือน
“ที่คอกไอ้ไฉไลเฉิดก็ไม่มี มันไปไหนของมันวะ นี่ตีสองเข้าไปแล้ว ทำไมยังไม่หลับไม่นอน”
“ที่ห้องไม่มีแน่นะ” สดถาม
“ไม่มีจ้ะแม่ แต่เมื่อตอนหัวค่ำ ศรีไพรกับไอ้แสนทำท่าแปลกๆ” ศรีแพรบอก
“แปลกยังไงวะ” พรสงสัย
“ฉันเห็นมันปลุกพระ สวดมนต์แล้วก็เอาผ้ายันต์กันผีของพ่อไปใช้”
“หา มันเอาผ้ายันต์กันผีไปด้วยเรอะ”
“ผี”สดอึ้งๆ
ขณะเดียวกัน เมิน ทวนรีบทำเสียงหมาหอน พรชะงัก หวั่นระแวง
“แม่ หมา...หมาหอนทำไมน่ะ”
“แกเชียวตาพร ไม่น่าพูดถึงผีเลย ค่ำมืดดึกดื่นยังงี้ใครเขาพูดถึงผีกันบ้าง ไม่มีความคิด” สดบ่น
“แกพาลูกเข้าบ้าน” พรสั่ง
“แล้วแกล่ะ”
“ข้าจะถลกหนังหัวผี”
“พ่อระวังตัวนะ”
สด ศรีแพรเข้าบ้านไป พรค่อยๆ ย่องมาที่ชานระเบียง เงี่ยหูฟังเสียงเมินและทวนหอน
“หนอยแน่ะ ไอ้หมาตัวผู้ เสียงหึ่นๆ ยังงี้ไม่ผิดหรอก มันต้องนี่เลย ยิ่งกว่ายันต์กันผีอีก นี่แน่ะ...”
พรใช้ปืนยาวยิงเข้าใส่ทวนและเมิน ทั้งสองส่งเสียงร้องเอะอะก่อนวิ่งหนีไป
“ไอ้พวกผีไม่มีญาติ...ฮึ่ม” พรหัวเราะสะใจ
คนเร่ร่อนนั่งกินผลไม้ที่แสนหามาให้ด้วยท่าทีหิวโหย ศรีไพรยืนกอดอกนิ่งๆมอง แสนยืนอยู่ข้างๆ
“ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าลุงไม่ใช่ผี แต่เป็นคนเร่ร่อนมาจากที่อื่นแล้วมาอยู่บนต้นไม้ในป่าช้านี่”
แสนส่ายหน้า
“โธ่ หมดความตื่นเต้น พอรู้ว่าลุงขอทานเป็นคน”
ศรีไพรถาม
“ลุงมาจากไหนน่ะ”
“ไม่รู้ ไม่เคยจำ” คนเร่รอนบอก
“ลุงคงจะเร่ร่อนขอข้าวเขากินไปเรื่อยๆมั้ง เรื่องราวชีวิตของลุงคงไม่น่าจดจำ ลุงถึงไม่อยากจำเรื่องของตัวเอง ช่างเถอะ...บางทีฉันก็ไม่อยากจำอะไรได้เหมือนกัน” ศรีไพรมองอย่างเห็นใจ
“พี่ กลับกันเถอะจะสว่างแล้วนะ”
“ถ้าลุงจะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไปเถอะ แต่อย่าไปหลอกผีชาวบ้านเลย ชาวบ้านเขาจะเดือดร้อน แล้วฉันจะเอาข้าวมาให้นะ”
“ไปเถอะ พี่”แสนสะกิด
“ฉันไปนะลุงนะ”
ศรีไพรเดินออกไปพร้อมกับแสน คนเร่รอนมองตามอย่างครุ่นคิด...
เช้าวันนั้น บุญช่วยออกคำสั่งกับชิงชัย ขณะที่มีจ่าสิน ชาริณี และสไบนั่งอยู่ด้วย
“เรียกประชุมชาวบ้านที่วัดมาทำประชาพิจารณ์ เสียงของชาวบ้าน จะได้บังคับหลวงตาฉุนให้ยอมยกที่ป่าช้าให้ส่วนรวม เตรียมรถแทร๊กเตอร์ให้พร้อม พอประชุมเสร็จก็ไถเอาผีไปทิ้ง แล้วปรับดินใหม่เลย งานนี้จ่าต้องช่วยผมนะ”
“ผมจะไปด้วย ทำเป็นว่าไปรักษาความสงบเรียบร้อย” จ่าสินบอก
ชิงชัยเรียกหลิน กับเลิศที่นั่งอยู่ห่างๆ พลางสั่ง...
“เอ็งไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านไปรวมกันที่วัด สายหน่อยข้ากับพ่อจะตามไป”
“ฉันจะไปด้วย” ชาริณีบอก
สไบขัด...
“ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ไม่ควรจะยุ่ง”
“เงินของพ่อ ก็เหมือนเงินของฉัน ฉันต้องรักษาผลประโยชน์ของพ่อฉันด้วย อยากไปดูหน้าว่าไอ้ศรีไพรมันจะทำอะไรได้ ถ้าพ่อจะไล่ผีออกจากป่าช้า”
ชาริณียิ้มเยอะ ขณะที่จ่าสินจ้องมองชาริณีด้วยความสนใจ
ทวนและเมินดำนาอยู่ใกล้ๆศรีไพร พรมองมาด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าทวนจะจีบศรีไพร โวยวายเสียงดังขึ้น...
“เฮ้ย มัวแต่ร้องเพลงกันอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะเสร็จเสียทีวะ ดำนาให้มันคุ้มกับค่าข้าวหน่อยซีวะ ไอ้ทวน ไอ้เมิน”
“ครับ คุณพ่อ นี่ก็ดำจนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินแล้วละครับ” ทวนตะโกนตอบ
ศรีไพรหันมาสั่ง
“ปักแน่นๆ ปักลงไปในเลน ใช้นิ้วนำไปก่อน ตอนที่ย้ำแน่นๆ นี่อย่าให้กล้าหัก แล้วอย่าให้รากท่านหลุด เข้าใจมั้ย”
เมินมองค้อน
“จ้า เข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับโผ๊ม ดำให้รากติดแน่นๆ ข้าวท่านจะได้โต”
“ดีมาก สั่งสอนรู้จักจำยังงี้ ไม่เสียแรงที่ฉันรับปากหลวงตาว่าจะเมตตาสั่งสอนประหนึ่ง...”
“แว๊ๆๆ”
ทวนแกล้งกวน พรโวย
“เฮ้ย มัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกันอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะเสร็จวะ”
ชาวบ้านเดินเรียงแถวกันผ่านนาไป ทุกคนหยุด หันไปมอง
“เอ๊ะ นั่นพวกชาวนาจะไปไหนกันน่ะ” สดสงสัย
“เดินแถวเรียงหนึ่ง ไม่พูดไม่จายังงี้ เหมือนจะไปที่วัดเลยนะ” แสนออกความเห็น
“วัดเหรอ” ศรีไพรแปลกใจ
“เอ๊ะ หรือว่าเศรษฐีบุญช่วยเรียกประชุมชาวบ้านเรื่องทำประชาพิจารณ์” ทวนบอก
ศรีไพรโยนต้นกล้าในมือ แล้วรีบวิ่งไปถาม
“น้า น้า เดี๋ยวก่อน นั่นน้าจะไปไหนกัน”
ไม่มีใครพูดด้วย ศรีไพรคว้ามือของช้อย
“น้าช้อยบอกฉันหน่อยพวกน้าจะไปไหนกัน เศรษฐีบุญช่วยเรียกประชุมชาวนาใช่มั้ย น้า...น้าช้อย”
ช้อยหลบสายตาศรีไพร ดึงมือออกแล้วรีบเดินตามคนอื่นๆ ออกไป ขณะที่ ทวน เมินวิ่งตามมาที่ศรีไพร
“ต้องใช่แน่ เศรษฐีบุญช่วยเรียกชาวบ้านไปออกเสียงเรื่องเปลี่ยนป่าช้าให้เป็นศูนย์การค้าแน่”
ศรีไพรบอกแล้ว ตัดสินใจวิ่งตามไปทันที
“ศรีไพร นั่นจะไปไหนน่ะ ศรีไพร...ศรีไพร...”
เสียงทวนตะโกนไล่ตามหลังมา
อ่านต่อหน้า 3 วันพรุ่งนี้
พฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 7 (ต่อ)
คนงานช่วยกันสตาร์ทรถแทรกเตอร์ เสียงเครื่องยนต์คำราม เพื่อข่มขวัญชาวบ้านครู่หนึ่ง บุญช่วยยกมือขึ้นปราม เสียงของเครื่องยนต์หยุดลง
“เอาละ วันนี้ที่ข้าเรียกพวกชาวบ้านนามาประชุมเพื่อทำประชาพิจารณ์ คือลงความเห็นว่าไอ้แนวคิดที่เราจะเปลี่ยนป่าช้าวัดบ้านนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจ ต่อหน้าพระคุณเจ้าหลวงตาฉุน ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสมาตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาสองค์ก่อนมรณภาพไป สภาพของวัดบ้านนาเคยเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น เพราะท่าน เจ้าอาวาสท่านเป็นพระนักอนุรักษ์”
ชิงชัยพูดต่อ
“เพราะว่าท่านไม่ใช่พระนักพัฒนา วัดบ้านนาเราก็เลยอยู่ในสภาพเก่าแก่ มีแต่ของเก่าๆ รุ่นโบราณทั้งสิ้น พ่อของข้า...ท่านเศรษฐีบุญช่วย ก็เลยมีแนวคิดว่าไหนๆ ป่าช้าวัดบ้านนาก็กว้างใหญ่ไพศาล มีเนื้อที่เกินใช้สอย ทิ้งให้ผีนอนอยู่เปล่าๆ ไม่เป็นเงินเป็นทอง”
“ข้าก็เลยมีแนวคิดจะปรับเปลี่ยนบ้านนาเราให้เจริญรุ่งเรือง มีการทำมาค้าขาย มีถนน มีทางด่วน มีโรงหนังแล้วก็มีศูนย์การค้า”
“โดยการใช้ที่ดินบริเวณป่าช้านี่แหละ ปรับภูมิทัศน์เสียใหม่ให้แจ่มแจ๋ว”
สองพ่อลูกช่วยกันพูด ช้อยถามขัดขึ้น
“แล้วผีในหลุมล่ะ ป่าช้าวัดบ้านนา ฝังผีตายมาตั้งแต่ก่อนรุ่นปู่ย่าตายายของเรานะ”
ชิงชังมองอย่างรำคาญ
“ก็ไถไปทิ้งที่อื่นซีวะ ผีก็คือคนตายแล้ว ตายแล้วจะต้องการที่อยู่ทำไม อยู่ไปก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ เอาแต่หลอก ใครกลัวผีบ้าง”
“ยกมือซีวะ หรือว่า...เอ็ง...เอ็ง ไม่กลัวผี” หลิมชี้หน้าแต่ละคน
“กะ...กลัวจ้ะ” ช้อยบอก
“กลัวแล้วทำไมไม่ยกมือขึ้น อยากมีมือเอาไว้สกิดผัวมั้ย นังช้อย” ชิงชัยขู่
“อย่านะ อย่าทำอะไรเมียข้านะ” กล่ำบอกอย่างกลัวๆ
“เอายังงี้ ไหนๆ หลวงพ่อท่านก็เป็นที่เคารพนับถือของคนบ้านนา ท่านมีความเห็นว่ายังไง” บุญช่วยหันไปถามหลวงตาที่ยืนฟังอยู่นานแล้ว
หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา ทำทีหูตึง
“คนจัญไรอัปรีย์น่ะโยมเอ๊ย มันไม่มีที่ผุดที่เกิดหรอก มันตกอยู่ในนรกอเวจีชั้นลึกๆ ในนรกโน่น เพราะฉะนั้น...ญาติโยมทำบุญกรวดน้ำก็ให้นึกถึง สัมภเวสีพวกนี้ด้วยเถิด กุศลจะบังเกิด”
ชิงชัยรีบขัด
“หลวงตา โธ่ ไม่ได้นิมนต์ให้เทศนาตอนนี้ แต่ถามความเห็นเรื่องยกเลิก เขตสัมปทานป่าช้า”
“หา ใครจะมาเรอะ ใหญ่โตแค่ไหนวะ ถึงได้สั่งข้าให้กลับไปจำวัดน่ะ ไม่เอา ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่คู่กับชาวบ้านนานี่แหละโว้ย ใครจะทำไม”
มหาเฉื่อยร้อง...
“โอย คนละเรื่องเดียวกันเลยขอรับ หลวงพ่อ”
“สะตอข้าไม่ชอบฉัน ข้าชอบฉันสะบ้าว่ะ”
“ไปกันใหญ่...เฮ้อ...”
บุญช่วยโบกมือห้าม
“เอายังงี้ มาลงคะแนนเสียงกันว่าเราจะเอาศูนย์การค้า หรือจะเอาผี”
“ต้องเอาศูนย์การค้า เอาไปทำไมวะป่าช้าน่ะ มีแต่ผีๆๆๆ ผีหลอก ป่าช้าวัด บ้านนามีแต่ผีโว้ย” ชิงชัยโวยวาย
จังหวะนั้นเอง ศรีไพรก็เดินจูงมือคนเร่ร่อนมาพบทุกคน
“ใครบอกว่าป่าช้าวัดบ้านนามีผี ลุงขอทานเร่ร่อนคนนี้ต่างหากที่เข้าไปอาศัยนอนในป่าช้า สังคมเรามีคนยากไร้ไม่มีจะกิน พี่น้องยังอยากได้วัตถุอีกหรือ เราอยู่แบบพอมีพอกิน เราแบ่งปันกันกินได้ แล้วยังจะอยากได้ศูนย์การค้าไปทำไม”
ทวนที่ตามมาช่วยพูด...
“ใช่ครับ โลกจะเจริญก็ให้เจริญไป เราก้าวตามช้าๆ แต่มั่นคงยั่งยืนดีกว่า”
เมินเสริม
“เหมือนอย่างที่ไอ้ทวนเพื่อนของผมพูด เราจะมีศูนย์การค้า แล้วปล่อยให้ลุงขอทานคนนี้แกอดตายหรือครับ น้ำใจของเราที่เคยมีให้กัน มันหายไปไหน”
ชาวนานิ่งเงียบ กล่ำเงยหน้าขึ้นสบสายตาช้อย น้ำตาคลอดวงตา ชิงชัยไม่พอใจ
“เฮ้ย หยุด นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็กวัด”
ทวนขัด...
“เพราะผมอยู่วัด อาศัยข้าวก้นบาตร ผมถึงได้เป็นหนี้บุญคุณชาวบ้าน ถ้าต้องเลือกระหว่างป่าช้ากับศูนย์การค้า พี่น้องจะเลือกอะไร”
“ตึกหลังใหญ่ โรงหนัง ทางด่วน รถไฟฟ้า เงิน...หรือว่า....”
เมินพูด แล้วศรีไพรช่วยต่อ...
“ป่าช้า เพื่อให้วิญญานของพ่อแม่ปู่ย่าของเราอยู่ที่นั่น เพื่อเป็นที่ที่เราจะไปอยู่...เมื่อเราตายแล้ว”
ชาวนาเริ่มมองหน้ากันเงียบๆ
“สาธุ ขออนุโมทนา...”
หลวงตาบอกแล้วเดินกลับขึ้นกุฏิ มหาเฉื่อยรีบตาม ชาวนาทยอยกันเดินออกไป ชาริณีร้องบอก
“ฟังก่อน เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไป...”
ชิงชัยโมโห
“ไอ้พวกโง่ ทำไมมันโง่ยังงี้วะ ความเจริญไม่เอา เงินไม่เอา แต่จะเอาป่าช้า ผีมันสำคัญยังไงวะ ตายแล้วก็ต่างคนต่างไปซีโว้ย”
ศรีไพร เมิน ทวนหันมายิ้มให้แก่กันอย่างผู้ชนะ
ชาริณีเดินเร็วๆ ขึ้นบนบ้านอย่างโกรธจัด เหวี่ยงข้าวของกระจาย สไบและแหว่งตามเข้ามา
“นี่ เอาวางลงเดี๋ยวนี้นะ โกรธชาวบ้าน แต่มาทำลายข้าวของแล้วมีประโยชน์อะไร เสียของเปล่า” สไบโวย
“ของๆ แกหรือ มันก็สมบัติของแม่ฉันทั้งนั้น ฉันจะทำยังไงกับมันก็ได้ ไอ้แจกันใบนี้หวงนักใช่มั้ย จะหวงไว้ให้ใคร นี่แน่ะ ทุบซะเลย” ชาริณีโวย
แหว่งกรี๊ด
“ว๊าย คุณสไบของบ่าวขา แจกันทองเชียวนะคะ”
สไบร้องห้าม
“หยุดนะ”
“ไม่หยุด”
แหว่งไม่พอใจ
“ดื้อกับคุณสไบของบ่าวขา เหมือนไม่ไว้หน้าคุณสไบของบ่าวขาเลยนะคะ คุณสไบของบ่าวขาเป็นเมียของท่านเศรษฐีนะ”
“แกอยากจะลองดีกับฉันใช่มั้ย นังแหว่ง”
ชาริณีหันรีหันขวาง เห็นกระเช้าไข่ไก่ หยิบไข่ไก่ขว้างใส่หน้าแหว่ง
“ว๊าย คุณสไบของบ่าวขา ช่วยด้วย ลูกเลี้ยงคุณสไบของบ่าวขา เอาไข่มาขว้างใส่หน้าแหว่งค่ะ”
“ฉันบอกให้หยุด อยากลองดีกับฉันใช่มั้ย”
สไบตบตีกับชาริณี จับศีรษะของชาริณีโขกลงในกระเช้าไข่ไก่ ชารินีเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยไข่ไก่แตกเละเทะ
“นัง นังสไบ ฉันจะฟ้องพ่อ...”
ชาริณีกรี๊ดลั่น
รุ่งเช้าของวันใหม่ หลวงตาออกมาจากโบสถ์ มหาเฉื่อยตามออกมา แล้วชะงักมองคนเร่ร่อนที่นั่งพับเพียบ สวมหมวกหรุบศีรษะอยู่ข้างโบสถ์
“นั่นใครกันล่ะ ท่านมหาเฉื่อย”
“คนขอทานเร่ร่อนขอรับหลวงพ่อ มาอาศัยอยู่ในป่าช้า เร่ร่อนมาจากไหนไม่รู้ เดี๋ยวก็คงจะเร่ร่อนไปที่อื่น”
“ข้าวก้นบาตรมี แบ่งปันกันพอยังชีพนะ ข้าวนี่...ก็มาจากชาวบ้านนาเขา เพราะฉะนั้นจะอยู่จะไป ก็อย่าให้เดือดร้อนเจ้าของที่เขานะ”
“ขอรับพระคุณเจ้า”
หลวงตาเดินนำมหาเฉื่อยออกไป คนเร่รอนเงยหน้าขึ้นมองตามไป
ศรีไพรนอนเล่นอยู่บนต้นมะขามเทศ ทวนเดินเข้ามาใต้ต้นไม้ หันซ้ายหันขวาไม่เห็นใคร หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากเสื้อ
“ฮัลโหล...สองโหลบวกสี่ห้าสิบสอง ห้าสิบสองหารแปดยี่สิบสอง...เอ๊ย...สี่ เอ๊ะหรือว่าหกวะ โอย...ทำไมสมองมันถึงได้ตื้อยังงี้วะ หลับตาทีไรเห็นแต่หน้าศรีแพรมาลอยอยู่ใกล้ๆ ลอยไปลอยมา แต่พอจะจูบทีไร เอ๊ะ….”
ทันใดนั้นศรีไพรก็ตกลงมาจากต้นไม้ ทวนรับไว้ได้ทัน แต่ทวนเสียหลักล้มทับลงบนตัวของศรีไพร จมูกชนเข้ากับแก้มของศรีไพรอย่างจัง
“นาย...แก...”
“เฮ้ย เปล่านะ ไม่เอา ไม่ใช่ ไม่จูบ”
“นาย...”
“ปล่อย ปล่อยผม อย่า...แค่เข้าฝันก็พอแล้ว อย่ามาให้เห็นตัวเป็นๆ เลย ผมกลัว”
“กลัวหรือ นี่แน่ะ...กลัว...”
ศรีไพรสะบัดตัวยืน ตบหน้าทวนแล้ววิ่งออกไป
“เฮ้ย เกิดอะไร ฟ้าผ่าหรือเปล่าวะ” ทวนยกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกตบ ทวนยังคงงงงัน
สด ศรีแพร และแสนกำลังช่วยกันดองผักที่เก็บมาจากสวน พรยืนมอง
“เอ้า แค่นี้พอหรือยัง เอาไปเคล้าเกลือแล้วใส่ไหผึ่งแดด เป็นชาวสวนชาวนาโบราณท่านว่ามือต้องคัน ต้องหยิบโน่นทำนี่เอาไว้กินยามแล้ง คนขยันน่ะ…ไม่อดตายหรอก แต่คนขี้เกียจน่ะ...”
พูดไม่ทันจบ ศรีไพรก็วิ่งร้องไห้เข้ามา แล่นถลาไปที่โอ่ง ตักน้ำขึ้นมาล้างๆๆๆ ถูๆๆๆ แก้มที่ถูกทวนจูบ
“นี่แน่ะ ใช้สบู่ไม่พอ ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อด้วย คนสารเลว คนมักง่าย คนสกปรก เอาไอ้รอยนี่ออกไปให้หมด แม่...มีฝอยขัดหม้อมั้ย”
“ไม่มีหรอก ใช้แต่กาบมะพร้าว”
“ไหน เอามา ฉันจะถูไอ้รอยบ้านี่”
ศรีแพรรีบห้าม
“อย่านะศรีไพร ผิวเนื้ออ่อนๆ ถูด้วยกาบมะพร้าวได้ยังไง”
“งั้นไปเอามีดมา ไอ้แสน เอามีดมาให้พี่ พี่จะเฉือนไอ้รอยบ้านี่ออก ขยะแขยง เหม็น ไม่เอา”
สด พรมองหน้ากัน เมื่อศรีไพรร้องโวยวาย
“ไอ้ศรีไพร ไปซะแล้วหรือลูกพ่อ เอ็งเป็นอะไร ใคร...ไอ้หน้าไหนทำให้เอ็งเครียดจนเป็นบ้า”พรถาม
“ยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากไปก็ยังงี้แหละ เครียด ก็เลยสติแตก”สดว่า
“โฮ พ่อ ฉันไม่ยอมนะ ไปเอาทิงเจอร์มา ไม่มีน้ำยาฆ่าเซื้อเอายาฆ่าหญ้าก็ได้ อ้อ...ไม่มี ไม่ใช้สารเคมี เอา...เอาอะไรดีล่ะ ฉันต้องลบรอยจูบของไอ้มนุษย์หื่นกามออกให้ได้”
“หา เอ็งว่าอะไรนะ”
“เอ็งว่าใคร...จูบ...เอ็งนะ”
พร สด ศรีแพร และแสน ต่างพากันตาโต ด้วยความตื่นตระหนก!!
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
ศุกร์ที่ 4 ฑฤศจิกายน พ.ศ. 2554