ในรอยรัก
ตอนที่ 22
ที่ร้านเสื้อเกวลิน ระหว่างนั้นเกวลินยังทำงานอยู่ แต่แล้วจู่ๆ เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาดุสิต
“ฮัลโหล”
“ฉันอยากกินโจ๊ก ช่วยซื้อมาให้หน่อยซิ”
“ไม่มีใครอยู่เรอะไง”
“อือ! เด็กลาไปบ้าน ฉันหิวจัง”
“เออ เออ ! จะจำใจซื้อไปให้”
“ขอบใจนะ”
เกวลินวางโทรศัพท์แล้วทำงานต่อ ระหว่างนั้นที่บริเวณหน้าร้านมัสลินขับรถมาจอด หญิงสาวขยับจะเปิดประตู แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นรถอีกคันขับมาจอดข้างหน้า แล้วมีร่างๆ หนึ่งก้าวลงมา พร้อมถุงอาหารในมือ
“เอ้อ! นึกว่าจะเข็ด แต่ก็ไม่เข็ด กรรมใครกรรมมันก็แล้วกัน”
มัสลินขับรถออกไป ขณะที่ศิธาเดินไปกดกริ่งหน้าร้าน
เวลาผ่านไป...เกวลินกอดอก มองศิธาอย่างหมางเมิน
“มาทำไม”
“ซื้อข้าวต้มปลามาฝาก” ศิธาบอกอย่างอ้อนๆ
“ไม่อยากกิน กลับไปได้แล้ว”
“ผมทำผิดไป …”
ศิธาคุกเข่าลงตรงหน้ากเกวลินพร้อมวางถุงข้าวต้มลง แล้วคว้ามือเกวิลนมากุม
“แต่ตอนนี้ตาสว่างแล้ว เตี่ยเองก็โกรธมาก ถึงกับกักบริเวณผม...”
“สมน้ำหน้า แล้วนี่ออกมาได้ไง”
“ก็แอบหนีซิฮะ! ถ้าเตี่ยรู้เข้ามีหวังโดนจัดหนักกว่านี้อีก แต่ผมไม่กลัว ขออย่างเดียวให้มาขอโทษคุณ ได้มาสารภาพผิดเป็นพอ”
เกวลินมีสีหน้าแววตาอ่อนลง ขณะดึงมือออกแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง ศิธารีบคลานตามไป ทำสีหน้าแววตาง้องอน ตรงหน้า
“ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะ”
“ไม่! จนกว่าคุณจะยกโทษให้”
“คุณมีอะไรกับนายทึ้งพลนั่นหรือเปล่า ตอบมาตามตรง”
เกวลินถามพร้อมกับจ้องหน้าศิธาเขม็ง ศิธายกมือขวาขึ้น
“สาบานให้โลกแตกเลยว่าไม่มี ผมเองก็เพิ่งรู้ว่า พลเค้ารักผมแนบแน่น”
ศิธาทำตาขวางประกอบ “พูดแล้วยังสยิว” เกวลินนิ่วหน้า “เอ๊ย! ยังสยองขนลุกขนพองไม่หาย”
เกวลินมองศิธาอย่างลังเล ศิธาจับมือเกวลินมาแนบแก้มแล้วจูบ
“ถ้าเก๋ยังไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผมยินดีให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” เกวลินถอดถอนหายใจ
“อย่าเพิ่งคิดมากเลย ผมไม่ได้เร่งรัดให้คุณเชื่อผมหรอก ขอแค่ให้ผมได้ไปมาหาสู่ในฐานะเพื่อนก็พอ” ศิธาลุกขึ้น
“ทานข้าวต้มก่อนนะฮะ เดี๋ยวเย็นหมดจะไม่อร่อย!”
ศิธาหยิบถ้วยชามมาจัดการเทข้าวต้ม ระหว่างหันหลังเทข้าวต้น ศิธาบ่นออกมาเบาๆ
“พูดไปได้ แหวะ!” ศิธาเทข้าวต้มเสร็จ เดินกลับมาประคองเกวลินให้ลุกขึ้น พามานั่งโต๊ะกินข้าว
“ไปทานได้แล้วจ้ะ ต้องทานให้หมดด้วยนะ”
เกวลินตักข้าวกิน โดยมีศิธานั่งมองอย่างพอใจ
ขณะนั้นดุสิตขับรถมาจอดหน้าร้านเสื้อเกวลินและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเกวลิน โทรศัพท์เกวลินดังขึ้น ศิธารีบลุกขึ้นไปหยิบมาส่งให้
“นี่ฮะ!”
เกวลินมองชื่อแล้วสีหน้ากังวล ทั้งหมดนี้ไม่รอดพ้นสายตาศิธา ซึ่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เกวลินลุกขึ้นเดินออกไป
“ดุสิต...ฉัน ... เฮ้อ! ฉันหิวมากเลยออกไปซื้อแซนด์วิสมากินแล้ว”
“อ้าว! แล้วโจ๊กนี่ล่ะ”
“คุณทานเองได้มั้ย...ฉันขอโทษจริงๆ นี่ก็กำลังจะนอน !”
เกวลินมีสีหน้าไม่สบายใจที่ต้องโกหกเพื่อน
ศิธาเดินออกมาจากร้าน มือล้วงกระเป๋า ท่าทางสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ดุสิตถึงกับอึ้งเมื่อเห็นศิธา
“ดุสิต ทำไมเงียบไป”
“ผมกำลังจะไป ขอโทษด้วยที่มารบกวน หวังว่าคืนนี้คงจะฝันดีโคตรๆ!”
ดุสิตปิดโทรศัพท์ ขับรถออกไปทันที
เกวลินพยายามกดโทรศัพท์อีก แต่ก็มีเพียงสัญญาณโทรศัพท์ปิดแล้ว เกวลินวางโทรศัพท์ลง
“บ้าจริง!”
ประตูค่อยๆ เปิดแง้มออก ศิธายื่นแต่หน้าเข้ามา
“เรียบร้อยหรือยังค่ะ”
“เข้ามาได้แล้วค่ะ”
ศิธาเดินเข้ามาปิดประตู ขณะเกวลินลุกขึ้นเก็บชาม
“อ้าว...นั่นอิ่มแล้วหรือฮะ เพิ่งทานไปได้ไม่กี่คำเอง”
“ค่ะ”
“งั้นผมจัดการเอง คุณขึ้นไปพักผ่อนเถอะ” เกวลินมองศิธาแบบไม่เชื่อหู “ผมล้างจานเป็นน่า”
เกวลินยิ้ม พยักหน้าแล้วเดินขึ้นข้างบน
เกวลินกลับเข้าห้องแล้วนั่งซึมด้วยรู้สึกผิด จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วศิธาเดินเข้ามา
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า เมื่อกี้ได้ยินเสียงไอ” ศิธาเดินมาหาเกวลิน เอามือแตะหน้าผาก “ตัวอุ่นๆ มียาแก้ไอหรือเปล่า”
“อยู่ที่เดิมค่ะ” ศิธาเดินไปหยิบยา รินน้ำพลางบ่น
“ความจริงคุณน่าจะไปหาหมอ” เกวลินรับยากับน้ำจากมือศิธามากิน ขณะศิธาทรุดตัวลงนั่ง
“คืนนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนนะ”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ คุณไม่สบาย บ้านก็ไม่มีใครอยู่ อย่างน้อยผมจะได้ช่วยดูแล”
“แล้วพีระพลล่ะ”
“ช่างมันเป็นไร ตกลงผมค้างได้ใช่มั๊ย”
เกวลินนิ่ง ศิธาจึงโอบกอดเธออย่างประจบประแจง
ช่วงเวลาเดียวกันนี้นที่บ้านจิรดา...มีเสียงเอะอะโครมครามดังออกมาจากในห้องจิรดา
“โอ๊ย! อะไรอีกล่ะ จนก็หงุดหงิด พอกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาก็ยังหงุดหงิดอีก หงุดหงิดมันตลอดๆๆๆ ลองเป็นนังพัดหน่อยไม่ได้ ถ้ารวยขึ้นมา แม่จะยิ้มหน้าบานทั้งวันไม่หุบเลย”
พัดบ่นขณะเดินมาที่ห้องจิรดา พอมาถึงจึงเคาะประตูเรยกแ ต่เมื่อไม่มีใครเปิดจึงลองหมุนลูกบิดดู
ประตูเปิดออก พัดก้าวเข้าไป กระเป๋าใบหนึ่งก็ถูกเหวี่ยงเข้าที่หน้าพัดพอดี
“ว้าย!”
“สมน้ำหน้า ใครให้เข้ามาล่ะ”
“อ๋อ! นังพัดมันสะแหล๋นแต๋นเข้ามาเองแหละค่ะ คุณเล่นปาข้าวของร้องดังโขมงโลงเลง ดังลั่นไปหมด จนพัดกลัวเพื่อนบ้านเขาจะด่าเอาถึงได้ขึ้นมาดู”
“ใครจะด่าก็ให้มันเรียงหน้าเข้ามา! ฉันจะด่ากลับให้หงายหลังกลับไป อูย!” จิรดานิ่วหน้า เอามือกดท้อง
“นั่นยังไม่หายอีกหรือค่ะ เห็นปวดตั้งแต่กลางวัน”
“ก็ยังไม่หายน่ะซิ! นังมัสลินก็หายหัวไปทั้งวัน ป่านนี้ยังไม่กลับ”
“แหม! ก็บ้านมันน่าอยู่นักนี่คะ”
“นังพัด! โอ๊ย!”
“น่าน! ปวดอีกแล้วล่ะซิ ไปหาหมอเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ไป”
“ไปเถอะคุณ เดี๋ยวเป็นมะเร็งไม่รู้ด้วยนะ”
“แกแช่งฉัน”
“ไม่ได้แช่ง แค่สันนิษฐาน”
“ไป๊! ออกไปให้พ้น นังพัด! นังแม่มด!”
จิรดาหยิบแจกันเตรียมขว้าง พัดรีบเปิดประตูออกไปทันที...พัดปิดประตูโครมเอนตัวพิง ขณะที่มีเสียงแจกันกระทบพื้นแตกกระจาย
“เกือบไป เฮ้อ! อะไรนักหนา!”
พัดเดินแกมวิ่งลงบันไดไป
พัดรีบเดินมาหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นกดโทรหามัสลินทันที
“ฮัลโหล”
“คุณมัสขา คุณมัสอยู่ไหนคะ! กลับมาเร็วๆหน่อยเถอะค่ะ!”
“กำลังกลับบ้านจ๊ะ ทำไม!..เกิดอะไรขึ้นหรอ”
“คุณแม่คุณมัสน่ะซิคะ กำลังอาละวาดใหญ่เลย”
“พัดไปช่วยดูไว้หน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
พัดวางโทรศัพท์ลงถอนใจเฮือก
มัสลินขับรถมาถึงหน้าบ้านบีบแตร...ใครคนหนึ่งเดินมาจากรถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ในบริเวณใกล้ๆนั้นเคาะตรงหน้าต่าง มัสลินเปิดประตูรถอย่างแปลกใจระคนหงุดหงิด
“นี่คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็สักพักใหญ่ๆ นี่เอง ผมโทรเข้าบ้าน ผมโทรเข้าบ้าน พัดบอกว่าคุณกำลังกลับก็เลยมารอ...” กานนบอก
“มีธุระอะไรป่านนี้”
“ก็นึกอยากจะเยี่ยมญาติขึ้นมา”
พัดเปิดประตูออกมา
“ขอโทษค่ะ ที่มาเปิดช้า คุณผู้หญิงกำลังคร่ำครวญหวนไห้” พัดพูดไม่ทันจบ มัสลินรีบวิ่งเข้าไป กานนรีบตาม “อ้าว! รถยังไม่ได้เอาเข้าบ้านเลย”
ขณะนั้นจิรดานอนร้องไห้อยู่บนเตียง ขณะที่มัสลินค่อยๆ เปิดประตูอย่างแผ่วเบา
“ไม่มีใครสนใจฉันเลย ไม่มีเลยจริงๆ เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอมก็เป็นยังงี้แหละ” มัสลินชะงัก เช่นเดียวกับกานนที่ตามเข้ามา “ถ้าเป็นลูกจริงๆ คงไม่หายหัวไปยังงี้หรอก”
กานนรีบเดินเข้ามา
“คุณอาครับ”
จิรดาหันมามองแล้วลุกขึ้นนั่ง
“คุณกานน”
มัสลินเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง
“ไปหาหมอกันเถค่ะ”
“ฉันไม่ไป!”
“ไปเถอะนะคะ แม่จะมาทนทรมานปวดอยู่อย่างนี้ทำไม...มัสรักแม่...มัสไม่อยากเห็นแม่ไม่สบาย”
“ไปครับ ผมจะไปด้วย...”
กานนเข้าประคองจิรดา และยิ้มให้อย่างอ่อนโยนจิรดาจึงยอมลุกขึ้น...กานน กับมัสลินช่วยกันประคองจิรดาออกไป
“หายไปไหนมาจ๊ะ”
อุษยาถามเมื่อกานนกลับเข้าบ้าน
“ธุระนิดหน่อยครับ”
“ธุระ?” อุษยาสงสัย
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ เหนียวตัวจัง”
กานนรีบเดินขึ้นไปก่อนอุษยาจะทันทักท้วง
“ดู๊! ดูมัน !”
กุเทพทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ดูทีวี เหมือนจะสนใจนักหนา
“ตากุ!”
“ครับ!”
“นั่นเห็นอาแกมั๊ย!”
“เห็นครับ...เขาเพิ่งขึ้นไปข้างบน”
“โอ๊ย! อาหลานคู่นี้มันกวนประสาททั้งคู่เลย”
กุเทพลุกขึ้นบิดตัวไปมา
“ ง่วงจัง! ผมขึ้นไปนอนละครับ”
กุเทพทำเป็นเดินหาวขึ้นข้างบน อุษยามองตามขวางๆ
กานนทรุดตัวลงนั่ง...สีหน้าเริ่มขรึมลงเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“อาปลิว”
“เข้ามา!”
กุเทพเปิดประตูเข้ามา กอดอกพิงประตูมองกานนแล้วถามลอยๆ
“ไปหามัสมาหรือ”
“แม่เขาไม่สบาย ฉันเลยช่วยพาไปหาหมอ”
“เป็นอะไรไปล่ะ”
“ลำไส้อักเสบ”
“ทำไมไม่บอกความจริงมัสไปล่ะ อาปลิวจะได้สมหวัง ...”
กานนส่ายหน้า
“เคยคิดเหมือนกัน แต่....ทำไม่ได้...มัสลินรักและผูกพันกับคุณอาจิรดามาก มากจนอาจจะทนไม่ได้ถ้าหากรู้ความจริง ฉันยังเห็นแก่ตัวไม่พอ!”
“พระเอก!”
“ตอนนี้อาจจะใช่ แต่ต่อไปไม่แน่”
กานนลุกเดินเข้าห้องน้ำไป โดยกุเทพมองตามอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
กุเทพกลับมาที่ห้องตัวเองจังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กุเทพหยิบขึ้นมาดู พอเห็นชื่อเบอร์โทรเข้า สีหน้าขรึมลงก่อนจะกดรับ
“ว่าไง กิ๊บ”
“แหม! เล่นเอาเซ็งเลย จะพูดกับศรีภรรยาให้ดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
“บ้า!”
“เมื่อก่อน กิ๊บยอมรับว่ากิ๊บเต็มใจยอมเอง ถึงไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่คราวนี้ คุณใช้กำลังบังคับทั้งๆที่กิ๊บไม่เต็มใจ กิ๊บถึงต้องให้คุณรับผิดชอบ เพื่อศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงคนนึง”
“หยุดโกหกเสียที กิ๊บ”
กุเทพปิดโทรศัพท์ลง พิณสุดาร้องกรี๊ดออกมาอย่างเจ็บใจ
“นึกหรือว่าฉันจะยอมแพ้”
พิณสุดานั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ กดแป้นคีย์บอร์ด คลิกเมาส์อย่างรุนแรง
“แฮงค์ มาแฮงค์อะไรตอนนี้...โว้ยยย!!!”
พิณสุดาปัดคอมพิวเตอร์หล่นโครมจากโต๊ะ พีระพลแต่งตัวเดินออกจากห้องมาเห็นสภาพพิณสุดาแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย
“มันจะอะไรกันนักกันหนากับอีแค่หลักฐานเล่นงานนังมัสลิน ที่โก้จัดให้นั่นน่ะเหลือเฟือแล้วพี่กิ๊บ”
“เหลือเฟือ? ถ้าเหลือเฟือแล้วฉันจะมานั่งบ้าอยู่นี่ทำไม สมองน่ะมีก็หัดใช้ นังโง่”
“อ้าว พูดดี ๆ ก็ด่ากันได้ด้วยเนอะคนเรา ไปดีกว่า โก้ไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
“พวกนั้นมันหาว่าฉันกุเรื่องขึ้นมาเองเพราะอิจฉานังมัสลินที่มันได้ดี”
“ก็จริง”
“ไอ้โก้”
“พี่กิ๊บจะเอายังไง หาในเน็ตหัวฟูอยู่อย่างนี้มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ในเมื่อมันหาว่าเรากุเรื่องเราก็ทำมันซะจริงๆ ซะเลยสิ”
“แกหมายความว่าไง”
พีระพลจับหนังสือพิมพ์แนวเม้าท์ดาราโยนลงตรงหน้าพิณสุดา
“กี่เปอร์เซ็นต์กันเชียวที่เป็นเรื่องจริง” พิณสุดาฟังพีระพลอย่างครุ่นคิด
“หนังสือแนวเนี้ย เค้าเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์สืบเสาะ จริงไม่จริงก็ว่ากันอีกเรื่อง ไม่มีใครผิด ละก็ไม่มีใครถูก หึ...หึ...”
“จริงสิ ฉันลืมคิดอะไรแบบนี้ไปเลย ฉลาดมากน้องรัก”
พิณสุดาดึงพีระพลมาจูบแก้ม พีระพลหลบเป็นพัลวัน เช็ดแก้ม
“อารมณ์ดีแล้วใช่มั้ย งั้นไปด้วยกันหน่อยสิ” พีระพลดึงแขนพิณสุดา
พิณสุดาแกะมือน้องชายออก
“เชิญด้านหน้าโง่ ๆ ของแกไปตามหาไอ้ศิธามันคนเดียวเหอะ เสียเวลาฉัน”
“โก้เป็นห่วงเค้าอ่ะพี่กิ๊บ เค้าไม่โทร ไม่ติดต่อโก้เลย ลูกน้องบอกว่าป๊าศิธากักบริเวณศิธา ให้เค้าอยู่แต่ในบ้าน เงินทองก็ไม่ให้ใช้สักสลึง”
“สมน้ำหน้ามัน”
“โก้จะพาเค้าหนี ...โอ้ย!”
พิณสุดาตบหัวน้องชาย
“ขืนทำฉันจะฆ่าแก นังน้องโง่ บอกปากจะฉีกว่ามันหลอกแก มันหลอกแก แกก็ไม่เชื่อ โดนพวกมันเล่นงานกลับมาอีก ฉันจะไม่สนแกเลย”
พีระพลนั่งลงอย่างเศร้าสร้อย น้ำตาคลอหน่วย พิณสุดาสีหน้าคลายลง ดึงทิชชูส่งให้แบบขอไปที
เช้าวันรุ่งขึ้นเกวลินนั่งแปรงผมด้วยสีหน้าแจ่มใส เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อาหารเช้าพร้อมแล้วครับ”
“เดี๋ยวลงไปค่ะ”
เกวลินสำรวจความสวยของตัวเองแล้วเดินออกไป...เกวลินเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นศิธาที่นั่งหันข้างให้แต่เสี้ยวหน้าดูอมทุกข์
“เป็นอะไรไป”
เกวลินเดินเข้ามาถาม ศิธากันมา
“เปล่า...คุณทานโจ๊กเถอะ”
“แล้วของคุณล่ะ”
“ผมยังไม่หิว”
“ต้องมีอะไรแน่ๆ”
“อย่าให้ผมทำให้คุณไม่สบายใจเลย”
“ศิธา ถ้าไม่บอกก็กลับไป แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก”
“ แต่ถ้าบอก...คุณก็ต้องไล่ผมกลับ แล้วห้ามไม่ให้มาที่นี่อีกเหมือนกัน”
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด”
ศิธาสูดลมหายใจยาว
“ ผม...ผมเหลือเงินติดตัวแค่ 200 บาท จะขอเตี่ยก็ไม่ได้”
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไร รอเดี๋ยวนะคะ...”
เกวลินเดินกลับขึ้นข้างบน
“เก๋...”
ศิธายิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองตาม
เวลาเดียวกันนั้นดุสิตเดินถือถุงใส่โจ๊กมากดกริ่งหน้าประตูร้าน ศิธาเดินมาเปิด ต่างฝ่ายต่างชะงัก แล้วศิธาค่อยๆ คลี่ยิ้มเยาะออกมา
“ม้อ นิ่ง!”
“แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อคืนวานนั่นแน่ะ...” ศิธามองถุงโจ๊กในมือดุสิต
“ ถ้าซื้อมาฝากยัยแก่ เอ๊ย! ยัยเก๋ละก็ เอากลับไปกินเองเถอะไป๊! ….ไป! ไป๊!”
ดุสิตซัดโครมเข้าที่หน้าศิธา
“อ๊าย...!”
ศิธาเซถลาล้มลงและทำหน้าเหมือนเจ็บหนักร้องโอดโอย..
“เว่อร์ เว่อร์ เอาอีกสักทีมั้ย!”
ดุสิตจับคอเสื้อศิธาจะดึงขึ้นมา ศิธาทำสีหน้าสุภาพบุรุษผู้แสนดีเต็มที่
“คุณเข้าใจผิด”
เกวลินกระชากมือดุสิตออกจากศิธาทันที
“อย่ามาทำเป็นพวกขาใหญ่ที่นี่นะ”
“คุณดุสิต ผมขอโทษถ้าหากทำให้คุณไม่สบายใจ”
“ไม่ต้องขอโทษค่ะ คุณไม่ได้ทำอะไรผิด” เกวลินหันมาจ้องดุสิตเขม็ง “คุณกลับไปได้แล้ว ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาอีก”
ดุสิตมองเกวลินอย่างน้อยใจ ศิธามองดุสิตเยาะๆ พอเกวลินหันมาก็ทำเจ็บปวดใหม่ เกวลินประคองศิธากลับเข้าไปในร้าน
“รอดี๋ยวนะ”
“จะไปไหนฮะ”
“ไปเอาเครื่องมือมาทำแผลให้น่ะซิคะ”
“ไม่ต้อง...แผลอยู่ไกลหัวใจตั้งเยอะ คุณทานโจ๊กดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”
เกวลินทรุดตัวลงนั่ง แล้วหยิบเช็คที่เอาแจกันทับไว้ส่งให้ศิธา
“อะไรครับ” ศิธาแกล้งถาม
“เช็คไงคะ”
เกวลินจับเช็คใส่มือศิธา ศิธาก้มมอง นัยต์ตาเป็นประกายวาวแว่บหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองเกวลิน พลางส่ายหน้าแล้วส่งเช็คคืน
“ผมรับไว้ไม่ได้ เงินน้ำพักน้ำแรงคุณตั้ง 2 หมื่น”
“คุณรักเก๋หรือเปล่า”
“เก๋อาจไม่เชื่อ แต่ผมจะพยายามพิสูจน์ตัวเอง...”
“งั้นก็รับเช็คนี่ไป”
“แต่...”
“รับไปซิคะ”
ศิธาโผกอดเกวลิน “เก๋...เก๋ดีกับผมเหลือเกิน...ผมเสียใจที่เคยทำให้เก๋เจ็บปวด”
ศิธาพูดไม่ทันจบ เกวลินยกนิ้วแตะปากศิธาไว้
“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ขอให้มันแล้วไป เราจะเริ่มต้นกันใหม่”
ศิธากอดเกวลิน ทำเหมือนซาบซึ้งใจเสียเหลือเกิน เกวลินหลับตาพริ้มแสนสุข
“อีโง่!” ศิธาด่าเกวลิน...อยู่ในใจ
มัสลินเดินถือถาดวางถ้วยรังนก น้ำชาร้อนๆ เดินเข้ามาหาจิรดาในห้อง
“รังนกร้อนค่ะแม่”
“จะไปไหนแต่เช้า”
“ไปทำงานค่ะ”
“อ่อ!....” จิรดาลากเสียงประชด
“เบื่อฉันล่ะซิ ยิ่งเห็นเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งเบื่อ ยิ่งรำคาญ ไม่อยากอยู่บ้าน”
มัสลินทรุดตัวลงนั่งยกแขนจะลูบแขนแม่ จิรดาปัดมือมัสลินแล้วกระเถิบหนีเล็กน้อย มัสลินหน้าเสียนิดหนึ่ง
“ถ้าแม่จะไม่ให้มัสไปก็ได้นะคะ”
“โอ๊ย! ฉันไม่ได้พิสวาทแกนักหรอกย่ะ ถึงอยู่ก็ไม่ทำให้บ้านกลายเป็นสวรรค์วิมานขึ้นมา จะไปไหนก็เชิญ”
“มัสไม่ไปดีกว่า”
“เอ๊ะ แกนี่พูดไม่รู้ฟัง มีนังพัดคนเดียวก็ประสาทจะกินตายอยู่แล้ว ขืนแกมาคอยเซ้าซี้อีกคน ฉันต้องปวดท้องตายแน่”
“แม่ค่อยยังชั่วแล้วใช่มั๊ยค่ะ”
“ไม่ต้องถาม จะไปทำอะไรก็ไป”
“แล้วมัสจะรีบกลับมานะคะ”
“แกจะกลับตอนไหนก็เรื่องของแก”
จิรดาหันหลังให้ ทำท่าเหมือนไม่อยากพูดด้วยแล้ว
“อย่าลืมทานยานะคะแม่”
จิรดานิ่ง มัสลินมองครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป จิรดานอนลืมตาสีหน้าเหมือนยังสับสนอยู่ระหว่างความรัก...ความเกลียดชัง!
มัสลินเดินลงบันไดมาแล้วชะงักเมื่อเห็นกานนนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ โดยมีพัดกำลังหยิบหนังสือพิมพ์มาบริการ
“กาแฟไหมครับ”
กานนถามมัสลิน
“ใครใช้ให้คุณมา”
“ผมใช้ตัวเองครับ”
“งั้นตอนนี้ก็ใช้ตัวเองให้กลับไปได้แล้ว”
“โถ คุณมัสขา... คุณแกอุตส่าห์มา”
“ถ้าถึงกับต้อง”อุตส่า”ก็ไม่ต้องมา”
“เป็นงั้นไป ทีหน้าทีหลังป้าไม่ต้องพูดให้ผมหรอก ผมพูดเองดีกว่า”
“นั่นซิคะ”
“คุณแม่คุณเป็นไงบ้าง”
“ด่าได้ตามปกติแล้วค่ะ”
พัดชิงตอบแทน มัสลินถลึงตาจ้องพัด พัดยิ้มแห้งๆ...มัสลินเดินออกไป กานนลุกขึ้นเดินตาม
กานนรีบเดินมาเปิดประตูรถตนเอง
“คันนี้ครับ”
“ฉันมีรถค่ะ ถึงจะไม่หรูหราราคาแพง แต่ก็ขับได้ไปถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน”
“แต่อาก๋งให้ผมมาคอยดูแลคุณ”
“ขอโทษ แล้วคุณไม่มีงานทำหรือคะ”
“มีซิครับ แต่วันนี้วันหยุด เชิญครับ วันนี้ผมบริการทั้งวันเลย”
“ไม่”
“แน่ะ ป้าแกโผล่มาดูแล้ว” มัสลินหันกลับไป พัดยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เชิญครับ” มัสลินถอนใจเฮือก ตัดสินใจยอมขึ้นรถกานน กานนอ้อมมานั่งด้านคนขับ
“ทีนี้จะไปไหนบอกมา”
กานนขับรถแล่นออกไป
มัสลินให้กานนขับรถมาส่งที่โรงพยาบาล
“เดี๋ยวจอดตรงข้างหน้านั้นเลยค่ะ” กานนไม่ตอบ แต่ขับเลยไปขึ้นบริเวณจอดรถของโรงพยาบาล
“จะไปไหนค่ะ”
กานนตอบโดยไม่มองหน้า
“ก็ไปจอดรถน่ะซิ ไอ้ตรงข้างหน้าของคุณเขามีไว้ขับส่งคนไข้ จอดแช่ได้ที่ไหน”
กานนขับรถเข้าไปในบริเวณอาคารจอดรถ
“ความจริง คุณกลับเลยก็ได้”
มัสลินบอกเมื่อกานนขับรถเข้ามาจอด
“ความจริง ผมอยากจะอยู่”
“ไม่จำเป็น”
“จำเป็นมากๆ เลย”
กานนลงจากรถ มัสลินจำใจก้าวลงตาม
กานนกับมัสลินเดินเข้ามาในโรงพยาบาล จนผ่านบริเวณร้านขายของเยี่ยม
“มัสขอซื้อดอกไม้ก่อนค่ะ”
มัสเดินเข้าไป เลือกซื้อแจกันกุหลาบสีแดงดอกใหญ่สวยงาม
“ทำไมต้องกุหลาบแดง”
กานนถามมัสลินทำเป็นไม่ได้ยิน จ่ายเงิน เดินไปที่ลิฟท์ กานนเดินไปด้วยสีหน้าขรึมลง
ขณะนั้นคิมยังนอนไม่ได้สติ โดยมีพยาบาลดูแลอยู่ ประตูค่อยๆ เปิดออก มัสลินและกานน เดินเข้ามาพยาบาลหันมายิ้มให้
“สวัสดีค่ะ คนป่วยเป็นยังไงบ้างคะ”
“คงต้องถามคุณหมอค่ะ”
มัสลินพยักหน้า เดินมายืนข้างเตียง ขณะที่พยาบาลเดินออกไป กานนเดินมายืนตรงข้ามมัสลิน...มัสลินลูบแขนคิมอย่างอ่อนโยน
“คุณคิม มัสมาเยี่ยมแล้วค่ะ มีดอกกุหลาบแดงมาเปลี่ยนให้ด้วย” กานนเหลือบมองภาพนั้น เหมือนจะอิจฉาวูบหนึ่ง
“คุณต้องฟื้นขึ้นมาเร็วๆ นะคะ มัสขี้เกียจพูดฝ่ายเดียวแล้ว”
“พูดกับผมก็ได้นี่” มัสลินมองกานนเหมือนจะตำหนิ “ก็ระหว่างที่คุณคิมยังไม่ฟื้นไง พอเขาฟื้น คุณค่อยคุยกับเขา”
มัสลินเดินมาวางกระเป๋าลง หยิบหนังสือเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆ เตียง กานนเดินไปนั่งโซฟา
“คุณจะกลับก็เชิญนะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมจะกลับพร้อมคุณ”
“ฉันต้องอ่าน ให้คิมฟัง”
“ผมจะฟังด้วย”
“คุณอ่านเองได้”
“ใช่ ผมอ่านเองได้ แต่ผมอยากฟังคุณอ่าน” มัสลินอ้าปากจะเถียงอย่างหงุดหงิด แต่กานนชิงพูดขึ้นก่อน “คุณคิมคงอยากฟังคุณอ่านแล้วละ... ผมก็เหมือนกัน”
มัสลินมองกานนตาเขียว ก่อนจะสะบัดหน้ากลับมา เปิดหนังสืออ่านให้คิมฟัง กานนมองมัสลินด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน
กานนนอนหลับตาฟังเสียงมัสลินซึ่งกำลังอ่านให้ฟังจนกระทั่งมัสลินอ่านจบบทแรก
“สาธุ” มัสลินทำเป็นไม่ได้ยิน อ่านต่อ
“รับรองว่าพอคุณคิมฟื้น มีหวังบวชไม่สึกเลย”
“นี่คุณ” มัสลินหันขวับมา
“ถ้าอยู่เงียบๆ ไม่ได้ก็กลับไปซะ”
“ขนาดผมยังซาบซึ้ง อยากจะบวชเลย”
“นี่ คุณกานน”
กานนยกมือยอมแพ้
“ โอ.เค เชิญคุณอ่านต่อไป ผมไม่กวนแล้ว”
“ก็ลองรบกวนรบกวนอีกซิ ฉันจะเรียกเจ้าหน้าที่ให้มาเอาตัวคุณออกไป”
กานนหลับตาลง มัสลินเบือนหน้ากลับมาอ่านต่อ กานนหรี่ตามองมัสลิน เมื่อเห็นมัสลินไม่สน ก็ลืมตามองอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนที่บ้านเตช บัวบงกชกำลังไล่เปิดดูข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ปากก็ร้องเรียกสาวใช้
“แวว แวว”
“ขา” แวว...สาวใช้เดินเข้ามา
“หนังสือพิมพ์เมื่อวานที่ฉันสั่งให้เก็บอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในห้องแววค่ะ”
“แล้วคุณผู้ชายถามหรือเปล่า”
บัวบงกชลดเสียงถาม ขณะนั้นเตชเดินผ่านมาพอดีจึงหยุดฟังที่ประตู
“ไม่ได้ถามซักคำนึงค่ะ”
“ขอบใจมาก ไปได้”
“ค่ะ”
แววหันกลับจะเดินออกไปแล้วชะงักเมื่อเห็นเตชยืนอยู่ เตชขยับตัวเดินผ่านไป บัวบงกชมองตามอย่างกังวลแล้วตัดสินใจเดินตามไป
“เตช ฉันอยากพูดกับคุณจริงๆ เชิญเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมค่ะ”
“ก็บอกแล้วว่าพูดตรงนี้ก็ได้” บัวบงกชเหลือบมองคนรถแว่บหนึ่ง เตชมองตาม แล้วหันกลับมายิ้มเยาะ
“ทำไม! เรื่องที่คุณจะพูดมันทุเรศบัดสี น่าอับอายนักเรอะถึงให้ใครได้ยินไม่ได้”
“เตช ได้โปรดเถอะ”
บัวบงกชเม้มปากแน่น ทั้งโกรธ ทั้งอาย
“คุณสั่งให้เด็กเก็บหนังสือพิมพ์ที่บ้าน แต่ผมก็ยังได้อ่านที่อื่น เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะมีคนมาถามผม คุณเคยบอกว่า คุณจะแก้แค้นที่ผมเคยทำกับคุณ ผมไม่เคยคิดเลยว่า คุณจะแก้แค้นด้วยวิธีเป็นชู้กับแฟนเก่าจนมีลูกด้วยกัน อัปยศสิ้นดี”
เตชขึ้นรถ คนขับ ขับรถออกไป บัวบงกชค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง น้ำตาไหลพราก
บัวบงกชเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความชอกช้ำ มธุรินยืนอยู่ที่บันได ด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกัน บัวบงกชเงยหน้ามองลูก
“เดียร์”
“ไม่จริงใช่มั้ยคะแม่” บัวบงกชหลับตาลง น้ำตาไหลพรากออกมา
บัวบงกชยังคงร้องไห้ มธุรินหลับตาลง น้ำตาไหล เรียกกึ่งขอคำตอบจากมารดา “แม่คะ”
ทว่าบัวบงกชยังคงเอาแต่ร้องไห้ มธุรินกัดปากตัวเอง น้ำตาไหลแล้วเดินแกมวิ่งลงบันไดผ่านแม่ไป
“เดียร์” บัวบงกชร้องเรียกลูกสาว จนหมดเรี่ยวแรงนั่งลงที่เชิงบันได
ส่วนที่โรงพยาบาล ประตูห้องของคิมเปิดออก มัสลินก้าวเดินออกมา ตามด้วยกานน
“เราแยกกันตรงนี้เลย”
“ผมจะไปส่งคุณที่บ้าน”
“ฉันจะไปทำงาน”
“งั้นผมก็จะไปส่งคุณที่ทำงาน”
“ฉันไปเองได้”
“ไม่เถียง แต่ผมไปส่งสะดวกกว่า”
“คุณกานน”
“ก๋งสั่งให้ผมคอยดูแลคุณ”
“ไม่ต้องเอาใครมาอ้าง”
กานนกดโทรศัพท์ ส่งให้มัสลิน
“ไม่เชื่อก็ถามดูได้”
มัสลินเม้มปาก สะบัดหน้าเดินไปอย่างหงุดหงิด กานนมองยิ้มๆ เก็บโทรศัพท์แล้วเดินตามไป
อ่านต่อหน้าที่ 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 22
ที่กองถ่ายละคร ขณะนั้นนักข่าวหลายสำนักต่างจับกลุ่มพูดคุยกันบ้าง สัมภาษณ์นักแสดงคนโน้นคนนี้บ้าง กานนขับรถมาถึงด้านหน้ากองละคร สีหน้ากานนเป็นกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นทัพนักข่าว
“นักข่าวมากันเต็มเลย...คุณพร้อมหรือเปล่า” กานนหันมาถามมัสลิน
มัสลินเม้มปาก ส่ายหน้า น้ำตาคลอ “งั้นโทรบอกผู้กำกับไปตามตรง” กานนออกความคิด และ
กานนขับรถออกไปจากที่นั่น ขณะมัสลินเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาผู้กำกับ
“โอ.เค ได้! พี่เข้าใจ แล้วจะจัดการให้”
ผู้กำกับบอกกับมัสลิน
“ขอบคุณค่ะพี่ไก่ ขอบคุณมากจริงๆ”
“ไม่เป็นไร มัส โอ.เค นะ”
“ค่ะ”
ผู้กำกับปิดโทรศัพท์เดินมาประกาศกลางกองถ่าย
“วันนี้ยกกองก่อน มีเรื่องด่วนเข้ามา ขอโทษนะครับทุกๆ คน...ผมมีความจำเป็นจริงๆ”
ทุกคนบ่นกันพึมพัม นักข่าวเข้ามารุมถามผู้กำกับ
“มัสลินเบี้ยวใช่ไหมคะ”
ผู้กำกับสบตานักข่าวจริงจัง
“มัสลินไม่เคยเบี้ยว... เอาละครับ! ทุกๆ คน ขอโทษด้วย เป็นความผิดของผมเอง”
ผู้กำกับเดินไปจากที่นั่น พูดคุยขอโทษดาราที่มาเก้อ
กานนขับรถพามัสลินมาบ้านของเขา มัสลินเดินหน้าตูมตามกานนเข้ามา กานนหันมาเห็นก็ขำ
“หิวเหรอถึงทำหน้าแบบนี้”
มัสลินตอบกานนหน้างอ
“ฉันไม่พูดไม่ได้แปลว่าฉันเต็มใจ คุณบอกจะพาฉันกลับบ้าน”
กานนทำหน้าเหรอหราไม่รู้เรื่อง
“อ้าว ก็นี่บ้านคุณ” มัสลินเริ่มหน้าตาจะเอาเรื่อง
“โอเค ผมขอโทษ แต่ตอนนี้ที่นี่มันก็กึ่งๆ บ้านคุณไปแล้วเหมือนกันน่ะแหละ ย้ายเข้ามาอยู่นี่เถอะ ทั้งคุณแล้วก็แม่คุณด้วย”
มัสลินมองกานนตาขวาง “ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย”
กานนจ้องหน้ามัสลินอย่างห่วงใย
“เพราะผมเป็นห่วงคุณ คุณก็รู้ว่ามีแต่คนจ้องจะเล่นงานคุณอยู่”
มัสลินตอบกานนแบบไม่ใส่ใจ
“ก็แค่ข่าวลือ ไม่เห็นจะสน แล้วก็ไม่กลัวด้วย ไอ้ที่ฉันเคยโดนมามันหนักกว่านี้ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ที่น่าเบื่อที่สุดก็คือความบ้าอำนาจของคุณ”
เจ้าสัวทศอยู่ที่มุมหนึ่งได้ยินที่กานนกับมัสลินคุยกัน เจ้าสัวมีสีหน้าครุ่นคิด...มัสลินกำไม้กำมือ ทำท่าทางหลุกหลิกๆ เหลียวมองไปรอบ
“เป็นอะไรไปคุณ ทำท่าแปลก ๆ”
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“ที่แท้ก็ปวดฉี่ ฮ่ะๆๆๆ”
“ไม่สุภาพเลยนะ”
“พี่น้องกัน จะอะไรนักหนา”
“คำก็พี่สองคำก็น้อง ไม่ถึงตาฉันบ้างก็แล้วไป ทางไหนล่ะ”
มัสลินกระชากเสียงถาม กานนผายมือไปทางหนึ่ง มัสลินก้าวเร็วๆ ไป...พอคล้อยหลังพ้นจากกานนมา มัสลินเหยียดยิ้มเยาะกานนแบบมีเลศนัย
มัสลินวิ่งออกมาจนถึงที่จอดรถ
“ชึ คิดว่าตัวเองฉลาดตายละ อีตากานนบ้าอำนาจ พี่ปลิว แหวะ”
มัสลินหันหลังกลับไปดูเพื่อให้แน่ใจว่ากานนไม่ได้ตามออกมา...กุเทพเปิดประตูลงมาจากรถท่าทางเซ็งๆ เห็นมัสลินทำท่าลับๆ ล่อๆ ก็รีบผลุบกลับเข้ารถ ไม่อยากเจอมัสลิน มัสลินหันกลับมาเห็นกุเทพก็ส่งเสียงเรียกอย่างดีใจ
“อ้าว พี่กุ พี่กุคะ!” กุเทพทำหน้าอยากตาย หลับตาสุดเซ็ง
มัสลินปราดมาง้างประตูออก “กำลังจะออกข้างนอกหรือเปล่าคะ ให้มัสติดรถออกไปด้วยคนสิ”
มัสลินไม่รอคำตอบ รีบวิ่งอ้อมไปนั่งด้านข้างคนขับ กุเทพหันมองมัสลินหน้าเหวอ “ขอบคุณค่ะพี่กุ”
กุเทพหน้าตาเซ็งชีวิตหนักกว่าเดิม บิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง
“เอ้อ...ครับ...”
กุเทพขับรถมาส่งมัสลินที่บ้าน มัสลินหันมายกมือไหว้ขอบคุณกุเทพ
“ขอบคุณมากค่ะ พี่กุ”
“เรียกกุเฉยๆ ดีกว่า” มัสลินมีสีหน้าประหลาดใจ
“ก็ถ้านับตามศักดิ์ คุณเป็นอาผมแล้วนี่” มัสลินหน้าขรึมลง
“โลกนี้มันแปลก ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ” กุเทพชำเลืองมองมัสลินซึ่งขยับจะเปิดประตู
“ผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว” มัสลินชะงัก
“ถ้าเกิดคุณเป็นลูก...”
กุเทพพูดไม่ทันจบคำ มัสลินหันขวับมาสบตากุเทพ นัยน์ตาเป็นประกาย
“แม่ของมัสมีคนเดียวชื่อจิรดา”
“ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่อย่าพูดเรื่องนี้อีก มัสไม่อยากได้ยิน”
“ผมเองก็มีเรื่องกลุ้ม”
“เรื่องอะไรคะ”
“ผมยังเล่าให้ใครฟังไม่ได้ มันจะเสียหายกันไปหมด”
มัสลินวางมือลงบนแขนกุเทพอย่างปลอบโยน
“ถ้ามีอะไรให้มัสช่วยได้ ก็บอกนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
มัสลินเปิดประตูลงจากรถ มองดูกุเทพขับรถออกไป
“แม่เป็นยังไงบ้าง” มัสลินหันมาถามพัด
“คงจะหายแล้วค่ะ ด่าเก่งเท่าเดิมแล้ว”
มัสลินพยักหน้า เดินเข้าบ้าน ตามด้วยพัด ขณะนั้นแป้นกำลังนวดให้จิรดา
“แม่หายแล้วหรือคะ”
“อยากให้ฉันตายล่ะซิ ผิดหวังใช่ไหมล่ะ”
“โธ่ แม่ พูดดีๆ กับมัสบ้างไม่ได้รึไง”
“ถ้าอยากได้คุณแม่พูดเพราะ คุณลูกคะ คุณลูกขา เป็นผู้ดีไฮโซก็เชิญไปเป็นลูกนังบัวบงกชซิ”
ทุกคนต่างอึ้งกันไปหมด รวมทั้งจิรดาที่เพิ่งพูดประชดออกไปด้วยปากไวไม่ทันยั้งคิด มัสลินเดินเลี่ยงขึ้นข้างบน
“คุณก็ไม่น่าพูดอย่างนั้น คุณมัสจะเสียใจ” พัดต่อว่าจิรดา
“ดีใจน่ะซิไม่ว่า”
“เฮ้อ เมื่อไหร่คุณจะพูดกับคุณมัสดีเหมือนแม่ลูกคู่อื่นๆ เขาบ้างคะ”
จิรดาหยิบของใกล้ตัวปาใส่พัดทันที พัดหลบได้หวุดหวิด
“ นี่แน่ะ นังพัด ไปให้พ้นเลยช่างเจรจาดีนัก แกก็ลองมีลูกเองดูซิ จะได้สรรหาบทกวีแสนหวานมาพูดให้มันสะใจไปเลย”
“โอ๊ย! ถ้ามีได้พัดก็มีไปนานแล้วละค่ะ มันติดอยู่ที่หาสามีไม่ได้นี่แหละ”
แป้นหัวเราะคิกคัก ในขณะที่จิรดาฉุนจัด
“ไป๊ ไสหัวไปทั้ง 2 คนเลย”
พัดกับแป้นรีบเดินเข้าไปข้างใน โดยแป้นยังหัวเราะขบขัน
มัสลินกลับขึ้นห้องและล้มตัวลงนอนตะแคงบนเตียง มัสลินนึกถึงคำพูดของจิรดาแล้วน้ำตาไหลพรากออกมา มัสลินอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นดูรูปภาษิตที่หัวเตียง
“พ่อขา มัสเป็นลูกใครกันแน่คะ
รูปพ่อมองตอบกลับมาเหมือนจะปลอบโยน
เวลาเดียวกันนั้นจิรดาลุกขึ้นช้าๆ สีหน้าเด็ดเดี่ยว เยือกเย็น
“นังบัวบงกช ฉันจะใช้นังมัสลินนี่แหละทรมานแก”
มัสลินยค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปหยิบรูปพ่อมากอด เสียงประตูเปิดออก จิรดาเดินเข้ามาและมองมัสลินด้วย สีหน้าเคร่งขรึม
“ถามพ่อแก พ่อแกตอบไม่ได้หรอก มันต้องถามฉันนี่”
“มัสเป็นลูกใครคะแม่”
“ลูกฉัน พ่อแกเขามีแกทั้งๆ ที่ไม่ได้รักฉัน เขารักลูก แต่ไม่ต้องการแม่ฉันถึงต้องมาลงกับแก มันสะใจดีไหมล่ะ”
“แล้วทำไมถึงมีข่าวออกไป”
“ฉันวางแผนเอง นังบัวบงกชมันเป็นรักแรกและรักเดียวของแพ่อแก เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้มันเจ็บปวดได้ ฉันก็จะทำ มีอะไรสงสัยอีกมั้ย”
“แม่ใจร้ายกับมัสเหลือเกิน”
“ช่วยไม่ได้ แกเป็นลูกไอ้ภาษิตมันทำไมล่ะ ถ้าไม่พอใจอยากไปอยู่กับแฟนเก่ายอดหญิงของพ่อแกก็ได้นะ เขาเองก็อยากได้เลือดเนื้อ เชื้อไขของภาษิตอยู่นี่”
“ไม่คะ มัสรักแม่ มัสจะอยู่กับแม่”
จิรดมีสีหน้าเหมือนจะเกิดความสะเทือนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่กดเก็บมันแล้วหันหลังเดินกลับออกไป มัสลินมองตามน้ำตาไหลพราก
ตอนค่ำวันเดียวกันนั้นที่บ้านกานน ขณะนั้นเจ้าสัวทศหัวเราะชอบใจขำกานนที่เสียรู้มัสลิน
“เจ้าปลิวเอ้ย เจ้าปลิว น้องสาวคนเดียวก็ตามเค้าไม่ทัน”
“โธ่คุณปู่ครับ ใครจะรู้ทันล่ะว่าออกจากห้องน้ำมามัสลินจะหนีกลับไปแล้ว”
“แกต้องพิจารณาตัวเองแล้วละ ถ้าคนที่มาด้วยเค้าถึงกับหนีกลับบ้าน ฮ่ะๆ แต่ปู่ขอบใจแกนะ ที่ช่วยดูแลมัสลิน ...หลานสาวคนเดียวของปู่”
กานนมองเจ้าสัวอย่างครุ่นคิดก่อนจะถามออกไป “คุณปู่ครับ”
“ว่าไงอีก”
“ถ้าวันนึงปู่รู้ว่าผมไม่ใช่หลานที่แท้จริงของปู่ ปู่จะรู้สึกอะไรมั้ยฮะ”
“ไม่ต้องอ้อมค้อม แกจะว่ามัสลินไม่ใช่หลานสาวที่แท้จริงของฉันละสิ”
“คุณปู่นี่จริงๆ เลย...รู้ทันอีกแล้ว”
“จะรู้สึกอะไรทำไม ...ไม่รู้สึกหรอก เพราะรับรู้ไปแล้วว่าเค้าเป็นหลาน ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงมายังไง มัสลินก็คือหลานสาวของปู่ในความรู้สึก...มันยิ่งกว่าความเป็นจริงซะอีกนะ”
“ความรู้สึกมันยิ่งกว่าความเป็นจริง...”
กานนทวนคำเจ้าสัวอย่างทึ่ง ๆ
“ถ้าแกจะบอกอะไรปู่ละก็ ไม่จำเป็นหรอก ปู่แกปูนนี้แล้ว อะไรจริงอะไรไม่จริงมันไม่สำคัญนักหนา” เจ้าสัวทุบเบาๆ ตรงใจ “ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ”
“ผมเข้าใจปู่ครับ”
กานนกับเจ้าสัวยิ้มให้กัน กุเทพเข้ามาสมทบ ยิ้มอารมณ์ดีให้ทุกคน
“คุยอะไรกันอยู่คร้าบ”
“นี่แกดื่มอีกแล้วนะเจ้ากุ”
“ที่แวะมาเนี่ยก็อยากขอคุยด้วยคน ไม่ได้อยากฟังบทสวด เฮ้อ ไปดีกว่า”
กุเทพบอกแล้วเดินออกไป เจ้าสัวมองตามยิ้ม ๆ
“นี่คุณปู่ยังยิ้มออกอีกเหรอครับ”
“วันนึงที่แกแก่เท่าฉัน แกก็จะยิ้มกับทุกเรื่องอย่างฉันนี่ละ”
กานนขมวดคิ้วมุ่น คราวนี้ไม่เข้าใจเจ้าสัวนัก
มธุรินมาหาพิณสุดาที่บ้านและนอนซมอยู่บนโซฟาบ้านพิณสุดา พิณสุดาเดินเข้ามาแล้วยืนพิงผนังมองภาพนั้นอย่างสะใจครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นในทึ่สุด
“หลับหรือเปล่า”
“เปล่า” มธุรินพลิกกลับมา “ฉันจะทำยังไงดี ฮึ กิ๊บ”
“ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไร เพราะแกทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว...ครอบครัวแกเคยอบอุ่นมาตลอด ทั้งพ่อทั้งแม่รักและตามใจแกยังกับเจ้าหญิงน้อยๆ แต่แล้วอยู่ดีๆ นังมัสลินก็โผล่มาทำลายความรัก ความอบอุ่นของครอบครัวแก แย่งแฟนไม่พอ ยังจะแย่งแม่ไปอีก อย่ายอมเด็ดขาด” พิณสุดายุแล้วเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
“ฉันเจ็บร้อนแทนแกสุดๆ เลยนะเดียร์”
“ฉันคิดอะไรไม่ออก”
“ไม่เป็นไร คิดไม่ออกก็บอกเพื่อน เพื่อนจะช่วยคิดให้ ขออย่างเดียวแกต้องเชื่อฉัน”
มธุรินมองพิณสุดาอย่างลังเล “ทำแบบเก่าไม่เอาแล้วนะ”
“โอ๊ย! ใครเขาจะทำวิธีเดิมๆ ซ้ำๆ ล่ะ ไม่.....หรอก เอ๊ะหรือว่าจะปล่อยคลิปรอบสองดี”
“เฮ้ย” มธุรินสะดุ้ง
“คราวนี้หาผู้หญิงไซส์ใกล้เคียงกับมันหน่อย” พิณสุดายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
หลังคุยกับมธุรินเสร็จ พิณสุดานัดเจอพีระพลและศิธาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งทันที เพื่อวางแผนจัดการกับมัสลิน ศิธารีบปฏิเสธลั่นเมื่อพิณสุดาบอกจะให้ปล่อยคลิปมัสลินรอบสอง
“โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วพี่กิ๊บ ความวัวยังไม่ทันหาย จะเอาความควายเข้ามาแทรกอีกแล้ว ทุกวันนี้ยังถูกเตี่ยกักบริเวณอยู่เลย”
“ถูกกักบริเวณ แล้วออกมานี่ได้ไง”
“ออกทางหลังบ้าน”
“ออกมาได้ไมาพอ มันยังแถมเอาเงินเตี่ยมาเลี้ยงโก้ทุกวันด้วยนะ พี่กิ๊บ” พีระพลบอก พิณสุดาหรี่ตามองศิธา
“เงินเตี่ยหรือเงินใคร?”
ศิธาหลบสายตาพิณสุดาอย่างมีพิรุธ
“แหม บอกว่าเงินเตี่ยก็เงินเตี่ยซิ”
“ไปขอนังแก่เก๋นั่นมาหรือเปล่า” พีระพลหันมาซักศิธา
“เปล๊า” ศิธารีบปฏิเสธ
“อย่าเชียวนะ โก้ไม่ยอมด้วย”
“เฮ้ย กลับมาพูดเรี่องเดิมต่อ อย่าออกไปไกล พวกแกช่วยทำคลิปนังมัสซัก 2-3 คลิป ไม่ได้เรอะ คราวนี้หาผู้หญิงหุ่นคล้ายๆ มันมากที่สุด”
“เจ๊เล่นเองเป็นไง”
“บ้า ไอ้ศิธาบ้า” พิณสุดาร้องกรี๊ดพร้อมเอากระดาษตบหัวศิธา...โต๊ะอื่นหันมามองเสียงกรี๊ด แสบหูของพิณสุดา “พวกแกไปช่วยกันคิดนะ แล้วฉันจะมีรางวัลให้”
“แน่นะ” คู่ขาเกย์ถามขึ้นพร้อมๆ กัน
“เออ...ซิน่า” พิณสุดายืนยัน
แยกจากพิณสุดา ศิธาก็ตามกลับมาที่บ้านพีระพลด้วย ศิธาเดินตามง้องอนพีระพลเข้ามาในบ้าน
“โก้ พูดอะไรหน่อยซิ ตลอดทางกลับมา โก้ไม่ยอมพูดเลยซักคำ โก้โกรธอะไรผมเหรอ”
พีระพลหันขวับมามองหน้าศิธา
“ศิธากลับไปติดต่อกับนังป้านั่นอีกใช่ไหม”
“ก็บอกแล้วว่าเปล่า”
“อย่ามาปฏิเสธเลย เงินก็เอามาจากมัน ไม่ใช่ขโมยเตี่ยมาสักหน่อย”
“เอามาจากไหนไม่เห็นจะสำคัญ เรา 2 คนมีกิน มีเที่ยวก็พอ”
“แต่โก้ไม่อยากให้ศิธากลับไปติดต่อกับมัน”
“โก้จ๋า ยอมรับความจริงเถอะว่า เรา 2 คน ต้องพึ่งเงินนังป้าเก๋ เตี่ยน่ะเขี้ยวยังกับอะไรดี หรือโก้ไม่อยากเที่ยว ไม่อยากมีเงินจับจ่ายใช้สอยตลอดๆๆ แบบนี้” พีระพลนิ่งไป “หือ...”
“ถามจริง ศิธามีใจให้นังป้าบ้างหรือเปล่า”
“นิดนึงก็ไม่มี แต่ศิธาชอบความโง่ของป้าเค้า ไม่ว่าจะหลอกอะไรเชื่อโม้ด โง่ได้ใจอ่ะ”
พีระพลหัวเราะอย่างชอบใจ
“ก็ศิธาหลอกเก่งนี่ แต่อย่ามาหลอกโก้ละกัน”
“โก้ก็รู้ว่าศิธาไม่มีทางหลอกโก้ ว่าแต่โก้จะแก้แค้นไอ้ดุสิตที่มันบังอาจต่อยศิธาเมื่อไหร่”
“ลูกน้องโก้กำลังหาจังหวะอยู่ ช่วงนี้มันไม่ค่อยได้ออกไปไหนคนเดียว วางใจเถอะถ้าเผลอแล้วเจอกันแน่”
แววตาของศิธาเป็นประกายอย่างพึงพอใจ
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านศิธา คนขี่มอเตอร์ไซค์ลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อ ที่แท้เป็นศิธานั่นเอง ศิธาหยิบโทรศัพท์มากดแล้วโทรออก
“ฉันมาแล้ว” ศิธาปิดโทรศัพท์ รอครู่หนึ่ง ลูกน้องมาเปิดประตูให้
“ขอบใจ เตี่ยแวะมาหรือเปล่า”
“แวะครับ แต่พอเห็นรถคุณศิธาอยู่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร”
ศิธาเปิดกระเป๋า หยิบเงินส่งให้ลูกน้อง
“ขอบใจที่ให้มอ’ไซค์ยืม thank you ! thank you! thank you!” ลูกน้องยกมือไหว้รับเงิน
ศิธาจับคางลูกน้องชายสั่นเล่น พลางว่า “น่ารักเหมือนกันนี่เรา”
ลูกน้องหัวเราะแห้งๆ ศิธาเดินเข้าบ้านไป
คืนนั้นขณะที่กานนกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“คุณปลิวคะ เจ้าสัวให้มาตามค่ะ”
กานนเก็บงาน แล้วออกมาพบกับเจ้าสัวที่นั่งรออยู่ในสวน...เจ้าสัวกำลังนั่งดูภาพเก่าๆ ขณะที่กานนเดินเข้ามา
“ก๋งมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“ช่วยโทรศัพท์ตามมัสลินมาหาก๋งพรุ่งนี้หน่อย”
“ทำไมหรือครับ”
“อะไร ทำไม ยังไง แกเลิกถามเสียทีได้มั้ย ก๋งสั่งให้ทำตามนั้น ไปได้แล้ว”
กานนยังมีสีหน้างงๆ ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหามัสลินตามที่เจ้าสัวสั่ง...มัสลินลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง เดินมารับโทรศัพท์ แววตาเป็นประกายดีใจ แว่บหนึ่งเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา แต่รีบบังคับใจให้เป็นปกติ
“สวัสดีค่ะ”
“พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า”
“ว่างตอนเช้าค่ะ บ่ายมีถ่ายแบบ”
“ก๋งต้องการพบคุณ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ผมก็ไม่ทราบรับคำสั่งมาอีกทีเหมือนกัน ....ผมจะไปรับนะ”
“ไม่ต้อง”
“เตรียมตัวไว้ ผมจะไปถึงบ้านคุณ 9 โมงเช้า”
“เดี๋ยว” กานนปิดโทรศัพท์
“จอมบงการ” พูดกับตัวเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น อุษยานั่งคุยกับมธุรินและพิณสุดา พลางกินอาหารเช้าด้วยกัน กุเทพเดินเข้ามา มธุรินซึ่งกำลังยิ้มแย้มหน้าเหยทันทีและก้มหน้าลง ขณะกุเทพมองมา...พิณสุดาปรายตามองมธุรินแว่บหนึ่ง แล้วทักกุเทพเสียงใส
“สวัสดีค่ะ กุ มาทานด้วยกันมั้ยคะ”
“ผมไม่หิว”
“จะรีบไปไหนย่ะ วันนี้วันหยุด หรือว่ามีนัดกับสาวที่ไหน” อุษยาถามหลานชาย
“ครับ”
มธุรินชะงัก เงยหน้าขึ้นทันที ขณะที่พิณสุดามีสีหน้าไม่พอใจ แล้วฝืนหัวเราะ
“ยังมีผู้หญิงที่ไหนที่กิ๊บยังไม่รู้อีกหรือคะ”
กุเทพสบตาพิณสุดาเยาะๆ
“ยังมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับผมที่คุณไม่รู้”
พิณสุดาหน้าเสีย
“นายกุ” อุษยาเอ็ดหลานชาย
“ผมไปละ”
กุเทพขยับจะเดินออกไปแล้วชะงัก เมื่อเห็นกานนพามัสลินเดินเข้ามา อุษยา มธุริน และพิณสุดานิ่งอึ้งกันไปตามๆ กัน มัสลินยกมือไหว้ อุษยารับไหว้ด้วยท่าทางดูกระอักกระอ่วนเล็กๆ
“หวังว่าคงไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้นะคะ” พิณสุดารู้สึกตัวก่อนใคร จึงพูดแขวะกุเทพขึ้น
กานนบอกอุษยา “ก๋งสั่งให้ผมไปรับมัสลินมาครับ”
“งั้นก็ไปซิ ท่านอยู่ในสวนแน่ะ” อุษยาบอก
กานนพยักหน้ากับมัสลิน แล้วพากันเดินเข้าไปในสวน ทุกคนมองตามด้วยความรู้สึกต่างๆ กัน
เจ้าสัวกำลังค่อยๆ บรรจงตัดกล้วยไม้ขณะที่กานนพามัสลินเดินเข้ามา
“หน้าฝนนี้กล้วยไม้ดกมากจนตัดแทบไม่ทัน” เจ้าสัวทศบอกโดยไม่หันมามอง เจ้าสัววางกล้วยไม้กรรไกรลง แล้วเบือนหน้ากลับมา มัสลินรีบยกมือไหว้
“เดี๋ยวก๋งจะฝากไปให้คุณยายของหนูถวายพระ”
“ขอบคุณค่ะ” มัสลินไหว้ขอบคุณอีกครั้ง
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ” เจ้าสัวถามทั้งคู่
“ยังเลยครับ” กานนตอบขึ้นก่อน
“ฉันถามหลานฉันไม่ได้ถามแก”
“อ้าว! แล้วผมไม่ใช่หลานอาก๋งหรือครับ”
“ฉันหมายถึงหลานสาว แกไปบอกให้เด็กยกอาหารเช้ามากินกันที่นี่ซิเจ้าปลิว ข้างในพวกไฮซ้อเขานั่งกันเต็มแล้ว”
“แล้วขอผมทานด้วยคนนะครับ”
“เออ!” กานนยิ้มแล้วเดินออกไป เจ้าสัวเดินนำมัสลินมานั่ง
“นั่งซิหนู” มัสลินทรุดตัวลงนั่ง เจ้าสัวเลื่อนซองที่อยู่กลางโต๊ะ ไปตรงหน้ามัสลิน
เจ้าสัวมองมัสลินแน่วแน่ “อาก๋งให้หนู”
มัสลินมองเหมือนจะรู้ว่าเป็นอะไรรีบขยับจะปฏิเสธ
“อย่าขัดใจอาก๋งเลย ขอให้อาก๋งได้ชดเชยความสะดวกสบายให้ลูกให้หลานบ้างเถอะ หนูหาเงินได้ก็จริง แต่นี่อาก๋งให้หนู”
“ท่านคะ หนู... เอ่อ... หนูรับไม่ได้”
“อย่าดื้อเหมือนยายเจ้าหน่อยเลย เก็บใส่กระเป๋าซะ”
มัสลินพนมมือไหว้ เก็บเข้ากระเป๋า...กานนเดินเข้ามามองภาพนั้นอย่างพอใจ
ภายในบ้านสาวใช้เข้ามาเก็บจานชามหลังจากอุษยา มธุรินและพิณสุดาทานอาหารเช้าเสร็จ
“เจ้าสัวกับแขกอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในสวนค่ะ”
“อ้าว! แล้วไม่ทาานข้าวทานปลาเรอะ”
“ท่านสั่งให้ยกไปทานที่นั่นค่ะ”
อุษยานิ่วหน้า ขณะที่มธุริน พิณสุดาเม้มปาก
หลังจากทุกคนกลับไปหมดแล้ว เจ้าสัวนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพลิดเพลิน อุษยาเดินเข้ามา
“หนูไม่เข้าใจคุณพ่อเลย”
“ก็ใครเขาใช้ให้แกเข้าใจล่ะ”
อุษยาเดินมาค่อยๆ ดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือเจ้าสัว
“ทำไมคุณพ่อต้องแยกวงทานข้าวคะ”
“ฉันคงดังแล้วมั้ง”
“คุณพ่อ...”
“นี่! แม่อุษยา เรียกมันให้เต็มยศเลย ฉันอยากจะกินข้าวตามลำพังกับหลานของฉันแล้วมันผิดตรงไหน”
“แต่หนูเดียร์กับหนูกิ๊บเขาจะคิดว่า...”
“โอ๊ย! นกตื่นแหละคิดแทนเขา เขาอาจจะโล่งใจก็ได้ กินข้าวกับคนแก่จะสนุกอะไร จริงมั้ย!”
เจ้าสัวดึงหนังสือพิมพ์กลับมาอ่านต่อ อุษยามองพลางส่ายหน้า
ส่วนที่บ้านจิรดาขณะนั้นพัดกับแฟ้นกำลังช่วยกันตรวจดูหนังสือพิมพ์ หาข่าวมัสลินเป็นลูกบัวบงกช
“เล่มนี้ไม่มี ของแกมีมั้ย”
“ไม่มี”
พัดเปิดอีกเล่ม
“เฮ้อ เล่มนี้ยังมี”
“ไหน”
“นี่ไง มัสลินหลบข่าวฉาว เบี้ยวกองละคร”
เสียงกระเอมดังขึ้น สองสาวสะดุ้งเฮือก หันไปมองจึงเห็นจิรดายืนเป็นสง่าอยู่ที่บันได
“เอาหนังสือพิมพ์มานี่”
พัดเดินเอาหนังสือพิมพ์มาส่งให้
“ข่าวคุณมัสจะซาแล้วค่ะ เพราะมีข่าวนางเอกตัวย่อ บ. ท้อง 5 เดือน โดยสันนิษฐานว่าพระเอก ก. เป็นพ่อ”
“ใครถาม”
“ไม่มีค่ะ พัดตรวจสอบแล้วพัดเสนอเองค่ะ”
“แบบที่แกทำเค้าเรียกว่าอะไรรู้มั้ย”
“ทราบซิค่ะ เป็นคำพยัญชะ ส เสือ และมีความหมายคล้ายๆ กับแส่แต่ แร้ง..ง กว่า”
“แสนรู้เหมือนกัน เอาหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวมัสลินไปเผาให้หมด”
“เอาไปขายได้มั้ยคะ”
“ตามใจ จะเอาไปเผา ไปขาย ไปทิ้งที่ไหนก็ตามใจ แต่ห้ามเอามาบ้านนี้เด็ดขาด... มัสลินตื่นหรือยัง”
“ตื่นตั้งนาน แล้วก็ออกไปตั้งนานแล้วค่ะ”
จิรดาเม้มปากไม่พอใจ
ขณะนั้นมัสลินอยู่กับเกวลินและกำลังคุยกันเรื่องข่าวที่เกิดขึ้น
“มัสไม่เชื่อข่าวหรอกค่ะพี่เก๋ ไม่สนด้วย ใครอาจจะปลอมหลักฐานขึ้นมาก็ได้ สมัยนี้ไฮเทคจะตาย ดูแต่คลิปตัดต่อของมัสซิ เหมือนจนมัสเห็นตอนแรกยังตกใจ”
“แล้วอยากจะสืบอีกไหมว่าใครเป็นคนทำ”
“ไม่ค่ะ มัสไม่อยากรื้อฟื้นให้กระทบกระเทือนใจแม่ มันไม่ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง อีกไม่นานข่าวนี้ก็จะเงียบหายไปเอง เหมือนกับเรื่องที่ผ่านมาหลายๆ เรื่อง”
“แล้วถ้านักข่าวยังเซ้าซี้ถามล่ะ”
“มัสก็จะตอบอย่างที่มัสพูดกับพี่เก๋นี่แหละ ว่าแต่พี่เก๋เถอะ วันนี้หน้าตาแจ่มใส มีอะไรดีหรือเปล่า”
สีหน้าเกวลินมีพิรุธแว่บหนึ่ง
“ คงจะเป็นเพราะช่วงนี้ลูกค้ามากเป็นพิเศษมั้ง collection สปริง - ซัมเมอร์ ที่เพิ่งออกไปก็ขายหมดเกลี้ยง”
“มัสดีใจด้วยค่ะ... พี่เก๋”
“หืม...ม”
มัสลินจ้องเกวลินเขม็ง
“เจ็บแล้วต้องจำนะ”
“เออน่า”
เกวลินเฉจิบน้ำส้ม ขณะที่มัสลินยังมองอย่างไม่ไว้ใจ
วันเดียวกันนั้นขณะที่บัวบงกชกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ มธุรินเดินถือกระเป๋าเดินทางเข้ามาจะเลยออกไป โดยมีแววถืออีกใบตามมา
“ลูกเดียร์ นั่นจะไปไหน” บัวบงกชถามอย่างตกใจ
“ไปอยู่ข้างนอกสักพักหนึ่งค่ะ”
“ทำไม”
“เพราะบ้านมันกลายเป็นขุมนรกไปแล้วไงคะ” บัวบงกชสะอึก “ไป แวว” มธุริน เดินนำไปถึงประตู แล้วหันกลับมา
“ไม่ต้องตามหาหรือพยายามติดต่อเดียร์นะคะ ไม่มีทั้งพ่อทั้งเดียร์ แม่จะได้รับลูกสาวคนใหม่ เอ๊ะ! ไม่ใช่ ต้องคนเก่าซิ มาอยู่ด้วยอย่างสบายใจ”
มธุรินเดินออกไป บัวบงกชมองตามน้ำตาตก
บัวบงกชโทรหาเตชที่ออฟฟิศเพื่อบอกเรื่องมธุริน
“โธ่เอ๊ย! วุ่นวายกันไปหมด บ้านแตกสาแหรกขาดก็เพราะนังม่านมัสลินนั่นคนเดียว”
“อย่าโทษมัสลินเลยค่ะ แกไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วย”
“ยังจะแก้ตัวแทนอีก นังนั่นน่ะตัวดีเลยคะ พยายามทำตัวเป็นข่าว จะได้เด่น ได้ดัง มีคนมาจ้างทำงานเยอะๆ ทำตัวอยู่ในกระแสเข้าไว้โดยไม่นึกถึงความเดือดร้อนของคนอื่น... ผมถามจริงๆ เถอะ แม่ม่านมัสลินเป็นลูกคุณกับไอ้เจ้าภาษิตใช่ไหม”
“ไม่ใช่ค่ะ” บัวบงกชตอบทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจเท่าๆ กับที่ยัยเดียร์เป็นลูกของคุณกับฉัน”
“ดี ถ้าอย่างนั้น ผมจะได้ฟ้อง”
“อย่าค่ะ เตช ขอร้องล่ะ มันไม่เป็นผลดีกับใครเลย ทุกคนที่ถูกเอาเข้ามาเกี่ยวข้องจะมีแต่ผลเสียกับเสีย คนที่ได้ก็คือ คนที่หากินกับข่าวนี้” เตชนิ่งอึ้งไป
“ยัยเดียร์รักและเชื่อฟังคุณ ช่วยบอกให้แกกลับมาอยู่ที่บ้านเถอะค่ะ”
สีหน้าบัวบงกชเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเศร้าโศก
หลังจากวางหูจากบัวบงกช เตชจึงโทรหามธุรินและนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...
“พ่ออย่าว่าเลยนะค่ะ ที่เดียร์ไม่อยากให้พ่อรู้ว่าเดียร์อยู่ที่ไหน เดียร์กลัวว่าพ่อจะใจอ่อนบอกแม่”
“แม่เขายืนยันว่า มัสลินไม่ใช่ลูกเขา”
“จะให้เชื่อหรือคะ แม่คอยปกปิดห่วงใยมันยังกับอะไร”
“อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นลูกแฟนเก่าของเขาก็ได้”
“ถ้าเขารักแล้วก็ผูกพันกับแฟนเก่าขนาดนั้น ทำไมถึงมาแต่งงานกับพ่อล่ะคะ”
เตชถอนใจยาว
“เรื่องมันซับซ้อน อย่าไปรื้อฟื้นเลย ว่าแต่เดียร์...”
“เดียร์ยังไม่สบายใจพอที่จะกลับบ้านค่ะ ขอเวลาให้เดียร์ทำใจสักพักเถอะค่ะ”
“ตามใจลูก... แต่เรายังพบกันได้นะ”
“ทุกเมื่อเลยค่ะพ่อ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดียร์โตแล้ว”
เตชยกมือโยกหัวลูกอย่างเอ็นดู
“ห้ามไม่ได้หรอกลูก ไม่ว่าเดียร์จะโตแค่ไหน พ่อกับแม่ก็ยังรัก ยังห่วงลูกอยู่เสมอ”
มธุรินน้ำตารื้น ดึงมือพ่อมาแนบแก้มด้วยความตื้นตันใจ
พิณสุดาเดินถือผลไม้ตะกร้าใหญ่เข้ามาในบ้านกานน อุษยาเดินยิ้มออกมาต้อนรับ
“หอบอะไรมาซะเยอะเชียวหนูกิ๊บ”
พิณสุดาวางผลไม้ลงเดินเข้าไปสอพลออุษยา
“กิ๊บไปซุปเปอร์มาเห็นผลไม้ดูสวยแล้วก็สดดีเลยนึกถึงคุณก๋งน่ะค่ะ”
อุษยาก้มดูผลไม้ในตะกร้า
“อืม หนูกิ๊บนี่ช่างเลือก เดี๋ยวย่าให้เด็กไปแกะปอกใส่จานเลยดีกว่า ขอบใจมากนะจ๊ะ”
พิณสุดารั้งแขนอุษยาไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณย่า กิ๊บนึกอะไรขึ้นมาได้ว่าจะมาถามคุณย่าเรื่องข่าว” อุษยาขมวดคิ้วสงสัย “ข่าวที่พาดหัวกันอยู่ทุกฉบับนี่แหละค่ะ ที่เขาว่ากันว่ามัสลินกับคุณบัวบงกชเป็นแม่ลูกกัน”
อุษยาหน้าตางงหนัก
“มีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ตายจริงย่าไม่ได้จับหนังสือพิมพ์เลยช่วงนี้”
พิณสุดาควักหนังสือพิมพ์ออกมาจากกระเป๋าให้อุษยาดู อุษยาคลี่ดูหัวข่าวแล้วตกใจ พิณสุดาเห็นหน้าอุษยาก็รีบใส่ไฟต่อ
“นักข่าวสมัยนี้ถ้าไม่มีมูล คงไม่เขียนอะไรออกมามั่วๆ นะคะ เออ คุณย่าคะถ้ามันเกิดจริงขึ้นมา ก็ต้องแปลว่านังเอ้ย...มัสลินไม่ใช่หลานคุณย่าสิคะ”
อุษยาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์
“ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้หรอก ย่าจะต้องสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดว่าข่าวนี้มันจริงหรือมั่ว”
“ไม่ต้องสืบอะไรทั้งนั้น ท่าทางแกจะว่างมากนะนังอุษ”
เจ้าสัวบอกเสียงดังขณะเดินเข้ามา อุษยาเดินเข้าไปหาเจ้าสัวพร้อมหนังสือพิมพ์
“คุณพ่อเห็นข่าวนี่หรือยังล่ะคะ”
เจ้าสัวปัดหนังสือพิมพ์ทิ้ง
“ฉันพูดคำเดียวว่ามัสลินคือหลานฉัน และจะต้องไม่มีการสืบสาวอะไรทั้งสิ้น” เจ้าสัวหันไปชี้ไม้เท้าใส่พิณสุดา “เธอ กลับไปได้แล้ว เอาของๆ เธอออกไปด้วย ฉันมีกินดีกว่านี้เยอะ”
พิณสุดามองเจ้าสัวหน้าเสียลงเล็กน้อย
“คุณพ่อนี่อย่างนี้อีกแล้ว คนเขามีน้ำใจก็ไปพูดใส่เขาไม่ดี”
เจ้าสัวตวาดลั่นใส่ทั้งสองคน
“ไป ออกไปให้หมดทั้งสองคน ก่อนที่ฉันหงุดหงิดมากกว่านี้ แล้วจำไว้ด้วยนะว่าบ้านนี้ไม่ต้อนรับคนที่มีความคิดจิตใจสกปรก”
พิณสุดามองเจ้าสัวยิ้มเยาะ
“ไม่ต้องไล่กันถึงขนาดนี้ก็ได้ค่ะ หึ ตระกูลรัตนรัชอยู่มาดีๆ ตั้งแต่บรรพบุรุษนึกยังไงเอาชาติตระกูลตัวเองมาแลกกับลูกไม่มีแม่อย่างมัสลิน”
เจ้าสัวโกรธจัดคว้ากล่องกระดาษทิชชูที่วางอยู่แถวนั้นเขวี้ยงใส่พิณสุดา
“ว้ายอาเตี่ยทำไมทำแบบนี้ ว้าย!”
อุษยาตกใจเข้าไปขวางเลยโดนเสียเอง พิณสุดาหันมาเหยียดปากอย่างแค้นเคือง แล้วเดินออกไป
พิณสุดาก้าวพรวดๆ ตรงไปบริเวณจอดรถ พร้อมกับบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด
“คนอะไร ยังไม่ทันตายเลย ปากเน่าแล้ว”
“หนูกิ๊บ หนูกิ๊บ” อุษยาตามออกมา พิณสุดาหยุดเดิน นับ 1-10 แล้วหันกลับมาปั้นหน้าเศร้าสร้อย
“หนูกิ๊บ” อุษยาเวทนาเพราะรู้ไม่ทัน
พิณสุดาแกล้งบีบน้ำตา
“คุณอาขา”
“แม่คุณ...อย่าถือสาคนแก่เลยนะลูก คนเราเวลาเข้าวัยทองยังแย่ หงุดหงิดไปหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย นี่คุณปู่แกเลยวัยทองจนเข้าวัยเพชรไปแล้ว มันก็ต้องเบิ้ลเป็น 4-5เท่านั่นแหละจ้า”
“กิ๊บเข้าใจค่ะ แล้วกิ๊บก็ไม่ได้โกรธท่านด้วย เพียงแต่กิ๊บเสียใจ”
พิณสุดาเข้ากอดอุษยา แล้วสะอื้น อุษยาลูบหน้าลูบหลัง
“ โถ...หนูเป็นคนจิตใจดีจริงๆ”
“ตั้งแต่จำความได้ กิ๊บไม่เคยแม้แต่จะคิดร้ายกับใคร ที่เอาข่าวมากราบเรียน ก็เพราะเรื่องมันกระทบกับทุกฝ่ายที่กิ๊บเคารพรัก”
“เข้าใจจ้ะ”
“คุณอาขา แล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
“จะจริงได้ไยังไง มัสลินเป็นลูกจิรดา”
“ก็นั่นน่ะซิคะ ไม่รู้นักข่าวไปเอาเรื่องเหลวไหลนี่มาจากไหน แต่ก็ช่างเถอะค่ะ ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ กิ๊บกราบลาก่อนนะคะ”
“จะบอกเจ้ากุนะว่าหนูมา”
“อย่าดีกว่าค่ะ เขาคงไม่ได้อยากพบกิ๊บเท่าไหร่หรอก กิ๊บกราบลาอีกครั้งล่ะ”
“จ้ะ บุญรักษานะลูก”
“ขอบพระคุณค่ะ”
พิณสุดาเดินละห้อยละเหี่ยไปขึ้นรถ อุษยามองตามด้วยความเวทนา
อุษยาเดินกลับเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แกอย่าโอ่นักเลย แม่อุษ”
“เอ๊ะ! คุณพ่อ”
“อ้าว! ฉันพูดจริงนะ นังเด็กกิ๊บแก๊บน่ะไม่ใช่เล่นหรอก ดูหูตาก็รู้ ระวังแกจะถูกมันหลอกเอา”
“โบราณว่าจิ้งจกร้องทักยังต้องฟัง นี่หนังสือพิมพ์ตั้งหลายฉบับเชียวนะคะ”
“แล้วหนังสือพิมตั้งหลายฉบับมันจะรู้ดีไปกว่าฉันได้ยังไง”
“ไม่รู้ล่ะค่ะ หนูจะต้องสืบต่อ”
“ฉันขอสั่งห้าม”
“คุณพ่อกรุณาสั่งห้ามไม่ให้หนูหายใจให้ได้ก่อนเถอะค่ะ”
อุษยาบอกแล้วเดินออกไป
“หน็อยแน่ะ นังอุษ”
สีหน้าเจ้าสัวค่อยๆ เคร่งขรึมลง นัยต์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
อุษยาเดินขึ้นบันไดมา ในขณะที่กานนเดินออกจากห้องพอดี
“ยังไม่ไทำงานอีกหรือยะ”
“กำลังจะไปครับ”
กานนพูดพลางรีบเดินลงบันได
“ปลิว”
กานนหันกลับมา
“ครับ”
“ฉันมีเรื่องจะปรึกษา”
“เอาไว้เย็นนี้ได้ไหมครับ”
“ก็ได้”
กานนเดินลงไป อุษยามองตามอย่างมีความหวัง
“ตาปลิวช่วยได้แน่ๆ”
กานนเดินเข้ามาจะผ่านห้องรับแขกไปข้างนอก สีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าสัวรออยู่
“คุยกับปู่หน่อยได้ไหม...มาทางนี้ เดี๋ยวอาแกได้ยิน” เจ้าสัวทศเดินนำ กานนเดินตามด้วยความแปลกใจ จนมาถึงที่นั่งพักอีกมุมหนึ่งของบ้าน เจ้าสัวแล้วทรุดตัวลงนั่ง กานนลงนั่งตาม
“เมื่อกี้แฟนเก่าเจ้ากุมา”
“นายกุไปทำงานแล้วนี่ครับ”
“เขาไม่ได้มาหานายกุ แต่มาหาฉันกับแม่อุษยา ...หอบหนังสือพิมพ์มาด้วย” กานนขยับตัวเพราะรู้แล้วว่าเจ้าสัวจะพูดเรื่องอะไร
“เห็นว่าประโคมข่าวเรื่องมัสลินไม่ใช่ลูกจิรดา” เจ้าสัวเอ่ย น้ำเสียงกังวล
“แล้วคุณปู่ว่ายังไงล่ะครับ”
“ก็อย่างที่บอก ปู่ไม่สนว่ามัสลินจะเป็นลูกใคร เพราะปูถือว่าเด็กคนนั้นเป็นหลานของปู่” กานนนิ่งไป “ปูอยากให้แกช่วยขัดขวาง ไม่ให้อุษยาสืบเรื่องนี้ต่อไป”
กานนมีสีหน้าหนักใจ
“ คงจะยากครับ”
“งั้นก็ช่วยยืนกรานปฏิเสธ”
“แสดงว่าคุณปู่เชื่อข่าวนั้น”
“แกต้องช่วยปู่นะ เจ้าปลิว! ต้องช่วยกันยืนกรานปฏิเสธ ไม่ว่าความจริงมันจะเป็นยังไงก็ตาม...
รับปากกับปู่ซิ”
“ครับ คุณปู่”
“ขอบใจ ปู่เชื่อว่าแกต้องช่วยปู่ได้”
เจ้าสัวมีสีหน้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
อ่านต่อพรุ่งนี้