ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยไหม ตอนที่ 29
ศิริวงศ์ตามมาส่งมณีรินห่างๆ ถึงหน้าเรือนรับรอง มณีรินหันกลับมามองศิริวงศ์ รัญจวนอาวรณ์เหมือนยังไม่อิ่มรสสิเน่หา ศิริวงศ์ก็อดใจไม่ไหว ตรงเข้ามากอดรัด ฝังจูบซาบซ่าน
“ปิ๊กขึ้นไปนอนเหียเต๊อะเจ้านางน้อย”
“เฮาบ่กล้านอนหรอก...เฮากั๋วว่าถ้าเฮาเผลอหลับไป ตื่นขึ้นอีกครั้ง เฮาจะพบว่ามันเป๋นเพียงความฝัน”
ศิริวงศ์ฝังจูบอีกครั้งอย่างนุ่มนวล
“บ่มีอะหยัง ตี้เฮาจะต้องกั๋วแหมแล้ว”
ขณะเดียวกันนั้นเสียง คำเที่ยงดังขึ้น
“เจ้าริน...เจ้าริน”
ศิริวงศ์ผละออกทันที ทั้งที่เสียดายรสหวานนั้นนัก มณีรินหันกลับไปมอง คำเที่ยงเปิดประตูเรือนรับรองออกมา มณีรินยังไม่ทันผลักไส ศิริวงศ์ก็ผละออกไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่
“เจ้าริน...ปี้ตกใจ๋หมดเลย ตื่นมาบ่หันเจ้าริน จะไดมาอยู่ตรงนี้”
“เฮานอนบ่หลับ เลยออกมาเดินเล่น”
“เดินเล่นอะหยัง หนาวจะต๋าย หนาวเข้ากระดูก ผ้าผ่อนก่อผืนน้อยนิดเดียว เดี๋ยวก่อบ่สบาย เจ็บไข้เอา ปิ๊กเข้าเฮือนเต๊อะ”
คำเที่ยงพามณีรินกลับเข้าในเรือนรับรอง มณีรินหันกลับมามองศิริวงศ์แว่บนึงที่ยังซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินนั่งยิ้มกริ่ม ใบหน้าฉาบไปด้วยความสุข เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา คำเที่ยงขยับเข้ามา ใช้ผ้าเช็ดเท้าให้มณีริน
“ดูซิ...มีแต่เศษหญ้าดอกหญ้าติดมา ตีนวิ่นก่อเปียกน้ำค้างไปหมด”
“ก่อเดินไปเรื่อยๆแหละปี้คำเที่ยง”
“จะได บ่ฮู้จักกั๋วพ่องเน๊าะ”
“มีอะหยังตี้จะต้องกั๋วล่ะปี้คำเที่ยง”
“บ่กั๋วสัตว์ป่า ก่อต้องกลัวผีสางพ่องละ ทีหลังจะไปยะยั่งอี้อีกเน้อเจ้าริน ไปไหนมาไหนคนเดียวบ่ดี ค่ำมืดดึกดื่นจะออกไปเดินเล่นจะไดก่อต้องมีปี้ไปโตย”
“ก่อเฮาหันปี้คำเที่ยงหลับสบายอยู่”
“หลับก่อต้องปลุก”
“ปลุกคนหลับ...บาปเน้อ” มณีรินหัวเราะ
คำเที่ยงรู้สึกแปลกใจ กับอารมณ์แจ่มใสของมณีริน มองหน้า
“ไปเจออะหยังมาน๊อ...เจ้ารินถึงอารมณ์ดีจะอี้”
“อากาศดี พระจันทร์งาม เท่านั้นก็พอแล้ว”
“ผลัดผ้าเต๊อะเจ้าริน เปียกชุ่มไปทั้งตัวจะอี้ เดี๋ยวได้เป็นไข้แน่ๆหนาวจะต๋าย”
“หนาวก่อกอดกั๋นก๊าจะได้หายหนาว”
มณีรินกอดคำเที่ยง อารมณ์แห่งความสุขยังพรั่งพรูมิรู้จบ คำเที่ยงแปลกใจ กระแสความรู้สึกของมณีรินอย่างที่ไม่เคยเป็น กระทบคำเที่ยงจนกลายเป็นความกังวล
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวัฒนาเดินออกมาจากพี่พัก เห็นศิริวงศ์นั่งอยู่มุมหนึ่ง ก็เดินเข้าไปหา
“ตื่นแต่เจ้าเลยเน้อไอ้น้องชาย”
“เจ้าอ้าย”
“เอ...หรืออ้ายอู้ผิดไป ตั๋วอาจจะยังบ่ได้นอนเลยทั้งคืนก่อได้ใจ่ก๊ะ” ศิริวัฒนาหัวเราะ “...อากาศหนาวจะอี้ บ่ฮู้ว่าเจ้ารินเปิ้นจะมีผ้าห่มปอรึเปล่า”
“คำเที่ยงเปิ้นดูแลเจ้านางน้อย บ่มีขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว เจ้าอ้ายบ่ต้องห่วงหรอก”
“เมื่อตอนดึก...อ้ายฝันดีนักขนาดฝันหันเจ้ารินเปิ้น”
ศิริวงศ์หายใจไม่ทั่วท้อง
“บ่ฮู้ว่า เปิ้นจะฝันถึงอ้ายบ้างรึเปล่าเนาะ”
ศิริวงศ์ได้แต่นิ่ง
“ตั๋วคงคิดว่าอ้ายเป๋นบ้าไปแล้วใจ่ก่อ...อีกหน่อย เวลาตั๋วหลงฮักไผนักขนาด ตั๋วก่อจะเป๋นบ้าอย่างอ้ายนี่แหละ เผลอๆจะเป๋นบ้าหนักกว่าอ้ายเสียด้วยซ้ำ” ศิริวัฒนาหัวเราะอารมณ์ดี
ศิริวงศ์ทำตัวไม่ถูก เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยามค่ำคืนที่ผ่านมา
+ + + + + + + + + + + +
ยามเช้า...
บนโต๊ะอาหารเช้า เต็มไปด้วยอาหารฝรั่ง ทุกคนนั่งทานร่วมโต๊ะกัน คำเที่ยงกับบ่าวชายคอยยืนปรนนิบัติอยู่ด้านหลัง
“เมื่อคืน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากในป่า เกือบจะลุกออกมาดูแล้วว่ามันตัวอะไรกันแน่” ฝรั่งคนหนึ่งพูดขึ้น
มณีรินสบตาศิริวงศ์
“ดีแล้วที่ท่านไม่ได้ลุกออกมาเพราะมันอาจจะเป็นสัตว์ร้ายก็ได้ เมื่อเดือนก่อนคนงานที่นี่บอกว่าเห็นเสือมาป้วนเปื้อนอยู่”ศิริวัฒนาบอก
ฝรั่งตกใจ
“โอ...เสือรึ...เราน่าจะล่ามันก่อนที่มันจะล่าเรานะ”
ศิริวัฒนาหยิบขนมปังจากตะกร้า แล้วส่งตะกร้าให้มณีริน
“ไม่หรอก คนไทยเราถือว่าการล่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป ในเมื่อเราต่างคนต่างอยู่ ไม่เบียดเบียนกัน เคารพซึ่งกันและกัน เรากับเขาก็อยู่ร่วมโลกกันได้”
มณีรินหยิบขนมปัง แล้วส่งตะกร้าต่อให้ศิริวงศ์ มือศิริวงศ์ยื่นมารับตะกร้า มือเฉียดใกล้มือมณีริน ทั้งคู่รู้สึกใจสั่น
“แล้ววันนี้แผนของพวกเราคืออะไร” ฝรั่งถาม
“เราจะพาพวกเขาไปแอ่วถ้ำหลวง ใช่ก่อเจ้าน้อย”
ศิริวงศ์เกือบเป็นสะดุ้ง เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ครับเจ้าอ้าย...แอ่วถ้ำหลวง กินข้างแลง นั่งช้างแอ่วป่า แล้วก็ไฮทีที่น้ำตกครับ”
มณีรินจิบชา แต่สายตาตวัดมองศิริวงศ์ มหาดเล็ก เข้ามาหาศิริวัฒนา
“เจ้าครับ”
“อ้าว...หลาวคำ...เอ็งมาได้อย่างใด”
“ผมขับรถออกจากเวียงมาแต่ตอนดึกแล้วครับ เจ้าคงต้องปิ๊กคุ้ม แล้วละครับ มีเรื่อง บ่ ค่อยดี”
“ทำไม...มีอะหยัง”
“เจ้าหลวง บ่ สบายหนักครับเจ้า”
ศิริวัฒนา ศิริวงศ์ มณีรินอึ้งไปทันที
+ + + + + + + + + + + +
ขณะที่เจ้าหลวงนอนหลับบนเตียง ศิริวัฒนา กับ ศิริวงศ์ รีบเข้ามาในห้อง ตรงมาข้างเตียง มณีรินรีบตามเข้ามา หมอบกราบ
“พ่อเจ้า...”
“เปิ้นเพิ่งหลับไปได้ เมื่อกี้นี้เอง” พระชายาบอก
“พ่อเจ้า เป็นอะหยังครับ แม่เจ้า”
“เมื่อวานกินข้าวเย็นเสร็จ ก็ยังดีๆอยู่ แต่พอจะเข้านอน เปิ้นบ่นว่าแขนชา บ่มีแฮง หยิบจับอะหยังก็ บ่ได้ ขึ้นบันไดมาได้ บ่ กี่ขั้น ก็ทรงตัว บ่ อยู่ คว้าราวบันไดก็ บ่ ทัน โชคยังดีคุณพระ คุณเจ้ายังคุ้มครอง ตกลงไป บ่ สูงนัก แม่ตกใจจนยะอะหยัง บ่ ถูก”
“แล้วหมอเปิ้นว่าจะไดพ่อง แม่เจ้า” ศิริวงศ์ถามอย่างกังวลใจ
“เปิ้นว่า บ่ เป็นอะหยังนัก ให้พ่อเจ้าพักผ่อน แล้วค่อยตรวจดูอาการอีกที ตอนนี้ยังบอกอะหยัง บ่ได้”
ทุกคนมองเจ้าหลวงอย่างกังวลใจ
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวัฒนา เดินลงบันไดมา บัวเงินทำเสียงเครือเข้ามาหา
“เจ้าอ้ายเจ้า...พ่อเจ้าเป็นจะได พ่อง”
“เปิ้นหลับอยู่”
“น้องตกใจหมดเลย พอได้ข่าวพ่อเจ้า”
“หมอเปิ้นดูแลอยู่ พ่อเจ้าคง บ่ เป็นอะหยังนักดอก คงจะดีขึ้นในเร็ววัน”
“เจ้าอ้ายน่าจะลอง ปรึกษา โหรหลวงดูด้วย นะกะเจ้า”
“ทำไมจะต้องปรึกษาโหรหลวงด้วย”
“ก็เผื่อว่า มีใครทำอะไรผิดรูปผิดรอย ผิดประเพณี เสื้อเมืองอาจจะบ่ พอใจจนทำให้ พ่อเจ้าล้มป่วยจะอี้ ก็ได้มะกะเจ้า จะได้หาหนทางแก้ไข ที่หนักจะกลายเป็นเบาลงบ้าง น้องใจคอ บ่ดีเลย”
“พ่อเจ้าจะต้องหาย”
“น้องก็หวังจะอั้น แต่เจ้าอ้ายก็ต้องคิดเผื่อความ บ่ แน่นอนโตย”
“บัวเงิน...เจ้าอู้อะหยังออกมา”
“น้อง...น้องบ่ได้ตั้งใจ สุมาเต๊อะเจ้า”
“อย่าให้คำพูด บ่ เป็นมงคลหลุดออกมาจากปากเจ้าอีก”
“น้องเสียใจ” บัวเงินตีหน้าเศร้า
ศิริวัฒนาเดินจากไป บัวเงินที่ก้มหน้าอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มเย้ยหยัน
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินกับคำเที่ยง นั่งคุยกันถึงเรื่องอาการป่วยของเจ้าหลวง คำเที่ยงนึกไปถึงเรื่องอาเพศต่างๆ
“บ่ เกี่ยวดอกพี่คำเที่ยง โรคภัยไข้เจ็บอย่างใดก็ต้องมีสาเหตุ” มณีรินบอก
“แต่โรคภัยไข้เจ็บ บางอย่าง หมอฝรั่งเองก็หาเหตุ บ่ เจอ ฮักษาบ่ได้เน้อ เจ้าริน พี่ว่า เสื้อเมืองเปิ้นคงไม่พอใจ อะหยังสักอย่าง อาจจะมีผู้ใดยะเรื่อง บ่ ดี บ่ งามเป็นอัปมงคล เปิ้นเลยสำแดงอาเพศเป็นการเตือนจะอี้”คำเที่ยงออกความคิดเห็น
มณีรินอดสะท้านใจไม่ได้
“พี่ว่าควรจะทำบุญหลวง สะเดาะเคราะห์ขอสุมาเสื้อเมืองเสีย” คำเที่ยงยกมือไหว้ท่วมหัว “สาธุ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุ้มครองปกปักฮักษาเจ้าหลวงเปิ้นด้วยเน้อ”
มณีรินที่ใจนึงก็กังวล เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกับศิริวงศ์ทำ อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดผี ผิดประเพณี
+ + + + + + + + + + + +
ด้านศิริวงศ์ ปรึกษากับสล่าพันอย่างเคร่งเครียด ถึงเรื่องที่เจ้าหลวงล้มป่วย
“ในพระนครมีหมอฝรั่งเก่งๆ หลายคน เฮาจะเขียนจดหมาย ขอตัวหมอขึ้นมาตรวจฮักษาพ่อเจ้าสักคน” ศิริวงศ์บอก
“ความจริง ยาหมออย่างพื้นบ้าน เฮาก็พอจะฮักษาได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลา” สล่าพันออกความเห็น
“เฮา บ่ ได้ดูแคลน หมอบ้านยาสมุนไพรเน้ออ้ายพัน แต่เฮากลัวว่ามันจะ บ่ ทันการ เฮา บ่ อย่างหันพ่อเจ้า อาการหนักไปกว่านี้”
“แต่ถ้าเฮาฮู้สาเหตุของความเจ็บไข้เปิ้น มันก็ บ่ ยากดอกเจ้า” สล่าพันแย้ง
“เฮาถึงต้องการหมอฝรั่งจากพระนครนี่ไง อ้ายพัน”
“เจ้าครับ...ผมอู้อะหยังออกไป เจ้าฟังไว้เฉยๆ บ่ ต้องเชื่อก็ได้เน้อครับ”
ศิริวงศ์มองหน้าสล่าพันต้องมีอะไรแน่ๆ
“ผม เคยหันคนเจ็บอาการจะอี้มาก็ บ่ ใช่น้อยทั้งโชคฮ้าย เป็นขึ้นมาเอง แล้วก็ ถูกทำหื้อเป็น”
“อ้ายพันจะบอกอะหยังเฮา”
“ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ อาจจะมีคนคิดปองฮ้ายเจ้าหลวง”
ศิริวงศ์ตกใจ
“วางยาจะอั้นก๊ะ”
สล่าพันพยักหน้า
“ผู้ใดมันจะคิดชั่วได้ขนาดนั้น”
ศิริวงศ์เครียดหนักกว่าเดิม...
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่
มณีรินเคาะเต้าหู้ที่แข็งตัว เป็นก้อน หลังจากเค้น ส่วนที่เป็นน้ำออกแล้วออกจากบล็อกไม้ แล้วเรียงเต้าหู้ใส่ถาดที่ปูผ้าขาวไว้ คำเที่ยงคลุมผ้าขาวบาง ปิดเต้าหูไว้
“นังพวกละอ่อน มาคอยเฝ้าไว้หื้อดีๆ แมงหวี่ แมงวันสักตัวก็ห้ามบินผ่านมาเน้อ”
“คลุมผ้าแล้วก็ บ่ เป็นอะหยังดอกพี่คำเที่ยง” มณีรินหันไปบอก
“บ่ ได้เน้อ เจ้าริน กับข้าวถวายเจ้าหลวง ต้องดีที่สุด บ่ มีอะหยังแปดเปื้อน กันเอาไว้ก่อนดีกว่าแก้”
หลังจากทำอาหารเสร็จ มณีริน คำเที่ยง เดินนำขบวนบริวารที่อัญเชิญสำรับกับข้าวถวาย เจ้าหลวงขึ้นตึกมา บัวเงินกับ เม้ย และบริวารเข้ามาดักไว้
“เจ้านางน้อย มีอะหยังหื้อพี่ช่วยบ้างเน้อ”
“บ่ มีอะหยังดอกเอื้อย กับข้าวถวายยะมาเสร็จสรรพแล้ว เหลือแต่จัดเป็น สำรับเท่านั้นเอง”
“จะอั้นหื้อ เป็นธุระพี่เองเน้อ เจ้านางน้อยอิ๊ดมานักแล้ว หื้อพี่ได้แบ่งเบาภาระเจ้านางน้อยบ้าง พี่จะได้สบายใจ๋”
คำเที่ยงไม่ไว้ใจ
“เจ้าริน...”
บัวเงินหันไปสั่งเม้ยทันที
“นังเม้ย...หื้อละอ่อนมันช่วยกันยกสำรับเข้าห้องเครื่องไป”
เม้ยกับบริวารถ่ายเทรับสำรับจากพวกมณีริน
“พ่อเจ้าตื่นบรรทมแล้ว พี่ได้ยินเปิ้นถามหาเจ้านางน้อยแต่เช้า เจ้านางน้อยรีบขึ้นไปเข้าเฝ้าเปิ้นเต๊อะ ตรงนี้ปล่อยเป็นภาระพี่เอง”
“ยินดีนักเอื้อย”
บัวเงินยิ้มตอบแล้วตามเม้ยกับบริวารไปทางห้องเครื่อง
มณีรินกับ คำเที่ยงกำลังจะขึ้นบันได แต่ต้องชะงักเมื่อ ศิริวงศ์กำลังลงมาจากข้างบน
“เจ้านางน้อยจะเข้าเฝ้าพ่อเจ้าก๊ะ” ศิริวงศ์ทัก
“เฮา ปะเอื้อยบัวเงิน เปิ้นว่าพ่อเจ้าตื่นบรรทมแล้ว”
“ตื่นแล้ว...บ่นว่าหิวข้าวโตย”
“เอื้อยบัวเงินกำลังจัดสำรับอยู่ บ่ เมินคงตามขึ้นมาถวายได้”
ศิริวงศ์ชะงักแว่บนึง
“เชิญเจ้านางน้อยเต๊อะ”
ศิริวงศ์เดินสวนมณีรินออกไปทันที มณีรินเหลียวมองตามอย่างลืมไปว่า คำเที่ยงก็อยู่ตรงนั้นด้วย มณีรินเจอสายตาคำเที่ยง รีบเก็บอารมณ์ความรู้สึกให้มิดชิดแล้วขึ้นบันได คำเที่ยงตามไป
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินกราบเจ้าหลวง พระชายาประคองเจ้าหลวงนั่ง
“กำลังแอ่วป่า แอ่วถ้ำกันม่วนอยู่ต้องมาหมดม่วน เพราะพ่อแต๊ๆเน้อ เจ้านางน้อย”
“ป่าถ้ำ แอ่ว เมื่อใด ก็แอ่วได้กะเจ้า สุขภาพพ่อเจ้าสำคัญกว่าอะหยังทั้งนั้น” มณีรินยิ้มให้
“พ่อฮู้สึกใจคอ บ่ ดี ชีวิตนี้อะหยังก็ได้หันมาหมดแล้ว ยกเว้น หน้าหลาน พ่อกลัวว่าชาตินี้จะ บ่ มีบุญได้อุ้มหลาน”
“เจ้าพี่ จะไดอู้จะอั้น” พระชายาแย้ง
“พ่อเจ้ายังแข็งแฮง เจ็บไข้ บ่ เมินดอก แหมวันสองวันก็จะสบายดีเหมือนเดิม” ศิริวัฒนาให้กำลังใจ
“ไปปรึกษาหารือกันเน้อ พีธีแต่งงานของเจ้ากับเจ้านางน้อย เร่งหื้อจัดให้แล้วได้เมื่อใด พ่ออาจจะรอถึงเดือนสี่ เดือนห้า บ่ ไหวดอก ปะงานศพไว้ทุกข์กันอีกปี เมื่อใดจะได้แต่ง”
พระชายาเช็ดน้ำ ศิริวัฒนาใจหาย มณีรินหดหู่ใจยิ่งนัก ที่งานแต่งกำลังถูกเร่งรัดให้เร็วขึ้นอย่างนี้
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินปิดฝาสำรับชุดที่ถวายเจ้าหลวง แล้วหันมาสบตากับเม้ย ศิริวงศ์เข้ามาพอดี
“สำรับพ่อเจ้า เสร็จแล้วก๊ะเอื้อย”
“เสร็จแล้ว เจ้าน้อย พี่กำลังจะยกขึ้นไปถวายอยู่พอดี”
“บ่ เป็นหยังดอกเอื้อย ท่าทางสำรับจะหนัก ให้คนแข็งแรงยกไปเต๊อะ เจ้าอ้ายเปิ้นถามหาเอื้อยอยู่”
บัวเงินดีใจ
“ถามหาพี่”
“เปิ้นจะหื้อเอื้อยช่วยยะอะหยังก็ บ่ ฮู้ เอื้อยรีบขึ้นไปเต๊อะ”
บัวเงินสบตาเม้ยแว่บนึงก่อนจะออกไป เม้ยขยับจะยกสำรับเจ้าหลวง
“บ่ ต้องดอกนังเม้ย เอ็งจะยะอะหยังก็ไปเต๊อะ”
เม้ยจำใจถอยออกไป ศิริวงศ์มองอาหารอย่างครุ่นคิด
+ + + + + + + + + + + +
พนักงานอัญเชิญเครื่องเสวยขึ้นเทียบ บัวเงินหมอบเข้าเฝ้าอยู่ถัดด้านหลังมณีรินไป จับจ้องที่สำรับชุดนั้น
“กับข้าวน่ากินทั้งนั้น” พระชายาพูดอย่างยิ้มแย้ม
“เจ้ารินเปิ้นตั้งใจยะ พ่อเจ้าต้องกินนักๆ เน้อ จะได้แข็งแฮงโวยๆ”
เจ้าหลวงตักอาหารเข้าปาก บัวเงินลุ้น แล้วยิ้มอย่างพอใจที่เห็นเจ้าหลวงทานอาหารจนหมด
หลังจากเจ้าหลวงสวยเสร็จ มณีรินเดินนำขบวนกลับตำหนัก ใจลอย เพราะกำหนดพิธีแต่งงาน จะถูกเลื่อนขึ้นมาให้เร็วขึ้น คำเที่ยงที่เดินตามมา อบรมบริวารสารพัด เรื่องไม่หยุดปาก มณีรินชะงัก เพราะหันไปเห็น ศิริวงศ์ยืนอยู่หลังพุ่มไม้ เหมือนตั้งใจมาดักรอ
“พี่คำเที่ยง ปิ๊กกันไปก่อนเน้อ เดี๋ยวเฮาตามไป”
“อ้าว...แล้วเจ้ารินจะไปที่ใด”
“เฮาจะแวะเก็บดอกไม้สักหน่อย”
“เดี๋ยวพี่เก็บให้ก็ได้ เจ้ารินอยากได้ดอกอะหยัง”
“บ่ ฮู้ เฮาบอกให้ปิ๊กไปก่อน ก็ปิ๊กไปก่อนเต๊อะ”
คำเที่ยงชะงัก เพราะมณีรินท่าทางอารมณ์ไม่ดี จึงเดินต่อไปกับบริวาร มณีรินเดินตรงเข้าไปหาศิริวงศ์ ทั้งสองคนหลบไปหลังต้นไม้ แล้วกอดกันแน่น
“เฮาบ่ฮู่ ว่าเฮาจะทนอยู่ในสภาพจะอี้ไปได้เมินเท่าใด” มณีรินบอกอย่างเศร้าใจ
“เฮาก็เจ็บปวดทรมาน บ่ ได้น้อยไปกว่าโตดอก เจ้านางน้อยของอ้าย”
“พ่อเจ้าอยากจะเร่งงานแต่งงานของเฮากับเจ้าอ้ายของโต ให้เร็วขึ้น เฮาจะยะจะไดกันดี เฮาจะปฏิเสธการแต่งได้จะได”
“ค่อย ๆ คิด บ่ ต้องกลัว เฮา บ่ ทอดทิ้งโตดอก แต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น”
“อะหยัง”
“โตฮู้ก่อว่าสำรับที่โตยะถวายพ่อเจ้าวันนี้ มียาพิษปนอยู่”
มณีริน ตกใจมาก
(อ่านต่อหน้า 2)
รอยไหม (ต่อ)
ปัจจุบัน...
เรรินตกใจ
“ไม่จริง จะเป็นไปได้ยังไง คุณเอาอะไรมาพูด...คุณกำลังกล่าวหาฉัน”
กระสวยหลุดจากมือ ตกลงสู่พื้น เรรินอยู่ในสภาวะคาบเกี่ยวมิติ ค่อยๆดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน ขณะจะก้มลงเก็บกระสวย มือนึงเอื้อมเข้ามาหยิบกระสวย นั้นขึ้นจากพื้น เรรินคิดว่าเป็นศิริวัฒนา
“ขอบคุณค่ะเจ้า”
เรรินต้องชะงัก เพราะคนที่อยู่เบื้องหน้ามิใช่ศิริวัฒนา แต่เป็นสุริยวงศ์
“คุณสุริยะ”
+ + + + + + + + + + + +
ลมพัดกรรโชกอย่างแรง เข้ามาทางหน้าต่าง จนผ้าปลิวสะบัด ข้าวของบางอย่างล้มคว่ำ บัวเงิน หันขวับมาทางสายลม เพราะรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์อีเม้ย คว้าหางกระเบนขึ้นมากำกระชับ ก้อนควันสีขาวที่เหมือนเรืองแสงพุ่งตรงเข้ามาลอยหยุดอยู่ตรงหน้าบัวเงิน แล้วสลายตัวกลายเป็นผีอีเม้ยที่หมอบอยู่กับพื้น
“กูจะเฆี่ยนมึงให้หลังขาด ถ้ามึงยังขืนอวดฤทธิ์ อวดเดชมึงจะอี้”
“หม่อมกะเจ้า เม้ยมีข่าวดีมาบอกหม่อม”
“กูอยู่มาจนป่านนี้แล้ว ยังจะมีข่าวดีให้กูได้ยิน ได้ฟัง แหมก๊ะอีผีบ้า”
“เม้ยรู้แล้วว่าอีนั่นมันเข้าไปยะหยังในคุ้มเจ้าหลวง...มันเข้าไปทอผ้าตุ๊บผืนนั้น ต่อกะเจ้า”
“มึงอู้อะหยังอีเม้ย”
“เหลือกลายเชิงแหมน้อยเดียว ผ้าตุ๊มผืนนั้นก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้วกะเจ้าหม่อม”
บัวเงินโกรธจนสั่นไปทั้งตัว
“...ระยำ...เจ็ดสิบปีที่แล้ว กูน่าจะเผาทิ้ง บ่ ให้มันเหลือซาก ทิ่มตำหัวใจกูจะอี้”
บัวเงินขว้างแส้ทางกระเบน ทิ้งลงพื้นอย่างแรง
“มันคงฮู้ว่าเจ้าเปิ้น ยังวนเวียนรอคอยมันอยู่ เพราะอยากแต่งงานกับมันมั้งกะเจ้า”
“มันจะเอาทั้งพี่ทั้งน้อง อีสารเลว”
“ถ้ามันตำหูก ผ้าผืนนั้นเสร็จ เจ้าเปิ้นก็คงไปจากหม่อมจริงๆ นะกะเจ้า”
“ถึงจะ บ่ เคยโผล่มาเยี่ยม ทักทายกูสักเตื้อ กูก็ บ่ ยอมดอก...อีเม้ย”
“กะเจ้าหม่อม”
“มึงต้องช่วยกู ยะอย่างใดก็ได้ขัดขวางมันทุกทาง”
“กะเจ้าหม่อม”
บัวเงินมุ่งมั่นที่จำทำลายความตั้งใจของเรรินให้ได้
+ + + + + + + + + + + +
เรรินนั่งอยู่ในรถ สะดุ้งเพราะประตูรถถูกปิดอย่างแรง สุริยวงศ์อ้อมมาขึ้นรถด้านคนขับ นิ่งไม่พูดไม่จา
“คุณโกรธอะไรฉัน คุณสุริยะ”
“ผมไม่เข้าใจความมุ่งมั่นของคุณ คุณอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมคุณริน คุณทำลงไปเพื่ออะไร เหตุผลแค่ว่า คุณอดใจไว้ไม่อยู่ เห็นใครทอผ้าค้างไว้ คุณต้องเข้าไปทอให้เสร็จ เฉยๆมันฟังไม่ขึ้นหรอก”
“ถ้าฉันบอกคุณแล้ว คุณจะเชื่อฉันรึเปล่า”
“มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่เชื่อคุณ”
เรรินตัดสินใจ
“ระหว่างที่ฉันทอผ้าผืนนั้น ฉันสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอดีต ของเจ้านางมณีรินกับอีกหลายๆคน”
“คุณกำลังบอกผมว่าคุณใช้การทอผ้าสะกดจิตตัวเอง เข้าไปดูชีวิตเจ้านางมณีรินท่าน ยังงั้นเหรอ” สุริยวงศ์ค่อย ๆ แค่นหัวเราะออกมา “แล้วคุณเห็นอะไรบ้าง เห็นเจ้านาง เห็นท่านปู่ศิริวัฒนา เห็นคุณย่าบัวเงินของผมด้วยรึเปล่า”
“ฉันเห็นทุกคน แม้กระทั่ง...”
เรรินกำลังจะพูดว่าตัวคุณ ศิริวงศ์ขัดขึ้นเสียก่อน
“คุณริน...ศรัทธากับความเชื่อ มันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ จินตนาการกับภาพหลอนก็เช่นเดียวกัน”
“นอกจากคุณจะไม่เชื่อฉันแล้ว คุณยังคิดว่าฉันเป็นบ้า เพี้ยนไปแล้ว ใช่ไหมคะ”
“คุณริน...ผมเข้าไปอยู่กับคุณในห้องนั้นตั้งนาน ผมเรียกคุณยังไง คุณก็ไม่เห็นไม่ได้ยินผม คุณก้มหน้าก้มตาเอาแต่ทอผ้าผืนนั้น แล้วจะให้ผมคิดยังไง”
“ก็แล้วแต่คุณละกัน จะตัดสินฉันยังไงก็เชิญ”
สุริยวงศ์ได้แต่กุมขมับ เรรินเองก็ปวดใจที่ไม่สามารถทำให้สุริยวงศ์เชื่อได้
+ + + + + + + + + + + +
วันดาราเดินเข้ามาที่ห้องอาหารเพราะเด็กพนักงานเข้าไปตามถึงในครัว พนักงานชี้ไปทางมุมหนึ่งที่แขกรออยู่ วันดาราเดินเข้ามาหา
“สวัสดีเจ้า ละอ่อนเข้าไปบอกว่าคุณอยากพบดิฉัน” วันดารายกมือไหว้
พรรณวรินทร์รับไหว้
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อพรรณวรินทร์เป็นแม่เรริน”
วันดารา อึ้งไปนิด
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ดิฉันรู้ว่า เรรินเคยมาพักอยู่ที่นี่”
“คุณรินเธอเช็คเอ้าท์ไปหลายวันแล้วเจ้า”
“ดิฉันแน่ใจว่าคุณรู้ดีกว่า ตอนนี้เรรินไปอยู่ที่ไหน ดิฉันมาเพื่อขอร้อง คุณจะช่วยได้มากเลย ถ้าพูดกับน้องชายของคุณให้เข้าใจ เลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของฉันซะเถอะ เขาเป็นผู้ใหญ่ ตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้วก็จริง แต่ทุกคนยังต้อง มีที่ยืนในสังคม การติดสินใจอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่ใช่เรื่องดีเลย ดิฉันหวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”
วันดาราหน้านิ่งเครียดทันที
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์ขับรถไปนั่งนิ่งเงียบ เรรินก็นั่งนิ่งเงียบ ไม่มีบทสนทนาใดๆ ไม่มีความจำเป็นจะต้องคุยอะไรกันอีกแล้ว ทันใดนั้นหน้าต่างรถด้านเรริน ผมยาวของผีอีเม้ยค่อยๆ ย้อยลงมาดำทะมึน แล้วตามด้วยหน้าของมัน มันห้อยหัวลงมาจากหลังคารถ เรรินรู้สึกบางอย่างด้วยหางตา หันขวับไปมอง ผีอีเม้ยรีบผลุบหาย ขึ้นไปข้างบน เรรินแปลกใจ รถสุริยวงศ์แล่นในถนน มีผีอีเม้ย เกาะหนึบติดอยู่บนหลังคารถ
เมื่อประตูรั้วเปิดออก รถแล่นเข้าเขตบ้าน เหมือนมีกำแพงเรืองแสง ขึ้นมากั้นในบัดดล ผีอีเม้ยที่เกาะหนึบบนหลังคา เหมือนถูกถีบกระเด็นหลุดออกไป ผีอีเม้ยร่วงลงพื้น เจ็บแสบเหมือนถูกไฟช็อต รถแล่นเข้าไปตามถนนเขตบ้าน ประตูรั้วค่อย ๆ ปิดเข้ามา ผีอีเม้ยร้องคำรามเจ็บใจ แล้วรีบไปรายงานบัวเงิน
บัวเงินตวาดเสียงดังลั่น
“มึงจัดการมัน บ่ ได้ บ่ ต้องปิ๊กมาหื้อกูหันหน้า”
“เม้ยพยายามเต็มกำลังเม้ยแล้วกะเจ้าหม่อม แต่อย่างน้อยเม้ยก็ฮู้แล้วว่าตอนนี้มันอยู่กับผู้ใด ที่ใด”
“มันอยู่กับใคร”
“คุณสุริยวงศ์ กะเจ้า”
บัวเงินยิ่งกว่าถูกแทงเข้าขั้วหัวใจ
“จะไดบ่ ฮู้ว่ายะจะอี้ เท่ากับฆ่าย่าหื้อตายทั้งเป็นสุริยะ”
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำนั้น วงพระจันทร์นั่งอยู่ธนินทร์ในผับ วงศ์พระจันทร์มองธนินทร์อย่างสังเกต
“คุณก็เป็นผู้ชายที่ดูดีนี่ แล้วทำไมล่ะ คู่หมั้นถึงมีกิ๊กได้ ไม่มีน้ำยารึไง”
ธนินทร์เลือดขึ้นหน้า
“จะลองดูไหมล่ะจะได้รู้ว่ามีไม่มี”
“อย่ามาหยาบคายกับฉันนะ” วงพระจันทร์ตวาด
“ถ่อยซะไม่มี” ธนินทร์ด่า
“แกสิถ่อย” วงพระจันทร์สวนกลับ
สรัญญาเข้าห้าม
“เอาละๆพอซะที แทนที่จะมาช่วยกันคิดหาทาง กลับมากัดกันเอง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
“ฉันว่ายัยนี่ก็ไม่มีทางช่วยฉันได้หรอก แซนดี้”
“ฉันก็ว่าฉันจัดการเรื่องนี้ได้ ไม่เห็นต้องมีนายเลย”
ทั้งสองคนยังเถียงกันอีก สรัญญาชักเบื่อ
“งั้นก็ตัวใครตัวมัน ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
วงพระจันทร์หันมามองหน้าสรัญญา
“ถามจริงๆเหอะคุณได้เสียอะไรกับเรื่องนี้ คุณสรัญญาฉันดูก็รู้ว่าคุณสองคนไม่ใช่ญาติกัน กิ๊กกันซะละมากกว่า คุณน่าจะดีใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ ถ้ายัยนั่นไม่มาเป็นก้างขวางคอคุณ”
“ยังไงธนินทร์ก็ต้องแต่งงานกับยัยเรริน แต่งแล้วค่อยเลิกก็อีกเรื่อง”
วงพระจันทร์นิ่งไปพักแล้ว หัวเราะสะใจ
“เข้าใจละ ยัยนี่รวยมากจนถึงต้องวางแผนฮุบสินสมรสกัน”
ธนินทร์มองเหยียด
“ก็คงไม่ต่างจากเธอนักหรอกใช่ไหมล่ะ”
วงพระจันทร์ยิ้ม ธนินทร์อ่อนลง
“เราต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ ทีนี้พอจะมีสมองมาช่วยกันคิดเรื่อง”
วงพระจันทร์ลดพยศลงอย่างช่วยสรัญญา และธนินทร์ครุ่นคิดว่าจะจัดการแยกเรรินกับสุริยวงศ์อย่างไรดี
+ + + + + + + + + + + +
เรรินนั่งซึมอยู่มุมหนึ่ง สุริยวงศ์ถือถ้วยเครื่องดื่มร้อนเข้ามา
“โกโก้ร้อน ครับคุณริน”
“ฉันทำให้คุณอึดอัด ลำบากใจมากใช่ไหมคะ”
“ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับคุณ”
“ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกันหรอกค่ะ รู้สึกยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้นเถอะ”
“ผมยังขอยืนยันคำพูดเดิม”
“อีกไม่กี่วัน ฉันก็จะทอผ้าผืนนั้นเสร็จสมบูรณ์ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าหลังจากนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันบ้าง ฉันอาจจะกลายเป็นคนสาบสูญไม่เหลือตัวตน เราอาจจะไม่มีวันได้พบกันอีกเลย ก็เป็นไปได้ ยังไงก็ขอบคุณ มากนะคะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
เรรินเดินกลับออกไปที่ห้อง สุริยวงศ์มองตามอย่างไม่สบายใจ
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...เรรินเดินออกมาที่สระน้ำหน้าบ้าน ครุ่นคิด
‘...ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าอดีตชาติของฉันจบลงยังไง...’
วันดาราเข้ามา
“คุณริน…”
เรรินหันไปเห็นวันดารา
“พี่วัน...”
วันดาราชวนเรรินนั่งคุยกัน
“ความจริง เรื่องส่วนตัวของคุณริน พี่ก็ บ่ ควร จะเข้ามายุ่งย่าม แต่คุณรินก็เหมือนน้องฮักของพี่คนนึง พี่อยากให้คุณรินเข้าใจว่าพี่ฮักและเป็นห่วงถึงได้อู้จะอี้”
“พี่วันคะ...สิ่งที่พี่วันแนะนำรินมา รินก็กำลังคิดตัดสินใจอยู่เหมือนกันค่ะ รินรู้ว่ารินนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ทุกคนต้องลำบากใจ”
เรรินนิ่งไปอย่างตัดสินใจอะไรบางอย่าง....
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงิน ไม่พอใจที่สุริยวงศ์พาเรรินไปอยู่ด้วย จึงให้คนโทรตามสุริยวงศ์มาพบที่บ้าน ทันทีที่สุริยวงศ์มาถึงบัวเงินก็ต่อว่า...
“ถ้า บ่ หื้อละอ่อนมันโทรไปตามก็คง บ่ คิดจะมาเยี่ยมย่าละมัง”
“พอดีช่วงนี้ผมยุ่งมาก จนแทบไม่มีเวลาเลยครับคุณย่า”
“ยุ่งมากเรื่องงาน หรือ เรื่องส่วนตัว”
สุริยวงศ์นิ่ง บัวเงินพูดต่อ...
“เจ้า บ่ ต้องฮู้ดอก ว่าย่าฮู้ได้จะได แต่เจ้าจงฮู้ไว้ว่า ย่าเสียใจนักขนาดที่เจ้ามีความลับกับย่า”
“ผมไม่ได้คิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอะไร ซักวันผมก็ตั้งใจจะพาคุณรินเปิ้นมากราบคุณย่าอยู่แล้วครับ”
มือบัวเงินกำแน่นข่มอารมณ์ไว้อย่างหนัก แล้วปั้นยิ้ม
“เอ็นดูก็แต่วงพระจันทร์มัน แต่ก็นั่นละนะ ความฮักมักเป็นจะอี้ มีสมหวัง ก็มีผิดหวัง เป็นธรรมดา บ่ จากเป็นก็จากตาย บ่ มีอะหยังแน่นอน พาเปิ้นมาหาย่าเต๊อะ จะได้ผูกข้อไม้ข้อมือ ฮับขวัญให้มวนใจ๋”
สุริยวงศ์โล่งใจที่บัวเงินเปิดใจให้เรริน
+ + + + + + + + + + + +
วันดารา มาส่งเรรินที่สนามบินเชียงใหม่ เมื่อเรรินบอกว่าเธอจะกลับกรุงเทพ
“พี่วันส่งรินแค่นี้ก็พอค่ะ รินขอบคุณพี่วันมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” เรรินยกมือไหว้
วันดาราขยับเข้าสวมกอดเรริน
“เดินทางปลอดภัยเน้อคุณริน ถึงกรุงเทพฯแล้ว โทรหาพี่ด้วย”
“ค่ะพี่วัน”
“เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปิ๊กมาเน้อพี่จะคอย”
“ค่ะ”
เรรินผละออก สะพายกระเป๋าเดินทางทำทีเป็นเดินเข้าไปในสนามบิน วันดาราถอนใจ แล้วเดินออก เรรินหันกลับมามอง รอจังหวะที่จะกลับออกมา เพราะใจจริงยังไม่ได้ต้องการที่จะกลับกรุงเทพฯเวลานี้...
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์กลับเข้ามาในบ้านเดินหาเรรินไปทั่วบ้าน
“คุณริน...คุณรินครับ”
ทันใดนั้นสายตาของเขาเห็นจดหมาย ไม่ได้ใส่ซองวางไว้บนโต๊ะมุมนึง มีดอกปีบวางทับไว้ สุริยวงศ์ตรงเข้ามาหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน
‘…ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหัวใจวันข้างหน้า จะเป็นอย่างไร ฉันเชื่อมั่นว่ามันถูกลิขิตเอาไว้แล้วด้วยกรรมเพียงแต่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เท่านั้นเอง หากบุญวาสนา ยังมีต่อกัน เราคงได้พบกันอีก เรริน…’
สุริยวงศ์หัวใจหล่นวูบ เมื่อรู้ว่าเรรินจากไปแล้ว...
ทางด้านบัวเงินได้ไปที่คุ้มหลวง เมื่อประตูห้องทอผ้าถูกเปิดเข้ามา ไฟถูกเปิดสว่าง บัวเงินก้าวเข้ามาในห้อง กวาดสายตามองไปรอบๆ และเห็นสิ่งที่ต้องการมาเห็น บัวเงินเดินตรงเข้ามาที่กี่ทอผ้า ผ้าตุ๊มไหมสีขาวสะอาดที่คาอยู่บนกี่ ถูกทอไปได้เยอะใกล้เสร็จแล้ว บัวเงินมองดูผ้าบนกี่ด้วยความเกลียดชัง ไหมแมกับลูกน้องเกาะกันเป็นพวงตามเข้ามาห่างๆเพราะกลัว
“คุณย่าฮู้ได้จะไดเจ้า ว่ามีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นตี้นี่”
“ผีปู่ย่าตายายไปเข้าฝันข้า บอกว่าอัปรีย์จัญไรจะบังเกิดเพราะผ้าผืนนี้”
ไหมแมขนลุกซู่ซ่า
“ท่าทางจะเฮี้ยนแต้ๆ”
“ผ้าผืนนี้มันถูกสาปแช่งเอาไว้ วันใดถ้ามันถูกทอเสร็จสมบูรณ์ลูกหลานคนในตระกูลเจ้าหลวง จะฉิบหายมีอันเป็นไปไม่เว้นแต่คนเดียว”
ไหมแมกับลูกน้องพากันสยองขวัญ เมื่อออกมาที่หน้าห้องหน้าห้องทอผ้า ไหมแมจุดธูปเจ็ดดอก ปักไว้มุมหนึ่ง คนงานช่วยกันตอกไม้ปิดตายประตูจนเสร็จ ไหมแมหลับหูหลับตาเข้าไปคล้องกุญแจลูกใหม่แล้วรีบถอยออกมา ยกมือไหว้ปะลกๆแล้วรีบโกยออกไป
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)