ติดตามอ่านได้ทาง www.manager.co.th ทุกวัน เวลา 9.30 น.
ตอนที่ 13
สหัสยื่นมือถือของปาหนันให้เคี่ยม ปาหนันมองสหัสด้วยสายตาไม่พอใจมาก สหัสก้มหน้าออกไป ปาหนันหันมามองพ่อ เคี่ยมมองลูกสาวอย่างตำหนิ ปาหนันหนักใจ รู้ตัวว่าแอบทำผิด
“ลูกหนันคิดยังไงถึงได้โทรไปหานาวิศ”
“หนัน...หนันแค่อยากรู้ ว่าเขาจัดการเรื่องคุณธานีรึยัง”
“แล้วลูกหนันจะรู้ไปเพื่ออะไร เรื่องของอาหลานคู่นั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเราแล้ว”
“แต่ถ้าคุณนาวิศเอาตัวคุณธานีเข้าคุกได้ พวกเราก็ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีก เราจะได้กลับระนอง ไม่ต้องอยู่ที่นี่ไงจ๊ะ”
“พ่อบอกแล้วไง ลูกหนันจะต้องลืมทุกอย่างที่ระนองให้หมด ไม่ว่าลูกหนันจะชอบที่นี่หรือไม่ เราก็จะไม่กลับระนองแล้ว”
“ทำไมล่ะจ๊ะ พ่อไม่อยากกลับบ้านเราเหรอ พ่อไม่อยากกลับไปเป็นหัวหน้าคนงาน แทนที่จะต้องมาเป็นคนงานเองแบบนี้เหรอจ๊ะ”
เคี่ยมถอนใจ หน้าเครียด
“ลูกหนันไม่รู้หรอก ว่าคุณธานีร้ายกาจขนาดไหน...มันไม่ใช่ว่านาวิศทำให้เขาเข้าคุกได้แล้วทุกอย่างจะจบ ถึงคุณธานีจะอยู่ในคุก แต่เขาก็สั่งลูกน้องที่อยู่ข้างนอกทำอะไรก็ได้...เพื่อความปลอดภัยของลูกหนัน พ่อคิดว่าเราจะไม่กลับไประนองอีกแล้ว”
ปาหนันอึ้งไป
“แต่พ่อจ๊ะ...”
เคี่ยมขัดขึ้น
“พ่ออยากเห็นลูกหนันมีความสุขกับคนที่ลูกหนันรัก...แต่ถ้ามันหมายถึงลูกหนันต้องกลับเข้าไปอยู่ในอันตราย พ่อคงปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้”
เคี่ยมมองปาหนันอย่างเห็นใจ ก่อนจะเดินผละไป ปาหนันนิ่งอึ้ง สับสนวุ่นวายใจ
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น รสาอยู่ในห้อง คิดหนักกับปัญหาที่เกิดขึ้น
“คุณธานีรู้ว่าคุณนาวิศแอบไปหาพี่ริน แล้วเขาจะทำอะไรพี่รินรึเปล่า...”
รสาไม่สบายใจ ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจไปที่ประตูห้องเปิดประตูห้องจะออกไป แต่กลับเจอชาติยืนอยู่ ชาติยิ้มให้รสา
“ถึงกับมาเปิดประตูต้อนรับเลยเหรอ รู้ได้ยังไงว่าฉันจะมา...สงสัยใจเราตรงกันสินะ”
ชาติก้าวเข้ามาใกล้ รสาขยับถอยหลัง
“มาทำไม...ต้องการอะไร”
“คุณธานีอยากให้เธอทำอะไรบางอย่าง”
“ทำอะไร”
“อยู่เฉยๆ จนกว่าจะเสร็จเรื่อง”
ชาติผลักรสาไปที่เตียง กดให้นอนคว่ำแล้วจัดการมัดมือรสาไพล่หลัง
“หยุดนะ จะทำอะไรฉัน...ปล่อยนะ”
ชาติหยิบเทปกาวมาปิดปาก รสาแตกตื่นตกใจ
+ + + + + + + + + + + +
นาวิศเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง แล้วหันมองนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว นาวิศเปิดประตูห้องแง้มดูข้างนอก ก่อนจะเดินออกไป
นาวิศออกมา มองซ้ายมองขวาอย่างระวังใครจะมาเห็น แล้วมองไปทางห้องธานี
“คุณอาคงนอนแล้ว...”
นาวิศมุ่งมั่นจะรู้ความจริงให้ได้ รีบเดินไปที่บันได
ทางด้านระรินเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน รอนาวิศ ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงที่ลูกบิดประตูหลังบ้าน ระรินวิ่งมาที่ประตู
“คุณนาวิศ มาแล้วเหรอคะ”
เสียงไขประตูเปิด ประตูเปิดเข้ามา ระรินคิดว่าเป็นนาวิศ
“คุณ...”
คนที่เข้ามาคืนธานี ระรินอึ้งไป
“คุณธานี...”
“ท่าทางไม่ดีใจเลยนะ ที่ได้เจอผัว...หรือว่ากำลังรอใครอยู่”
ระรินอึกอัก
“ริน...รินไม่ได้รอใครทั้งนั้น รินแค่อยากออกไปจากที่นี่”
“ขนาดโดนขังอย่างนี้ เธอยังก่อเรื่องได้...แล้วคิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอออกไปง่ายๆเหรอ”
“รินอยู่ในนี้จะไปทำอะไรคุณได้”
ธานีเข้าไปบีบแขนระริน
“บอกมาว่าวันเธอบอกอะไรนาวิศบ้าง”
ระรินหน้าตื่น โดนธานีจับได้
“ค...คุณนาวิศไม่ได้มาที่นี่...”
ธานีตบระริน
“โกหก”
ระรินล้มไปที่โซฟา ธานีตามมาบีบคอระริน กดตัวลงที่โซฟา
“ลืมหรือไงระริน ว่าฉันฆ่าเธอได้”
ระรินเริ่มทรมาน หน้าตาตื่นกลัว เธอโดนบีบคอ แทบทนไม่ไหวแล้ว แต่อยู่ๆธานีก็ปล่อยมือออก ระรินสำลักออกมา พลางหอบหายใจ
“รู้ใช่ไหม ถ้าฉันจะให้เธอตาย มันง่ายนิดเดียว...แต่เธอก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อย ก็เอาไว้ขู่น้องสาวเธอ”
“คุณมันคิดได้แต่เรื่องชั่วๆ มีแต่แผนการสกปรก วันนึงนรกจะมาเอาตัวคุณ แล้วคุณก็จะหนีไม่พ้น”ระรินด่าธานีทั้งที่หอบหายใจอยู่
ธานียิ้มเย้ย
“กว่าจะถึงวันนั้น ฉันกลัวว่ามันอีกนานน่ะสิ...แต่ตอนนี้ เธอต้องเจอกับนรกทั้งเป็น”
ธานียิ้มเหี้ยม หันไปเตรียมเข็มฉีดยาออกมา ระรินมองอย่างตื่นตระหนก
“คุณธานี...คุณจะทำอะไรริน”
“ฉันจะดูว่าถ้านาวิศมันเห็นเธอเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ มันยังจะเชื่อที่เธอพูดอีกไหม”
ธานีถือเข็มฉีดยา ย่างสามขุมเข้าหาระริน ระรินจะลุกหนี แต่ธานีเข้ามาล็อคตัวเธอไว้
“อย่านะ...จะทำอะไรฉัน...ปล่อยนะ”
ธานีจับแขนระริน จัดการฉีดยาลงไประรินกรีดร้อง
“อย่านะ...ปล่อยฉัน”
ระรินตกใจจนตาเบิกโพลง ธานียิ้มเหี้ยม ทันใดนั้น นาวิศก็ผลักประตูเข้ามา
“หยุดนะ...นั่นคุณอาจะทำอะไร”
ธานีหน้าตื่น ผละออกมายืนข้างๆ นาวิศรีบเข้ามาประคองระรินไว้ แต่ระรินถูกฉีดยาเข้าเส้นเลือด ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ระรินเบลอๆ
“อาระริน เป็นยังไงบ้าง”
ระรินไม่ตอบ อยู่ในอาการมึน นาวิศเงยหน้ามองธานี เห็นเข็มฉีดยาคามือธานีอยู่
“คุณอาฉีดยาอะไรให้อาระริน”
ธานีทำหน้าตาย
“ก็แค่ยาที่หมอสั่งให้ฉีด ตอนที่ระรินเขาอาละวาด”
“แต่ผมไม่เห็นว่าอาระรินจะอาละวาดตรงไหน แล้วที่จริงผมไม่คิดว่า อาระรินจะเป็นบ้าอย่างที่คุณอาบอกด้วยซ้ำ”
อยู่ๆระรินก็เริ่มตัวสั่น สั่นแบบกลัวๆ นาวิศก้มลงมองระริน
“อาระริน เป็นยังไงบ้างครับ”
ระรินจ้องนาวิศอยู่ครู่หนึ่ง แล้วผลักนาวิศออก
“อย่านะ...อย่าเข้ามา...ออกไป”
นาวิศประหลาดใจ มองอาการระรินที่เปลี่ยนไป
“อาระรินครับ นี่ผมเองไงครับ”
ธานีรู้ว่ายาเริ่มออกฤทธิ์หลอนประสาทระริน แอบยิ้มสมใจ นาวิศพยายามจะเข้าใกล้ระริน ระรินรีบขยับตัวถอยหนีโวยวาย
“อย่าเข้ามา...ออกไป...ออกไปให้พ้น”
ธานีแกล้งหวังดี
“นาวิศ...หลานทำให้ระรินกลัวนะ เราออกไปก่อนดีกว่า”
“อาระรินเป็นอะไร วันนี้อาระรินยังคุยกับผมดีๆอยู่เลย”
“อาบอกแล้วว่าอาการเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทีนี้หลานเชื่ออารึยัง”
นาวิศยังไม่อยากเชื่อ พยายามจะเข้าไปใกล้ระรินอีก
“อาระรินครับ...จำผมไม่ได้เหรอ”
ระรินเห็นนาวิศเข้ามาใกล้ก็ลนลานหนี หยิบข้าวของขว้างปา
“ออกไป...อย่าเข้ามา...ออกไป”
ระรินวิ่งไปนั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่มุมห้องอย่างหวาดกลัว มองทุกคนอย่างไม่ไว้ใจ นาวิศเห็นอาการที่ผิดปรกติของระริน ถึงกับอึ้งไป ธานีแอบยิ้มสะใจ
+ + + + + + + + + + +
นาวิศกลับเข้ามาในบ้าน ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าเครียด ครุ่นคิด นาวิศเดินเข้าห้องไป ขณะเดียวกัน ประตูห้องตรงข้ามเปิดออก รสาโดนมัดมือไพล่หลัง มัดปากสนิท โดนชาติลากตัวออกไป รสาน้ำตานองหน้า
ชาติผลักรสาเข้ามาในบ้านหลังเล็ก รสาเสียหลักทรุดเข่ากับพื้น ชาติเข้ามาแก้มัดให้ รสาดึงเทปกาวออกจากปากตัวเองวิ่งเข้าไปหาระรินที่นั่งคุดคู้อยู่มุมห้อง
“พี่ริน...พี่รินเป็นอะไร”
ระรินท่าทางหวาดกลัว ยิ่งหดตัวเข้าซอกจนชิดมุมบ้าน
“อ...อย่า...อย่าเข้ามา กลัวแล้ว อย่าเข้ามา”
ระรินมีคราบน้ำตาเต็มหน้า รสาเห็นระรินก็สงสาร หันมองธานีที่ยืนมองอยู่ ธานียิ้มย่างไม่แคร์ ชาติยืนอยู่ด้วย รสาลุกมาหาธานี
“คุณธานี...คุณทำอะไรพี่ริน ทำไมต้องทำแบบนี้”
“เธอก็น่าจะรู้ว่าทำไม...อย่าลืมว่าฉันฆ่าพี่สาวเธอได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น เธอควรทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้...จับตาดูนาวิศให้ดี ถ้าไม่อยากให้พี่สาวเธอโดนยาหลอนประสาทอีก”
ธานีหันหลังออกไป ชาติตามออกไปด้วย รสาหันกลับมามองระริน อยากเข้าไปช่วยปลอบ แต่ระรินท่าทางหวาดกลัว ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ รสาทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ยืนร้องไห้
+ + + + + + + + + + + +
นาวิศนอนก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้น ในที่สุดก็ลุกขึ้นมานั่ง
“อาธานีทำตัวแปลกๆ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าอะไรจริง อะไรหลอก”
นาวิศเหลือบเห็นถุงบุหงาที่หัวเตียง เอามาถือไว้ พูดกับถุงบุหงา
“นอกจากแกแล้ว ยังมีใครรู้อีกไหม ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น...ใคร ที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ในสภาพนี้”
นาวิศถอนใจ หนักใจ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ปาหนันนอนก่ายหน้าผาก นอนไม่หลับ ครู่หนึ่งได้ยินเสียงที่หน้าต่าง เธอลุกขึ้นนั่ง มองไปเห็นว่ามีก้อนหินลอยขึ้นมาโดนมุ้งลวดหน้าต่าง ทำให้เกิดเสียงดัง
ปาหนันหันมองเจ่ง เห็นว่าหลับอยู่ที่ฟูกมุมห้อง เธอรีบลุกไปดูที่หน้าต่าง เห็นทับทิมก้มหาก้อนหินแล้วจะปาหินอีกพอดี เห็นปาหนันเสียก่อนจึงชะงักไว้ ปาหนันมองทับทิมแปลกใจ ทับทิมกวักมือเรียก
ปาหนันแอบออกมาหาทับทิมที่ชั้นล่าง
“นึกอยู่แล้วว่าคุณหนันต้องนอนไม่หลับ”
ปาหนันพยักหน้า
“หนันไม่น่าโทรหาคุณนาวิศเลย ยังคุยกับคุณนาวิศไม่ทันรู้เรื่อง แถมยังโดนพ่อจับได้อีก”
ปาหนันเดินไปนั่ง ท่าทางไม่สบายใจ
“หนันไม่เข้าใจเลย ทำไมเขาจำเสียงหนันไม่ได้”
“ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันขนาดนี้ พร้าวจำเสียงคุณหนันไม่ได้ก็แปลกล่ะค่ะ”
“หนันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ทำไมคุณนาวิศไม่ดีใจเลย ที่ได้ยินเสียงหนัน...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ทับทิมก็อยากรู้ค่ะ แล้วก็มีทางสืบด้วย”
ปาหนันตาวาว รีบลุกมาหาทับทิม
“ทับทิมจะสืบยังไง”
ทับทิมหยิบเศษกระดาษ ที่ตัดมาจากสมุดหน้าเหลือง คลี่ออกให้ปาหนันดู ปาหนันรับกระดาษไปดู
“บริษัทเทพสุทธิพงศ์...”ปาหนันเงยหน้ามองทับทิม “เอามาให้หนันทำไม ทับทิม จะให้หนันโทรหาเขาอีกเหรอ”
ทับทิมส่ายหน้า
“ไม่แล้วค่ะ...ทับทิมจะชวนคุณหนันไปหาพร้าว ตามที่อยู่บริษัทนี่ไง”
ปาหนันตกใจ
“ไปกรุงเทพเหรอ”
ทับทิมรีบปิดปากปาหนัน
“เบาๆสิคะคุณหนัน เดี๋ยวก็ตื่นกันหมดบ้านหรอก”
ปาหนันแกะมือทับทิมออก
“มันไม่ใช่เดินจากนี่ไปปากซอยนะทับทิม บริษัทคุณนาวิศอยู่กรุงเทพ แล้วเราจะไปยังไง”
ทับทิมยกมือทาบที่อกซ้ายปาหนัน
“ตามหัวใจไปไงคะ...จากระนอง เรายังมาถึงที่นี่ได้ แล้วทำไมเราจะไปต่อถึงกรุงเทพไม่ได้”
ปาหนันมองทับทิม ยังรู้สึกลังเล ก้มลงมองกระดาษในมืออีกครั้ง
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...เคี่ยมออกมาจากในบ้าน สหัสกับแท่นนั่งรอยู่หน้าบ้าน เคี่ยมเห็นสหัสก็รู้ว่าอยากตามไปทำงานด้วย
“แกจะไปทำงานด้วยให้ได้ใช่ไหม สหัส ฉันบอกแล้วไง ให้แผลหายดีซะก่อน”
“อยู่บ้านเฉยๆมันยิ่งหายช้าครับ ให้ผมออกไปยืดเส้นยืดสายหน่อยดีกว่า”
เคี่ยมถอนใจ
“ตามใจแก แต่ถ้ายังทำไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน ถือว่าไปดูงานก่อนแล้วกัน”
“ครับนาย”
แท่นยิ้มให้สหัส ทั้งสามเดินไปขึ้นรถ ปาหนัน ทับทิม เดื่อแอบดูอยู่ข้างบ้าน มองไปทางพวกเคี่ยม
“พี่สหัสไปด้วยอีกคน...ทางสะดวกแล้วค่ะคุณหนัน”ทับทิมบอกอย่างดีใจ
“เดื่อยังไม่เห็นว่าทางมันจะสะดวกยังไง เรายังไม่เคยเข้ากรุงเทพกันเลยนะทับทิม ถ้าหลงทางจะทำยังไง”เดื่อเตือนอย่างกังวลใจ
“เราไปกันสามคน ถึงหลงก็มีเพื่อนหลง...จะกลัวอะไร”ทับทิมแย้ง
เดื่อไม่สบายใจหันไปหาปาหนัน
“เอาจริงเหรอคุณหนัน”
ปาหนันหันมองทับทิมอย่างลังเลอีกครั้ง ทับทิมพยักหน้าหงึกๆ ลุ้นเต็มที่ ปาหนันสูดหายใจเข้าปอด ตัดสินใจฮึดขึ้นมา
ปาหนัน ทับทิม เดื่อ เดินออกมาจากข้างตัวบ้าน ตั้งใจจะไป แต่เจ่งออกมาจากในบ้าน มาเห็นเข้าซะก่อน
“จะไปไหนกันคะ คุณหนัน”
ทั้งหมดชะงัก หันมองเจ่ง ปาหนันอึกอัก
“เอ่อ...หนันชวนทับทิมกับเดื่อไปตลาด หาร้านค้าที่จะฝากขายบุหงารำไปน่ะจ้ะ”
เจ่งมองทั้งสามคน ไม่เห็นใครถือถุงบุหงา
“แล้วไหนล่ะคะ ของที่จะขาย”
ทับทิมกับเดื่อหน้าตาเลิ่กลั่ก ปาหนันรีบหยิบถุงบุหงารำไปที่พกอยู่ออกมาให้เจ่งดู
“นี่ไงจ๊ะ”
เจ่งแปลกใจ
“ถุงเดียวเนี่ยนะคะ จะเอาไปขายใคร”
“เอ่อ...เอาไปให้เขาดูเป็นตัวอย่างน่ะจ้ะ ถ้าร้านเขาให้ขายก็ค่อยทำไปส่ง”
เจ่งพยักหน้ารับ ปาหนันแอบเหลือบมองทับทิมกับเดื่อ แล้วพยักหน้าชวนกันออกไป เจ่งคว้าแขนปาหนันไว้
“เดี๋ยวค่ะ...”
ทั้งสามสะดุ้งตกใจ หันกลับมา
“จะไปนานไหมคะ ยายจะได้เตรียมข้าวกลางวันไว้ให้”
“ยายเจ่งไม่ต้องเตรียมเผื่อพวกฉันหรอก ฉันสามคนจะไปกินข้างนอกเลย”ทับทิมบอก
เจ่งพยักหน้ารับ
“เอ็งสองคนดูแลคุณหนันดีๆแล้วกัน แล้วอย่าได้คิดจะพาคุณหนันไปก่อเรื่องอีก คราวนี้นายเคี่ยมเล่นงานพวกเอ็งหัวขาดแน่”
เดื่อตกใจ สะดุ้งเฮือก ทับทิมรีบสะกิดให้เก็บอาการ
“งั้นหนันไปนะจ๊ะ เย็นๆค่อยกลับ”
ทั้งสามพยักหน้า ชักชวนกันไปอีกครั้ง พอหันมาจากเจ่ง ต่างก็ทำหน้ายุ่ง เหลือบมองกันไปมาอย่างโล่งอก
อ่านต่อหน้าที่ 2
ตอนที่13 (ต่อ)
ธานีนั่งกินอาหารเช้าอยู่ ครู่หนึ่งนาวิศเข้ามา ในชุดเตรียมออกไปทำงาน ธานีเงยหน้ามอง ถึงกับชะงักค้าง นาวิศเดินเข้ามานั่ง ธานีแสร้งยิ้มให้
“วันนี้หลานจะออกไปข้างนอกเหรอ”
“ครับ...ผมอยู่บ้าน พยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำมาหลายวันแล้ว...แต่ก็ไม่ช่วยให้ผมจำอะไรขึ้นมาได้เลย”
ธานีแกล้งหยั่งเชิง
“จริงสินะ...ถ้างั้นทำไมหลานไม่กลับไปอยู่อเมริกาซักพัก เผื่อชีวิตที่คุ้นเคยที่นั่นจะทำให้หลานจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
นาวิศส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ...สิ่งที่ผมอยากจะคิดให้ออก ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมที่นี่มากกว่า...”
นาวิศมองหยั่งเชิงธานีเช่นกัน ธานีฝืนยิ้ม ทำว่าไม่มีอะไร
“ในเมื่ออยู่บ้านแล้วคิดอะไรไม่ออก...บางที การไปที่บริษัทเทพสุทธิพงศ์อาจจะทำให้ผมนึกออกก็ได้”
ธานีชะงักไป
“หลานจะเข้าบริษัทเหรอ”
“ครับ...คุณพ่อยกบริษัทให้ผม ผมก็อยากสานต่องานของท่าน...ต้องให้คุณอาเหนื่อยแทนมานานแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องรับผิดชอบงานของตัวเองซะที”
นาวิศหันไปก้มหน้ากินอาหาร ธานีเผลอแค้น กำผ้าเช็ดปากไว้ในมือแน่น
ธานีเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับนาวิศ ชาติเตรียมรถมารออยู่หน้าบ้าน ธานีเดินคุยมือถือไปด้วย
“วันนี้นาวิศ หลานฉันจะเข้าบริษัทเป็นวันแรก...เธอให้พนักงานทุกคนเตรียมการต้อนรับท่านประธานคนใหม่ไว้ด้วย ฉันกับหลานชายจะไปถึงประมาณสิบโมง”ธานีวางสาย
“ไม่จำเป็นเลยครับคุณอา เรื่องการต้องรับอะไรนั่นน่ะ”
“ไม่ได้หรอก...หลานเป็นประธานตัวจริงของบริษัท พนักงานทุกคนก็สมควรจะมาต้อนรับและทำความรู้จัก”
ธานีทำเป็นยิ้มอย่างหวังดี นาวิศพยักหน้ารับ
“จริงสิ...วันนี้เรามีงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการใหม่ด้วย...อายังไม่ได้เอาแฟ้มงานให้หลานดูเลย”
“โครงการตลาดสดติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดใจกลางกรุงเทพใช่ไหมครับ”
“หลานรู้ได้ยังไง”
“ผมเห็นจากสมุดจดงานของคุณพ่อที่ทิ้งไว้ให้น่ะครับ”
ธานีฝืนยิ้มรับ
“ใช่...มีรายละเอียดนิดหน่อยที่อาเปลี่ยนแปลงจากของพ่อเรา...เอาอย่างนี้ เดี๋ยวหลานรอที่รถแป๊บนึงนะ อาจะไปหยิบแฟ้มมาให้ จะได้อ่านในรถไปพลางๆ”
นาวิศพยักหน้ารับ
“ครับ”
นาวิศเดินไปที่รถ ธานีมองตามขุ่นๆ แล้วหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
+ + + + + + + + + + + +
รสานอนหลับอยู่ ธานีไขกุญแจ เปิดผ่างเข้ามา กระชากรสาลุกขึ้น
“ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน”
รสาหน้าตาอิดโรยโวยวายขึ้น
“โอ๊ยคุณธานี รสาเจ็บนะ”
“ฉันไม่ได้ให้เธออยู่ที่นี่เพื่อกินกับนอน อย่าลืมว่าเธอต้องทำงานให้ฉัน”
“ที่คุณทำกับพี่รินเมื่อคืนนี้ คิดว่ารสาจะนอนหลับอย่างสบายใจรึไง รสาเพิ่งได้นอนเมื่อหกโมงเช้านี่เองนะ”
“เธอจะนอนกี่โมงฉันไม่สนรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เธอต้องไปเฝ้านาวิศที่บริษัทเทพสุทธิพงศ์”
รสาทำท่าอิดออด ธานีดึงรสาเข้ามาใกล้ พูดขู่ใส่หน้า
“ถ้าไม่อยากให้พี่สาวเธอเจออย่างเมื่อคืน ก็รีบตามนาวิศไปที่บริษัท”
ธานีผลักรสา แล้วกลับออกไป รสามองตามอยากจะร้องไห้
+ + + + + + + + + + + +
เดื่อกับทับทิมนั่งหลับ หัวโยกหัวคลอนอยู่ในรถตู้ ปาหนันนั่งมองออกไปนอกรถ ครุ่นคิดในใจ
‘คุณนาวิศ...หนันกำลังจะไปหาคุณแล้ว...คุณจะดีใจไหม ที่ได้เจอหนันอีก แต่สำหรับหนัน...หนันขอแค่ได้เห็นหน้าคุณก็พอแล้ว’
ปาหนันมีความหวัง อมยิ้มน้อยๆ
ทางด้านนาวิศนั้น เมื่อก้าวเข้ามาในบริษัทเทพสุทธิพงศ์ บรรดาพนักงานที่ยืนเรียงแถวรอต้อนรับ พอเห็นนาวิศเข้ามาก็ตบมือต้อนรับกันเกรียว ตัวแทนพนักงานหญิงถือช่อดอกไม้เข้ามา
“ดิฉันเป็นตัวแทนพนักงานในเครือเทพสุทธิพงศ์ ขอต้อนรับท่านประธานคนใหม่ค่ะ”
พนักงานคนนั้นยื่นดอกไม้ให้ นาวิศรับดอกไม้มายิ้มแย้ม
“ขอบใจนะ”
พนักงานถอยออกไป นาวิศหันไปที่ธานี
“ขอบคุณนะครับคุณอา ที่อุตส่าห์เตรียมการต้อนรับให้”
ธานีตบไหล่นาวิศ
“ไม่มีปัญหา”
นาวิศหันกลับ เดินไป ธานีมองตามเปลี่ยนเป็นยิ้มเหยียด ฝืนใจทำทั้งนั้น
+ + + + + + + + + + + +
นาวิศกับธานีถ่ายภาพคู่กัน ช่างภาพหามุม รัวถ่ายอยู่หลายภาพ ครู่หนึ่งนักข่าวเข้ามาบอก
“เดี๋ยวขอเริ่มสัมภาษณ์เลยดีกว่านะคะ”นักข่าวหันไปหาช่างภาพ “เก็บภาพตอนสัมภาษณ์ด้วยนะ”
นาวิศกับธานีเดินมานั่งที่โซฟา นักข่าวเข้ามานั่ง เตรียมเทปสัมภาษณ์
“เริ่มที่คุณนาวิศก่อนเลยนะคะ ตอนนี้คุณนับว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่น่าจับตามองมากที่สุดคนนึง เพราะเคยเป็นถึง MD ของบริษัทไฟแนนซ์ชื่อดังของอเมริกา...อะไรทำให้ตัดสินใจกลับมาสานต่อธุรกิจของที่บ้านคะ”
นาวิศนิ่งคิดไป
“ก็น่าจะเป็นเพราะคุณพ่อเสีย...”
นาวิศนึกอะไรไม่ออก ได้แต่เงียบไป นักข่าวมองลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรอีก ธานีแอบยิ้มขำ
“ผมไม่ถนัดเล่าเรื่องอดีต...คุณถามเกี่ยวกับโครางการใหม่ของเทพสุทธิพงศ์ดีกว่าไหมครับ”
“อ๋อ...ได้ค่ะ โครงการตลาดสดติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุด ใจกลางกรุงเทพนี่เป็นไอเดียของใครคะ”
ธานีเก็กท่า กำลังจะอ้าปากออกรับ นาวิศพูดขึ้นเสียก่อน
“เป็นความคิดของคุณพ่อผมครับ”
ธานีชะงัก
“ในสมุดจดงานของคุณพ่อ ท่านพูดถึงความอุดมสมบูรณ์ของเมืองไทย ท่านเลยลงทุนด้านการเกษตรหลายอย่าง แล้วก็เลยมีความคิดที่จะสร้างตลาดสดไว้รองรับผลผลิตของเราเอง”
นาวิศพูดคล่องตามที่ศึกษางานมาอย่างดี ธานีเหลือบมอง ไม่พอใจ
“ผมว่าคุณพ่อมีโครงการดีๆหลายอย่างที่ยังไม่มีโอกาสเริ่มต้น ผมจะเป็นคนสานต่องานของท่านเอง”
นักข่าวยิ้มชื่นชม นาวิศที่มีสีหน้ามุ่งมั่น
+ + + + + + + + + + + +
ธานีเดินหัวเสียเข้ามาในห้องทำงาน ชาติตามเข้ามาแล้วปิดประตู ธานีเขวี้ยงแฟ้มที่ถือมาทิ้งอย่างหัวเสีย
“น่าเจ็บใจจริงๆ พี่นาวีก็ตายไปแล้วแท้ๆ แต่กลับเอาความดีความชอบไปหมด ไอ้ตัวลูกชายก็อวยพ่อมันเหลือเกิน”
“นาวิศมันกำลังเข้ามาครอบครองทุกอย่าง แล้วนายจะทำยังไงครับ”
“นาวิศมันอยากบริหารงานของพ่อมันก็ให้มันทำไป...ฉันจะหาทางให้นาวิศมันเซ็นมอบอำนาจตัดสินใจให้ฉัน แล้วฉันจะขายกิจการ เอาเงินเข้ากระเป๋าให้หมด ถึงตอนนั้น ถ้ามันอยากเริ่มต้นงานของพ่อมันใหม่ก็แล้วแต่มันแล้วกัน”
ธานีคิดถึงแผนการของตนแล้วยิ้มร้าย สะใจ
+ + + + + + + + + + +
ปาหนัน ทับทิม เดื่อลงจากรถตู้ ต่างก็มองรอบๆ สถานที่ไม่คุ้นตา
“มาถึงกรุงเทพแล้วเหรอเนี่ย” เดื่อหันไปหาปาหนัน “ต้องไปยังไงต่อล่ะคุณหนัน”
ปาหนันหยิบกระดาษที่อยู่บริษัทเทพสุทธิพงศ์ออกมา หันมองหาคนที่เธอจะถาม แล้วจึงเดินไปถามคนคุมท่ารถแถวนั้น
“โทษนะจ๊ะ พวกฉันจะไปที่นี่”ปาหนันยื่นกระดาษให้ดู “จากนี่ต้องไปยังไงเหรอจ๊ะ”
เดื่อรีบออกตัว
“ไม่ใช่ว่าพวกฉันไม่เคยมากรุงเทพหรอกนะ แต่ไอ้ที่ตรงเนี้ย”เดื่อชี้กระดาษ “มันไม่คุ้น”
ทับทิมแอบกระทุ้งเดื่อดึงเดื่อออกมา คุยเบาๆ
“จะพูดทำไมวะไอ้เดื่อ”
เดื่อกระซิบตอบ
“ไม่เคยได้ยินเหรอ คนกรุงเทพไว้ใจไม่ได้ จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเราเป็นพวกบ้านนอก เพราะมันอาจจะหลอกเราก็ได้”
ทับทิมมองสารรูปเดื่อแล้วประชด
“ดูสารรูปแล้ว...มองไม่ออกเลยนะว่าบ้านนอก”
+ + + + + + + + + + + +
ปาหนัน ทับทิม เดื่อมาที่ สถานนีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ ทั้งสามเดินมาที่ตู้ขายตั๋ว มองคนอื่นว่าเขาซื้อตั๋วกันยังไง แล้วซื้อตามเข้าไป รถไฟมาแล้วผู้คนแย่งกันขึ้นมีคนวิ่งชนทับทิมจนเกือบล้ม ปาหนันกับเดื่อช่วยกันประคองไว้ทัน ทับทิมจะตามไปเอาเรื่อง แต่ปาหนันกับเดื่อช่วยกันดึงไว้
รถไฟฟ้าจอดที่สถานีสีลม ปาหนัน ทับทิม เดื่อออกมาจากรถไฟฟ้า ทั้งสามคนมาหยุดูแผนที่บนสถานี แต่ดูไม่รู้เรื่อง ได้แต่ส่ายหน้ากันไปมา เดื่อจะเดินไปทางหนึ่ง ทับทิมดึงผมเดื่อ ลากไปอีกทาง
ไม่นานนัก ปาหนัน ทับทิมและเดือยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ใกล้ตึกบริษัทเทพสุทธิพงศ์ ปาหนันหยิบกระดาษที่ตัดมาจากสมุดหน้าเหลืองออกมาดู หันมองหาตึก
“นั่นไง...ตึกเทพสุทธิพงศ์...”
เดื่อกับทับทิมหันมองตามอย่างตื่นเต้น ทับทิมดีใจมาก
“ใช่จริงๆด้วย...ในที่สุดเราก็มาถึงแล้วนะคะคุณหนัน”
เดื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก
“กว่าจะเจอ...เดื่อคิดว่าเราจะหลงแล้ว ใจหายใจคว่ำหมด”
ทับทิมหันมาหาปาหนัน
“คุณหนันพร้อมจะเจอพร้าวรึยังคะ”
ปาหนันพยักหน้า หน้าตามุ่งมั่น เดินนำเดื่อกับทับทิมเข้าไปทางตึก
+ + + + + + + + + + + +
ปาหนัน ทับทิม เดื่อ เดินเข้ามาเห็นความหรูหราภายในล็อบบี้ ทั้งสามหันมองรอบๆ พนักงานเดินเข้าออก
แต่งตัวแบบคนเมือง ผิดกับชุดบ้านๆของทั้งสามคน บางคนเดินผ่านพวกปาหนันก็จ้องมองอย่างรู้สึกผิดตา ทับทิมกับเดื่อหน้าเจื่อน ปาหนันก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง
“รู้สึกแตกต่างยังไงไม่รู้”เดื่อเจื่อนๆไป
ทับทิมกระซิบปาหนัน
“เอาไงดีคะคุณหนัน”
ปาหนันฮึดขึ้นมา
“หนันตั้งใจแล้วว่าจะมาเจอคุณนาวิศ ยังไงวันนี้ก็ต้องเจอเขาให้ได้”
ปาหนันตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ทับทิมกับเดื่อมองหน้ากัน พยักหน้าให้กัน เรียกขวัญกำลังใจคืนมา แล้วเดินตามปาหนันไป
“ฉันมาขอพบคุณนาวิศหน่อยจ้ะ”ปาหนันบอกหนักงานที่นั่งกันอยู่สองคน
พนักงานมองคนทั้งสามอึ้งๆ พวกบ้านนอกพวกนี้มาจากไหน พนักงานหันไปพูดกับเพื่อน
“ท่านประธานมาวันแรกก็ได้เรื่องเลย”
เดื่อยิ้มแย้มกับปาหนัน
“คุณหนันโชคดีจริงๆ วันนี้ไอ้พร้าวมันมาวันแรก นี่ถ้าเป็นเมื่อวานมาก็ไม่เจอมันนะเนี่ย”
ปาหนันยิ้มดีใจไปด้วยหันมาที่พนักงาน
“งั้นช่วยตามคุณนาวิศลงมาพบฉันหน่อยนะจ๊ะ”
พนักงานมองเหยียด
“คุณนาวิศคงไม่ว่างลงมาหรอกนะ”
ทับทิมไม่ชอบใจท่าทีพนักงานตั้งแต่แรกแล้วจึงโวย
“ยังไม่ทันโทรขึ้นไปบอกพร้า...เอ๊ย คุณนาวิศเลย รู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ว่างลงมา”
พนักงานลอยหน้าลอยตา
“ก็ท่านประธานทำงานอยู่ ไม่มีเวลามาเสียให้กับพวกบ้านนอก เอ๊ย...เอาเป็นว่า ไม่ว่างลงมาเจอพวกเธอก็แล้วกัน”
ทับทิมโมโห พุ่งเข้าหาพนักงานด้วยท่าทีเอาเรื่อง ปาหนันรีบดึงไว้
“ขอร้องล่ะจ้ะ พวกฉันมีธุระสำคัญต้องคุยกับคุณนาวิศจริงๆ ช่วยตามเขาลงมาหน่อยเถอะนะจ๊ะ”ปาหนันอ้อนวอน
“แล้วถ้าฉันตามท่านประธานลงมา แล้วท่านไม่อยากเจอพวกเธอ ฉันก็ซวยน่ะสิ”
“แกจะซวย ถ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนี้”ทับทิมชี้ปาหนัน “เป็นอะไรกับคุณนาวิศ แล้วแกกลับมาพูดกับเขาอย่างนี้”
ปาหนันดึงแขนทับทิมปราม
“ขอร้องล่ะนะจ๊ะ...จะช่วยตามคุณนาวิศให้ฉันหน่อยเถอะ”
พนักงานเซ็งๆ
“แล้วจะให้บอกว่าใครมาหา”
ปาหนันหยิบถุงบุหงาที่พกมาด้วยยื่นให้พนักงาน
“บอกว่าคนที่เป็นเจ้าของบุหงารำไปนี่มารออยู่ข้างล่าง ให้เขาลงมาพบแล้วกันจ้ะ”
รสาเดินเข้ามา ในตึกบริษัทเทพสุทธิพงศ์ เห็นพวกปาหนันยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็อึ้งตะลึง
“ตายแล้ว...มากันได้ยังไงเนี่ย”
รสารีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
พนักงานเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ปาหนันยื่นถุงบุหงาให้ ทันใดนั้นมือของรสาก็เข้ามาตะปบถุงบุหงาไป
ทุกคนตกใจหันไปมอง
“แก...”ทับทิมไม่พอใจ
“พวกแก...เอ๊ย”รสาเห็นคนเยอะรีบรักษาภาพ “พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไง”
ทับทิมออกหน้าปกป้องปาหนัน
“แกมายังไงพวกฉันก็มาอย่างนั้นแหละ”
“ฉันมาหาคุณนาวิศ”ปาหนันบอกเรียบนิ่ง
ทับทิมยื่นหน้าท้าทายรสา
“ไง...มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“แล้วมานี่ไม่กลัวเจอคุณธานีรึไง”
ปาหนันตกใจ
“ค...คุณธานียังอยู่ที่นี่เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะให้เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
เดื่อหวั่นๆชักใจไม่ดี
“ม...หมายความว่า พร้าวมันยังไม่ได้จัดการคุณธานีใช่ไหมคุณหนัน”
ปาหนันหน้าเครียด ไม่มีคำตอบ รสาดึงแขนปาหนันออกไปที่ประตู ทับทิมโวยวาย
“นี่...หยุดนะ...จะพาคุณหนันไปไหน”
+ + + + + + + + + + + +
รสาดึงแขนปาหนันออกมาหน้าตึกบริษัทเทพสุทธิพงศ์ เดื่อกับทับทิมตามมาด้วย
“รีบกลับไปเร็วๆเลย เดี๋ยวคุณธานีมาเห็นได้ซวยกันหมดหรอก”
ทับทิมยื้อไว้
“เดี๋ยวก่อน...พวกฉันจะรู้ได้ไงว่าหล่อนไม่ได้กุเรื่อง”
รสาอ่อนใจ
“โธ่...เชื่อฉันเถอะน่ะ คุณธานีอยู่ในตึกนี่จริงๆ พวกเธอเจอคุณนาวิศไม่ได้หรอก รีบกลับไปซะ”
ปาหนัน สะบัดแขนออกจากรสา
“แล้วเธอเกี่ยวอะไรกับคุณนาวิศ เธอรู้ได้ยังไงว่าคุณธานีอยู่ที่นี่”
“ฉันยิ่งกว่ารู้อีก ฉันอยู่บ้านเดียวกับคุณนาวิศ คุณธานี”
ทับทิมมองหยันไม่เชื่อ
“อ่อ อ่อ อ่อ อ๋อ...จะใช้มุขเดิม หลอกว่าเป็นเมียพร้าวอีกล่ะสิ”
“ไม่ได้มุข แต่ฉันเป็นแฟนคุณนาวิศจริงๆ”
ปาหนันไม่พอใจ
“ฉันไม่เชื่อ ฉันจะรอเจอคุณนาวิศ”
ปาหนันจะแย่งถุงบุหงาคืนจากรสา
“เอาบุหงารำไปของฉันมา ฉันจะให้คนขึ้นไปตามคุณนาวิศ”
รสายื้อถุงบุหงาไว้
“ฉันบอกว่าเธอเจอคุณนาวิศไม่ได้ก็ไม่ได้ซี่ รีบกลับไปซะ”
ทับทิมรีบเข้ามาช่วยปาหนันง้างมือรสา
“ไอ้เดื่อ มาช่วยกันเร็ว”ทับทิมเรียก
เดื่อจะเข้ามาอีกคน รสาเห็นจวนตัว กัดมือทับทิมจนต้องปล่อยมือ
“โอ๊ยยยย!”
รสาแย่งถุงบุหงาไปได้ รีบผละออกมา แล้วยัดถุงบุหงาใส่กระเป๋าสะพาย พวกปาหนันทั้งสามคนจะตรงเข้ามาที่รสาอีก รสารีบยกมือห้าม
“เดี๋ยวก่อน! ฉันอยากตกลงกับพวกเธอดีๆ”
“จะเอายังไง”ปาหนันถามเสียงเข้ม
“ถ้าฉันพิสูจน์ให้พวกเธอเห็นได้ว่าคุณนาวิศเขาลืมเธอแล้ว แล้วตอนนี้เขาก็คบเป็นแฟนอยู่กับฉัน พวกเธอจะต้องกลับไป แล้วห้ามมาเจอคุณนาวิศอีกเด็ดขาด ตกลงไหม”
ปาหนันชะงักไป เริ่มไม่สบายใจ ทำไมรสามีข้อพิสูจน์ ทับทิมหันไปหาปาหนัน
“มันจะเล่นลูกไม้อะไรอีกก็ไม่รู้นะคะคุณหนัน อย่าหลงกลมันนะคะ”
ปาหนันคิดครู่หนึ่งแล้วบอกกับรสา
“ก็ได้...ถ้าฉันได้ยินจากปากคุณนาวิศว่าเขาคบอยู่กับเธอ ฉันก็จะไป แล้วจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก”
“ดี...งั้นก็หาที่หลบดีๆ ระวัง อย่าให้คุณธานีมาเจอพวกเธอซะก่อน...แล้วอีกเดี๋ยวฉันจะควงแขนคุณนาวิศลงมาให้พวกเธอดูเป็นขวัญตา”
รสาหันหลังกลับเข้าไปในตึก ปาหนันมองตาม ไม่สบายใจ
จบตอนที่ 13
ติดตามอ่านตอนต่อไปพรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.