(ติดตามละครอนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า เวลา 09.30น.)
รอยไหม ตอนที่ 12
ค่ำนั้น สุริยวงศ์เดินออกมาที่เฉลียง เฝ้าแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“แล้วคุณรินเปิ้นว่าจะได เปิ้นเข้าไปยะอะหยังในห้องใต้ดินนั่น” วันดาราถามอย่างสงสัย
“เปิ้นเหมือนไม่อยากจะบอกผม เปิ้นอู้แค่ว่าถึงบอกผม ก็อาจจะบ่เจื่อก็ได้”
“เปิ้นกำลังกลัวอะหยังอยู่ สุริยะ”
“ผมบ่ฮู้ครับพี่วัน ผมบ่ฮู้”
“เครื่องหมายคำถามพวกนี้มันทำหื้อความรู้สึกดีๆ โตมีต่อคุณรินมันลดน้อย ถอยลงไปก่อ”
“ผมบ่ฮู้ครับ”
“ทุกคนมีโลกส่วนตั๋วกันทั้งนั้นเน้อสุริยะ โตอย่าลืมว่า แม้แต่ตั๋วของโตเองวันนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าเฮาต้องเอาเวลาไปแบ่งปันหื้อกับคนอื่นตลอดเวลามันก็บ่ไหวเหมือนกั๋นเน้อ ปี้ว่าโตทำใจ๋หื้อสบายเต๊อะ ปี้แน่ใจ๋ว่าคนอย่าคุณรินเปิ้นบ่ทำสิ่งตี้บ่ดีแน่ แล้วปิ้นพร้อมจะบอกเมื่อได เปิ้นก็คงจะบอกเฮาเอง”
สุริยวงศ์ ถอนใจอย่างหนักใจ
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำนั้น บัวเงินใส่ผ้าซิ่นตีนจก เดินเข้ามามองเงาตัวเองในกระจกเงาบานสูง
“กูด้อยกว่ามึงตรงไหนอีมณีริน มึงถึงมาช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากกู”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของบัวเงิน...
พระชายา คลี่ผ้าซิ่นเมืองแพร่เป็นผ้าลายตีนจกมองอย่างชื่นชม
“งามแต๊ๆ งามไปคนละอย่าง บ่เหมือนตีนจกแม่แจ่มบ้านเฮาเน๊าะบัวเงิน”
“เจ้า...ยิ่งจกด้วยไหมน้อยจะอี้ ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะไหมน้อยเส้นน้อย...เหลือเกินเจ้า ข้าเจ้าว่าผ้าซิ่นผืนนี้กว่าจะตอเสร็จ ก็คงใจ้เวลาอย่างน้อยก็สี่ห้าเดือนละเจ้า”
พระชายาลูบคลำผ้าซิ่นอย่างพอใจ เม้ยขยับเข้ามากระซิบบัวเงิน
“ขอเลยเจ้าหม่อมผ้าผืนงามๆ จะอี้เหมาะตี้จะเป๋นของหม่อมเจ้า”
บัวเงินหันไปพูดกับพระชายา
“ข้าเจ้าบ่เคยหันแม่เจ้านุ่งผ้าผืนนี้สักเตื้อ”
“ข้ายังหาโอกาสเหมาะๆบ่ได้ อีกอย่างนึ่งผ้างามๆจะอี้ คนนุ่งน่าจะเป๋นคนสาวมากกว่าคนเฒ่าอย่างข้าเน้อ”
พระชายาส่งผ้าซิ่นให้บัวเงินดูรายละเอียดของผ้า
“อุ๊ย แม่เจ้ายังบ่เฒ่าสักน้อยเน้อเจ้า”
บัวเงินรับผ้ามาลูบคลำอย่างหมายมาด มณีริน เดิน เข้ามาแล้วลงคลานเข้าเฝ้า คำเที่ยงตามหลังมา
“อ้าว เจ้านางน้อย”พระชายาร้องทัก
คำเที่ยงกับมณีริน ลงกราบกับพื้น บัวเงินกับเม้ยหันไปมอง
“ข้าเจ้าตอผ้าซิ่นตีนจกผืนแรกเสร็จแล้วเจ้า ก็เลยอยากจะเอามาหื้อแม่เจ้าผ่อเจ้า”
พระชายายิ้มดีใจ
“ไหนเอามาผ่อก๊า”
บัวเงินแอบหันไปเบะปาก กับเม้ย คำเที่ยงส่งผ้าซิ่นตีนจกลายแม่แจ่มให้ มณีรินรับผ้าแล้วส่งต่อให้พระชายา พระชายารับผ้ามาคลี่ดูด้วยรอยยิ้ม
“เก่งเน๊าะเจ้านางน้อย ทอจนแล้วได้”
“ข้าเจ้าได้แม่ครูตี้เก่งมากกว่าเจ้าเอื้อยบัวเงินต้องใจ๊ความอดทนพร่ำสอนข้าเจ้าอยู่เมินทีเดียว”
“เจ้าผ่อฝีมือลูกศิษย์เจ้าก๊าบัวเงิน น่าชื่นใจ๋น้อยอยู่เมื่อได”
พระชายาส่งผ้าซิ่นฝีมือมณีรินให้บัวเงินดู บัวเงินรับผ้ามาคลี่ดู
“งามเจ้า ผ่อด้านหน้าก็งามอยู่...แต่ด้านในเก็บฝ้ายบ่เรียบร้อยเต่าได ลายนี้ก็เป๋นลายลายง่ายๆพื้นๆ ยังบ่ได้พิสดารอะหยังเต่าไดเจ้า”
“เจ้านี่สมกับเป๋นแม่ครูเน๊าะบัวเงิน”
“เอาไว้ตอนผืนใหม่ข้าเจ้าจะตั้งอกตั้งใจ๋ฮื้อนักกว่านี้เจ้า” มณีรินบอก
บัวเงินยิ้มเหยียดๆใส่ พระชายาหันมาหามณีริน
“เจ้านางน้อยมาอยู่เวียงเจียงใหม่ก็หลายเดือนแล้ว แม่หันเจ้านุ่งแต่ซิ่นเขินเจียงตุง บ่เกยหันนุ่งซิ่นเจียงใหม่ซักเตื้อ”
“เจ้านางน้อยเปิ้นคงภาคภูมิใจ๋ในบ้านเกิดของเปิ้น เหมือนอยากจะว่าเปิ้นคงบ่ยอมก้มหัวฮื้อไผง่ายๆ น่ะเจ้าแม่เจ้า” บัวเงินแดกดัน
“ข้าเจ้าบ่ได้กึ๊ดอะหยังอย่างอั้น ข้าเจ้าแค่กึ๊ดเติงหาบ้าน เวลาได้นุ่งซิ่นเขิน มันเตือนใจ๋ฮื้อข้าเจ้าระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนของข้าจ้าเต่าอั้นเจ้า”
บัวเงินแอบหันไปทำหน้าหมั่นไส้ใส่เม้ย
“โถ...อย่ากึ๊ดนักไปเลยน้อเจ้านางน้อยจะเจียงใหม่เจียงตุง ก็บ้านปี้เมืองน้องกันแต๊ๆแม่อยากฮื้อเจ้านางน้อยกึ๊ดซะว่าเจียงใหม่นี่ก็เป๋นบ้านของเจ้านางน้อยเหมือนกั๋น” พระชายาลูบหัวมณีรินอย่างเอ็นดู “...เอ้า...แม่ฮื้อ” พระชายาส่งซิ่นเมืองแพร่ให้มณีริน บัวเงินกับเม้ย ตาลุกทันที
“แม่หลวงเมืองแป้เปิ้นฮื้อของขวัญแม่เป๋นผ้าซิ่นผืนนี้มาเมินหลายปี๋แล้ว แม่ได้แต่ชม ยังบ่ได้นุ่งสักที วันนี้ซิ่นเมืองแป้ยิ่งจะงามขึ้นไปอีก เพราะเจ้านางน้อยได้สวมใส่มัน ใจ่ก๊าบัวเงิน”
บัวเงินตั้งตัวแทบไม่ทัน
“ใจ่เจ้า...ใจ่แต๊แน่ทีเดียว”
มณีรินก้มลงกราบพระชายา
“เป๋นพระกรุณาแม่เจ้า”
พระชายายิ้มเมตตา เม้ยตาลุกเป็นไฟแทนนาย คำเที่ยงยื่นหน้ายื่นตาอยากเห็นความงามของซิ่นเมืองแพร่ให้เต็มตา บัวเงินกำมือแน่นเก็บความแค้นไว้ในใจ
บัวเงินในปัจจุบัน...
ใบหน้าและอารมณ์เดียวกันกับในอดีตยังกับว่าเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นมาหยกๆ
“อีงูพิษ...มึงมันอีงูพิษ”
ผีอีเม้ยร่างดำทะมึน คลานทะลุกระจกเงาออกมา
“หม่อมกะเจ้า......หม่อมของเม้ย เม้ยหิวเหลือเกินเจ้า เม้ยบ่มีแฮง หม่อมบ่ได้เลี้ยงเม้ยหลายวันแล้วนะเจ้า หม่อมบ่สงสาร บ่เอ็นดูเม้ยแล้วก๊า”
“มึงไสหัวไปอีเม้ย กูเกลียดมึง กูใจ้มึงทำงานอะหยังบ่เกยสำเร็จซักอย่างไปฮื้อพ้นหูพ้นตากู ไป๊”
ผีอีเม้ยร้องไห้คร่ำครวญ เอื้อมมือมาจะกอดขา บัวเงิน ขยับขาออก
“ผีตายโหงอย่างมึงมันน่ารังเกียจ จะไปลงนรกตี้ไหนก็ไป”
บัวเงินเดินออกไปอย่างไม่แยแส ผีอีเม้ยร้องครวญครางเพราะความหิว และเจ็บปวดที่นายไม่รัก น้ำตาของมันเป็นสีดำ
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเดินชมผ้าทอมือในโชว์อย่างเพลิดเพลิน ทันใดนั้นเสียงของ สุริยวงศ์ก็ดังขึ้น
“จะมีวันไหนที่คุณรินเบื่อผ้าทอมือบ้างไหมครับ”
เรรินหันกลับมา
“ฉันไม่มีวันเบื่อหรอกค่ะ เพราะงานทอผ้าคือชีวิตของฉัน”
ทั้งสองมองกันนิ่ง จนเรรินต้องเสหันไปทำเป็นสนใจผ้า
“ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ผมรู้สึกไม่ดีที่ทำร้าย...คนของคุณ”
“ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้วความจริง เรื่องนี้มันเป็นปัญหาของฉันเอง ฉันควรจะจัดการมันด้วยตัวของฉันเอง”
“ผมขอโทษถ้าผมเข้าไปวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของคุณเกินไป แม้แต่เรื่องที่คุณเข้าไปในคุ้มเจ้าหลวง...ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้มีเจตนาทำในสิ่งไม่ดี คุณอยากจะบอกผมหรือไม่อยาก ผมก็ไปบังคับคุณไม่ได้ แต่ผมอยากเตือนให้คุณรินระวังตัวให้มากๆ...วันนี้ผมมีงานต้องทำ...คงดูแลคุณรินไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ฉันจะพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
สุริยวงศ์ เดินกลับไป เมื่อเห็นสุริยวงศ์ขับรถไปแล้ว เรรินจึงเดินไปที่รถจักรยาน วันดาราเดินตามออกมา
“คุณรินเจ้า...คุณริน”
“คะ...พี่วัน”
“พี่ทำแซนด์วิชเอาไว้ให้คุณรินเอาติดตัวไปด้วยสิคะ”
เรรินมีอึ้งนิดๆ ทำไมถึงมีน้ำใจขนาดนี้
“ขอบคุณค่ะพี่วัน”
เรริน รับแซนด์วิชในห่อกระดาษมา
“ความจริงวันนี้พี่ไม่อยากให้คุณรินไปไหนเลย...นึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วมันน่ากลัวอยู่เหมือนกันนะคะ”
“รินว่ารินรู้จักผู้ชายอย่างธนินทร์ดีประมาณนึงค่ะ เอาเข้าจริงๆแล้วเขาเป็นขี้ขลาด ที่ผ่านมารินแค่ไม่อยากให้มีปัญหาก็เลยประนีประนอมกับเขาทุกอย่าง แต่ครั้งนี้รินตัดสินในแน่นอนแล้วค่ะ รินกับเขาเดินต่อไปด้วยกันไม่ได้แน่”
“ยังไงก็ต้องระวังตัวให้มากๆนะคะคุณริน”
“ขอบคุณค่ะ พี่วัน รินไม่เคยมีพี่น้องแต่ตั้งแต่ได้รู้จักกับพี่วัน รินอบอุ่นใจ เหมือนมีพี่สาวแท้ๆคนนึงค่ะ”
วันดาราขยับเข้าสวมกอดเรริน...เรรินรู้สึกดีมากๆอย่างน้อยวันดาราก็ไม่ซักไซ้เรื่องเข้าไปในคุ้มเจ้าหลวง
+ + + + + + + + + + + +
ธนินทร์อยู่กับสรัญญาในห้องพักของโรงแรม สรัญญาพยายามยุให้ธนินทร์อารมณ์เสียยิ่งขึ้น...
“แซนดี้ว่า เรรินเขาคงอยากจะบอกอะไรคุณเป็นนัยหลายอย่างละมั้ง ถึงได้ปล่อยให้ผู้ชายคนใหม่ของเขาทำกับคุณขนาดนี้”
“มันรู้จักคนอย่างกูน้อยไปแล้ว” ธนินทร์คำรามอย่างเครียดแค้น
“ถ้าเรื่องนี้ถึงหูผู้ใหญ่ ยังไงก็คงต้องจบ มีเรื่องถึงขนาดนี้ คุณคิดเหรอว่า งานแต่งงานยังมีเกิดขึ้น”
“หุบปาก” ธนินทร์ตวาด
สรัญญาหุบ ปากแต่ยิ้มสมเพชธนินทร์
“กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะกล้าถอนหมั้น กล้าปฏิเสธการแต่งงานยังไง”
ธนินทร์วางแผน ล้างแค้นเรรินในใจให้สาสม
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเข้ามาในห้องทอผ้าหันไปปิดประตูอย่างแผ่วเบา เห็นดอกเก็ดถะหวาวางไว้บนกี่ทอผ้า เรรินเดินตรงเข้ามาหยิบดอกเก็ดถะหวาขึ้นมาดม ศิริวัฒนายืนอยู่หน้าภาพสีน้ำมันเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณมากที่คุณยังอุตส่าห์กลับมา...คนข้างนอกนั่นกำลังคิดกันไปสารพัด เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้”
“อาจจะดีก็ได้นะคะเพราะอย่างน้อยก็คงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายแถวนี้ ฉันจะได้มีสมาธิในการทอผ้ามากขึ้น”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้า
“เจ้าคะ เจ้าบอกฉันได้รึยังว่า ทำไมผ้าผืนนี้ถึงมีความสำคัญต่อเจ้านัก แล้วถ้าฉันทอผ้าผืนนี้เสร็จ...จะเกิดอะไรขึ้น”
“พันธนาการ...ผ้าผืนนี้คือพันธนาการกรรมอันเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นผูกรัดทุกชีวิตเอาไว้ด้วยกัน...”
“สิ่งที่ฉันได้พบได้เห็นมาฉันไม่ได้ คิดไม่ได้ฝันไปเอง ใช่ไหมคะ”
“คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ...ความเชื่อกับศรัทธาแตกต่างกัน ศรัทธาที่มีอยู่ในตัวคุณ จะทำให้คุณสมหวังในสิ่งที่คุณปรารถนา”
“ฉันอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปค่ะ เจ้าช่วย เล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหม”
ศิริวัฒนาเอื้อมือมาหยิบดอกเก็ดถะหวาไปจากมือเรริน
ในอดีต...
ศิริวัฒนากับมณีรินอยู่ด้วยกันในสวน ศิริริวัฒนาค่อยๆบรรจง เหน็บดอกเก็ดถะหวาใส่มวยผมให้มณีริน
“งามแต๊ๆดอกไม้งามย่อมคู่กับแม่หญิงงามเสมอ”
มณีรินหลบสายตาก้มลงไหว้ ศิริวัฒนาประคองมณีริน ให้ลุกขึ้น ขณะที่ศิริวงศ์แอบมองดูอยู่มุมนึงไกลๆ
“อ้ายเพิ่งหันว่าวันนี้เจ้ารินนุ่งผ้าไทย บ่ใจ่ผ้าเขิน อย่างแต่ก่อน”
“แม่เจ้าประทานฮื้อข้าเจ้าเมื่อวันก่อนเจ้า”
“งามแต๊ๆเจ้านางน้อยนุ่งอะหยังก๊างาม แล้วนี่วันแต่งงานของเฮา เจ้านางน้อยจะแต่งไทยหรือแต่งเขิน”
“ข้าเจ้ายังบ่ฮู้เจ้า”
สายตามณีริน เหลือบไปเห็นศิริวงศ์ที่ยืนมองอยู่ ศิริวัฒนามองตามสายตามณีริน ศิริวงศ์ทำท่าขยับจะผละออกไป ศิริวัฒนาเรียกไว้
“เจ้าน้อย มาตั้งแต่เมื่อได...แล้วจะไปตี้ไหนกั๋นละ”
“น้องกำลังจะไปต่อพิณเปี๊ยะกับหนานพัน น้องเขียนลำนำเอาบทนึง ว่าจะเอาไปฮื้อหนานพันจ่วยตรวจดูสักหน่อย”
“คงบ่รีบนักหรอกใจ่ก๊า เจ้านางน้อยเปิ้นอยากจะขอยืมพจนานุกรม ภาษาอังกฤษ ของเจ้าน้อยแน่ะ ไปหยิบฮื้อเปิ้นหน่อยเต๊อะ”
“ครับเจ้าอ้าย”
ศิริวงศ์หันกลับเข้าตึก
“เรื่องภาษายุโรป ศิริวงศ์เปิ้นเชี่ยวชาญ เจ้านางน้อยอยากเฮียนฮู้ เรื่องอะหยังก็ฮื้อเปิ้นเป็นครูได้เน้อ อีกหน่อยถ้าจะต้องเขียนจดหมายโต้ตอบกับฝรั่งเรื่องสัมปทานไม้กับแร่ อ้ายจะได้ไหว้วานฮื้อเจ้านางน้อยจ่วยจะได้แบ่งเบาภาระศิริวงศ์เปิ้นได้ด้วย”
“ข้าเจ้าขอตัวไปฮับดิกชันนารี”
“ประเดี๋ยวศิริวงศ์เปิ้นก็เอาลงมาฮื้อเอง”
“รบกวนเปิ้นเกินไป เปิ้นก็มีธุระของเปิ้นนะเจ้า ข้าเจ้าขอตั๋ว”
มณีรินเลี่ยงออกมาทันที ศิริวัฒนายืนนิ่งมองตามหลังนางอันเป็นที่รักไป
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์เข้ามาในห้องหนังสือยืนนิ่งอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจหยิบดิกชันนารี เล่มใหญ่โบราณที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่พอหันกลับมาเขาก็ต้องชะงักเพราะมณีรินตามเข้ามาถึงในห้อง
“ไผเอาไปใจ้แล้วบ่ได้วางคืนตี้เดิมเฮาเลยเสียเวลาหาหน่อยนึง เฮานี่แย่แต๊ะๆตี้ปล่อยฮื้อเจ้านางน้อยต้องรอจนรอบ่ไหว ถึงกับต้องตามเข้ามาถึงในนี้”
“เฮาบ่ได้เป็นเอาแต่อารมณ์อย่างอั้นเจ้าน้อยโปรดเข้าใจ๋เสียใหม่ฮื้อถูกเน้อ”
“ความจริงห้องนี้ก็บ่ได้เป๋นเขตหวงห้ามอะหยัง เจ้านางน้อยจะเข้าออกเวลาไหนก็ไดหรือแม้แต่ข้าวของทุกชิ้นในนี้ วันข้างหน้าก็เป๋นของเจ้านางน้อยในฐานะพระชายาเจ้าอ้าย ของเฮาอยู่แล้วบ่ต้องขอยืมก็ได้”
“โตค่อนขอดเฮายะหยัง โตอู้ถึงวันตั้งหน้าฮื้อเฮาต้องเจ็บปวดยะหยัง” มณีรินเสียงสั่นเครือ
ศิริวงศ์อึ้งไปเหมือนกัน
“มันเป๋นความจริงตี้เจ้านางน้อยต้องยอมฮับฮื้อได้”
“แล้วยะหยังหลายวันมานี่ โตถึงได้พยายามหลบหน้าหลาตาเฮานัก”
“ไม่ต้องหันหน้ากั๋นน่ะดีกว่า เฮาต่างตนต่างก็มีหน้าที่ตี้ต้องทำบ่ใช่ก๊า”
“ถ้าโตคิดจะทำร้ายเฮาฮื้อเจ็บปวดอย่างอี้ ยะหยังโตบ่ปล่อยฮื้อเฮาตาย เสียในน้ำปิงตั้งแต่วันนั้นฮื้อฮู้แล้วฮู้รอดไป”
มณีรินน้ำตาร่วง
“เจ้าน้อยใจฮ้ายนัก...เฮาไปสบายแล้ว เจ้าน้อยดึงเฮาฮื้อกลับมาอีกยะหยัง”
ศิริวงศ์ใจอ่อนยวบ แรงหักห้ามใจสิ้นฤทธิ์ ดึงร่างมณีรินเข้ามากอดแนบอก
“ชีวิตเจ้านางน้อยมีค่านัก...อย่าปล่อยฮื้อความฮู้สึกบางอย่างมันครอบงำเลย เมื่อวันเวลาผ่านไป เจ้านางน้อยจะพบเองว่าความทุกข์ตี้พบเจอในวันนี้มันเป็นแค่ฝุ่นละอองในอากาศ เท่านั้นเอง นิ่งซะอย่าฮื้อไผหันน้ำตา เจ้านางมณีรินเป๋นแม่หญิงตี้เข้มแข็งบ่ใช่ก๊า”
ศิริวงศ์ผละออกมา ยกมือขึ้นจะเช็ดน้ำตาให้ แต่กลับซะงัก แล้วรีบผละออกไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเดินมา มณีรินหันกลับไปมอง ศิริวงศ์ออกจากห้องไปทันทีสวนกับศิริวัฒนาที่เดินเข้ามา มณีรินรีบหันหน้ากลับ
“หนังสือเล่มเดียวยะหยังหาเมินนักเจ้าน้อย”
“พอดีเจ้านางน้อยเปิ้นมีคำถามบางอย่างถามน้องตวยนะครับเจ้าอ้ายก็ เลยใจ้เวลาอธิบายกั๋นหน่อยหนึ่ง”
“แล้วอธิบายกั๋นเข้าใจ๋ดีแล้วก๊า”
“ครับ เปิ้นเข้าใจ๋ดีแล้วครับเจ้าอ้าย”
“ขอบใจ๋เน้อ เจ้าน้อย”
ศิริวงศ์ เดินออกไป ศิริวัฒนา เข้ามาในห้องมองมณีริน
“เจ้ารินเป๋นอะหยังตาแดงๆ”
“ในห้องนี้ฝุ่นนักเจ้า”
“ละอ่อนมันทำความสะอาดกั๋นจะได หันทีจะต้องเอ็ดตะโรกั๋นผ่องแล้ว”
มณีรินหน้าเศร้าหมองลง
(อ่านต่อหน้า 2)
ตอนที่12 (ต่อ)
วงพระจันทร์เดินอาดๆเข้ามาในร้านร้านกาสะลอง พนักงานไม่ทันมอง เห็นแว๊บๆก็นึกว่าลูกค้า
“สวัสดีครับ จองไว้รึเปล่าครับกี่ที่ครับ”
“จองบ้านแกสิ หัดลืมหูลืมตาดูชะมั่ง” วงพระจันทร์ตวาดทันที
“โต๊ะประจำคุณวงพระจันทร์ยังว่างครับ เชิญครับเดี๋ยวผมตามเอาเมนูไปให้”
“ฉันไม่ได้มากิน ฉันมาหาเจ้านายแก”
สรัญญานั่งอยู่ที่โต๊ะมุมนึง เหล่มอง
“คุณสุริยะเข้ามาแว๊บเดียวแล้วก็ออกไปแล้วครับ”
“ไปไหน ไปกับใคร ไปคนเดียวรึเปล่า”
“ไปคนเดียวครับ วันนี้คุณสุริยะต้องไปเซ็ทเมนูใหม่ให้โรงแรมเปิดใหม่ครับ”
“แล้วอีนังผู้หญิงคนนั้นมันยังติดหนึบเป็นตุ๊กแก อยู่อีกรึเปล่า”
“ผู้หญิงคนไหนครับ ผมเห็นก็มีอยู่คนเดียว ก็คุณวงพระจันทร์นี่แหละครับ ที่ติดหนึบเป็นตุ๊กแก”
“ไอ้บ้า...อีคนที่มาจากกรุงเทพฯ ที่ชื่อเรรง เรริน อะไรนั่นต่างหาก”
“เอ...ผมไม่เห็นเลยนะครับ”
“ระวังให้ดีนะ อย่าให้ฉันจับได้ว่าแกปกปิดความจริงฉันไม่งั้นแกเละแน่”
วงพระจันทร์ปึงปังกลับออกไป พนักงานเกาหัวยิกๆ สรัญญาคิดอะไรบางอย่างได้รีบตามออกไป วงพระจันทร์เดินหน้าหงิก กลับมาที่รถ
“เจอตัวอีกครั้ง แม่จะตบให้ฟันร่วงเลย”
สรัญญาตามเข้ามา
“สวัสดีค่ะ คุณวงพระจันทร์”
วงพระจันทร์หันกลับมาฉีกยิ้มได้ทันทีนึกว่าลูกค้าที่ร้าน
“สวัสดีค่า...แหมไม่คิดเลยนะคะว่าจะได้พบกันที่นี่ มารับประทานอาหารร้านกาสะลองเหมือนกันเหรอคะ ร้านนี้อาหารเขาอร่อยค่ะ เป็นแบบฟิวชั่น ปีหน้ารู้สึกว่า มิชเสอรินจะส่งคนมาแอบชิมอยู่เหมือนกัน เจ้าของร้านเป็นคนรู้ใจของวงพระจันทร์น่ะค่ะ” วงพระจันทร์มองการแต่งตัวของสรัญญา
“เสื้อตัวนี้ใส่บ่อยไหมคะ ยังดูสดใสอินเทรนด์อยู่เลย ทั้งที่เป็นคอลเลคชั่นของปีที่แล้วว่างๆ แวะไปร้านวงพระจันทร์สิค่ะ คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด วงพระจันทร์เพิ่งก็อป เอ๊ย...เพิ่งลอนช์ออกมา ลิมิตเต็ดด้วยนะคะ แบบนึงก็อป เอ๊ย...ตัดเย็บไม่กี่ตัว รับรองใส่แล้วไม่ฝาแฝดกับใคร”
สรัญญายิ้มแย้ม
“ฉันแซนดี้ค่ะ”
“อุ๊ยตาย ชื่อเดียวกับนางแบบรุ่นเก่าเลยนะคะ” วงพระจันทร์หัวเราะ
“ฉันไม่เคยเป็นลูกค้าของคุณหรอกค่ะ”
“อ้าวเหรอคะ ขอโทษที วงพระจันทร์คงจำคนผิด”
“แต่ก็ดีไม่ใช่หรอคะ ที่เราได้รู้จักกัน”
วงพระจันทร์งง
“เพราะดูเหมือนว่า เรากำลังต้องการสิ่งเดียวกันอยู่” สรัญญาบอกอย่างเรียบนิ่ง
วงพระจันทร์นิ่งงันไม่เข้าใจ
+ + + + + + + + + + + +
ในครัวยุโรปของโรงแรมแห่งหนึ่ง อาหารฟิวชั่นล้านนา-ยุโรป ที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว 2 จาน ถูกแต่งหัวจานอย่างมีศิลปะ หน้าตา เป็นยุโรปแต่ตัวอาหารถูกประยุกต์ล้านนาดั้งเดิมเล็กน้อย มันคือ ซุปผักชนิดข้นสีสันจัดจ้านด้วยฟักทอง แครอท กับสลัดสาหร่าย น้ำจืดคลุกงาขาวโรยด้วยผลมะแขว่น และราดด้วยซอสงาดำ ผู้ช่วยกำลังถ่ายภาพเก็บหน้าตาอาหารที่พร้อมเสริม ผู้ช่วยอีกคนจดบันทึกขั้นตอนการปรุง เชฟกำลังดูการทำงานของสุริยวงศ์ อย่างใกล้ชิด
สุริยวงศ์กำลังแต่งหัวจานอาหารจานหลักจานที่สาม เป็นข้าวผัด ไส้อั่ว ข้าวสีแดงมันปู สุริยวงศ์เล็คเชอร์ส่วนผสมและเคล็ดลับต่างๆ ให้เชฟฟัง แล้วหยิบดอกปีปมาวางลงแต่งหัวจาน สุริยวงศ์เห็นดอกปีปแล้วชะงักมองคิดถึงเรริน ผู้ช่วยยกจานอาหารออกไปวางเพื่อถ่ายรูป สุริยวงศ์หันกลับมาเตรียมสาธิตของหวานต่อ
หลังจากเสร็จงาน สุริยวงศ์ไปที่คุ้มเจ้าหลวง เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องทอผ้า เขาแน่ใจว่าเรรินต้องมาที่นี่แน่...เขาเดินตรงมาที่กี่ทอผ้า มันก็เป็นดังคาด กระเป๋าเงินของเรรินถูกวางไว้ที่มุมนึง ใกล้ๆกันนั้นมีดอกเก็ดถะหวาวางเอาไว้ กระสวยพุ่งเส้นไหมถูกวางเอาไว้บนผืนผ้าที่กำลังทอค้างไว้
“คุณริน คุณมาที่นี่ แล้วตัวคุณไปไหน” สุริยวงศ์ สับสนงุนงง
สุริยวงศ์ กวาดสายตาไปรอบห้องแล้วสะดุดตากับภาพเขียนสีน้ำมันภาพนั้น บรรยากาศในภาพดูสมจริงเหมือนมีสิ่งมีชิวิตโลดแล่นอยู่ในภาพเขียนนั้น สุริยวงศ์ไล่ความคิดเพี้ยนๆที่เกิดขึ้นในสมองออกไป
ด้านนอก ไหมแมที่กำลังรู้สึกหลอนๆ กับบรรยากาศทึมๆ รอบๆ หันมาแล้วสะดุ้งตกใจแทบเสียจริตๆ
“โต๊กใจ๋หมดเลย”
สุริยวงศ์เปิดประตูออกมาจากห้องทอผ้า
“คุณสุริยวงศ์...โอยข้าเจ้านึกว่าเจอดีเข้าแหมแล้ว”
“ไม่หันมีอะหยังผิดปกติในนั้น”
“ข้าเจ้ากับพวกละอ่อนอู้กั๋นแล้วว่า จะนิมนต์ตุ๊เจ้ามาพรมน้ำมนต์วนสายสิญจน์ตี้นี่สักหน่อย บ่ยังอั้น คงบ่มีไผกล้าลงมาข้างล่างนี่อีกแน่ ๆ”
“คงไม่ต้องถึงกับอย่างนั้นละมั้ง เมื่อปี๋ใหม่ก็ทำบุญไปแล้วนี่คงบ่มีอะหยังหรอก”
“อีกอย่าง...ข้าเจ้าว่ากุญแจห้องก็เปลี่ยนเต๊อะของโบราณหันแล้วมันวังเวงจะไดก็บ่ฮู้เจ้า”
สุริยวงศ์นิ่งไปอึดใจ
“คงบ่จำเป๋นหรอกไหมแม...อีกบ่เมินคุ้มเจ้าหลวงก็จะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ผมว่าเฮาน่าจะฮักษาสภาพดั้งเดิมของคุ้มเอาไว้ให้มากที่สุดมากกว่า”
ไหมแมยิ้มแหยๆ
+ + + + + + + + + + + + +
พรรณวรินทร์คุยโทรศัพท์กับธนินทร์ถึงเรื่องของเรริน
“ลูกว่ายังไงนะธนินทร์ ได้เจอตัวผู้ชายคนนั้นแล้ว มันเป็นใครทำมาหากินอะไร”
“มันก็แค่กุ๊ยอยู่เชียงใหม่นี่แหละครับคุณแม่ ไม่ได้ทำงานทำการอะไรผม อุตส่าห์นัดเจอมัน ต้องการจะคุยกับมันอย่างลูกผู้ชาย อย่างคนมีศึกษามันกลับพาพวกมันมารุมทำร้ายผมครับคุณแม่”
“ตายจริง ทำไมมันถึงได้ต่ำทรามขนาดนั้น แล้วลูกเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“เจ็บตัวน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ คุณแม่ แต่ผมเจ็บใจมากกว่า เพราะรินเขาไม่สนใจผมเลยว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เขาไปโอ๋ไอ้บ้านั่นแทนครับ”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ รินนะรินทำอะไรไม่คิดถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลบ้างเลย จะให้แม่ตามขึ้นไปเชียงใหม่ไหมธนินทร์”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ ผมว่าผมจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ ถึงจะต้องแลกด้วยชีวิตผมก็ยอม”
“มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นละมั้งธนินทร์ พูดอย่างนี้แม่ใจคอไม่ดีเลยนะลูก”
“ถึงผมตายผมก็ไม่เสียดายชีวิตหรอกครับคุณแม่ ขอแค่ รินเขาได้รับรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหนผมก็พอใจแล้วครับ”
ธนินทร์พูดเข้าข้างตัวเองเต็มที่
+ + + + + + + + + + + +
วันดารานั่งคอยบัวเงินอยู่มุมหนึ่งของบ้าน สักครู่บ่าวยกถาดกาแฟของว่างเข้ามา
“แม่คุณเปิ้น กำลังจะออกมาจากห้องนอนแล้วละเจ้า คุณวันรออีกหน่อยนะเจ้า”
บ่าววางกาแฟของว่างลง
“บัวริน...โตได้กลิ่นอะหยังผ่องก๊ากลิ่นสาบๆสางๆเหมือน ตัวอะหยังตายอยู่แถวนี้”
“ได้กลิ่นเหมือนกั๋นเจ้า แต่หามาหลายวันแล้วก็บ่เจอ”
“คุณย่าเปิ้นบ่เอ็ดตะโรเอารึไง”
“แม่คุณเปิ้นบ่เห็นว่าอะไร เปิ้นอาจจะบ่ได้กลิ่นก็ได้เจ้า”
บัวเงินเดินเข้ามาพอดี
“อะหยัง...ไผได้กลิ่นอะหยัง”
“บ่มีอะหยังเจ้าคุณย่า”
บ่าวเลี่ยงออกไป วันดาราขยับเข้ามาจะช่วยประคองบัวเงิน
“บ่ต้อง ข้าเดินเองได้...มาแต่วัน มีอะหยัง”
“ข้าเจ้าเอาบุญมาฝากคุณย่าเจ้า”
“มีนักก๊า ว่าจะไดถึงเที่ยวเอาไปฝากคนโน้นคนนี้”
วันดารายิ้มสู้
“วัดพระธาตุเจดีย์หลวงเปิ้นจะจัดงานห่มผ้าพระธาตุน่ะเจ้า ข้าเจ้าก็เลยนึกถึงคุณย่า เผื่อคุณย่าจะร่วมเป็นเจ้าภาพตวยกั๋น ถวายผ้าห่มพระธาตุได้กุศลนักๆละเจ้าคุณย่าตอนนี้ได้เจ้าภาพห้าหกรายแล้ว”
บัวเงินชะงักกึกเมื่อได้ยินเรื่องห่มผ้าพระธาตุ...วันดาราร่ายยาวถึงงาน...แต่บัวเงินคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต...
บัวเงินกำลังรายงานเจ้าหลวงกับพระชายา อย่างเจื้อยแจ้ว...
“คนของข้าเจ้าเจ็ดแปดคนถ้าเริ่มทอกันแต่เช้า เริ่มตั้งแต่เข็นฝ้ายกรอฝ้ายตอเป๋นผืนจนย้อมสีจีวรร่วมเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็คงแล้ว ได้ถวายขึ้นห่มองค์ธาตุแน่ๆเจ้า”
พระชายายิ้มพอใจ
“จะอั้นเจ้าก็เริ่มเตรียมการเลยก็แล้วกั๋นเน้อบัวเงิน”
“เจ้า...งานบุญใหญ่จะอี้ข้าเจ้าจะบ่ฮื้อมีอะหยังขาดตกบกพร่องเลยเจ้าแม่ เจ้าบ่ต้องห่วง”
มณีรินเข้ามาในห้อง คำเที่ยงตามมาด้วย
“อ้าว...เจ้านางน้อย”
มณีริน กับคำเที่ยงคลานเข่าเข้ามาแล้วลงกราบ
“วันก่อนเจ้าลาบปลาอย่างเชียงตุงขึ้นมาฮื้อป้อกิน ป้อยังบ่ได้ขอบใจ๋เจ้าเลย อร่อยมากรสมือดีจริงๆ แม่เจ้ากินข้าวได้มากชมไม่ขาดปาก”เจ้าหลวงชื่นชม
“เจ้าพี่ต่างหากขอเติมข้าวแล้วขอเติมข้าวอีก” พระชายาหัวเราะ
เจ้าหลวงหัวเราะตาม
“วันหลังทำให้พ่อกินอีกเน้อเจ้านางน้อย”
“เจ้านางน้อยทำโน้นนี่ได้หลายอย่าง เก่งอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะเจ้า” บัวเงินทำพูดดีด้วย
“ไม่ได้ถึงกับเก่งหรอกเจ้ารู้แค่งูๆปลาๆ รู้ยังไงก็ทำยังงั้น ทำอย่างที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาอย่างดีที่สุด”
“แต่แม่ว่าจะทำอะไรก็แล้ว แต่ที่ดีที่สุดคือทำด้วยหัวใจนั่นแหละ”
บัวเงินปั้นยิ้ม แต่ใจริษยาที่สุด
“แม่กำลังคุยกับบัวเงิน...อาทิตย์หน้างานบูชาพระธาตุ เราจะทอผ้าผืนใหม่ขึ้นห่มองค์พระธาตุกันนะเจ้านางน้อย”
“มีอะไรให้ข้าเจ้าช่วยได้บ้างเจ้าข้าเจ้ายินดี”
เจ้าหลวงมองบัวเงินกับมณีริน แล้วนึกอะไรได้
“ไหนๆก็จะทำให้เป็นงานใหญ่ ก็ให้เจ้านางน้อยทอผ้าห่มองค์พระธาตุแข่งกับบัวเงินซะเลยดีไหมล่ะ ใครทอเสร็จเป็นผืนผ้าได้ก่อนกันตามเวลาที่กำหนดก็เป็นคนชนะ”
พระชายาหันมองเจ้าหลวงอย่างสงสัย
“แล้วจะไดเจ้า แพ้ชนะกันแล้วจะได คนตี้แพ้จะไม่มีโอกาสได้ถวายผ้าห่มองค์พระธาตุก๊า ว่าจะไดเจ้า”
“ได้ก๊า ได้ถวายเหมือนกัน คนชนะได้ห่มผ้าองค์พระธาตุ แต่คนตี้แพ้ได้แค่ห่มฐานเจดีย์ น้องว่ายุติธรรมดีก๊า”
“ก็ได้บุญเหมือนกันน่ะเจ้าเจ้าพี่” พระชายาหันมาหามณีริน “ว่ายังไงเจ้านางน้อย”
“สุดแท้แต่พ่อเจ้าแม่เจ้าเต๊อะเจ้า”
พระชายาหันไปหาบัวเงิน
“บัวเงินล่ะเจ้าว่าจะได”
“ข้าเจ้าไม่ได้หวังอะหยังนักไปกว่า ได้สืบทอดพระศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปเจ้า”
เจ้าหลวงหัวเราะ
“ถ้าจะอั้นเห็นทีว่า งานบูชาพระธาตุปี๋นี้คงจะม่วนแต๊ๆ”
คำเที่ยงใจคอไม่ดี มณีรินไม่ได้คิดมากได้บูชาพระธาตุก็บุญแล้ว
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินกับเม้ยกลับมาถึงเรือน เม้ยตามติดกางร่มให้บัวเงิน
“ทีแรกเม้ยยังคิดว่าแม่เจ้าเปิ้น จะสั่งฮื้อมันมาเป็นลูกมือของหม่อมซะอีก หม่อมจะได้ใจ้ฮื้อมันเข็นฝ่ายฮื้อแขนหลุดไปเลยน่ะเจ้า”
บริวารเห็นนายกลับมากรูกันเข้ามาปรนนิบัติ บัวเงินนั่งลง เม้ยบีบนวดบัวเงิน พวกบริวารก็รุมบีบนวดเม้ยต่ออีกทอด
“ก็ดีแล้ว ตี้มันได้ตอผ้าห่มองค์พระธาตุแข่งกับกู”
“เม้ยฮู้...หม่อมจะยะฮื้อมันได้อายตอผ้าบ่เสร็จใจ่ก๊าเจ้า...ดีแต๊ๆ อีมณีรินมันจะได้ฮู้สำนึกว่าคนอย่างมันอย่าคิดเผยอมาแข่งบุญแข่งบารมีกับหม่อมของเม้ย วาสนาอย่างมันอย่างเก่งก็มีบุญแค่ได้ห่มผ้าฐานพระธาตุต่ำกว่า หม่อมของเม้ย แต๊ๆก๊าเจ้า”
“ไผบอกมึง...อี่เม้ย...คนอย่างมันบ่มีบุญวาสนาปอแม้แต่จะตอผ้าถวายเลยต่าง”
เม้ยอ้าปากค้างบัวเงินแผนสูงกว่าที่ตนคิดซะอีก
+ + + + + + + + + + + +
คำเที่ยงเดินตามมณีริน ว้าวุ้นใจมากกว่านายเสียอีก
“อาทิตย์หน้ามันก็เหลืออีกบ่กี่วันแล้วเน้อเจ้าริน จะสั่งฮื้อเตรียมอะหยังผ่องเจ้ารินก็รีบสั่งมาเต๊อะปี้ หันสายตาอีเม้ยกับนายมันแล้วปี้บอกตามตรงปี้บ่ไว้ใจ๋งานนี้มันบ่ใช่แค่แข่งว่า ไผจะตอผ้าเสร็จบ่เสร็จเน้อเจ้าริน มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแต๊ๆทีเดียวเชียวละ หมู่เฮาชาวเจียงตุงจะแป้คนเจียงใหม่ได้จะได บ่ได้เน้อบ่ได้เด็ดขาดเป๋นตายจะไดก็บ่ได้”
“จะแป้จะชนะก็มีโอกาสได้ห่มองค์พระธาตุเหมือนกั๋นนั่นแหละปี้คำเที่ยง ยะหยังจะต้องเอาเป๋นเอาตายขนาดนั้นตวย”
“เจ้ารินนะเจ้ารินยะหยังถึงไม่ยอมเข้าใจ๋”
“ถึงเฮาชนะเฮาจะภูมิใจได้จะไดว่าเฮาชนะแม่ครูของตัวเอง เอื้อยบัวเงินเปิ้นเป๋นแม่ครูของเฮาเน้อปี้คำเที่ยงอย่าลืมศิษย์คิดล้างครูหาทางเจิญบ่ได้หรอก”
“โอ้ยลืมเรื่องศิษย์เรื่องครูไปผ่องเต๊อะ เจ้ารินจะไดศิษย์ก็ต้องเก่งกว่าครู บ่อย่างอั้นครูเปิ้นจะสร้างศิษย์มายะหยังกั๋น”
“ปอทีเต๊อะปี้คำเที่ยง เฮาไม่อยากอู้เรื่องนี้แล้ว เฮาจะอ่านหนังสือ”
มณีรินทำเป็นเปิดหนังสือบนโต๊ะ
“ยอมแป้ตั้งแต่ยังบ่ได้ขึ้นเวทีชกจะอี้ก่มีเน๊าะเจ้าริน...”
“อู้นักอย่างอี้บ่หิวน้ำผ่องก๊าว่าจะไดปี้คำเที่ยง”
“ก็หิวอยู่เหมือนกัน”
“นั้นน่ะสิ เฮาแค่คนฟังยังหิวแทนเลย”
คำเที่ยงหันไปอารณ์เสียใส่ลูกน้อง
“นังน่อยโตบ่ได้ยินก๊าเจ้ารินเปิ้นหิวน้ำ”
บริวารคลานตุ้บตั้บออกไปทันที คำเที่ยงทำปากขมุบขมิบตัดพ้อมณีริน มณีรินแอบขำ หันไปมองดิกชันนารีบนโต๊ะตรงหน้า มือมณีรินลูบคลำปกดิกชันนารีเล่มนั้น คิดถึงใครบางคน
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์ดีดพิณเปี๊ยะขับลำนำ สรรเสริญความงามของแม่หญิงล้านนา ซึ่งทำให้ชายใดที่ได้ประสบพบเจอต้องปางตาย เพราะต้องมนตราแห่งความเสน่หา สล่าพันสอนอยู่ใกล้ๆต้องขัดขึ้นกลางคัน
“บ่ใช่...เจ้าน้อย...” สล่าพันเอื้อนทำนองให้ฟัง “คำว่าฮักของเจ้าน้อยฮักเฉยๆฟังแล้วบ่ฮู้เลยว่าฮักปานใด”
“แค่นี้ยังฮักบ่พออีกรึไง”
“บ่พอ”
“เฮาก็คงฮักได้เท่านี้แหละหนานพัน”
“ยังไงกันเนี่ย เจ้าน้อย วันนี้อารมณ์บ่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย”
“เฮาก็เป็นของเฮาจะอี้”
“งั้นวันนี้ก็พอเท่านี้ก่อนเถอะ วันพูกค่อยว่ากันใหม่อาจจะฮักได้ปานใจจะขาดกว่านี้”
พันเก็บพิณเปี๊ยะกับลำนำในกระดาษสาออกไป ศิริวงศ์ถอนใจกระชับกะโหลกพิณเข้าทรวงอกตรงหัวใจดีดพิณแล้วขับลำนำท่อนที่มีคำว่า “ฮัก” อีกครั้ง สิ้นลำนำวรรคนั้น...ศิริวงศ์ชะงัก เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือมณีรินยืนฟังอยู่...เธอถือดิกชันนารีเล่มนั้นมาด้วย ศิริวงศ์มองอึ้ง...
“เฮาเอาหนังสือมาคืนโต”
“เก็บเอาไว้ใช้ก่อนก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบเอามาคืน”
“เดี๋ยวเจ้าของเปิ้นจะตำหนิเอาได้ ไม่ใจ่ของของเฮา เก็บเอาไว้เมินบ่ดี”
“ความจริงถ้ามันมีประโยชน์กับเจ้านาง น้อยเจ้านางน้อยเก็บเอาไว้เลยก็ได้ เฮาตั้งใจจะยกฮื้ออยู่แล้ว”
“อย่าเลย เผื่อวันนึงโตคิดจะทวงคืนขึ้นมา...เฮาจะเสียความฮู้สึกเปล่าๆ”
“คนอย่างเฮา...ฮื้อแล้วฮื้อเลยบ่คิดจะทวงคืน”
มณีรินน้ำตาซึมเอ่อออกมา แต่สะกดอารมณ์ตัดใจยื่นหนังสือคืนให้ ศิริวงศ์เอื้อมมือมารับหนังสือ มือใกล้มือ...มณีรินค่อยๆถอนมือออกไปจะเดินกลับ ศิริวงศ์จึงพูดขึ้น
“ผ้าทอผีมือเจ้านางน้อย คงจะได้ถวายขึ้นห่มองค์พระธาตุเน้อ บ่ใช่แค่ห่มฐาน”
“เฮาบ่ต้องการแข่งขันกับไผ จะได้ห่มองค์หรือห่มฐานก็ได้บุญเหมือนกัน”
“เฮาแค่คิดว่า ถ้าผ้าของเจ้านางน้อยได้ขึ้นไปห่มองค์ ได้ถวายใกล้ชิดพระธาตุ เฮาจะได้อาศัยใบบุญถวายเครื่องสักการะ ขึ้นไปกับผ้าของเจ้านางน้อยด้วยสักหน่อยเท่านั้นเอง บ่ได้คิดว่าเจ้านางน้อยจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มการแข่งขัน”
มณีรินอึ้ง...ใจเต้นขึ้นมาหันกลับไปมอง ศิริวงศ์ก็หันกลับออกไปพอดีเหมือนกัน มณีริน มีมานะขึ้นมาว่า จะทอผ้าถวายพระธาตุแข่งกับบัวเงินให้ชนะให้ได้
(จบตอนที่ 12)
อ่านต่อวันพรุ่งนี้