ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยไหม ตอนที่ 27
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ลานวัดถูกตกแต่งห้อยด้วยโคมประทีป สว่างไสวไปทั้งลาน ช่างฟ้อนชายหญิง ฟ้อน ผางประทีปหน้าลานพระธาตุ ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันเข้ามาเต็มบริเวณ ศิริวัฒนาประกบมณีริน คำเที่ยงกับบริวาร ตามเสด็จทุกคนตื่นตา ตื่นใจกับผู้คนและบรรยากาศ มณีริน มองหาศิริวงศ์ แต่ก็ไม่เห็นแม้เงา
“คนนักขนาด เจ้าริน อย่าเดินไวนักเน้อดี๋ยวจะหลงกั๋น หากั๋นบ่เจอ” คำเที่ยงเตือน
“บ่หลงหรอก เจ้ารินเกาะแขนอ้ายไว้ จะใดก่อบ่หลง”
ศิริวัฒนาจับมือมณีรินมาจับแขนตัว และกุมมือมณีรินไว้ คำเที่ยงยิ้มปลื้ม มณีรินจำใจ
บริเวณแม่น้ำ...กระทงมากมาย ไหลมาตามสายน้ำ ทำให้แม่น้ำปิงระยิบระยับ สว่างไสว ชาวบ้านทยอยลอยกระทงลงน้ำที่ริมตลิ่ง ศิริวัฒนา อธิษฐานเสร็จลอยกระทงลงน้ำมณีรินยังรีรอ คำเที่ยงกับบริวารลอยกระทงลงน้ำ สนุกสนานลุ้นกันว่ากระทงจะคว่ำหรือไม่คว่ำ
“เจ้าริน...จะไดยังบ่ลอย กระทงเจ้าเปิ้นลอยไปปุ๊นแล้วเน้อ เดี๋ยวก็บ่ตันกั๋น”
มณีรินจำใจอธิฐานแล้วลอยกระทงลงน้ำ คำเที่ยงกับบริวารช่วยกันวักน้ำให้กระทงมณีรินลอยไปหากระทงศิริวัฒนา
“กระทงเจ้าเปิ้นอุตส่าห์รอ น่าฮักน่าเอ็นดูแต๊ๆเปิ้นลอยเคียงกั๋นไปแล้ว”
ศิริวัฒนาหันมายิ้มแย้มให้มณีริน
“เสียดายเน้อ เจ้าน้อยเปิ้นบ่ยอมมาตวยกั๋น ถ้ามาคงจะม่วนกว่านี้”
มณีรินเก็บความรู้สึก
“แล้วกระทงของเปิ้นจะยะจะไดดีเจ้าริน”คำเที่ยงถามมณีรินเบาๆ
"เก็บไว้ก่อนเต๊อะ”
“อ้าวกระทงเหลืออีกใบนึ่งของใครกันล่ะ”ศิริวัฒนาถามอย่างแปลกใจ
“ข้าเจ้ายะไว้เผื่อเจ้าน้อยเปิ้นเจ้า นึกว่าเปิ้นจะมาตวย”
“อ้ายก่อจวนเปิ้นแล้ว เปิ้นว่าอยากจะยะงานหื้อเสร็จก่อน แต่เจ้ารินเจื่ออ้ายเต๊อะตอนนี้เปิ้นก่อคง อยู่ตรงไหนซักตี้ในงานนี้แหละ คนอย่างเจ้าน้อยอดใจ๋บ่ไหวหรอก”
ศิริวัฒนา มณีริน คำเที่ยง บริวาร ขึ้นมาจากตลิ่ง ศิริวงศ์ที่แอบดูอยู่มุมนึงหลบเข้าพรางตัวเองหลังต้นไม้
ผู้คนมากมาย เบียดเสียดเต็มลานวัด คำเที่ยงกำชับบริวาร
“นังพวกเด็กๆเกาะกั๋นไว้ดีๆเน้อหลงละเฮาบ่ฮู้ตวยนา...”
“ปี้คำเที่ยง เอากระทงนั่นมาเต๊อะเฮาถือเอง” มณีรินหันไปบอก
“ลอยน้ำไปเสียเมื่อตะกี้ก่อสิ้นเรื่องแล้ว เจ้าน้อยเปิ้นบ่มาหรอก ทำเสียเวลาเปล่า”
มณีรินหยิบกระทงมาจากคำเที่ยง
“ฮู้ยังอี้น่าจะเอาตหารวังมาตวย จะได้บ่ต้องเดินเสียดกับคนจะอี้” คำเที่ยงบ่น
ขณะเดียวกันนั้นมีคนจุดพลุตะไลลูกใหญ่ขึ้นแถวนั้น สาวๆร้องกรี๊ดกราดวิ่งหนีกันอลหม่าน ไม่รู้ใครเป็นใครพลุแตกกับพื้นเป็นลูกไฟพุ่งกระจายสวยงามแต่คนแตกกระจายหนีลูกไฟ ฟุ้งตลบ มณีรินพลัดออกมาจากศิริวัฒนา และคำเที่ยง ห่วงประคองกระทงในมือ
ในความชุลมุนเบียดเสียดกันนั้น มณีรินถูกคว้าแขนและดึงตัวออกไป ควันจากพลุยังตลบอบอวล คำเที่ยงกับบริวารร้องกรี๊ดกร๊าดกันด้วยความสนุก ศิริวัฒนาหัวเราะเพราะพลุอีกลูก ถูกจุดขึ้นใกล้ๆกันนั้นสาวๆเฮโลหนีลูกไฟกันอีกรอบ ทั้งสนุกทั้งกลัว
มณีรินยังงงงัน แต่ก็ไหลแหวกผ่านผู้คนออกมาตามแรงดึง มือนึงยังประคองกระทงใบนั้นอยู่ ศิริวงศ์หันกลับมามอง มณีรินใจเต้น...เป็นเขาจริงๆ มือศิริวงศ์จะหลุดจากแขนมณีรินเพราะผู้คนเบียดเสียดแต่มือมณีรินคว้ามือศิริวงศ์เอาไว้ มือสองมือเกาะกุมกันแน่ มณีรินตามเขาออกไปอย่างเต็มอกเต็มใจ
พลุตะไลยังคงแตกกระจายเต็มฟ้า ผู้คนสนุกกันสุดเหวี่ยง ไม่รู้ใครเป็นใคร
ในความชุลมุน คำเที่ยงฉุดดึงบริวารหนีลูกไฟเพราะนึกว่าเป็นมณีริน
“เจ้าริน หนีมาตางนี้โวยๆเดี๋ยวจะโดนลูกไฟเอา...ไอ้จ๊าดวอกเล่นอะหยังพิเรนทร์ไฟไหม้หัวหูกูหมดแล้ว...เจ้าริน...เจ็บตรงไหนก่อ”
บริวาร เปิดผ้าคลุมไหล่ที่เอามาคลุมหัวอยู่
“ข้าเจ้าเอง บ่ใจ่เจ้าริน”
“อ้าว จะไดมึงบ่ส่งเสียงซักกำหื้อกูนึกว่าเป๋นเจ้าริน อยู่ได้แล้วนี่เจ้ารินเปิ้นอยู่ไหน”
“ข้าเจ้าบ่หัน พอลูกไฟมันแตกก่อตัวไผตัวมันแล้ว ปี้คำเที่ยง”
คำเที่ยงหน้าตื่น
“ต๋ายละ แล้วเจ้ารินเปิ้นไปตางไหนก่อบ่ฮู้” คำเที่ยงตะโกน “เจ้าริน...เจ้าริน”
ศิริวัฒนาแหวกผู้คนเข้ามา
“เจ้า...เจ้า...เจ้ารินเปิ้นพลัดไปตางไหนก่อบ่ฮู้” คำเที่ยงบอกอย่างตกใจ
“อ้าว...”
“คนมันนักขนาด บ่ฮู้ไผเป๋นไผแล้ว”
“เปิ้นคงอยู่แถวนี้แหละ บ่ไปไหนไกลดอก...จ่วยกั๋นหาเต๊อะ”
คำเที่ยงร้อนรน ตะโกนแล้วออกตามหา
“เจ้าริน...เจ้าริน”
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์พามณีรินมาที่มุมหนึ่งของแม่น้ำปิง มณีรินยื่นกระทงให้เขา
“ถ้าเฮาบ่มาโตย จะยะหยังใด กับกระทงใบนี้”
“บ่ยะอะหยังทั้งนั้นนอกจากคอย เพราะเฮาฮู้ว่าอย่างใดโตก่อต้องมา”
“ก่อถ้าเผื่อเฮาบ่มา”
“เพื่อนบ่ มีวันทิ้งเพื่อนดอก”
“แต่บางเวลาตี้มีความสุข เพื่อนก่อบ่ มีความหมายดอกเน้อ”
“ใครบอกโต”
“ความจริงเป๋นจะอั้น”
“แต่สำหรับเฮา บ่ ว่าจะสุขหรือทุกข์เฮาคิดถึงเพื่อนเสมอ”
ศิริวงศ์อึ้งไปพูดไม่ออก
“โตลอยกระทงของโตเหียเต๊อะ”
ศิริวงศ์ลอยกระทงลงน้ำ ทั้งคู่มองกระทงที่ลอยออกไปโดดเดี่ยว
“โตว่ากระทงของโต มันจะลอยไปตันกระทงของเฮาไหม”
ศิริวงศ์ไม่ตอบอะไร นึกถึงแต่การเดินทางโดดเดี่ยวตามลำพังของตนที่ไม่ต่างจากกระทงใบนี้
+ + + + + + + + + + + +
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)
รอยไหม (ต่อ)
มณีรินกับศิริวงศ์ พากันไปกราบองค์พระประธานในวิหาร
“เฮากำลังจะเริ่มทอผ้าตู๊ม” มณีรินพูดขึ้น
“ผ้าตู๊มผืนนี้คงเป๋นผ้าตู๊มตี้งามตี้สุด เพราะเจ้าสาวตี้ทอมีความสุขตี้สุด ตี้จะได้แต่งงาน”
“ผ้าตู๊มผืนนี้ เฮาจะทอหื้อโตต่างหาก”
ศิริวงศ์ชะงักอึ้ง
“บ่ได้เน้อ เจ้านางน้อยมันผิดประเพณี”
“ประเพณีมันก่อแค่สิ่งตี้คนสร้างมันขึ้นมา แล้วก่อทำๆตามกัน เพราะยึดถือว่าเป๋นสิ่งดีแล้วชอบแล้วเต่าอั้น”
“แต่ประเพณีก่อเป๋นกรอบขีดเส้นเอาไว้ บ่ หื้อเฮาเดินออกไปนอกเส้น ตี้เหมาะตี้ควรเน้อ เจ้านางน้อย”
“บ่ฮู้ละ เฮาตั้งใจ๋ยะอะหยังแล้วผู้ใดก่อเปลี่ยนใจ๋เฮาบ่ได้หรอก”
“เฮาปิ๊กออกไปข้างนอกกันเต๊อะ ป่านนี้เจ้าอ้ายกับคำเที่ยง คงจะตวยหาโตกันให้วุ่นวายไปหมดแล้ว”
มณีรินงอน ศิริวงศ์เล็กน้อย
ด้านนอก ประทีปมากมายถูกจัดวางไว้ที่พื้น เต็มลานหน้าวิหาร จนแทบไม่เหลือช่องให้เดิน มณีรินกับศิริวงศ์ ออกมาจากวิหาร
“วันพูก เฮาจะไปเก็บไหมออม”
“ไปกันหลายๆ คน คงจะม่วนดี วันพูกเจ้าอ้ายเปิ้นบ่ต้องยะงาน เจ้านางน้อยลองจวนเปิ้นไปตวยก๊ะ”
“เฮาจะจวนโตต่างหาก”
ศิริวงศ์นิ่ง ครุ่นคิดในใจ เขาจะยิ่งเอาตัวเองเข้าไปผูกพันใกล้ชิดมณีรินไม่ได้อีกต่อไป
“บ่ฮู้ละ เฮาจะทำข้าวกลางวันไปกินตวย โตจะปล่อยหื้อเฮาคอยเก้อ ก็ตามใจ๋โต”
“เจ้าริน...เจ้าริน...”เสียงคำเที่ยงดังขึ้น
มณีรินกับศิริวงศ์ หันไปมอง
“เจ้าอ้ายเปิ้นมาปู๊นแล้ว ไปเต๊อะ เปิ้นคงเป็นห่วงโตน่าดู”
มณีรินเดินฝ่าผางประทีปเต็มพื้นออกมา นึกว่าศิริวงศ์ตามมาด้วย ศิริวัฒนากับคำเที่ยง ตรงเข้ามาหา
“จะไดมาอยู่ตรงนี้เจ้าริน...เจ้า กับปี้ตวยหาเจ้ารินกั่นหื้อทั่วไปหมด”
“เฮาเข้าไปไหว้พระในวิหารกับ...”
มณีรินหันกลับไปมองอีกที ศิริวงศ์ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“กับผู้ใด...”ศิริวัฒนาถาม
“ชาวบ้านแถวนี้ เจ้า”
ศิริวัฒนาม่ได้ติดใจอะไร ชวนไปดูการแสดงอีกทาง ทุกคนจึงพากันเดินตามไป
+ + + + + + + + + + + +
ดึกคืนนั้น มณิรินกับคำเที่ยงกลับมาถึงเรือนได้สักพักแล้ว คำเที่ยงช่วยสางผมที่ยาวเต็มหลังให้มณีรินอยู่หน้ากระจก
“เจ้าเปิ้นเป็นสุภาพบุรุษแต๊ๆเลยเน้อเจ้าริน ตอนตี้เจ้ารินพลัดออกไปจากเปิ้น เปิ้นตกใจ๋นักขนาดตกใจ๋แทบคลั่ง เปิ้นสั่งทหารวังว่าถ้าหาเจ้ารินบ่เจอจะลงโทษหื้อหมด บ่ไว้หน้าผู้ใดเลย”
“แล้วเป็นสุภาพบุรุษยังไงปี้คำเที่ยง”
“อ้าว...ยังอี้บ่แปลว่าเจ้าเปิ้นฮักแล้วก่อ เป๋นห่วงเจ้ารินนักขนาดแล้วจะแปลว่าอะหยัง”
เสียงพิณเปี๊ยะดังกังวานแว่วมาจากที่ไกลๆ มณีรินใจจดจ่ออยู่กับเสียงพิณ
“ผ้าตู๊ม ตี้เจ้ารินจะทอ ทอหื้องามขนาดเลยเน้อ” คำเที่ยงบอก
“วันพูก เฮาจะไปเก็บไหมออม...”
คำเที่ยงนิ่งฟังเสียงพิณแล้วพูดขึ้น
“เจ้าน้อยเปิ้นดีดพิณแหมแล้ว เสียงพิณของเปิ้นนี่ บ่เหมือนของใครเลย…ฟังแล้วมันเศร้าขนาด”
มณีรินหน้าเศร้าสลดลงกับบทเพลงเศร้านั้น ศิริวงศ์ดีดพิณเปี๊ยะจบลงแล้วถอนใจ ศิริวัฒนาเข้ามา...
“เพลงฮักของน้อง ฟังอย่างใดก่อเป๋นเพลงฮัก ตี้เศร้าจับจิตเหมือนบ่ สมหวังในความฮัก”
“เจ้าอ้ายไปแอ่วงาน ยี่เป็ง ม่วนก่อ” ศิริวงศ์หันไปถาม
“ม่วนขนาด...อ้ายว่านับวันอ้ายยิ่งหลงฮักเจ้ารินเปิ้น อ้ายฮู้สึกว่าเปิ้นบ่ เหมือนแม่หญิงคนอื่น”
“เจ้านางน้อยเปิ้น เป๋นคนสติปัญญาหลักแหลม”
“อ้ายว่าเปิ้นบ่ มีจริตก้าน เหมือนแม่หญิงคนอื่น”
“เปิ้นเหมาะสมกับเจ้าอ้ายนักขนาดครับ” ศิริวงศ์พูดออกไปทั้งที่เจ็บแปลบในใจ
“แล้วมีอะหยังตี้อ้ายจะจ่วยโตได้บ้าง”
ศิริวงศ์ชะงัก
“ก็แม่หญิงตี้โตไปแอบหลงฮักเปิ้นอยู่ไง บอกอ้ายมากำเดียว ว่าเปิ้นเป๋นใผอ้าย จะจ่วยโตเอง บ่ใจ่เรื่องยากดอก...โตจะได้เลิกเล่นพิณเสียงเศร้า ๆจะอี๊เสียที่” ศิริวัฒนาหัวเราะ
ศิริวงศ์เศร้าสลดลง
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
มณีรินเดินนำขบวนบริวาร ที่ลำเลียงสำรับอาหารถวายเจ้าหลวง ผ่านสวนมุ่งหน้าไปที่ตึกใหญ่ เมื่อเข้าไปในตึก มณีรินกับคำเที่ยง ช่วยกันจัดสำรับอาหาร
“ข้าวอยู่ไหน ยกข้าวมาโวย ๆ” คำเที่ยงสั่งบริวาร
บริวารไม่มีใครขยับ แต่คนยกโถข้าวเข้ามาคือบัวเงิน คำเที่ยง อ้าปากค้าง
“มีอะหยังหื้อปี้จ่วยได้พ่องเจ้านางน้อย”
“ยินดีนักเอื้อย ยินดีนัก”
มณีริน รับโถข้าวมาจากบัวเงิน
“ความจริงก่อเสร็จเรียบร้อยแล้วละ”
“ถ้วยชามชุดใหม่ งามนักขนาด สำรับนี้ของใครเจ้านางน้อย”
“ชุดนี้ถวายแม่เจ้า เจ้า”
“ถ้ายังอั้น ชุดนั้นก็ถวายเจ้าหลวงสินะ”
“เจ้า”
บัวเงินขยับเข้าช่วยปิดฝาถ้วยชามสำรับเจ้าหลวง มือบัวเงินที่สวมแหวนวงใหม่ ปิดฝาถ้วยชามแหวนวงนี้หน้าแหวนเปิดออกเป็นฝาปิดลวงตา แท้จริงแล้วมันคือตลับใบน้อยดีๆนี่เอง คำเที่ยงมองอย่างไม่ไว้ใจ บัวเงินส่งถ้วยชามที่ปิดฝาแล้วให้มณีริน จัดลงถาดกระเบื้องมณีรินยิ้มตอบในน้ำใจของบัวเงิน
เมื่อเจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา เสวยอาหารกันอยู่ มณีรินเข้าเฝ้าอยู่มุมหนึ่ง ถัดไปคือบัวเงิน หญิงสองคน จมอยู่ในความคิดคนละเรื่องกัน
“จะไดศิริวงศ์ บ่ลงมากิ๋นข้าวตวยกัน” เจ้าหลวงถามอย่างแปลกใจ
มณีรินใจเต้น เมื่อได้ยินชื่อศิริวงศ์ ตั้งใจฟัง...
“เปิ้นออกจากคุ้มไปแต่เจ้าแล้วครับป้อเจ้า” ศิริวัฒนาบอก
พระชายายิ้มแย้ม
“ลูกคนนี้สงสัย จะไปแอ่วกาดตามเคย”
“เปิ้นว่าเปิ้นชอบไปฟังชาวบ้านอู้กั๋น เรื่องสารทุกข์สุกดิบครับแม่เจ้า”
เจ้าหลวงตักข้าวเข้าปาก บัวเงินที่เหมือนก้มหน้าสงบเสงี่ยมอยู่ แต่จริงๆแล้วสายตาแข็งกร้าวจับจ้องเจ้าหลวงลุ้นอยู่
“นังเม้ยมันเป๋นจะไดพ่อง บัวเงิน” พระชายาถามขึ้น
บัวเงินแทบสะดุ้ง
“แผลมันหายแล้วก๊ะ”
“ดีขึ้นจ๊าดนักแล้วกะเจ้า แม่เจ้า”
เจ้าหลวงหันมองบัวเงิน
“อีนังบ่าวคนนี้นึกๆ ไปแล้วก่อน่าเวทนามัน อะหยังๆก็ดีอยู่หรอก เสียแต่ว่ามันลำพองตัวว่าเหนือคนอื่นมันคงคิดว่านายมันฮัก เอ็งต้องอบรมสั่งสอนมันหื้อดีเน้อบัวเงิน ข้าบ่ได้จังมันดอก ซักวันมันจะติดสอยห้อยตามเอ็งเหมือนตะก่อน ข้าก่อบ่ว่าอะหยัง”
บัวเงินก้มกราบ
“เป็นพระกรุณาป้อเจ้า กะเจ้า”
บัวเงินครุ่นคิดในใจว่าเจ้าหลวงมาทำใจดีตอนนี้ก็สายไป
+ + + + + + + + + + + +
ช่วงสายวันนั้น มณีรินพร้อมจะออกไปเก็บไหมออมชายป่า คำเที่ยงยังวิ่งวุ่นตระเตรียมข้าวของ
“โวยๆ ปี้คำเที่ยง” มณีรินเร่ง
“ข้าว-น้ำยังบ่ได้เตรียมเลย เจ้ารินจะรีบไปไหนน๊อ”
“บ่เตรียม ก็บ่ต้องเอาไป”
“บ่เอาไปแล้วจะเอาอะหยังกินกั๋น”
“ก่อบ่ ต้องกิ๋น”
“ยะจะอั้นได้จะได เดี๋ยวเจ้ารินก่อจะบ่นว่าหิวน้ำ”
“เฮาบ่เกยบ่นซักเตื้อ ไปเต๊อะโวยๆ”
“ปี้ว่า เอาไว้ไปวันหลังดีกว่ามั้งเจ้ารินวันนี้มันสายแล้ว”
“บ่”
“จะมีไหมออมหื้อเก็บรึเปล่าก่อบ่ฮู้”
“มี”
“เป๋นอะหยังน๊อ จะต้องไปวันนี้หื้อได้”
“บ่มีไหมออม เฮาก็ทอผ้าตู๊มบ่ได้เน้อปี้คำเที่ยง ปี้คำเที่ยงอยากหื้อเฮาเริ่มทอผ้าผืนนั้น โวยๆ บ่ใจ่กา”
คำเที่ยงนิ่งอึ้งเถียงไม่ออก
“เอาละๆ ปี้บ่อยากเถียงกับเจ้ารินละไปก่อไป...” คำเที่ยงตะโกน “นังพวกเด็กๆ เสร็จแล้วก๊า...ใจเจ้ารินเปิ้นไปถึงชายป่าปู๊นแล้ว โวยๆ หิ้อโวยๆ”
มณีรินขำคำเที่ยง หัวใจเบิกบาน
อ่านต่อวันพรุ่งนี้