ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยไหม ตอนที่ 23
มณีรินกับคำเที่ยงและบริวาร นั่งช่วยกันเก็บดอกพิกุลอยู่ในสวน เม้ยเดินนำบริวารที่เพิ่งพากันไปซื้อของสดเช่นไก่เป็นๆ อยู่ในลอมคานหาม เนื้อหมู เนื้อวัว ที่แล่แล้วเลือดยังไหลหยด ผ่านมาพอดี ผ่ากลางวงมณีริน คำเที่ยงยกกระชุดอกไม้กระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ตามึงบอดรึไง ถึงมอง บ่เห็นคน เขานั่งกันอยู่”
ผิดคาดเพราะอีเม้ยกลับนิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไร นอกจากจ้องมองคำเที่ยงอย่างเย็นชา
“บ่ เป็นหยังดอกพี่คำเที่ยง เฮาอาจจะขวางทางเดินเปิ้นก็ได้” มณีรินตัดบทไม่อยากมีเรื่อง
“ทางเดินปะล่ำปะเหลือไป ทำไมมันต้องผ่ามาทางนี้ด้วย ถ้ามัน บ่ คิดจะหาเรื่องกัน”
“เอาเต๊อะ พี่คำเที่ยง เรื่องเล็กน้อยน่า” มณีรินหันไปหาเม้ย “เอื้อยบัวเงินสบายดี บ่ ล่ะเม้ย”
“บ่ มีอะหยังที่เปิ้นจะ บ่ สายใจ๋”
“เฮาว่า จะ...”
มณีรินพูดยังไม่ทันจบ เม้ยก็เดินเชิดนำขบวนเสบียงออกไป มณีรินหน้าเหวอไปเลย
“อีนี่มันสันดานไพร่แต๊ๆ เจ้ารินยังอู้กับมันยัง บ่ ทันหมดความ มันก็สะบัดหน้าไปแล้ว นายมันเป็นจะได ขี้ข้ามันก็เป็นจะอั้นละ ทีหลังอย่าไปแลกกับมันเชียวเน้อ เจ้าริน เสียศักดิ์ศรีเปล่าๆ อีนี่มันต้องเจอพี่เอง มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน”
“พอเต๊อะ พี่คำเที่ยง เรื่องแค่นี้เฮา บ่ ถือสาดอก”
“เจ้าริน บ่ ถือ แต่พี่ถือ มันควรจะฮู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร”
“มัวแต่ถือศักดิ์ถือศรีกัน อะไรๆในโลกนี้มันถึงได้ยุ่งเหยิง บ่ ฮู้จบสิ้นกันยังงี้ไง พี่คำเที่ยง”
มณีรินทำเสียงดุ คำเที่ยงจึงนิ่งไป
เมื่อบริวารแบกหาม เสบียงเดินแถวกันไปไกลแล้ว เม้ยหันกลับมาแหวกพุ่มไม้ แอบดูความเป็นไปของมณีรินอีกครั้ง
“มึงเจอดีแน่...บ่เมินเกินรอหรอก”
เม้ยถอยกลับออกมา แค่หันกลับก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อศิริวงศ์ยืนเผชิญหน้าอยู่ ไม่ใกล้ ไม่ไกล
“เจ้าน้อย...” เม้ยรีบแก้ตัวทันควัน “ข้าเจ้า นึกอยากจะได้ดอกพิกุล ไปฝากหม่อมเปิ้นซักหน่อย น่ะเจ้าเปิ้นจะได้เอาไว้ถวายพระตอนสวดมนต์”
ศิริวงศ์มองอย่างจับโกหก
“แล้วจะได บ่ ขอแบ่งเปิ้นมาล่ะ”
“บ่ เป็นหยังเจ้า เจ้านางมณีรินเปิ้นคงหวงของเปิ้น”
เม้ยจะเดินออกไป ศิริวงศ์ ถามขึ้น
“เอื้อยบัวเงิน เปิ้นเป็นจะไดพ่อง”
“เปิ้นสบายดี ตามประสาเปิ้น เปิ้นทำใจ๋มาเมินแล้ว ว่าเปิ้นเป็นแค่เมียหม่อม คงจะมีความสุข บ่ได้มากไปกว่านี้ดอกเจ้า”เม้ยแนบเนียนไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย เดินจากไป
ศิริวงศ์มองตามอย่างไม่ไว้ใจ
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินนำพวงมาลัยที่ร้อยเองมาถวาย พระชายาชื่นชมพวงมาลัยดอกพิกุล พวงเล็กน่ารักในมือ
“น่าฮักน่าเอ็นดู แต๊ๆ...ดีละแม่จะได้ถวายพระ”
ศิริวัฒนามองพวงมาลัยสองพวงที่เหลือ
“แล้วสองพวกนั้นของใครล่ะ เจ้าริน”
“ข้าเจ้าตั้งใจจะเอาไปฝากเอื้อยบัวเงินเจ้า”
“เจ้านางน้อยนี่มีน้ำจิตน้ำใจ แต๊ๆ”พระชายากล่าวชม
ศิริวัฒนายิ้มพึงใจ
“ถ้ายังงั้น ก็ยังเหลืออีกพวงนึง...อ้ายขอได้ก่อ”
“จะได้จะบ่ ได้ เจ้า เจ้ารินเปิ้นตั้งใจร้อยมาลัยพวงนี้มา ถวายเจ้าอยู่แล้วเจ้า” คำเที่ยงสอดขึ้น
ศิริวัฒนายิ้ม เอื้อมมือมารับพวงมาลัยจากมณีริน
“อ้ายจะเอาวางไว้ข้างหมอนคืนนี้ กลิ่นหอมๆ ของดอกพิกุลพวงน้อยนี่ คงจะทำให้อ้ายนอนหลับฝันดี”
คำเที่ยงรู้สึกวาบหวาม แต่มณีรินได้รู้สึกใดๆได้แต่ยิ้มฝืดๆ
“แม่ บ่ ได้ไปเยี่ยมบัวเงิน สองสามวันแล้ว อาการแพ้เป็นจะไดพ่องก็ บ่ ฮู้” พระชายาหันมาถามศิริวงศ์
“บ่ แพ้เท่าใด แต่เปิ้นฮ้องจะกินแต่ของสด ของคาว ลูกออกจะเป็นห่วง เพราะหมอเปิ้นว่าจะ บ่ ดีต่ออนามัย”
“แล้วจะได บ่ เชื่อ บ่ ฟังหมอเปิ้น”
ศิริวัฒนาถอนหายใจหนักใจ
“นังเม้ยน่ะแหละตัวดี แม่เจ้า นายมันอยากกินอะหยัง ก็ บ่ ทัด บ่ ทาน สรรหามาให้กินจนได้”
“มันฮักนายของมันอย่างใดกันน๊อ”
พระชายาเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์กับสล่าพันอยู่ในสวน หลังตึกคุ้มเจ้าหลวง ศิริวงศ์พูดเรื่องไม่ไว้ใจบัวเงินขึ้นมาอย่างไม่สบายใจ
“เจ้าคิดมากไปเองรึเปล่า”
“อ้ายพัน...ก่อนพายุใหญ่จะมา ฟ้าย่อมเงียบสงบราบคาบเสมอเน้อ ยิ่งเฮาเดา บ่ ออกว่าเอื้อยบัวเงินเปิ้นฮู้สึกอย่างใด เฮาว่ามันยิ่งกลัว บ่ น่าไว้ใจ”
“แต่เปิ้นกำลังจะเป็นแม่คนอยู่แล้วเน้อเจ้า เปิ้นจะกล้าคิดทำเรื่อง บ่ ดีก๊า”
“อ้ายพันอย่าลืมเน้อ ก่อนหน้านี้ เปิ้นยะอะหยังไว้ เปิ้นสมหวังมีลูกกับเจ้าอ้ายแล้วก็จริง แต่พ่อเจ้าก็เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาล ยังไงเปิ้นก็ บ่ มีวันได้ขึ้นเป็นพระชายา เจ้าอ้าย ถ้าคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง วิธีใดล่ะอ้ายที่จะทำให้เปิ้นสมหวังได้”
สล่าพันคิดตามอย่างหวาดๆ
“ในเมื่อมีคนขวางทาง เฮาก็ต้องกำจัดคนที่ขวางทางนั้นให้พ้นไปเสีย”
“เจ้านางมณีริน”
สล่าพันหน้าตื่น
“บ่ เน้อเจ้า...เจ้าคิดว่าเปิ้นจะกล้าขนาดนั้นก๊ะ”
“คนเฮา...ทำได้ทุกอย่างละอ้าย เวลาเข้าตาจน ผิดถูกดีชั่วจะได ก็ช่างหัวมัน อู้ตามตรง...เฮาเป็นห่วงเจ้านางน้อยเปิ้น”
“แล้วเฮาควรจะยะอย่างใดดีเจ้า บอกให้ผู้ใดฮู้ก็บ่ได้”
“ทางที่ดีที่สุด ก็คงต้องคอยระวังอย่าให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเปิ้นน่ะแหละอ้าย”
ศิริวงศ์กับสล่าพันพากันกังวลใจ
+ + + + + + + + + + + +
(อ่านต่อ หน้า 2)
รอยไหม (ต่อ)
มณีรินทำขนมมาให้ บัวเงินทำหน้าตาซึ้งใจ ทั้งๆที่แสนจะเกลียดชัง
“เจ้านางน้อยมีน้ำใจกับพี่นักขนาด ดูเต๊อะ อุตส่าห์ ทำขนม ขต้มมาให้พี่”
“เอื้อยกินของดีๆมีประโยชน์ ลูกในท้องจะได้แข็งแรง”
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ...สาธุ...อุตส่าห์นึกถึงลูกของพี่ นังเม้ย เอ็งผ่อไว้เน้อ คนที่เปิ้นดีแต๊น่ะ เปิ้นดีมาจากหัวใจของเปิ้นเอง บ่ ต้องมีใครมาคอยสั่งคอยสอน อีกหน่อยเอ็งหรือข้าตกยาก ลำบากกาย ลำบากใจ เจ้านางน้อยเปิ้นก็คงเป็นก็คงเป็นที่พึงของเฮาได้”
“กะเจ้าหม่อม นังเม้ยคนนี้ขอฝากเนื้อ ฝากตัว เป็นข้าฮับใช้ เจ้านางมณีรินด้วยเน้อ”
เม้ยลงทุนกราบมณีริน คำเที่ยงมองอย่างไม่ไว้ใจ
“บ่ เป็นหยังดอก คง บ่ ต้องถึงขนาดนั้นเฮาเองมากกว่า ที่จะต้องเป็นฝ่ายฝากเนื้อ ฝากตัวกับเอื้อย”
“นังเม้ย เอ็งเห็นไหม คนดี ๆ คนจะเป็นใหญ่เป็นโตให้คนอื่นเป็นกราบไหว้ น่ะ เปิ้นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวจะอี๊ละ” บัวเงินแดกดัน
“กะเจ้าหม่อม ทั่วทั้งล้านนา ตั้งแต่เชียงตุงลงมาถึงเชียงใหม่ ไปถึงลำพูน ลำปาง แป้น่าน บ่มีแม่หญิงคนใด จะงดงาม ทั้งกายใจ เทียบได้กับเจ้านางมณีรินเลย...”
คำเที่ยงมึนกับความปลิ้นปล้อนของเม้ย มณีรินหันมาหยิบมาลัยดอกพิกุล ที่คำเที่ยงประคองไว้ในพานส่งให้บัวเงิน
“ข้าเจ้าร้อยเอง ตั้งใจเอามาฝากเอื้อย”
บัวเงินรับมาทำเป็นชื่นชม
“น่าฮัก น่าเอ็นดูแต๊ๆ ยินดีนักเจ้านางน้อย พี่บ่ ฮู้จะขอบใจเจ้านางน้อยยังไง”
“ถ้าเอื้อยชอบ ข้าเจ้าก็ดีใจ...พี่คำเที่ยง...เฮาปิ๊กกันเต๊อะ เอื้อยบัวเงินจะได้พักผ่อน เฮามารบกวนเปิ้นเมินไปแล้ว”
“พี่จะออกไปส่ง”
“บ่ ต้องลำบากดอกเอื้อย พักผ่อนเต๊อะ”
“นังเม้ย เอ็งส่งแขกแทนข้าด้วย”
มณีรินไหว้บัวเงินแล้ว ลุกออกไป คำเที่ยงกับบริวารตามออกไป เม้ยตามออกไปส่ง บัวเงินที่ปั้นยิ้มอยู่จนทุกคนออกไปหมด เปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง สักครู่เม้ยกลับเข้ามา...
“มันทำเป็นยกมือไหว้กู มึงหันก่ออีเม้ย”
“มันตอแหลแนบเนียนจนเกือบจะจับไม่ได้ ไล่ไม่ทันเชียวนะกะเจ้าหม่อม”
บัวเงินทิ้งพวงมาลัยลงพื้นแล้ว เอาตีนเหยียบละเลงขยี้ๆๆๆ
“หนอย...ทำทีเป็นเอาดอกไม้มาให้กู” บัวเงินเอาตีนเขี่ยพวกมาลัย กระเด็นไป “มึงเอาไปทิ้งให้ไกลๆ ดอก... อะไรก็ไม่รู้ เหม็นระยำตำบอน”
เม้ยเอาตีนเขี่ยออกไปนอกห้อง
“แล้วขนมของมันละเจ้าหม่อม”
“เอาไปทิ้งให้หมูหมา กาไก่ที่ไหนกินก็ได้ กูว่ามันต้องทำของใส่มาในนั้นแน่ อีเวรนี่มันคิดว่ากูจะหลงกลมันละมัง”
“หม่อมของเม้ย ฉลาดหลักแหลมแต๊ๆ”
บัวเงินชี้หน้าเม้ย
“อีเม้ย...มึงสรรเสริญมันจนกูอยากจะตบปาก”
“โธ่ หม่อมกะเจ้า มันตอแหลมา เม้ยก็ต้องตอแหลกลับไปให้เหนือกว่ามันซิเจ้า”
เม้ยหัวเราะคิกคัก
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำนั้น เม้ยอาศัยความมืด แฝงตัวเข้ามาถึงด้านหลังเรือนมณีริน มองหาบางอย่าง เม้ยตรงเข้ามาหยิบกระชุดอกไม้ที่แขวนไว้มุมหนึ่ง ขณะเดียวกันนั้น คำเที่ยงถือตะเกียงออกมากับลูกน้อง เม้ยรีบหลบออกไปพร้อมกระชุดอกไม้
“เสร็จแล้วก็ปิดประตู หน้าต่าง ให้ดีๆ ถึงจะอยู่ในเขตคุ้มเจ้าหลวง ก็ต้องระวังคนบางคน ฮู้หน้า บ่ ฮู้ใจ” คำเที่ยงมองไปไม่เห็นกระชุดอกไม้ที่แขวนอยู่ “อ้าวแล้วกระชุเปิ้นหายไปไหน ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าข้าวของใช้แล้วให้เก็บที่เดิม”
“กระชุอะหยัง เอื้อย” บริวารถาม
คำเที่ยงหันไปเอ็ดตะไรใส่
“ก็กระชุเจ้ารินเปิ้นชอบใช้เวลาเปิ้นออกไปเก็บดอกไม้ คอยดูเต๊อะวันพูก เปิ้นหากระชุเปิ้น บ่ เจอละเป็นเรื่องแน่”
เม้ยแขวนกระชุไว้ที่เดิม แล้วรีบเร้นกายหนีออกมาทัน บริวารหันมามองหาแล้วเห็น
“ก็นั่นไง บ่ ใช่ก๊ะเอื้อย”
คำเที่ยงหันกลับมาแล้วอึ้งๆ งงๆ กับตัวเอง
“มันมาอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่เมื่อไร”
“มันก็อยู่ของมันตรงนี้ บ่ ได้ไปไหน เอื้อยตา บ่ ดีเอง”
“หูตาข้ามันแย่ขนาดนั้นเชียวก๊ะ”คำเที่ยงงงๆ
“ไม่งั้นก็ ผีเอาไปซ่อน”
คำเที่ยงหันไปด่าทันที
“อีบ้า ปาก บ่ดี ค่ำมือดึกดื่น อู้อะหยัง บ่ฮู้จักระวังปาก ดูปิดฟืนปิดไฟด้วย”
คำเที่ยงชักหลอนๆรีบกลับเข้าข้างใน เม้ยที่หลบซ่อนอยู่มุมนึง สมหวัง
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์กำลัง ปรึกษาเรื่องงานกับศิริวัฒนา เรื่องกิจการไม้
“จะไดเสีย เครื่องจักรก็เข้าไปทำงานแทน บ่ได้ดอกเจ้าอ้าย งานชักลากไม้จากป่า ยังต้องอาศัย จ๊างอยู่ดี”
ขณะเดียวกันนั้นสล่าพันเข้ามาในห้อง
“อ้ายพันมาแล้ว”
“เจ้าให้หาผม มีอะหยังให้ผมฮับใช้ครับ”
“เฮาอยากจะปรึกษาอ้ายพัน เรื่องงานแต่งงานของเฮากับเจ้ารินเปิ้น”
ศิริวงศ์ใจหาย แต่ก็ฟังนิ่งๆ...
“วันงาน เฮาอยากให้อ้ายพัน เอ่ยลำนำกับพิณเปี๊ยะ เฮาอยากให้แต่งลำนำบทใหม่ บ่ ใช้ของเก่าที่มีอยู่”
“เจ้าใช้งานผิดคนเสียแล้วละครับ”
ศิริวัฒนาแปลกใจ
“อ้าว...ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะอ้ายพัน”
“ก็ตอนนี้ มีคนที่ทั้งเอ่ย ทั้งแต่งบทลำนำ ทั้งเล่นพิณเปี๊ยะได้จับจิตจับใจ โดยเฉพาะลำนำเรื่องความฮักน่ะ บ่ ใช่ผมเสียแล้วละครับเจ้า”
“ในเชียงใหม่นี่ ใครๆ ก็ฮู้กันอยู่ว่า ถ้าเรื่องนี้ต้องยกให้อ้ายพันนี่นา แล้วยังจะมีใครฝีมือดีไปกว่าอ้ายพันอีกรึ”
“คนคนนั้น ก็ อยู่ตรงหน้าเจ้านี่แหละครับ”
ศิริวัฒนาอึ้งตะลึง
“เจ้าน้อย”
“ครับเจ้า”
ศิริวงศ์ชะงัก สล่าพันยกภูเขามาสุมไว้ให้ตนชัดๆ
“ฝีมือเจ้าน้อยเปิ้นดีวันดีคืน ยิ่งเอ่อ...เรื่องความฮักละก็ จับจิตจับใจนักขนาด ผมรับรอง”
“อ้ายพันก็พูดเกินไป”ศิริวงศ์พยายามแย้ง
“บ่ เกินไปดอกเจ้า ลำนำความฮักของหนุ่มสาว ผมว่าเจ้าเข้าถึงหัวจิต หัวใจ๋ มากกว่าผม ผมมันผ่านเวลานั้นมาเมินเกินไปแล้ว”
ศิริวัฒนายิ้มๆ
“สงสัยว่า เจ้าน้อยเปิ้นกำลังมีความฮักอยู่ละสิใช่ไหม อ้ายพัน”
ศิริวงศ์หายใจไม่ทั่วท้อง
“ก็น่าจะเป็นจะอั้นละครับเจ้า”
“ผมว่า ผมบ่มีความสามารถพอดอก เจ้าอ้าย” ศิริวงศ์ออกตัว
“นึกซะว่าช่วยอ้าย อ้ายอยากให้ลำนำบทนี้เป็นของขวัญวันแต่งงาน ยังพอมีเวลา บ่ ได้เร่งร้อนอะหยัง อย่าปฏิเสธอ้ายเลยเน้อ”
ศิริวงศ์เหมือนถูกต้อนให้จนมุม จึงไม่กล้าปฏิเสธอีก
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
มณีรินลงจากชั้นบน คำเที่ยง และบริวารตามเป็นพรวน
“เฮาอ่านจากหนังสือ ดอกพิกุลน่ะใช้เข้าเครื่องยาด้วยเน้อ พี่คำเที่ยง”
“เจ้า”
“ธูปที่เฮาจุดบูชาพระ ถ้าเฮาใส่ดอกพิกุลไปด้วย ก็จะหอมขนาด”
“เจ้า...จะอั้นเฮาจะเก็บมาให้เต็มกระชุเชียวเน้อ วันนี้...กระชุ ๆอยู่ไหน อีนังพวกนี้ บ่ฮู้จักหน้าที่เล๊ย”
คำเที่ยงวิ่งมาคว้ากระชุที่แขวนไว้ลงมา
“เอ...ใบนี้ท่าจะเล็กเกินไปไหมน๊อ...”
คำเที่ยงเกือบเปลี่ยนใจจะแขวนกระชุเก็บที่เดิม แต่หันไปถามบริวาร
“กระชุใบใหญ่อยู่ไหน”
“ใบใหญ่เอาไปใส่ฝักกับแตงแล้วไงเจ้า”
“ป๊าด อีนังพวกนี้”
“ก็เอื้อยเป็นคนสั่งเอง”
“ยังจะมาย้อนเฮาอีก ใบนี้ก็ใบนี้ เอ...จะไดมันหนักๆ ใครเอาอะหยังใส่ไว้หว่า”
คำเที่ยงจะเปิดฝากระชุดู แต่ยังไม่ทันเปิด บริวารก็พูดขึ้นเสียก่อน
“เจ้ารินเปิ้นไปโน่นแล้วเน้อเอื้อย”
“ก็รีบตามเปิ้นไปซิ”
คำเที่ยงเปลี่ยนใจหิ้วกระชุใบนั้นออกไปทันที
+ + + + + + + + + + + +
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)