ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยไหม ตอนที่ 24
เม้ยนำความที่ได้ยินมาว่า คุ้มเจ้าหลวงกำลังจะจัดงานแต่งงานของเจ้าศิริวัฒนาในเร็ววันนี้ มาบอกบัวเงิน
“มึงได้ยินมาแต๊ก๊ะอีเม้ย”บัวเงินถามอย่างร้อนใจ
“โธ่ หม่อมกะเจ้า อย่าว่าแต่คนในคุ้มเลย คนนอกคุ้มมันยังคุยกันให้แช่ดว่า เจ้าหลวงเปิ้นตั้งใจ๋จะให้งานแต่งงาน เจ้าศิริวัฒนา กับอีนั่น เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่ซุด หมดเปลืองเท่าไรไม่ว่า เปิ้นจะเชิญแขกทั้งพวกฝรั่งที่ค้าขายกับเฮา เจ้าหลวงลำพูน ลำปาง แป้ น่าน จะมากันหมด แขกทางพระนครก็ยังจะมา เจ้า...” เม้ยสาธยาย
บัวเงินเคียดแค้น
“กูตั้งท้องหลานคนแรกให้ทั้งคน ยังบ่เคยฮับขวัญ ทองเส้นเท่าขนาดกุ้ง กูก็บ่เคยได้ฮับ ทีงานแต่งอีมณีริน ฟ้าจะถล่ม ดินจะทะลาย มันลำเอียงกันชัดๆ”
“อีพวกในห้องเครื่องมันคุยกันว่า ไอ้พันลงมือตีทอง ยะเครื่องทองชุดใหญ่ เป็นเพชรล้อมทับทิม มันว่าแม่เจ้าเลือกเพชรกับทับทิมเองกับมือ แต่ละเม็ดยังกะไข่ห่าน เปิ้นจะเอาไว้ให้อีมณีรินเป็นของขวัญ” เม้ยยุยง
“พอแล้วอีเม้ย”
“เม้ย บ่ แปลกใจ๋เลย ว่าจะไดมันคืนแหวนทับทิบวงนี้มาให้หม่อมง่ายดายนัก ที่แท้แล้วมันฮู้ว่ามันกำลังจะได้ลาภก้อนใหญ่”
“กูบอกให้หุบปาก มึงจะพล่ามให้กูปวดหัวใจไปถึงไหน”บัวเงินน้ำตาร่วง
“หม่อมกะเจ้า หม่อม บ่ ต้องกลัวดอก คนมีบุญอย่างหม่อม ยังไงเทวดาอารักษ์ก็ปกปักฮักษา อีมารมณีรินน่ะ หม่อมเชื่อเม้ยเต๊อะ อายุมัน บ่ ยืนจนถึงวันแต่งงานดอก”
บัวเงินเจ็บแค้นใจเป็นที่สุด
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์ เดินออกมาจากตึกกับสล่าพัน…
“อ้าย บ่ น่าโยนภาระนี้มาให้เฮาเลย เฮาว่าเฮายะบ่ได้ดอก” ศิริวงศ์บ่นทันที
“มันจะยากจะไดเจ้า เจ้าก็เป็นคนมีความฮักอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว เจ้าฮู้สึกอย่างใดกับความฮักของเจ้า ฮู้สึกอย่างใดกับแม่หญิงของเจ้า เจ้าก็ถ่ายทอดมันออกมา เท่านั้นเอง”
ศิริวงศ์ถอนใจ
“มัน บ่ เหมือนกันดอกอ้าย”
“ความฮักก็คือ ความฮัก จะ บ่ เหมือนกันได้จะได”
“จะไดเฮาก็เขียน บ่ ได้ดอก”
“ยังพอมีเวลา บ่ได้เร่งร้อน เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธเลย เจ้าอ้ายเปิ้นจะเสียใจเปล่าๆ”
ศิริวงศ์ยิ่งละอายใจ สล่าพันจ้องหน้า
“ถามจริงๆเต๊อะเจ้า แม่หญิงในหัวใจเจ้าเป็นผู้ใดกัน”
“บ่ มีดอก” ศิริวงศ์ตอบทันที
“เจ้าจะขี้จุ๊ ไปทำไม ก็เสียงพิณที่เจ้าเล่นแต่ละครั้งมันฟ้องอยู่ อ้ายเห็นแม่หญิงของเจ้าจากเสียงพิณ แม่หญิงคนนั้นงดงาม อ่อนหวาน เหมือนดอกไม้ เหมือน...เหมือนใครดีน๊อ...นึกออกแล้ว...งดงามเพียบพร้อมเหมือนเจ้านางมณีรินเปิ้น”
ศิริวงศ์สะดุ้งรีบหลบตา
“เหลวไหลใหญ่แล้ว อ้ายพัน”
ศิริวงศ์เดินหนีออกไปทันที สล่าพันยังไม่เฉลียวใจอะไร
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินนั่งเก็บดอกพิกุลกับคำเที่ยงและบริวาร คำเที่ยงใช้ไม้ขย่มกิ่งให้ดอกบานร่วงลงมา แล้วแตกกระเจิงเพราะรังมดแดงแตกและตกลงมาด้วย บรรยากาศครื้นเครง มณีรินหัวเราะ เพราะคำเที่ยงเต้น เร่า ๆ
“นี่ละน้า โลภมาก พี่คำเที่ยง”
“ก็เจ้าริน บอกเองว่าอยากได้ดอกพิกุลให้เต็มกระชุ”
“ได้เท่าไรก็เท่านั้นเต๊อะ จะไปเบียดเบียนมดแมลงเปิ้นทำไม”
สล่าพันเดินเข้ามา
“อ้ายพัน จะไปไหน”
สล่าพันทำความเคารพมณีริน
“บ่ ได้ไปไหน เฮายังคิดงานของเฮา บ่ ออก เลยออกมาเดินเล่น เผื่อจะได้ความคิดดีๆ ให้แม่เจ้าเปิ้นพอใจ”
“งานอะหยังน๊อ อ้ายพัน บอกเฮาได้ก่อ งานถวายแม่เจ้า อะหยังเฮาช่วยได้ เฮาก็ยินดีเน้อ”
“ผมต้องออกแบบ เครื่องทองชุดนึง ถวายแม่เจ้า”
“แม่เจ้าเปิ้นจะใช้ฮับขวัญหลานลูกเอื้อยบัวเงิน ใช่ก่อ”
“บ่ ครับ เจ้าน้อย”
“ถ้ายังงั้นก็เป็นของขวัญแต่งงานเอื้อยบัวเงินกับเจ้าเปิ้น ใช่ก่อ”
“ใช่ครับ ของขวัญงานแต่งงาน”
คำเที่ยงหน้าบูด ตรงกันข้ามกับมณีรินที่ยิ้มยินดี สล่าพันพูดต่อทันที...
“แต่ บ่ ใช่งานหม่อมบัวเงินเปิ้นดอกครับ แม่เจ้าเปิ้นเตรียมของขวัญให้เจ้านางน้อย วันอภิเษกกับเจ้าศิริวัฒนาเปิ้นต่างหาก”
มณีรินยิ้มค้างสลด ตรงข้ามกับคำเที่ยงที่หน้าบานขึ้นมาทันที
“แต๊ก๊ะ อ้ายพัน”
“แต๊...ฤกษ์วันอภิเษก ยัง บ่ได้มาก็จริง แต่ บ่พ้นเดือนห้าแน่”
“จะได บ่ รอให้เอื้อยบัวเงินคลอดลูกก่อน เผื่อลูกเปิ้นออกมาเป็นชาย”มณีรินแย้ง
“จะเป็นชายหรือหญิง ก็ บ่ สำคัญดอกครับเจ้านางน้อย เจ้าหลวงเปิ้นให้ยกเว้นกฎมณเฑียรบาลแล้ว อย่างใดเสียเจ้านางน้อยก็ต้องเป็นแม่เจ้าเวียงเชียงใหม่คนต่อไปครับ”
มณีรินหน้าเศร้าฝันสลาย
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์เดิน ทอดอารมณ์มาในสวน คนสวนดายหญ้าอยู่มุมนึง ไม่ไกลกันมีธูปกำมือนึงจุด ปักเอาไว้
“ดายหญ้าต้องจุดธูปด้วยก๊ะ”ศิริวงศ์ถามอย่างแปลกใจ
คนสวน ยกมือไหว้
“ขอขมาลาโทษเปิ้นครับเจ้า เมื่อวานผม บ่ สบายใจ”
“อะหยัง”
“งู ครับ งูเห่า ตัวเท่าแขน ตัวงี้ดำสนิท ผมมาคิดดูอีกที ผมว่าเปิ้นต้องเป็นงูเจ้าที่ เจ้าทาง แน่ๆ”
“ทำไมล่ะ พลั้งมือไปตีเปิ้นตายก๊ะ”
“บ่ ดอกครับ เมื่อวาน ผมดายหญ้าอยู่แถวนี้ละ เปิ้นเลื้อยผ่านมา ผมเลยต้อนเปิ้นใส่กระสอบ ตั้งใจว่าจะเอาไปปล่อยในป่า นอกคุ้มโน่น”
“ก็ดีแล้วนี่ ขืนอยู่แถวนี้เดี๋ยวจะไปกัดใครเข้า”
“ผม บ่ทันได้เอาไปปล่อยน่ะสิครับเจ้า นังเม้ย บ่าวหม่อมบัวเงินเปิ้นมันมาขอผมไป”
“เอาไปยะหยัง”
“มันว่า หม่อมเปิ้นกำลังอยากกินอยู่พอดี มันจะเอาเนื้อไปผัดเผ็ด ดีงูก็จะดองเหล้า ทำยาให้นายมันครับ”
ศิริวงศ์กระอักกระอ่วน
“ผมมานึกดูอีกที ผม บ่น่าให้มันไปเลย บาปกรรมแต๊ๆ ถ้าเปิ้นเป็นงู เจ้าที่เจ้าทางจริงๆ ผมว่าเปิ้นจะปิ๊กมาล้างแค้นผมน่ะครับ”
ศิริวงศ์ฟังแล้วสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินหน้าเคร่งเครียด หลังจากที่รู้ว่างานแต่งงานจะไม่เปลี่ยนแปลงไป
“เจ้าริน...เจ้ารินจะไปทุกข์ใจแทนเปิ้นทำไม เปิ้นเป็นหม่อม เปิ้นก็ต้องฮับสภาพความเป็นจริงให้ได้” บัวเงินเตือน
“เปิ้นมาก่อนเฮาเน้อพี่คำเที่ยง แล้วตอนนี้เปิ้นก็มีลูกกับเจ้าเปิ้นแล้วด้วย ว่ากันตามตรงมัน บ่ยุติธรรมกับเปิ้น”
“ใครว่า เปิ้นมาก่อนเจ้าริน เจ้าหลวงกับเจ้าพ่อของเจ้าริน เปิ้นหมั้นหมายเจ้ารินกับเจ้าศิริวัฒนา เอาไว้ตั้งแต่เป็นละอ่อนโน่นแล้ว จะไดเสียเจ้ารินก็มาก่อน”
“จะไดเสีย เฮาก็บ่อยากแต่ง”
“จะไปขัดไปขืนเปิ้นได้จะได”
“เฮาจะไปทูลเจ้าหลวงกับแม่เจ้า เปิ้นตามตรง ว่าเฮา บ่ อยากแต่ง เฮาว่าเปิ้นมีเมตตาพอที่จะเข้าใจความฮู้สึกของเฮา”
“นี่มันเรื่องใหญ่เน้อเจ้าริน มันจะกระทบสายสัมพันธ์เชียงใหม่ เชียงตุงได้เน้อ เจ้ารินต้องคิดดูให้ดีๆเน้อ”
“เฮาจะกราบทูลเปิ้นวันนี้เลย” มณีรินมุ่งมั่น
คำเที่ยงรีบขัดทันที
“วันนี้ ฟ้าหลัว ฤกษ์ บ่ดีดอก”
“จะเร็วจะช้า เฮาก็ต้องพูดความจริงจากใจเฮา ฤกษ์ยาม บ่ สำคัญดอกพี่คำเที่ยง”
มณีรินดึงกระชุไปจากมือคำเที่ยง แล้วเดินลิ่วๆออกไปเครียดจัด
“เจ้าริน”
“อย่าตามเฮามาเน้อ เฮาอยากอยู่เงียบๆคนเดียว”
มณีรินเดินออกไป โดยไม่รู้ว่าเม้ยมาซุ่มดูเหตุการณ์อยู่หลังต้นไม้
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินเดินออกมาได้ครู่เดียวก็ต้องชะงัก เพราะเห็น...ศิริวงศ์เดินมาจากอีกทางพอดี ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน
“เจ้านางน้อยหน้าตา บ่ สบายเลย”
“โตก็ฮู้เรื่องที่เจ้าหลวงเปิ้น ยกเว้นกฎมณเฑียรบาลใช่ก่อ”
ศิริวงศ์นิ่งแทนคำตอบ
“แล้วจะได โต บ่ บอกเฮาซักคำ ปล่อยให้เฮามีความหวังจะได้ปิ๊กบ้านเกิดของเฮาอยู่ได้” มณีรินน้ำตาร่วง
ศิริวงศ์ตกใจ
“เจ้านางน้อย...”
“โตเป็นเพื่อนเฮาจะได บ่ ยอมบอกความจริงกับเฮา เฮาชังโตนัก โตจะแกล้งให้เฮาทุกข์ใจไปถึงไหน”
“แล้วเจ้านางน้อยคิดว่า เฮา บ่ ทุกข์ใจก๊ะ ที่ต้องทนเห็นน้ำตาเจ้านางน้อยจะอี้”
“คนที่สมควรจะได้แต่งงานกับเจ้าเปิ้น คือเอื้อยบัวเงิน บ่ ใช่เฮา...เฮาจะไปหาเจ้าอ้ายของโต เฮาจะไปบอกความจริงเปิ้นทั้งหมด ว่าเฮา บ่ ได้ฮักเปิ้น เฮาบ่ต้องการเข้าพิธีแต่งงานกับเปิ้น”
“เจ้านางน้อย...ฟังเฮาเน้อ...เฮาได้เกิดมาเป็นคนกะเปิ้นชาตินึง นับว่าเป็นบุญแล้ว โชคชะตาได้กำหนดทุกอย่างเอาไว้แล้ว ความภาคภูมิใจอะหยัง ก็คงบ่เท่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะข้าแผ่นดิน ให้สมบูรณ์พร้อม เชียงใหม่กับเชียงตุงจะสานสัมพันธ์ เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันสืบไป ก็เพราะความเสียสละของเจ้านางมณีรินเน้อ”
มณีรินยิ่งน้ำตาร่วงพรู ศิริวงศ์อยากจะสวมกอดปลอบใจ ใจแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้ ยังต้องรักษาระยะห่าง
เม้ยมุดพุ้มไม้ แอบดูอยู่มุมนึง ใจระทึก ขณะเดียวกันนั้นเสียงสล่าพันก็ดังขึ้น
“นังเม้ย”
เม้ยสะดุ้งสุดตัว
“เอ็งมายะอะหยังแถวนี้”
“ข้าเจ้า...ข้าเจ้ามาหาดูผึ้ง เผื่อว่าจะมีรังใหญ่ๆ น้ำหวานนักๆ จะได้ให้คนมาตี”
ศิริวงศ์เดินตามมณีรินออกไป เม้ยเหลือบมอง
“บ่ มีดอก แถวนี้”
สล่าพันมองตามสายตาเม้ย แต่ก็ไม่เห็นใคร
“แล้วจะได เอ็งบ่อยู่ดูแลนายเอ็ง ทุกทีเห็นนายเอ็งที่ใดก็เห็นเอ็งที่นั่น”
“หม่อมเปิ้นเอนหลังอยู่ ข้าเจ้าเลยออกมาเดินเล่น ป่านนี้คงจะตื่นแล้ว ข้าเจ้าไปละเน้อ”
เม้ยรีบเดินหนีไป สล่าพันมองตามอย่างอดสงสัยกับท่าทีแปลกๆไม่ได้
+ + + + + + + + + + + +
(อ่านต่อหน้า 2)
รอยไหม (ต่อ)
มณีรินเดินไปที่ต้นพิกุล พยายามสงบจิตใจตัวเอง ปลงตก วางกระชุดอกไม้ลงแล้วลงนั่งบนม้านั่ง ศิริวงศ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้มณีริน
“ผ้าเช็ดหน้าโตเปียกไปหมดแล้ว เอาผืนนี้ไปเต๊อะ”
“บ่ ต้องดอก เฮาคงจะบ่ ใช้มันอีกแล้ว”
“คิดได้จะอั้น ก็ดี...ในโลกนี้ยังมีความทุกข์อีกมากมายนัก โตเก็บน้ำตาไว้บ้างก็ดี ความทุกข์บางอย่างเก็บงำไว้ในใจตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นคนรอบๆตัวเปิ้นจะพลอยทุกข์ใจไปด้วย”
“ชาตินี้เฮาคง บ่ ได้มีโอกาสปิ๊กเชียงตุง บ้านเกิดเฮาอีกแล้ว”
“ทำไม่โตคิดจะฮั้น แต่งงานกับเจ้าอ้ายของเฮาแล้ว ได้เป็นชายาเปิ้น โตจะปิ๊กไปเยี่ยมบ้านเกิดเมื่อใดก็ได้”
“แล้วโตยังอยากจะไปแอ่ว เชียงตุงก่อ”
“ไปสิ...จะไดก็ต้องไปแอ่วสักครั้งนึงในชีวิตให้ได้”
มณีรินยิ้มเศร้าแต่ฝืนยิ้ม
“เฮาตั้งใจออกมาเก็บดอกไม้ ออกมาตั้งเมินแล้ว ยัง บ่ได้ดอกไม้ซักดอก”
“โตอยากได้ดอกอะหยังบ้าง เฮาจะช่วยเก็บ”
“ดอกพิกุล เฮาจะเอาไปทดลองทำธูป”
“น่าจะเป็นธูปที่หอมที่สุด หอมกว่าธูปของผู้ใดเชียวละ”
มณีรินยิ้มตอบ ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะ เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ มณีรินเก็บดอกพิกุลที่ร่วงอยู่บนพื้น ศิริวงศ์ช่วยเก็บได้หลายดอก แล้วขยับไปหา ยื่นดอกพิกุลในมือให้มณีริน มณีรินรับดอกไม้มารวบไว้ในมือ ทั้งสองข้าง ดอกไม้มากพอที่จะเก็บใส่กระชุ
“เฮาอยากได้กระชุมาใส่ดอก”
ศิริวงศ์เอื้อมไปหยิบกระชุมาแล้วรู้สึกแปลกๆเพราะมันหนักอึ้ง มณีรินยื่นมือมารอจะใส่ดอกไม้ ศิริวงศ์เปิดฝากระชุ
เม้ยแอบดูอยู่มุมนึง ด้วยสายตาอาฆาต
“ไปลงนรกซะเถอะมึง”
+++++++++++++++++++++
ทันทีที่ฝากระชุถูกเปิดขึ้น งูเห่าก็ชูหัวแผ่แม่เบี้ยแล้ว พุ่งออกมาจากกระชุ ศิริวัฒนาผลักมณีรินออกไปมืออีกข้างที่ถือหูกระชุอยู่ เหวี่ยงกระชุทิ้งออกไปจากตัว มณีรินล้มลงกับพื้น งูเห่าถูกเหวี่ยงอยู่กลางอากาศหันมาฉกเข้าที่แขนของศิริวงศ์ เต็มเขี้ยว มณีรินยังช็อคตาค้าง ศิริวงศ์รู้ตัวทันทีว่าโดนดีเข้าให้แล้ว
“กริ๊ด...ด...” มณีรินร้องลั่น
เม้ยสะใจ เพราะเห็นมณีรินล้มลงไป ไม่คิดว่างูกัดศิริวงศ์แทน
“สาแก่ใจกูแต๊ๆ”
มณีรินตกใจตะโกนสุดเสียง
“ช่วยด้วย งู... งู...พี่คำเที่ยง...พี่คำเที่ยง”
คำเที่ยงกับหมู่มวล วิ่งกรูกันมาจากอีกทางร้องเอะอะ แตกตื่น
“เจ้าริน...งูอะหยัง ไหน”
“โน่น มันไปทางโน้นแล้ว”
คำเที่ยงกับหมู่มวลร้องกรี๊ด ๆ ลั่นสวน แต่ก็คว้าไม่ได้คนสะท่อน ไล่ตีไล่ฟาดงูกัน ศิริวงศ์ทนพิษไม่ไหว ทรุดลงกับพื้นมณีรินรีบเข้ามาดูศิริวงศ์
“เจ้าน้อย...เจ้าน้อย”
ศิริวงศ์กัดฟันเจ็บปวด มือเค้น แผลเขี้ยวงูกัดไว้แน่น
“พี่คำเที่ยง มาช่วยกันก่อน เจ้าน้อยเปิ้นโดนงูขบ”
คำเที่ยงกับหมู่มวลที่กำลังรุมตีงูกันอยู่ ตาเหลือกวิ่งกรูกันกลับมาทันที
“อะหยังนะเจ้าริน”
“เจ้าน้อยเปิ้นโดนงูขบ ช่วยกันโวยๆ”
คำเที่ยงช็อค พาลจะเป็นลม ศิริวงศ์ปวดแสนสาหัส พิษกระจายเร็วมาก
เม้ยเงี่ยหูฟัง และได้ยินชัดเจน ขัดใจ
“เป็นจะอี้ได้จะไดวะ”
คำเที่ยงรนลาน สติแตก บริวารช็อคกันถ้วนหน้า
“เจ้าน้อยโดนงูขบ อีพวกนี้ยังยืนเฉยกันอยู่อีก ใครก็ได้ไปตามหมอมาโวยๆ”
บริวารวิ่งออกไปคนนึง ศิริวงศ์ ปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าน้อย อดทนหน่อยเน้อ”
“งูมันขบเจ้าเปิ้นได้จะได เจ้าริน” คำเที่ยงถามเสียงสั่น
“งูมันอยู่ในกระชุนั่น มันพุ่งออกจะขบเฮาแต่เจ้าน้อย เปิ้นปัดมันออกไปทัน”
“แล้วงูนั้นเข้าไปอยุ่ในกระชุนั่นได้จะได”
“อย่าเพิ่งถามอะหยังตอนนี้เลยพี่คำเที่ยง เฮาต้องช่วยเจ้าน้อยเปิ้นให้ได้ก่อน”
ศิริวงศ์กันฟันแน่นเจ็บปวดแทบจะขาดใจ
“เจ้าน้อย โตจะตาย บ่ ได้เน้อ โตจะตาย บ่ได้ ได้ยินเฮาก่อ เฮาบ่ยอมให้โตตายดอก”
ศิริวงศ์มองมณีริน มณีรินน้ำตาร่วง นาทีของการต้องจากกันมันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง
“เฮายังมีอะไรๆ ที่ต้องบอกโตอีกมากมาย โตจะจากเฮาไปตอนนี้ บ่ ได้ หมอมารึยัง นี่คำเที่ยงหมอมารึยัง”
“ยัง บ่ เห็นหัวเลย จะไดมันช้านัก”
“เจ้านางน้อย...”ศิริวงศ์เสียงแหบแห้ง
“อะหยัง”
“เจ้าอ้ายของเฮา เปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เจ้านางน้อยจะฮักเปิ้นได้บ่อยากดอก”
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้ได้ไหม”
“เปิ้นจะเป็นที่พึ่งเจ้านางน้อยได้”
“หมอมารึยัง พี่คำเที่ยง” มณีรินตะโกนทั้งน้ำตา
คำเที่ยงพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้า มณีรินตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่มือยังบีบกดเหนือแผลงูกัด แล้วก้มลงดูดพิษงูจากแผลรอยเขี้ยวทีนที คำเที่ยงกับบริวารกรีดร้องตกใจ ศิริวงศ์ตกใจที่มณีรินกล้าเกินไป
“เจ้านางน้อย ...อย่า”
มณีรินดูดพิษงูอยู่นานกว่าจะผละออกจากแผล บ้วนพิษทิ้ง มณีรินวนทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้าริน...มันอันตรายเน้อ พอเต๊อะ” คำเที่ยงห้ามไว้
ศิริวงศ์มองมณีรินอย่างเป็นห่วง
“เจ้านางน้อย...ทำอย่างนี้ทำไม”
“เฮา บ่ กลัวดอก ความตาย เฮาเคยตายมาแล้ว หนนึง แล้วคนที่ดึงเฮาปิ๊กมา ก็คือโต วันนี้ยังไงเอาก็ต้องดึงโตปิ๊กมาให้ได้ เหมือนกัน โตจะตายบ่ได้อย่างน้อย โตก็ต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ โตเคยบอกว่าจะไปแอ่วเชียงตุง บ้านเกิดเฮาไง เจ้าน้อยโตต้องไปเชียงตุงกับเฮาเน้อเจ้าน้อย”
ศิริวงศ์ยากจะบรรยายความรู้สึกความเจ็บปวดแสนสาหัสในขณะนี้ กลายเป็นเรื่องน้อยนิด เมื่อเทียบกับความปิติในความรักที่บังเกิด มณีรินยังก้มลงดูดพิษงู และบ้วนทิ้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ถูกปาดป้ายทิ้งอย่างไม่ปราณีปราศรัย เสียงร้องไห้ระงมของคำเที่ยงกับบริวารเป็นความรู้สึกให้ต้องต่อสู้ไล่ความตายไปให้ไกล
เม้ยเห็นทุกสิ่งทุกอย่างกับตา ยังไงศิริวงศ์ก็คงไม่รอด ถ้าโชคดีอีกชั้น มณีรินก็อาจจะมีอันเป็นไปด้วย เม้ยผละออกจากที่นั่นทันที
อีกด้าน บริวารวิ่งหน้าเริ่ดนำสล่าพันมา
“โวย ๆ อ้ายพันโวยๆ”
สล่าพันไม่ได้อ้อยอิ่ง แต่วิ่งไปมองหาสมุนไพรรายทางที่ผ่านมา
“โวย บ่ ฮู้จะโวยอย่างใดแล้ว เอ็งแน่ใจเน้อว่างูเห่า”
“แน่ใจ๋ เห่าหม้อแต๊ๆ หมู่เฮาตีมันตายกับมือ โวยๆ อ้ายพัน”
“ฮู้แล้ว”
สล่าพันวิ่งหน้าตั้งจนแซงบริวารขึ้นมา
+ + + + + + + + + + + +
เม้ยรีบเข้ามารายงานผลงานของตนให้นายฟัง บัวเงินกังวลใจ
“เป็นจะอี้ได้ จะไดอีเม้ย”
“เม้ยก็บ่ฮู้เจ้าหม่อม”
“ถ้าเจ้าน้อยเปิ้นมีอันเป็นไปขึ้นมากูจะทำอย่างใด ฆ่าผิดคนแต๊ๆ อีเม้ย”
“ก็เจ้าน้อยเปิ้น เข้ามาขวางทางเอง แต่เม้ยว่าโชคยังพอจะเข้าข้างเฮาอยู่บ้างดอกเจ้าหม่อม อีมณีรินมันอาจจะตายตาม เพราะมันง่าวดูดพิษไอ้เห่าตัวนั้น ให้เจ้าน้อยเจ้า”
“มึงว่าอะหยังนะ”
“พิษต้องเข้าคอมันบ้างละ เจ้าหม่อม”
“จะไดมันง่าวนัก ขนาดจะตายตามเจ้าน้อยเปิ้น”
“หม่อมรีบภาวนาให้มันตายสมใจหม่อมเต๊อะ”
บัวเงินครุ่นคิดเครียดๆ
+ + + + + + + + + + + +
สล่าพันบริกรรมคาถาที่ครูบาอาจารย์สอนมา บทแล้วบทเล่า
“อ้ายพัน เมื่อใดจะสวดจบเสียที เจ้าเปิ้นเนื้อเขียวไปหมดแล้ว”คำเที่ยงบอกอย่างร้อนใจ
สล่าพันจบคาถาแล้วโปะสนุนไพรยาแก้พิษงู ลงบนปากแผลบนแขนศิริวงศ์ มือมณีรินยังบีบแขนศิริวงศ์เอาไว้แน่น มือศิริวงศ์อีกข้างเกาะกุมมือมณีรินไว้ มณีรินใจชื้นขึ้นมาบ้าง ศิริวงศ์ อาการปวดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“แค่นี้จะหายก๊ะอ้ายพัน”คำเที่ยงถามอย่างกังวลใจ
“หายสิ ต้องหาย ยาตำรานี้ครูบาน้อยเปิ้นถ่ายทอดหื้อข้ามา”
“แล้วเจ้ารินของเฮาล่ะต้องใจ้ยาอะหยัง”
“เจ้านางน้อย ก่อโดนงูขบตวยก๊ะ”
“บ่...เปิ้นบ่ได้ถูกขบ แต่เปิ้นคงกลืนพิษมันลงไปในคอพ่องละ”
สล่าพันตกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ทางด้านเจ้าหลวง พระชายา และศิริวัฒนา เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบลงมาจากตึก
“กูจะตัดหัวไอ้คนสวนสะเพร่า ปล่อยหื้องูเข้ามาเพ่นพ่านในสวนจนขบลูกกูได้จะใด” เจ้าหลวงโกรธจัด
พระชายา ร้องไห้ตัวสั่น
“รีบไปดูลูกก่อนเต๊อะเจ้าอ้าย เฮาอยากหันลูกมากกว่าอะหยังทั้งนั้นศิริวัฒนา...รีบไปผ่อน้องโวยๆ”
ศิริวัฒนาสั่งมหาดเล็กและนางกำนัล
“พวกเองดูแลพ่อเจ้าแม่เจ้าหื้อดีๆ”
ศิริวัฒนาวิ่งนำออกไปก่อนเลย มหาดเล็กนำเสด็จ เจ้าหลวง พระชายาตามไป
+ + + + + + + + + + + +
คำเที่ยง ป้อนยาน้ำละลายสมุนไพรให้มณีริน กิน
“แข็งใจ๋เน้อเจ้าริน กิ๋นหื้อหมดขันเลย”
สล่าพันก็ป้อนยาให้ศิริวงศ์กิน ไล่พิษเหมือนกัน กินจนหมดขันใบใหญ่
“ทรมานหน่อยเน้อเจ้า แต่เจ้าต้องทน”
มณีรินหน้าซีดลงเรื่อยๆหมดแรง ศิริวงศ์อาเจียนเอายาเขียวๆออกมาหมดไส้หมดพุง
“นั่นละๆกิ๋นเข้าไปอีกเจ้า เอาพิษมันออกมาหื้อหมด...”
ศิริวัฒนาวิ่งเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ
“เจ้าน้อย...เจ้าน้อย เป๋นจะไดพ่องอ้ายพัน”
“หน้าเปิ้นมีเลือดฝาดแล้ว พิษงูคงออกมาพ่องแล้ว น่าจะปลอดภัยครับเจ้า...”
มณีรินกลับเป็นฝ่ายสะลึมสะลืออ่อนแรงลง
“แล้วเจ้ารินเปิ้นเป๋นอะหยัง”
“เจ้านางน้อยเปิ้นคงถูกพิษเข้าไปตวย เพราะเปิ้นจ่วยดูดพิษงูหื้อเจ้าน้อยเปิ้นครับ”
ศิริวัฒนาตกใจ
“เจ้าริน...เจ้าริน”
ศิริวัฒนา ประคองร่างมณีรินออกจากคำเที่ยงกอดร่างไว้ ศิริวงศ์มองมณีรินที่อยู่ในอ้อมกอดศิริวัฒนา มณีรินก็มองศิริวงศ์ ฝืนยิ้มให้ ก่อนจะค่อยๆหมดสติลงท่ามกลางเสียงเรียก เสียงร้องระงมของทุกคนรอบตัว
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินเดินพล่าน...เครียดจัด เม้ยวิ่งกลับเข้ามารายงาน...
“หม่อมกะเจ้า”
“เป๋นจะไดพ่องอีเม้ย”
“อีศรีออนมันไปผ่อมาแล้วเจ้าหม่อมมันว่า ยังเป๋นต๋ายเต่ากั๋น”
“ผู้ใด...อีมณีริน หรือเจ้าน้อย”
“ทั้งคู่ละเจ้าหม่อม แต่เจ้าหลวงเปิ้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ว่ามีงูเห่าในสวนคุ้มเจ้าหลวงได้จะได เปิ้นจะเด็ดหัวไอ้แสนคนสวนหื้อได้เจ้า”
บัวเงินตกใจ
“อีเม้ย...ถ้าเปิ้นสืบสาวราวเรื่องเค้นคอมันขึ้นมา จะว่าจะไดกั๋น มึงกับกูบ่พลอยติดร่างแหไปตวยก๊ะ”
“หม่อมบ่ต้องกั๋ว”
“ก่อกูกั๋ว มึงจะห้ามบ่หื้อกูกั๋วได้จะใด อย่างน้อยเปิ้นก่อต้องสงสัยว่าไอ้เห่าตั๋วนั้นมันเข้าไปอยู่ในกระชุได้อย่างใด”
เม้ยก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
“ตอนนี้กูควรทำยังใดดี” บัวเงินกังวลใจ
“หม่อม สงบสติอารมณ์ก่อนเต๊อะเจ้า”
“อีบ้า คนจะเป๋นจะต๋ายอยู่ตั้งปู๊น มึงคิดว่าถ้ากูทำเป๋นทองบ่ฮู้ฮ้อน จะบ่มีไผสงสัยเอาหรือว่าจะใด อีง่าว”
“จะอั้น หม่อมก่อต้องทำเป๋นรีบไปผ่อเหตุการณ์เจ้า”
“กูควรจะทำเป๋นฮ้องไห้ตกใจ๋แต่พองามใจ่ก่ออีเม้ย”
“เจ้า หื้อแต่พองาม เม้ยแน่ใจ๋ว่าหม่อมของเม้ย ทำได้เจ้า”
บัวเงินรีบรุดออกไปทันทีเม้ยตามติด พลางหันกลับไปตะโกน
“เฮ้ย...อีพวกละอ่อน หม่อมเปิ้นจะลงตำหนักไปตึกใหญ่ มุดหัวกั๋นอยู่ตี้ไหนโว้ย”
เม้ยจัดรองเท้ามาวางให้บัวเงินใส่ก่อนลงไป บัวเงินสวมรองเท้าแล้วก้าวลงบันไดมา ชายผ้าคล้องไหล่ หลุดจากบ่าด้านนึงตกลงระพื้น เท้าบัวเงินเหยียบชายผ้าคล้องไหล่นั้น บัวเงินเสียหลัก จะคว้าราวบันไดก็ไม่ทัน เม้ยหันมาเห็นตกใจ
“หม่อม...”
เม้ยคว้าตัวบัวเงินไม่ทัน บัวเงินตกบันได กระแทกลงมาแต่ละขั้นบันไดอย่างจัง บัวเงินสนิทนิ่งอยู่ตีนบันไดขั้นสุดท้าย เม้ยรีบวิ่งตามลงมา
“หม่อมกะเจ้า หม่อมของเม้ย”
เม้ยจะประคองบัวเงินให้ลุกขึ้น มือข้างที่ยันกายที่พื้นของบัวเงินเอื้อมมาจับแขนเม้ย แล้วเห็นเลือดที่มือ
“อีเม้ย...ลูกกู...ลูกกู...กรี๊ด...” บัวเงินกรีดร้องอย่างสุดช็อก
เม้ยก็ช็อกมองบัวเงินตาค้าง
อ่านต่อวันพรุ่งนี้