ในรอยรัก
ตอนที่ 10
อาย้งมองเจ้าสัวอย่างตกตะลึง ตัวเกร็งไปทั้งตัวแต่พูดไม่ได้ เจ้าสัววางมือบนแขนอาย้งเบาๆ พยายามทวนความจำให้ทั้งตัวเองและอาย้ง
“ไอ้ย้ง... นี่ฉันเองนะ”
อาย้งจ้องหน้าเจ้าสัวนิ่งเหมือนอยากจะพูด แต่พูดไม่ได้ น้ำตาไหลจากหางตา เจ้าสัวเร่งเร้าให้อย้งพูด
“แกจำฉันได้ใช่มั้ย ตอบฉันหน่อยสิ ไอ้ย้ง”
เสียงพยาบาลดังขึ้นขัดจังหวะ
“คุณลุงคะมีญาติมาเยี่ยมนะคะ”
เจ้าสัวตื่นเต้น หันขวับหาพยาบาล พยาบาลยิ้มแย้ม ก้าวมาเพียงลำพัง
“คุณบอกว่ามีญาติมาเยี่ยมคนไข้เหรอครับ ไหนล่ะ ไหน!”
“อีกเดี๋ยวสวมเสื้อคลุมเสร็จคงเข้ามาน่ะค่ะ... คุณลุงเก่งจังเลยค่ะ เดี๋ยวญาติเข้ามาก็เมาท์ด้วยเลยนะคะ”
พยาบาลยิ้มกับอาย้งแล้วหันมาหาเจ้าสัว
“อืม...อีกสักครู่คงต้องรบกวนญาติที่ด้านนอกนะคะ คุณหมอกำลังจะเข้ามาตรวจคุณลุงน่ะค่ะ”
พยาบาลว่าพลางจดบันทึกตัวเลขในเครื่องวัดค่าร่างกายต่าง ๆของย้งลงแฟ้ม
“อ้อ...ครับ ๆ ผมเข้าใจ...อืม...ว่าแต่” เจ้าสัว เห็นปิ่นในชุดเสื้อคลุมฆ่าเชื้อตรงเข้ามา เจ้าสัวมองผ่านเลยปิ่นไป พลางถามขึ้นกับพยาบาล “รบกวนหนูช่วยไปตามญาติคนที่ว่าให้หน่อยได้มั้ยครับ”
“มานี่แล้วไงค่ะ”
ปิ่นกับเจ้าสัวต่างมองหน้ากัน พยายามครุ่นคิดว่าเป็นใคร ปิ่นเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...เป็นญาติของอาย้งเหรอคะ”
“เอ้ะ...ผมคิดว่าคุณต่างหากที่เป็นญาติอาย้ง”
ปิ่นงง พยาบาลขัดขึ้นอย่างสุภาพ
“เอ่อ ต้องขอประทานโทษด้วย คุณหมอมาแล้วค่ะ ขออนุญาตตรวจคนไข้นิดนึงนะคะ”
ทั้งปิ่นและเจ้าสัวยังคงงงงัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมัสลินขับรถมาชะลออยู่ที่หน้าตึกรัตนรัช แล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างกำลังตัดสินใจ มัสลินนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตักขึ้นมากดหากานน ขณะนั้นกานนกำลังยุ่งกับการหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋าเอกสาร ขณะที่ปากก็สั่งงานเลขาไปด้วยพร้อมกัน
“เอาล่ะผมจะรีบไปรับคุณปู่ที่โรงพยาบาลไปส่งบ้านก่อน แต่รับรองว่าประชุมเย็นนี้ผมกลับมาทันแน่ เออคุณช่วยโทรไปบอกฝ่ายการตลาดให้ทีสิว่าเย็นนี้ผมอยากให้เขาส่งคนเข้ามาฟังด้วยคนหรือสองคน มีอะไรต้องเซ็นใช่ไหม”
เลขาแยกโสตฟังอย่างตั้งใจ พลางหยิบแฟ้มบนโต๊ะสองสามแฟ้มแยกออกมาแล้ววางไว้ให้หน้าที่นั่งกานน เสียงโทรศัพท์มือถือกานนดังขึ้น กานนไม่ได้สนใจ หันกลับมานั่งที่โต๊ะหยิบแฟ้มเอกสารแรกขึ้นมาดู
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่องกานนยังคงก้มหน้าดูเอกสารแล้วสั่งเลขา
“คุณรับให้ผมทีสิ”
เลขาหยิบโทรศัพท์มือถือกานนมากดรับ
“สวัสดีค่ะ ....เอ่อคุณกานนไม่สะดวกตอนนี้ค่ะไม่ทราบจะให้เรียนท่านว่าใครโทรมาคะ คุณ.....ม่านมัสลิน”
กานนตาลุกเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารทันที
“มัสลิน?”
เลขาผงกหัวเงอะงะ กานนแทบจะกระโดดไปแย่งโทรศัพท์มาจากเลขา
“เอามา เอามานี่”
มัสลินถือโทรศัพท์มือถือหน้าตายังลังเล
“มัสลิน นี่ผมพูด”
“เอ่อค่ะ ...ท่าทางคุณดูยุ่ง เอาไว้ฉันโทรมาใหม่ก็แล้วกันค่ะ”
กานนใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์มือถือข้างหนึ่งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู อีกมือส่งสัญญาณให้เลขาออกไป
“ไม่ ไม่ยุ่งเท่าไหร่ คุยได้เลยครับ”
“ฉันจอดรถอยู่ที่หน้าตึกออฟฟิศคุณ มีเรื่องจะถามสักหน่อยน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะรบกวนคุณหรือเปล่า”
มัสลินมีสีหน้าจริงจัง
ที่บ้านมัสลินขณะนั้นพัดกำลังกำกับแป้นเช็ดทำความสะอาดครัวอยู่ เสียงปิ่นดังมาไกล ๆ
“แม่พัด แม่พัดอยู่ไหนกันน่ะ แม่พัด”
พัดเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูห้องครัว
“ใครเรียกฉัน เสียงเหมือนจากห้องโถง แกนังแป้นไม่ได้ล็อคประตูหน้าบ้านอีกแล้วใช่มั้ย”
“ใช่มังจ๊ะ”
“ยังมีหน้ามาตอบฉันหน้าตาเฉย หืมมันน่านักนะแกนี่”
พัดวางผ้าขี้ริ้วโครม แล้วหันตัวจะรีบเดินไปดู แต่เจอปิ่นมาโผล่หน้ายืนอยู่หน้าประตูห้องครัว
“เออเว้ยบ้านนี้เข้านอกออกในกันง่ายจริง ประตูขยับๆ หน่อยก็เปิดได้แล้ว”
“หวัดดีน้าปิ่น” แป้นยิ้มแต้
“มันน่าจะเป็นไอ้โจรห้าร้อยนัก ฉันจะให้มันเอาแกไปด้วยเลยนังแป้น”
“ก็ดีนะ เผื่อชีวิตจะมีอะไรตื่นเต้น ใช่มั้ยน้าปิ่น ฮ่ะๆๆๆ”
“จริงหว่ะจริงฮ่ะๆๆๆๆ แกออกไปก่อน!” แป้นหุบหัวเราะแทบไม่ทัน ปิ่นหันพูดกับพัด
“นี่พี่พัด ฉันมาเนี่ยมีเรื่องสำคัญจะคุย”
แป้นพยายามยื่นหน้าเข้ามาอยากจะร่วมวงด้วย
“นังแป้น น้าปิ่นเค้าบอกให้แกออกไปก่อนไม่ใช่เหรอ ไป๊”
แป้นออกไปอย่างเสียไม่ได้ ปิ่นเข้าเรื่องทันที
“พี่พัดฉันเพิ่งไปที่โรงพยาบาล เยี่ยมตาย้งมา พี่รู้มั้ยฉันเจอใคร”
“ก็แล้วฉันจะรู้มั้ยล่ะ บอกๆ มาสิวะ”
“เจ้าสัว ...เจ้าสัวทศ”
“ใครกันวะ ข้าไม่เห็นคุ้นชื่อเลย”
“อ้ะแล้วถ้าฉันบอกว่าเป็นคนๆ เดียวกับเจ้าสัวท้งล่ะ”
พัดพยักหน้าหงึกหงักแล้วชะงักกึก
“เจ้าสัวท้ง! ท...ที่เคยเป็น...”
ปิ่นพยักหน้าเครียด พูดเสียงแทบจะเป็นกระซิบ
“สามีเก่าของคุณท่าน”
“โอย...ข้าขนลุกไปหมดแล้ว เล่ามานังปิ่นแกเล่ามา แกไปเจอเค้าได้ยังไง แล้วแน่ใจเรอะว่าใช่คนๆเดียวกัน”
ปิ่นสั่นหัวดิก
“ทั้งพี่ทั้งฉันก็รู้พอๆ กันนั่นละ เคยมีใครเห็นหน้าคุณเจ้าสัวอะไรนี่ซะที่ไหน แต่ฉันแค่สงสัย เพราะเค้าซักเหลือเกินว่าเจ้านายฉันเป็นใคร อยู่ที่ไหน แถมทำท่าอยากจะเจอซะด้วยนะ”
พัดตบเข่าฉาดใหญ่
“บ๊ะ แล้วแกทำไมไม่บอกเขาไปล่ะว่าคุณท่านของเราชื่อม่านมุก...เผื่อคุณดาแกจะได้เจอพ่อบังเกิดเกล้า”
ปิ่นตาลุก เหลือบซ้ายแลขวาหวาดว่าจิรดาจะมาได้ยิน
“พูดจาหาเรื่องน่าพี่พัด แล้วถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะซี้”
“เอ้า งั้นใช่ไม่ใช่แกก็น่าจะให้คุณเจ้าสัวนั่นกับคุณท่านของเราได้เจอกัน”
“ไม่ได้ๆๆ ที่เราได้ยินมานี่คุณท่านเธอถูกเจ้าสัวคนนี้ไล่ออกมาแล้วก็กล่าวหาว่าคุณมุกเป็นชู้กับตาย้งไม่ใช่เหรอ เรื่องอะไรฉันจะไปบอกให้คุณเจ้าสัวอะไรนี่ตามกลับมาดูถูกคุณท่านของฉันอีกล่ะ ดีไม่ดี
อาจจะคิดว่าคุณจิรดาเป็นลูกตาย้งก็ได้”
“ว้ายนังปากเปราะ พูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า”
อ่านต่อหน้า 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปิ่นมีสีหน้าสับสน คิดทบทวนสิ่งที่คุยกับเจ้าสัวที่โรงพยาบาล...เจ้าสัวกับปิ่นหยุดยืนกันอยู่หน้าห้อง ICU เจ้าสัวสีหน้าร้อนรน ซักปิ่น
“เจ้านายของคุณเป็นเจ้าของไข้”
“ใช่ค่ะ”
ปิ่นตอบพลางมองเจ้าสัวอย่างครุ่นคิด
“เจ้านายของคุณชื่ออะไร”
ปิ่นมองเจ้าสัวอย่างไม่วางใจ เจ้าสัวเหมือนรู้ตัวดี รีบควักกระเป๋าสตางค์มาหยิบนามบัตรส่งให้
“ผมชื่อ...”
ปิ่นอ่านนามบัตรพึมพำ
“คุณทศ ...รัตนรัช”
“ว่ายังไงล่ะ เจ้านายของคุณน่ะชื่ออะไร”
ปิ่นทำท่าลังเลที่จะตอบ
“คงไม่เหมาะถ้าจะให้ดิฉันตอบอะไรตรงนี้ ยังไงดิฉันจะเอานามบัตรของคุณให้เจ้านายก็แล้วกันนะคะ”
เจ้าสัวมีสีหน้าหม่นลงทันที
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากหน่อย รบกวนให้เค้าโทรหาผมก็ได้ ผมกำลังตามหาคนๆ หนึ่ง เธอสำคัญกับชีวิตผมมาก”
ปิ่นยิ่งฟังยิ่งงงงัน
ปิ่นกลับมาบ้านสวน ปิ่นปอกผลไม้อย่างเหม่อๆ เมื่อครุ่นคิดถึงคำพูดเจ้าสัว
“อ้าวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หืมปิ่น” ม่านมุกเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าปิ่นซึ่งยังคงยืนเหม่ออยู่ท่าเดิม
“ปิ่น?”
ปิ่นถึงกับสะดุ้งโหยง มีดที่ถืออยู่ในมือบาดเข้าเนื้อเลือดไหลออกมา
“โอ้ย อ้าวคุณท่านเองหรอกเหรอคะ”
“ตายจริง!” ม่านมุกตกใจรีบฉวยกระดาษทิชชูมากดห้ามเลือดให้ปิ่น “เป็นอะไรไปยัยปิ่น สติสตังเธอเอาไปไว้ไหนฉันเดินเข้ามาทั้งคนเธอยังไม่รู้สึกตัวเลย ฮึ”
ปิ่นหน้าเสียรับเอาทิชชูจากม่านมุกมากดมือตัวเองทำหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดยังไง
“เปล่านี่คะ ปิ่นไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะคุณท่าน”
“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมถึงเอาแต่จ้องหน้าฉันอย่างนั้น”
ปิ่นรีบหลบสายตาม่านมุกในทันที
ส่วนที่ออฟฟิศของกานน มัสลินเดินเข้ามาในห้องทำงานกานนแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งลงตรงโซฟารับแขก กานนเดินตรงเข้ามานั่งตรงข้ามมัสลินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ดีใจที่เจอคุณ”
มัสลินเก้อๆ ไป รีบหาเปิดประเด็นธุระ
“ที่ฉันมานี่ ก็จะถามคุณว่า...”
กานนจ้องหน้ามัสลินอย่างตั้งใจฟัง
“ว่า?...”
มัสลินหลบตาแต่ปากก็ตอบกานนไป
“คุณ...พูดภาษาจีนได้มั้ย” กานนยิ้มขำมัสลิน มัสลินขมวดคิ้วมุ่น “ขำอะไร”
“ไม่ได้ขำ แต่แค่งง ว่าคุณอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อุตส่าห์ขับรถมาหาผมถึงที่นี่ก็เพื่อจะถามผมเรื่องแค่เนี้ยะ โทรถามเอาก็ได้”
“อ้อ คุณจะว่าฉันทำให้คุณเสียเวลาสินะ” มัสลินหันไปคว้ากระเป๋า กานนจับมือมัสลินไว้
“ไม่ใช่อย่างนัน โฮ้ยคุณนี่ชอบตีความคำพูดคนอื่นผิด ๆอย่างนี้เสมอเลยรึเปล่าหืม ที่ผมพูดน่ะผมหมายถึงคุณนั่นละที่เป็นฝ่ายเสียเวลามาหาผม”
“ตกลงจะตอบฉันมั้ย ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร ฉันจะได้กลับ” มัสลินแกะมือกานนทิ้ง
“จะตอบ แต่คุณต้องบอกผมก่อนว่าคุณถามไปทำไม” มัสลินตาเขียวปัด คว้าหูกระเป๋าสะพายอีก กานนจับมือมัสลินไว้ “โอเค ๆ ผมพอพูดภาษาจีนได้ มีอะไรเหรอ”
มัสลินยิ้มจาง ๆ
“เรื่องคุณตาของฉัน”
สีหน้ากานนดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ผมคิดว่าคุณจะลืมไปซะแล้ว”
“ฉันจะลืมได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นเรื่องของครอบครัวฉันแท้ ๆ”
“ผมหมายถึงว่าที่ผมเคยเสนอตัวจะช่วยคุณเรื่องนี้ แต่คุณก็ดูจะเฉย ๆ”
“อันที่จริงฉันก็ยังยืนยันเจตนาเดิมนั่นละ ฉันไม่อยากเอาตัวมาใกล้คุณให้มันเกิดปัญหา แต่ที่มานี่ก็เพราะคุณคิมเค้าไม่ว่างช่วยฉันเหมือนคราวก่อน”
“อ้อ ผมเลยกลายเป็นตัวสำรองว่างั้น”
“คุณจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ ฉันห้ามความคิดใครไม่ได้”
กานนนิ่งมองมัสลินปลง ๆ ยกสองมือสงบศึก
“เถียงกับคุณไปก็มีแต่แพ้ เข้าเรื่องคุณตาคุณดีกว่า”
มัสลินครุ่นคิดถึงวันที่ไปบ้านเก่าเจ้าสัวกับคิม มัสลินเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้กานนฟัง
“อาแปะคนนั้นเข้าใจว่าเราเป็นโจร สรุป..ฉันก็เลยไม่ได้เบาะแสอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคุณตา” มัสลินเล่าเรื่องในอดีตเสร็จ ก็จ้องหน้ากานนอย่างมีความหวัง
“ทีนี้คุณเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าฉันอยากให้คุณช่วยยังไง”
“เข้าใจ แล้วก็หมั่นไส้นายคิมนั่นด้วย ผมจะช่วยคุณ แต่ต้องไม่มีนายคิมเข้ามาเกะกะลูกตาผม”
“ไม่เป็นไร ถ้าการช่วยฉันมันทำให้คุณอึดอัดก็ไม่เป็นไร” มัสลินคว้ากระเป๋าอีก
“เฮ้เดี๋ยวสิ เอ้าช่วยก็ได้ เฮ้อ...ทำไมผมต้องแพ้คุณไปซะทุกเรื่องด้วยนะ”
มัสลินยิ้มขอบคุณกานน
“ขอบคุณนะคะ แล้วฉันสัญญานะคะว่าฉันเองก็จะช่วยสืบเรื่องคุณย่าเล็กของคุณให้ถึงที่สุด”
มัสลินยื่นมือไปรอเชคแฮนด์กับกานน เป็นเชิงสัญญา กานนยิ้มอ่อนโยนให้มัสลิน พร้อมยืนมือไปเชคแฮนด์มัสลิน
“ขอบคุณเช่นกันครับ ..หว่ออ้ายหนี่”
“คะ?”
“ก็นี่ไง ผมพูดภาษาจีนให้ฟัง อยากรู้มั้ยแปลว่าอะไร”
มัสลินอมยิ้ม รู้อยู่แล้ว
“ไม่อยากรู้ค่ะ”
ทั้งคู่ประสานสายตากัน เต็มไปด้วยความรัก ขณะที่มือก็ยังจับกันอยู่ อุษยาเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพนั้นจะๆ คาตา
“นี่มันอะไรกัน!”
มัสลินกับกานนพร้อมใจกันหันที่อุษยา มัสลินคลายมือออกจากกานน อุษยายืนจ้องอย่างถมึงทึง
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้ามาเหยียบที่นี่ อยากลองดีกับฉันใช่มั้ยฎ
โทรศัพท์มือถือของมัสลินดังขึ้น มัสลินเหลือบตามองกานนแล้วเอ่ยลาเพียงเบา ๆ
“ฉันขอตัวนะคะ”
มัสลินว่าพลางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่เลิกขึ้นมา อุษยาก้าวดักมัสลิน
“ใครอนุญาตให้หล่อนเดินผ่านหัวฉันไปอย่างนี้”
มัสลินตั้งรับอุษยา ขณะที่มือถือในมือก็ดังไม่เลิก มัสลินตัดสินใจกดตัดสายทิ้งแต่กิดผิดไปกดรับสายแทน ...จิรดาเป็นคนโทรหามัสลิน พอมัสลินรับสายจึงรีบถามทันที
“โฮ้ยกว่าจะรับสายได้นะนังมัส นี่เย็นนี้จะกินอะไร ฉันจะออกไปตลาด ฮะโหล...นังมัส อ้าวทำไมไม่พูดล่ะ ฮะโหล”
พัดเดินผ่านมา หยุดเท้ามองจิรดรา จิรดาโวยใส่มือถือ
“ฮะโหล มัสลิน แกได้ยินฉันรึเปล่า ฮะโหล อะไร!พูดก็ไม่พูด แล้วนั่นเสียงใคร...” จิรดาฟังแล้วตาลุก “เฮ้ยมันด่านังมัสนี่!” พัดก้าวเข้ามา “นังพัด แกมาฟังนี่ดูซิว่าฉันหูฝาดรึเปล่า”
พัดรับมือถือจากจิรดาไป แล้วผงะเมื่อได้ยินอุษยากำลังด่ามัสลิน
“ยัยผู้หญิงชั้นต่ำ!”
มัสลินตาลุกวาว อุษยาเชิดหน้า ตาเขม็งใส่เช่นกัน
“คงคิดว่าตัวเองเก่งซะเต็มประดา นอกจากจะชั้นต่ำแล้วยังโรคจิตคิดเหรอว่าไอ้แผนละโมบจะรวบทั้งอาทั้งหลานของเธอมันจะสำเร็จ คงได้วิชาต่ำๆ มาจากแม่เธอสินะ”
“คุณ!”
“ทำไม เธอจะทำอะไรฉัน ชึ...ทั้งความคิดการกระทำสกปรกที่สุด”
มัสลินจ้องหน้าอุษยาเขม็ง กานนเข้าขวางกลางระหว่างอุษยากับมัสลิน
“พอเถอะครับอาหญิง ที่มัสเค้ามาที่นี่ ก็เพราะเค้ามีธุระกับผม”
อุษยาแหวใส่กานนกลับทันที
“แล้วธุระเราล่ะ ไหนจะต้องไปรับคุณปู่ที่โรงพยาบาลไหนจะต้องกลับมาประชุม รึว่าอะไรๆ มันกลายเป็นเรื่องรองไปแล้วพอเจอแม่นี่”
“ไม่เอาครับอาหญิง มาครับ ผมพาไปนั่งตรงโน้นดีกว่า”
กานนโอบตัวอุษยา พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้มัสลินออกไป
“กลัวว่าอาจะทำอะไรแม่ผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอ”
มัสลินจ้องอุษยาไม่วางตา กานนเบิกตาย้ำใส่มัสลินอย่างท้อใจ มัสลินยอมออกไปในที่สุด
“นี่ ใครบอกให้เธอออกไป กลับมาคุยกับฉัน ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งเหรอ มัสลิน!... ปลิวทำอย่างนี้เท่ากับปลิวประกาศตัวเป็นศัตรูกับอานะ” อุษยาหันมาลงกับกานน
“ศัตรง ศัตรูอะไรกันครับอาหญิง โอย ไปกันใหญ่แล้ว เรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
“ว่าไงนะ! นี่เดี๋ยวนี้ปลิวกล้าว่าอาอย่างนั้นเหรอ อาเป็นยิ่งกว่าแม่แกอีกนะ อาเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ ตากุก็อีก แกสองคนรู้กันมั่งมั้ยว่า...”
อุษยาบ่นยาว กานนถอนหายใจเฮือก จะว่าโล่งก็โล่ง จะว่าหนักใจก็หนักใจ
พัดกดปุ่มวางสายที่มือถือ จิรดาโวยลั่น แป้นผลุนผลันเข้ามา อยากรู้อยากเห็น
“ตัดสายทำไม!ห๊านังพัด!”
“สายมันหลุดไปเองต่างหากล่ะคะ”
พัดยื่นมือถือให้จิรดา จิรดาฉวยไว้ ครุ่นคิด
“นังคนที่ด่ายัยมัสมันต้องเป็นเมียนายกานน”
พัดส่ายหน้าหน่าย
“เค้าเรียกกันอยู่ออกโต้ง ว่าอาหญิงๆ ...เฮ้อ”
“เฮ้ออะไร เฮ้ออะไร ฉันจะรู้มั้ยล่ะ ไม่ได้เอาหูแนบฟังตาถลนอย่างแกนี่”
“ว่าแต่โทรศัพท์คุณดามันใช้เป็นเครื่องดักฟังได้ด้วยเหรอคะ”
“เครื่องดักฟังบ้านแกสิ ฉันโทรหายัยมัส แล้วไม่รู้ยังไง มันกดรับ แต่ไม่ยอมพูด”
“น่าจะกดตัดสายทิ้งมากกว่ามังคะ”
“อ้อ เออนั่นละ”
“แบบ เวลาที่เราไม่อยากคุยกับใครเราก็ตัดสายทิ้งฉึบ น่านละค่า แบบว่ารังเกียจ...ไรงี้”
“นังแป้น!”
พัดหยิกแขนแป้นออกไปด้วยกัน จิรดาส่งเสียงเรียกไว้
“เดี๋ยว นังพัด”
“คะ?”
“แกได้ยินอะไรอีก”
“เค้าด่าแม่คุณมัสค่ะ”
“แกว่าไงนะ!”
“ได้ยินว่าคุณสอนวิชาต่ำๆ ให้คุณมัสไปไล่จับผู้ชาย อะไรทำนองนี้”
จิรดาตาลุกด้วยความแค้นใจ กำมือถือแน่น
“เล่ามาให้หมด แกได้ยินมันด่าฉันด่ายัยมัสว่าไงอีก”
อ่านต่อวันพรุ่งนี้