(ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า 09.3 0น.)
รอยไหม ตอนที่ 10
วันดารา ประคบรอยช้ำบนหน้าให้สุริยวงค์
“ทีหลังต้องรู้จักระวังเนื้อระวังตัว ให้มากกว่านี้เน้อ เฮาบ่ฮู้ดอกผู้ใดมาดีมาร้าย ผู้ใดเป็นมิตรเป็นศัตรู แล้วนี่โตไปแจ้งความตำรวจเปิ้นก่อ”
“บ่ครับ บ่ได้แจ้ง”
“ความจริงน่าจะจับมันส่งตำรวจ จะได้ฮู้ว่าไอ้ขี้เมาคนนั้น มันเป็นผู้ใด”
สุริยวงค์ชะงัก เหลือบมอง เรรินแว่บนึง เรรินตัดสินใจบอก
“เขาชื่อธนินทร์ค่ะ”
“จะไดคุณรินฮู้จักเปิ้น”วันดาราแปลกใจ
“เขาเป็นคู่หมั้นรินค่ะพี่วัน”
วันดาราชะงักกึก
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
สุริยวงค์มองเรริน ไม่ได้เจ็บปวด แต่ออกจะโล่งใจพอใจ ที่เรรินมิได้ปิดบังอำพราง วันดาราจะถามมากไปกว่านี้ก็จะเป็นการล่วงล้ำเรื่องส่วนตัวเกินไป จึงตัดบท
“ดึกแล้ว..คืนนี้โตอย่าปิ๊กบ้านโตเลย นอนซะที่นี่เต๊อะเดี๋ยวพี่จะไปเปิดห้องหื้อ”
วันดาราลุกออกไป
“ขอบคุณครับคุณริน”
สุริยวงศ์รู้สึกดีที่เรรินไม่คิดจะปิดบัง
“ฉันหนีมาเชียงใหม่ครั้งนี้ก็เพราะเขา ก่อนหน้านี้ฉันคิดตลอดเวลาว่าฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องทนกับผู้ชายอย่างเขาด้วย”
สุริยุวงค์ตั้งใจ รับฟังปัญหา เรรินเล่าเรื่องราววีรกรรมความเลวต่างๆ ที่ธนินทร์ทำไว้มากมาย สุริยวงค์มองอย่างเห็นใจ
“แล้วผู้ใหญ่ ไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอครับ”
“เขาเป็นคนเล่นละครตบตาใครต่อใครได้แนบเนียนค่ะ ต่อหน้าอย่างหนึ่งแต่ลับหลังเหมือนเป็นอีกคนหนึ่ง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย คิดว่าเราเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน มาเชียงใหม่ครั้งนี้ ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าฉันจะไม่ยอมทนอีกต่อไป ฉันจะขอถอนหมั้นกับเขาค่ะ”
“คุณริน...ผมขอเป็นคนปกป้องคุณรินนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ยินดี”
น้ำเสียงนั้นจริงจัง และจริงใจ เรรินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆนั้น
+ + + + + + + + + +
เมื่อกลับมาที่โรงแรม สรัญญาโวยอย่างไม่พอใจ
“คุณนี่โง่จังเลย รู้ไหมว่าในเชียงใหม่นี่เขามีอิทธิพลขนาดไหน คุณคิดเหรอว่าคุณจะออกจากเชียงใหม่อย่างครบอาการสามสิบสองได้”
ธนินทร์ที่ยังเมา โวยวายตอบ
“กูไม่กลัวมันหรอกโว้ยมันหยาม กันขนาดนี้ ตายเป็นตายสิวะ”
สรัญญาเบ้ปาก
“เอาเข้าจริงๆ คุณก็หัวหด”
“ชัท อัพ”
“แซนดี้ว่าปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่ผู้ชายคนนั้นซะหน่อย คู่หมั้นของคุณต่างหากตัวปัญหาเขาคง อยากจะถอนหมั้นคุณใจจะขาด ก็ทำไมคุณไม่ปล่อย เขาไปล่ะ ผู้หญิงที่เหมาะกับคุณยังมีอีกถมไป”
“อย่างน้อยก็เธอ..คนหนึ่งละใช่ไหมล่ะ...”
สรัญญายักไหล่
“ก็แหงละ จะว่าไปแซนดี้ก็เป็นของคุณตั้งแต่คุณยังไม่ได้หมั้นกับเรรินด้วยซ้ำ ผิดด้วยเหรอถ้าแซนดี้จะทวงสิทธิ์ของแซนดี้”
“มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีโว้ย คนอย่างผม ฆ่าได้หยามไม่ได้”ธนินทร์โวยดังขึ้น
สรัญญาดูแล้วคงพูดกันไม่รู้เรื่อ
“ดึกแล้ว นอนซะ เสียงดังเดี๋ยวห้องข้างๆเขาก็ด่าเอา”
“ช่างหัวมัน”
“ถ้างั้น คุณก็ออกไป เพราะนี่มันห้องของฉัน”
“เดี๋ยวกูตบคว่ำเลย ห้องมึงแล้วใครเป็นคนจ่ายเงิน ถ้าไม่ใช่กู”
สรัญญาหน้าหงิก ผละออกไปมุดตัวเข้าเตียง ธนินทร์ ยังขุ่นมัว ไม่หายแค้น
+ + + + + + + + + + + +
เรรินโทรหาพรรณวรินทร์กลางดึก เมื่อแม่รับสาย เรรินบอกทันที...
“ค่ะแม่...รินขอโทษที่โทรมาดึกขนาดนี้”
“แม่โทรหาเราทั้งวัน จนจะบ้าตายแล้วนี่เจอกับธนินทร์เขาแล้วรึยัง”
“รินยังไม่พร้อมจะเจอใครทั้งนั้นละค่ะแม่”
“กลับกรุงเทพฯมาเดี๋ยวนี้ ถ้ายังเห็นว่าแม่เป็นแม่ของเราอยู่ ทำอะไร ทำไม ไม่คิดถึงหน้าแม่บ้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องใหญ่ ธนินทร์เขาดีขนาดไหน อุตส่าห์ตามไปง้อเราถึงเชียงใหม่โน่น”
เรรินยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงธนินทร์
“นั่นสิคะแม่ เขาดีซะจนรินคิดว่ารินไม่เหมาะสมกับเขาเลยค่ะ..รินรู้สึกแย่จังเลยที่ทำให้เขาต้องทนนิสัยแย่ๆ ของรินมาตั้งหลายปี”
“เรริน..ลูกคิดอะไรอยู่ จะทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ได้นะกลับกรุงเทพฯมาเดี๋ยวนี้”
“รินยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะแม่ เพราะรินมีธุระสำคัญต้องทำให้เสร็จ แต่แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ เรื่องของรินกับเขา จะไม่ทำให้แม่ต้องเสียหน้าแน่นอนค่ะ เท่านี้ก่อนนะคะแม่”
เรรินวางสายทันที พรรณวรินทร์ เครียดไม่ได้ดั่งใจ แต่จำยอมปิดโทรศัพท์
+ + + + + + + + + + + +
เรรินวางแหวนหมั้นที่หยิบขึ้นมาดูวางลงบนโต๊ะ แล้วจับปากกาเขียนบันทึก สิ่งที่ได้พบเจอในวันนี้ลงสมุดไดอารี่ ยิ่งเขียน เรรินก็ยิ่งรู้สึกเครียด เหนื่อย และปวดหัว จึงลุกขึ้นไปหยิบยาแก้ไมเกรนมากิน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ เธอหยิบปิ่นดอกปีบทองคำขึ้นมาดู...
“ฉันอยาก รู้เรื่องราว ทั้งหมดขอให้ฉันได้รู้ได้เห็นด้วยเถอะ...”
ทันใด...เสียงพิณเปี๊ยะกรีดกังวานขึ้น...ภาพในอดีตย้อนกลับมา...
ในสวนคุ้มเจ้าหลวง...
มณีรินนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ศิริวงศ์เดินเข้ามาจากข้างหลัง ถามอย่างแปลกใจ...
“เจ้านางน้อย จะไดมานั่งอยู่คนเดียว ทุกทีต้องเห็นพี่เลี้ยงข้างโตตลอด เวลานี่นา”
มณีริน รีบซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า ศิริวงศ์ ชะงัก อารมณ์จะแซวเหือดแห้งไปด้วยทันที”
“จะไดไห้..เจ้านางน้อย”
“เฮาบ่ได้ไห้จักเตื้อ..ผงมันเข้าตาเฮา”
“แม่หญิงเชียงตุงขี้จุ๊แต๊ๆ”
“โตอย่ามาค่อนว่าคนเชียงตุงเน้อ ถ้าเฮาค่อนว่าคนเชียงใหม่บ้าง โตจะฮู้สึกจะได บ้านเมืองใคร ใครก็ฮัก”
“สุมาเต๊อะ..เฮาบ่ไดตั้งใจ๋ หื้อเจ้านางน้อยโกรธ..ถ้าเจ้านางน้อยว่าผงเข้าตาก็ผงเข้าตา จะเป็นอย่างอื่นไปได้จะได”
มณีรินนิ่งไป สุดท้ายน้ำตา ก็ไหลออกมาจนได้
“ผงมันคงชิ้นใหญ่แต๊ๆเน้อ เจ้านางน้อยถึงน้ำตาไหล บ่ยอมหยุด”
“เฮากึ๊ดถึงบ้านเฮา...กึ๊ดถึงพ่อเจ้าแม่เจ้าของเฮา”
“คุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่ ดูแลแขกของคุ้มบ่ดีแต๊ๆเน้อ ถึงปล่อยหื้อแขกรู้สึกจะอี้”
“เฮาบ่ดีเอง เจ้าหลวง พระชายา เมตตาเฮานัก แต่เฮา..เฮาบ่อยากแต่งงาน”
ศิริวงศ์อึ้งที่ได้ยินสิ่งนี้ เพราะเรื่องใหญ่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะกล้าพูด แต่มณีรินยังคงพูดต่อ...
“นอกจากพี่คำเที่ยงแล้ว โตเป็นคนเดียวเน้อ ที่ฮู้เรื่องนี้ โตคงกึ๊ดว่าเฮาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะบ่มีแม่หญิงคนใดบ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของโตดอกใช่ก๊า”
“บ่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดอะหยังดอกเจ้านางน้อย คนเฮาจะแต่งงานกั๋น ร่วมชีวิตกั๋น มันก็ควรจะมีความฮักเป็นจุดเริ่มต้น”
มณีรินชะงัก เพราะศิริวงศ์พูดเจาะเข้าประเด็นสำคัญโดนกลางใจ
“ถึงเจ้าอ้ายของเฮากับเจ้านางน้อย จะถูกหมั้นหมายกันเอาไว้แต่น้อยแล้ว แต่จะว่าไปต่างฝ่ายต่างก็ยังบ่ได้ฮู้จักนิสัยใจคอตีๆกันเลย”
“โตเข้าใจเฮา”มณีรินรู้สึกดีขึ้น
“เจ้านางน้อยทำใจหื้อสบายเต๊อะ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน กว่าจะถึงงานแต่งงาน เจ้าอ้ายของเฮาเปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เฮาว่าเจ้านางน้อยจะฮักเจ้าอ้ายของเฮาได้บ่ยากดอก”
มณีรินมองศิริวงศ์เต็มตา มิตรภาพ ก่อเกิดขึ้นแน่นแฟ้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
“เฮาว่าเจ้านางน้อยเบื่อแล้วก็เครียด เพราะบ่ไดออกไปเปิดหูเปิดตา แอ่วเวียงเชียงใหม่ให้ม่วนมากกว่า”
“เฮาอยากออกไป แต่เฮาบ่ฮู้จะไปจะได”
“อยากไปแต๊ๆ ก็บ่ยากดอก เจ้านางน้อย”
ศิริวงศ์ยิ้มให้
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินเล้าให้คำเที่ยงฟังว่าจะเข้าไปในเมือง คำเที่ยงเสียงดังเพราะตกใจ
“ไปแอ่วเวียง...บ่ได้เน้อเจ้าริน”
มณีรินเลือกผ้าคล้องไหล่ แล้วหันมาหยิบร่ม
“จะไดบ่ได้ พี่คำเที่ยง”
“เฮามาอยู่ในคุ้มเจ้าหลวง ก็เหมือนเป็นคนของคุ้มเจ้าหลวง จะยะอะหยังตามอำเภอใจ ได้จะได เจ้ารินข้างนอกนั่นมีอันตราย อะหยังบ้างก็บ่ฮู้”
“เฮาบ่ได้ไปตามลำพังสักเตื้อ”
“เกิดเรื่องร้ายอะหยังขึ้นมา พี่ก็บ่ฮู้เน้อว่าพี่จะปกป้องคุ้มครอง เจ้ารินได้”
มณีรินหัวเราะ
“กั๋วอะหยังเน้อพี่คำเที่ยง บอกแล้วว่าเฮาบ่ได้ไปกันตามลำพัง”
“แล้วไปกับผู้ใด”
“เจ้าศิริวงศ์”
คำเที่ยงเครียดอีก
“เจ้าน้อง เจ้าศิริวัฒนา น่ะเหรอเจ้า...มันจะดีก๊าเจ้าริน กึ๊ดดูดีเน้อ”
“พี่คำเที่ยง บ่อยากไป ก็บ่ต้องไป เฮาจะไปเฮาอยู่แต่ในคุ้มเฮาเบื่อ เฮาอยาก ผ่อเวียงเชียงใหม่”
คำเที่ยงอ่อนใจ
“จะไดถึงได้ดื้อจะอี้น๊อ เจ้ารินน่าจะเกิดเป็นผู้ชายให้รู้แล้วรู้รอดไป พี่คำเที่ยงจะบ่ห่วงชักนิด”
คำเที่ยง จำใจดึงร่มมาจากมณีรินมาถือเอง มณีรินแอบขำท่าทางงอนตาเหลือกของคำเที่ยง
เรรินที่นั่งอยู่ เผลอโต้ตอบคำเที่ยงออกมา...
“เฮาเกิดเป็นผู้ชายก็ดีสิ พี่คำเที่ยง เฮาจะได้เป็นฝ่ายเลือก บ่ใช่ฝ่ายถูกเลือกจะอี้”
เรรินชะงัก เพราะหันมาไม่เห็นคำเที่ยง เรรินงงกับตัวเอง เหมือนตื่นจากความฝัน และกลับมาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง..มนต์อะไรหนอ ทำให้เธอกลับไปเห็นเรื่องราวในอดีตชาติได้
เรรินมองปิ่นทองช่อดอกปีบในมือ ด้วยความแปลกใจ
+ + + + + + + + + + + +
ผีอีเม้ยนอนบิดร้องครางหงิงๆ เหมือนหมาโดนน้ำร้อนรวกมา ปากก็ร้องอ้อนวอน...
“หม่อมเจ้าขา บ่าวปวดแสบปวดร้อนเหลือเกิน หม่อมช่วยบ่าวด้วย...”
“กูจะช่วยมึงได้จะได อีเม้ย มึงมันโง่เง่าเอง เลิกฮ้องครวญครางเสียที กูชัง เสียงไห้ของมึงนัก”
ผีอีเม้ยจำใจกัดฟันผืนเจ็บ บัวเงินเดินพล่าน
“กูแน่ใจ๋ตั้งแต่แรกเห็น ว่าอีมณีริน มันปิ๊กมา เพื่อควักดวงใจของกู..อีแม่ญิงแพศยา มันกึ๊ดว่าถ้ามันได้หลานกูไปครอง มันจะเย้ยกูได้ มึงฝันไปเต๊อะ อีมณีริน มึงฝันไปเต๊อะ”
บัวเงินคิดไปถึงอดีต.....
ในสวย หลังประตูคุ้ม บัวเงินกับเม้ย ยืนมองมณีรินเดินตามศิริวงค์ คำเที่ยง กางจ้องกัดแดดให้มณีริน พากันออกไปทางประตูหลังของคุ้มเจ้าหลวง
“หม่อม เจ้าขา นั่นมัน เจ้าศิริวงค์นี่เจ้าคะเม้ยบ่ได้ตาฝาดใช่ก๊า”เม้ยมองอย่างตื่นเต้น
“ถ้ามึงตาฝาด กูก็ตาฝาดเหมือนมึงน่ะแหละอีเม้ย”
“มันคงพากันหนีออกไปแอ่วเวียงนะเจ้าคะหม่อม อีพวกหูป่าตาเถื่อน มาแต่บ้านป่าเมืองไกลบ่เคยหันเวียงเชียงใหม่ น่าสมเพชแต๊ๆ นะเจ้าคะหม่อม”เม้ยหัวเราะ
“กูสมเพชความง่าวของมันมากกว่า อีเม้ย มันคงบ่ฮู้กฎระเบียบของคุ้มเจ้าหลวง มึงคอยดูเต๊อะมันปิ๊กมา เมื่อใดมันจะม่วนบ่ออก”
บัวเดินเดินนำเม้ยเข้าไปในตึกคุ้มเจ้าหลวง แล้วฟ้องพระชายาทันที พระชายาตกใจมาก
“เจ้าหันกับตาแต๊ก๊า บัวเงิน”
เม้ยสอดขึ้นมาทันที...
“เจ้า...เปิ้นทำท่าทำทางลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมย แต่งเนื้อแต่งโตก็มอซอ ไปเดินปะปนกับชาวบ้าน ก็คงแยกบ่ออกว่าเจ้าว่าไพร่ ยะจะอี้ เหมือนบ่ฮักศักดิ์ศรีตัวแต๊ๆ อย่างน้อยเปิ้นก็น่าจะไว้หน้าพระชายาบ้างนะเจ้า”
พระชายาหันมาตวาด
“ข้าถามเอ็งก๊า นังเม้ย อู้เป็นคุ้งเป็นแควกี่ปีๆเอ็งก็นิสัยเหมือนเดิม นายเอ็งยังบ่ได้อู้ซะกำ”
เม้ยก้มหน้า หุบปาก บัวเงินใส่ไฟต่อ...
“ข้าเจ้าต้องมากราบเฮียน แม่เจ้า ก็เพราะข้าเจ้าหันว่าบ่งาม เจ้านางมณีรินเปิ้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของคุ้มเจ้าหลวงเปิ้นจะออกไปนอกคุ้ม ก็คงบ่มีผู้ใดห้ามเปิ้นดอก แต่เปิ้นก้น่าจะฮู้ว่าต้องมากราบขออนุญาตแม่เจ้าก่อน บ่ใช่นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มาเจ้า”
“เปิ้นออกไปตามลำพังก๊า”
“บ่เจ้า ข้าเจ้าหันนังพี่เลี้ยงคำเที่ยงคนนึง”
เม้ยสอดอีก
“อีนังนี่เปิ้นระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำแต๊ๆ เวลามันหัว ข้าเจ้าว่ามันเหมือนม้าดีด กะโหลกหางามบ่ได้เลยเจ้า”
พระชายามองเม้ยไม่พอใจ
“เอ็งพูดถึงตัวเอ็ง หรือคนอื่นกันแน่นังเม้ย ทั้งปลากระดี่ได้น้ำ ทั้งม้าดีดกะโหลก มันก็เอ็งทั้งนั้น”
เม้ยจ๋อย รอบสอง พระชายาหันไปทางบัวเงิน
“สรุปว่าเจ้านางน้อย เปิ้นออกไปสองคนกับนางคำเที่ยง”
“เอ่อ..เจ้าศิริวงศ์ เปิ้นไปโตยเจ้า”
พระชายาโล่งใจเมื่อได้ฟังอย่างนั้น
“ปัดโธ่...จะอั้นก็บ่ต้องเป็นห่วงอะหยัง ข้าก็กึ๊ดว่าเปิ้นไปกันตามลำพัง ศิริวงศ์ เปิ้นคงดูแลเจ้านางน้อยได้ละน่า เจ้าบ่ต้องห่วง...ข้าบ่ดีเอง ลืมไปว่าเจ้านางน้อยเปิ้นอยู่แต่ในคุ้ม ตั้งแต่มาจากเชียงตุงยังบ่ได้ผ่อเวียงของเฮาเลย...เปิ้นคงจะเบื่อละ ศิริวงศ์ อุตส่าห์เป็นธุระปะปังหื้อปิ๊กมาคุ้มข้าจะต้องขอบใจ ศิริวงศ์หน่อยแล้ว”
บัวเงินน้ำตาร่วงเผาะ พระชายาแปลกใจ
“เจ้าเป็นอะหยัง บัวเงิน จะไดไห้”
บัวเงินสะอื้นเสียงดังขึ้น
“หม่อม เจ้าขา หม่อมของเม้ย”เม้ยบีบน้ำตาตามนาย
พระชายายิ่งแปลกใจ
“จะไดเจ้าอู้จะอั้น บัวเงิน บ่เป็นศิริมงคลปาก..เจ้ามีอะหยังคับข้องใจ๋กันแน่”
บัวเงินเอาแต่ฟูมฟายน้ำตา บ่าวมองมาเป็นตาเดียวด้วยความสนใจ
“ตามข้ามานี่”
พระชายา ลุกขึ้นจากตั่ง เดินออกไปทางห้องนอน บัวเงิน ขยับลุกตาม เมื่ออยู่กันตามลำพัง พระชายาถามอีกครั้ง...
“เจ้ามีเรื่องอะหยังคับข้องใจก็ว่ามา บัวเงิน”
“ตั้งแต่ข้าเจ้าฮู้ว่า เจ้าพี่ศิริวัฒนาจะต้องอภิเษกกับเจ้านางมณีริน ข้าเจ้าก็รู้สึกเหมือนโตข้าจ้าตายแล้วทั้งเป็น ข้าเจ้าได้ชื่อว่าเป็นเมียเจ้าพี่มาก่อน แม่เจ้าไปขอข้าเจ้ามาจากท่านพ่อ แต่พอมีเจ้านางมณีริน แม่เจ้าก็จะผลักไส ข้าเจ้าทิ้งไปได้ลงคอก่อเจ้า”
“บัวเงิน...ข้าบ่มีทางเลือก ศิริวัฒนา ก็บ่มีทางเลือก แต่เจ้าจะเดือดร้อนไปทำไม ในเมื่อเจ้าเองก็ยังเป็นเมียเปิ้นได้เหมือนเดิม”
“เมียที่มาก่อน อย่างข้าเจ้า เป็นได้แค่เมียบ่าวเท่านั้นก๊า มันยุติธรรมกับข้าเจ้าแล้วก๊าแม่เจ้า”
“แล้วเจ้ากึ๊ดว่าอย่างใดจึงจะยุติธรรม”
“แค่จะสานไมตรีเมืองเชียงตุง จะใดบ่หื้อข้าเจ้าอภิเษกกับเจ้าพี่ ส่วนเจ้านางมณีริน ก็หื้อเปิ้นอภิเษกกับเจ้าน้อยเปิ้นไป”
“ศิริวงค์ยังเด็กเกินไป อีกอย่าง...การอภิเษกครั้งนี้ หมายถึงความสัมพันธ์ ของสองอาณาจักร วันข้างหน้า ศิริวัฒนาจะต้องขึ้นเป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ บ่ใช่ศิริวงค์ เจ้านางมณีริน เปิ้นจึงมีค่าควรอภิเษกกับศิริวัฒนา เท่านั้น บัวเงิน”
“ทำไม..ทำไมต้องเป็นเจ้าพี่ของข้าเจ้าด้วย แม่เจ้าหาทางช่วยข้าเจ้า บ่ได้ก๊า เอ็นดูข้าเจ้าเต๊อะ”
บัวเงินคลานเข้ามากอดเท้าพระชายา
“ข้าจะยะอะหยังได้ เจ้าหลวงเปิ้นตัดสินใจจะอั้นไปแล้ว หักอกหักใจเสียเต๊อะบัวเงินจงคิดถึงบ้านเมืองเอาไว้หื้อมากๆเฮาเกิดมา เป็นไพร่ฟ้าฝุ่นเมืองเมื่อมีโอกาสตอบแทนคุณแผ่นดินจงทำหื้อดีที่สุดเต๊อะ”
บัวเงินฟังแล้วก็ฟูมฟายไม่เลิก
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อกลับไปที่เรือน บัวเงินยังตาแดงก่ำแต่เลิกฟูมฟายแล้ว เม้ยกระถดเข้ามาหา
“หม่อมเจ้าขา...หม่อมอย่าเสียใจไปเลยเน้อ เม้ยว่าจะไดเสีย เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นก็ฮักหม่อมบ่เสื่อมคลาย ต่อหื้อภิเษิกกับผู้ใดก็บ่มีความหมายดอก ถ้าหม่อมมีลูกกับเปิ้น ยิ่งถ้าได้ลูกผู้ชาย...”
บัวเงินตวาด...
“อีง่าว...กูบ่ได้อยากมีลูกกับเปิ้น กูอยากเป็นพระชายาเปิ้น มึงยู่กับกูมาตั้งหลายปี๋ มึงบ่ฮู้ใจกูก๊า อีเม้ย”
“เม้ยฮู้เจ้าค่ะหม่อมเจ้ขา แต่ตราบใดที่งานอภิเกยังบ่เกิดขึ้น ก็หมายความว่า โอกาสของหม่อมยังบ่มอดมดไป๋ บ่ใช่ก๊า”
บัวเงินชะงักอย่างได้สติกลับคืนมา
“เม้ยบ่อยากหันหม่อมของเม้ยมีความทุกข์หม่อมไห้แล้วบ่งาม เฮายังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน หม่อมจะทุกข์ไปใยเจ้าหม่อมต้องยิ้มไว้เน้อ เพราะหม่อมของเม้ยงามที่สุด หัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย แป้ น่าน ยันอุตรดิตถ์ เมืองลับแล หม่อมของเม้ยงามกว่าผู้ใด งามที่สุดเจ้า”
บัวเงินค่อยๆ ยิ้มออกเรียกความมั่นใจกลับคืนมา
ในปัจจุบัน...
แม้ว่าจะชรามากแล้ว บัวเงินในวันนี้ ยังรู้สึกเหมือน วันนั้นในอดีต..รอยยิ้มเย็นน่ากลัวเหมือนน้ำที่ลึกจนยากจะหยั่ง
“แต๊อย่างมึงอู้ อีเม้ย โอกาสของเฮายังบ่มอดมดไป๋ ต่อหื้อมันปิ๊กมาจองเวรกะกูกี่ชาติ กี่ชาติ กูก็จะขอเหยียบมันทิ้งจมดิน อย่างที่กูเคยเหยียบมันมาแล้ว”
“หม่อมจะมีบัญชาหื้อเม้ยยะอะหยัง หม่อมก็บัญชามาเต๊อะเจ้า”ผีอีเม้ยบอก
บัวเงินนิ่งคิด แววตานั้นแสนน่ากลัว
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
วันดาราเสริฟกาแฟให้เรริน และสุริยวงศ์
“คุณรินจะรับอาหารเช้าเป็นแบบอเมริกันหรือว่า ข้าวต้มดีเจ้า”
“ของผมขอเป็น...”
สุริยวงศ์พูดไม่ทันจบ วันดาราขัดขึ้นก่อน...
“พี่ฮู้ ของโตต้องเป็นข้าวต้มแน่ๆ ขืนเคี้ยวของแข็งๆมีหวัง..”
เรรินยิ้ม...
“รินขอเป็นข้าวต้มเหมือนคุณสุริยะก็ได้ค่ะพี่วัน ให้รินเข้าไปช่วยในครัวไหมคะ”
“โอย บ่ต้องๆ คุณรินเป็นแขกพี่เน้ออย่าลืม”
สุริยวงค์หันมาบอก...
“วันนี้คุณรินอยากไปไหนครับผมจะไปส่งคุณรินเอง”
“เอ่อ...”
เรรินพูดไม่ออก เพราะภารกิจเดียวที่อยากไปทำคือทอผ้าให้เสร็จ วันดาราช่วยแนะนำ...
“วันนี้ที่วัดโมฬี เปิ้นจัดเป็นกาดมั่วถนนคนเดินเน้อสุริยะ น่าจะมีของขายเยอะอยู่”
“สนใจไหมครับคุณริน ไม่ซื้ออะไรแค่เดินดูข้าวของก็ม่วนแล้วครับ”
เรรินพยักหน้าให้ เธอตัดสินใจได้ไม่ยาก เมื่อเห็นสายตาแจ่มใส เต็มไปด้วยความ สนุกล่วงหน้าของเขา
(อ่านต่อหน้า 2)
ตอนที่ 10 (ต่อ)
บรรยากาศ กาดมั่ว เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า และคนมาเดินเที่ยว เรรินกับสุริยวงค์ เดินผ่านคนขายลูกโป่งแฟนซีเสียบไม้สีสันสะดุดตา ผ่านวงดนตรีเล็กๆเปิดหมวก ผ่านแผงดอกไม้ประดิษฐ์ ผ่านแผงขายขนม ที่ทำกันสดๆ
“ชิมได้นะคะเชิญชิมค่า..”แม่ค้าเชิญชวน
“ชิมไหมครับคุณริน”สุริยวงศ์หันมาชวน
“น่าอร่อยเหมือนกันนะคะ”
สุริยวงศ์ จิ้มขนมชิ้นเล็กขึ้นมาให้เรริน ทันใดเสียงคำเที่ยงดังโหวกเหวกมาแต่ไกล...
“บ่ได้เน้อ เจ้านางน้อย อย่ากิ๋น...”
เรรินได้ยินเสียงนั้นเต็มโสตประสาท หันไปมองทันที สิ่งที่เห็นค่อยๆเปลี่ยนไป ไม้เสียบลูกโป่งแฟนซีสีสันจัดจ้าน ค่อยๆเปลี่ยนเป็นป๋องแป๋งและลูกกระดาษ กระดาษรวงผึ้ง สีสดมีพูหาง ของเล่นคนจีนโบราณ
วงดนตรีสากลเปิดหมวก ค่อยๆเปลี่ยนเป็นวงสะล้อซอซึง ร้านดอกไม้ประดิษฐ์ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นร้านดอกไม้สด แบบล้านนามีสวยดอก พวงมาลัยดอกมะลิ ร้านหอยทอดผัดไท กลายเป็นขมมจีนน้ำเงี้ยว หม้อไทยแบบโบราณ ผู้คนในกาดก็กลายเป็นแต่งตัวโบราณ คำเที่ยงวิ่งฝ่าผู้คนเข้ามาร้องเสียงดังโหวกเหวก
“อะหยังก็จะยิ๊บใส่ปาก..บ่ได้เน้อเจ้านางน้อย เดี๋ยวจะเสาะท้อง”
เรรินในปัจจุบัน กลายเป็นมณีรินในอดีต เช่นเดียวกับสุริยวงศ์ ที่เปลี่ยนเป็นศิริวงศ์...
“พี่คำเที่ยง”มณีรินยังงงว่าคำเที่ยงมาได้ยังไง
“ทิ้งไปเต๊อะ”
“มะม่วงดองชิ้นเดียวจะเป็นอะหยังน๊อ”ศิริวงศ์กล่าว
“ของหมักของดอง น้อยเดียวก็บ่ดีเจ้า”คำเที่ยงเถียง
“ฮับมาจากมือแม่ค้าเปิ้นแล้ว จะคืนเปิ้นได้จะได เปิ้นมองตาเขียวแล้วบ่หันก๊า ขืนเอิ้นว่ามะม่วงดองเปิ้นบ่ดี มีหวังเปิ้นด่ากาดแตกแน่”ษิริวงศ์ว่า
“แล้วข้าเจ้าจะยะจะได”
“คำเที่ยงน่ะแหละต้องเป็นคนชิม”
คำเที่ยง จำใจรับมะม่วงดองมาจากมณีริน เอาเข้าปากตัวเอง หลับหูหลับตาชิมแล้วพบว่าอร่อยดีเหมือนกัน
“ลำ...ลำแต๊ๆ ขายอย่างใดน๊อ”คำดที่ยงหันไปถาม
“หน่วยละสิบสตางค์”
“แปงจ๊าดนักลดแหมน่อย”
“จะไดบ่กั๋วเสาะท้องแล้วก๊าคำเที่ยง” ศิริวงศ์แหย่
“จะเสาะก็คงเสาะบ่เมินดอกเจ้า”
ศิริวงศ์ กับมณีรินพากันหัวเราะ ที่คำเที่ยงเปลี่ยนท่าทีหน้าตาเฉย แล้วทั้งสามคนพาเดินกันต่อ ผู้คนมากมาย จนคำเที่ยงที่เดินกางร่มให้มณีรินเดินตามไม่ทัน
“เจ้านางน้อย จะไดย่างไวนัก รอพี่โตย พี่ตามบ่ทันเน้อ”
“เฮาก็บ่ได้หนีหายไปไหนซักหน่อยพี่คำเที่ยง”มณีรินหันไปบอก
“เดี๋ยวหลง”
“กาดน้อยๆจะอี้ จะหลงกันได้จะได”
“บ่ฮู้ละ อย่างใดพี่ก้ต้องเฝ้าเจ้านางน้อย บ่หื้อคลาดสายตา”
ศิริวงศ์ขำท่าทีของคำเที่ยง
มณีรินออกจะระอาใจ
“เฮาจะไปผ่อผ้าทองามๆทางปู๊น”
“แดดฮ้อนจะตาย ฝุ่นก็เยอะ”
“งั้นพี่คำเที่ยงก็ท่าเฮาตรงนี่”
“บ่”
“คนมุงอะหยังกันตรงปู๊นก็บ่ฮุ้น่า จะเป็นปาหี่เจ้านางน้อยอยากผ่อก่อ”ศิริวงศ์มองไปอีกด้านแล้วหันมาถาม
“ปาหี่ก๊า”มณีรินสนใจ
“อย่าไปเลยเน้อ พวกปาหี่ เล่นแต่เรื่องสกปรกหยาบคาย บ่เป็นมงคลเน้อ เจ้านางน้อย”คำเที่ยงรีบแย้ง
“เฮาอยากผ่อปาหี่”
มณีรินพรวดพราด ออกไปทันที ศิริวงศ์ตามคำเที่ยง ถูกผู้คนขวางทางเอาไว้ วิ่งตามมณีรินแทบไม่ทัน โวยวายไปตลอดทาง
+ + + + + + + + + + + +
ปาหี่กำลังเล่นตลกคะนองสไตล์ พื้นบ้านกันอยู่กลางลาน ชาวบ้านที่มุงดูอยู่หัวเราะชอบใจ ศิริวงศ์พามณีรินแทรกผู้คนเข้ามาดูปาหี่ คำเที่ยง อีลุงตุงนัง กับร่มที่ถือกางอยู่ ทุลักทุเล กว่าจะตามเข้ามาประกบมะณีรินได้
ผู้คนหัวเราะมุกตลกทะลึ่งหยาบโลน คำเที่ยงเอามือปิดตาอย่างรับไม่ได้ ศิริวงศ์หัวเราะ มณีรินทั้งขำทั้งอาย
“บ่น่าหัวจั๊กน่อย อะหยังก็บ่ฮู้ น่าอายแต๊ๆไปเต๊อะเจ้านางน้อย อย่าผ่อเลย วี๊ดว๊าย”
คำเที่ยงว่า แต่แอบแหกนิ้วแอบดู ศิริวงศ์ สะกิดมณีรินให้เดินไปอีกทาง แกล้งทิ้งคำเที่ยงให้อยู่ตรงนี้คนเดียว มณีรินนึกสนุก ค่อยๆถอย ออกไปกับศิริวงศ์ คำเที่ยงยังกางร่ม ปิดตาแอบดูปาหี่ ทะลึ่งอย่างติดใจ
“วี๊ด ว๊าย”คำเที่ยงตามด้วยหัวเราะ พร้อมๆกับ ชาวบ้านอื่นๆ
ศิริวงศ์พามณีรินไปซื้อน้ำตาลสด มณีรินดื่มน้ำตาลสด ศิริวงศ์ยืนมอง...
“ลำก่อ..เจ้านางน้อย”
“ลำ ม่วนใจ๋แต๊ๆ นี่ถ้าพี่คำเที่ยงเปิ้นอยู่ตรงนี้โตย เปิ้นคงบ่ยอมหื้อเฮากินดอก”
ทั้งคู่ออกเดินจนมาเจอนี่ที่นั่งพักมุมนึงใต้ร่มไม้
“เปิ้นก็ยะหน้าที่ของเปิ้น แต่เฮาว่านอกจากเป็นหน้าที่แล้ว เปิ้นฮักแล้วก็เป็นห่วงเจ้านางน้อยนักขนาดเน้อ”
“พี่คำเที่ยงเปิ้นเป็นพี่เลี้ยง ของเฮามาแต่น้อย เปิ้นเหมือนเป็นพี่สาวแต๊ๆของเฮา ป่านนี้คงวิ่งตามหาเฮาไปทั่วกาดแล้ว”มณีรินหัวเราะ
“เจ้านางน้อย หัวได้แล้ว ม่วนใจ๋ได้แล้วก๊า”
มณีรินสลดลง
“ความสุข ชั่วครู่ชั่วยามพอปิ๊กคืนคุ้มเจ้าหลวง เฮาก็ต้องปิ๊กคืนสู่ความเป็นจริง”
“ถ้าเจ้านางน้อย เปิดใจ๋จักน่อย เจ้านางน้อยจะหันว่าเจ้าอ้าย ของเฮาเปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เจ้านางน้อย จะฮักเจ้าอ้ายของเฮาได้บ่ยากดอก”
“เฮาบ่ได้อู้ว่าเปิ้น บ่ใช่คนดีซักเตื้อ”
“เจ้านางน้อยบ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของเฮา เพราะเปิ้นมีบัวเงินเป็นหม่อมของเปิ้นอยู่แล้วใช่ก๊า”
มณีรินพยักหน้ายอมรับ
“นั้นเป็นเหตุผลหนึง แม่หญิงทุกคนก็หวังหื้อคู่ชีวิต ของตั๋วฮักเดียวใจ๋ เดียวกันทั้งนั้น เฮาฮู้แทนใจ๋เอื้อยบัวเงินโตย เฮาเอ็นดูเอื้อยบัวเงินนัก เปิ้นก็คงทุกข์ใจ๋ บ่ใช่น้อยที่เฮา เหมือนเป็นคนที่เข้ามาแทรกกลาง มาแย่งความฮักของปิ้น”
“เฮาว่าบัวเงินต้องเข้าใจ๋ เป็นไพร่ฟ้าฝุ่นเมื่อง ก็ต้องเคราพ ธรรมเนียมประเพณี”
“จะไดเฮาก็ยังบ่อยากแต่งงาน..เฮาว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่ ไพศาลนัก เฮาอยากหันโลกใบนี้หื้อเต็มตาเสียก่อนวันใด ที่เฮาแต่งานโลกของเฮาก็คงเหลือแคบเท่าเขตคุ้มเจ้าหลวงนั่งเอง”
มณีรินดูหม่นหมอง ศิริวงศ์เห็นใจและเข้าใจ มณีรินมากขึ้นไปอีก ศิริวงศ์เดินไปกำลังเลือกลูกกระดาษให้มณีริน อยากให้นางสบายใจ...
“เฮาว่าสีนั้นก็น่าฮักโตว่าอันไหนดีกว่ากัน”
“ถ้าน่าฮัก ทั้งสองอันก็จะเลือกไปยะหยังก็ซื้อทั้งสองอันก็สิ้นเรี่อง”
คำเที่ยงแหวกผู้คนเลิ่กลั่ก เข้ามามองหามณีริน ตะโกนเรียกโหวกเหวก
“เจ้านางน้อยเจ้ารินหนีไปอยู่ข้างใด น๊อ...เจ้าริน….”
มณีรินหันไปเห็นคำเที่ยง
“พี่คำเที่ยงมาปู๊นแล้วเฮา จะหนีไปทางใดกันดี ทางปู๊นเต๊อะ”
มณีรินนึกสนุก ถลันจะหลบไปทางนึง อย่างไม่ทันระวังตัว คำเที่ยงเห็นมณีรินกับศิริวงศ์ ก็ตะลึงไป เพราะ ตรงหน้ามณีริน วัวสองตัวเทียมเกวียน พุ่งสวนเข้ามาพอดี วัวตื่นคุมไม่อยู่ ฝุ่นตลบ
“เจ้าริน..ระวัง..กรี้ด...”
มณีรินตกใจ หันไปเห็น วัวเทียมเกวียน พุ่งเข้ามาระยะใกล้แล้ว..
ทันใดเหตุการณ์กลับมาสู่ปัจจุบัน...ร่างเรรินล้มคะมำ เหมือนหงายหลัง ลงมาและสุริยวงศ์รับตัวเอาไว้ได้ทัน
วงพระจันทร์พุ่งเข้ามา ด้วยความโกรธ จะตามตบ หลังจากที่ตบไปแล้วหนึ่งฉาด ส่งผลให้เรรินคะมำ
“อีสารเลว ไม่มีปัญญาหาผู้ชายของตัวเองแล้วรึไง ถึงได้มาแย่งของคนอื่นเขายังงี้”
สุริยวงศ์เอาตัวเข้ากันเรริน และคว้าฝ่ามือของวงพระจันทร์เอาไว้ได้ทัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะวงพระจันทร์ ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า
“แค่ตบมันยังน้อยไป อีคนหน้าด้านอย่างมัน ต้องเจอหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“คุณริน...หลบไปก่อนครับ”
สุริยวงศ์บอก เรรินหน้าแดงเป็นปื้นรอยฝ่ามือทั้งเจ็บ ทั้งงง รีบและออกไปทันที ท่ามกลางสายตาผู้คน
“ปล่อย บอกให้ ปล่อย”วงศ์พระจันทร์พยายามดิ้น
“ทำไมไม่รู้จักอายคนอื่นเขาบ้าง”
“คนที่ต้องอายน่ะอีโน่นไม่ใช่ฉัน...”วงศ์พระจันทร์ตะโกนตามเรรินไป “กลับกรุงเทพฯของแกไปเลย ขืนยังมาลอยหน้าลอยตา อยู่แถวนี้อีกอย่าหาว่าไม่เตือน”
สุริยวงศ์โกรธจนผลักวงพระจันทร์ ที่ดิ้นพราดๆลงกับพื้น วงพระจันทร์ ล้มกระแทกพื้น อย่างแรงบั้นท้ายแทบพัง
“กรี๊ด...ด....” วงพระจันทร์กรี๊ดลั่น
+ + + + + + + + + + + +
วงพระจันทร์ไปฟ้องบัวเงิน ฟูมฟายต่อเนื่องอารมณ์เข้มข้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“วงพระจันทร์เห็นกับตาว่ามัน ระริกระรี้แทบจะกอดจูบกับสุริยะ คนในตลาด ก็ไม่ใช่น้อยๆ มันหน้าด้านไม่มียางอาย....แค่วงพระจันทร์บอกสุริยะว่ามีธุระจะคุยด้วย มันก็ด่าวงพระจันทร์ มันว่าวงพระจันทร์สวยแต่รูปจูบไม่หอม สู้มันไม่ได้คุณย่าขามันน่าเจ็บใจ ตรงที่สุริยะไปเข้าข้างมัน วงพระจันทร์แค่จะพูดกับมันดีๆ อย่างคนมีการศึกษา สุริยะเขาก็โกรธ เป็นฟืนเป็นไฟ เขาจับตัววงพระจันทร์ ไว้ แล้วให้มันตบหน้าวงพระจันทร์ค่ะ คุณย่า คุณย่า ต้องจัดการเรื่องนี้ให้วงพระจันทร์นะคะ วงพระจันทร์รับไม่ได้จริงๆ บัวเงินนั่งหันหลังให้อยู่นั้น ไม่ได้สนใจวงพระจันทร์ เพราะกำลังนึกไปถึงเรื่องราวในอดีต...
ในเวลานั้น...คำเที่ยงประคองมณีริน ที่เจ็บขาเล็กน้อยจากการล้มกลับมาที่เวียง ศิริวงศ์เดินตามมาด้วยอย่างเป็นห่วง
“อดทนอีกน่อยเต๊อะจะถึงเฮือนเจ้านางน้อยแล้ว”
“ส่งเฮาแค่นี้ก็พอ”มณีรินหันมาบอก
“ขึ้นเฮือนแล้วเจ้าต้องทายาหื้อนายของเจ้าเน้อคำเที่ยง ยาทาแก้ช้ำที่เฮาเอามาหื้อ คราวก่อนยังเหลืออยู่ก๊าถ้าหมดแล้วเฮาจะเอามาหื้อแหม”ศิริวงศ์ถาม
“ยังมีเหลืออยู่เจ้า”
“วันพูกเฮาจะมาเยี่ยมเน้อเจ้านางน้อย”
“ยินดีเน้อ....เจ้าน้อย”
มณีรินรู้สึกสนิทขึ้นจนเรียกเจ้าน้อยเป็นครั้งแรก มณีรินไหว้ขอบคุณ ศิริวงศ์รับไหว้ ยิ้มตอบก่อนจะแยกออกไป
“เจ้ารินไปขอบอกขอบใจ๋เปิ้นยะหยัง”คำเที่ยงถาม
“อ้าวก็ถ้าบ่ได้เปิ้นดึงตัวเฮาเอาไว้จนล้มลงไป ป่านนี้เฮาก็ถูกวัวถูกเกรียน เหยียบต๋ายไปแล้วเน้อพี่คำเที่ยง”
“แต่พี่ว่าเจ้ารินเจ็บตัวจะอี้ ก็เพราะเจ่าเปิ้นน่ะแหละถ้าบ่อุตริซุกซน ชวนเจ้าริน ออกไปแอ่วกาดก็คงบ่เกิดเรื่องดอก”
“เจ็บแค่นี้บ่ถึงตายดอกพี่คำเที่ยง ถึงเจ้าน้อยเปิ้นบ่ชวนเฮาออกไป เฮาก็คงหาทางออกไปเองจนได้น่ะแหละ เผลอๆจะเจ็บหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“โอ้ยพี่บ่อยากเถี่ยงกับเจ้ารินแล้ว”
“วันนี้เฮาม่วนที่ซุด อีกอย่างเฮาว่าเฮาบ่ได้ อยู่โดดเดี่ยวตามลำพังในโลกนี้แล้ว อย่างน้อยเฮาก็ได้เพื่อน ใหม่ที่เฮาวางใจ๋เพิ่มขึ้นมาอีกคนนึ่ง”
คำเที่ยงประคองพามณีรินมุ้งหน้าไปที่เรือน บัวเงินกับเม้ยแอบดูอยู่มุมหนึ่ง...
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงิน กับเม้ยไปหาศิริวัฒนาที่ห้องทำงาน แล้วฟ้องว่ามณีรินแบบหนีออกไปจากคุ้ม ศิริวัฒนาแปลกใจ...
“นี่พี่บ่ฮู้เลยเน้อว่าเจ้านางน้อย เปิ้นแอบหนีออกไปนอกคุ้ม”
“ที่น้องมาบอกเจ้าพี่นี่ น้องบ่ได้มีเจตนาจะมาฟ้องนะเจ้า แต่น้องเป็นห่วงว่าคนข้างนอกเปิ้นจะกึ๊ด อย่างใดถ้าเปิ้นฮู้ว่าเป็นเจ้านางมณีริน อยู่ในคุ้มบ่มีความสุขก๊า ถึงต้องแอบหนีออกไปจะอี้ ออกไปปะปนกับคนข้างนอกได้จะได..แต่น้องก็ว่าน้องเข้าใจ๋เจ้านางเปิ้น..เปิ้นมาแต่บ้านป่าเมืองไกล เปิ้นคงบ่รู้กฎระเบียบของคุ้ม บ่รู้ว่ายะอะหยังจึงจะงาม อะหยังบ่งาม เจ้าพี่น่าจะฮ้องเปิ้นมาอบรมเสียบ้างนะเจ้า”
ศิริวัฒนาถอนใจไม่สบายใจ
“จะดีก๊าบัวเงิน”
บัวเงินยังไม่ทันพูดอะไร ศิริวงศ์ก้าวเข้ามาพอดี
“เจ้าบ่ได้บอกเจ้าพี่ก๊า ว่าเจ้านางน้อยเปิ้นบ่ได้ออกไปตามลำพัง แต่เฮาไปโตย”
ศิริวัฒนาหันไปมอง
“อ้าว..อย่างใดกันศิริวงศ์”
“อันที่จริงน่ะน้อง เป็นคนออกปากชวน เจ้านางน้อยเปิ้นเองเจ้าพี่น้องหันว่าเปิ้นคงจะกึ๊ดถึงบ้านถึงเมืองเปิ้น เพราะเปิ้นดูเหงานักขนาด”
“จะอั้นพี่ก็คงต้องขอบใจ๋เจ้านักนัก ที่เป็นธุระหื้อพี่อุตส่าห์ช่วยดูแลเจ้านางน้อยเปิ้นแทนพี่ พี่บ่ดีเองวันๆ ทำแต่งานบ่มีเวลาแม้แต่จะไปถามสารทุกข์สุขดิบเปิ้น”
“เจ้าพี่ก็ต้องจัดสรรเวลาใหม่เน้อ งานบางอย่างถ้าน้องจะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าพี่ได้น้องก็ยินดี อีกบ่กี่เดือน เจ้าพี่ก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเปิ้นแล้ว น้องว่า เจ้าพี่น่าจะรีบสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเปิ้นหื้อมากๆเอ็นดูเปิ้น”
“น้องอุตส่าห์เตือนสติพี่ยินดีเน้อ ยินดีนักนักศิริวงศ์”
บัวเงินก้มหน้า กำมือแน่นด้วยความแค้น
ขณะเดียวกัน ในปัจจุบัน...บัวเงินกำแน่นเช่นในอดีต วงพระจันทร์ยังฟุ้งซ่านพล่ามไม่หยุด
“แต่ไหนแต่ไรสุริยะ เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แต่ตั้งแต่อีนังผู้หญิงคนนี้มันเข้ามาวุ่นวาย กับสุริยะ วงพระจันทร์ว่า สุริยะก็เปลี่ยนไปค่ะคุณย่า พูดจาก็หยาบคาย บางทียังขึ้นกูมึงกับวงพระจันทร์เลย พักหลังนี่เขาก็ไม่ค่อยมาหาคุณย่า ด้วยใช่ไหมค่ะ วงพระจันทร์ว่าคุณย่าคงต้องจัดการ อะไรบางอย่างแล้วละค่ะ ถ้าคุณย่าไม่อยากจะสูญเสียสุริยะไปให้อีนัง ผู้หญิงคนนั้นมันหัวเราะเยาะเอาได้”
วงพระจันทร์พักหายใจ เพราะคอแห้ง ยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วเพิ่งสังเกตว่าบัวเงินเงียบและนิ่งผิดปกติ
“คุณย่าคะ คุณย่า..คุณย่าหลับรึเปล่าคะ”
วงพระจันทร์คลาน ขยับมาหาบัวเงินเอื้อมมือไปค่อยๆจับแขนบัวเงิน
“คุณย่าฟังที่วงพระจันทร์พูดอยู่ใช่ไหมคะ”
บัวเงินค่อยๆปิด หันคอมาหา แปลกประหลาดที่เหมือนคอจะหมุนได้รอบ เมื่อเผชิญหน้า หน้าบัวเงินกลับกลายเป็นหน้าดำๆของผีอีเม้ย
“เมื่อใดมึงจะหุบปากอี่ง่าว”
วงพระจันทร์ช็อกตาค้าง ถึงเวลาตกใจจริงกลับร้องไม่ออก แข้งขาหมดเรี่ยวแรง กระถดถอยหนีไปไกลลิบก่อนจะโกยอ้าว
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเข้าในห้องทอผ้า นั่งลงที่กี่ทอผ้าเซ็งกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เรรินตัดใจ สลัดไล่ความรู้สึกขุ่นมัวนั้นทิ้ง คลี่เปิดผ้าขาวที่คลุม ปิดผ้าผืนที่กำลังทออยู่ ออกแล้วหยิบกระสวยเตรียมพุ่งเส้นไหมทอผ้าต่อ
“ผ้าผืนนี้เป็นผ้าแห่งความรัก คุณจะทอให้มันออกมาดีได้ยังไง ในเมื่อจิตใจของคุณว้าวุ่นขนาดนี้”
ศิริวัวัฒนายืนอยู่หน้าภาพเขียนสีน้ำมัน
“ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถของฉัน จะมีค่ะเจ้า”
“เพราะคุณกระหายใคร่รู้เรื่องราวในอดีต”
“ในเมื่อฉันเริ่มเดินแล้วฉันก็ อยากเห็นกับตาว่าตรงสุดท้ายของปลายทางเดินมันคืออะไรกันแน่ค่ะ
ขณะเดียวกันที่ด้สนนอก ไหมแม กับเด็กพนักงาน ช่วยกันยกแฟ้มเอกสารเก่าๆ ตั้งใหญ่ จะขนมาเก็บที่ห้องเก็บของ ถัดจากห้องทอผ้า ไหมแมยืนรอให้เด็กไขกุญแจ เปิดประตู ไหมแมมองมาเห็น ห้องทอผ้าไม่มีกุญแจคล้องอยู่
“ผู้ใดมาไขกุญแจห้องนั้น”
“บ่ฮู้เจ้า”
“ต้องมีคนมาไขสิ ไม่งั้นกุญแจมัน จะหายไปได้จะได”
“ก็พี่ไหมแม เป็นคนเก็บฮักษากุญแจห้องนั้นเอง”
“เอ..หรือเฮามาไขเอง แล้วลืมคล้องปิดก็บ่น่าเป็นไปได้ เปิดห้องนั้นมาเมินหลายวันมาแล้ว”
ไหมแม ตัดสินใจเดินมาดูให้หายข้องใจ ค่อยๆผลักบานประตูเข้าไป จังหวะเดียวกันนั้นเองศิริวัฒนา พาเรรินผ่านทะลุประตูแห่งชาติภพพอดี หน้าภาพเขียนสีน้ำมันกลุ่มแสงสว่างสีเขียวทองเหมือนหิ่งห้อยนับล้านตัวที่รวมเป็นกลุ่มก้อนกัน อยู่พุ่งทะยานหายเข้าไปในภาพ เขียนสีน้ำมันนั้น
ไหมแม และเด็กพนักงานตาเหลือกค้าง กับสิ่งที่ได้เห็น ตัวแข็งค้างกันไปชั่วขณะ เข้าใจว่าเป็นผีแน่ๆ ไหมแมแทบเป็นลม แต่มีสติพอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วรีบโกยหนีแน่บ เบียดแย่งกันออกนอกประตู
“ผีหลอกช่วยด้วยผีหลอก”
ที่ภาพเขียนสีน้ำมัน ละอองทองวิบวับ ยังจับอยู่ในภาพเขียนมะลังเมลือง เรรินกลับไปสู่อดีตชาติได้อีกครั้งแล้ว
(จบตอนที่ 10)
อ่านต่อวันพรุ่งนี้