xs
xsm
sm
md
lg

รอยไหม ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


(ติดตามละครออนไลน์ ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า เวลา 09.30 น.)


รอยไหม ตอนที่ 13

ศิริวงศ์วางดิกชันนารีเล่มนั้นลงบนโต๊ะ อย่างทนุถนอม นึกถึงคนที่เพิ่งกอดหนังสือเล่มนี้มาคืน แล้วต้องถอนใจ...ศิริวงศ์ เห็นกระดาษแผ่นนึงโผล่แหลมออกมาจากในหน้าหนังสือ เขาเปิดหนังสือไปที่หน้าที่ถูกคั่นเห็นดอกปีบถูกทับเอาไว้จนเกือบแห้งอยู่กับกระดาษแผ่นนั้น ศิริวงศ์หยิบกระดาษที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึม ลายมือมณีรินขึ้นมาดู ข้อความเป็น คำโครง ล้านนาหนึ่งบท ตัดพ้อศิริวงศ์ว่า เอาคำสัญญาคืนไปได้ไหม เพราะสัญญา คือ พันธนาการ ศิริวงศ์อ่านแล้วหัวใจหล่นวูบ ขณะเดียวกันนั้น ศิริวัฒนาเข้ามาในห้องพอดี ศิริวงศ์ รีบพับกระดาษแผ่นนั้น เก็บ กำไว้ในมือ
“เจ้าน้อย”
“ครับเจ้าอ้าย”
“บริษัทแม่อังกฤษตอบจดหมายเรื่องสัญญาสัมปทานมาแล้ว รู้สึกว่าจะตอบตกลงตามข้อเสนอ ของเราทุกอย่าง เดี๋ยวเจ้าน้อย อ่านทวนให้พี่อีกทีเน้อ”
“ครับ เจ้าพี่”
“ขอบใจเน้อ...ตั้งแต่เจ้าน้อยกลับมาช่วยงานของคุ้ม พี่ว่าอะไรๆง่ายขึ้นเยอะทีเดียว”
“มันเป็นหน้าที่ ที่น้องต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้วครับเจ้าอ้าย”
“แต่ก็อย่างเคร่งเครียดเกินไปนักเน้อ นับวันพี่เห็นเจ้า เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวบ่ ร่าเริงแจ่มใสเหมือนก่อน อยากได้อะหยังก็บอกปี้เน้อ”
ศิริวงศ์นิ่งไปใจนึกอยากถามว่า ขอแล้วให้จริงๆหรือ แต่ก็ไม่ได้ถามอย่างที่ใจคิด
“ตั้งแต่เล็กจำความได้ ผมจำได้ว่าแม่เจ้าป้อเจ้า สั่งสอนผมเสมอว่า ผมเป็นน้อง...มีอะหยังต้องยกหื้อเจ้าอ้ายก่อนเสมอ เพราะเจ้าอ้ายเป๋นเจ้าอ้าย วันข้างหน้าจะเป๋น เจ้าหลวงคนต่อไป”
“นั่นมันเรื่องกิจการบ้านเมือง...แยกไปเต๊อะ เฮาปี้น้องสายเลือดเดียวกั๋น ความฮักตี้ปี้มีต่อน้อง ถึงวันนี้ ปี้ก่มีหน้าที่ต้องตอบแทนน้องเหมือนกั๋น เน้อ บอกปี้ ความสุขของน้องก่คือความสุขของปี้เหมือนกั๋น”
ศิริวงศ์นิ่งงันไปเมื่อพี่ชายบอกอย่างนั้น

+ + + + + + + + + + + +

มณีรินกลับมาถึงเรือน คำเที่ยงรีบออกมารับ
“ไปถึงไหนมาเจ้าริน ปี้แค่เข้าครัวไปกำเดียว ออกมาเจ้ารินก่อ หายแว๊บไปแล้ว”
“ปี้คำเที่ยง...ไปสืบผ่อก๊าว่าเฮาจะหาฝ้ายงามๆได้จากตี้ไหนผ่อง”
“ฝ้ายงามๆ เจ้ารินจะเอามายะหยัง” คำเที่ยงถามอย่างแปลกใจ
“ก่ออีกบ่กี่วันเฮาจะต้องตอฝ้าห่มพระธาตุ บ่มีฝ้ายแล้วเฮาจะตอได้จะได”
คำเที่ยงงงๆ
“อ้าว...ก่อปี้หันเจ้ารินเฉยๆ บ่อยากจะแข่งขันกับไผ”
“เฮาเปลี่ยนใจ๋แล้ว เฮาจะแข่ง แล้วเฮาก่อต้องการจะเป๋นผู้ชนะด้วย ผ้าของเฮาต้องได้ห่มองค์พระธาตุบ่ใจ่ห่มฐาน”
“ป๊าด...อะหยังดลจิตดลใจ๋เจ้ารินของปี้กันเน๊าะ บอกปี้ได้ก่อ”
มณีรินหน้านิ่งเฉยทั้งที่ใจเต้นโครมคราม
“บ่มีอะหยัง เฮาแค่อยากถวายเป๋นพุทธบูชา”
“ถ้าจะอั้น เจ้ารินบ่ต้องห่วงปี้จะฮื้อคนไปสืบฮื้อ งานนี้หม่อมบัวเงินหงายหลังเงิบแน่ บ่ฮู้จักคนเจียงตุงเสียแล้ว ถึงคราวสู้ สู้ยิบตาขนาดไหน”
คำเที่ยงฮึกเหิมออกหน้าออกตา จนมณีรินแอบขำไม่ได้

+ + + + + + + + + + + + +

เม้ยรู้ว่า มณีรินจะทอผ้าแข่งกับบัวเงินจึงรีบมารายงานบัวเงิน
“มึงฟังมาบ่ผิดก๊า อีเม้ย”
“บ่ผิดดอกเจ้าหม่อม อีคำเที่ยงมันเที่ยวฮื้อคนของมัน ไปเสาะถามว่าตี้ไหนมีฝ้ายงามๆผ่อง มันจะเอามาฮื้อนายของมันตอผ้าแข่งกับหม่อม เจ้า”
“ต่อหน้ามันทำหงิมๆ ลับหลังมันก่คิดจะล้างกู”
“อีนี่มันยิ่งกว่างูพิษอีกนะเจ้าหม่อม”
“อีเม้ย”
“เจ้า”
“รีบส่งคนของเฮาออกไปนอกคุ้ม จาวบ้าน บ้านไหนมันเก็บฝ้ายแล้ว เอามาหื้อหมด อย่าฮื้อเหลือแม้แต่ดอกเดียว บอกมันไปว่า เจ้าหลวงเปิ้นสั่ง”
“หื้อเม้ยอ้างเจ้าหลวงเปิ้นไปเลยละเจ้า จะดีก๊าเจ้า หม่อมเจ้า”เม้ยหวาดๆ
“มึงจะกั๋วอะหยังอีเม้ย กูอยู่ตรงนี้ตั้งคนอีบ้านไหนมันขยักฝ้ายเอาไว้ มึงก่อขู่มันไปว่าต้องโดนตัดหัว อีบ้านไหนมันอิดๆออดๆมึงก็เอาเงินฟาดหัวมันไป”
“เจ้า...เอาเงินฟาดหัวไปเลยนะเจ้า”
“กูต้องได้ฝ้ายทุกดอกในเจียงใหม่ เพราะกูอยากจะหันน้ำหน้าอีมณีริน ว่าถ้ามันบ่มีฝ้ายซักดอกเดียวหื้อมันหัน มันจะเอาปัญญาตี้ไหนมาแข่งกะกู”
“ป๊าด...หม่อมของเม้ยนี่ เป๋นแม่หญิงตี้ฉลาดปราชญ์เปรื่องตี้สุดในล้านนานี่เลยเจ้า”
เม้ยเดินออกมา ตะโกนเรียกบริวาร
“อีพวกเด็กๆ มึงมานี่กั๋นหื้อหมดหม่อมเปิ้นมีงานสำคัญจะหื้อพวกมึงทำ”
บริวารเข้ามาร่วมประชุม บัวเงินกระหยิ่มยิ้มย่อง

+ + + + + + + + + + + +

ในห้องนอนศิริวงศ์ ไฟที่โคมโต๊ะเขียนหนังสือ ยังเปิดสว่าง ศิริวงศ์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง...อ่านโคลงล้านนาของมณีรินซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกถ้อยคำ ยิ่งตอกย้ำความทุกข์ในความรัก...ศิริวงศ์ถอนใจ แบมืออีกข้างที่กำดอกปีบทับแห้งขึ้นดูแล้วหอมดอกปีบนั้น รัญจวนใจ...ทางออกสำหรับปัญหานี้ช่างมืดมน
ท้องฟ้ามีจันทร์ เดือนเสี้ยว ศิริวงศ์เดินออกมาในสวน เพื่อสงบจิตใจ ขณะเดียวกันนั้นพลันมีร่างสองร่างตะคุ่มๆเดินตัดสวนทางหนึ่ง ศิริวงศ์ขยับเข้าพุ่มไม้บังตน เม้ยเดินตามติดบัวเงินเข้ามา บัวเงินเบรกกะทันหัน เม้ยชนหลัง บัวเงินอีลุงตุงนัง
“อีเม้ย อีผีบ้า มึงจะมาเดินตามกูอยู่ทำไม”
“ก็หม่อมไปไหน เม้ยก็ต้องตวยไปฮับใจ้หม่อมละก๊าเจ้า”
“กูจะขึ้นไปหาผัวกู มึงจะตวยขึ้นไปฮับใจ้อะหยัง อีง่าว มีสมองหัดคิดผ่องเน้อ”
“หม่อมก็ฮับใจ้เจ้าเปิ้นไป เม้ยนั่งท่าอยู่หน้าห้องก่อได้เจ้า”
“มึงนี่จ่างคิดเน๊าะ...คืนนี้เจ้าอ้ายเปิ้นอาจจะกกอาจจะกอดกูยันเจ้า ไม่ยอมปล่อยกูลงมาก่อได้ มึงกลับไปที้เฮือนปู้นเต๊อะ”
“หม่อมอย่าลืมร่ายคาถา ก่อนข้าห้องเจ้าเปิ้นนะเจ้า เปิ้นจะได้ฮักได้หลงหม่อมคนเดียว บ่ต้องไปคิดถึงอีคนเฮือนปู้น”
“เออ...กูมีอิ๋น อยู่กับตัวอยู่แล้ว...มึงคอยไค่หัวเอาไว้หื้อดีเต๊อะ ถ้ากูได้ลูกกับเจ้าอ้ายของกูก่อนเปิ้นจะแต่งงานกับอีมณีริน มันจะยะหน้ายังได”
“จะยะหน้ายังได ก็ยะหน้าเหมือนเจ็บขี้น่ะก๊าเจ้า หม่อม”
บัวเงินกับเม้ย หัวเราะชอบใจ
“ไป...มึงปิ๊กได้แล้ว”
เม้ยแยกกลับออกไป บัวเงินมุ่งหน้าไปที่ตึก ศิริวงศ์ครุ่นคิดถ้ามณีริน แต่งงานกับศิริวัฒนาจะต้องเจอสงครามหนักอีกขนาดไหน
บัวเงินเข้ามาหยุดหน้าห้อง ประนมมือขึ้นร่ายคาถางึมงำ ปลุกเสกความขลัง แล้วเป่าเพี้ยงอยู่หลายจบ สวดยังไม่ทันจบ ประตูห้องก็เปิดออก บัวเงินชะงักค้างทึ่งว่าขลังจริง
“อ้าว บัวเงิน เจ้ามายะอะหยังตรงนี้”
“น้องตั้งใจขึ้นมาฮับใช้เจ้าปี้น่ะเจ้า นี่ถ้าน้องเดาบ่ผิด เจ้าปี้ก็กำลังจะลงไปหาน้องที่เรือนใช่กะเจ้า”
“เปล่าพี่จะแค่จะไปห้องน้ำ”
บัวเงินกร่อย
“งั้นน้อง เข้าไปคอยในห้องเจ้าพี่นะเจ้า”
“อย่าเลย...คืนนี้พี่ต้องทำงานเรื่องเอกสาร ให้เสร็จ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ถ้างั้นน้องจะนวดให้ เจ้าพี่จะได้”
“เจ้ากลับไปเรือนเจ้อเตอะ บัวเงิน พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นแต่เช้า”
ศิริวัฒนาเดินแยกออกไป บัวเงินจ๋อยไป

+ + + + + + + + + + + +

เม้ยนั่งอยู่บนที่นั่งของบัวเงิน วางท่าเป็นนายให้บริวารที่ง่วงเหงาหาวนอนแล้วรุมนวดอยู่
“มึงคิดดูเอาก็แล้วกัน ถ้าหม่อมของเราให้ลูกชายเปิ้นได้ก่อน ต่อให้แต่งตำหนักโน้น ก็สู้ไม่ได้ เผลอๆ บ่มีลูกกับเปิ้นก็ตกกระป๋อง หม่อมของพวกเราสบาย พวกมึงก็จะพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย เข้าใจก่อ”
บริวารหาวนอนไปพยักหน้าหงึกหงักรับคำไป บัวเงินเดินอารมณ์เสียกลับเข้ามา
“อีเม้ย”
เม้ยตกใจกระโจนลงมาจากพี่นั่งนายแทบไม่ทัน
“มึงกล้าดียังไงขึ้นไปนั่งบนที่กู”
เม้ยอึกอัก
“เม้ย...เม้ย...เม้ยแค่อยากลองนั่งดูว่ามันสบายจริงรึเปล่าเจ้า เผื่อไม่สบายจะได้เย็บฟูกน้อยมารอง เจ้า...ทำไมหม่อมกลับมาไวนัก หรือว่าเจ้าเปิ้น...”
เม้ยยิ้มจะพูดว่านกกระจอกไม่ทันกินน้ำแต่ไม่กล้า ได้แต่หัวเราะคิกคัก
“คาถาของมึงไม่เห็นจะได้ผล เจ้าพี่ไม่ตะเพิ่ดกูลงมานี่” บัวเงินพูดอย่างมีอารมณ์
เม้ยหน้าเสีย
“เป็นไปได้ยังไง เม้ยว่าหม่อมท่องผิดหรือไม่อย่างนั้นก็ท่องไม่ครบมากกว่า”
“มึงรอดตัวไป เป็นไปได้ที่กูยังท่องไม่ครบ”
“หรือไม่ยังงั้นก็...”
เม้ยนิ่งไป บัวเงินถามทันที
“อะไรของมึง”
“เจ้าเปิ้นอาจจะเจอมนต์ที่แรงกว่าของหม่อมก็ได้นะเจ้า”
“มึงหมายถึงใคร”
“จะใครซะอีกล่ะเจ้า ถ้าไม่ใช้คนตำหนักโน้น”
“อีมณีริน”
บัวเงินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง

+ + + + + + + + + + + +

วันต่อมา....
 
มณีรินกับบริวาร ช่วยกันพลิกตากดอกกรรณิการ์ในกระด้ง เตรียมเก็บไว้ใช้ย้อมสีจีวร คำเที่ยง วิ่งหน้าเริ่ดเข้ามา
“เจ้าริน...เจ้าริน...แย่แล้ว...แย่แล้ว”
“อะหยัง พี่คำเที่ยง”
“หนานอิน คนที่พี่ใช้ให้เปิ้นไปเสาะเรื่องฝ้ายน่ะเจ้า เปิ้นกลับมาแล้ว เปิ้นว่า เปิ้นไปถึงลำพูน ไปถึงดอยหลวงเชียงดาว เสาะฝ้าย บ่ ได้ซักดอก”
“เป็นไปได้ยังไง”
“เปิ้นว่า เปิ้นก็แปลกใจ สืบดูถึงได้รู้ว่าฝ้ายมันถูกกว้านไปหมดเชียงใหม่แล้ว”
“ใคร...พี่คำเที่ยง”
“จะใคร ถ้าไม่ใช่หม่อมบัวเงินล่ะเจ้า หนานอินเปิ้นว่า ถ้าไม่ใช้วิธีขู่เข็ญเอากับชาวบ้าน ก็ทำเป็นขอซื้อแต่ให้เงินนิดหน่อยไม่พอยาไส้ ชาวบ้านก็เลยต้องยกฝ้ายให้จนหมด”
“เปิ้นคงต้องการเป็นผู้ชนะคนเดียวจริงๆ”
“แล้วที่นี๊ เราจะทำยังไงกัน ไม่มีฝ้ายสักดอก แล้วจะทอผ้าได้ยังไง เจ้าริน”
“เอาเถอะ เฮาว่าเฮามีวิธี เอื้อยบัวเงิน เปิ้นน่าจะรู้ว่าการแข่งขันอย่างยุติธรรมมันเป็นยังไง พี่คำเที่ยงรีบเอากระชุนั่นไปเก็บดอกกรรณิการ์มาให้หมด เฮาอยากรู้เหมือนกันว่าต่อให้เปิ้นทอผ้าได้ แต่ถ้าเปิ้นไม่มีดอกกรรณิการ์ย้อมสีจีวร ผ้าเปิ้นจะเอาขึ้นห่มพระธาตุได้ยังไง ถ้าเปิ้นอยากได้ดอกกรรณิการณ์ เปิ้นก็ควรจะเอาฝ้ายมาแบ่งปันกัน เราถึงจะแบ่งดอกกรรณิการ์ให้”
“มันต้องย้อนเข้าให้ยังงี๊ซะบ้าง เนาะ เจ้ารินเนาะ ไปอีพวกเด็กๆ ไปกับข้า หื้อโวยโวย”
คำเที่ยงกับบริวารพากันหิ้วกระชุรีบออกไป มณีรินถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ

+ + + + + + + + + + + +

คำเที่ยงเขย่าต้นกรรณิการ์ให้ดอกร่วงพรูลง มาบริวารช่วยกันเก็บดอกที่ร่วงมากมายบนพื้น
“เก็บให้หมดเน้อ อย่าให้เหลือแม้แต่ดอกเดียว”
เม้ยพาบริวารของตนเข้ามาถึงพอดี
“เฮ้ย มึงเข้ามาทำอะไรในเขตเฮือนนายกู”
“นี่ตามึงก็ดูเอาเองสิว่าพวกกูมาทำอะไร”
“พวกมึงหยุดเลย แล้วไสหัวออกไปนี่มันต้นไม้ของนายกู พวกมึงจะมาเก็บดอกไปได้ยังไง”
“มึงไม่ต้องมาทำเสียงดัง วางอำนาจใส่กูอีเม้ย ที่ตรงนี้หรือตรงไหนก็ไม่ใช่สมบัติของนายมึงทั้งนั้น เพราะที่นี่เป็นเขตคุ้มเจ้าหลวงโว้ย ท่าทางมึงอยากได้ดอกกรรณิการ์นักละสิ เสียใจด้วยเน้อ พวกกูเก็บหมดแล้ว ถ้ามึงอยากได้นัก ก็กลับไปบอกนายมึงให้เอาฝ้ายมาแบ่งนายกูซะดีๆและจะได้เห็นกันว่า ฝีมือทอผ้าใครมันจะแน่กว่าใคร”
“ถุย...อีคำเที่ยง นายมึงก็แค่เด็กหัดทอผ้า เผยอจะมาแข่งกับนายกู มึงน่ะแหละกลับไปบอกนายมึง ถ้าอยากได้ฝ้ายกำมือนึง ก็ให้ไปกราบตีนนายกู กราบทีนึงก็เอาฝ้ายไปกำมือนึง กูว่าควรจะได้ฝ้ายพอทอแข่ง กูว่ากว่าจะได้ฝ้ายพอทอแข่งกับนายกู นายมึงคงต้องกราบตีนนายกูจนหลังหักน่ะแหละ”เม้ยหัวเราะเยาะ
บริวารเม้ยหัวเราะสะใจ คำเที่ยงหักข้อนิ้วเตรียมลุย
“จะเอาดอกมาให้กูดี ๆ หรือต้องให้ใช้กำลัง” เม้ยขู่
“มา...มึงอยากได้มึงเข้ามา”
“คำเที่ยงถกผ้าซิ่น เม้ยเดินตรงรี่เข้ามา คำเที่ยงกอดกระชุไว้แน่น ตั้งการ์ดมวยแบบผู้ชาย ด้วยแขนข้างเดียว เม้ยปัดกระชุหลุดจากมือกำเที่ยง แล้วตบคำเที่ยงจนเซ เม้ยเดินไปจะก้มลงเก็บกระชุ คำเที่ยงถีบตูดเม้ย หัวทิ่มคะมำ แล้วตามซ้ำ บริวารต่างจับคู่กันตบตีกัน เหมือนโกรธเกลียดกันมาข้ามภพข้ามชาติต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ช่วงชิงกระชุดอกกรรณิการ์
เมื่อมณีรินรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ก็ถอนหายใจอย่างไม่สบายใจ
“งานบุญแท้ๆ กลายเป็นงานบาปไปจนได้”
คำเที่ยงกับบริวาร ยับเยินหัวกบาลไม่เหลือทรงหมอบอยู่
“พี่ไม่ได้เป็นคน เริ่มก่อนนะเจ้าริน อีผีบ้านั่งต่างหาก เรี่ยวแรงมันยังกะวัวกะควาย”
“ยังไงก็กลายเป็นเจ็บตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
“ถึงตายพี่ก็ยอม ยังไงพี่ก็ต้องปกป้องศักดิ์ศรีเจ้าริน บ่ ยอมให้ใครมันมาดูถูกเอาได้หรอก มันว่าถ้าอยากได้ฝ้ายก็ให้เจ้ารินไปกราบตีนนายมัน กราบทีนึงก็ได้ฝ้ายกำมือนึง เจ้ารินคิดดูเถอะ ใครจะทนได้”
“สรุปว่าเราคงไม่มีฝ้ายทอผ้าวันงานแน่แล้วใช่ไหม”
“พี่ว่าเจ้ารินไปฟ้องเจ้าหลวง กับแม่เจ้าเปิ้นเถอะให้เปิ้นได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“เฮาไม่ใช่คนขี้ฟ้องนะพี่คำเที่ยง แล้วอีกอย่าง เรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องให้รู้ไปถึงหูผู้ใหญ่ด้วย”
“เรื่องแบบนี้ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกก๊า เจ้าริน”
“เอาเถอะ เฮาจะถือว่ามารมาผจญไม่ให้เฮาได้บุญเท่านั้นเอง เฮาว่าสติปัญญา เฮายังมี ยังไงก็ต้องมีหนทางออกจนได้น่ะแหล่ะ”
มณีรินบอกไปอย่างนั้น ทั้งๆที่หนักใจอยู่ไม่น้อย

+ + + + + + + + + + + +

บริวารกำลังทายา ประคบรอยช้ำบนหน้าให้กันไปมา บัวเงินมองอย่างไม่พอใจ
“เจ็บตัวขนาดนี้ มึงก็ยังไม่ได้ดอกกรรณิการ์มาซักดอกเดียว งั้นเหรออีเม้ย”
“อีคำเที่ยง มือตีนมันเหนี่ยวยิ่งกว่าตุ๊กแกอีกเจ้าหม่อม มันกอดกระชุเอาไว้แน่น เม้ยกัดมือมันยังกะหมา มันยังไม่ยอมปล่อยเลยเจ้า”
“มันคงคิดว่ากูจะจนหนทาง ไม่มีสีย้อมจนต้องยอมเอาฝ้ายไปแลกกับมันละมัง อีเม้ย”
“กะเจ้าหม่อม”
“มึงส่งคนของเราออกไป หาต้นขนุนใหญ่ๆแล้ว โค่นมันลงขุดรากมันกลับมาให้กู”
“หม่อมจะกินตำขนุนอ่อนหรือขนุนสุกเจ้า”
“อีง่าว...กูจะเอาแก่นเอารากขนุนมาต้มย้อมสีจีวรต่างหาก”
“ป๊าด...เม้ยนี่ง่าวจริง ๆ”
“อีมณีริน มันคงคิดว่า แค่กูไม่มีดอกกรรณิการ์ กูจะย้อมสีจีวรไม่ได้ละมัง แก่นขนุน รากขนุน มีถมถืดไป กูไม่จนหนทางง่ายๆหรอก”
“ทั้งเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม้น่าน อุตรดิตถ์ บ่ มีผู้ใดปราดเปรื่องเท่าหม่อมของเม้ยเลย” เม้ยเยินยอ บัวเงินยิ้มด้วยใบหน้าอย่างผยอง

+ + + + + + + + + + + +

สำรับอาหารถูกส่งลำเลียงขึ้นตั้งบนตั่งในโตก บัวเงินรับโตกจากเม้ยขึ้นตั้ง มณีรินรับโตกจากคำเที่ยงขึ้นตั้ง ศิริวงศ์แอบมองมณีริน แวบนึง
“คำเที่ยง เนื้อตัว หน้าตาเจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงได้ถลอกปอกเปิกเขียวช้ำยังงั้น”ศิริวัฒนา ถามอย่างสงสัย
มณีรินหันมาสบตาคำเที่ยง
“ข้าเจ้า...เอ่อ...”คำเที่ยงอยากจะบอกความจริงเหมือนกันแต่ต้องระงับปาก “ข้าเจ้าหกล้มเจ้า”
“เดินยังไงถึงได้หกล้ม หกลุกจนยับเยินไปทั้งตัวยั้งงี้” เจ้าหลวงต่อว่า
“ข้าเจ้า...สะดุดขาตัวเองน่ะเจ้า” คำเที่ยงจิกสายตาไปทางเม้ยที่ยิ้มเยาะอยู่
พระชายาหันไปมองเม้ย
“นังเม้ยก็พอกัน สะดุดขาตัวเองหกล้มเหมือนกันรึไง”
“บ่เจ้า ข้าเจ้าถูกหมามันไล่กันมาเจ้า”
“หมาไล่กัน...หมาที่ไหนกัน”
บัวเงินได้ทีรีบแทรกขึ้น
“นังเม้ยมันออกไปนอกคุ้ม ไปหาเตรียมแก่นขนุนมาให้ข้าเจ้าย้อมสีฝ้ายวันห่มผ้าพระธาตุน่ะเจ้า หมาชาวบ้านมันเลยไล่กัดเอา”
ศิริวัฒนารู้ได้ว่า สองฝ่ายต้องมีเรื่องกัน จึงหันไปพูดกับพระชายา
“งานนี้แลกกันด้วยเลือด เจ็บตัวกันตั้งแต่ยังไม่ถึงวันงานเลยนะครับแม่เจ้า วันงานคงแข่งกันสนุกแน่”
บัวเงินมองมณีรินยิ้มเชือด
“เป็นยังไงบ้างเจ้านางน้อย มีปัญหาอะไรไหม ขาดเหลืออะไรบ้างรึเปล่า”เจ้าหลวงถามอย่างห่วงใย
“บ่เจ้า...บ่มีปัญหาอะหยังเจ้า” มณีรินตอบเรียบนิ่ง
เม้ยมองเยาะคำเที่ยง ที่กระสับกระส่ายอยากให้นายพูดความจริง บัวเงินมองมณีริน ยิ้มเย็น
“เจ้านางน้อย เปิ้นคงจะเร่งวัน เร่งคืน อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ เพราะเปิ้นคงอยากจะแสดงฝีมือทอผ้าของเปิ้นเต็มที่แล้วละเจ้า”
มณีรินสะกดกลั้นอารมณ์ ศิริวงศ์ ลอบมองใบหน้านั้นอย่างสงสัย

+ + + + + + + + + + + +

มณีรินเดินนำคำเที่ยงลิ่วๆ ออกไปจากตึกคุ้มเจ้าหลวง คำเที่ยงมัวหันมาสั่งคุมบริวารให้ดูแลโตกสำรับอาหารที่เหลือจนตัวเองกลายเป็นรั้งท้าย
“เจ้าริน...เจ้าริน ลิ่วๆ ไปโน่นแล้ว พวกเอ็งรีบตามไป ไวๆ”
ศิริวงศ์ตามออกมาจากตึก
“คำเที่ยง”
“ใครเรียกกูวะ”
“เฮาเอง”
คำเที่ยงหันมาพบศิริวงศ์ ก็สะดุ้งสุดตัว
“ว้าย...เจ้าน้อย”
“วันนี้นายเจ้าไม่สบายรึไง ไม่พูดไม่จา หน้าตาก็เครียดเหมือนโกรธใครมา”
“เจ้ารินเปิ้นกำลังเครียดน่ะเจ้า”
“เครียดเรื่องอะไร”
“จะเรื่องอะไร ก็เรื่องทอผ้าแข่งกับหม่อมบัวเงิน เปิ้นน่ะสิเจ้า”
“แพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา ความภาคภูมิใจมันอยู่ที่ได้พยายามอย่างเต็มกำลังแล้วรึเปล่าต่างหาก”
“ก็นี่แหละเจ้า เจ้ารินถึงได้เครียด แพ้ชนะ บ่กลัว แต่กลัวการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม มากกว่า เพราะมันเท่ากับเจ้ารินแพ้ตั้งแต่ยัง บ่ ได้เริ่มแข่ง”
“เจ้าหมายความว่า ยังไง คำเที่ยง”
คำเที่ยง ถอนใจ ยกแขนที่ฟกช้ำขึ้นมาให้ศิริวงศ์ดู
“เจ้าน้อยดูเอาเถอะเห็นแล้ว เชื่อรึเปล่าล่ะเจ้า ว่าข้าเจ้าเดิดสะดุดขาตัวเองหกล้ม”
ศิริวงศ์ตั้งใจฟัง สิ่งที่คำเที่ยงเล่าอย่างน้ำไหลไฟดับอย่างอัดอั้นตันใจ

(อ่านต่อหน้า 2)










ตอนที่ 13 (ต่อ)

มณีรินเดินเข้าเรือน ปลดปิ่นถอดกำไลแขนออกจากตัวจะแต่งตัวใหม่ให้ทะมัดทะแมงแล้วหันไปเปิดหีบผ้าหาผ้าคลุมไหล่ผืนใหม่ คำเที่ยงกลับเข้ามา
“กินข้าวกินเต๊อะ เจ้าริน”
“เฮา บ่กิน เฮาบ่หิว พี่คำเที่ยงจะทำอะไร จะไปไหนเจ้า”
“เฮานึกออกแล้ว พี่คำเที่ยง ในเมื่อไม่มีฝ้ายให้เราทอผ้าถวายพระธาตุก็ไม่เป็นไร เฮาจะออกไปหาเก็บไหมออมเอาก็ได้”
“ไหมออม” คำเที่ยงทวนคำ
“ใช่...ไหมป่า เฮาเห็นตามละเมาะป่ามีถมไป”
“เจ้าริน...”
คำเที่ยงมองเจ้ารินอยากจะพูดว่าจะบ้าไปแล้ว มณีรินมองรู้ทัน
“เฮารู้ว่าพี่คำเที่ยงคงคิดว่าเฮาบ้าไปแล้ว แต่คนอย่างเฮาบ่ยอมแพ้อย่างหมดหนทางสู้หรอก ยิ่งเปิ้นอยากให้เฮาแพ้ เฮายิ่งต้องทำให้เปิ้นเห็นว่า เฮาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน เฮาจะออกไปเสาะเก็บไหมออม”
“กินข้าวก่อน แล้วค่อยว่ากัน บ่ดีก๊า”
“เดี๋ยวนี้”
“แต่พี่หัวไส้จะขาดแล้วเน้อ”
“อดข้าวมื้อเดียวน่ะ บ่ตายหรอก แต่ถูกปล้นศักดิ์ศรีไปน่ะ มันต้องเจ็บใจไปจนตายเชียวนะพี่คำเที่ยง”
คำเที่ยงพยายามอึดทั้งที่หิว นายว่ายังไงก็ต้องว่าตามนั้น

+ + + + + + + + + + + +

บริวารเริ่มนำเอาอุปกรณ์ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ตีฝ้าย ออกมาทำความสะอาด กันอย่างขันแข็ง บัวเงินหัวเราะ อย่างเห็นเป็นเรื่องน่าขำเสียเต็มประดา
“ไหมออม”
“กะเจ้าหม่อม อีมณีรินมันเกณฑ์ พวกมันทั้งหมด ออกไปเสาะเก็บไหมออมชายป่ากัน”
บัวเงินซับน้ำตา เพราะหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“ทำไมหม่อมหัวเราะล่ะเจ้า หม่อมบ่กลัวเหรอเจ้า มันบ่มีฝ้ายให้ทอ แต่ถ้ามันไช้ไหม ผ้าของมันจะงามกว่าผ้าของหม่อมนะเจ้า”
“อีเม้ย มึงนี่ก็ช่างคิดไปได้เนาะ ป่าทั้งเชียงใหม่มันจะมีไหมออมซักกี่รังกัน แล้วรังนึงกะจิ๊ด ริดกะจ้อยร่อยเท่าเม็ดถั่ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแข่งแล้ว ต่อให้มันเก็บทั้งปีมันก็ได้ไหมออม แค่ทอผ้าผืนน้อย ห่อคัมภีร์เท่านั้นแหละ มึงว่าจริงหรือไม่จริง”
เม้ยหัวเราะออกเสียงดังกว่านายเสียอีก
“อีพวกนี้มันง่าวนัก ง่าวจริงๆ เลยนะเจ้าหม่อม”
“ไหมออม...ผ้าห่มพระธาตุไหมออม” บัวเงินยิ่งคิดยิ่งขำ
“ให้มันทอทั้งชาติ ถึงจะห่มมิดองค์ละนะเจ้า”
เม้ยผสมโรงหัวเราะกับบัวเงิน ครื้นเครงกันนายกับบ่าว

+ + + + + + + + + + + +

บริวารแหวกพุ่มไม้หารังไหมป่า ที่ติดอยู่ตามใบไม้ คำเที่ยงมุดพุ่มไม้ออกมา หน้าตาอมทุกข์ ได้ไหมป่าออกมาหนึ่งรัง
“เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะได้ซักรังนึงนะเจ้าริน”
คำเที่ยงอวดไหมป่าให้มณีรินดู ก่อนจะเก็บใส่กระชุ
“อย่าบ่นนักเลยน่าพี่คำเที่ยง รีบๆหาเข้าเถอะ”
“พี่ปวดหลังปวดเอวไปหมดแล้วเจ้าริน ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเล๊ย เมื่อเช้าบอกความจริงเจ้าหลวง แม่เจ้าเปิ้นไปให้หมดว่าหม่อมบัวเงินเปิ้นกลั่นแกล้งเรายังไง ก็สิ้นเรื่องไปแล้ว”
“เรื่องอะไรจะต้องทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่เปิ้น บ่ สบายใจด้วย”
“อย่างน้อย เปิ้นก็ได้รู้ไงว่า หม่อมบัวเงินขี้โกงขนาดไหน ผู้หญิงอะไรร้ายกาจได้ขนาดนี้”
“ไปกล่าวหาว่าเปิ้นขี้โกง ก็บ่ได้หรอกพี่คำเที่ยง ในเมื้อกฎกติกามันไม่ได้กำหนดเอาไว้นี่ ถ้าเปิ้นคิดว่าพี่เปิ้นวิธีที่จะเอาชนะเฮา ก็ช่างเปิ้นเถอะ”
“ร้อนก็ร้อน คันก็คัน หิวก็หิว”คำเที่ยงบ่นอุบ
“บ่นนัก บ่ได้บุญเน้อ พี่คำเที่ยง”
มณีรินขำๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปทางหนึ่ง คำเทียงหน้าเสียกลัวไม่ได้บุญจริงๆรีบบอก
“บ่ ฮ้อนเลย อากาศดีจริงๆ บ่คันเลย หอมแต่ดอกไม้ บ่หิวเลย เหมือนอิ่มทิพย์จริงๆ”
มณีรินเก็บรังไหมป่าขึ้นมาได้รังนึง ยิ้มดีใจ เก็บรังไหมใส่กระชุ แล้วขยับจะไปที่มุมอื่น แต่ต้องชะงัก เมื่อ ศิริวงศ์ยืนขวางนางเอาไว้
“จะออกมานอกคุ้มทำไมไม่บอก”ศิริวงศ์ทำเสียงดุ
“แล้วทำไมเฮาจะต้องบอกด้วย”
“ถึงจะไม่ได้ออกมาตามลำพัง อันตรายก็มีอยู่รอบตัว”
“เฮา บ่กลัว เฮาออกมาทำงาน บ่ ได้ไปเหลวไหลที่ไหน”
“ความมั่นใจของตัว ถ้ามากเกินไป บางทีมันก็กลายเป็นความอวดดีได้”
“เฮารู้ตัวของเฮาดี ขอบใจที่เตือนสติ”
“ไม่มีฝ้าย ทำไมไม่บอก”
“เฮา บ่ใช่คนขี้ฟ้อง อีกอย่างการแข่งขันครั้งนี้ มันเป็นเรื่องของเฮากับเอื้อยบัวเงิน”
“โต บ่มีทางชนะเอื้อยบัวเงินได้หรอก”
“แล้วโตจะได้เห็น หลบไป เฮาบ่มีเวลามากนัก โตกำลังทำให้เฮาเสียเวลา”
มณีรินเดินเลี่ยงมาอีกทาง
“บอกเฮาซิว่า ทำไมโตถึงอยากจะเอาชนะครั้งนี้ให้ได้”
“เฮาก็แค่ บ่อยากเป็นคนแพ้”
“กลัวเสียศักดิ์ศรี แม่หญิงเชียงตุงว่างั้นเถอะ”
“ก็แล้วแต่โตจะคิด”
“ถ้าแพ้แล้วโตจะร้องไห้ขี้มูกโป่งกี่วัน”
มณีรินชักฉุนขึ้นเรื่อยๆ
“เฮาบ่ใช่เล็กๆ ถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“บ่ ใช่เด็ก แต่วิธีที่โตทำอยู่ตอนนี้มันเป็นวิธีของเด็กๆ”
มณีรินชักโมโห
“อย่ามาว่าเฮาเป็นเด็กๆนะ”
“ถ้างั้น ก็บอกมาว่าทำไมโตถึงเกิดอยากจะชนะ ทั้งที่ทีแรกโตไม่คิดอยากแข่งขันด้วยซ้ำไป”
มณีรินเริ่มโกรธคำพูดจึงหลุดออกมา
“ก็ใครล่ะที่บอกว่า ถ้าผ้าของเฮาได้ขึ้นห่มองค์พระธาตุ จะฝากเครื่องสักการะขึ้นไปถวายเป็นพุทธบูชาด้วยนะ ใครกัน”
ศิริวงศ์อึ้งไป มณีรินละอายใจ ที่หลุดปากบอกความจริงจากใจออกไปให้เขารับรู้หันหลังหนี ทำทีเป็นหาไหมป่าง่วน ศิริวงศ์เดินเข้ามา มณีรินหลบสายตาไม่ยอมสบด้วย
ศิริวงศ์เก็บไหมป่าได้รังนึง เดินเข้ามาหามณีริน ยื่นรังไหมรังกะจิดริดเข้าไปอวดตรงหน้ามณีริน ด้วยรอยยิ้ม มณีรินเอื้อมมือมาหยิบรังไหมรังน้อยไปจากมือของเขาแล้วปั้นยิ้มตอบนิดเดียว
“ขอบใจ”
มณีริน เก็บรังไหมใส่กระชุที่คล้องแขนอยู่ และไม่สามารถทนอยู่ตรงนั้นได้อีกเลี่ยงออกไปพุ่มไม้อื่น
มณีรินขยับเข้ามาหารังไหมที่พุ่มไม้นึง ศิริวงศ์ตามมา
“ไมมีงานมีการทำรึยังไง ถึงได้มาเล่นสนุกเป็นเด็กๆ อยู่อย่างนี้”
“ใครบอกว่า เฮาเล่นสนุก เป็นเด็กๆ นี่ก็งานของเฮา เหมือนกัน”
“จะเสาะเก็บก็ไปเสาะที่อื่นไป ป่าตั้งออกกว้าง”
“โตไล่เฮาก๊า”
“ก็ใช่นะสิ”
“งั้นเฮาไปเน้อ”
“ไปเลย”
“ไปแล้วเฮาก็จะไม่กลับมาอีก เลยเน้อ”
“เรื่องของโต ใครเขาจะไปว่าอะไรล่ะ”
ศิริวงศ์ทำหน้าเศร้าแล้วขยับออกไป มณีรินแอบมองตามแล้วถอนใจ เอื้อมมือไปเก็บรังไหมรังนึง แล้วสะดุ้งชักมือกลับทันที
“โอ้ย...พี่คำเที่ยง ช่วยเฮาด้วย”
ศิริวงศ์วิ่งพรวดกลับมาทันที
“เจ้านางน้อย...เป็นอะไร”
“ผึ้ง...ผึ้งต่อยเฮา”
“ไหนดูซิ”
ศิริวงศ์ดึงมือมณีรินที่พยายามแข็งขืนเอาไว้ออกมาดู
“ผึ้งต่อยตรงไหน”
“นิ้วก้อยเฮา”
ศิริวงศ์พยายามหาเหล็กไนของผึ้งที่เล็กจิ๋วบนนิ้วก้อยมณีริน
“โอย...ปวด”
“ต้องเอาเหล็กในออกเน้อ”
โดยไม่ได้คาดคิด ศิริวงศ์ใช้ฟันขบเข้านิ้วก้อย มณีรินสัมผัสความอบอุ่นของเลือดเนื้อเขา อึ้งตะลึงงัน ศิริวงศ์หยิบเหล็กในผึ้งออกจากปากทิ้งไป แล้วหันมาเจอสายตามณีริน คำเที่ยงวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามา แหกปาก
“เจ้าริน อะไรเจ้า งูก่อเจ้า ฮ้องเสียจนพี่ตกใจ”
คำเที่ยงตาค้าง เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือมณีริน ดึงมือออกจากมือศิริวงศ์
“เจ้าน้อย...มาได้ยังไงเจ้า”
“เจ้าอ้าย เปิ้นให้เฮาตามมาดูแลเฮาไปก่อนเน้อ”
ศิริวงศ์เดินออกไป คำเที่ยงหันมามองมณีริน
“พี่คำเที่ยง ผึ้งต่อยก้อยเฮา”
“หน้าตาเจ้าริน บ่ ค่อยปวดเท่าไรเลยนี่เจ้า”
“ปวดสิ...ปวดจะต๋าย”
คำเที่ยงมึนๆ งงๆ
“ผึ้งตัวนี้ ท่าทางพิษของมันจะแรงกว่าพิษงูซะอีกนะเนี่ย”

+ + + + + + + + + + + +

แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันวิบวับ ในความมืดในขณะนี้ ก็ยังสู้แสงเจิดจ้าในแววตาของมณีรินไม่ได้ มณีรินนั่งเหม่อ มือคัดรังไหมป่าที่ละรังออกจากเศษผงเศษใบไม้ มือก็คลำนิ้วก้อยที่ถูกผึ้งต่อยไปด้วย คำเที่ยง ถือตะเกียงน้ำมัน อีกดวงคลานเข้ามา
“พี่ปูสะลีกางมุ้งให้เจ้ารินเรียบร้อยแล้วเน้อ...เจ็บก้อยมากไหม เจ้าริน...เจ้าริน”
“เจ้า...อะไรนะพี่คำเที่ยง พี่คำเที่ยงว่าอะไรนะ”
“ช่างหัวมันเต๊อะ คำถามของพี่มันคงไม่สำคัญอะไรหรอก ดึกแล้วเข้านอนเต๊อะ”
“ไหมออมทั้งกระชุนี่คงจะพอทอได้แค่ผ้าผืนน้อยเดียวเนาะพี่คำเที่ยง”
“พอไก่ขัน เราก็จะออกไปเสาะ เก็บไหมออมกันอีกไง เจ้ารินเสาะเก็บจนกว่าจะพอนั่นแหละ”
“เลิกพูดจากระทบกระแทกเฮาเสียที พรุ่งนี้เฮาจะทอไหมออมผืนน้อยนี้”
“จะทอได้ยังไง เจ้าริน ยัง บ่ ถึงวันแข่งขันเลย”
“คงจะมีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้น แหละเราถึงจะมีฝ้ายให้ทอแข่งกับเปิ้น ผ้าไหมออมผืนน้อยนี้ เฮาจะปักลายบัวบาน ถวายพระธาตุแทน”
“นิ้วก้อยบวมเจ็บขนาดนั้น จะทอผ้าปักผ้ายังไงไหว”
“ไหวสิ...ไหว เฮาบ่เจ็บแล้ว” มณีรินยิ้มมีความสุข
“เจ้าริน...”
“อะหยัง”
“พี่ก็ได้แต่เตือนเจ้ารินเน้อ จะทำอะไรเจ้ารินก็ต้องนึกถึงพ่อเจ้า แม่เจ้าที่เชียงตุงบ้านเกิดของเฮาไว้ให้มาก ๆเน้อ พลาดพลั้งสิ่งใดเปิ้นจะเสียใจที่สุด”
มณีรินชะงักอึ้งไปเหมือนกัน คำเที่ยงดักทางจับอารมณ์ของตนได้ไม่มีผิด
วันรุ่งขึ้น...
ที่กี่ขนาดเล็ก กระสวยถูกพุ่งผ่านไหมเส้นยืนแล้วถูกกระแทกด้วยฟืม มณีรินทอผ้าไหมออมเส้นไหมสีตุ่นขาวๆ ทองๆ ตามธรรมชาติ ได้ผ้าผืนน้อยความยาวคืบกว่าแล้ว ศิริวัฒนา เดินเข้ามาหา หยุดยืนมองมณีรินอย่างหลงใหล คำเที่ยงเข้ามาข้างตัวมณีรินกระซิบเบาๆ
“เจ้าริน เจ้าเปิ้นมาเจ้า”
มณีรินดีใจ นึกว่าเป็นศิริวงศ์ ยิ้มหันมาหา แล้วหน้าเจื่อนไป เมื่อเห็นศิริวัฒนาส่งยิ้มให้อยู่
“พี่ได้ยินว่าผึ้งต่อยก้อยเจ้าริน จนบวม ยังอุตส่าห์ทอผ้าไหวอีกหรือ”
“เจ้าไปเอาข่าวมาจากไหนกัน”
“ก็นังคำเที่ยงน่ะสิ”
มณีรินหันไปมอง คำเที่ยงก้มหน้าหลบสายตา ศิริวัฒนาเข้ามาจับมือมณีริน
“ไหน...ขอพี่ดูหน่อยซิ บวมขนาดนี้ไม่เจ็บรึไง เจ้าริน”
“เจ็บสิเจ้า ข้าเจ้าเคยโดนผึ้งต่อยเอา เจ็บเหมือนจะต๋าย” คำเที่ยงสอดขึ้น
“แล้วนี่ทายาแล้วก๊า”
คำเที่ยงรีบชิงตอบเอง
“ทาแล้วเจ้า แต่ก็นานร่วมชั่วโมงแล้ว ต้องทาใหม่แล้วเจ้า เดี๋ยวข้าเจ้าจะไปหยิบยามาให้นะเจ้า”
คำเที่ยงกุลีกุจอออกไป
“วันผูกก็จะถึงวันงานแล้ว ถ้าทอ บ่ ไหวก็บ่ต้องแข่งก็ได้เน้อเจ้าริน พ่อเจ้าแม่เจ้าเปิ้น บ่ ตำหนิอะไรหรอก”
“ข้าเจ้า...”
คำเที่ยงกลับเจ้ามาพร้อมตะลุ่มใส่ยา
“เจ้าริน เปิ้นกำลังใจดีนักขนาดยิ่งถ้าเจ้าทายาให้เอง คืนนี้ยาก็คงเป็นยาวิเศษ ทาแล้วหายเป็นปลิดทิ้งละเจ้า”
คำเที่ยงส่งตลับยาให้ ศิริวัฒนามาเปิด ควักยาออกมา แล้วบรรจงทายาที่นิ้วก้อยมณีริน อย่างเบามือ มณีริน เคืองคำเที่ยงไม่น้อย แต่แสดงออกอะไรไม่ได้ คำเที่ยงก้มหน้าหลบตา ขณะที่ศิริวัฒนามีความสุขที่ได้ดูแลมณีริน

+ + + + + + + + + + + + +

เม้ยกระหืดกระหอบตะกายบันไดขึ้นมาบนเรือน...
“หม่อมกะเจ้า หม่อมกะเจ้า”
บัวเงินมองแปลกใจ
“อะไรของมึงอีเม้ย”
“เจ้าศิริวัฒนา เจ้า เจ้าศิริวัฒนา”
“เจ้าอ้ายของกูกำลังมาก๊า”
“บ่เจ้า เม้ยจะบอกว่า เจ้าเปิ้นไปเฮือนอีมณีรินเจ้า”
บัวเงินหน้าสลดลง
“เปิ้นไปยะหยัง”
“บ่ ฮู้เจ้า เม้ยตามไปได้แต่เห็นไกลๆ เจ้าเปิ้นจับมืออีมณีริน เอาไว้อย่างนี้” เม้ยจับมือบริวารขึ้นมา สาธิตให้เห็นภาพ “จับแล้วก็หอมมือมันด้วย เจ้า ส่วนอีมณีรินมันก็ดัดจริต ทำท่าเอียงไปอายมา น่าตบแท้ๆเจ้า” เม้ยใส่ไฟ
บัวเงินจี๊ดขึ้นทันที
“มึงพอแล้วอีเม้ย กู บ่อยากฟัง ทีกูไปหาถึงบนตึก กลับไล่ตะเฟิดกู อีนั่นมันมีดีอะไรถึงต้องไปหามัน”
“หม่อมเชื่อเม้ยเถอะเจ้า อีนั่นมันต้องเล่นคาถาอาคมแน่ๆ มนต์ฮ้องผัวไงเจ้า นี่ขนาดยัง บ่ได้เข้าพิธีอภิเษก เจ้าเปิ้นยังหลงมันหัวปักหัวปำขนาดนี้ ถ้าอภิเษกแล้วมันคงยิ่งไม่เห็นหัวหม่อมหนักกว่านี้เข้าไปอีกนะเจ้า”
“มึงหุบปาก มึงได้แล้วอีเม้ย มึงยิ่งพูดกูยิ่งปวดใจ”
“หม่อมกะเจ้า หม่อมบ่ต้องกลัวหรอกเจ้า ยังไงเม้ยก็จะอยู่ข้างหม่อม จะช่วยหม่อมจนกว่าหม่อมจะสมหวังเจ้า วันพูก ทอผ้าแข่ง หม่อมต้องหักหน้ามันให้ได้ เจ้าเปิ้นคงจะกลับมาเห็นหม่อมอยู่ในสายตายบ้างละเจ้า”
บัวเงินเจ็บแค้นใจ

+ + + + + + + + + + + +

คำเที่ยงเดินหลบออกมาเพราะรู้ดีว่าต้องโดนดีแน่
“พี่คำเที่ยง”
คำเที่ยงเบรคหัวทิ่มหันกลับมายิ้มแหย มณีริน หน้าเครียด ตามออกมา
“พี่จะไปดูในครัวว่ามื้อเย็นจะทำอะไรกินกันดี เจ้ารินอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเจ้า”
“บ่ ต้องทำมาเป็นเอาอก เอาใจเฮา มันเรื่องอะไรต้องเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่เฮาโดนผึ้งต่อย ไปบอกเจ้าเปิ้นด้วย”
“บ่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซะหน่อยเน้าเจ้าริน”
“ไม่ต้องมายอกย้อนเลยนะพี่คำเที่ยง”
“แค่พี่ไปบอกเจ้าเปิ้น เปิ้นก็รีบลงมาหาเจ้ารินเลย อย่างนี้ไม่แสดงว่าเจ้าเปิ้นฮักแล้วก็เป็นห่วงเจ้ารินนักขนาดรึไง”
“แต่เฮาบ่ชอบการใช้วิธีแบบนี้ มันน่าละอายเน้อ พี่คำเที่ยง”
“มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้าริน ใจคอเตลิดเปิดเปิงไปกับคนอื่นละเจ้า”
“พี่คำเที่ยง”มณีรินเสียงดังขึ้น
คำเที่ยงตกใจ
“ได้ยินด้วยก๊า”
“เฮากับเจ้าน้อย บ่ได้คิดอะไรต่อกันมากไปกว่าความเป็นเพื่อน”
“พี่ก็ บ่ ได้ว่าอะไรซักหน่อย แค่...แค่...อยากจะเตือนสติเจ้าริน
“เฮารู้ตัวดี ว่าควรจะทำตัวยังไง”
มณีรินนิ่งไว้แค่นั้น หันกลับมามองคำเที่ยง คำเที่ยงหลบตา มณีรินเดินออกไป คำเที่ยงถอนใจเฮือก
ค่ำคืนนั้น ผ้าไหมออมสีขาวทองตุ่นๆ ผืนเล็กถูกขึงอยู่ในสะดึงไม้ กำลังถูกปักลวดลายด้วยไหมสีอ่อนหวาน เป็นลายบัวบาน ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียง มณีรินตั้งอกตั้งใจปักผ้า เข็มปักผ่านผ้าไหมออม เดินเส้นไหม สร้างรูปทรง มณีรินนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ ศิริวงศ์สบประมาทเธอ เรื่องทอผ้าแข่งกับบัวเงิน และบอกความต้องการจะฝาก เครื่องสักการะขึ้นไปถวายพระธาตุกับผ้าของเธอ มณีรินถอนใจ ลูบคลำนิ้วก้อยที่โดนผึ้งต่อย นึกถึงตอนที่ ศิริวงศ์ ถอนเหล็กในผึ้งออกจากนิ้วของเธอด้วยปากของเขามณีรินรู้สึกหวั่นไหวในใจ...ผ้าผืนน้อยที่ถูกปักลาย ใกล้จะเสร็จแล้ว มณีรินนั่งปักผ้าอย่างตั้งใจจนดึกดื่น

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
 
องค์พระธาตุตั้งเด่นเป็นประธานของวัด จ้องพระธาตุสี่ทิศสูงเด่นสร้างความยิ่งใหญ่อลังการ ช่างฟ้อน ฟ้อนนกยูง นำขบวนเสด็จ เจ้าหลวง และพระชายา ที่นั่งมาบนเสลี่ยงคนละตัว ตามด้วยเสลี่ยงศิริวัฒนา
มณีรินนั่งเสลี่ยงตามมา บรรดาบริวารร่วมขบวนโดยมีคำเที่ยง อัญเชิญพานแว่นแก้วดอกไม้สดเพื่อถวายพระธาตุ ตุงผ้าตุงกระด้าง ขบวนบัวเงิน รั้งท้าย บัวเงินอัญเชิญพานแว่นแก้วถวายพระธาตุ นางแน่วแน่กับชัยชนะ เม้ยและบริวารเดินตามหลังบัวเงิน เจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา เสด็จขึ้นที่ประทับ ขบวนช่างฟ้อน ฟ้อนถวายเต็มลานวัด
ที่มุมแข่งขันทอผ้า กี่ทอผ้า แบบเชียงใหม่ของบัวเงินตั้งตระหง่าน บัวเงินก้าวเข้ามายืนข้างกี่ สักครู่ มณีรินก้าวเข้ามายืนข้างกี่ของตัวเอง เจ้าหลวงมองผู้คนในงานแล้วประกาศ
“วันนี้เป็นวันดีที่พวกเราได้มารวมจิตศรัทธาบูชาคุณพระพุทธร่วมกัน ปีนึงมีเพียงหนเดียวที่พวกเราจะมีโอกาสถวายฟ้าห่มองค์พระธาตุของพวกเรา และปีนี้ยิ่งเป็นโอกาสพิเศษ เราไม่ได้ทอผ้าห่มเพียงผืนเดียว แต่เราจะทอถึงสองผืนจากนาทีนี้ไปจนครบ หนึ่งวันเต็ม ใครทอผ้าเป็นผืนจนย้อมได้เสร็จก่อนกัน ผ้าของผู้นั้นจะได้ขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ผ้าของใครเสร็จที่หลังก็ได้ห่มถวายฐานองค์ เราขอเริ่มการแข่งขันเดี๋ยวนี้”
บัวเงินยิ้มกระหยิ่มใจ มองมณีรินจิกด้วยหางตา พนักงานตีฆ้องให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน บริวาร บัวเงิน ช่วยกันลากกระสอบฝ้ายเข้ามา และเทดอกฝ้ายลง มณีรินยังยืนเฉย ศิริวัฒนา แปลกใจหันไปกระซิบพระชายา
“เจ้านางน้อย เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าเจ้าคง บ่ มีความสามารถพอจะแข่งขันกับอื้อยบัวเงิน” มณีรินพูดขึ้น
“ทำไมเจ้านางน้อยถึงพูดอย่างนั้น” เจ้าหลวงถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ข้าเจ้าคงบ่มีบุญบารมีพอ เพราะแม้แต่ดอกผ้าย ข้าเจ้ายังหามาบ่ได้ ข้าเจ้าคงต้องขอถอนตัวจากการแข่งขันครั้งนี้”
เจ้าหลวงหันมาหาบัวเงินแล้วถามอย่างสงสัย
“มันยังไงกันบัวเงิน ทำไมเจ้าถึงมีฝ้าย แต่เจ้านางน้อยไม่มี”
“ข้าเจ้าก็ บ่ฮู้เจ้า พอฮู้ว่าจะต้องทอผ้าถวายหึ่มพระธาตุ ข้าเจ้าก็ฮื้อคนข้าเจ้าออกไปเสาะฝ้าย ชาวบ้านที่ฮู้ว่าผ้าผืนนี้จะได้ขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ก็ศรัทธาให้ฝ้ายข้าเจ้ามาจนหมด ข้าเจ้า บ่ต้องเสียเงินซื้อหา”
คำเที่ยงคันปากอยากเถียงแต่พูดไม่ได้
“อะไรกัน ฝ้ายทั้งเชียงใหม่มันจะมีแค่ที่เจ้าคนเดียวรึไงบัวเงิน” ศิริวัฒนาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าเจ้า บ่ ฮู้ แต่ข้าเจ้าได้ยินชาวบ้าน บ่นว่าปีนี้ฝนแล้งนัก เลยได้ฝ้ายน้อยจะเย็บผ้าห่ม ผ้านวม ไว้กันหนาว ยัง บ่พอเลยเจ้า ข้าเจ้าจึงคิดว่า บ่ แปลกที่เจ้านางน้อย เปิ้นจะหาฝ้ายไม่ได้ แม้แต่ดอกเดียวเจ้า”
พระชายาหันไปถามเจ้าหลวงอย่างไม่สบายใจ
“แล้วตกลงจะเอายังไงกันดีเจ้าพี่”
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้ก็คงไม่มีการแข่งขันละมัง ปล่อยให้บัวเงินพอไปคนเดียวก็แล้วกัน”
“แต่ไหนๆ เจ้านางน้อยเปิ้นก็มีจิตศรัทธาจะร่วมบุญวันนี้อยู่แล้ว ถ้าเปิ้นบ่รังเกียจ เปิ้นก็มาเป็นลูกมือปั้นฝ้ายกรอฝ้ายช่วยเด็กๆ ของข้าเจ้าก็ได้นะเจ้า”
เม้ยยิ้มสะใจ คำเที่ยง ฉุนกึก มันหยามกันชัดๆ มณีรินนิ่ง ทั้งที่หันไปเห็นสายตาเย้ยหยันของบัวเงิน
“เจ้านางน้อยจะว่ายังไง”พระชายาถาม
ก่อนมณีรินจะหลุดคำพูดใดๆออกมาเสียง ศิริวงศ์ก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน...รอก่อน”
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน ศิริวงศ์เข้ามากลางลานแข่งขัน
“การแข่งขันจะต้องมีขึ้นแน่พ่อเจ้า แม่เจ้า...ฝ้ายสำหรับเจ้านางมณีริน ทอผ้าห่มถวายพระธาตุมาถึงแล้ว มณีรินอึ้งตะลึง คำเที่ยงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง คนงานชายแบกกระสอบฝ้ายตามศิริวงศ์เข้ามามากมายก่ายกอง แล้วเทดอกฝ้ายลงกองกับพื้น มณีรินดีใจ ใจเต้นตูมตาม บัวเงินกับเม้ยหน้าถอดสี
ในปัจุบัน...
“คุณย่าเจ้า...คุณย่า”
วันดาราเรียกบัวเงินที่นั่งนิ่ง นึกถึงอดีต บัวเงินยังจมอยู่ในความเจ็บปวดใจในอดีต
“คุณย่าเจ้า...ตกลงคุณย่าจะร่วมเป็นเจ้าภาพถวายผ้าห่มองค์พระธาตุรึเปล่าเจ้า”
“อย่ามายุ่งกับกู...กูไม่เป็นเจ้าภาพอะไรทั้งนั้น”
วันดาราหน้าเหวอไปพยายามแย้ง
“คุณย่าเจ้า...”
“บุญกรรมมันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น อีพวกทำชั่วได้ดีมีถมไปอย่ามายุ่งกะกู ไสหัวลงจากเรือนกูไปเดี๋ยวนี้...ไป้”
บัวเงิน อารมณ์แปรปรวนรุนแรง จนน่ากลัว วันดาราต้องค่อยๆกระเถิบถอยออกไป
ในอดีต...
บริวารบัวเงินเร่งมือช่วยกันตีฝ้ายไล่เมล็ดฝ้ายออกจากดอก เป็นระวิง เม้ยไม่ได้ดั่งใจลงไปลุยเอง ฝั่งมณีริน มีคำเที่ยง ตีฝ้ายกับบริวาร อย่างสนุกสนาน ใกล้ๆกันนั้น พวกผู้ชายวงดนตรี ตีกลองบรรเลงฟ้อนสาวไหม ผู้ชายช่างฟ้อนสาวไหม ล้อฟ้อนสาวไหมของผู้หญิง เจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา นั่งดูการแข่งขันอย่างสนุก
เวลาผ่านไป บัวเงิน กรอฝ้ายเป็นเส้นได้ละเอียดเสมอ อย่างชำนาญก้มหน้าก้มตาแข่งกับเวลา มณีริน กรอฝ้ายได้เส้นละเอียดไม่แพ้กัน เธอเงยหน้าขึ้นมองหาใครสักคน เห็นเจ้าหลวง พระชายา ศิริวัฒนา กับผู้คนมากมาย มุงดูการแข่งขันกันอยู่ มณีรินมองไกลออกไปก็พบว่า ศิริวงศ์แฝงตัวอยู่ เขายิ้มให้กำลังใจ มณีรินใจเต้นแรง พลังแห่งการเอาชนะผุดขึ้นในใจ เธอแอบส่งยิ้มให้เขาตอบกลับไป
(จบตอนที่ 13)
 
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)




กำลังโหลดความคิดเห็น