xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นอนน้อย ทำให้สมองเสียหาย แถมเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์
การนอนเป็นเครื่องมือในการซ่อมบำรุงสมอง เครื่องมือนี้จะทำงานดีเต็มประสิทธิภาพในเวลาที่ร่างกายพักยาวตอนกลางคืน

นักวิจัยพบว่า การนอนน้อยทำให้สมองเสียหายและเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไซกริดเวียเซย์ นักประสาทวิทยาประจำศูนย์การนอนและชีวประสาทตามวงจรนาฬิการ่างกาย โรงเรียนแพทยศาสตร์พีเรลแมน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ ยืนยันหลังจากได้ศึกษาและพบว่า การนอนหลับไม่พอมีผลต่อการสูญเสียของระบบประสาท และในรายงานอีกชิ้นหนึ่งยังบอกด้วยว่า ถ้าหลับไม่ดี จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมชนิดรุนแรงเร็วขึ้น

โรคสมองเสื่อมทำให้ความจำลดประสิทธิภาพลงเรื่อยๆ เนื่องจากการทำงานของสมองถดถอย และค่อยๆ ลดประสิทธิภาพการสื่อสารกับระบบการทำงานของร่างกายในชีวิตประจำวัน โรคสมองเสื่อมมีหลากหลายรูปแบบ อัลไซเมอร์เป็นประเภทหนึ่งในนี้ และเป็นประเภทที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด

จากการศึกษาในหนูทดลอง พบว่า การนอนหลับจำเป็นต่อการรักษาความสมดุลของการเผาผลาญพลังงานในสมอง ถ้าสมองตื่นอยู่เสมอ แหล่งสร้างพลังงานของเซลล์จะทำงานหนัก และถ้านอนหลับไม่พอ เซลล์ประสาทจะเสื่อมลง โดยเฉพาะเมื่อให้หนูนอนไม่เป็นเวลา คล้ายกับคนที่ทำงานเป็นกะ พบว่าเซลล์ประสาทในก้านสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตื่น การรู้ตัว และการเรียนรู้ เสียหายถึงร้อยละ 25

ใครที่ดูหนัง เล่นเกม นั่งแชทจนดึกจนสว่าง ก็จงเลิกเสียเถิด เพราะความเสียหายของสมองไม่สามารถฟื้นฟูกลับได้ แม้จะนอนชดเชยตามหลังก็ไม่มีประโยชน์อันใด

ใยอาหาร ยาวิเศษ ช่วยยืดอายุการทำงานของกลไกในร่างกาย
“ขอให้แข็งแรง สุขภาพดี อายุมั่นขวัญยืน” ใครๆ ก็อยากให้พรนี้เป็นจริง แล้วรู้ไหมว่าใยอาหารทำได้ เพราะช่วยให้กลไกร่างกายทำงานปกติ ยืดอายุการทำงานได้นานขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย

งานวิจัยที่ออสเตรเลีย พบว่า ร้อยละ 80 ของชาวออสเตรเลีย 1,600 คน ที่ร่วมการวิจัย มีการทำงานของร่างกายเต็มประสิทธิภาพและไม่เจ็บป่วยแม้เข้าวัยชราแล้ว คนเหล่านี้กินอาหารที่มีใยอาหารมากเป็นประจำ ซึ่งได้แก่ ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี

แต่ถึงอย่างไร นักวิจัยสถาบันวิจัยการแพทย์เวสต์มีด แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ก็ได้ออกตัวว่า เป็นการวิจัยที่ดูแค่เหตุและผลเท่านั้น ยังไม่เพียงพอจะบอกว่า ควรกินแต่ใยอาหารอย่างเดียวหรือไม่ แต่โดยทั่วไป ควรกินใยอาหารปริมาณ 30 กรัมต่อวัน โดยกินหลากหลายชนิด ทั้งธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผักหัว ผักใบ อาหารที่มีใยอาหารมาก เช่น ถั่ว เมล็ดพืช ส้ม สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี บลูเบอร์รี ข้าวโพด และข้าว

เรื่องจริง...ความแก่เริ่มก่อนอายุ 60
คนส่วนใหญ่คิดว่ายังไม่ 60 ปี ก็ยังไม่แก่สิ... แต่คิดผิดแล้ว เพราะความแก่ไม่ได้วัดกันที่อายุ ความแก่ชราของร่างกายจริงๆ แล้วเริ่มก่อนอายุ 60 ปี เสียอีก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊กในนิวยอร์ก ตีพิมพ์รายงานใน Journals of Gerontology : Medical Sciences ว่าสัญญาณความเสื่อมถอยของร่างกายบอกให้รู้ตั้งแต่ช่วงอายุ 50 ปี ดังนั้น ถ้าจะเร่งสร้างความแข็งแรงทนทานให้กับร่างกายตอนอายุ 60 ปีที่ความชราปรากฏชัดออกมาแล้ว เห็นจะไม่ทันการแน่

จากการประเมินคนอายุ 30 ถึง 100 ปี จำนวน 775 คน โดยให้ทำกิจกรรมของร่างกายแบบง่ายๆ ซ้ำๆ อย่างเช่น การเดิน การยืนขาเดียว การลุกจากเก้าอี้ ความสามารถอย่างแรกที่ไปก่อน คือ การยืนขาเดียว หรือลุกจากเก้าอี้ เห็นได้ตั้งแต่อายุช่วง 50 ปี ส่วนเรื่องการทนทานของกล้ามเนื้อเมื่อใช้งานซ้ำๆ และความเร็วในการเดินเริ่มจะเห็นตอนอายุ 60-70 ปีขึ้นไป

ผลการประเมินที่ได้ นักวิจัยสรุปว่า เราควรออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมรับความเสื่อมถอยตามธรรมชาติตั้งแต่ก่อนอายุ 50 ปี ถ้าฝึกเป็นประจำ ความชราของร่างกายก็จะชะลอออกไปได้

“กระเทียมเก่า” ต่อต้านอนุมูลอิสระ ดีกว่ากระเทียมใหม่
อย่าเพิ่งด่วนทิ้งกระเทียมที่เก็บไว้นานจนงอกหน่อ นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มันมีค่าเกินกว่าจะขว้างทิ้ง เพราะทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าพวกสดใหม่ผิวตึงซะอีก

อย่างที่รู้กันจากการทดลองในห้องแลบว่า เมล็ดพืชงอกหน่อจะผลิตสารประกอบขึ้นมาใหม่หลายอย่างเพื่อปกป้องต้นอ่อนจากจุลินทรีย์ก่อโรค นักวิทยาศาสตร์ของสมาคมเคมีแห่งสหรัฐอเมริกาจึงทดลองกับกระเทียมดู แล้วเผยแพร่ผลงานนี้ใน Journal of Agricultural and Food Chemistry ว่า กระเทียมหัวเก่าที่งอกหน่อมาห้าวันแล้ว ปฏิบัติภารกิจต่อสู้กับอนุมูลอิสระได้แข็งขันกว่าพวกหัวใหม่สดเสียอีก และยังมีสารเมตาบอไลท์ที่เป็นผลผลิตจากกระบวนการเมตาบอลิสม์ต่างจากกระเทียมสด และสารสกัดที่ได้จากกระเทียมงอกช่วยปกป้องเซลล์ในกระบวนการทดลองในห้องแลบเป็นอย่างดี

ฉะนั้น ถึงจะเก่าจะแก่ กลิ่นจาง จืดชืด แต่กระเทียมแก่มีทีเด็ดอย่างนี้ จะทิ้งกันได้ลงเชียวหรือ

เตือนคนใส่คอนแทคเลนส์ ล้างเลนส์ไม่ถูก ดวงตาอาจไหม้
องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเตือนคนใส่คอนแทคเลนส์ว่า หากใช้ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ล้างคอนแทคเลนส์ จะต้องทำตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และต้องใช้น้ำยาปรับให้มีฤทธิ์เป็นกลางร่วมด้วยเสมอ

ก่อนเลือกซื้อน้ำยาล้างเลนส์ ต้องถามคนที่ทำเลนส์ให้เราว่า ต้องล้างแบบไหนถึงฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด แล้วอ่านวิธีใช้ตามที่ระบุบนกล่อง ให้ทำตามนั้น อย่าเปลี่ยนหรือแปลงเอง

รวมทั้งอย่าแบ่งปันน้ำยาล้างเลนส์แบบไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ให้ใครใช้ เพราะอาจหลงเข้าใจว่าเป็นน้ำยาล้างเลนส์แบบอเนกประสงค์ แล้วเลยไม่ได้ปฏิบัติตามวิธีการใช้ ซึ่งจะเกิดความเสียหายกับดวงตา

เพราะปกติน้ำยาไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ใช้ล้างคอนเทคเลนส์สำหรับคนที่แพ้น้ำยาล้างเลนส์แบบอเนกประสงค์ และตามมาด้วยการใช้น้ำยาที่ช่วยปรับให้มีฤทธิ์เป็นกลางซึ่งแยกมาอีกขวด น้ำยานี้จะเปลี่ยนไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ในน้ำให้เป็นออกซิเจน แต่ถ้าไม่ใช้น้ำยาปรับให้มีฤทธิ์เป็นกลาง แล้วจับเลนส์ใส่ตาเลย จะเกิดอาการไหม้ เจ็บ เคืองตา

ที่สำคัญอย่าแช่คอนแทคเลนส์ในสารละลายไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และอย่าให้สารละลายนี้เข้าตาด้วย

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 190 ตุลาคม 2559 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น