xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กินมันฝรั่งมากๆ ระวังความดันสูง
ใครชอบกินมันฝรั่งฟังทางนี้ วารสาร The BMJ ตีพิมพ์งานวิจัยของสหรัฐอเมริกา ว่าการกินมันฝรั่งมากๆ ไม่ว่าจะเอาไปอบ ต้ม บด หรือทำเป็นเฟรนช์ฟราย ล้วนสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยง ที่จะพัฒนาไปเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้

นักวิจัยจาก Brigham and Women's Hospital และ Harvard Medical ติดตามพฤติกรรมของชายหญิงจำนวนกว่า 187,000 คน จากการศึกษาชิ้นใหญ่ของสหรัฐอเมริกา 3 ชิ้น เป็นเวลากว่า 20 ปี ประเมินจากแบบสอบถามในเรื่องการกินอาหาร และกินมันฝรั่งว่าบ่อยแค่ไหน ผลการประเมินพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นโรคความดันโลหิตสูง จากการพิเคราะห์โรคโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

เมื่อพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงตัวอื่นๆ พบว่าการกินมันฝรั่งอบ ต้ม หรือบด สัปดาห์ละ 4 ส่วนหรือมากกว่านั้น มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่กินน้อยกว่า 1 ส่วนต่อเดือน การวิจัยพบผลเช่นนี้ในผู้หญิง แต่ไม่พบในผู้ชาย

ทางที่ดีหันมากินผัก เพราะไม่มีแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต เช่น บรอกโคลี 1 ส่วน แทนมันต้ม มันอบ หรือมันบด 1 ส่วน ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้แล้ว

เรื่องกินยาของผู้สูงวัย ลูกหลานต้องใส่ใจให้ดี
ยามชรา สารพัดโรคก็มาหา มียากินยาทาแล้ว ใช่ว่าลูกหลานจะวางใจได้ เพราะงานวิจัยชี้ว่าเรื่องกินยาที่มองเผินๆ ไม่เห็นจะยากนี้ เป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้ชราต้องการคนช่วยเหลือดูแลจริงๆ

งานวิจัยกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาการกินยา ได้ผลระบุชี้ชัดว่า พออายุ 80 ปี ความจำเป็นต้องมีคนดูแลเรื่องการกินยา เพิ่มมากกว่าคนอายุ 65-69 ปี ถึง 1.5-3 เท่า และผู้ชายต้องการความช่วยเหลือมากกว่าผู้หญิง 1.5-2 เท่า โดยเฉพาะเมื่ออายุ 75 ปีขึ้นไป

ถ้าผู้ชรานั้นเคยมีปัญหาเกี่ยวกับความจำ ยิ่งต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น 3-5 เท่าของผู้ที่ไม่เคยมีปัญหา พฤติกรรมที่เป็นปัญหา คือ ลืมกินยา สับสนในการใช้ยา ทำยาหาย อาการเจ็บไข้จึงไม่หาย หรืออาจเกิดอันตรายจากการได้ยาเกินขนาด

ฉะนั้น ใครที่มีญาติผู้ใหญ่ในความดูแล ควรพิจารณาเรื่องนี้ด้วย จะได้วางแผนการดูแลได้เหมาะสม บางคนอาจจะดูแข็งแรง ดูแลตัวเองได้ แต่ถึงอย่างไร การใส่ใจเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันไว้ก่อน ดีกว่ามาแก้ปัญหาหรือต้องเสียใจภายหลัง

นั่งรถริมหน้าต่าง อันตรายต่อผิวและตา
รู้กันอยู่ว่าแสงแดดบ้านเราร้อนแรงขนาดไหน ทำร้ายผิวขนาดไหน แต่บางคนไม่ได้คิดว่า ทำให้เป็นต้อได้ด้วย และคนขับรถ คนนั่งในรถ ได้รับผลนี้กันหมด แม้ว่าจะติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกแล้วก็ตาม

นักวิจัยชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่ง ตรวจวัดการกรองแสงนี้กับรถในอเมริกา 29 คันจากหลายยี่ห้อที่ผลิตปี 1990-2014 พบว่า กระจกหน้ารถกันแสงดีกว่ากระจกด้านข้าง คือ กันแสงยูวี-เอ ได้ร้อยละ 96 ขณะที่กระจกด้านข้างกันได้ร้อยละ 71

นั่นคือมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังและตาต้อข้างซ้าย (รถอเมริกันคนขับอยู่ด้านซ้าย) จากแสงยูวี-เอมากขึ้น

คุณหมอดอริสเดย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งผิวหนังที่โรงพยาบาลลีนอกซ์ฮิล ในนิวยอร์ก บอกว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่ารังสีอุลตร้าไวโอเลตเป็นตัวก่อมะเร็ง แต่รังสียูวี-บียังร้ายไม่เท่ารังสียูวี-เอ เพราะรังสียูวี-เอมีช่วงคลื่นยาวกว่า สามารถทะลุทะลวงผ่านกระจกได้ จึงเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง และทำให้แก่ก่อนวัยโดยการทำลายคอลลาเจน

คนที่ต้องนั่งรถโดนแดดนานๆ จึงต้องระวังให้ดี ควรทาครีมที่ป้องกันคลื่นแสงทั้งสองชนิด สวมแว่นตาด้วย และสำหรับเจ้าของรถ อาจจะติดฟิล์มที่กันรังสีได้ร้อยละ 99 โดยเฉพาะรถเก่า เปลี่ยนฟิล์มเถอะ

ไม่น่าเชื่อ..ดื่มกาแฟป้องกันโรคมะเร็งตับ
โรคตับแข็งมีอันตรายถึงชีวิต เพราะเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาต่อไปเป็นโรคตับวายและมะเร็งตับ แต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตันของอังกฤษ พบว่า การดื่มกาแฟทุกวัน กลับลดความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับ

งานวิจัยนี้รวบรวมรายงานการวิจัย 9 ชิ้น ที่ติดตามศึกษาคนเกือบครึ่งล้านใน 6 ประเทศ เป็นเวลานาน แล้วใช้วิธีการทางสถิติมาคำนวณผลลัพธ์รวมกันในเชิงปริมาณ สรุปได้ว่า การดื่มกาแฟวันละ 2 แก้ว จะลดความเสี่ยงของโรคตับแข็ง 44% และลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคนี้ได้เกือบครึ่งหนึ่ง เพราะกาแฟมีสารธรรมชาติหลายอย่าง เช่น กรดคลอโรจีนิก คาร์วิออล และคาเฟสตอล ซึ่งมีหลักฐานชี้ว่าสารเหล่านี้ป้องกันโรคตับแข็งได้

แต่ในกาแฟก็มีคาเฟอีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นร่างกาย ทำให้ตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า ถ้าได้รับปริมาณปานกลาง อาจทำให้กระวนกระวาย มือสั่น นอนไม่หลับ และถ้าได้รับปริมาณมาก จะเริ่มกระสับกระส่าย หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ จนถึงทำให้เกิดลมชัก และหัวใจล้มเหลว

คอกาแฟลองพิจารณาปริมาณการดื่มของตัวเองแล้วกัน ว่าดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพตัวเอง และแค่ไหนที่จะเป็นประโยชน์ แค่ไหนจะเป็นโทษ

โกรธ ฉุนเฉียวง่ายเมื่อไหร่ รีบเช็คว่าขาดความหวานรึเปล่า?
รู้ไหม ความหวานลดเมื่อไหร่ ความพาลจะเข้ามาแทนที่ คนช่างสังเกตอาจจะเห็นจริงตามนี้ แต่อธิบายชัดๆ ไม่ถูก ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงมาช่วยอธิบายให้ชัด และยืนยันได้ว่าไม่ใช่อุปาทานไปเอง

เพราะเมื่อเรากินอาหาร ทั้งคาร์โบไฮเดรตจากแป้งและน้ำตาล โปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือพืชพวกถั่ว และไขมันในอาหาร จะถูกย่อยให้เป็นน้ำตาลในรูปแบบง่ายๆ (เช่น กลูโคส) กรดอะมิโน และกรดไขมันอิสระ
น้ำตาลที่ได้จะถูกดูดซึมผ่านลำไส้มาอยู่ในเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มขึ้น เลือดลำเลียงสารอาหารเหล่านี้ไปยังอวัยวะต่างๆ รวมทั้งเนื้อเยื่อด้วย

เมื่อเวลาผ่านไป ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงๆ สมองจะเริ่มขาดกลูโคส จนถึงระดับต้องเตือนอันตรายว่าร่างกายต้องการความหวานโดยด่วน

ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำนี้เอง ทำให้ขาดสมาธิ งานง่ายๆก็กลายเป็นยาก เริ่มฉุนเฉียว มารยาทสังคมชักหดหาย เพราะสมองขาดความหวานมาเป็นพลังในการทำงาน โดยเฉพาะในตอนเช้า ร่างกายควรได้รับสารอาหารเข้ามาเติมเต็ม เพื่อให้ร่างกายพร้อมทำงานอย่างเต็มที่

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 188 สิงหาคม 2559 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น