“แก่นของชีวิต เป็นเรื่องน่าสนใจใคร่ศึกษา
เพราะยิ่งเรียนรู้มากเท่าใด คำตอบก็ปรากฏแก่เรามากขึ้นเท่านั้น
ยามใดที่แสงปรากฏ ความมืดก็มลายหายพลัน
เมื่อยังไม่พบสัจธรรมหรือคำตอบ เราก็จะหลงงมอยู่ในความมืด
แต่พอได้พบคำตอบซึ่งเป็นความจริง เราก็ออกจากที่มืดมาพบแสงสว่างทันที”
ในแต่ละวันช่วงของโมงยามทั้งมืดและสว่างมีอยู่เท่ากัน ทว่าในตอนกลางวันคงไม่มีใครนึกถึงไฟ ยกเว้น “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” แห่งวัดระฆังองค์เดียว ท่านเคยจุดไต้เดินดุ่มเข้าไปที่จวนเจ้าพระยา ตอนกลางวันแสกๆ เพื่อเตือนสติสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีอำนาจมาก
เพราะบ้านเมืองเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ขณะยังทรงพระเยาว์ เป็นเหตุให้เจ้าประคุณสมเด็จโต เป็นห่วงเรื่องงานบริหารจัดการแผ่นดิน เกรงว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่ยุคมืด ท่านจึงสะกิดกันแบบนักปราชญ์เตือนบัณฑิต นี่คือการจุดไฟระดับชาติ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัตนโกสินทร์ เพื่อเรียกร้องให้ชีวิตโดยรวมในแผ่นดิน เป็นไปในทิศทางที่ควรเป็น
ทันตแพทย์สม สุจีรา เขียนไว้ในหนังสือมรดกไอน์สไตน์ว่า
“นักเรียนไม่ใช่ภาชนะที่มาให้คุณเติมเต็ม
แต่เป็นไฟฉายที่คุณต้องเปิดมันขึ้นมา”
“ปัจจุบันจำนวนข้อมูลในกูเกิลและยูทูปมีมากมหาศาล แต่ครูในโรงเรียนก็ยังพยายามใส่ข้อมูลเข้าไปในสมองนักเรียน อย่างไรก็ไม่มีทางถึงหนึ่งในล้านของข้อมูลทั้งหมดบนโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่ครูควรสอนนักเรียนคือ ทักษะในการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องในสิ่งที่ตนสนใจ ไม่ใช่สอนแบบครอบจักรวาล และค่อยให้ทิ้งสิ่งที่ไม่ได้ใช้ เมื่อนักศึกษามีไฟฉาย เขาจะเดินไปตามทางของเขา และมองหารายละเอียดในสิ่งนั้นเอง
วิธีการเปิดไฟฉายก็คือ การสร้างแรงบันดาลใจนั่นเอง เช่น การทัศนศึกษา การเชิญบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ มาบรรยายในโรงเรียน การค้นหาความถนัดของนักเรียน การโต้วาที อภิปราย การทำกิจกรรม การแสดงให้เห็นถึงความสุข ความมั่นคงเมื่อบรรลุเป้าหมายทางวิชาชีพ”
นี่คือไฟฉายในระดับสังคม ที่ถูกกดปุ่มเปิดสวิตซ์โดยหมอฟัน เพื่อส่องทางให้ระบบสถาบันการศึกษายุคปัจจุบัน มุ่งไปในทิศทางที่ควรเป็น
“แจ๊ค แคนฟีลด์” นักเขียนและนักพูดสร้างแรงแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก ได้แนะนำว่า
“ลองนึกภาพรถที่วิ่งฝ่าความมืดยามค่ำคืน แสงไฟหน้ารถส่องไปไกลไม่เกินสองร้อยฟุต แต่คุณก็ยังขับรถจากแคลิฟอร์เนียถึงนิวยอร์กได้ในความมืดนั้น นั่นเป็นเพราะว่าคุณต้องการเพียงมองเห็นทางในระยะสองร้อยฟุตข้างหน้าเท่านั้น เส้นทางชีวิตก็มักจะเผยให้คุณเห็นเฉพาะส่วนที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน
ถ้าคุณเพียงเชื่อมั่นว่า หลังจากนี้ไปคุณจะมองเห็นระยะทางอีกสองร้อยฟุต และอีกสองร้อยฟุตต่อไปจากนั้น ชีวิตคุณก็จะมีหนทางต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุด ชีวิตก็จะนำพาคุณไปสู่จุดหมายของอะไรก็ตามที่คุณต้องการจริงๆ เพราะว่าคุณต้องการสิ่งนั้น”
นี่คือการเปิดไฟส่องทางสู่ความสำเร็จในระดับบุคคล เพื่อขับเคลื่อนชีวิต ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
คนที่มีความรู้ความสามารถ พร้อมจะสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้มากมาย แต่ทว่ากลับนำเอาสิ่งที่มีนั้นไปเบียดเบียนผู้อื่น กอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเองและพวกพ้อง คนแบบนี้ก็ถือว่ามีดวงไฟเหมือนกัน แต่เป็นดวงไฟแบบ “กระสือ” !!
โบราณเชื่อกันว่า ผีกระสือมีแต่หัวกับตับไตไส้พุงลอยมา มันชอบกินของเน่าเหม็นโสโครก เช่น อาจม ตกกลางคืนมันจะเปิดไฟแวบๆ ออกหากิน คนลักษณะนี้ ทางพระเรียกว่ามีตัณหา ดวงไฟของคนพวกนี้มีขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว และเป็นไปเพื่อโกงกิน คอร์รัปชัน เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน
ถึงตรงนี้จะเห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะยืนอยู่ในจุดไหน อยู่ในระดับใด ก็จะมีบุคคลเพียงสองประเภทเท่านั้นที่สร้างสรรค์ คือ ผู้ที่บอกทางชี้แนะ ซึ่งเปรียบเสมือนดวงไฟส่องทาง กับผู้ที่ได้รับคำชี้แนะแล้วเกิดสว่างปิ๊ง! ขึ้นมาในหัว ว่าตัวเองควรเลือกใช้ชีวิตไปในทิศทางไหน ดังที่นักปราชญ์กล่าวไว้
“ควรเป็นเพื่อน เมื่อพบคนที่เสมอกันกับเรา
ควรเป็นครู เมื่อเจอคนที่ต่ำกว่าเรา
ควรเป็นศิษย์ เมื่อพบคนที่สูงกว่าเรา”
หากยังไม่รู้ว่า ตัวเองควรเป็นดวงประทีป หรือควรเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากแสงสว่างของดวงประทีป นั่นก็หมายความว่า คุณยังไม่ชัดเจนกับนิยามของคำว่า ชีวิตคืออะไร?
ชีวิตคืออะไร ไม่อาจตอบครอบคลุมกินความหมายได้ทั้งหมด เพราะตอบได้หลายทัศนะ เช่น
ชีวิต คือ การเรียนรู้
ชีวิต คือ การต่อสู้
ชีวิต คือ การทดลอง
ชีวิต คือ การแสวงหา
สรุปก็คือ ไม่ว่าจะนิยามให้ชีวิตต้องสู้ เรียนรู้ ทดลอง หรือแสวงหา อันดับแรกสุดก็ต้องอาศัย “ครู” หรือ “โค้ช” อยู่ดี
ทันทีที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ธรรม สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรงออกประกาศสัจธรรม นับจากนั้น ชื่อเสียงของพระองค์ก็ได้รับการกล่าวขานเลื่องลือมากว่า 2,600 ปีแล้ว ดังนี้
“พระองค์นั้นเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปด้วยดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง การได้พบพระอรหันต์เช่นนี้ จัดเป็นความดีอย่างที่สุด”
นี่คือการจุดดวงประทีปที่ส่องสว่างสุดในระดับจักรวาล โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้มนุษย์ทุกรูปทุกนามได้เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตนไปสู่การดับทุกข์ได้ด้วยตนเองอย่างถาวร แล้วข้ามฝั่งไปสู่ชีวิตอันเป็นอมตะ ที่ไม่ต้องเวียนวนอยู่ในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไปตราบนิรันดร์
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นไต้ เป็นไฟฉาย เป็นเทียน เป็นตะเกียง (ยกเว้นไฟแบบกระสือ) ทันทีที่ถูกจุดให้แสงสว่าง นั่นก็หมายความว่า เวลาที่จะต้องดับอย่างถาวร ได้เริ่มต้นนับถอยหลังแล้ว พร้อมกับประโยชน์ในการให้แสงสว่าง
ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเลือกเป็นใคร ทันทีที่เริ่มสูดลมหายใจครั้งแรกเมื่อมาสู่โลกใบนี้ นั่นก็หมายความว่า อายุขัยของเราเริ่มต้นนับถอยหลังแล้ว พร้อมๆกับผลแห่งการกระทำ ซึ่งมันจะเอื้อประโยชน์ให้แสงสว่างแก่ตนเองและผู้อื่นได้บ้างหรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า จะเลือกนิยามชีวิตตัวเองเป็นแบบไหน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 183 มีนาคม 2559 โดย ทาสโพธิญาณ)
เพราะยิ่งเรียนรู้มากเท่าใด คำตอบก็ปรากฏแก่เรามากขึ้นเท่านั้น
ยามใดที่แสงปรากฏ ความมืดก็มลายหายพลัน
เมื่อยังไม่พบสัจธรรมหรือคำตอบ เราก็จะหลงงมอยู่ในความมืด
แต่พอได้พบคำตอบซึ่งเป็นความจริง เราก็ออกจากที่มืดมาพบแสงสว่างทันที”
ในแต่ละวันช่วงของโมงยามทั้งมืดและสว่างมีอยู่เท่ากัน ทว่าในตอนกลางวันคงไม่มีใครนึกถึงไฟ ยกเว้น “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” แห่งวัดระฆังองค์เดียว ท่านเคยจุดไต้เดินดุ่มเข้าไปที่จวนเจ้าพระยา ตอนกลางวันแสกๆ เพื่อเตือนสติสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีอำนาจมาก
เพราะบ้านเมืองเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ขณะยังทรงพระเยาว์ เป็นเหตุให้เจ้าประคุณสมเด็จโต เป็นห่วงเรื่องงานบริหารจัดการแผ่นดิน เกรงว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่ยุคมืด ท่านจึงสะกิดกันแบบนักปราชญ์เตือนบัณฑิต นี่คือการจุดไฟระดับชาติ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัตนโกสินทร์ เพื่อเรียกร้องให้ชีวิตโดยรวมในแผ่นดิน เป็นไปในทิศทางที่ควรเป็น
ทันตแพทย์สม สุจีรา เขียนไว้ในหนังสือมรดกไอน์สไตน์ว่า
“นักเรียนไม่ใช่ภาชนะที่มาให้คุณเติมเต็ม
แต่เป็นไฟฉายที่คุณต้องเปิดมันขึ้นมา”
“ปัจจุบันจำนวนข้อมูลในกูเกิลและยูทูปมีมากมหาศาล แต่ครูในโรงเรียนก็ยังพยายามใส่ข้อมูลเข้าไปในสมองนักเรียน อย่างไรก็ไม่มีทางถึงหนึ่งในล้านของข้อมูลทั้งหมดบนโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่ครูควรสอนนักเรียนคือ ทักษะในการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องในสิ่งที่ตนสนใจ ไม่ใช่สอนแบบครอบจักรวาล และค่อยให้ทิ้งสิ่งที่ไม่ได้ใช้ เมื่อนักศึกษามีไฟฉาย เขาจะเดินไปตามทางของเขา และมองหารายละเอียดในสิ่งนั้นเอง
วิธีการเปิดไฟฉายก็คือ การสร้างแรงบันดาลใจนั่นเอง เช่น การทัศนศึกษา การเชิญบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ มาบรรยายในโรงเรียน การค้นหาความถนัดของนักเรียน การโต้วาที อภิปราย การทำกิจกรรม การแสดงให้เห็นถึงความสุข ความมั่นคงเมื่อบรรลุเป้าหมายทางวิชาชีพ”
นี่คือไฟฉายในระดับสังคม ที่ถูกกดปุ่มเปิดสวิตซ์โดยหมอฟัน เพื่อส่องทางให้ระบบสถาบันการศึกษายุคปัจจุบัน มุ่งไปในทิศทางที่ควรเป็น
“แจ๊ค แคนฟีลด์” นักเขียนและนักพูดสร้างแรงแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก ได้แนะนำว่า
“ลองนึกภาพรถที่วิ่งฝ่าความมืดยามค่ำคืน แสงไฟหน้ารถส่องไปไกลไม่เกินสองร้อยฟุต แต่คุณก็ยังขับรถจากแคลิฟอร์เนียถึงนิวยอร์กได้ในความมืดนั้น นั่นเป็นเพราะว่าคุณต้องการเพียงมองเห็นทางในระยะสองร้อยฟุตข้างหน้าเท่านั้น เส้นทางชีวิตก็มักจะเผยให้คุณเห็นเฉพาะส่วนที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน
ถ้าคุณเพียงเชื่อมั่นว่า หลังจากนี้ไปคุณจะมองเห็นระยะทางอีกสองร้อยฟุต และอีกสองร้อยฟุตต่อไปจากนั้น ชีวิตคุณก็จะมีหนทางต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุด ชีวิตก็จะนำพาคุณไปสู่จุดหมายของอะไรก็ตามที่คุณต้องการจริงๆ เพราะว่าคุณต้องการสิ่งนั้น”
นี่คือการเปิดไฟส่องทางสู่ความสำเร็จในระดับบุคคล เพื่อขับเคลื่อนชีวิต ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
คนที่มีความรู้ความสามารถ พร้อมจะสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้มากมาย แต่ทว่ากลับนำเอาสิ่งที่มีนั้นไปเบียดเบียนผู้อื่น กอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเองและพวกพ้อง คนแบบนี้ก็ถือว่ามีดวงไฟเหมือนกัน แต่เป็นดวงไฟแบบ “กระสือ” !!
โบราณเชื่อกันว่า ผีกระสือมีแต่หัวกับตับไตไส้พุงลอยมา มันชอบกินของเน่าเหม็นโสโครก เช่น อาจม ตกกลางคืนมันจะเปิดไฟแวบๆ ออกหากิน คนลักษณะนี้ ทางพระเรียกว่ามีตัณหา ดวงไฟของคนพวกนี้มีขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว และเป็นไปเพื่อโกงกิน คอร์รัปชัน เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน
ถึงตรงนี้จะเห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะยืนอยู่ในจุดไหน อยู่ในระดับใด ก็จะมีบุคคลเพียงสองประเภทเท่านั้นที่สร้างสรรค์ คือ ผู้ที่บอกทางชี้แนะ ซึ่งเปรียบเสมือนดวงไฟส่องทาง กับผู้ที่ได้รับคำชี้แนะแล้วเกิดสว่างปิ๊ง! ขึ้นมาในหัว ว่าตัวเองควรเลือกใช้ชีวิตไปในทิศทางไหน ดังที่นักปราชญ์กล่าวไว้
“ควรเป็นเพื่อน เมื่อพบคนที่เสมอกันกับเรา
ควรเป็นครู เมื่อเจอคนที่ต่ำกว่าเรา
ควรเป็นศิษย์ เมื่อพบคนที่สูงกว่าเรา”
หากยังไม่รู้ว่า ตัวเองควรเป็นดวงประทีป หรือควรเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากแสงสว่างของดวงประทีป นั่นก็หมายความว่า คุณยังไม่ชัดเจนกับนิยามของคำว่า ชีวิตคืออะไร?
ชีวิตคืออะไร ไม่อาจตอบครอบคลุมกินความหมายได้ทั้งหมด เพราะตอบได้หลายทัศนะ เช่น
ชีวิต คือ การเรียนรู้
ชีวิต คือ การต่อสู้
ชีวิต คือ การทดลอง
ชีวิต คือ การแสวงหา
สรุปก็คือ ไม่ว่าจะนิยามให้ชีวิตต้องสู้ เรียนรู้ ทดลอง หรือแสวงหา อันดับแรกสุดก็ต้องอาศัย “ครู” หรือ “โค้ช” อยู่ดี
ทันทีที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ธรรม สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรงออกประกาศสัจธรรม นับจากนั้น ชื่อเสียงของพระองค์ก็ได้รับการกล่าวขานเลื่องลือมากว่า 2,600 ปีแล้ว ดังนี้
“พระองค์นั้นเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปด้วยดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง การได้พบพระอรหันต์เช่นนี้ จัดเป็นความดีอย่างที่สุด”
นี่คือการจุดดวงประทีปที่ส่องสว่างสุดในระดับจักรวาล โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้มนุษย์ทุกรูปทุกนามได้เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตนไปสู่การดับทุกข์ได้ด้วยตนเองอย่างถาวร แล้วข้ามฝั่งไปสู่ชีวิตอันเป็นอมตะ ที่ไม่ต้องเวียนวนอยู่ในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไปตราบนิรันดร์
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นไต้ เป็นไฟฉาย เป็นเทียน เป็นตะเกียง (ยกเว้นไฟแบบกระสือ) ทันทีที่ถูกจุดให้แสงสว่าง นั่นก็หมายความว่า เวลาที่จะต้องดับอย่างถาวร ได้เริ่มต้นนับถอยหลังแล้ว พร้อมกับประโยชน์ในการให้แสงสว่าง
ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเลือกเป็นใคร ทันทีที่เริ่มสูดลมหายใจครั้งแรกเมื่อมาสู่โลกใบนี้ นั่นก็หมายความว่า อายุขัยของเราเริ่มต้นนับถอยหลังแล้ว พร้อมๆกับผลแห่งการกระทำ ซึ่งมันจะเอื้อประโยชน์ให้แสงสว่างแก่ตนเองและผู้อื่นได้บ้างหรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า จะเลือกนิยามชีวิตตัวเองเป็นแบบไหน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 183 มีนาคม 2559 โดย ทาสโพธิญาณ)