“ถ้าอาวุธประจำตัวยังไม่มี ก็เตรียมสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เลย”
ย้อนทวนเข็มนาฬิกาไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งย่าน กทม. ในช่วง พ.ศ. 2525 เวลาบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ทันทีที่สัญญาณนกหวีดดังขึ้น บรรดาเหล่าลูกเสือเนตรนารี ยุวกาชาด ต่างวิ่งกันวุ่น เพียงชั่วอึดใจ แถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งก็จัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย!
จำได้ว่าหมู่ของเราคือหมู่ลิง หัวหน้าหมู่อ้วนตุ๊ต๊ะเหมือนหมูตอน แม้ว่าจะอ้วนแต่เขาก็ไม่อุ้ยอ้ายอย่างที่ใครคิด ตรงกันข้ามกลับไวราวกับลิง แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูพะรุงพะรัง เห็นจะเป็นไม้พลองสีขาวด้ามเขื่อง เจาะรูผูกเชือกร้อยไว้ตรงปลายนั่นเอง
จะว่าไปแล้ว “ลูกเสือกับไม้พลอง” เป็นของคู่กันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่เป็นแฟนกับคุณย่า ว่าแต่ว่าเรื่องไม้พลอง ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของลูกเสือนั้น หากยาวเกินไป มันก็จะทำให้ดูเกะกะเก้งก้าง ไม่ว่าจะถือหรือแบก แม้กระทั่งทำวันทยาวุธ (การทำความเคารพด้วยอาวุธประจำกาย) ก็คงลำบาก เพราะแทนที่จะทำให้ดูน่าเกรงขาม อาจกลายเป็นน่าตลกขบขันมากกว่า
ในทางกลับกัน หากไม้พลองสั้นเกินไปหรือเล็กกระจิ๋วหลิว ก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะใครจะมาเกรงกลัวไม้พลองอันกระจ้อย จะใช้ตี ใช้ทุบ หรือแม้แต่ถือไว้ป้องกันตนเอง ดูท่ามันก็คงไม่ต่างไปจากดุ้นฟืนท่อนหนึ่งนี่เอง แต่ถ้าจะไม่มีซะเลย ก็คงไม่ได้ เพราะงูมันต้องมีพิษ ปลาไหลก็ต้องมีเมือก
เฉกเช่นเดียวกับตำรวจทหารมีปืนเป็นอาวุธ เศรษฐีมีเงินเป็นอาวุธ นักเขียนมีปากกาเป็นอาวุธ ลูกเสือก็มีไม้พลองเป็นอาวุธเช่นกัน
ดังนั้น ไม้พลองของลูกเสือที่สมศักดิ์ศรี มันต้องมีให้พอดีตัวได้มาตรฐาน จะถือหรือจะแบกก็ดูทะมัดทะแมง สมกับเป็นผู้มีระเบียบวินัยรู้จักเสียสละอดทน
ที่จริงแล้ว “อาวุธ” มันคือ “อำนาจ” ฉะนั้น “ไม้พลอง” ก็คือ “อำนาจของลูกเสือ” เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมีปืนเป็นอำนาจ ส่วนเศรษฐีมีเงินเป็นอำนาจ นั่นก็แสดงว่า “อำนาจ” มิใช่สิทธิ์ผูกขาดตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใคร กำลังทำหน้าที่อะไรต่างหาก
สรุปก็คือ นับตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ อะไรที่เป็นอาวุธก็สามารถบันดาลให้เกิดอำนาจขึ้นมาได้ทั้งนั้น เช่น สากกะเบือเมื่ออยู่ในมือแม่ค้าส้มตำ ก็คืออาวุธของแม้ค้าส้มตำ เป็นอำนาจในเรื่องความอร่อย เรือรบเมื่อมาอยู่ในครอบครองทหารก็คืออาวุธของทหารเรือ เป็นอำนาจแสนยานุภาพของกองทัพเรือ
ขณะที่คนที่ต้องการอำนาจ บางคนเป็นเอามากถึงขนาดวิ่งไล่ตะครุบ ฟาดฟันคร่าชีวิตผู้อื่นเพียงเพื่อแย่งชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจนั้น โดยหารู้ไม่ว่า “อำนาจที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง” เหมือนประโยคที่ “ไอ้แมงมุม” ซุปเปอร์ฮีโร่แห่งฮอลลีวู้ดกล่าวไว้
ฉะนั้น ก่อนที่จะมีอำนาจ ก็ต้องรู้จักวิธีติดอาวุธ สะสมอาวุธ เตรียมอาวุธ ลับคมอาวุธให้พร้อมก่อน ดังเช่นเศรษฐีเมื่อทำธุรกิจประสบความสำเร็จมีเงิน นั่นเท่ากับว่าเขาได้ติดอาวุธประจำกายให้กับตัวเองแล้ว ตำรวจทหารสอบผ่านได้รับการบรรจุให้ทำหน้าที่พกปืน คอยคุ้มครองประเทศชาติ นั่นเท่ากับว่าพวกเขาเหล่านั้นได้ติดอาวุธเป็นผู้รักษาความสงบหรือเป็นรั้วของชาติแล้ว
“ปัญญา” เป็นอาวุธชิ้นสำคัญ ที่เราทุกคนต้องช่วยกันติดให้กับตัวเอง สังคม และประเทศชาติ อย่าลืมว่าตั้งแต่มนุษย์คิดตัวอักษรขึ้นมาได้ โลกก็เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะสามารถบันทึกองค์ความรู้ ส่งต่อภูมิปัญญา ถ่ายทอดเรื่องราววัฒนธรรมไว้เป็นตัวหนังสือ ให้แก่อนุชนชั้นหลังได้ใช้ศึกษา
ทำให้การค้นหาความรู้ไม่ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ เพียงแค่ศึกษาต่อจากคนรุ่นก่อนที่ได้บันทึกไว้ เช่น กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์คนสำคัญของโลก ได้ค้นพบว่า “โลกเดินทางรอบดวงอาทิตย์” เขาได้บันทึกความรู้เกี่ยวกับดวงดาวและจักรวาล เพื่อให้คนรุ่นหลังสามารถค้นคว้าต่อไปได้สะดวก ถ้าไม่มีตัวหนังสือบันทึกไว้ นักดาราศาสตร์รุ่นหลังคงต้องเสียเวลากลับไปตั้งต้นค้นคว้ากันใหม่ร่ำไป นับว่าตัวอักษรได้ย่นเวลาการค้นคว้าลงไปได้มากทีเดียว
และที่ยิ่งกว่านั้นทำให้เราทราบว่า พระพุทธเจ้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตอย่างไร แม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้วกว่า 2,600 ปีก็ตาม นั่นเพราะประโยชน์ของตัวอักษร ที่บันทึกหลักธรรมคำสอนไว้ เหมือนช่วยให้คนที่ตายไปแล้วสองสามพันปีมาเติมภูมิปัญญาความรู้ให้กับเราได้ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เรื่อง เครื่องป้องกันนคร 7 ประการ และหนึ่งในเจ็ดอุบายวิธีนั้น มีใจความดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่งคือ ในนครของพระราชานั้น มีการสะสมอาวุธไว้มาก ทั้งที่เป็นอาวุธปลายแหลมยาว และอาวุธมีคม นี้เป็นเครื่องป้องกันประการที่สี่ สำหรับคุ้มภัยป้องกันอันตรายทั้งภายในและภายนอกนคร ฉันใด
อริยสาวกผู้เป็นพหูสูต ก็ฉันนั้น เพราะความเป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ คือ การได้สดับตรับฟังมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีจากทิฏฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ครั้นเมื่ออริยสาวกเป็นพหูสูตรได้สดับตรับฟังมากอย่างนี้ เธอย่อมละกรรมอันมีโทษ กระทำตนให้บริสุทธิ์ได้ ฉะนั้น”
“นคร” แปลว่า “เมือง” ขณะที่เมืองไทยกำลังตกอยู่ท่ามกลางกระแสโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่กระหน่ำถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง ยุคของข้อมูลข่าวสารเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ดังนั้น ผู้เสพสื่อและผู้ผลิตสื่อก็ควรวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้ดี เพราะไม่เช่นนั้น การแสวงหาความรู้ การให้ความรู้ หรือการติดอาวุธทางปัญญาให้กับคนในชาติ อาจกลายเป็นว่า “ยื่นดาบให้คู่ต่อสู้”
ปลาไหลเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์อีกชนิดหนึ่ง ที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้ ทั้งๆที่มันไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนเสือ ตัวไม่ใหญ่เหมือนช้าง บินไม่ได้เหมือนนก แต่อาวุธชนิดเดียวที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของมัน ดำรงอยู่บนโลกนี้ได้คือ เมือกลื่นๆเท่านั้น
ถามตัวเองดูว่า มีดีอะไรในตัวบ้าง ปลาไหลมันยังมีเมือกเป็นอาวุธ ขณะที่ลูกเสือที่ดีครบเครื่องติดอาวุธแล้วก็ต้องออกอาวุธ ประเทศชาติที่กำลังพัฒนาก็ต้องเน้นเรื่องให้คนเขียนอ่านได้รับการศึกษาพร้อมกับเป็นคนดีมีศีลธรรม
จำไว้ว่า “เกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องเอาดีให้ได้ ถ้าแค่อาวุธสุดท้ายไม้ตายประจำตัวยังไม่มี อย่างนี้เห็นทีอยู่ไปก็อายปลาไหลเปล่าๆ”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558 โดย ทาสโพธิญาณ)
ย้อนทวนเข็มนาฬิกาไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งย่าน กทม. ในช่วง พ.ศ. 2525 เวลาบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ทันทีที่สัญญาณนกหวีดดังขึ้น บรรดาเหล่าลูกเสือเนตรนารี ยุวกาชาด ต่างวิ่งกันวุ่น เพียงชั่วอึดใจ แถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งก็จัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย!
จำได้ว่าหมู่ของเราคือหมู่ลิง หัวหน้าหมู่อ้วนตุ๊ต๊ะเหมือนหมูตอน แม้ว่าจะอ้วนแต่เขาก็ไม่อุ้ยอ้ายอย่างที่ใครคิด ตรงกันข้ามกลับไวราวกับลิง แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูพะรุงพะรัง เห็นจะเป็นไม้พลองสีขาวด้ามเขื่อง เจาะรูผูกเชือกร้อยไว้ตรงปลายนั่นเอง
จะว่าไปแล้ว “ลูกเสือกับไม้พลอง” เป็นของคู่กันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่เป็นแฟนกับคุณย่า ว่าแต่ว่าเรื่องไม้พลอง ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของลูกเสือนั้น หากยาวเกินไป มันก็จะทำให้ดูเกะกะเก้งก้าง ไม่ว่าจะถือหรือแบก แม้กระทั่งทำวันทยาวุธ (การทำความเคารพด้วยอาวุธประจำกาย) ก็คงลำบาก เพราะแทนที่จะทำให้ดูน่าเกรงขาม อาจกลายเป็นน่าตลกขบขันมากกว่า
ในทางกลับกัน หากไม้พลองสั้นเกินไปหรือเล็กกระจิ๋วหลิว ก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะใครจะมาเกรงกลัวไม้พลองอันกระจ้อย จะใช้ตี ใช้ทุบ หรือแม้แต่ถือไว้ป้องกันตนเอง ดูท่ามันก็คงไม่ต่างไปจากดุ้นฟืนท่อนหนึ่งนี่เอง แต่ถ้าจะไม่มีซะเลย ก็คงไม่ได้ เพราะงูมันต้องมีพิษ ปลาไหลก็ต้องมีเมือก
เฉกเช่นเดียวกับตำรวจทหารมีปืนเป็นอาวุธ เศรษฐีมีเงินเป็นอาวุธ นักเขียนมีปากกาเป็นอาวุธ ลูกเสือก็มีไม้พลองเป็นอาวุธเช่นกัน
ดังนั้น ไม้พลองของลูกเสือที่สมศักดิ์ศรี มันต้องมีให้พอดีตัวได้มาตรฐาน จะถือหรือจะแบกก็ดูทะมัดทะแมง สมกับเป็นผู้มีระเบียบวินัยรู้จักเสียสละอดทน
ที่จริงแล้ว “อาวุธ” มันคือ “อำนาจ” ฉะนั้น “ไม้พลอง” ก็คือ “อำนาจของลูกเสือ” เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมีปืนเป็นอำนาจ ส่วนเศรษฐีมีเงินเป็นอำนาจ นั่นก็แสดงว่า “อำนาจ” มิใช่สิทธิ์ผูกขาดตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใคร กำลังทำหน้าที่อะไรต่างหาก
สรุปก็คือ นับตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ อะไรที่เป็นอาวุธก็สามารถบันดาลให้เกิดอำนาจขึ้นมาได้ทั้งนั้น เช่น สากกะเบือเมื่ออยู่ในมือแม่ค้าส้มตำ ก็คืออาวุธของแม้ค้าส้มตำ เป็นอำนาจในเรื่องความอร่อย เรือรบเมื่อมาอยู่ในครอบครองทหารก็คืออาวุธของทหารเรือ เป็นอำนาจแสนยานุภาพของกองทัพเรือ
ขณะที่คนที่ต้องการอำนาจ บางคนเป็นเอามากถึงขนาดวิ่งไล่ตะครุบ ฟาดฟันคร่าชีวิตผู้อื่นเพียงเพื่อแย่งชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจนั้น โดยหารู้ไม่ว่า “อำนาจที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง” เหมือนประโยคที่ “ไอ้แมงมุม” ซุปเปอร์ฮีโร่แห่งฮอลลีวู้ดกล่าวไว้
ฉะนั้น ก่อนที่จะมีอำนาจ ก็ต้องรู้จักวิธีติดอาวุธ สะสมอาวุธ เตรียมอาวุธ ลับคมอาวุธให้พร้อมก่อน ดังเช่นเศรษฐีเมื่อทำธุรกิจประสบความสำเร็จมีเงิน นั่นเท่ากับว่าเขาได้ติดอาวุธประจำกายให้กับตัวเองแล้ว ตำรวจทหารสอบผ่านได้รับการบรรจุให้ทำหน้าที่พกปืน คอยคุ้มครองประเทศชาติ นั่นเท่ากับว่าพวกเขาเหล่านั้นได้ติดอาวุธเป็นผู้รักษาความสงบหรือเป็นรั้วของชาติแล้ว
“ปัญญา” เป็นอาวุธชิ้นสำคัญ ที่เราทุกคนต้องช่วยกันติดให้กับตัวเอง สังคม และประเทศชาติ อย่าลืมว่าตั้งแต่มนุษย์คิดตัวอักษรขึ้นมาได้ โลกก็เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะสามารถบันทึกองค์ความรู้ ส่งต่อภูมิปัญญา ถ่ายทอดเรื่องราววัฒนธรรมไว้เป็นตัวหนังสือ ให้แก่อนุชนชั้นหลังได้ใช้ศึกษา
ทำให้การค้นหาความรู้ไม่ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ เพียงแค่ศึกษาต่อจากคนรุ่นก่อนที่ได้บันทึกไว้ เช่น กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์คนสำคัญของโลก ได้ค้นพบว่า “โลกเดินทางรอบดวงอาทิตย์” เขาได้บันทึกความรู้เกี่ยวกับดวงดาวและจักรวาล เพื่อให้คนรุ่นหลังสามารถค้นคว้าต่อไปได้สะดวก ถ้าไม่มีตัวหนังสือบันทึกไว้ นักดาราศาสตร์รุ่นหลังคงต้องเสียเวลากลับไปตั้งต้นค้นคว้ากันใหม่ร่ำไป นับว่าตัวอักษรได้ย่นเวลาการค้นคว้าลงไปได้มากทีเดียว
และที่ยิ่งกว่านั้นทำให้เราทราบว่า พระพุทธเจ้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตอย่างไร แม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้วกว่า 2,600 ปีก็ตาม นั่นเพราะประโยชน์ของตัวอักษร ที่บันทึกหลักธรรมคำสอนไว้ เหมือนช่วยให้คนที่ตายไปแล้วสองสามพันปีมาเติมภูมิปัญญาความรู้ให้กับเราได้ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เรื่อง เครื่องป้องกันนคร 7 ประการ และหนึ่งในเจ็ดอุบายวิธีนั้น มีใจความดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่งคือ ในนครของพระราชานั้น มีการสะสมอาวุธไว้มาก ทั้งที่เป็นอาวุธปลายแหลมยาว และอาวุธมีคม นี้เป็นเครื่องป้องกันประการที่สี่ สำหรับคุ้มภัยป้องกันอันตรายทั้งภายในและภายนอกนคร ฉันใด
อริยสาวกผู้เป็นพหูสูต ก็ฉันนั้น เพราะความเป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ คือ การได้สดับตรับฟังมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีจากทิฏฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ครั้นเมื่ออริยสาวกเป็นพหูสูตรได้สดับตรับฟังมากอย่างนี้ เธอย่อมละกรรมอันมีโทษ กระทำตนให้บริสุทธิ์ได้ ฉะนั้น”
“นคร” แปลว่า “เมือง” ขณะที่เมืองไทยกำลังตกอยู่ท่ามกลางกระแสโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่กระหน่ำถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง ยุคของข้อมูลข่าวสารเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ดังนั้น ผู้เสพสื่อและผู้ผลิตสื่อก็ควรวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้ดี เพราะไม่เช่นนั้น การแสวงหาความรู้ การให้ความรู้ หรือการติดอาวุธทางปัญญาให้กับคนในชาติ อาจกลายเป็นว่า “ยื่นดาบให้คู่ต่อสู้”
ปลาไหลเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์อีกชนิดหนึ่ง ที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้ ทั้งๆที่มันไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนเสือ ตัวไม่ใหญ่เหมือนช้าง บินไม่ได้เหมือนนก แต่อาวุธชนิดเดียวที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของมัน ดำรงอยู่บนโลกนี้ได้คือ เมือกลื่นๆเท่านั้น
ถามตัวเองดูว่า มีดีอะไรในตัวบ้าง ปลาไหลมันยังมีเมือกเป็นอาวุธ ขณะที่ลูกเสือที่ดีครบเครื่องติดอาวุธแล้วก็ต้องออกอาวุธ ประเทศชาติที่กำลังพัฒนาก็ต้องเน้นเรื่องให้คนเขียนอ่านได้รับการศึกษาพร้อมกับเป็นคนดีมีศีลธรรม
จำไว้ว่า “เกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องเอาดีให้ได้ ถ้าแค่อาวุธสุดท้ายไม้ตายประจำตัวยังไม่มี อย่างนี้เห็นทีอยู่ไปก็อายปลาไหลเปล่าๆ”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558 โดย ทาสโพธิญาณ)