ท่านผู้อ่านครับ ระบบการแพทย์ในอเมริกากำลังมีการปฏิรูปแนวคิดใหม่ หลังจากที่ระบบสุขภาพของเขากำลังจะล้มละลาย เนื่องจากระบบการรักษาของเขาเป็นระบบรักษาโรคด้วยการใช้ยา(ill to the pill)
เวลาเราไปหาหมอด้วยโรคความดันโลหิตสูง หมอจะให้ยาลดความดัน เราเป็นเบาหวาน ก็ให้ยาลดน้ำตาล ไขมันในเลือดสูง ก็ให้ยาลดไขมันในเลือด การรักษาแบบนี้เป็นการรักษาตามอาการ รักษาที่ปลายเหตุ ผลคือไม่หาย จะต้องกินยาประคับประคองไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายทั้งหมอและคนไข้ ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณอย่างมากในการซื้อยามารักษา
โดยความจริงแล้ว การรักษาที่ถูกต้องคือรักษาที่ต้นเหตุ เราต้องดูว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คนไข้เป็นโรคเหล่านี้ ซึ่งมีหลายสาเหตุพร้อมๆกัน ตั้งแต่พันธุกรรม อาหาร การขาดการออกกำลังกาย การได้รับสารพิษต่างๆจากสิ่งแวดล้อม ความเครียด เป็นต้น ซึ่งเราสามารถแก้ไขได้
โดยเปลี่ยนการกินอาหาร มาเป็นระบบคาร์โบไฮเดรทต่ำ ไขมันสูง ซึ่งงานวิจัยพบว่า ทำให้โรคเบาหวาน ไขมัน โรคอ้วนกลับมาปกติได้โดยไม่ต้องกินยาหรือกินยาเล็กน้อย
เราใช้การออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที ก็ช่วยให้โรคหัวใจและความดันโลหิตสูงหายได้ เราฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกการหายใจให้ช้าลง ซึ่งสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา พบว่า การฝึกหายใจช้าลง จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ การฝึกโยคะ สมาธิ การเจริญสติ ช่วยให้โรคเหล่านี้ดีขึ้นได้ ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวมามากมายในตอนที่แล้วๆมา
เราจะเห็นว่า วิธีการเหล่านี้เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Integrative and Holistic Medicine) ซึ่งเป็นแนวทางที่การแพทย์แผนปัจจุบันในสหรัฐอเมริกากำลังนิยม นี่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบสุขภาพที่เขากำลังทำอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะล้มละลายในระบบการเงินที่ใช้ดูแลสุขภาพ
นพ.แอนดรู ไวล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพองค์รวมอธิบายว่า การดูแลสุขภาพแบบนี้ มีลักษณะ 5 ประการ ดังนี้คือ
ประการแรก ต้องดูแลคนทั้งคน คือ ร่างกาย จิตใจ สังคม จิตวิญญาณ เนื่องจากคนเราประกอบด้วยมิติต่างๆที่กล่าวมาแล้ว บางคนเราเห็นว่าร่างกายปกติ ไม่ได้เป็นอะไร แต่มีอาการผิดปกติทางจิตก็มี โรคทางกายและจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อจิตป่วยกายก็ป่วยไปด้วย ดังนั้น การใช้ยาอย่างเดียวจึงเป็นการรักษาไม่ถูกจุด
โรคทางกายบางอย่างเกิดจากจิต ต้องรักษาจิตแล้วโรคทางกายจะหายไปเอง การทำจิตภาวนาจึงได้รับการนำมาใช้อย่างกว้างขวาง
ในสหรัฐอเมริกา การเจริญสติถือเป็นวิธีรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพอย่างมากของแพทย์แผนปัจจุบัน มหาวิทยาลัยต่างๆได้จัดตั้งศูนย์การแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวมขึ้นประมาณ 57 แห่ง วิธีการฝึกจิตนี้เขาเรียกว่า การแพทย์ทางกายและจิต (Mind Body Spirit Medicine)
ประการที่ 2 เป็นการดูแลผู้ป่วยทั้งโรคที่เป็นอยู่ สุขภาวะ และการบำบัด ไม่ใช่เฉพาะการรักษาโรคที่เป็นอยู่อย่างเดียว เป็นการรักษาและป้องกัน
ประการที่ 3 เป็นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตทุกๆด้าน ที่กระทบต่อการมีสุขภาพดี ตั้งแต่การกิน การนอน การออกกำลังกาย การฝึกจิต
ประการที่ 4 ผู้ป่วยต้องมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเอง แพทย์เป็นเพียงครูผู้สอน สอนแล้วต้องเอาไปฝึกเองจึงจะได้ผล บางครั้งต้องเข้าอบรมโปรแกรมสุขภาพ จึงจะมีความรู้
ประการที่ 5 วิธีการที่ใช้ ซึ่งมีหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร วิตามิน เกลือแร่ อาหารเสริม สมุนไพร การนวด การฝึกโยคะ ชี่กง สมาธิ การเจริญสติ ที่จะครอบคลุมในทุกด้าน ซึ่งต้องมีการเรียนรู้และนำมาใช้ให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล (www.youtube.com/Andrew Weil/why your health matters)
งานวิจัยพบว่า คนไข้ที่มานั่งรอตรวจหน้าห้องตรวจในแผนกผู้ป่วยนอก ร้อยละ 70-90 เป็นโรคที่เกิดจากความเครียดทั้งสิ้น โรคเหล่านั้นก็คือโรคเรื้อรังต่างๆ ตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินอาหาร โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า เป็นต้น
ความเครียดทำให้ระบบต่างๆในร่างกายเราผิดปกติโดยผ่านปฏิกิริยาทางชีวเคมี 1,400 ปฏิกิริยา โดยผ่านจากจิตใจ อารมณ์ มาทางสมอง ระบบประสาท ฮอร์โมน ระบบภูมิต้านทาน ทำให้หลั่งสารเคมีต่างๆ ออกมา ทำให้เราเป็นโรค
และอารมณ์ด้านลบมีผลกระทบต่อการเกิดโรค มีการศึกษาหนึ่งพบว่า ในคนไข้ 1,623 คน ที่มาห้องฉุกเฉินด้วยอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ พบว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ 2 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล คือ ความโกรธ (Mittleman et al,Circulation.1995 Vol. 92)
ในปี 1988 มีการแข่งฟุตบอลโลกระหว่างอังกฤษและอาเจนตินา อังกฤษแพ้ด้วยการดวลลูกโทษ ในวันนั้นมีคนอังกฤษเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (BMJ.2002;325:1439-1442)
ในปี 1995 เกิดแผ่นดินไหวที่ลอสเองเจลิส (Northridge Earthquake) มีรายงานว่า มีการตายจากโรคหัวใจในช่วงนั้นเพิ่มขึ้น 5 เท่า (NEJM 1996;334:413-419)
ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง การหายของบาดแผลช้ากว่าปกติ ความจำเสื่อมลง สมองเสื่อมลง แก่เร็วขึ้น
ท่านผู้อ่านครับ เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ศึกษาในแพทย์ที่ปฏิบัติงานตามสถานพยาบาลต่างๆในอเมริกา จำนวน 1,200 คน ในปี 2006 พบว่า แพทย์ 6 ใน 10 คนกำลังจะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น, ร้อยละ 77 มีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน, ร้อยละ 67 อยู่ในภาวะเครียดจัดจากงาน (Burn out) และร้อยละ 33 มีอาการซึมเศร้าและมีปัญหาครอบครัว
ส่วนสาเหตุพบว่า มาจาก 1. รายได้ไม่พอคืนทุนที่กู้มาเรียน 2.ขาดอิสระในการรักษาตามหลักวิชา (ต้องคอยดูว่ายานี้ เบิกได้หรือไม่ได้ เป็นต้น) 3. ต้องตรวจคนไข้มากเกินไปทำไม่ไหว 4.ไม่ได้รับความเคารพจากผู้ป่วย (ACPR Survey 2006)
เราจะเห็นว่า ชีวิตในปัจจุบัน ทุกคนอยู่ในบรรยากาศของความตึงเครียด ทั้งแพทย์ทั้งคนไข้ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ป่วยด้วยกันทั้งคู่ สภาวะแบบนี้ทำให้เรามีศักยภาพลดลง เราไม่มีความสามารถที่จะคิดสิ่งใหม่หรือทำงานให้ดีได้ สถานการณ์แบบนี้ทั่วโลกเหมือนกันหมด
ผู้รู้หลายท่านบอกว่า ปัจจุบันโลกเข้าขั้นวิกฤติทางจิตวิญญาณ (Spiritual crisis)แล้ว ดังนั้น การทำจิตตภาวนาจึงจำเป็นสำหรับคนในโลกปัจจุบัน แพทย์ก็นำสิ่งเหล่านี้มาใช้ ทั้งในด้านการป้องกันและบำบัดโรคต่างๆ
มีสัญญาณเตือนหลายประการ ที่ทำให้เราต้องหยุดและหาทางแก้ไข โดยต้องมีการปฏิวัติตัวเอง เพื่อให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้ สัญญาณเตือนนั้น ได้แก่
1. เรากำลังมีความทุกข์ใจมาเป็นเวลานานพอควรแล้ว
2. ขาดสมาธิ จิตใจขุ่นมัวไม่แจ่มใส
3. มีปัญหาการนอน นอนหลับยาก
4. รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง
5. อารมณ์หงุดหงิดง่ายกับทุกอย่าง
เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนของภาวะวิกฤติทางจิตวิญญาณ ที่แพทย์จะต้องจ่ายยาชื่อจิตตภาวนา ให้คนไข้แทนยานอนหลับ และนี่คือคำตอบว่า ทำไมคนในยุคปัจจุบันจึงต้องปฏิบัติธรรม
โลกปัจจุบันเป็นโลกทุนนิยม อย่าให้ทุนนิยมทำร้ายเรา เราต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำเศรษฐกิจพอเพียง และฝึกจิตตภาวนา ซึ่งเป็นทางแก้
ในบ้านเรา การฝึกจิตตภาวนาทำได้ไม่ยาก ไปฝึกตามสำนักครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนการเจริญสติก็มีมากมาย หนังสือธรรมะที่หาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือทั่วไป ฟังจากยูทูปก็ได้ หรือเรียนธรรมะตามสำนักเรียนต่างๆก็ได้ เราคงต้องใช้เวลาศึกษาสักระยะหนึ่งก็จะรู้จักตัวเองดีขึ้นครับ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 182 กุมภาพันธ์ 2559 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)
เวลาเราไปหาหมอด้วยโรคความดันโลหิตสูง หมอจะให้ยาลดความดัน เราเป็นเบาหวาน ก็ให้ยาลดน้ำตาล ไขมันในเลือดสูง ก็ให้ยาลดไขมันในเลือด การรักษาแบบนี้เป็นการรักษาตามอาการ รักษาที่ปลายเหตุ ผลคือไม่หาย จะต้องกินยาประคับประคองไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายทั้งหมอและคนไข้ ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณอย่างมากในการซื้อยามารักษา
โดยความจริงแล้ว การรักษาที่ถูกต้องคือรักษาที่ต้นเหตุ เราต้องดูว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คนไข้เป็นโรคเหล่านี้ ซึ่งมีหลายสาเหตุพร้อมๆกัน ตั้งแต่พันธุกรรม อาหาร การขาดการออกกำลังกาย การได้รับสารพิษต่างๆจากสิ่งแวดล้อม ความเครียด เป็นต้น ซึ่งเราสามารถแก้ไขได้
โดยเปลี่ยนการกินอาหาร มาเป็นระบบคาร์โบไฮเดรทต่ำ ไขมันสูง ซึ่งงานวิจัยพบว่า ทำให้โรคเบาหวาน ไขมัน โรคอ้วนกลับมาปกติได้โดยไม่ต้องกินยาหรือกินยาเล็กน้อย
เราใช้การออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที ก็ช่วยให้โรคหัวใจและความดันโลหิตสูงหายได้ เราฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกการหายใจให้ช้าลง ซึ่งสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกา พบว่า การฝึกหายใจช้าลง จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ การฝึกโยคะ สมาธิ การเจริญสติ ช่วยให้โรคเหล่านี้ดีขึ้นได้ ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวมามากมายในตอนที่แล้วๆมา
เราจะเห็นว่า วิธีการเหล่านี้เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Integrative and Holistic Medicine) ซึ่งเป็นแนวทางที่การแพทย์แผนปัจจุบันในสหรัฐอเมริกากำลังนิยม นี่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบสุขภาพที่เขากำลังทำอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะล้มละลายในระบบการเงินที่ใช้ดูแลสุขภาพ
นพ.แอนดรู ไวล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพองค์รวมอธิบายว่า การดูแลสุขภาพแบบนี้ มีลักษณะ 5 ประการ ดังนี้คือ
ประการแรก ต้องดูแลคนทั้งคน คือ ร่างกาย จิตใจ สังคม จิตวิญญาณ เนื่องจากคนเราประกอบด้วยมิติต่างๆที่กล่าวมาแล้ว บางคนเราเห็นว่าร่างกายปกติ ไม่ได้เป็นอะไร แต่มีอาการผิดปกติทางจิตก็มี โรคทางกายและจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อจิตป่วยกายก็ป่วยไปด้วย ดังนั้น การใช้ยาอย่างเดียวจึงเป็นการรักษาไม่ถูกจุด
โรคทางกายบางอย่างเกิดจากจิต ต้องรักษาจิตแล้วโรคทางกายจะหายไปเอง การทำจิตภาวนาจึงได้รับการนำมาใช้อย่างกว้างขวาง
ในสหรัฐอเมริกา การเจริญสติถือเป็นวิธีรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพอย่างมากของแพทย์แผนปัจจุบัน มหาวิทยาลัยต่างๆได้จัดตั้งศูนย์การแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวมขึ้นประมาณ 57 แห่ง วิธีการฝึกจิตนี้เขาเรียกว่า การแพทย์ทางกายและจิต (Mind Body Spirit Medicine)
ประการที่ 2 เป็นการดูแลผู้ป่วยทั้งโรคที่เป็นอยู่ สุขภาวะ และการบำบัด ไม่ใช่เฉพาะการรักษาโรคที่เป็นอยู่อย่างเดียว เป็นการรักษาและป้องกัน
ประการที่ 3 เป็นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตทุกๆด้าน ที่กระทบต่อการมีสุขภาพดี ตั้งแต่การกิน การนอน การออกกำลังกาย การฝึกจิต
ประการที่ 4 ผู้ป่วยต้องมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเอง แพทย์เป็นเพียงครูผู้สอน สอนแล้วต้องเอาไปฝึกเองจึงจะได้ผล บางครั้งต้องเข้าอบรมโปรแกรมสุขภาพ จึงจะมีความรู้
ประการที่ 5 วิธีการที่ใช้ ซึ่งมีหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร วิตามิน เกลือแร่ อาหารเสริม สมุนไพร การนวด การฝึกโยคะ ชี่กง สมาธิ การเจริญสติ ที่จะครอบคลุมในทุกด้าน ซึ่งต้องมีการเรียนรู้และนำมาใช้ให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล (www.youtube.com/Andrew Weil/why your health matters)
งานวิจัยพบว่า คนไข้ที่มานั่งรอตรวจหน้าห้องตรวจในแผนกผู้ป่วยนอก ร้อยละ 70-90 เป็นโรคที่เกิดจากความเครียดทั้งสิ้น โรคเหล่านั้นก็คือโรคเรื้อรังต่างๆ ตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินอาหาร โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า เป็นต้น
ความเครียดทำให้ระบบต่างๆในร่างกายเราผิดปกติโดยผ่านปฏิกิริยาทางชีวเคมี 1,400 ปฏิกิริยา โดยผ่านจากจิตใจ อารมณ์ มาทางสมอง ระบบประสาท ฮอร์โมน ระบบภูมิต้านทาน ทำให้หลั่งสารเคมีต่างๆ ออกมา ทำให้เราเป็นโรค
และอารมณ์ด้านลบมีผลกระทบต่อการเกิดโรค มีการศึกษาหนึ่งพบว่า ในคนไข้ 1,623 คน ที่มาห้องฉุกเฉินด้วยอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ พบว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ 2 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล คือ ความโกรธ (Mittleman et al,Circulation.1995 Vol. 92)
ในปี 1988 มีการแข่งฟุตบอลโลกระหว่างอังกฤษและอาเจนตินา อังกฤษแพ้ด้วยการดวลลูกโทษ ในวันนั้นมีคนอังกฤษเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (BMJ.2002;325:1439-1442)
ในปี 1995 เกิดแผ่นดินไหวที่ลอสเองเจลิส (Northridge Earthquake) มีรายงานว่า มีการตายจากโรคหัวใจในช่วงนั้นเพิ่มขึ้น 5 เท่า (NEJM 1996;334:413-419)
ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง การหายของบาดแผลช้ากว่าปกติ ความจำเสื่อมลง สมองเสื่อมลง แก่เร็วขึ้น
ท่านผู้อ่านครับ เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ศึกษาในแพทย์ที่ปฏิบัติงานตามสถานพยาบาลต่างๆในอเมริกา จำนวน 1,200 คน ในปี 2006 พบว่า แพทย์ 6 ใน 10 คนกำลังจะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น, ร้อยละ 77 มีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน, ร้อยละ 67 อยู่ในภาวะเครียดจัดจากงาน (Burn out) และร้อยละ 33 มีอาการซึมเศร้าและมีปัญหาครอบครัว
ส่วนสาเหตุพบว่า มาจาก 1. รายได้ไม่พอคืนทุนที่กู้มาเรียน 2.ขาดอิสระในการรักษาตามหลักวิชา (ต้องคอยดูว่ายานี้ เบิกได้หรือไม่ได้ เป็นต้น) 3. ต้องตรวจคนไข้มากเกินไปทำไม่ไหว 4.ไม่ได้รับความเคารพจากผู้ป่วย (ACPR Survey 2006)
เราจะเห็นว่า ชีวิตในปัจจุบัน ทุกคนอยู่ในบรรยากาศของความตึงเครียด ทั้งแพทย์ทั้งคนไข้ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ป่วยด้วยกันทั้งคู่ สภาวะแบบนี้ทำให้เรามีศักยภาพลดลง เราไม่มีความสามารถที่จะคิดสิ่งใหม่หรือทำงานให้ดีได้ สถานการณ์แบบนี้ทั่วโลกเหมือนกันหมด
ผู้รู้หลายท่านบอกว่า ปัจจุบันโลกเข้าขั้นวิกฤติทางจิตวิญญาณ (Spiritual crisis)แล้ว ดังนั้น การทำจิตตภาวนาจึงจำเป็นสำหรับคนในโลกปัจจุบัน แพทย์ก็นำสิ่งเหล่านี้มาใช้ ทั้งในด้านการป้องกันและบำบัดโรคต่างๆ
มีสัญญาณเตือนหลายประการ ที่ทำให้เราต้องหยุดและหาทางแก้ไข โดยต้องมีการปฏิวัติตัวเอง เพื่อให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้ สัญญาณเตือนนั้น ได้แก่
1. เรากำลังมีความทุกข์ใจมาเป็นเวลานานพอควรแล้ว
2. ขาดสมาธิ จิตใจขุ่นมัวไม่แจ่มใส
3. มีปัญหาการนอน นอนหลับยาก
4. รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง
5. อารมณ์หงุดหงิดง่ายกับทุกอย่าง
เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนของภาวะวิกฤติทางจิตวิญญาณ ที่แพทย์จะต้องจ่ายยาชื่อจิตตภาวนา ให้คนไข้แทนยานอนหลับ และนี่คือคำตอบว่า ทำไมคนในยุคปัจจุบันจึงต้องปฏิบัติธรรม
โลกปัจจุบันเป็นโลกทุนนิยม อย่าให้ทุนนิยมทำร้ายเรา เราต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำเศรษฐกิจพอเพียง และฝึกจิตตภาวนา ซึ่งเป็นทางแก้
ในบ้านเรา การฝึกจิตตภาวนาทำได้ไม่ยาก ไปฝึกตามสำนักครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนการเจริญสติก็มีมากมาย หนังสือธรรมะที่หาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือทั่วไป ฟังจากยูทูปก็ได้ หรือเรียนธรรมะตามสำนักเรียนต่างๆก็ได้ เราคงต้องใช้เวลาศึกษาสักระยะหนึ่งก็จะรู้จักตัวเองดีขึ้นครับ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 182 กุมภาพันธ์ 2559 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)