xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ออกกำลังกายมากเกิน เพิ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
จริงอยู่..การออกกำลังกายนั้นดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าโหมออกกำลังกายมากเกินไป อาจไม่ดีอย่างที่คิด เพราะในรายงานที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล บอกว่า การออกกำลังกายมากเกิน อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ดร.อาเหม็ด เมอร์กานี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ได้ทำวิจัยโดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 340 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นนักกีฬาเก่าอายุเกิน 40 ปี ออกกำลังกายเป็นประจำนานกว่า 10 ปี คือ วิ่งเกิน 56 กม.ต่อสัปดาห์ หรือปั่นจักรยานเกิน 150 กม.ต่อสัปดาห์ และไม่มีประวัติด้านโรคหัวใจในครอบครัว กลุ่มนี้เรียกว่า “กลุ่มออกกำลังกายหนักหรือเข้มข้น”

ส่วนกลุ่มที่สองอายุเกิน 40 ปี ไม่มีประวัติด้านโรคหัวใจในครอบครัวเช่นกัน แต่ออกกำลังกายน้อยกว่า คือไม่ถึง 150 นาที หรือสองชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์

ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายหนัก มีระดับแคลเซียมในเส้นเลือดแดงไปเลี้ยงหัวใจ สูงกว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายน้อยกว่า ซึ่งแคลเซียมนี้สามารถจับตัวเป็นคราบหินปูนอยู่ที่ผนังเลือด และอาจนำไปสู่อาการเส้นเลือดหัวใจตีบ

แต่คราบหินปูนในหลอดเลือดของผู้ที่ออกกำลังกายหนัก มีความหนาแน่นและแข็งแรงกว่าคราบหินปูนของผู้ที่ออกกำลังกายน้อยกว่า ทำให้มีโอกาสน้อยที่จะแตกออก และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจล้มเหลวหรือโรคเส้นเลือดเลี้ยงสมองอุดตันเฉียบพลัน

แปรงฟันอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ไหมขัดฟันด้วย
แค่แปรงฟันอย่างเดียวไม่พอซะแล้ว เพราะกรมอนามัยบอกว่า ต้องใช้ไหมขัดฟันด้วย

นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย บอกว่า การจะมีสุขภาพที่ดี ต้องมีสุขภาพช่องปากที่ดีด้วย ต้องแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ด้วยสูตร 2 : 2 : 2 คือ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน แปรงฟันให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านนาน 2 นาที และไม่รับประทานอาหารหลังแปรงฟันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

แต่การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ และเศษอาหารที่อยู่บริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึงได้ การใช้ไหมขัดฟันทุกวันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งหลังแปรงฟัน เพื่อลดการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์ ที่เป็นสาเหตุให้ฟันผุและเหงือกอักเสบ โดยเฉพาะซอกฟันและด้านข้างของฟันที่อยู่ชิดติดกัน

สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้ไหมขัดฟัน ควรเลือกไหมขัดฟันชนิดที่เคลือบขี้ผึ้ง หรือใช้ไหมขัดฟันชนิดที่มีด้ามจับใช้ง่าย แต่เมื่อใช้ไหมขัดฟันได้ถูกต้องแล้ว สามารถเลือกใช้ได้ตามความชอบ ข้อควรระวังในการใช้ไหมขัดฟัน คือ ค่อยๆเลื่อนไหมขัดฟันไปมาเบาๆ เพื่อแทรกเข้าซอกฟัน ไม่ใช้วิธีกดไหมขัดฟันให้ผ่านเข้าซอกฟันโดยตรง และไม่ใช้ไหมขัดฟันอย่างรุนแรง เพราะอาจกระแทกเหงือกทำให้เลือดออกหรือเป็นแผลได้ และหากไหมขัดฟันฉีกขาดเมื่อผ่านซอกฟัน อาจเกิดจากฟันผุด้านข้างหรือมีหินน้ำลาย ซึ่งควรพบทันตแพทย์

หญิงรอบเอวใหญ่เสี่ยงมะเร็งทรวงอก
คนอ้วนนอกจากโรคภัยสารพัดชนิดจะถามหาแล้ว ล่าสุด..มะเร็งทรวงอกก็ยังขอมาอยู่ด้วย

จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) ประเทศอังกฤษ พบว่า ขนาดรอบเอวกระโปรงที่ใหญ่ขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งทรวงอก

โดยได้ศึกษาในสตรีชาวอังกฤษจำนวน 93,000 คน อายุ 50 ปีขึ้นไป และอยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว การศึกษานี้ยาวนาน 10 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการคัดกรองมะเร็งรังไข่

นักวิจัยพบว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างน้อย 1,100 คน เป็นมะเร็งทรวงอก โดย 3 ใน 4 คนเปลี่ยนขนาดรอบเอวกระโปรงจากเบอร์ 8 (ตามมาตรฐานสหรัฐหรือเบอร์ 40-44 ของยุโรป) ที่เคยสวมในสมัยสาวๆ เป็นขนาดใหญ่กว่าหนึ่งขนาด คือเบอร์ 10 ของสหรัฐหรือเบอร์ 42-46 ของยุโรป เมื่ออายุราว 64 ปี

ทั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่า ขนาดเอวกระโปรงใหญ่ขึ้นหนึ่งขนาดทุกๆสิบปี มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทรวงอกอีก 33 เปอร์เซ็นต์ ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว และถ้าขนาดเอวประโปรงเพิ่มขึ้นครั้งละสองขนาดทุกสิบปี ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทรวงอกจะเพิ่มขึ้น 77 เปอร์เซ็นต์

เส้นใยจากพืชผักผลไม้ อาจช่วยป้องกันโรคหอบหืด
เป็นที่รู้กันแล้วว่า การรับประทานพืชผักผลไม้ที่มีเส้นใยนั้น เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควบคุมน้ำหนักได้ เป็นต้น

แต่ผลการศึกษาชิ้นใหม่โดยทีมนักวิจัยประเทศสวิสเซอร์เเลนด์ชี้ว่า เส้นใยอาหารที่ย่อยสลายได้ในของเหลวที่พบในผลไม้และผัก เช่น เส้นใยเพกทินในแอปเปิล ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และผลไม้ตระกูลส้ม อาจจะสามารถช่วยลดอาการอักเสบหรือติดเชื้อในปอดได้

กรดไขมันห่วงโซ่สั้นที่ได้จากเส้นใยในผักและผลไม้ จะช่วยควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าเกินไป เพราะหากภูมิต้านทานร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคหรือสิ่งเร้าเกินไป จะทำเกิดอาการอักเสบขึ้นได้ในร่างกาย

ผลการศึกษาทดลองในหนูทดลอง พบว่า กรดไขมันห่วงโซ่สั้นที่เกิดจากการย่อยสลายอาหารที่มีเส้นใยแบบย่อยสลายได้โดยเเบคทีเรียในลำไส้ สามารถช่วยลดอาการหอบหืด และควบคุมระบบภูมิต้านทานในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ

กินเนื้อหมูสุกๆดิบๆ เสี่ยงติดโรคไข้หูดับ
รับประทานอาหารสุกๆดิบๆไม่ดีทั้งนั้น เพราะอาจเสี่ยงหลายโรค รวมทั้งโรคไข้หูดับด้วย

กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาเตือนว่า อาหารประเภทปิ้งย่าง จิ้มจุ่ม ลาบ ยำต่างๆ ที่ผู้คนนิยมรับประทาน บางครั้งอาจปรุงแบบดิบๆ หรือสุกๆ ดิบ ทำให้เสี่ยงติดเชื้อโรคที่มากับอาหาร ที่พบได้บ่อยและมีอันตรายถึงพิการและเสียชีวิต คือ โรคไข้หูดับ ที่มีหมูเป็นพาหะนำโรค

โดยเชื้อแบคทีเรียชื่อ สเตร็บโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) ที่อยู่ในทางเดินหายใจของหมู บริเวณต่อมทอนซิล คอหอยและในโพรงจมูก และในกระแสเลือดหากหมูมีอาการป่วย เป็นสาเหตุการเกิดโรคไข้หูดับในคน หลังจากเชื้อเข้าสู่รางกาย 3-5 วัน จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และมีอาการเฉพาะคือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้ ปวดศีรษะมาก คอแข็ง หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทหู จะทำให้การได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลัน จนถึงขั้นหูหนวก

หลังหายป่วยแล้วอาจจะมีความผิดปกติในการทรงตัว หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตาจะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้ นอกจากนี้ หากติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้

ดังนั้น หลังรับประทานอาหารที่ปรุงมาจากเนื้อหมูแล้วมีอาการดังที่กล่าวมา ขอให้รีบพบแพทย์ทันที เพราะโรคนี้รักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 181 มกราคม 2559 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น