xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พูดคุยกันซึ่งหน้า ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า
สมัยนี้คนที่ไม่ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไม่เล่นไลน์หรือเฟซบุ๊ค แต่ชอบคุยกันซึ่งๆหน้า อาจกลายเป็นคนล้าสมัย แต่ก็ไม่เป็นโรคโรคซึมเศร้า

เพราะงานวิจัยชิ้นหนึ่งเผยว่า การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบซึ่งหน้า มีพลังช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้มากกว่าการพูดคุยทางโทรศัพท์ ทางอีเมล์ หรือทางไลน์

อลัน เตียว นักวิจัยพบว่า ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทุกรูปแบบมีพลังแตกต่างกัน การพูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวทางโทรศัพท์และเครือข่ายดิจิตอล ไม่มีพลังที่ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้เท่ากับการพูดคุยกันตรงหน้า

โดยทีมวิจัยได้ทำการทดลองในผู้ใหญ่วัยเกิน 50 ปี จำนวน 11,000 คน ตรวจวัดความถี่ของการมีปฏิสัมพันธ์แบบซึ่งหน้า พูดโทรศัพท์ เขียนข้อความ และส่งอีเมล์ จากนั้นตรวจหาความเสี่ยงเกิดอาการซึมเศร้าในอีก 2 ปีต่อมา

พบว่า การไม่ค่อยได้พูดคุยกันต่อหน้า ทำให้เสี่ยงเกือบ 2 เท่าที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ผู้ทดลองที่เจอครอบครัวและเพื่อนฝูงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เกิดระดับอาการซึมเศร้าต่ำสุดเมื่อเทียบกับผู้ทดลองที่เจอผู้อื่นน้อยกว่า ผู้ทดลองที่เจอผู้อื่นเพียงครั้งเดียวในช่วง 2-3 เดือน หรือบ่อยน้อยกว่านี้ มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า 11.5%

ติดหวานเสี่ยงไขมันพอกตับ แนะกินน้ำตาลวันละ 6 ช้อนชา
คนที่เสพติดรสหวานต้องลดด่วน!!

ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย รองอธิบดีกรมอนามัย บอกว่า น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของมนุษย์ โดยเราจะได้รับน้ำตาลจากอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในข้าวหรือผลไม้ รวมทั้งที่มีการเติมลงในอาหาร การได้รับน้ำตาลจากธรรมชาติไม่เป็นอันตรายนัก เพราะมีปริมาณน้อย แต่น้ำตาลที่เติมลงในอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยคนละ 104 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 26 ช้อนชา สูงกว่าที่องค์การอนามัยโลก แนะนำเกือบ 4 เท่าตัว จากการสำรวจพบว่า แหล่งน้ำตาลส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาทิ น้ำอัดลมมีน้ำตาลราว 8-10 ช้อนชา ชาเขียวมีน้ำตาลราว 12-14 ช้อนชา กาแฟสดหรือชาชงมีน้ำตาลราว 10 ช้อนชา

เครื่องดื่มบางชนิดใช้น้ำตาลฟลุกโตสไซรัปสังเคราะห์ แทนน้ำตาลทราย แต่น้ำตาลประเภทนี้ถ้ารับประทานมากเกินไป และร่างกายเผาผลาญไม่หมด จะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ทำให้อ้วนลงพุง และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ดังนั้น ควรอ่านปริมาณน้ำตาลที่ฉลาก และเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลอย่างพอเหมาะ

ทันตแพทย์หญิงสุปราณี ดาโลดม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข บอกว่า คณะกรรมการวิชาการด้านโภชนาการและองค์การอนามัยโลก ได้แนะนำเรื่องพลังงานอาหารใน 1 วัน โดยลดสัดส่วนพลังงานจากน้ำตาลอิสระ (Free sugar) ลงครึ่งหนึ่ง จากข้อแนะนำเดิมไม่เกินร้อยละ 10 เหลือไม่เกินร้อยละ 5 ของพลังงานทั้งหมดต่อวัน หรือประมาณ 6 ช้อนชา

ระวัง..ใช้แป้งฝุ่นโรยตัว อาจถึงตาย!!
การทาแป้งฝุ่นนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย..จริงหรือไม่จริง

นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลว่า แป้งฝุ่นโรยตัวและแป้งฝุ่นผัดหน้า มีส่วนประกอบหลักคือทัลค์ หรือทัลคัม (Talcum) ซึ่งเป็นสารอนินทรีย์ ลักษณะเป็นผงสีขาวหรือสีครีม มีคุณสมบัติทนความร้อน ทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้น ทำให้พื้นผิวแห้งเนียนลื่น ไม่ดูดติดกัน

จากการศึกษาพบว่า ทัลค์ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อสัตว์ทดลอง ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และไม่เป็นสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ทัลค์สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจะต้องมีความบริสุทธิ์สูง ผ่านการบดและคัดแยก ขนาดตั้งแต่ 0.3 ถึง 75 ไมโครเมตร ไม่มีอนุภาคแข็ง สิ่งแปลกปลอมที่มองเห็นได้ และต้องไม่พบแร่ใยหิน แต่ในการผลิตทัลค์จากแหล่งหินตามธรรมชาติ อาจมีการปนเปื้อนของแร่ใยหิน

ทัลค์ไม่ถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ดังนั้น การทาแป้งโดยเฉพาะตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยในอากาศ หากสูดดมเข้าไปทางลมหายใจเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมเป็นก้อนในปอด ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ส่วนในเด็กทารกอาจทำให้ปอดอักเสบและตายได้ ในสตรีหากใช้โรยบริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดมะเร็งรังไข่

ลดอาหารที่มีไขมันทรานส์ ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
เดี่ยวนี้คนรักสุขภาพไม่เอา “ไขมันทรานส์” กันแล้วนะจ๊ะ

นายแพทย์อำนวย กาจีนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีโครงสร้างชนิดทรานส์ (trans) พบได้ในปริมาณเล็กน้อยตามธรรมชาติในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ยังได้จากการสังเคราะห์ระหว่างกระบวนการผลิตอาหาร

มีอาหารหลายชนิดที่ใช้ไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอด มันฝรั่ง โดนัท เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม วิปปิ้งครีม เนยขาว มาร์การีน และคุกกี้ เป็นต้น ซึ่งมีผลการศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า ไขมันทรานส์ทำให้ระดับ LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มขึ้น และลดระดับ HDL (high density lipoprotein) โคเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด

ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการศึกษาที่บ่งชี้ว่าการไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ สามารถป้องกันการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันประมาณ 10,000–20,000 ราย/ปี และสามารถป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ 3,000-7,000 ราย/ปี สถาบันการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาจึงแนะนำให้บริโภคไขมันทรานส์น้อยกว่า 1% ของพลังงานที่ต้องการทั้งหมด และไม่ควรบริโภคไขมันทรานส์เกินวันละ 2 กรัม

อาหารที่มีเส้นใยสูง อาจลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
มีงานวิจัยใหม่ที่น่าสนใจว่า การกินอาหารที่มีเส้นใยสูง อาจลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

งานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยของสหรัฐอเมริกาและอัฟริกาใต้ โดยศึกษาในชายหญิงอเมริกันอัฟริกันในเมืองพิตส์เบิร์ก สหรัฐอเมริกา 20 คน และชายหญิงเชื้อสายอัฟริกันในเมืองควาซูลู เนเทิล ประเทศอัฟริกาใต้ 20 คน

ก่อนการวิจัยได้มีการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ของผู้ทดลอง พบว่า ชาวอเมริกัน 9 ใน 20 คน มีติ่งเนื้อ (ซึ่งอาจพัฒนาเป็นมะเร็ง) ขณะที่ไม่พบในชาวอัฟริกาใต้

การวิจัยได้ให้ผู้ทดลองชาวอเมริกันกินอาหารแบบอัฟริกาใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่ว ขณะที่ชาวอัฟริกาใต้กินอาหารแบบอเมริกัน ซึ่งประกอบด้วยเนื้อสัตว์และไขมันมากกว่าอาหารพื้นเมืองของตัวเองราว 2-3 เท่า

2 สัปดาห์หลังจากนั้น จึงตรวจร่างกายผู้ทดลองอีกครั้ง พบว่า ชาวอเมริกันมีลำไส้ใหญ่สุขภาพดี อักเสบน้อยลง ขณะที่ชาวอัฟริกาใต้มีลำไส้ใหญ่สุขภาพไม่ดี อักเสบมากขึ้น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปได้ว่า การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยเส้นใย ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ขณะที่การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพิ่มความเสี่ยงมากกว่า

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 180 ธันวาคม 2558 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น