xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมบันเทิง : ฟรีแลนซ์.. ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ชีวิต มีไว้ใช้...อย่างไม่ประมาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม้ชื่อหนัง “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” จะออกแนวโรแมนติก คอมเมดี้ แต่ทว่าแก่นสารที่นำเสนอ กลับเป็นมุมมองชีวิต แฝงแนวคิด และการทำงานของคนวัยหนุ่มสาว ซึ่งให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ไม่น้อย

หนังเปิดด้วยบทบรรยายความคิดของ “ยุ่น” ฟรีแลนซ์หนุ่ม แนวหน้าของวงการรีทัชรูป ซึ่งเพิ่งทำลายสถิติทำงานติดต่อกัน 4 วันรวดแบบไม่พักผ่อน ส่งงานได้ทันเวลาเป๊ะ! จนได้รับเสียงชื่นชมจากรุ่นน้องสาวห้าวนามว่า “เจ๋” ซึ่งเป็นเอเจนซี่งานโฆษณา และเป็นนายหน้ารับงานมาให้รุ่นพี่จอมอึด

ยุ่นเป็นคนบ้างานจนขาดกาลเทศะ ขาดการไตร่ตรอง เช่น ในการไปร่วมงานศพพ่อของเพื่อนสนิทรายหนึ่ง เขาไม่สนใจถามไถ่ความรู้สึกของเพื่อน แต่กลับถามหา wi-fi ในวัด เพื่อใช้ส่งงานให้ทัน

แล้ววันหนึ่งความเก่งกาจของยุ่น ก็ไม่สามารถเอาชนะ “ร่างกาย” ได้ หลังจากทำงานหนักติดต่อกันหลายวัน เขาก็พบว่าตัวเองมีผื่นแดงขึ้นตามแขน แต่เขาก็ไม่รู้สึกกังวลใจนัก จนกระทั่งเริ่มเกิดอาการคัน เมื่อคันก็ต้องเกา จึงทำให้เขาเสียสมาธิ สปีดในการทำงานลดลงแบบที่รู้สึกได้

วันถัดมา ณ บริษัทที่ยุ่นต้องไปรับเช็คค่าจ้าง เขาได้เจอ “พี่เป้ง” รุ่นพี่คนดังในวงการโฆษณา ที่กล่าวชื่นชมฝีมือยุ่น และก็ได้เจอกับ “เจิด” มือรีทัช รุ่นน้อง ซึ่งเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการ โดยเจิดกล่าวชื่นชมยุ่น และแสดงความดีใจที่ได้เจอไอดอลที่เป็นต้นแบบในการทำงาน

หลังรับเงินเสร็จ ยุ่นคิดว่าอาการผื่นคันมันทำลายสมาธิมากเหลือเกิน เขาจึงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชน เพื่อความรวดเร็ว จะได้มีเวลาไปทำงานต่อ แล้วก็พบว่า ค่ารักษาพยาบาลกว่าครึ่งหมื่น ทำให้เงินที่เขาเพิ่งได้มานั้นแทบจะเกลี้ยงในพริบตา

ยุ่นกลับมาอพาร์ตเมนท์ หยิบซองยามาดู มันระบุว่า อาจทำให้ง่วงนอน ซึ่งย่อมส่งผลต่อการทำงานของเขาอีก แต่ด้วยความรู้สึกว่า จ่ายค่ายาแพงมาก ฟรีแลนซ์หนุ่มจึงยอมฝืนใจกิน ก่อนจะหลับไปจนถึงเช้า

เมื่อเป็นแบบนี้ แทนที่ยุ่นจะคิดว่า ต้องปรับตารางเวลาทำงาน ปรับพฤติกรรมเรื่องการพักผ่อน หรือการรับงาน เขากลับเลือกที่จะโยนยาทิ้ง แล้วมุ่งทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นเดิม ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนคันคะเยอทั้งตัว ทำงานไม่ได้

มือรีทัชชื่อดังจึงยอมลดทิฐิ กลับไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้ไปโรงพยาบาลรัฐ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ก็ปรากฏว่าต้องรอคิวนานมาก

แล้วยุ่นก็ได้ตรวจร่างกายกับ “หมออิม” แพทย์หญิงมือใหม่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หมออิมตรวจโรคด้วยความละเอียดใส่ใจ ก่อนจะให้ยาแก้ผื่นไปทาน แล้วนัดให้มาใหม่เดือนหน้า

แต่ชีวิตของยุ่นก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เขาทำงานแบบไม่สนใจเวลาพักผ่อน ยาที่ได้รับมา ซึ่งทำให้ง่วง เขาก็ละเลย ทำให้การมาตรวจครั้งที่ 2 เขาไม่ได้มีอาการดีขึ้นเลย

หมออิมเริ่มจริงจังมากขึ้น เธอบอกให้ยุ่นเข้าใจว่า การรักษาคนไข้ให้หาย ถือเป็นภารกิจสำคัญของหมอ ซึ่งจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากคนไข้ ช่วยดูแลตัวเองด้วย แล้วหมออิมก็กำชับเรื่องกินยาให้ตรงเวลา รวมทั้งให้งดอาหารทะเล (เนื่องจากเป็นสิ่งต้องสงสัยในการเป็นผื่นแพ้) ให้ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที และต้องรีบเข้านอนก่อน 3 ทุ่ม

ยุ่นเริ่มปฏิบัติตัวตามหมออิมสั่งทุกอย่าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้สึกแอบชอบหมอ แต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไป คือ การรับงานที่ไม่ได้ลดลงจากเดิม ส่งผลให้งานของเขาเริ่มมีความผิดพลาด เพราะมีเวลาทำน้อยลง

เจ๋เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เพราะครั้งหนึ่งมีภาพรีทัชที่ไม่สมบูรณ์ เธอจึงไปพึ่งเจิดแก้ไขงานให้ ซึ่งทำให้ยุ่นรู้สึกไม่สบายใจนัก

และแล้วคนบ้างานแบบยุ่น ก็ได้เจอบททดสอบสำคัญ เมื่อเจ๋ได้งานจากสินค้ากีฬาชื่อดัง โดยมีกรอบเวลาทำงานที่จำกัด ยุ่นจึงเร่งทำงานอย่างหนัก แต่ก็ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับหมอ เพราะผื่นยังไม่หายดีนัก จนกระทั่งเขาทำงานเสร็จแบบฉิวเฉียด แต่นั่นก็แลกกับการไปไม่ทันเวลาที่หมออิมนัดตรวจ จึงเกิดการถกเถียงกันเรื่องทัศนคติการใช้ชีวิต

หมออิมมองว่า อาการป่วย คือ สัญญาณเตือนของร่างกาย ผู้ป่วยควรหยุดพักรักษาตัว ควรมีเวลาพักผ่อน ไปท่องเที่ยว หรือทำสิ่งต่างๆ นอกเหนือจากงานบ้าง แต่สำหรับยุ่นเห็นว่า ความสุขของเขา คือ การทำงาน ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ส่วนการไปเที่ยวพักผ่อนแบบคนอื่นๆ เป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์

จากวันนั้น ชีวิตของยุ่นก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะงานล่าสุดที่เขารีบเร่งทำนั้น ไม่ถูกใจลูกค้า และยังมีข้อบกพร่อง ทำให้ลูกค้าหันไปใช้บริการเจิด แถมข้อผิดพลาดของยุ่นยังกระจายไปในวงการรีทัชอีก ส่งผลให้ช่วงหยุดยาวปีใหม่ เขาได้หยุดยาวจริงๆ เพราะไม่มีงานเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เขาจึงตัดสินใจทำตามที่หมออิมสั่ง ออกเดินทางไปเที่ยว พักผ่อนริมทะเล นั่งมองพระอาทิตย์ตกที่ชายหาด และนั่นก็แลกมากับอาการผื่นของเขาที่หายสนิท

ยุ่นไร้งานทำอยู่พักใหญ่ แต่วันหนึ่งพี่เป้งก็เสนองานชิ้นใหม่ให้เขา เป็นโครงการระดับโลกที่ต้องทำเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ พร้อมกับจะพาไปเสนอผลงานที่นิวยอร์กด้วย เมื่อเจ๋ทราบเรื่อง จึงต่อว่ายุ่นที่ไม่ปรึกษา เพราะงานนั้น จริงๆแล้วต้องใช้เวลาทำ2 เดือน การที่ให้ทำเสร็จใน 2 สัปดาห์ เพื่อให้จ่ายค่าจ้างถูกลง เป็นการเอาเปรียบแรงงานรุ่นน้อง

แต่นาทีนั้น ยุ่นไม่สนใจคำเตือน เพราะเขาไม่มีงานมาพักใหญ่แล้ว ชีวิตของฟรีแลนซ์บ้างาน จึงกลับมาอีกครั้ง และดุดันกว่าเดิม เพราะคราวนี้ เขาทำงานอย่างไม่พักผ่อนติดต่อกันนานนับสิบวัน จนกระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ร่างกายของยุ่นก็เกินขีดจำกัดความอดทน เขาล้มหัวฟาดหมดสติแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนพื้นห้อง

ช่วงเวลาที่เขาขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ แต่สมองยังทำงาน เขานึกภาพงานศพของตัวเอง แล้วเริ่มนึกถึงสิ่งต่างๆที่อยากเห็น ที่อยากทำอีกมากมาย แต่ตอนนี้ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการทำงานอีกแล้ว ยุ่นเห็นภาพพี่เป้งเข้ามาตบหน้า แล้วก็รู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล

พี่เป้งมาทวงงานที่ค้าง พร้อมยกคอมพิวเตอร์มาให้ทำถึงโรงพยาบาล แต่ฟรีแลนซ์หนุ่มที่เฉียดตายมาหมาดๆ ได้เรียนรู้แล้วว่า การใช้ชีวิตแบบที่ผ่านมา ทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาจึงตอบปฏิเสธไม่ทำงานชิ้นนี้อีก และเลือกกลับไปใช้ชีวิตแบบที่หมออิมเคยแนะนำไว้

หลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนาที่เห็นชัดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ความประมาท ในการใช้ชีวิต ที่ทำงานโดยไม่สนใจสุขภาพร่างกายตนเอง

ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ มีว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย... บัดนี้ เราเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

ดังนั้น ความไม่ประมาท ย่อมเป็นแก่นสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต คนจำนวนมากมักจัดสรรเวลาในการใช้ชีวิตไม่ดี ทำงานหนักแบบตึงเกินไป จนเกิดเป็นผลเสียแก่ตนเอง

ทางที่ดีนั้นควรยึดหลัก “ทางสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฏิปทา” ในการดำเนินชีวิต ใช้ชีวิตแบบไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป ทางสายกลางนี้มีข้อปฏิบัติ 8 อย่าง ที่เรียกว่า “มรรคมีองค์ 8” ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางดับทุกข์

หากโยงกับชีวิตวัยทำงาน มรรคมีองค์ 8 หัวข้อ “สัมมาวายามะ” ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ หมายถึง ความเพียรที่ถูกต้อง หากทำการงานใดๆ ก็ต้องอยู่ในวิถีที่ดีงาม ถูกต้อง ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่น รวมทั้งข้อ “สัมมาสติ” ที่ควรรู้ตัวตลอดเวลา เช่น ต้องรู้ตัวว่าร่างกายมีขีดจำกัดในการทำงาน เป็นต้น

หลักธรรมทั้งเรื่องความไม่ประมาท และมัชฌิมาปฏิปทา ยังเกี่ยวเนื่องกับ “ความพอเพียง” ซึ่งนัยของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้สื่อสารผ่านคำสั่งของหมออิม ที่ให้ผู้ป่วยรู้จักความพอเพียงในการใช้ชีวิต เพราะผู้ที่ตกอยู่ในความประมาท ใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง เมื่อถึงช่วงวิกฤตของชีวิตแล้ว การมานั่งพร่ำบ่นว่าเสียดายยังไม่ได้ทำอะไรต่อมิอะไรเลยนั้น มันอาจสายเกินไปเสียแล้ว

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)
กำลังโหลดความคิดเห็น