รมต.สำนักนายกฯ กำชับ สคบ. สนองนโยบายกระตุ้น ศก. รัฐ ไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบซื้ออสังหาฯ สร้างความรู้ ปชช. บูรณาการกับหน่วยงานอื่น เลขาฯ สคบ. นัดถกเพื่อออกคู่มือให้ ปชช. เรื่องซื้อบ้าน ให้รู้สิทธิตัวเอง
วันนี้ (26 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ว่า ได้กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สนองนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการดูแลผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพราะที่ผ่านมาได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการผิดสัญญาซื้อขายเงินกู้ยืมตามที่ได้ตกลงกันระหว่างโครงการบ้านกับสถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติเงินกู้ หรือสถาบันการเงินอนุมัติเงินกู้แต่ผู้บริโภคไม่ได้รับเงินกู้เป็นไปตามจำนวนที่ได้ตกลงกันระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการโครงการบ้าน เป็นต้น
“รัฐบาลได้กำชับให้ สคบ. สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน แม้จะทราบดีว่า สคบ. มีบุคลากรหรืออัตราเจ้าหน้าที่น้อยมากก็ตาม แต่จะเน้นการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องอาทิ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย หรือ กรุงเทพฯ เป็นต้น เพื่อสร้างประโยชน์และความสุขแก่ประชาชน” ม.ล.ปนัดดา กล่าว
ด้าน นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการ สคบ. กล่าวว่า ภายในต้นเดือน พ.ย. นี้ ทางคณะอนุกรรมการ สคบ. จะมีการนัดหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด อาทิ กระทรวงมหาดไทยที่ดูแลผังเมือง หรือ กรมโยธาธิการ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อร่วมกันออกคู่มือหรือคำชี้แจงแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์ อาทิเช่น การตรวจสอบโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผ่านการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) หรือไม่ รวมถึงผู้ประกอบการนั้นๆอยู่ในบัญชีดำผู้ประกอบการที่มีประวัติเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่ เช่น การก่อสร้างโครงการบนบ่อขยะ หรือ บ่อที่ถูกขุดหน้าดินไปถมโครงการ เป็นต้นทั้งนี้คู่มือดังกล่าวต้องการให้ประชาชนได้รู้สิทธิ์ตัวเอง ปลอดภัยและไม่ถูกโกง พร้อมกับอยากแนะนำให้ประชาชนต้องอ่านสัญญาอย่างละเอียด หรือหากมีปัญหาและข้อสงสัยว่าโครงการบ้านใดพบพิรุธให้แจ้งสายด่วน 1166 ทาง สคบ. จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบโครงการทันที เพื่อดูแลประชาชนและสนองนโยบายของรัฐบาล และที่ประชุม คคบ. ได้มีมติดำเนินการฟ้องแทนผู้บริโภค 85 คดี โดยจะเร่งส่งให้สำนักงานอัยการเพื่อดำเนินการฟ้องร้องให้ได้ภายในเดือน พ.ย. นี้ และอีก 73 คดี ต้องยุติเรื่องโดยจะแจ้งให้ผู้บริโภครับทราบ ซึ่งผู้บริโภคสามารถฟ้องเองได้ ตามกระบวนการยุติธรรม
