xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับสุขภาพ : การแพทย์ผสมผสาน และสุขภาพองค์รวม ช่วยบำบัดโรคเรื้อรังให้หายขาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ท่านผู้อ่านครับ ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพทย์ทางเลือกในอเมริกา ว่าในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา เขาได้ทุ่มงบประมาณมากกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ทำการศึกษาวิจัยเพื่อหาทางเลือกใหม่ๆ ในการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ ที่การรักษาด้วยยายังไม่ได้ผลดี

แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ยังไม่มีวิธีการบำบัดใดๆ ที่สามารถใช้เป็นทางเลือกได้ แม้มีบางอย่างใช้ได้ก็แค่นำมาผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้นที่ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น กินยาน้อยลง หรือในรายที่เป็นไม่มากก็ไม่ต้องกินยาเลย ปัจจุบันพบว่าโรคเรื้อรังต่างๆ รักษาได้ผลดีมาก โดยไม่ต้องกินยาหรือใช้ยาน้อยมาก เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม เป็นต้น โดยผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆเข้าด้วยกัน

ดังนั้น ปัจจุบันจึงไม่มีการใช้คำว่า “การแพทย์ทางเลือก” ในวงการแพทย์อเมริกันอีกต่อไป ศูนย์การแพทย์ทางเลือกและผสมผสานแห่งชาติ(National Center of Complimentary and Alternative Medicine - NCCAM) ก็เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวม (National center of complimentary and integrative health) หรือ NCCIH (www.nccih.nih.gov)

สำหรับวิธีการแพทย์แบบสุขภาพองค์รวมนั้น เขาใช้การแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก และใช้การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (lifestyle Modification) มาประกอบ เช่น ใช้การเปลี่ยนเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การฝึกจิตให้ผ่อนคลายไม่ให้เครียด การปรับวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยมมาเป็นแบบเศรษฐกิจพอเพียง กินอยู่แบบพอดีและเรียบง่าย การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การสวดมนต์ไหว้พระ การฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ ฝึกเจริญสติ ไท้เก๊ก ชี่กง เป็นต้น

10 อันดับแรกของการแพทย์ผสมผสานในอเมริกาที่นิยมใช้ในขณะนี้ ข้อมูลจากเว็บไซด์ของศูนย์การแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวม สหรัฐฯ มีดังนี้ คือ

ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติบางประเภท ใช้กันร้อยละ 17.7 การฝึกการหายใจ ร้อยละ 10.9 การฝึกโยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง ร้อยละ 10.1 การจัดกระดูก ร้อยละ 8.4 การฝึกสมาธิ ร้อยละ 8 การนวดร้อยละ 6.9 อาหารพิเศษบางประเภท ร้อยละ 3 โฮมิโอพาที ร้อยละ 2.2 การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ร้อยละ 2.1 จินตนาการบำบัด ร้อยละ 1.7

จะเห็นว่าวิธีการส่วนใหญ่เป็นวิธีการสร้างสมดุลทางกายและจิต คือ การฝึกโยคะ การฝึกการหายใจ การฝึกสมาธิ การเจริญสติ ไทเก๊ก ชี่กง การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ส่วนผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ใช้ได้มีไม่กี่อย่างได้แก่ น้ำมันปลา (Fish oil) เมลาโทนิน พรีไบโอติค โปรไบโอติค นอกนั้นมีประโยชน์บ้าง แต่ยังไม่มีงานวิจัยรับรองชัดเจน

การแพทย์แบบผสมผสานเป็นวิธีการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ร่วมกับการรักษาด้วยยาของแพทย์ ดังนั้น ผู้ป่วยก็ต้องเข้าหลักสูตรต่างๆ มีการเรียนการสอน อ่านหนังสือด้วยตนเอง ฟังจากผู้รู้ทางสื่อต่างๆ แสวงหาข้อมูลการวิจัยจากอินเตอร์เนต เราก็จะมีความรู้ในการดูแลสุขภาพได้ถูกต้อง

เพราะหน้าที่รักษาโรคเป็นของหมอ แต่หน้าที่ของเราก็ต้องดูแลรักษาตัวเองด้วย เพราะเราเป็นผู้รู้เรื่องร่างกายและจิตใจของเราเองดีกว่าหมอ หมอคุยกับเรา ซักประวัติ 15 นาที ไม่สามารถรู้เรื่องที่เป็นสาเหตุของโรคได้ครบถ้วน โดยงานวิจัยพบว่า คนที่มีสุขภาพดีจะต้องมีการดูแลตนเอง (Self-Care) ร่วมด้วย

การรักษารูปแบบใหม่คือการรักษาต้นเหตุ พระพุทธเจ้าสอนว่า ผลย่อมมาจากเหตุ ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่เหตุจึงจะได้ผล การใช้ยาสำหรับโรคเรื้อรังของแพทย์แผนปัจจุบัน เป็นการรักษาปลายเหตุ รักษาตามอาการ รักษาไม่หายก็ต้องกินยาตลอดชีวิต

ปัจจุบันนี้ งานวิจัยพบว่า โรคเรื้อรังสามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่ต้องกินยา หรือใช้ยาลดลงมาก ทำให้ประหยัดงบประมาณ คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น โดยการดูแลสุขภาพของตนเองด้วยอาหาร การออกกำลังกาย การใช้มาตรการลดความเครียดต่างๆ ไม่ต้องใช้เงินมาก อันนี้คือคำตอบของการปฏิรูประบบสุขภาพของโลก โดยการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ (Paradigm shift)

ถ้ามัวแต่รักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว งบประมาณคงจะไม่พอแน่ ไม่ว่าจะเป็นยาดีราคาแพงและยาราคาถูก ทั้งสองอย่างก็รักษาโรคไม่หายเหมือนกัน ยาดีอาจช่วยให้ตายช้าลง ส่วนยาไม่ดีก็อาจตายเร็วขึ้น ดังนั้น จึงไม่ได้อยู่ที่ยาเพียงอย่างเดียว การใช้ยาเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ จึงต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ หันมารักษาที่ต้นเหตุ คือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ซึ่งไม่ต้องใช้ยา เพราะหากยังใช้วิธีแบบเดิมในการรักษา จะทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงมาก ผู้คนจะเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่ทุ่มเงินมากขึ้นทุกปี และโรงพยาบาลต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีเงินดำเนินการต่อไป

พญ.มีมี กวาร์เนอรี่ (Mimi Guarneri) ประธานสถาบันแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวมแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันทางวิชาการ ผลิตแพทย์เฉพาะทางด้านการแพทย์แบบผสมผสานและสุขภาพองค์รวม กล่าวว่า

“ประเทศอเมริกาใช้เงินงบประมาณในการดูแลประชาชนปีละ 2.3 ล้านล้านเหรียญในปัจจุบัน และจะใช้เพิ่มเป็น 4.3 ล้านล้านเหรียญในปี 2023 คิดเป็นร้อยละ 16 ของ จีดีพี. (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) แต่ระดับคุณภาพการรักษาพยาบาลอยู่ในอันดับ 37 ของโลก

มีคนเป็นเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคความดัน มากที่สุดในโลก ปริมาณการใช้ยาในอเมริกาเท่ากับร้อยละ 50 ของปริมาณการใช้ยาของคนทั่วโลกรวมกัน ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ระบบสาธารณสุขอเมริกาจะล่มสลายภายในไม่ช้า ดังนั้น เราต้องรีบปฎิรูประบบสุขภาพของเรา เพื่อให้คนเป็นโรคน้อยลง ใช้ยาลดลง ใช้งบประมาณน้อยลง วิธีที่จะทำได้คือเปลี่ยนระบบคิดมาเป็นการแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวม เน้นการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ด้วยอาหาร การออกกำลังกาย การฝึกจิตเพื่อลดความเครียดลงด้วยวิธีการต่างๆ (Mind Body Spirit Medicine) ซึ่งมีงานวิจัยรองรับ” (ผู้สนใจอาจหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมใน www.youtube.com/Shifting the healthcare paradigm Dr.Mimi Guarneri)

หมอมีมี่สำเร็จการศึกษาด้านแพทย์ศาสตร์ จากศูนย์การแพทย์ซันนี (SUNNY Medical Center) มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และสำเร็จแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยคอร์แนล ในปี 1994 หลังจากนั้นเธอย้ายมาทำงานเป็นแพทย์โรคหัวใจที่คลินิกสคริปป์ (Scripps Clinic) รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1996 เธอเชี่ยวชาญการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ เมื่อผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกมาที่คลินิก เธอจะให้เข้าห้องเอกซเรย์หัวใจ ฉีดสี ขยายเส้นเลือดบริเวณที่ตีบแคบ แล้วใส่ขดลวดขยายถ่างไว้ ซึ่งได้ผลดี คนไข้หายจากอาการเจ็บหน้าอกอย่างรวดเร็ว

เธอมีประสบการณ์ขยายเส้นเลือดให้คนไข้มาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย ต่อมาเธอพบกับ ศาสตราจารย์ดีน ออร์นิช (Dean Ornish) แพทย์โรคหัวใจชื่อดังในสมัยนั้น ซึ่งชวนเธอทำวิจัยเรื่อง การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยหมอออร์นิชใช้เรื่องอาหาร การออกกำลังกายเบาๆ วันละ 30 นาที โยคะ การฝึกสมาธิ การทำกลุ่มบำบัด โดยไม่ใช้ยา

เธอพบว่า ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในคนไข้ อาการเจ็บหน้าอกค่อยๆหายไป เส้นเลือดที่ตีบแคบขยายออกได้เมื่อเวลาผ่านไป คนไข้เบาหวานก็ใช้ยาลดลงครึ่งหนึ่ง และอาการต่างๆของโรคเรื้อรังอื่นๆค่อยๆดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก โดยไม่ต้องใช้ยา

หมอมีมี่รู้สึกประทับใจมาก จึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องของจิตใจต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ และวิธีการบำบัด ในที่สุดเธอก็สอบได้เป็นผู้เชี่ยวชาญแพทย์เฉพาะทางด้านการแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวม (American Board of Integrativeand HolisticMedicine,ABIHM) หลังจากนั้นเธอได้เปิดแผนกการแพทย์ผสมผสานในคลินิกสคริปป์ที่เธอทำงานอยู่ แล้วก็หันมาทำงานวิจัยด้านการแพทย์ผสมผสานในเวลาต่อมา

เธอได้รับรางวัลมากมายจากผลงานวิจัย และจากการบุกเบิกงานด้านการแพทย์ผสมผสาน เธอได้เขียนหนังสือเผยแพร่ความรู้ด้านนี้ไว้หลายเล่ม เช่น The Heart Speaks, 108 Steps to Unleash Your Healing Potential, The Science of Natural Healing, 108 Steps to Health, Healing, and Longevity. และบทความทางวิชาการลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมากมาย ปัจจุบัน เธอดำรงตำแหน่ง ประธานสถาบันการแพทย์ผสมผสานและสุขภาพองค์รวมแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันผลิตแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ (www.mimiguarnerimd.com)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกยน 2558 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)
กำลังโหลดความคิดเห็น