“หากต้องการนมข้นหวาน ควรใช้ที่เปิดกระป๋องเปิดออก
ถ้าปรารถนาความสุขสำเร็จในชีวิต ควรแบ่งเวลามาฝึกกรรมฐาน”
เพราะคนที่ฝึกกรรมฐานดีแล้วย่อมเกิดปัญญา และผลที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
วัดกันได้ในเวลาทำงาน ระหว่างคนมีปัญญากับคนเขลา คือ คนเขลาใช้แรงทำงาน ผลที่ได้รับ ทำมากแต่ได้น้อย ส่วนคนมีปัญญาใช้ปัญญาทำงาน ผลที่ได้รับ ทำน้อยแต่ได้มาก
ลองนึกภาพชายสองคนที่ต้องการลิ้มรสความหวานมันของนมข้นในกระป๋อง คนแรกใช้มือเปล่าเปิดกระป๋อง ส่วนคนหลังใช้ที่เปิดกระป๋อง ผลก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ใครจะได้ชิมนมข้นหวานในกระป๋องได้เร็วและดีกว่ากัน
แน่นอน...เราไม่สามารถใช้มือเปล่าเปิดกระป๋องนมได้ หรือหากดันทุรังเปิดได้จริง มันก็คงแย่ เผลอๆมืออาจฉีกเป็นแผลเหวอะหวะ กลายเป็นผลกระทบตกค้าง ซึ่งอาจทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน จากการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตน
ฉะนั้น วิธีที่ง่ายและถูกต้องคือ หากต้องการนมข้นหวานในกระป๋อง ต้องใช้ที่เปิดกระป๋อง...เปิดออก!
เช่นเดียวกับชีวิตที่ดำเนินอยู่นี้ เราทุกคนล้วนต้องการความสุขความสำเร็จ แต่สิ่งเหล่านี้มันถูกอวิชชาหรือปัญหาปกปิดไว้
ดังนั้น การจะได้มาซึ่งความสุขความสำเร็จที่ถูกต้องนั้น เราจำเป็นต้องใช้ “ปัญญาทางธรรม” เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาทางโลก เพราะปัญญาทางธรรมคือวิธีเดียวที่นำมาแก้ไขปัญหา แล้วไม่เกิดผลกระทบตกค้าง
ดังตัวอย่างก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทำให้โลกเกิดความเจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดเข้าสู่ยุคคลื่นลูกที่สาม มีระบบเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ จานดาวเทียม เครื่องเล่นดีวีดี เป็นต้น
แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ทำให้เกิดการพัฒนาเป็นอาวุธสงครามทำลายล้างสูงขึ้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ เมืองฮิโรชิมาในประเทศญี่ปุ่น ก็ราบเป็นหน้ากลอง ผู้คนล้มตายมากมายมหาศาลด้วยแรง “ระเบิดปรมาณู” นี่คือผลกระทบตกค้างจากปัญญาทางโลก ที่ไอน์สไตน์เรียกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ปัจจุบันนี้ โลกได้ค้นพบทฤษฎีควอนตัม ซึ่งสามารถหักล้างทฤษฎีของไอน์สไตน์ลงได้สิ้นเชิง บันดาลให้โลกเกิดการปฏิวัติแบบก้าวกระโดดเข้าสู่ยุค “คลื่นลูกที่สี่” ทำให้เกิดฮาร์ดดิสก์ขนาดจิ๋ว มีคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วสูงทรงประสิทธิภาพ มีการผลิตหุ่นยนต์ ซึ่งเราเริ่มคุ้นชื่อกับระบบเทคโนโลยีนี้กันแล้ว นั่นคือ “นาโน”
ทันทีที่นักวิทยาศาสตร์สายฟิสิกส์ควอนตัมค้นพบว่า ภายในอะตอมสามารถขยายได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อเข้าไปดูในนั้นปรากฏว่า อิเล็กตรอนที่อยู่ในอะตอมมันหายตัวได้ นั่นหมายถึง เมื่อมันอยู่ทางซ้ายของภายในอะตอม อีกแป๊บเดียวมันหายตัวมาอยู่ทางขวาได้ โดยไม่ต้องวิ่งไปมา นอกจากนี้ มันยังแยกเป็นสองตัว แล้วก็กลับมารวมเป็นตัวเดียวได้อีก ซึ่งปรากฏการณ์ในอะตอมนี้แหละที่เรียกว่า “ทฤษฎีควอนตัม”
การเล่นกลของตัวอิเล็กตรอนที่อยู่ในอะตอมนี่แหละ คือสาเหตุให้นักวิทยาศาสตร์สายควอนตัมฟิสิกส์ชื่นชอบพุทธศาสนามาก เพราะพวกเขาฟันธงว่า ภายในอะตอมมันเป็นมิติที่ 4 มิติที่ 4 หมายถึง มิติที่หายตัวได้ แยกร่างได้ เป็นมิติที่ไม่มีแรงดึงดูด ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกาลอากาศ ทำให้เหาะเหินเดินอากาศได้ จึงไปได้อย่างรวดเร็วแบบคิดปุ๊บถึงปั๊บ! อะไรทำนองนั้น
แต่สิ่งที่แปลกอัศจรรย์ชวนกังขาก็คือ ภายในอะตอมมันเป็นมิติที่ 4 ซึ่งตรงกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้กว่า 2600 ปี ว่าด้วยเรื่องของอำนาจอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ที่ผู้สำเร็จฌาน 4 สามารถแสดงได้
เป็นไปได้ไหม ฌาน 4 กับมิติที่ 4 มันคือที่เดียวกัน?
อย่างไรก็ดี ถึงแม้นักฟิสิกส์ควอนตัมจะเก่งกาจสามารถเจาะทะลุความไม่รู้ เข้าไปค้นพบมิติที่ 4 ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในอะตอมได้แล้ว แต่เมื่อเหรียญมีสองด้าน ดังนั้น หากสงครามโลกครั้งที่สามต้องอุบัติ ก็ยากนักที่จะจินตนาการถึงอาวุธที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเข่นฆ่ากัน แม้แต่มหาอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ก็ยังบอกว่า
“ข้าพเจ้าจินตนาการไม่ออกว่า อาวุธที่จะใช้ต่อสู้กันในสงครามโลกครั้งที่สามคืออะไร แต่ที่แน่ๆ ในสงครามโลกครั้งที่สี่ มนุษย์จะต่อสู้กันด้วยท่อนไม้และก้อนหิน”
และสงครามก็คือผลกระทบตกค้างจากปัญญาทางโลกนั่นเอง!!
ปัญญาแบ่งเป็น 3 อย่าง กล่าวคือ
1. สุตมยปัญญา คือ ความรู้ เรียน อ่าน เขียน ฟังแล้วก็จำ
2. จินตามยปัญญา คือ ความรู้ที่เกิดจากการตกผลึกสิ่งที่เรียนมา ด้วยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นต้น
3. ภาวนามยปัญญา คือ ความรู้ที่จู่ๆก็ผุดรู้ขึ้นมาในตอนเจริญสติ วิปัสสนากรรมฐาน
ภาวนามยปัญญา จัดเป็นปัญญาทางธรรม ส่วนสุตมยปัญญากับจินตามยปัญญา จัดเป็นปัญญาทางโลก ที่นิยมเรียกว่า “ไอคิว”
ก็อย่างที่รู้กันอยู่คือ ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์อะตอม เพื่อแสวงหาเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อดับทุกข์สู่การหลุดพ้น ความพยายามของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับชายคนแรกที่พยายามใช้มือเปล่าเปิดกระป๋องนม
ในทางกลับกัน พุทธศาสนามุ่งเป้ามาที่การดับทุกข์ ทุกสิ่งที่ปัญญาทางธรรมค้นพบ ล้วนเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “วิมุตติ”
ปัจจุบันนี้ เรามีลมหายใจมีชีวิตอยู่ในมิติที่ 3 ครั้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในมิติที่ 3 เราจึงไม่อาจแก้ปัญหาด้วยภูมิปัญญาที่อยู่ในระดับเดียวกับปัญหาได้ เพราะหากดันทุรังแก้ไปด้วยปัญญาระดับนี้ มันก็รังแต่จะทำให้เกิดผลกระทบตกค้างเป็นห่วงโซ่ปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น
ตัวไอน์สไตน์เองก็ยอมรับว่า “ปัญหาที่ต้องเผชิญ ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยสมมติฐานความคิด ในระดับเดียวกับที่เราสร้างปัญหาขึ้นมา”
ดังผลกระทบตกค้างจากตัวอย่างที่นำมาแสดง ซึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพยายามกันอยู่ด้วยปัญญาทางโลก ฉะนั้น ทางออกก็คือ “เมื่อมีปัญหาทางโลก เราต้องใช้ปัญญาทางธรรมเข้าไปแก้ไข”
เมื่อเราต้องการลิ้มรสความหอมหวานของนมข้นในกระป๋อง วิธีที่ถูกคือต้องใช้ที่เปิดกระป๋องเปิดออก เช่นเดียวกันหากปรารถนาความสุขสำเร็จในชีวิต ก็ต้องแบ่งเวลามาฝึกกรรมฐาน เพื่อพัฒนาให้ตัวเองเกิดภาวนามยปัญญา หรือดวงตาที่มองเห็นธรรม
“เห็นธรรม” ก็คือเห็นโลกตามความเป็นจริง “บรรลุธรรม” ก็คือเห็นจิตภายในตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยปัญญาญาณ หรือการหยั่งรู้ เป็นปัญญาในระดับสูงที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “ภาวนามยปัญญา”
และปัญญาญาณชนิดนี้แหละ เป็นเทคโนโลยีทางจิตเพียงชนิดเดียว ที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์เอาไว้ใช้แก้ปัญหาได้โดยไร้ผลกระทบตกค้าง ซึ่งตรงกับชายคนที่สอง ผู้รู้จักใช้ที่เปิดกระป๋องนม เพราะมันเป็นวิธีที่ถูกต้องในการจะได้มาซึ่งนมข้นหวานในกระป๋อง อย่างที่ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน
ท้ายสุดนี้ ขอฝากเป็นข้อคิดสำหรับการดำเนินชีวิตในปีใหม่ 2558 นี้ ว่า...
“ที่เปิดกระป๋อง ช่วยให้เราได้พบความหวานมันของนมข้นในกระป๋อง ฉันใด ปัญญาที่เกิดจากกรรมฐาน ก็ช่วยให้เราได้พบความสำเร็จ สมหวัง ของความสุขสงบมั่งคั่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ฉันนั้น”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 169 มกราคม 2558 โดย ทาสโพธิญาณ)