Joe (โจ) ภาพยนตร์ชื่อพยางค์เดียวเรื่องนี้ ได้รับคำวิจารณ์ว่ายอดเยี่ยม และมีเสียงชื่นชมว่าเป็นหนังที่พระเอกชื่อดัง “นิโคลัส เคจ” แสดงได้ดีที่สุด แต่ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ความเข้มข้นของเรื่องราวที่นำมาเป็นข้อคิดได้ดี
Joe เปิดเรื่องด้วย “แกรี่ โจนส์” เด็กหนุ่มวัยสิบห้าที่กำลังมีปัญหากับ “พ่อชราขี้เมา” แล้วเนื้อหาก็ค่อยๆเผยภาพเรื่องราวของ “โจ แรนซัม” ชายวัยกลางคนผู้เคร่งขรึม ซึ่งทำงานที่ดูประหลาด คือ รับเหมาจากบริษัทผู้ว่าจ้างให้ไปวางยาพิษต้นไม้บนภูเขาแห่งหนึ่ง เพื่อที่บริษัทจะสามารถตัดต้นไม้เหล่านั้นได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทุกวันโจจะขับรถกระบะเก่าๆ รับคนงานผิวดำไปทำงาน
วันหนึ่ง “แกรี่” ได้ไปเจอการทำงานของ “โจ” เขาจึงขออาสาเป็นคนงานใหม่ ด้วยความที่อยากหารายได้พิเศษโดยสุจริต แกรี่เป็นเด็กหนุ่มไฟแรง ขยันขันแข็ง มีความมุ่งมั่น เรียนรู้งานอย่างรวดเร็ว และยังเข้ากับเพื่อนต่างวัยต่างสีผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้โจรู้สึกพอใจมาก และเมื่อแกรี่เอ่ยปากว่า จะชวนพ่อมาช่วยทำงานด้วย โจก็ไม่ปฏิเสธ
แต่แล้วตาแก่ขี้เมาก็ทำเรื่องแย่ๆ เพราะวันที่มาทำงาน เขาแทบไม่ทำอะไรนอกจากนั่งบ่นว่าเหนื่อย แล้วเข้าไปหยิบน้ำดื่มของคนอื่นๆมาดื่ม เมื่อหัวหน้าคนงานมาตำหนิ เขาก็โต้เถียง ก่นด่า โดยไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง
แม้ว่าโจรู้สึกถูกชะตากับแกรี่ แต่การที่พ่อของแกรี่เข้ามาทำให้เสียการเสียงาน โจจึงจำใจต้องตัดปัญหา จ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายให้แกรี่ ไปส่งที่บ้าน แล้วบอกว่าไม่ต้องมาอีก แต่ก่อนขับรถจากไป เขาเห็นเด็กหนุ่มถูกพ่อขี้เมาทำร้าย แย่งเอาเงินค่าจ้างไป
โจเป็นเหมือนที่พึ่งของใครหลายคนในชุมชน แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีศัตรูคู่แค้นรายหนึ่ง ชื่อ “รอนนี่” นักเลงหัวไม้ ซึ่งเคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน และโจได้ฝากรอยแผลไว้บนใบหน้าของรอนนี่ แต่วันดีคืนดีรอนนี่ก็มาดักยิงโจ แต่เขาก็รอดตายมาได้หวุดหวิด
ในวันเดียวกับที่รอนนี่หลบหนีจากการทำร้ายโจ เขาก็พบกับแกรี่ซึ่งมาขอติดรถกลับเข้าเมือง แต่ด้วยความเป็นนักเลงหัวไม้ของรอนนี่ เขาจึงพูดจาดูถูกแกรี่ แถมยังพาดพิงไปถึงน้องสาว เด็กหนุ่มเลือดร้อนจึงมีเรื่องกับรอนนี่ ก่อนจากไปพร้อมกับรอยแค้น
เรื่องราวถัดมา ยังคงเล่าสลับวนเวียนระหว่างชีวิตของโจ แกรี่ และพ่อขี้เมาของแกรี่
เริ่มที่โจ แม้ว่าจะชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ชีวิตที่เปลี่ยวเหงา ก็ทำให้เขาติดบุหรี่ ดื่มเหล้า เที่ยวผู้หญิง แล้ววันหนึ่ง ขณะที่เขาไปปลดปล่อยอารมณ์ยังสถานที่แห่งหนึ่ง ก็ถูกสุนัขเจ้าถิ่นเห่าไม่หยุด เขาระงับความโกรธของตัวเองไม่อยู่ จึงขับรถกลับบ้านแล้วเอาเจ้าหมาพิตต์บูลที่แสนดุของเขา ไปขย้ำหมาตัวนั้นจนตาย
ร้อนถึง “เอิร์ล” สารวัตรประจำชุมชน ต้องแวะมาตักเตือนเพื่อนเก่าถึงบ้าน ซึ่งก็เป็นการเฉลยให้ผู้ชมทราบว่า โจเคยติดคุกมาก่อนจากคดีทำร้ายร่างกาย แต่พ้นโทษออกมา และพยายามปรับตัวใช้ชีวิตสงบๆกับอาชีพสุจริต
ส่วนแกรี่ก็พยายามขอกลับเข้าไปทำงานกับโจอีกครั้ง โจเห็นความมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม และเห็นว่าแกรี่เป็นเด็กที่ยังมีอนาคตที่ดี แม้ว่าฐานะยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ แถมยังมีปัญหาและภาระจากครอบครัว จึงรับเขาไว้
แต่แกรี่ก็ยังคงโดนพ่อขี้เมาทำร้าย และเอาเงินไปซื้อเหล้าเช่นเคย จนวันหนึ่งโจเจอพ่อของแกรี่ เขาจึงขู่ไม่ให้ทำร้ายลูกชายอีก
แน่นอนว่า ในมุมชีวิตพ่อของแกรี่ นอกจากติดเหล้า ทุบตีลูกชายแล้ว เขายังเป็นอาชญากรเต็มตัว โดยบ่ายวันหนึ่งขณะที่เขารู้สึกลงแดงด้วยขาดสุรา เขาเห็นชายเร่ร่อนถือขวดไวน์ผ่านไป จึงเข้าไปทำร้ายจนถึงแก่ความตาย และแย่งไวน์รวมทั้งเงินเล็กๆน้อยๆของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปด้วย
หนังตัดมาที่โจกับแกรี่ ซึ่งดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี โจเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้เหมือนน้องชาย เมื่อโจซื้อรถคันใหม่ เขาจึงยกรถกระบะคันเก่าให้แกรี่ โดยหวังว่าเด็กหนุ่มจะนำไปใช้ทำมาหากินในอนาคต
แต่ทว่าเรื่องร้ายๆก็เกิดขึ้นเมื่อคนเลวมาเจอกัน คือ การพบกันระหว่าง “รอนนี่” กับ “พ่อของแกรี่” เมื่อรอนนี่รู้ว่า ตาแก่รายนี้มีลูกสาวอยู่อีกคนหนึ่ง การตกลงในข้อเสนอสุดเลวร้ายบางอย่างจึงเกิดขึ้น
คืนนั้นแกรี่รีบมาหาโจ บอกว่าพ่อเอารถกระบะไป แล้วเอาน้องสาวไปด้วย โจคาดเดาได้ไม่ยากว่า จะเกิดอะไรขึ้น จึงขับรถไล่ตามไป โดยให้แกรี่ไปแจ้งตำรวจ ท้ายที่สุด โจก็สามารถช่วยน้องสาวของแกรี่ไว้ได้
ภาพยนตร์ดราม่าเข้มข้นเรื่องนี้ มีความเด่นชัดในประเด็นหนึ่ง ที่สามารถยกมาเปรียบกับหลักพุทธศาสนาได้ดี คือ คำสอนเรื่อง “บัวสี่เหล่า” อันเป็นการเปรียบเทียบบุคคลสี่จำพวก ที่เราเห็นได้ทั่วไปในสังคม ได้แก่
1. อุคคฏิตัญญู กลุ่มบัวพ้นน้ำ ซึ่งมีสติปัญญาดี มีความเฉลียวฉลาด หากสามารถฟังธรรมแล้วก็สามารถเข้าใจรับรู้ เปรียบเหมือนได้แสงอาทิตย์ ก็พร้อมจะเบ่งบานอยู่เหนือผิวน้ำ
ซึ่งเปรียบได้กับ “แกรี่” ที่แม้ว่าครอบครัวยากจน ขาดการศึกษาที่ดี แต่ด้วยความใฝ่ดี มีมานะ ขยันขันแข็ง เมื่อได้รับฟังคำสอน และโอกาสที่ดีจากผู้อื่น เขาก็พร้อมจะก้าวไปสู่เส้นทางสว่างได้ไม่ยาก
2. วิปจิตัญญู กลุ่มบัวปริ่มน้ำ มีสติปัญญาปานกลาง แต่หากได้ฟังธรรม พร้อมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็สามารถจะโผล่ขึ้นพ้นจากน้ำได้ในระยะเวลาอันใกล้
เปรียบได้กับตัวละครหลัก คือ “โจ” ซึ่งเคยเป็นคนเดินในเส้นทางผิดมาก่อน แต่เมื่อพ้นโทษ เขาเลือกทำงานที่สุจริต และช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ทำได้ แม้ชีวิตยังวนเวียนอยู่ในอบายมุขแบบตัดไม่ขาด แต่เมื่อมีเพื่อนใหม่อย่างแกรี่ ที่เป็นเหมือนแสงสว่าง เขาจึงรู้สึกอยากทำสิ่งดีๆ กระทั่งยอมสละชีพเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง
3. เนยยะ กลุ่มบัวใต้น้ำ มีสติปัญญาน้อย แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว เพราะหากได้รับฟังธรรมคำสั่งสอน ได้รับโอกาสฝึกฝนเพิ่มเติม และมีพื้นฐานของความขยันหมั่นเพียร บัวใต้น้ำ ก็ย่อมโผล่พ้นน้ำได้สักวัน
เปรียบแล้วก็คล้ายกับคนงานผิวสี ลูกน้องของโจ ซึ่งเป็นแรงงานชั้นต่ำ ทำงานแลกค่าจ้างไปวันๆ แต่ทุกคนก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง เคารพในความคิด คำแนะนำของโจ และสำคัญคือการเลือกทำงานสุจริต กลุ่มคนเหล่านี้แม้ขาดสติปัญญา แต่ก็ยังพอเป็นกลุ่มที่มีความหวังว่า เมื่อได้รับคำสั่งสอนให้เกิดปัญญา ก็สามารถก้าวไปสู่เส้นทางชีวิตที่ดีได้
4. ปทปรมะ กลุ่มบัวใต้ตม หรือคนที่ไร้ปัญญา ยากที่จะดึงขึ้นมาสู่เส้นทางสว่าง จัดเป็นบุคคลประเภทที่ยากเกินเยียวยา ไม่สามารถสั่งสอนอะไรได้ ต้องปล่อยให้จมอยู่กับโคลนตม เพื่อเป็นอาหารของสัตว์
เปรียบได้กับ “พ่อของแกรี่” กับ “รอนนี่” รายแรกนั้น แม้ว่ามีโอกาสที่ดี มีลูกชายที่พร้อมจะนำไปสู่ทางสว่าง แต่เขากลับมืดบอด จนกระทั่งทำสิ่งเลวร้ายมากมาย ไม่ต่างจากรอนนี่ ซึ่งทำตัวนักเลง มัวเมาอยู่ในเรื่องเลวร้าย และไม่เคยจดจำบทเรียนที่ได้รับ
มาถึงตอนนี้ โบราณว่า ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว เพราะฉะนั้น ลองสำรวจตัวเองดีมั้ยว่า เราเป็นบัวประเภทไหน?
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 167 พฤศจิกายน 2557 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)