โดย..เงาศิลป์
“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลางและใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพและการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น
กัดปากตัวเองแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่เกาะเต่าราวๆ 2-3 ปี ตั้งแต่ที่นั่นมีถนนสายสั้นๆ และไม่มีรถยนต์วิ่ง มีตำรวจอยู่คนเดียว มีพระสงฆ์อยู่รูปเดียว มีเจ้าพ่อไม่ต่ำกว่า 10 มีอันธพาลนับร้อย มีเรื่องราวโหดร้ายมากมาย มีคนดีนับพัน มีคนที่ไม่อยากยุ่งเรื่องของใครนับหมื่น เวลาเขาจะฆ่ากัน เขายิงหมาของคู่อริเป็นการบอกกล่าว
เปล่า...คนเกาะเต่าไม่ได้เลวร้ายทุกคน
คนดีมีมากกว่า แต่พลังความดีไม่เข้มแข็ง เพราะคนสีกากี เข้าข้างคนเลว เพราะคนเลวมีเงิน
คืนหนึ่ง มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมาขอหลบภัยในบ้าน พวกเขาถูกตามล่าเพราะหญิงสาวเป็นที่หมายปองของคนโฉดบางคน พวกเขาเป็นสามีภรรยามาจากอีสาน มาทำงานรับจ้างได้ไม่กี่วันก็เจอปัญหา
ชายคนที่คิดร้ายรายนี้ คือ คนดั้งเดิมบนเกาะที่มีพฤติกรรมระยำจริงๆ
คืนวันหนึ่ง ฉันเดินฝ่าความมืดไปร้านค้าเพื่อจะโทรศัพท์กลับบ้าน มีชายคนหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์จอดปาดหน้าดักทาง แล้วถามฉันว่าจะไปไหน ฉันก็ตอบตามจริง แต่นายคนนั้นท่าทางจะไม่เลิกตอแย ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงร้านค้า แต่ไฟฟ้าบนเกาะยังไม่สว่าง บ้านเรือนยังมีน้อย ฉันตั้งสติ และพูดดีๆ กับเขาเพื่อจะให้เรื่องจบ แต่ดูเหมือนเขาไม่ยอมจบ ไม่นานนัก มีมอเตอร์ไซค์อีกคันมาจอดข้างๆ แล้วชายคนใหม่ก็ตะคอกใส่หน้านายคนนั้นว่า
“มึงอย่ามายุ่งกับน้องคนนี้ เขาพักอยู่ที่....”
ฉันผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาได้เพราะฉันผูกมิตรกับทุกคน ชายคนที่มาช่วยคือ คนขับรถรับจ้าง และชายชั่วคนนั้นคือ เจ้าของซ่องแห่งเดียวบนเกาะ (ในขณะนั้น ที่ผู้ใช้บริการคือลูกเรือประมง ที่แอบขึ้นเกาะได้ เฉพาะอ่าวที่มีซ่อง)
เด็กสาวคนนั้น ถูกหมายปองเพราะเธอสวย และอาจเป็นสินค้าราคาดี พวกเขาโชคดีที่มีคนเกาะใจดีพาหนีไปที่เกาะนางยวนในคืนนั้น เพื่อหาทางขึ้นเรือใหญ่กลับเข้าฝั่งในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันยังได้รับการปกป้องอีกครั้งโดยแม่ค้าในตลาดที่ตวาดไอ้ขี้เมาหยำเปสองคนที่นั่งดื่มในร้านแกเกือบทั้งวัน และทุกวัน (มีเงินจากการขายที่ดิน) พวกเขาคิดว่าฉันเป็นคนต่างชาติ
“คนไทยโว้ย อย่าไปยุ่งกับน้องเขานะ ไอ้....เอามึงตายแน่”
คืนหนึ่ง ลุงลากปืนยาวออกมายืนหน้าบังกะโลของแก เสียงปืนระเบิดปัง ปัง ปัง วิถีกระสุนพุ่งสู่เรือคู่ ที่ลากอวนเข้ามาชิดชายหาดยามกลางคืน แกบอกว่า
“เราต้องปกป้องกันทรัพย์สินของเราเอง”
แม้ยามคลื่นลมแรง เรือประมงขอมาจอดหลบลมชั่วคราว ลูกเรือลุยน้ำจะขึ้นเกาะ แกก็ลากปืนยาวออกมา ชี้ปลายปืนไปยังร่างหลายร่างที่ลุยคลื่นเข้ามา จนพวกเขาต้องหันหลังกลับ
“ให้ขึ้นไม่ได้หรอก เดี๋ยวมาทำอะไรไม่ดีกับแขกที่พัก”
ลุงมีสิทธิปกป้องตนเอง เพราะตอนนั้นตำรวจมีคนเดียว ชื่อ จ่าดำ
ช่วงเทศกาลสำคัญๆ จะมีเวทีการแสดงที่ตลาด ตรงบริเวณท่าเรือ คนมีเงินจะลงขันกันจัดงาน ข้าราชการเป็นเพียงตัวประกอบ เช่น นายอำเภอ ที่ต้องเดินทางมาจากเกาะพงัน เพื่อกล่าวเปิดงาน จ่าดำ ตำรวจเพียงคนเดียวบนเกาะจึงแทบไม่มีความหมาย เพราะคนรักษากฎ (หมาย) เป็นจิ๊กโก๋ประจำเกาะ
“ไปขอเงินจากฝรั่งมาอีก ให้มันจ่ายมาเยอะๆ”
เจ้านายแต่งตั้งตัวเอง สั่งลูกน้องให้ไปเอาเงินเพิ่มที่ร้านดำน้ำของฝรั่ง ฝรั่งต้องจ่ายเงินให้ และร้านดำน้ำไม่ได้มีแค่ร้านสองร้าน ห้องแถวริมชายหาดในเวลานั้นล้วนแต่เป็นออฟฟิศดำน้ำของฝรั่ง ยังไม่มีคนไทยที่เป็นเจ้าของธุรกิจดำน้ำแม้แต่รายเดียว ฝรั่งทำเงินโดยไม่ได้จ่ายภาษี เพราะใช้ชื่อคนไทยทำธุรกิจ ตัวเองใช้วีซ่าท่องเที่ยว ความดีงามของฝรั่งนักดำน้ำคือ เป็นนักกีฬา รักสันติ ไม่ชอบดื่มเหล้า กลางวันแทบไม่มีฝรั่งเดินอยู่ชายหาด
พวกเขามุดดูปลาอยู่ในทะเล บริเวณกงทรายแดง หรืออ่าวม่วง อ่าวหินวง
คนเอะอะเสียงดัง หรือเมามายในยามกลางวัน จึงเป็นชาวเกาะที่ไม่ต้องทำงานอะไรมาก เพราะมีเงินจากการขายที่ดิน หรือมีบังกะโลเป็นของตัวเอง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ไม่ได้ระรานนักท่องเที่ยวให้รำคาญใจ แค่สนุกสนานไปตามวิถี นานๆ ทีได้ไถเงินฝรั่งมาซื้อเหล้ากิน เพราะหมั่นไส้ที่ฝรั่งพวกนี้ทำท่าเหมือนเป็นบุคคลสำคัญของเกาะ
แน่ล่ะ...เกาะเต่า ที่การท่องเที่ยวเติบโตขึ้นได้ เพราะพวกเขาจริงๆ กว่าคนไทยจะรู้จักเกาะเต่า วัตถุโบราณใต้สมุทร ถูกส่งออกนอกประเทศหมดแล้ว!?
ติดตามอ่าน “เกาะเต่า เรื่องที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง” โดย “เงาศิลป์” ตอนต่อไปในสัปดาห์หน้า