อาณาจักรภายนอก น้อยคนนักจะได้เกิดมาเป็น “ราชา” ครอบครองความเป็นใหญ่อยู่ในอาณาจักร แวดล้อมไปด้วยเหล่าเสนาอำมาตย์ ขุนพล นางสนมกำนัล
แต่ทว่าอาณาจักรภายใน ได้แก่ เซลล์ประสาทที่ฝังอยู่ในร่างกายของมนุษย์เราทุกคน คือ “ราชา” ผู้ครองบัลลังก์เป็นใหญ่อยู่ในอาณาจักรภายในตัวเอง
นี่ไม่ใช่แนวคิดชวนเชื่อเพ้อฝัน ในหนังสือเดอะซีเคร็ต “รอนดา เบิร์น” ผู้เขียน ระบุว่า “ไม่ว่าจิตจะคิดไปถึงสิ่งใดก็ตาม ใจย่อมสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้เสมอ”
สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลคิดถึงสิ่งใด ก็นับได้ว่าเข้าถึงสิ่งนั้น ไม่คิดถึงสิ่งใด ก็นับว่าไม่เข้าถึงสิ่งนั้น”
มาดูตัวอย่างหลักฐานยืนยันร่วมสมัย “เอ็ดวิน บาร์นส์” หุ้นส่วนคนสำคัญของ “เอดิสัน” บิดาแห่งหลอดไฟ สองผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้โลกนี้สว่างไสว โลกรู้จักบุคคลทั้งสองในนามคู่หูนักคิดนักขายว่า “เอดิสันประดิษฐ์ บาร์นส์ขาย”
หนังสืออมตะขายดีระดับโลกอย่าง “คิดแล้วรวย” (Think & Grow Rich) ผู้เขียนจารึกเรื่องราวของบาร์นส์ไว้ว่า
ในนิวเจอร์ซีย์ครั้งอดีต เมื่อบาร์นส์ก้าวลงจากรถ เพื่อมาขอเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับเอดิสัน สภาพของเขาตอนนั้นไม่ต่างจากคนเร่ร่อน แต่บาร์นส์ไม่คิดอย่างนั้น เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองไม่ต่างจากราชา และในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ มั่งคั่งร่ำรวย มีชีวิตสุขสบายไม่ต่างจากราชา ที่เมืองแห่งนี้
ด้วยงานวิจัยและผลการศึกษาอย่างยาวนานของนักสรีรวิทยา ที่เห็นพ้องต้องกันว่า มนุษย์เริ่มต้นชีวิตมาจากเซลล์เดียว ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหัวเข็มหมุด เป็นเซลล์ปฏิสนธิระหว่างเซลล์พ่อคือ “อสุจิ” ร่วมกับเซลล์แม่คือ “ไข่” จากนั้นจะแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลองนำสองเรื่องนี้มาโยงเปรียบเทียบกันดูเพื่อความกระจ่าง
บาร์นเริ่มต้นจากตัวคนเดียวเดินทางมาพบเอดิสัน เพื่อทำธุรกิจกับสิ่งประดิษฐ์พลิกโลกคือ “หลอดไฟ” แล้วในที่สุดเมื่อโลกสว่างไสว ความเจริญรุ่งเรืองพร้อมด้วยชื่อเสียงเงินทองมากมาย ก็หลั่งไหลมาเข้ากระเป๋าของสองคู่หู...
เช่นเดียวกับเซลล์ปฏิสนธิของพ่อตัวเดียว ก็วิ่งมารวมกับเซลล์ไข่ของแม่ เพื่อก่อกำเนิด “ชีวิต” จากนั้นก็เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นตัวเรา และที่ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงกำหนดคลอดจากครรภ์มารดา เราก็คลอดออกมาพร้อมกับระบบประสาทที่ยอดเยี่ยม ประกอบไปด้วยเซลล์ต่างๆมากมาย รวมถึงสมองที่ทรงประสิทธิภาพอันสุดมหัศจรรย์
นั่นเพราะ... สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์ ที่สามารถส่งข่าวไปยังเซลล์ที่อยู่ใกล้หรือห่างออกไปได้ โดยการทำงานที่ซับซ้อน วิถีทางของกระแสประสาทที่วิ่งผ่านไปในสมอง ก่อให้เกิดความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรม นักสรีรวิทยาสรุปว่า “ความสามารถเหล่านี้เกิดขึ้นจากสมองเป็นผู้บงการ”
ขณะที่นักจิตวิทยาชื่อดังก้องโลก บิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์อย่าง “ซิกมันด์ ฟรอยด์” กลับเห็นต่าง ฟรอยด์เชื่อว่าความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลมาจาก “จิต” เป็นผู้บงการ ไม่ใช่สมองอย่างที่นักสรีรวิทยาเข้าใจ และฟรอยด์ยังแบ่งจิตของมนุษย์ออกเป็นระดับ ด้วยวิธีอุปมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น
โดยให้ “จิตสำนึกเปรียบเหมือนส่วนบนของก้อนน้ำแข็ง ที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเล ส่วนจิตใต้สำนึกเปรียบเหมือนส่วนล่างของก้อนน้ำแข็ง ที่จมอยู่ในทะเล”
นอกจากนี้ ฟรอยด์ยังฟันธงว่า “จิตใต้สำนึกมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์มากกว่าจิตสำนึก อีกทั้งจิตก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง”
ตามกระบวนการของ “คลื่น” เมื่อพลังงานถูกส่งสัญญาณออกไป มันก็จะกลายรูปเป็นคลื่น อย่างเช่นคลื่นโทรศัพท์
เช่นเดียวกัน “ความเชื่อ” ก็เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่ง ที่จิตเป็นตัวกำหนดส่งสัญญาณออกไป และผลที่ตอบกลับมันก็จะเป็นอย่างที่เราเชื่อ
เชื่อไหมว่า...
“เราสามารถขับเคลื่อนตัวเองไปยังพื้นที่ว่างในอวกาศได้ ด้วยการเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ คือ เชื่อว่าเราทำได้ เมื่อเชื่อว่าตัวเองทำได้ เราก็จักทำได้ เฉกเช่นที่นักบินอวกาศทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”
ทุกวันนี้โลกค้นพบแล้วว่า “จิต” เป็นพลังงานที่มีแรงดึงดูดมหาศาล ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของมนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์กลับใช้พลังงานดังกล่าวนี้เพียง7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือถูกเก็บแช่แข็งเอาไว้ในจิตใต้สำนึก ที่เปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งจมอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งถูกปกปิดประหนึ่งความลับมาอย่างยาวนาน
ผู้รู้กล่าวว่า “หากบุคคลใดสามารถนำขุมพลังดังกล่าวนี้ออกมาใช้ได้ เขาก็จะมีพลังอำนาจอยู่เหนือมนุษย์”
โชคดีที่นักจิตวิทยาสมัยใหม่ ค้นพบความลับแล้วว่า “ความศรัทธา” นั่นเองที่เป็นเสมือน “เหล็กเจาะน้ำแข็ง” เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรากะเทาะก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มขุมพลังอันมหาศาลนี้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ความเชื่อมั่นจะเป็นสิ่งดี แต่การเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาตรวจสอบข้อเท็จจริงเลย กลับเป็นโทษมหันต์ ที่เรียกกันว่า “งมงาย”
ฉะนั้น ก่อนเชื่อสิ่งใด เราควรศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่นด้วย ขณะที่ตรวจสอบแล้วพบว่า สิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นถูกต้องเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เช่นนี้จึงค่อยเชื่อ อีกทั้งความเชื่อที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบมาแล้วนั้น จัดเป็นความเชื่อในระดับ “ศรัทธา” ที่มั่นคงไม่คลอนแคลนง่อนแง่น
ใน นคโรปมสูตร ว่าด้วยเรื่องเครื่องป้องกันนคร ๗ ประการ พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาเปรียบเทียบระหว่าง “เสาหลักเมือง” กับ “ศรัทธา” ไว้ว่า
“ในเมืองของพระราชานั้น ต้องมีเสาหลักเมือง ขุดหลุมฝังลึกมั่นคงไม่หวั่นไหว นี้เป็นเครื่องป้องกันนครประการที่หนึ่ง สำหรับคุ้มภัยป้องกันอันตรายทั้งภายในและภายนอกนคร ฉันใด บุคคลผู้เปี่ยมด้วยศรัทธา ก็ฉันนั้น”
ความศรัทธา ถอดรหัสอีกครั้งก็คือ ความเชื่อมั่น มั่นใจในตัวเอง ลองคิดถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเพียงพระนักเทศน์ผู้หนึ่ง ภายหลังจากตรัสรู้แล้วเดินทางไปประกาศหลักธรรมคำสอนยังสถานที่ต่างๆ ทั่วชมพูทวีป
แล้วในที่สุดดูสิว่า ความศรัทธาในสิ่งที่พระองค์ค้นพบ นำพาให้พุทธศาสนาของพระองค์เผยแผ่ออกไปได้กว้างไกลมหาศาลเพียงใด
เช่นเดียวกัน ความมั่นใจเชื่อมั่นว่า ตัวเองทำได้ หากได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบ ความรู้สึกเช่นนี้เองที่จะถูกฝังลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา แล้วงอกงามขึ้นมากลายเป็นบุคลิกภาพใหม่ที่มีความมาดมั่น ความภาคภูมิใจในตัวเอง ประหนึ่งราชาผู้ครองบัลลังก์ศรัทธาอันมั่นคง
อย่างที่ใครๆ ก็ไม่อาจทำให้ความศรัทธาในตัวเองของเรา คลอนแคลนง่อนแง่นลงไปได้เลย
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 164 สิงหาคม 2557 โดย ทาสโพธิญาณ)