xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมปฏิบัติ : ดู “เทวทูต” ในตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คนเรามีอายุอยู่ไม่กี่สิบปีแล้วก็ตายไป ถ้าทำกรรมชั่วช้าลามกสกปรก มันมีภัยมีเวรต่อไปข้างหน้าอีกเป็นเงาตามตัว ถ้าเป็นคนรู้จักกลัวบาป มีความละอายต่อบาปแล้ว ศีลก็จะมีขึ้นมาได้เอง แล้วจิตใจนี้มีความสงบได้ หรือว่ามีสติปัญญาพอที่จะคุ้มครองป้องกันไม่ให้จิตตกไปในฝ่ายอกุศล เป็นการทำให้เกิดความรู้สึกที่เห็นคุณประโยชน์ ในการที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม

ชีวิตของการปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตของการต่อสู้นั่นเอง คือต่อสู้กับกิเลสทุกๆ ประเภทที่จะเกิดขึ้น ผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ เป็นบ่อเกิดของกิเลสประเภทไหนก็ตาม ก็จะต้องมีความรู้สึกตัว เพราะทางอายตนผัสสะนี้ ถ้าไม่มีนายประตูแล้ว มันก็จะวิ่งพล่านไปตามอารมณ์ ซึ่งกิเลสมันก็คอยมาดักอยู่ทุกด้านเหมือนกัน

การมีสติคุ้มครองจิตใจได้ทุกเวลานาที ทำให้เรียบร้อยไปทั้งหมด ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เพราะเมื่อรับรู้อะไรมันก็ดับได้ ไม่ว่าเรื่องจะดีจะชั่ว จะถูกจะผิดก็ตาม เพียงแต่รับรู้แล้วก็ผ่านไป ดับไป สลายตัวไปหมด แล้วจิตนี้ก็มีความสงบรู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นความว่างหมด

เมื่อพิจารณาอยู่เป็นประจำแล้ว จะเห็นว่าโลกทั้งหมดนี้เหมือนความฝัน คือเมื่อไปยึดถือเข้าเป็นจริงเป็นจัง มันก็เป็นทุกข์ หรือว่ากามทั้งหลายมีความใคร่ความอยาก เช่น วัตถุกามก็ตาม หรือว่ากิเลสกามก็ตาม อย่างนี้เป็นของชั่วคราว ยิ่งวัตถุกามที่เราพิจารณาดูแล้ว เป็นของชั่วคราวจริงๆ คือ มันหลอกให้ยึดมั่นถือมั่นไปเพลินๆ เป็นของชั่วคราวแล้วก็ดับสลายตัวหมด

ถ้าเปรียบก็เหมือนกับของที่ขอยืมเขามาใช้ทุกสิ่งทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งกายทั้งใจนี้ เดี๋ยวนี้กำลังถูกทวงกลับไปแล้ว ทวงกลับไปเรื่อยๆ แล้วใครจะเป็นเจ้าของได้ ในเมื่อของนี้ขอยืมเขามาใช้

ถ้าใครรู้เรื่องนี้ได้ละก็ จึงจะรู้ว่า ที่ปรากฏอยู่กับเนื้อกับตัวนี่ ล้วนแต่เป็นเทวทูตทั้งนั้น ถ้าไม่รู้ว่าเทวทูตภายในตัวเองเป็นอย่างไร ก็ไปดูเทวทูตทางตาเห็นรูป หูฟังเสียงก็ได้ แล้วก็น้อมเอามาหาตัว ว่าเทวทูตนี่มันคืออะไร ก็น่าจะพิจารณาให้รู้เสียว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เห็นอยู่นี่ ที่ตัวเองเกิดมา ก็กำลังแก่อยู่นี่ กำลังเจ็บอยู่นี้ หรือกำลังตายไปทีละน้อยๆ คือมันยังไม่ได้ตายเน่าเข้าโลงไปทีเดียว

แล้วก็ลองพิจารณาดูซิว่า เทวทูตกำลังมีอยู่ที่ตัวเราหรือเปล่า หมั่นพิจารณาให้รู้ แล้วสติปัญญาจะได้เกิด ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสตัณหามันจะจูงไป เพราะไม่รู้ว่าเทวทูตนั้นคืออะไร มันอยู่ที่เนื้อที่ตัวนี่ แล้วตาเห็นรูปก็เห็นอยู่อย่างนี้ เห็นทั่วๆไป ไม่ว่าจะเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นๆอยู่นี่ ทั้งตัวเองก็เป็นอยู่อย่างนี้

ถ้าไม่รู้จักเทวทูตทั้งภายในตัวเอง และจากคนอื่นแล้ว ก็เป็นคนหลง และหลงทำทุจริต หลงทำบาป ทำกรรมใส่ตัวมัวเมาเพลิดเพลินไปจนกว่าจะตาย นี่มันหลงเสียหายอยู่ในตัวเองทั้งหมด ทั้งที่ว่าตัวเองนี้จะต้องมีศีลให้บริสุทธิ์ก็ทะลุไปแล้ว ขาดไปแล้ว ทำลายไปแล้ว ศีลก็ไม่บริสุทธิ์ แล้วอย่างนี้เป็นความเสียหายย่อยยับหรือไม่ ลองพิจารณาตัวเองดู

ถ้ารู้จักเทวทูตอยู่ทุกๆขณะแล้ว การประพฤติปฏิบัติธรรมจะไม่มีการเอาอะไรเลย เพราะรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ ไม่น่ามีความประมาท ไม่น่ามีความเพลิดเพลิน เพราะถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มันกำลังทวงกลับไปแล้ว ทุกสิ่งล้วนมีความเสื่อมอยู่ทั้งนั้น แต่มันเสื่อมเล็กๆน้อยๆ ก็ยังไม่รู้สึก กระทั่งเป็นเหมือนกับคนแก่ ขณะเป็นคนหนุ่มคนสาวก็นึกว่าเป็นของสวยงามอยู่ แล้วมันก็หลงเทวทูตอยู่ในตัวเองนี้ ต่อเมื่อมันรวมกำลังกันเข้ามากๆ เหมือนกับคนแก่ พอแก่มากๆ จึงจะรู้ว่าตัวแก่ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะพิจารณาให้เห็นเทวทูตในตัวเองนี้ ไม่ค่อยมีใครจะพูดถึงกันเลย มีแต่จะเอาให้สวยให้งามให้ดีให้เด่น ไม่ว่าใครที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ในโลกนี้ ก็เพราะว่าไม่รู้เรื่องของเทวทูตเลย หลงใหลมัวเมาเพลิดเพลินอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกาย แล้วก็หลงอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

ถ้าเป็นคนมีสติปัญญาก็มีการประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เจริญขึ้น ทำให้รู้สึกว่า การปฏิบัตินั้นเป็นเครื่องตัดรอนทอนกำลังของกิเลสตัณหาอุปาทาน ทำให้ชีวิตนี้จะมีโอกาสหลุดรอดออกไป จากบ่วงของมารทุกชนิด

ตามความรู้สึกธรรมดาสามัญแล้ว ยังเป็นการชุ่มแช่อยู่ในทุกข์โทษมากมายหลายประการนัก โดยไม่รู้สึกตัว ที่จะรู้สึกตัวได้ต้องน้อมนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพิจารณาตัวเอง หรือว่าเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายในตัวเองและภายนอกด้วย แล้วนี่จะสูงกว่าการเห็นเทวทูต

เพราะการเห็นเทวทูตยังเป็นความเห็นของธรรมดา แต่ความเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นการเห็นด้วยปัญญาอันสูงกว่า แล้วก็จะทำให้พิจารณาเห็นความเป็นธาตุโดยส่วนเดียว ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล หรือไม่ใช่ตัวตนอะไรทั้งหมด นี้เป็นสติปัญญาที่จะถอนอุปาทานให้เป็นการหลุดพ้นออกไปสู่นิพพาน หรือสุญญตาโดยส่วนเดียว

ถ้าสติปัญญายังอ่านส่วนนี้ไม่ออก ก็ต้องอ่านเรื่องเทวทูตให้ออกก่อน จะได้ไม่ประมาท ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีความประมาทเพลิดเพลินอยู่ แล้วก็ทำกรรมดีกรรมชั่วต่างๆ เป็นการติดอยู่ในวงล้อมของข้าศึก คือ กิเลสทั้งภายในและภายนอก แล้วก็ไม่สามารถจะออกไปพ้นได้

เพราะตัณหามันคอยกระซิบ คอยชวนให้เอานั่นเอานี่ ยึดถืออะไรต่ออะไร เพราะตัณหามันเป็นตัวอยาก อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย

ฉะนั้น จิตที่ไม่สงบก็เพราะตัณหานี่เอง ถ้าไม่มีสติปัญญาจะพิจารณาให้เป็นเครื่องรู้เท่าทันตัณหาแล้ว ต้องเป็นทาสตัณหาเรื่อยไป ทำให้จิตนี้แฟบๆฟูๆอยู่ตลอดเวลา

ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาแล้วมันน่าเบื่อหน่ายที่สุด ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นอะไรจริงจัง เพราะมันล้วนแต่อยู่ในทุกข์ในโทษตลอดเวลา แต่ไม่รู้สึกตัว

ฉะนั้น การที่ไม่รู้นี้ มันตกเป็นทาสของตัณหาตลอดเวลา เราต้องรู้จักใช้ตัณหาให้เป็นทาส อย่าไปเป็นทาสตัณหา สิ่งอะไรควรทำหรือไม่ควรทำอย่างไร ต้องรู้เท่าทันตัณหา ถ้าไม่รู้เท่าทันตัณหาแล้ว มันจะขี่คอยควบขับเรื่อยไป หยุดไม่ได้ สงบไม่ได้ ว่างไม่ได้ มันปรุงจิตอยู่เรื่อย ให้อยากเอา อยากเป็น อยากเต้น อยากรำ ไม่ยอมหยุดนิ่ง

เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาดับตัณหาให้หยุดให้ได้ ถ้าพิจารณาแล้วมันจะยิ่งกลัวบาป ไม่กล้าทำบาป เพราะว่าบาปนี้เป็นเงาตามตัว ถ้าทำดีก็เป็นเงาตามตัวเหมือนกัน ให้ผลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

แล้วอย่านึกว่าบาปนี้เป็นของน้อยเป็นอันขาด ต้องเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเกลียดบาป หรือกลัวบาปให้มากยิ่งขึ้นเสมอทีเดียว

คนโง่เท่านั้นที่ยอมทำบาป คนฉลาดจะพยายามละบาป เพราะกลัวบาปหนักหนาทีเดียว ไม่กล้าทำไม่ว่าจะได้เงินทองข้าวของสักเท่าไร ถ้าเป็นการทุจริตแล้วจะไม่เอาเป็นอันขาด ให้มั่นอกมั่นใจอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วนั่นแหละจะพ้นอำนาจของบาป มีบุญแก่นแท้อยู่ในจิตในใจที่บริสุทธิ์นั่นเอง

(จากส่วนหนึ่งของการสอนปฏิบัติธรรมเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2516)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 160 เมษายน 2557 โดย ก.เขาสวนหลวง สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง จ.ราชบุรี)

กำลังโหลดความคิดเห็น