บางคนเข้าใจว่า เครื่องทำน้ำด่าง หรือ Water Ionizer นั้นเป็นเรื่องใหม่ ความจริงเป็นเรื่องที่มีการเริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 หรือประมาณ 44 ปีที่แล้ว ที่ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบันญี่ปุ่นมีคนเข้าถึงและดื่มน้ำด่างทั่วประเทศกว่า 30 ล้านคน แต่สำหรับคนไทยเป็นเรื่องที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
ย้อนกลับไปเมื่อ 44 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2511 ดร.ฮิโรมิ ชินย่า ซึ่งเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่น ได้ทำเครื่องทำน้ำด่างจากเครื่องไฟฟ้าขึ้น เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในลำไส้ และเมื่อตรวจสอบแล้วโดยใช้กล้องส่องลำไส้ ก็พบว่า สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ซึ่งตอนนั้นเครื่องหนึ่งยังมีราคาแพงมาก ยังไม่สามารถนำมาใช้ในบ้านเรือนได้ เพราะยังไม่ได้ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม
ปรากฏว่า เมื่อ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า ได้ใช้กล้องส่องลำไส้ถึงกว่า 30,000 กรณีแล้วตลอด 44 ปีที่ผ่านมา ก็จะพบเรื่องที่น่าสนใจมากครับ ที่สรุปว่า เรากินอะไรเราก็จะได้อย่างนั้น และลักษณะภายในลำไส้มีความสัมพันธ์กับโรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มากมาย
ตามมาดูภาพวิดีโอต่อไปนี้นะครับ ซึ่งเป็นตัวอย่างวิดีโอที่ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า ได้ส่งกล้องและเก็บหลักฐานเอาไว้
ภาพที่ 1 เป็นภาพลำไส้ของมนุษย์ในอุดมคติที่สะอาดมาก ของผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 45 ปี และจะเห็นเส้นเลือดฝอยอย่างชัดเจนอยู่เต็มไปหมด ออกซิเจนและอากาศถ่ายเทดี ลำไส้มีลักษณะเรียบกลมเกลี้ยง และจะบีบเคลื่อนตัวเป็นลูกคลื่นตลอดเวลา เพื่อขับกากอาหารออกมาเป็นอุจจาระ ซึ่งภาพนี้ไม่มีกากอาหารหลงเหลืออยู่เลย(คนคนนี้ได้อยู่ในความดูแลของดร.ฮิโรมิ ชินย่า ในการควบคุมอาหารและดื่มน้ำด่างจากเครื่องเป็นเวลา 5 ปี)
ภาพที่ 2 เป็นภาพลำไส้ของผู้หญิง อายุ 75 ปี ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย ก็จะเห็นชัดเจนว่ายังคงมีความสะอาดอยู่มาก เห็นเส้นเลือดฝอยในลำไส้ชัดเจนเช่นกัน มีคราบอาหารติดอยู่ที่ลำไส้เล็กน้อยมาก
ขอย้ำว่าคนที่รับประทานอาหารพืช ผัก ผลไม้มาก ก็จะคือคนที่ทานอาหารฤทธิ์ด่าง ซึ่งร่างกายปกติของเราต้องการความเป็นด่างในเลือดเรานะครับ
ภาพที่ 3 เป็นภาพลำไส้ของผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 47 ปี ที่ชอบกินอาหารเนื้อสัตว์ ชีส นม โยเกิร์ต เป็นประจำทุกวัน อาหารพวกนี้มีสภาพความเป็นกรดสูง ยิ่งคนที่ไม่ชอบกินผักผลไม้ด้วยก็จะเห็นเป็นสภาพนี้ คือเต็มไปด้วยไขมัน มองแทบไม่เห็นเส้นเลือด มีก้อนเนื้อบีบรัดตัวเต็มไปหมด ทำให้ระบบการดูดซึมอาหารไม่ดี และเกิดโรคขึ้นมากมาย เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ปวดท้อง ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร รวมถึงมะเร็ง ฯลฯ
ภาพที่ 4 เป็นชายอายุ 68 ปี ที่มีประวัติเป็นโรคเส้นเลือดขอดในล้ำไส้ กินเนื้อสัตว์มาก ชอบกินชีส โยเกิร์ต ดื่มนมทุกวัน กินเนื้อแดง 4 ครั้งต่อสัปดาห์ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ชายคนนี้เป็นโรคความดันสูง โคเสสเตอรอลสูง มีเซลล์มะเร็งระยะเริ่มแรกเกิดขึ้นด้วย
ภาพที่ 5 เป็นการเปรียบเทียบ (ภาพที่ 2 และ 4) ระหว่างลำไส้ของคนที่ทานอาหารมังสวิรัติ (อาหารด่าง)ซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือ กับคนที่ทานอาหารเนื้อสัตว์ (อาหารที่เป็นกรด) ซึ่งอยู่ด้านขวามือ อยากรู้ไหมครับว่าทำไมถึงแตกต่างกันแบบนี้?
เพราะ....
1. ซากเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารที่เป็นกรดนั้น เน่าเหม็นเร็วกว่าซากพืช
2. มนุษย์เรามีลำไส้ยาวครับ ตามปกติสัตว์กินเนื้อจะลำไส้ยาวเพียง 3 เท่าของร่างกายเท่านั้น เพราะต้องการให้ซากสัตว์ที่เน่าเสียเร็วนั้นออกจากร่างกายของสัตว์กินเนื้อให้เร็วที่สุด แต่มนุษย์มีลำไส้ยาวเหมือนสัตว์กินพืชและผลไม้ คือมีลำไส้ยาวกว่า 10 – 12 เท่า ของร่างกาย
ทีนี้ลองคิดดูกันเองแล้วกันนะครับว่า อาหารเนื้อสัตว์ที่เป็นกรดเน่าเหม็นเร็ว แต่กลับอยู่ในลำไส้ที่ยาวของมนุษย์เป็นเวลานานกว่า ผลมันก็เลยทำให้เกิดความแตกต่างกันอย่างที่เห็นแบบนี้แหละครับ
และสิ่งที่เน่าเหม็นอยู่ในตัวเราก็ย่อมเกิดโรคได้มาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีหลักสูตรล้างพิษตับและล้างลำไส้ของสันติอโศก
ภาพที่ 6 นี่คือลำไส้ของผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 45 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ผ่านการฉายแสงมาแล้ว เธอมีประวัติทานอาหารเนื้อสัตว์ นม ชีส เห็นไหมครับว่าลำไส้ของเธอเป็นอย่างไร
หลังจากนั้นเธอก็ได้รับการดูแลรักษาโดยการให้งดเนื้อสัตว์ ทานผักผลไม้ และดื่มน้ำด่างที่ทำจากเครื่อง 750 ซีซี. ทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน มาดูว่าผลเป็นอย่างไรนะครับ
ภาพที่ 7 ผู้หญิงคนเดียวกันกับวิดีโอเมื่อสักครู่ จากลำไส้เที่เน่าเฟะ เปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูดีขึ้นมากและสะอาดขึ้นมากจาก 3 เดือนที่แล้ว หลังจากเปลี่ยนพฤติกรรม และดื่มน้ำด่างที่ทำจากเครื่องไฟฟ้าทุกวัน และงดเนื้อสัตว์ หันมาทานอาหารพืช ผัก ผลไม้แทน ลองเปรียบเทียบดูสิครับว่าก่อนและหลังปรับเรื่องอาหาร ว่าต่างกันอย่างไร
ภาพเปรียบเทียบนี้ชัดเจนนะครับว่า อาหารและน้ำด่างมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงลำไส้เราจริงๆ
ภาพที่ 8 ผู้ชายคนนี้อายุ 52 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ความดันโลหิตสูง โคเลสเตอรอลสูง เป็นคนที่ชอบกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อแดงทุกวัน ข้างในลำไส้เต็มไปด้วยก้อนและคราบไขมันตลอดลำไส้
ภาพที่ 9 หลังผ่าตัดต่อมลูกหมากแล้ว จึงเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ มาปรับอาหารและดื่มน้ำด่างที่ทำจากเครื่อง ผลปรากฏว่าลำไส้เปลี่ยนไป สะอาดอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น
สรุปปิดท้ายว่า อาหารมีความสำคัญอย่างยิ่ง และความเป็นด่างก็มีความสำคัญเช่นกัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ โดยที่ไม่ต้องมีกล้องส่องแบบนี้ ได้อย่างเหลือเชื่อ
ในพระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 44 เขียนถึงการตรัสของพระพุทธเจ้าว่า
“ภิกษุเป็นพรรดึก(อุจจาระคั่งค้างแข็งเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ท้องผูก) ทรงอนุญาตให้ดื่มน้ำด่างอามิส”
• น้ำดื่มในอุดมคติ
นักวิจัยซึ่งเป็นนายแพทย์ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ร่างกายของมนุษย์ถูกโจมตีโดยอนุมูลอิสระ (Free Radical) ตลอดเวลา เพราะสิ่งเจือปนที่เป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดอนุมูลอิสระมีอยู่ทั่วๆไป มีอยู่ทั้งในอากาศที่เราหายใจ อาหารที่เรากิน และน้ำที่เราใช้ดื่ม ซึ่งอนุมูลอิสระที่แทรกซึมเข้าไปในร่างกาย จะทำลายภูมิต้านทานของร่างกายให้อ่อนแอ และเมื่อไหร่ที่ภูมิต้านทานพ่ายแพ้ ก็หมายถึงเกิดการเจ็บป่วย และรามถึงการเกิดมะเร็งขึ้นได้
กลุ่มนักวิจัยยังพบว่า น้ำดื่มมีความสัมพันธ์กับความเจ็บป่วยและความชรา ถ้าร่างกายจะสามารถต่อสู้กับความเจ็บป่วยและชะลอความชราได้ ก็ต้องอาศัยน้ำดื่มที่มีคุณภาพ
น้ำยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเลือด เพราะเป็นน้ำถึง 92% เลือดจะนำสารอาหารทั้ง 5 หมู่ สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ออกซิเจน รวมทั้งเอนไซม์ (Enzyme)ไปให้เซลล์ต่างๆในร่างกาย และยังป้องกันเซลล์โดยน้ำจะละลายสารพิษออกมา แล้วนำไปทำลายที่ตับหรือทิ้งออกไปนอกร่างกายในรูปของอุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อ
ลักษณะของน้ำดื่มในอุดมคติที่มีคุณประโยชน์กับร่างกายมนุษย์มีดังนี้
1. ปราศจากสารปนเปื้อนทางเคมี และสารอินทรีย์ต่างๆ อาทิ เชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก สารเคมี ฯลฯ
2. ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย อาทิ โปแตสเซียม แมกมีเซียม แคลเซียม เป็นต้น การที่น้ำมีแร่ธาตุละลายอยู่ มากจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว นอนหลับ สดใส กระปรี้กระเปร่า ลดโคเลสเตอรอลและจิตใจสงบผ่อนคลาย
3. มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็ก ทำให้แทรกซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างทั่วถึง และนำพาของเสีย ออกมาจากเซลล์ไปทิ้งได้
4. มีความกระด้างของน้ำปานกลาง มีประจุไฟฟ้าสูงและเป็นสื่อนำความร้อนที่ดี
5. มีความเป็นด่างอ่อนๆ โดยมีค่าความเป็นกรด - ด่างระหว่าง pH 7.25 - 8.50 เพื่อช่วยกำจัดความ เป็นกรด และของเสียในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภาวะที่สมดุล
6. มีปริมาณออกซิเจนเจือปนอยู่ด้วยสูง วัดค่าได้ประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อลิตรหรือมากกว่า
(จากส่วนหนึ่งของหนังสือ Water for Life “น้ำดื่มในอุดมคติ”
โดย ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เมษายน 2556 โดย ASTV Products)