xs
xsm
sm
md
lg

พลิกชีวิต : ประเสริฐ อัครศิริกาญจนะ จากชาวนา ป.6 กลายเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใครจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของที่ดินกว่า 3,000 ไร่ มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัท ทอช คนทำนา จำกัด, บริษัท ทอช คบเพลิง จำกัด และประธานมูลนิธิทอช แสงส่องทางชีวิต ซึ่งได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย นักธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ และนักวิชาการระดับดอกเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ จะมีอาชีพเป็นชาวนาและจบการศึกษาแค่ ป.6 เติบโตมาในครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน มีปัญหาหนี้สินรุมเร้าถึงขั้นที่คุณแม่เครียดจนคลุ้มคลั่งลุกขึ้นมาเผาบ้านตัวเอง

ที่สำคัญในวันนี้ เขาตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้คนทำนา และเดินหน้าเผยแพร่แนวคิด ‘เกษตรปลอดสารเคมี’ อีกทั้งยังอุทิศที่ดินกว่า 1,000 ไร่ให้เกษตรกรทำนาโดยไม่เก็บค่าเช่า !

เขาคือ ‘ประเสริฐ อัครศิริกาญจนะ’ เจ้าของบริษัท ทอช คนทำนา จำกัด ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตลูกชาวนาอย่างเขาต้องพบกับอุปสรรคนานัปการ

• จบ ป.6 ออกจาก ร.ร.มาทำนา
บ้านไฟไหม้ ครอบครัวล่มสลาย


ประเสริฐเล่าย้อนถึงช่วงชีวิตในวัยเยาว์ให้ฟังว่า เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่จังหวัดกำแพงเพชร เห็นความยากลำบากของคุณพ่อคุณแม่มาตั้งแต่เด็กๆ และด้วยฐานะยากจน เมื่อจบชั้น ป.6 จึงต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำนาและปลูกพืชไร่สารพัดชนิด ซึ่งก็ได้ผลผลิตดี แต่มีปัญหาเรื่องการขนส่ง เพราะสมัยนั้นถนนหนทางยังทุรกันดาร การนำพืชผลออกไปขายจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ต่อมา การใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเริ่มเป็นที่นิยมเพราะคำโฆษณา ทำให้ที่บ้านหันมาโหมใส่ปุ๋ยใส่ยาในนาข้าวและพืชผักทุกชนิดที่ปลูก เพราะหวังจะให้ผลผลิตดีและขายได้ราคา แต่กลับพบว่าพืชผักเติบโตดีแค่ในช่วงปีแรกๆ แต่ต่อมากลับเจอปัญหาผลผลิตแคระแกรน อ่อนแอ เน่าเสียง่าย และที่ร้ายที่สุดพ่อแม่มีหนี้สินพอกพูนมากมาย ขายพืชผลได้เท่าไหร่ก็ต้องเอาไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยค่ายาจนหมด

“ตอนผมเด็กๆเตี่ยกับแม่ปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกถั่ว ปลูกอ้อย ก็ไม่ได้ใช้สารแคมี บ้านผมมีพี่น้องหลายคน เวลาฉี่ก็เก็บฉี่ใส่ถังไว้ แล้วเอาไปผสมน้ำรดผักรดอ้อย มันก็ออกดอกออกผลดี อยู่มาวันหนึ่งแม่ไปขายผักในตลาด ก็ได้ยินเขาร่ำลือว่าปุ๋ยเคมีเข้ามา ใช้แล้วพืชโตผลดกโตเร็ว แม่ก็ลองเอามาใช้ดู

แรกๆก็ได้ผลดีเพราะดินมันยังดีอยู่ แต่ใช้ไปสัก 4-5 ครั้ง เอ๊ะ..ทำไมผักเริ่มเน่า อย่างเวลาปลูกถั่วเหลืองตอนที่ยังไม่ได้ใช้ปุ๋ย ถ้ามีฝนตก หลังจากนั้น 3-4 วัน ถั่วจะงอกแทงดินขึ้นมาเลย แต่หลังจากใช้ปุ๋ยเคมีไม่กี่ปี ปลูกถั่วเท่าไหร่ก็ไม่งอก เพราะดินมันแข็ง ยอดมันแทงดินขึ้นมาไม่ได้ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้สาเหตุ อีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือ ไส้เดือนที่อยู่ในดินมันหายไป

พอปลูกแล้วไม่ค่อยได้ผลผลิต บ้านเราก็เริ่มเป็นหนี้ธนาคาร เอาที่ดินไปจำนอง จำได้ว่าตอนผมอายุ 10 ขวบกว่าๆ คือประมาณเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่บ้านเป็นหนี้ 150,000 บาท ถือว่าเยอะมากนะ คือจริงๆกู้ธนาคารมาแค่ 100,000 บาท แต่ไม่มีปัญญาใช้ดอกเบี้ยเขา มันก็ทบต้นทบดอกไปเรื่อยๆ

แม่กับเตี่ยเครียดมาก เพราะลูกหลายคน เงินก็ไม่มี หนี้สินก็เพิ่มขึ้น ปลูกผักก็ไม่ได้ผล เน่าเสียง่าย อย่างคะน้าเนี่ยะพรุ่งนี้จะเก็บขายอยู่แล้ว ฝนตกลงมา คะน้าเน่าหมดเลย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดที่สุดในชีวิตผม แม่กับเตี่ยทะเลาะกัน จู่ๆแม่ก็เผาบ้านตัวเองเพราะความเครียด เราก็ไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปขอบริจาคไม้ หลังคาสังกะสี อะไรต่ออะไรจากชาวบ้าน

แต่ที่สะเทือนใจที่สุดคือ แม่เริ่มมีอาการทางประสาท ร้องห่มร้องไห้ กลางค่ำกลางคืนต้องคอยเฝ้า กลัวว่าจะไปผูกคอตายกับต้นไม้ต้นไหน เป็นอย่างนี้อยู่ 10 กว่าปี ผมรู้สึกว่าเป็นช่วงที่ยาวนานมาก ชีวิตไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะ”
ประเสริฐเล่าถึงความล้มเหลวของครอบครัวที่มีสาเหตุมาจากการนำปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมาใช้ในการเกษตร

• ออกเร่ร่อนรับจ้าง ค้าขาย
สุดท้ายกลับบ้านเป็นชาวนา
ทำเกษตรแบบอิงธรรมชาติ


จากปัญหาหนี้สินและความล้มเหลวในการทำเกษตร ทำให้ประเสริฐตัดสินใจออกจากบ้านไปทำงานรับจ้างและค้าขาย ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ และไม่สามารถต่อสู้ในธุรกิจการค้าที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและการแก่งแย่งแข่งขัน เขาจึงกลับไปทำการเกษตรที่บ้าน

แต่การทำเกษตรอยู่กับบ้านนั้น แม้จะไม่มีค่าใช้จ่ายมากนัก แต่เงินที่ได้ก็แค่พอใช้ไปวันๆ เขาจึงเก็บเงินไปลงทุนทำการค้าอีก วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้อยู่นับสิบปี

กระทั่งวันหนึ่งประเสริฐก็ค้นพบว่า ความล้มเหลวในการทำเกษตรที่ผ่านมานั้น เกิดจากการที่เขาหย่าร้างกับธรรมชาติ และหันไปใช้สารเคมี เพราะเชื่อในคำโฆษณา ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการค้าตามระบอบทุนนิยม

“ปัจจุบันถ้าเราลงไปดูผืนนาของชาวนาทั่วไป จะพบว่า ถึงในนาจะมีน้ำขังอยู่ แต่ดินที่เราเหยียบลงไป มันกลับแน่นแข็งไปหมด เพราะว่าการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงทำให้ดินเสีย เดี๋ยวนี้เกษตรกรไม่เคยเห็นไส้เดือน ไม่เห็นกบในนา ไม่เคยเห็นลูกอ๊อด หรือปลาช่อนปลาดุกในที่นาตัวเองเลย

แต่ในนาของผมมีสัตว์เหล่านี้เต็มไปหมด ทุกวันนี้เกษตรกรรู้สึกว่าขาดปุ๋ยขาดยาไม่ได้ ทั้งที่จริงๆแล้วโลกใบนี้มันเกิดขึ้นมาเป็นล้านปีแล้ว ถามว่าทำไมบรรพบุรุษของเราปลูกพืชปลูกผักเลี้ยงเรามาได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมี สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรไม่รู้คือ การใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากเกินไป ทำให้พืชอ่อนแอ

'ฟริตซ์ ฮาเบอร์' ซึ่งเป็นผู้ค้นพบปุ๋ยเคมีบอกเองว่า ปุ๋ยเคมีทำให้พืชเจริญเติบโตจากอัตราเร่ง เลยทำให้พืชอ่อนแอ ไม่สามารถต้านทานโรคและแมลงได้ จึงต้องใช้ยาฆ่าแมลงด้วย

วันหนึ่งผมสังเกตเห็นว่า ดินที่ดีคือปุ๋ยที่ดี ปลูกพืชลงไปก็ได้ผลิตผลที่ดี เพราะฉะนั้นทำยังไงก็ได้ให้ดินมันดี พอศึกษาไปเรื่อยๆ ผมก็ค้นพบวิธีการที่ทำให้ดินดี พอดินดีก็มีไส้เดือนมาอาศัย ซึ่งขี้ไส้เดือนเนี่ยะเป็นปุ๋ยที่มีคุณภาพดีที่สุด ดีกว่าปุ๋ยคอกอีก

แล้วเราเห็นความแตกต่างว่า เอ๊ะ! ทำไมไม่เห็นต้องใส่ปุ๋ยเคมีเลย ไม่เห็นต้องฉีดยาฆ่าแมลงเลย มันเห็นความเปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ผมกลับไปทำนาและทำอาชีพเกษตรอย่างจริงจัง ถ้าเราทำให้ดินกลับไปมีสภาพร่วนซุยเหมือนสมัยที่เรายังเด็ก ไม่ได้ใช้ปุ๋ยใช้ยา ดินดีปลูกอะไรก็ขึ้น ผืนดินคือโรงงานผลิตชั้นยอด

นาข้าวหอมมะลิที่เขาใช้สารเคมี ได้ข้าวไร่ละ 30-40 ถัง แต่ข้าวหอมมะลิของผมไม่ใช้สารเคมีเลย กลับได้ข้าวไร่ละ65-85 ถัง แล้วต้นข้าวแข็งแรงมาก แมลงลงก็ไม่เป็นอะไร

ซึ่งนอกจากผลิตผลจะดีแล้ว เรายังไม่มีต้นทุนค่าปุ๋ยค่ายาอีกด้วย ผลผลิตที่ขายได้ก็เป็นกำไรล้วนๆ มันเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนเลยว่า การทำเกษตรแบบไร้สาร ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เราดีขึ้น สร้างเนื้อสร้างตัวได้ ทำเกษตรไร้สารไม่มีต้นทุน เงินเหลือก็ซื้อที่เก็บไว้ จากเดิมผมมีที่ดินแค่ 50 ไร่ ตอนนี้เพิ่มเป็น 3,000 กว่าไร่แล้ว” ประเสริฐพูดถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่หันมาทำเกษตรไร้สารเคมี

• สร้างเครือข่ายเกษตรกรไร้สารเคมี
ให้ชาวนาทำนาโดยไม่เก็บค่าเช่า


หลังจากประสบความสำเร็จจากการทำเกษตรแบบปลอดสารเคมี ที่ทำให้ครอบครัวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประเสริฐจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะเผยแพร่แนวคิดในการทำเกษตรไร้สาร ด้วยหวังที่จะ‘ปลดแอก’เกษตรกรไทยให้พ้นจากความเป็นหนี้ ไม่ต้องขายไร่ขายนาทิ้งถิ่นฐานไปทำงานในเมือง ไม่ต้องประสบกับสภาพครอบครัวล่มสลายเหมือนที่เขาเคยเจอ

ประเสริฐใช้วิธีสร้างเครือข่ายเกษตรไร้สารโดยจูงใจให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรแบบไร้สารเคมีด้วยการจัดสรรที่ดินกว่า 1,000 ไร่ให้ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกิน เข้ามาทำนาในที่ดินของเขาโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องทำการเกษตรไร้สารตามวิธีที่เขากำหนด และผลผลิตที่ได้จะแบ่งกันคนละครึ่ง

“คือภาพที่แม่ผมมีอาการทางประสาท และลุกขึ้นมาเผาบ้านตัวเอง มันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมมาตลอด ผมไม่อยากให้เกษตรกรไทยเป็นหนี้ หมดเนื้อหมดตัว และบ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนผม

ผมเลยตั้งใจว่าจะเผยแพร่แนวคิดเกษตรไร้สารออกไปให้ได้มากที่สุด เกษตรกรจะได้ปลดแอกจากการเป็นหนี้ ไม่ต้องขายที่ขายทาง ทิ้งบ้านไปขายแรงงานในกรุงเทพฯ คือปัจจุบันนี้เกษตรกรตกเป็นเหยื่อของทุนนิยม เพราะเสพติดการใช้สารเคมี ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เป็นหนี้

ถ้าไปสำรวจจะเห็นว่า ทุกวันนี้เกษตรกรเป็นหนี้กันทุกครัวเรือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เวลาผมไปบรรยายผมมักจะถามว่า ใครไม่เป็นหนี้ยกมือขึ้น ปรากฏว่าไม่มีใครยกมือเลย เพราะขายพืชผลได้ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าปุ๋ยค่ายาหมด ถึงเวลาก็ไปกู้เงินมาลงทุนเพาะปลูกอีก

ดังนั้น เกษตรกรจะกลับไปเข้มแข็งได้ จะกลับไปเป็นไทได้ ก็ต่อเมื่อเขาเข้าใจในธรรมชาติ หากเราไม่หย่าร้างกับธรรมชาติ เราจะค้นพบ 3 ทางรอด ทางรอดแรกคือ ต้นทุนต่ำ ทางรอดที่สอง ผลผลิตเพิ่ม และทางรอดที่สาม ผลผลิตได้คุณภาพ

ขณะเดียวกันชีวิตของเกษตรกรก็มีคุณภาพที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งนอกจากจะออกไปบรรยายเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรแล้ว ผมยังดึงให้เขาเข้ามาศึกษาการทำเกษตรไร้สาร โดยเมื่อ 3 ปีที่แล้วผมได้เริ่มโครงการให้ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกิน เข้ามาทำนาในที่ของผม ครอบครัวละ 30 ไร่ โดยไม่เก็บค่าเช่า แต่ต้องทำนาตามวิธีของผม ห้ามใช้สารเคมีเด็ดขาด และผลผลิตขายได้ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง เพราะถ้าเราให้ทุกอย่างฟรีหมด เขาจะไม่เห็นคุณค่า และไม่กระตือรือร้น

ล่าสุดมีเกษตรกรที่เข้ามาทำนาบนที่ดินของผม 50 กว่าครอบครัว ซึ่งปรากฏว่าหลายคนที่เข้ามาร่วมโครงการกับผมตอนนี้ปลดหนี้ปลดสินได้หมดแล้ว บางคนก็ไถ่ที่คืน กลับไปทำนาในที่ของตัวเอง” ประเสริฐพูดถึงความตั้งใจในการเผยแพร่แนวคิดเกษตรปลอดสารเคมี

• ตั้งบริษัท – ทำโฆษณา เผยแพร่แนวคิดเกษตรไร้สาร
หวังเห็นชาวนาหมดหนี้สิน มีความเป็นอยู่ดีขึ้น


นอกจากนั้น ประเสริฐยังตั้ง ‘บริษัท ทอช คนทำนา จำกัด’ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการทำนาอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชาวไร่ชาวนา ว่าเป็นเกษตรกรก็สามารถสร้างฐานะและตั้งบริษัทของตัวเองได้

และล่าสุดเขาได้จ้างเอเยนซี่ทำโฆษณาให้แก่ 'บริษัท ทอช คนทำนา จำกัด' เพื่อเผยแพร่แนวคิด “ดินดี ให้ผลผลิตที่ดี” เพื่อให้คนหันมาสนใจการทำเกษตรแบบไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี แต่กว่าจะได้โฆษณาชิ้นนี้ออกมา ต้องใช้เวลานานมาก เนื่องจากไม่มีบริษัทเอเยนซี่รายใดยอมผลิตงานโฆษณาให้ เพราะเห็นว่าเขาเป็นแค่ 'ชาวนา' จึงกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่าย!!

“คือผมสงสัยว่า เราตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ บริษัทขายมือถือ ได้แค่นั้นเหรอ ทำไมเราตั้งบริษัททำนาไม่ได้หรือ ชาวนาก็ตั้งบริษัททำนาได้ บริษัท ทอช คนทำนา จำกัด เนี่ยะตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับการทำนาโดยเฉพาะ เราทำให้เกษตรกรเห็นว่า เป็นชาวนาก็มีศักยภาพที่จะเป็นเจ้าของบริษัทได้

แล้วโฆษณาของผมก็ไม่ได้ทำเพื่อขายสินค้านะ แม้ว่าบริษัท ทอช คบเพลิง จำกัด จะผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาคุณภาพดิน ซึ่งมีลักษณะคล้ายปุ๋ย แต่ใส่เพื่อพัฒนาคุณภาพดินมากกว่าจะมุ่งเพิ่มผลผลิต และเมื่อดินมีคุณภาพดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้อีก ถ้าสั่งเข้ามาเยอะเราก็ผลิตไม่ทัน

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้โฆษณาให้คนมาซื้อสินค้า แต่เราทำโฆษณาตัวนี้ออกมา เพราะอยากสื่อให้เห็นว่าดินดีคือปุ๋ยที่ดี ดินดีจะให้ความอุดมสมบูรณ์ ให้ผลผลิตที่ดี ให้ความมั่นใจในอาชีพเกษตรกร เกษตรกรไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน มีอิสรภาพ มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง สามารถเรียกศักดิ์ศรีและความเป็นไทกลับมาได้ เพราะฉะนั้น หันมาพัฒนาคุณภาพดินกันเถอะ เลิกใช้สารเคมี เกษตรจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แต่เชื่อไหม..กว่าผมจะทำโฆษณาตัวนี้ออกมาได้ ใช้เวลานานมาก ติดต่อบริษัทโฆษณาไป 10 กว่าแห่ง ไม่มีใครยอมทำโฆษณาให้ เพราะกลัวเราไม่มีเงินจ่าย (หัวเราะ) กระทั่งมาเจอเอเยนซี่นี้ที่เขาเข้าใจแนวคิดของเรา เพราะเขามีแนวคิดเรื่องเกษตรไร้สารเหมือนกัน

บางคนสงสัยว่า ในเมื่อไม่ได้ทำเพื่อให้คนมาซื้อสินค้า แล้วลงทุนทำโฆษณาและซื้อเวลาออกอากาศเสียเงินเป็นล้านๆทำไม ทำแล้วได้อะไร แต่ผมคิดว่าผมได้นะ แค่เกษตรกร 1 คนที่เห็นโฆษณาของผมแล้วเปลี่ยนความคิดมาทำเกษตรไร้สาร ชีวิตความเป็นอยู่เขาดีขึ้น ไม่เป็นหนี้เป็นสิน ผมก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะนี่คือเป้าหมายของผม” ประเสริฐพูดถึงแนวคิดในการทุ่มทุนทำโฆษณา ซึ่งหลายคนมองว่า บ้าชัดๆ !!

ประเสริฐยังบอกด้วยว่า เป้าหมายในชีวิตของเขาก็คือทำให้ผืนดินทั้งประเทศพลิกฟื้นกลับมามีคุณภาพที่ดี สามารถให้ผลผลิตการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ และทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้ดี มีความมั่นคง และปลอดจากหนี้สิน ซึ่งแม้ไม่รู้ว่าความฝันของเขาจะสำเร็จวันใด แต่เขาก็ตั้งใจเดินหน้าและพร้อมจะฝ่าไปด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น

“ผมอยากให้แผ่นดินเลิกร้องไห้ อยากเห็นธรรมชาติเข้มแข็งขึ้น อยากเห็นเกษตรกรไทยมีเงินฝากทุกครัวเรือน ความร่ำรวยของเกษตรกรไทยจะเป็นพินัยกรรมให้แก่ลูกหลาน เพราะผมเชื่อว่าถ้าอาชีพเกษตรกรหมดหนี้เมื่อไหร่ ร่ำรวยเมื่อไหร่ วันนั้นคือวันที่ประเทศไทยจะร่ำรวยที่สุดในโลก” ประเสริฐกล่าวตบท้ายถึงเป้าหมายที่วางไว้ด้วยแววตาอันมุ่งมั่น

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย กฤตสอร)






กำลังโหลดความคิดเห็น