การนั่งสมาธิ นั่งให้สบาย จะนั่งลง เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง หรือจะนั่งพับเพียบหรือท่าใดก็ได้ที่ตนสบาย
เมื่อนั่งแล้วให้ตรวจดู ให้หายใจยาวๆ ดูว่า เรานั่งสบายแล้วหรือยัง เมื่อเรานั่งสบายแล้ว ก็กำหนดจิต กำหนดสติ ให้รู้ด้วยจิตของตัวเอง และพยายามนึกว่าขณะนี้เราตัวคนเดียวในโลก หนึ่งไม่มีสอง ให้กำหนดรวมที่จิตของตนเองเท่านั้น
เมื่อมีความตั้งใจกำหนดจิตของเราเอง อาการกำหนดรู้ รู้ตัวนั้นเป็นพุทธะ ซึ่งออกมาจากคำว่า “พุทโธ” ที่เราท่องบริกรรมภาวนาอยู่ เมื่อการกำหนดรู้จิตเฉยๆ ยังชัดเจน ก็ให้นึกพุทโธๆไว้ในจิต นึกว่าขณะนี้มีแต่จิตของเรากับพุทโธ สองอย่างเท่านั้นอยู่ด้วยกัน
แล้วก็ตั้งใจให้แน่วแน่ว่า เราจะลงนรกก็ขอไปกับพุทโธ ขึ้นสวรรค์ขอไปกับพุทโธ จะถึงนิพพานก็ขอไปกับพุทโธ ตั้งใจบริกรรมภาวนาพุทโธๆๆ อยู่อย่างนั้น ด้วยกิริยาเบาๆ อย่าไปข่ม อย่าไปบังคับจิต แต่ประคองจิตให้นึกพุทโธๆ เพียงอย่างเดียว
แล้วก็ให้สังเกตดู ขณะที่เราถึงพุทโธอยู่นั้น ถ้ารู้สึกว่ากายของเราเบา จิตของเราเบา หายใจโล่งอกโล่งใจ สบาย นั่นแสดงว่าสมาธิของเรากำลังจะเกิดแล้ว ตั้งใจบริกรรมภาวนาเรื่อยไป
บางทีขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่ กายเบา จิตเบา แล้วก็เกิดความสงบกาย กายสบาย หายเมื่อย หายมึนหายชา เป็นสุขสบายทุกอย่าง เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตก็สงบ จดจ่ออยู่กับบริกรรมภาวนาตลอดไป แล้วก็มีอาการอิ่มๆ กระหยิ่มอยู่ในจิต จิตเริ่มมีความแจ่มใสเบิกบานแล้วก็ดำเนินเข้าไปสู่ความสงบทีละน้อยๆ
เมื่อจิตสัมผัสกับปีติ ซึ่งเป็นอาการที่จิตดื่มรสพระสัทธรรม บางทีอาจทำให้จิตของเรามีความลิงโลดเบิกบาน แจ่มใส ทำกายให้สั่น ขนหัวลุกขนหัวพอง บางท่านรู้สึกว่ากายโยกโคลง บางทีตัวสั่น มีความรู้สึกเหมือนลอยอยู่บนอากาศ จิตเริ่มมีความสว่าง ความสว่างค่อยแผ่ซ่านไปทั่วกายหรือครอบคลุมกายอยู่ นั่นแสดงว่าการภาวนาของเรากำลังจะได้ผล
เมื่อจิตมีปีติ ความสุขอันเป็นผลพลอยได้ย่อมบังเกิดขึ้นในอันดับต่อมา แล้วจิตจดจ้องอยู่กับบริกรรมภาวนา ในที่สุดบริกรรมภาวนาจะค่อยจางหายไปๆ ลมหายใจปรากฏขึ้นมา จึงยึดเอาลมหายใจเป็นอารมณ์ เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ
แม้บริกรรมภาวนาคือพุทโธ หายไปก็ไม่ต้องไปนึกพุทโธอีก ให้กำหนดรู้ลมหายใจ บางครั้งลมหายใจอาจแสดงอาการหายใจแรง มีอาการคล้ายกับหอบ ก็ให้กำหนดรู้เฉยอยู่ บางครั้งลมหายใจที่วิ่งออกวิ่งเข้าเป็นลำยาว ก็ให้กำหนดรู้อยู่เฉยๆ มองเห็นความสว่างแห่งลมหายใจที่วิ่งออกวิ่งเข้าเป็นลำยาว ก็ให้กำหนดรู้เฉยๆ อย่าไปเอะใจ อย่าไปตื่นตกใจ อะไรมันจะเกิดขึ้นก็ให้ดูอยู่เฉยๆ
ช่วงที่สำคัญที่สุดก็คือลมหายใจแผ่ว เพราะเป็นอาการของจิตที่สงบละเอียดลงไปเรื่อย กายก็ละเอียด ลมหายใจก็ละเอียด จนกระทั่งลมหายใจหายวับไป กายก็หายไปด้วย จิตนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
พุทธะ ผู้รู้ พุทธะ ผู้ตื่น พุทธะ ผู้เบิกบาน บังเกิดขึ้นในจิตของผู้ภาวนา อันนี้เป็นจุดเริ่มของสมาธิในขั้นต้นเรียกว่า “ปฐมสมาธิ” ถ้าว่าโดยจิตก็เป็นปฐมจิต ว่าโดยวิญญาณเป็นปฐมวิญญาณ เพราะรู้อยู่เฉยๆ ถ้าว่าโดยฌาน เป็นอัปปนาฌาน ว่าด้วยจิต เป็นอัปปนาจิต นี่คือจิตแท้จริงดั้งเดิมของเรา
การที่โบราณาจารย์สอนให้เราภาวนาให้จิตสงบลงเป็นสมาธิ เป็นหนึ่ง หรือเข้าไปสู่อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌาน เพื่อให้ผู้ภาวนาทั้งหลายได้รู้ว่า จิตแท้จิตดั้งเดิมของเราเป็นอย่างไร นี่เป็นจุดมุ่งหมายของการฝึกสมาธิในเบื้องต้น
ทีนี้ข้อสังเกตในการนั่งสมาธิ ในการภาวนานี่ ในบางครั้งระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อที่จิตจะเข้าสู่สมาธิ ทุกขเวทนาต่างๆบังเกิดขึ้น มันปวดแข้งปวดขา มันปวดหลัง ปวดเอว ศีรษะมึนงง ต้นคอหนักหน่วง นั่น “ขันธมาร” มันกำลังบังเกิดขึ้น
เมื่อขันธมารบังเกิดขึ้น กิเลสมารก็บังเกิด กิเลสมารตัวนี้ก็คือ ตัว “นิวรณ์” กามฉันทะ จิตใฝ่ในความสบาย ในเมื่อเกิดกามฉันทะขึ้นมา จิตคิดจะล้มเลิกในการภาวนาก็เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ความลังเลสงสัยก็บังเกิดขึ้นมาอีก ความง่วงเหงาหาวนอนบังเกิดขึ้นมาอีก
ทีนี้ความสงสัยมันมีความรุนแรงขึ้น จิตมันก็เถียงกัน จะภาวนาต่อไปหรือจะหยุดเพียงแค่นี้ เถียงกันไปเถียงกันมา ถ้ามันสู้กิเลสไม่ได้ สู้นิวรณ์ไม่ได้ จิตมันก็ตัดสินใจว่า เอาแค่นี้ แล้วก็หยุด เลิกภาวนา “พยาปาทะ” คือความตัดรอนคุณงามความดี ก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ เราก็เป็นผู้แพ้ ถ้าเราแพ้บ่อยๆ มันก็กดขี่ข่มเหงเรื่อยไป
ดังนั้น เราต้องพยายามต่อสู้และปราบปรามมันด้วยขันติ ความอดทน ทนมันไปจนกว่ามันจะทนไม่ไหว เมื่อทนในท่านี้ไม่ได้ก็เปลี่ยนท่าใหม่ ไปกำหนดภาวนาในท่าใหม่ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้
เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้มีการเปลี่ยนอิริยาบถ คือให้เปลี่ยนในขณะที่เราสู้ขันธมารและกิเลสมารไม่ได้ ทีแรกเรานั่งสู้มัน นั่งสู้มันไม่ไหว แพ้ก็ช่างมัน แต่เราพยายามที่จะต่อสู้มันเรื่อยไป
เรื่องกิเลส เรื่องของโลก เราได้ฝึกฝนอบรมมาจนคล่องตัวเหมือนกัน สมาธิภาวนาเรามาเริ่มใหม่ เรามาฝึกฝนอบรมใหม่ๆ ทีนี้อำนาจฝ่ายต่ำที่เราปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามอำนาจของมันมานานแล้ว จนมันคล่องตัว โลภ โกรธ หลงอะไรต่างๆ เป็นกิเลสที่เราฝึกฝนอบรมมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ฝึกและรับเอาเข้ามาจนมันมาเป็นเจ้าเรือนแล้ว เราจะขับไล่ไสส่งมันออกไปง่ายๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ต้องตั้งใจปฏิบัติโดยมอบกายถวายชีวิต บูชาต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่อคุณงามความดี เพราะว่าอุบายวิธีอันนี้เป็นวิธีการดับไฟนรก เมื่อเรามาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศีลบริสุทธิ์ มีจิตบริสุทธิ์ มีปัญญาอันบริสุทธิ์ มันก็เป็นอุบายดับไฟนรกทันที
ดังนั้น ขอให้ทุกท่านจงตั้งใจจริง ปฏิบัติกันจริงๆ อย่าทำเหลาะแหละ ไม่ต้องไปไขว่คว้ากันที่ไหน ตั้งใจหาความดีในจิตในใจของเรานั้นแหละ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย พระราชสังวรญาณ(พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา)