xs
xsm
sm
md
lg

รอบรู้โรคภัย : เมื่อคุณหมอบอกว่า เป็นโรคหลอดลมอักเสบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลอดลมปกติ และหลอดลมอักเสบ
โรคหลอดลมอักเสบ(bronchitis) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวม มีเสมหะในหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก อาจหายใจมีเสียงดังหวีดได้ อาจมีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บหน้าอก ผู้ป่วยอาจมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัว ซึ่งควรวินิจฉัยแยกโรคจากโรคปอดบวม (pneumonia)

• โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากสาเหตุใด

1. โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (acute bronchitis)
(มีอาการไม่เกิน 3 สัปดาห์) ส่วนใหญ่มักเป็นตามหลังไข้หวัด ซึ่งไม่ได้รับการรักษา หรือปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง ทำให้การติดเชื้อลามลงไปถึงหลอดลม

ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นหวัด แล้วมีอาการไอ มีเสมหะเป็นระยะเวลามากกว่า 1 สัปดาห์ อาจเป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน

เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ป่วยมีการอักเสบของโพรงจมูก หรือเป็นหวัด ควรให้การรักษา หรือปฏิบัติตนให้ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหลอดลมอักเสบได้

ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อไวรัส เหมือนไข้หวัด เช่น rhinovirus, adenovirus, influenza virus, respiratory syncytial virus (RSV) มีเพียงร้อยละ 10 ที่เกิดจากเชื้อ Bordetella pertussis, Chlamydia pneumoniae, Mycoplasma pneumoniae

2. โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง (chronic bronchitis) อาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ [โรคหืด (asthma)] หรือเกิดจากการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน [อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease: COPD) คือมีอาการไอมีเสมหะมากกว่า 3 เดือน/ ปี เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี] หรือสัมผัสกับมลภาวะ (air pollution) หรือสารระคายเคืองจากการประกอบอาชีพ (occupational irritants)

โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรังนี้ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้แก่ Streptococcus pneumoniae, Hemophilus influenzae, Moraxella catarrhalis ซึ่งอาจทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว

• การวินิจฉัยโรค

แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย โดยใช้ที่ฟังปอด ฟังหลอดลม ว่ามีการตีบแคบของหลอดลมหรือไม่ และให้การวินิจฉัยแยกโรคจากโรคอื่นๆ ที่ทำให้มีอาการไอ การส่งตรวจภาพรังสีทรวงอก อาจช่วยวินิจฉัยแยกโรคปอดอักเสบได้

• การรักษา

โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน มักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน ถ้าปฏิบัติตนถูกต้อง (ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ) เช่น

• พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด

• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น

• พยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็นและแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น โดยเฉพาะแอร์ พัดลมเป่า การดื่มหรืออาบน้ำเย็น ถ้าต้องการเปิดแอร์ ควรตั้งอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ใช้พัดลมไม่ควรเปิดเบอร์แรงสุด และควรให้พัดลมส่ายไปมา

ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศจากเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมโดยตรง เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง และยังสามารถกระตุ้นเยื่อบุหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมอักเสบมากขึ้น ส่งผลให้มีอาการไอมากขึ้นได้

• ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ เช่น นอนห่มผ้า ถ้าจะให้ดี ควรใส่ถุงเท้า หรือผ้าพันคอ เวลานอนด้วย ในกรณีที่ไม่ชอบห่มผ้าหรือห่มแล้วชอบสะบัดหลุดโดยไม่รู้ตัว ควรใส่เสื้อหนาๆ หรือใส่เสื้อ 2 ชั้น และกางเกงขายาวเข้านอน

• ควรหาสาเหตุที่ทำให้เป็นหลอดลมอักเสบด้วย เนื่องจากถ้าผู้ป่วยยังมีภูมิต้านทานต่อโรคดี ผู้ป่วยมักจะไม่เป็นหลอดลมอักเสบ เมื่อใดเป็นหลอดลมอักเสบ แสดงว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อโรคต่ำ

ส่วนสาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ภูมิต้านทานน้อยลงได้แก่ เครียด, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, สัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ เช่น ขณะนอนเปิดแอร์หรือพัดลมเป่าจ่อ, ตากฝน หรือมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้

การหาสาเหตุเหล่านี้มีความสำคัญ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้หาและไม่หลีกเลี่ยง นอกจากจะทำให้หายช้าแล้ว อาจทำให้เป็นหลอดลมอักเสบซ้ำได้อีก

• รักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้ [paracetamol หรือ non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs)]

ถ้ามีอาการไอมาก จนรบกวนการนอน หรือเป็นที่น่ารำคาญ อาจรับประทานยาลดหรือระงับอาการไอ (cough suppressants or antitussives) หรือยาขยายหลอดลม (bronchodilator), ถ้ามีเสมหะมาก อาจรับประทานยาขับเสมหะ (expectorants) หรือยาละลายเสมหะ (mucolytics)

• ระวัง! ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (pneumonia)ได้ หรือจากหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพอง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)


กำลังโหลดความคิดเห็น